• Amazon Leo: ก้าวใหม่ของการสื่อสารผ่านดาวเทียม

    Amazon เปิดตัวชื่อใหม่ Amazon Leo แทนที่ชื่อเดิม Project Kuiper ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรโลกถึง 95% การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่าโครงการได้พ้นจากสถานะ “ทดลอง” และพร้อมเข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ

    ความคืบหน้าและการแข่งขันกับ Starlink
    แม้ Amazon จะเพิ่งส่งดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรกจำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในปีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง SpaceX Starlink ได้เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งการเชื่อมต่อกับสายการบินและผู้ให้บริการมือถือ ทำให้ Amazon Leo ยังต้องเร่งพัฒนาเพื่อไล่ตามการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยีและการใช้งาน
    Amazon ได้ทดสอบเทคโนโลยีสำคัญ เช่น เครือข่ายเลเซอร์เชื่อมโยงดาวเทียม (laser mesh network) และเสาอากาศผู้ใช้ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย การรีแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการประกาศความพร้อมที่จะให้บริการจริง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo เพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดให้บริการในอนาคต

    มุมมองเชิงกลยุทธ์
    การเข้าสู่ตลาดดาวเทียมวงโคจรต่ำของ Amazon ไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจด้านคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ของบริษัท เช่น AWS และอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันกับ Starlink จึงไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต แต่ยังเป็นการวางรากฐานโครงสร้างการสื่อสารระดับโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Amazon รีแบรนด์ Project Kuiper เป็น Amazon Leo
    สะท้อนการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) และความพร้อมเชิงพาณิชย์

    เป้าหมายครอบคลุมประชากรโลก 95%
    ใช้ดาวเทียมกว่า 3,000 ดวงเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต

    เปิดตัวดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรก 27 ดวงในปีนี้
    เป็นก้าวสำคัญหลังจากการทดสอบหลายปี

    เทคโนโลยี laser mesh network และเสาอากาศผู้ใช้
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการเข้าถึง

    ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo
    เพื่อรับข้อมูลการเปิดให้บริการในอนาคต

    การแข่งขันกับ Starlink เข้มข้นมาก
    Starlink เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว

    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ชัดเจน
    ผู้ใช้ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก Amazon

    ความเสี่ยงด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    การสร้างเครือข่ายดาวเทียมจำนวนมหาศาลต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง

    https://securityonline.info/project-kuiper-is-now-amazon-leo-amazon-rebrands-satellite-initiative-for-commercial-launch/
    🚀 Amazon Leo: ก้าวใหม่ของการสื่อสารผ่านดาวเทียม Amazon เปิดตัวชื่อใหม่ Amazon Leo แทนที่ชื่อเดิม Project Kuiper ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรโลกถึง 95% การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่าโครงการได้พ้นจากสถานะ “ทดลอง” และพร้อมเข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ 🌐 ความคืบหน้าและการแข่งขันกับ Starlink แม้ Amazon จะเพิ่งส่งดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรกจำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในปีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง SpaceX Starlink ได้เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งการเชื่อมต่อกับสายการบินและผู้ให้บริการมือถือ ทำให้ Amazon Leo ยังต้องเร่งพัฒนาเพื่อไล่ตามการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📡 เทคโนโลยีและการใช้งาน Amazon ได้ทดสอบเทคโนโลยีสำคัญ เช่น เครือข่ายเลเซอร์เชื่อมโยงดาวเทียม (laser mesh network) และเสาอากาศผู้ใช้ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย การรีแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการประกาศความพร้อมที่จะให้บริการจริง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo เพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดให้บริการในอนาคต ⚖️ มุมมองเชิงกลยุทธ์ การเข้าสู่ตลาดดาวเทียมวงโคจรต่ำของ Amazon ไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจด้านคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ของบริษัท เช่น AWS และอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันกับ Starlink จึงไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต แต่ยังเป็นการวางรากฐานโครงสร้างการสื่อสารระดับโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Amazon รีแบรนด์ Project Kuiper เป็น Amazon Leo ➡️ สะท้อนการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) และความพร้อมเชิงพาณิชย์ ✅ เป้าหมายครอบคลุมประชากรโลก 95% ➡️ ใช้ดาวเทียมกว่า 3,000 ดวงเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต ✅ เปิดตัวดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรก 27 ดวงในปีนี้ ➡️ เป็นก้าวสำคัญหลังจากการทดสอบหลายปี ✅ เทคโนโลยี laser mesh network และเสาอากาศผู้ใช้ ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการเข้าถึง ✅ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo ➡️ เพื่อรับข้อมูลการเปิดให้บริการในอนาคต ‼️ การแข่งขันกับ Starlink เข้มข้นมาก ⛔ Starlink เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ‼️ ยังไม่มีการประกาศวันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ชัดเจน ⛔ ผู้ใช้ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก Amazon ‼️ ความเสี่ยงด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ การสร้างเครือข่ายดาวเทียมจำนวนมหาศาลต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง https://securityonline.info/project-kuiper-is-now-amazon-leo-amazon-rebrands-satellite-initiative-for-commercial-launch/
    SECURITYONLINE.INFO
    Project Kuiper is Now Amazon Leo: Amazon Rebrands Satellite Initiative for Commercial Launch
    Amazon officially rebranded its LEO satellite initiative, formerly Project Kuiper, as Amazon Leo, signaling its readiness to transition the network into a commercial product.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • Valve รอเทคโนโลยีใหม่ก่อนเปิดตัว Steam Deck 2

    Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Deck 2 จะไม่ใช่การอัปเกรดเล็กน้อย แต่ต้องเป็น “ก้าวกระโดด” ทั้งด้านประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ปัจจุบัน Steam Deck รุ่นแรกแม้ยังคงเล่นเกมได้ดี แต่เริ่มล้าหลังเมื่อเจอกับเกม AAA รุ่นใหม่ ๆ ที่กินทรัพยากรมากขึ้น ทำให้ทีมพัฒนาเลือกที่จะรอจนกว่าชิปใหม่จะพร้อมใช้งานจริง

    AMD Strix Halo APU – พลังที่ Valve จับตามอง
    AMD เปิดตัว Ryzen AI MAX+ 395 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Strix Halo ซึ่งมาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 จำนวน 40 CU ที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 Laptop GPU นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจทำให้ Steam Deck 2 สามารถแข่งขันกับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งระดับกลางได้ โดยยังคงอยู่ในขนาดพกพา

    ปัญหาหลัก: ประสิทธิภาพต่อวัตต์และแบตเตอรี่
    แม้ Strix Halo จะทรงพลัง แต่ Valve ย้ำว่าการเพิ่มประสิทธิภาพ 20–50% ยังไม่เพียงพอ หากต้องแลกกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป ตัวอย่างเช่น ROG Ally X ที่ใช้ชิปใหม่ แม้เล่นเกมได้ลื่น แต่แบตเตอรี่หมดภายใน 2 ชั่วโมงเมื่อใช้โหมด Turbo ซึ่งไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในระยะยาว

    อนาคตของเครื่องเล่นพกพา
    Valve กำลังวางแผนให้ Steam Deck 2 เป็นเครื่องที่ “Next-gen” อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการอัปเกรดเล็กน้อย หาก AMD สามารถทำให้ Strix Halo หรือรุ่นถัดไปมีราคาที่เข้าถึงได้และประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงพอ Steam Deck 2 อาจเปิดตัวในช่วงปี 2027–2028 ซึ่งจะเป็นการเว้นระยะห่างราว 5–6 ปีจากรุ่นแรก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Valve ชะลอการเปิดตัว Steam Deck 2
    ต้องการรอเทคโนโลยีซิลิคอนใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงโดยไม่ลดทอนแบตเตอรี่

    AMD Strix Halo APU โดดเด่น
    มาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 ที่แรงเทียบ RTX 4060 Laptop

    Steam Deck รุ่นปัจจุบันเริ่มล้าหลัง
    เกม AAA ใหม่ ๆ ทำให้เครื่องแสดงข้อจำกัดด้านเฟรมเรตและแบตเตอรี่

    ความเสี่ยงด้านแบตเตอรี่และความร้อน
    ชิปที่แรงขึ้นอาจทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อนเกินไป ไม่เหมาะกับการพกพา

    ราคาที่อาจสูงเกินเอื้อม
    หาก Steam Deck 2 ใช้ชิปประสิทธิภาพสูง ราคาสามารถพุ่งใกล้ $1,000 ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงยาก

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/valve-is-waiting-for-major-architectural-improvements-on-future-silicon-before-creating-the-steam-deck-2-drastically-better-performance-with-the-same-battery-life-is-not-enough
    🎮 Valve รอเทคโนโลยีใหม่ก่อนเปิดตัว Steam Deck 2 Valve ประกาศชัดเจนว่า Steam Deck 2 จะไม่ใช่การอัปเกรดเล็กน้อย แต่ต้องเป็น “ก้าวกระโดด” ทั้งด้านประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ปัจจุบัน Steam Deck รุ่นแรกแม้ยังคงเล่นเกมได้ดี แต่เริ่มล้าหลังเมื่อเจอกับเกม AAA รุ่นใหม่ ๆ ที่กินทรัพยากรมากขึ้น ทำให้ทีมพัฒนาเลือกที่จะรอจนกว่าชิปใหม่จะพร้อมใช้งานจริง ⚡ AMD Strix Halo APU – พลังที่ Valve จับตามอง AMD เปิดตัว Ryzen AI MAX+ 395 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Strix Halo ซึ่งมาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 จำนวน 40 CU ที่ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 Laptop GPU นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจทำให้ Steam Deck 2 สามารถแข่งขันกับโน้ตบุ๊กเกมมิ่งระดับกลางได้ โดยยังคงอยู่ในขนาดพกพา 🔋 ปัญหาหลัก: ประสิทธิภาพต่อวัตต์และแบตเตอรี่ แม้ Strix Halo จะทรงพลัง แต่ Valve ย้ำว่าการเพิ่มประสิทธิภาพ 20–50% ยังไม่เพียงพอ หากต้องแลกกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วเกินไป ตัวอย่างเช่น ROG Ally X ที่ใช้ชิปใหม่ แม้เล่นเกมได้ลื่น แต่แบตเตอรี่หมดภายใน 2 ชั่วโมงเมื่อใช้โหมด Turbo ซึ่งไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในระยะยาว 🌐 อนาคตของเครื่องเล่นพกพา Valve กำลังวางแผนให้ Steam Deck 2 เป็นเครื่องที่ “Next-gen” อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการอัปเกรดเล็กน้อย หาก AMD สามารถทำให้ Strix Halo หรือรุ่นถัดไปมีราคาที่เข้าถึงได้และประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงพอ Steam Deck 2 อาจเปิดตัวในช่วงปี 2027–2028 ซึ่งจะเป็นการเว้นระยะห่างราว 5–6 ปีจากรุ่นแรก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Valve ชะลอการเปิดตัว Steam Deck 2 ➡️ ต้องการรอเทคโนโลยีซิลิคอนใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงโดยไม่ลดทอนแบตเตอรี่ ✅ AMD Strix Halo APU โดดเด่น ➡️ มาพร้อม 16 คอร์ Zen 5 และ GPU RDNA 3.5 ที่แรงเทียบ RTX 4060 Laptop ✅ Steam Deck รุ่นปัจจุบันเริ่มล้าหลัง ➡️ เกม AAA ใหม่ ๆ ทำให้เครื่องแสดงข้อจำกัดด้านเฟรมเรตและแบตเตอรี่ ‼️ ความเสี่ยงด้านแบตเตอรี่และความร้อน ⛔ ชิปที่แรงขึ้นอาจทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อนเกินไป ไม่เหมาะกับการพกพา ‼️ ราคาที่อาจสูงเกินเอื้อม ⛔ หาก Steam Deck 2 ใช้ชิปประสิทธิภาพสูง ราคาสามารถพุ่งใกล้ $1,000 ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงยาก https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/valve-is-waiting-for-major-architectural-improvements-on-future-silicon-before-creating-the-steam-deck-2-drastically-better-performance-with-the-same-battery-life-is-not-enough
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • .NET 10 – ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของนักพัฒนา

    Microsoft ได้เปิดตัว .NET 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของแพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมทั่วโลก จุดเด่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้แอปทำงานเร็วขึ้น ใช้หน่วยความจำน้อยลง และรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Post-Quantum Cryptography เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับยุคคอมพิวเตอร์ควอนตัม

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตภาษา C# 14 และ F# 10 ที่ช่วยให้โค้ดกระชับและทรงพลังมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือพัฒนาอย่าง Visual Studio 2026 ที่ผสาน AI เข้ามาช่วยนักพัฒนาในการเขียนโค้ด ตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างชาญฉลาด

    สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการเปิดตัว Aspire ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการระบบแอปพลิเคชันแบบกระจาย (Distributed Apps) ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง API, Database และ Container ง่ายขึ้นมาก เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างระบบขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรและปลอดภัย

    เปิดตัว .NET 10 พร้อมฟีเจอร์ใหม่
    รองรับ AI, ปรับปรุงประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น

    ภาษาใหม่ C# 14 และ F# 10
    โค้ดกระชับ ใช้งานง่าย และทรงพลัง

    Aspire สำหรับระบบกระจาย
    ทำให้การจัดการ API และ Container ง่ายขึ้น

    ความท้าทายในการอัปเกรดระบบ
    องค์กรต้องเตรียมทรัพยากรและปรับโครงสร้างเพื่อรองรับ .NET 10

    https://devblogs.microsoft.com/dotnet/announcing-dotnet-10/
    💻 .NET 10 – ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของนักพัฒนา Microsoft ได้เปิดตัว .NET 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของแพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมทั่วโลก จุดเด่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพให้แอปทำงานเร็วขึ้น ใช้หน่วยความจำน้อยลง และรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Post-Quantum Cryptography เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับยุคคอมพิวเตอร์ควอนตัม นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตภาษา C# 14 และ F# 10 ที่ช่วยให้โค้ดกระชับและทรงพลังมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือพัฒนาอย่าง Visual Studio 2026 ที่ผสาน AI เข้ามาช่วยนักพัฒนาในการเขียนโค้ด ตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างชาญฉลาด สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการเปิดตัว Aspire ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการระบบแอปพลิเคชันแบบกระจาย (Distributed Apps) ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง API, Database และ Container ง่ายขึ้นมาก เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการสร้างระบบขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรและปลอดภัย ✅ เปิดตัว .NET 10 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับ AI, ปรับปรุงประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น ✅ ภาษาใหม่ C# 14 และ F# 10 ➡️ โค้ดกระชับ ใช้งานง่าย และทรงพลัง ✅ Aspire สำหรับระบบกระจาย ➡️ ทำให้การจัดการ API และ Container ง่ายขึ้น ‼️ ความท้าทายในการอัปเกรดระบบ ⛔ องค์กรต้องเตรียมทรัพยากรและปรับโครงสร้างเพื่อรองรับ .NET 10 https://devblogs.microsoft.com/dotnet/announcing-dotnet-10/
    DEVBLOGS.MICROSOFT.COM
    Announcing .NET 10 - .NET Blog
    Announcing the release of .NET 10, the most productive, modern, secure, intelligent, and performant release of .NET yet. With updates across ASP.NET Core, C# 14, .NET MAUI, Aspire, and so much more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • GStreamer 1.26.8 มาแล้ว! ยกระดับการเล่นวิดีโอ HDR บน Showtime พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    เวอร์ชันล่าสุดของ GStreamer 1.26.8 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งที่ 8 ในซีรีส์ 1.26 ของเฟรมเวิร์กมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ซึ่งคราวนี้มาพร้อมการปรับปรุงการเล่นวิดีโอ HDR บน GNOME Showtime และฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การจัดการสื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การปรับปรุง HDR บน Showtime
    แก้ปัญหาสีซีดเมื่อเปิดซับไตเติลในวิดีโอ HDR

    ฟีเจอร์ใหม่ใน GStreamer 1.26.8
    รองรับ Rust สำหรับ Linux 32-bit ผ่าน Cerbero package builder
    ปรับปรุงการโฆษณาค่าความหน่วง (latency) ใน x265 encoder
    เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ elements ที่มีหลาย source pads
    รองรับ stream ที่ไม่มี LOAS configuration บ่อยใน AAC parser
    แก้ปัญหาเฟรมซ้ำใน AV1 parser
    ปรับปรุงการคำนวณ datarate และการเขียน substream ใน fmp4mux
    แก้ไขการจัดการ ID3 tag และ PUSI flag ใน mpegtsmux
    แก้ไขการ parsing ของ show-existing-frame flag ใน rtpvp9pay

    การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงอื่นๆ
    แก้ปัญหา glitch ใน gtk4painablesink สำหรับวิดีโอ sub-sampled ขนาดแปลก
    ปรับปรุงการจัดการ marker bit ใน rtpbaseaudiopay2
    ปรับปรุงการตรวจสอบอุปกรณ์ V4L2
    เพิ่มการรองรับ pads แบบ ‘sink_%u’ ใน splitmuxsink สำหรับ fmp4
    ปรับลำดับการล็อกใน webrtcsink เพื่อป้องกัน deadlock
    เพิ่มตัวเลือก auto_plugin_features ใน gst-plugins-rs meson build

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากใช้ GStreamer กับ stream ที่มีการตั้งค่าซับซ้อน อาจต้องตรวจสอบ compatibility ใหม่
    การเปลี่ยนแปลงใน encoder และ parser อาจกระทบกับ pipeline เดิมที่ใช้งานอยู่

    https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-8-improves-hdr-video-playback-for-the-showtime-video-player
    🎬 GStreamer 1.26.8 มาแล้ว! ยกระดับการเล่นวิดีโอ HDR บน Showtime พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ เวอร์ชันล่าสุดของ GStreamer 1.26.8 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 โดยเป็นการอัปเดตครั้งที่ 8 ในซีรีส์ 1.26 ของเฟรมเวิร์กมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ซึ่งคราวนี้มาพร้อมการปรับปรุงการเล่นวิดีโอ HDR บน GNOME Showtime และฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การจัดการสื่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ การปรับปรุง HDR บน Showtime ➡️ แก้ปัญหาสีซีดเมื่อเปิดซับไตเติลในวิดีโอ HDR ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน GStreamer 1.26.8 ➡️ รองรับ Rust สำหรับ Linux 32-bit ผ่าน Cerbero package builder ➡️ ปรับปรุงการโฆษณาค่าความหน่วง (latency) ใน x265 encoder ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ elements ที่มีหลาย source pads ➡️ รองรับ stream ที่ไม่มี LOAS configuration บ่อยใน AAC parser ➡️ แก้ปัญหาเฟรมซ้ำใน AV1 parser ➡️ ปรับปรุงการคำนวณ datarate และการเขียน substream ใน fmp4mux ➡️ แก้ไขการจัดการ ID3 tag และ PUSI flag ใน mpegtsmux ➡️ แก้ไขการ parsing ของ show-existing-frame flag ใน rtpvp9pay ✅ การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงอื่นๆ ➡️ แก้ปัญหา glitch ใน gtk4painablesink สำหรับวิดีโอ sub-sampled ขนาดแปลก ➡️ ปรับปรุงการจัดการ marker bit ใน rtpbaseaudiopay2 ➡️ ปรับปรุงการตรวจสอบอุปกรณ์ V4L2 ➡️ เพิ่มการรองรับ pads แบบ ‘sink_%u’ ใน splitmuxsink สำหรับ fmp4 ➡️ ปรับลำดับการล็อกใน webrtcsink เพื่อป้องกัน deadlock ➡️ เพิ่มตัวเลือก auto_plugin_features ใน gst-plugins-rs meson build ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากใช้ GStreamer กับ stream ที่มีการตั้งค่าซับซ้อน อาจต้องตรวจสอบ compatibility ใหม่ ⛔ การเปลี่ยนแปลงใน encoder และ parser อาจกระทบกับ pipeline เดิมที่ใช้งานอยู่ https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-8-improves-hdr-video-playback-for-the-showtime-video-player
    9TO5LINUX.COM
    GStreamer 1.26.8 Improves HDR Video Playback for the Showtime Video Player - 9to5Linux
    GStreamer 1.26.8 open-source multimedia framework is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ออสเตรเลียจับมือสหรัฐฯ คว่ำบาตรแฮกเกอร์เกาหลีเหนือที่ใช้คริปโตหนุนโครงการ WMD”

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความร่วมมือระดับโลก รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศคว่ำบาตรทางการเงินและห้ามเดินทางต่อบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีไซเบอร์เพื่อสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเพื่อสกัดเครือข่ายการเงินผิดกฎหมายที่ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เป็นเครื่องมือ

    การคว่ำบาตรนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีบทบาทในการขโมยคริปโตเคอร์เรนซีจากทั่วโลก และใช้เครือข่ายบุคคลทั้งในและนอกประเทศเกาหลีเหนือในการฟอกเงินและจัดหาเงินทุนให้กับโครงการอาวุธของรัฐบาลเปียงยาง

    มาตรการคว่ำบาตรของออสเตรเลีย
    ครอบคลุม 4 องค์กรและ 1 บุคคลที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์อาชญากรรม
    รวมถึงการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน
    ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    รูปแบบการโจมตีและการฟอกเงิน
    ใช้การขโมยคริปโตจากบริษัททั่วโลก
    ฟอกเงินผ่านเครือข่ายบุคคลและองค์กรต่างประเทศ
    ใช้คริปโตในการซื้อขายอาวุธและวัตถุดิบ เช่น ทองแดง

    รายงานจาก Multilateral Sanctions Monitoring Team (MSMT)
    พบว่าแฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมากกว่า $1.9 พันล้านในปี 2024
    มีความเชื่อมโยงกับการโจมตีสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มบล็อกเชน
    ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของ UN

    คำเตือนเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ระดับรัฐ
    เกาหลีเหนือใช้ไซเบอร์อาชญากรรมเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างรายได้
    การโจมตีมีเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทคริปโตและการเงิน
    การฟอกเงินผ่านคริปโตทำให้ติดตามได้ยากและขัดขวางการบังคับใช้กฎหมาย

    https://securityonline.info/australia-joins-us-slaps-sanctions-on-north-korean-cybercriminals-for-funding-wmd-programs/
    🌐 “ออสเตรเลียจับมือสหรัฐฯ คว่ำบาตรแฮกเกอร์เกาหลีเหนือที่ใช้คริปโตหนุนโครงการ WMD” ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความร่วมมือระดับโลก รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศคว่ำบาตรทางการเงินและห้ามเดินทางต่อบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีไซเบอร์เพื่อสนับสนุนโครงการอาวุธทำลายล้างสูง (WMD) และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ โดยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเพื่อสกัดเครือข่ายการเงินผิดกฎหมายที่ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เป็นเครื่องมือ การคว่ำบาตรนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีบทบาทในการขโมยคริปโตเคอร์เรนซีจากทั่วโลก และใช้เครือข่ายบุคคลทั้งในและนอกประเทศเกาหลีเหนือในการฟอกเงินและจัดหาเงินทุนให้กับโครงการอาวุธของรัฐบาลเปียงยาง ✅ มาตรการคว่ำบาตรของออสเตรเลีย ➡️ ครอบคลุม 4 องค์กรและ 1 บุคคลที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์อาชญากรรม ➡️ รวมถึงการห้ามเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน ➡️ ดำเนินการร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ รูปแบบการโจมตีและการฟอกเงิน ➡️ ใช้การขโมยคริปโตจากบริษัททั่วโลก ➡️ ฟอกเงินผ่านเครือข่ายบุคคลและองค์กรต่างประเทศ ➡️ ใช้คริปโตในการซื้อขายอาวุธและวัตถุดิบ เช่น ทองแดง ✅ รายงานจาก Multilateral Sanctions Monitoring Team (MSMT) ➡️ พบว่าแฮกเกอร์เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมากกว่า $1.9 พันล้านในปี 2024 ➡️ มีความเชื่อมโยงกับการโจมตีสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มบล็อกเชน ➡️ ใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของ UN ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ระดับรัฐ ⛔ เกาหลีเหนือใช้ไซเบอร์อาชญากรรมเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างรายได้ ⛔ การโจมตีมีเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทคริปโตและการเงิน ⛔ การฟอกเงินผ่านคริปโตทำให้ติดตามได้ยากและขัดขวางการบังคับใช้กฎหมาย https://securityonline.info/australia-joins-us-slaps-sanctions-on-north-korean-cybercriminals-for-funding-wmd-programs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Australia Joins US, Slaps Sanctions on North Korean Cybercriminals for Funding WMD Programs
    Australia imposed sanctions and travel bans on four entities and one individual for engaging in cybercrime to fund North Korea's WMD and missile programs. The regime stole $1.9B in crypto in 2024.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel พัฒนาเทคโนโลยีกระจายความร้อนใหม่ รองรับชิปขนาดใหญ่ยุค Advanced Packaging

    Intel Foundry เผยงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการออกแบบ heat spreader แบบใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนสำหรับชิปขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี Advanced Packaging ซึ่งกำลังเป็นหัวใจสำคัญของยุค AI และ HPC

    ในโลกของชิปประมวลผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะชิปที่ใช้เทคโนโลยี Advanced Packaging เช่น multi-chiplet หรือ stacked die การจัดการความร้อนกลายเป็นเรื่องท้าทาย เพราะ heat spreader แบบเดิมไม่สามารถรองรับโครงสร้างที่ซับซ้อนได้

    Intel จึงเสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “disaggregated heat spreader” ซึ่งแบ่งชิ้นส่วนออกเป็นหลายส่วนที่ง่ายต่อการผลิตและประกอบ โดยใช้แผ่นโลหะแบบเรียบ (flat plate) ร่วมกับ stiffener ที่ช่วยสร้างโครงสร้างรองรับและช่องว่างที่เหมาะกับชิปแต่ละแบบ

    ข้อดีของแนวทางนี้คือ:
    ลดการบิดงอของแพ็กเกจได้ถึง 30%
    ลดช่องว่างในวัสดุเชื่อมต่อความร้อน (TIM voids) ได้ถึง 25%
    เพิ่มความเรียบของพื้นผิว (coplanarity) ได้ถึง 7%

    นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระบวนการผลิตแบบ stamping ทั่วไป แทนการใช้เครื่องจักร CNC ที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลานาน ทำให้สามารถผลิตชิปขนาดใหญ่เกิน 7000 mm² ได้ง่ายขึ้น

    Intel ยังวางแผนต่อยอดเทคโนโลยีนี้ไปสู่การใช้งานร่วมกับระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling และวัสดุ composite ที่มีการนำความร้อนสูง เพื่อรองรับการใช้งานในระดับเซิร์ฟเวอร์และ AI ที่ต้องการพลังงานสูง

    Intel พัฒนา heat spreader แบบใหม่สำหรับชิป Advanced Packaging
    ใช้แนวทาง “disaggregated” แยกชิ้นส่วนเพื่อประกอบง่าย
    รองรับชิปขนาดใหญ่และซับซ้อน เช่น multi-chiplet และ stacked die

    ประโยชน์จากการออกแบบใหม่
    ลดการบิดงอของแพ็กเกจได้ 30%
    ลดช่องว่างในวัสดุ TIM ได้ 25%
    เพิ่มความเรียบของพื้นผิวได้ 7%

    ใช้กระบวนการผลิตที่ต้นทุนต่ำ
    ใช้ stamping แทน CNC machining
    ลดต้นทุนและเวลาในการผลิต

    รองรับการพัฒนาในอนาคต
    เตรียมใช้งานร่วมกับ liquid cooling และวัสดุ composite
    เหมาะสำหรับชิปที่ใช้ใน AI และ HPC

    https://wccftech.com/intel-researches-advanced-cost-effective-heat-spreader-solutions-for-extra-large-advanced-packaging-chips/
    🧊 Intel พัฒนาเทคโนโลยีกระจายความร้อนใหม่ รองรับชิปขนาดใหญ่ยุค Advanced Packaging 🔬💡 Intel Foundry เผยงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการออกแบบ heat spreader แบบใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนสำหรับชิปขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี Advanced Packaging ซึ่งกำลังเป็นหัวใจสำคัญของยุค AI และ HPC ในโลกของชิปประมวลผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะชิปที่ใช้เทคโนโลยี Advanced Packaging เช่น multi-chiplet หรือ stacked die การจัดการความร้อนกลายเป็นเรื่องท้าทาย เพราะ heat spreader แบบเดิมไม่สามารถรองรับโครงสร้างที่ซับซ้อนได้ Intel จึงเสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “disaggregated heat spreader” ซึ่งแบ่งชิ้นส่วนออกเป็นหลายส่วนที่ง่ายต่อการผลิตและประกอบ โดยใช้แผ่นโลหะแบบเรียบ (flat plate) ร่วมกับ stiffener ที่ช่วยสร้างโครงสร้างรองรับและช่องว่างที่เหมาะกับชิปแต่ละแบบ 🏆 ข้อดีของแนวทางนี้คือ: 🎗️ ลดการบิดงอของแพ็กเกจได้ถึง 30% 🎗️ ลดช่องว่างในวัสดุเชื่อมต่อความร้อน (TIM voids) ได้ถึง 25% 🎗️ เพิ่มความเรียบของพื้นผิว (coplanarity) ได้ถึง 7% นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระบวนการผลิตแบบ stamping ทั่วไป แทนการใช้เครื่องจักร CNC ที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลานาน ทำให้สามารถผลิตชิปขนาดใหญ่เกิน 7000 mm² ได้ง่ายขึ้น Intel ยังวางแผนต่อยอดเทคโนโลยีนี้ไปสู่การใช้งานร่วมกับระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling และวัสดุ composite ที่มีการนำความร้อนสูง เพื่อรองรับการใช้งานในระดับเซิร์ฟเวอร์และ AI ที่ต้องการพลังงานสูง ✅ Intel พัฒนา heat spreader แบบใหม่สำหรับชิป Advanced Packaging ➡️ ใช้แนวทาง “disaggregated” แยกชิ้นส่วนเพื่อประกอบง่าย ➡️ รองรับชิปขนาดใหญ่และซับซ้อน เช่น multi-chiplet และ stacked die ✅ ประโยชน์จากการออกแบบใหม่ ➡️ ลดการบิดงอของแพ็กเกจได้ 30% ➡️ ลดช่องว่างในวัสดุ TIM ได้ 25% ➡️ เพิ่มความเรียบของพื้นผิวได้ 7% ✅ ใช้กระบวนการผลิตที่ต้นทุนต่ำ ➡️ ใช้ stamping แทน CNC machining ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ✅ รองรับการพัฒนาในอนาคต ➡️ เตรียมใช้งานร่วมกับ liquid cooling และวัสดุ composite ➡️ เหมาะสำหรับชิปที่ใช้ใน AI และ HPC https://wccftech.com/intel-researches-advanced-cost-effective-heat-spreader-solutions-for-extra-large-advanced-packaging-chips/
    WCCFTECH.COM
    Intel Researches Advanced & Cost-Effective Heat Spreader Solutions For "Extra-Large" Advanced Packaging Chips
    Intel researchers have found a way to simplify head spreaders, enabling cost-effective designs for "extra-large" advanced packaging chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Rubin GPU มาแล้ว! NVIDIA เปิดศักราชใหม่ด้วย HBM4 จากทุกค่าย”

    NVIDIA เริ่มผลิต GPU รุ่น Rubin แล้ว! พร้อมใช้หน่วยความจำ HBM4 จากทุกผู้ผลิตหลัก GPU เจเนอเรชันถัดไปของ NVIDIA ในตระกูล Rubin ได้เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตแล้ว โดยจะใช้หน่วยความจำ HBM4 ที่ได้รับตัวอย่างจากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI และ HPC

    NVIDIA ได้เริ่มกระบวนการผลิต GPU รุ่นใหม่ในตระกูล Rubin ซึ่งจะมาแทนที่ Blackwell ในปี 2026 โดย Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของ High Bandwidth Memory ที่มีแบนด์วิดธ์สูงกว่า HBM3E อย่างมีนัยสำคัญ

    รายงานล่าสุดระบุว่า NVIDIA ได้รับตัวอย่าง HBM4 จากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ได้แก่ SK hynix, Samsung และ Micron ซึ่งหมายความว่า Rubin จะมีความยืดหยุ่นในการเลือกซัพพลายเออร์ และลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน

    GPU Rubin จะใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm จาก TSMC และคาดว่าจะมีการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ CoWoS-L เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ HBM4 ที่มีความหนาแน่นสูง

    HBM4 มีคุณสมบัติเด่นคือ:
    แบนด์วิดธ์ต่อ stack สูงถึง 1.5 TB/s
    รองรับความจุสูงสุดต่อ stack ที่ 36GB หรือมากกว่า
    ใช้ interface แบบใหม่ที่ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ

    Rubin จะถูกนำไปใช้ในงาน AI training, HPC, และระบบคลาวด์ระดับสูง โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 และเริ่มใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในปี 2027

    NVIDIA เริ่มผลิต GPU Rubin รุ่นถัดไปจาก Blackwell
    ใช้กระบวนการผลิต 3nm จาก TSMC
    ออกแบบแพ็กเกจ CoWoS-L สำหรับ HBM4
    เน้นงาน AI, HPC และคลาวด์ระดับสูง

    Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4
    ได้รับตัวอย่างจาก SK hynix, Samsung และ Micron
    ลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกผู้ผลิต

    คุณสมบัติของ HBM4
    แบนด์วิดธ์สูงถึง 1.5 TB/s ต่อ stack
    ความจุสูงสุดต่อ stack 36GB หรือมากกว่า
    ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ

    คำเตือนสำหรับผู้ผลิตและนักพัฒนา
    การเปลี่ยนไปใช้ HBM4 ต้องปรับระบบให้รองรับ interface ใหม่
    การออกแบบ CoWoS-L ต้องใช้ความแม่นยำสูงในการประกอบ
    ความต้องการสูงอาจทำให้ HBM4 ขาดตลาดในช่วงแรก

    https://wccftech.com/nvidia-next-gen-rubin-gpus-enter-production-hbm4-samples-all-major-manufacturers/
    🧠 “Rubin GPU มาแล้ว! NVIDIA เปิดศักราชใหม่ด้วย HBM4 จากทุกค่าย” NVIDIA เริ่มผลิต GPU รุ่น Rubin แล้ว! พร้อมใช้หน่วยความจำ HBM4 จากทุกผู้ผลิตหลัก GPU เจเนอเรชันถัดไปของ NVIDIA ในตระกูล Rubin ได้เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตแล้ว โดยจะใช้หน่วยความจำ HBM4 ที่ได้รับตัวอย่างจากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI และ HPC NVIDIA ได้เริ่มกระบวนการผลิต GPU รุ่นใหม่ในตระกูล Rubin ซึ่งจะมาแทนที่ Blackwell ในปี 2026 โดย Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของ High Bandwidth Memory ที่มีแบนด์วิดธ์สูงกว่า HBM3E อย่างมีนัยสำคัญ รายงานล่าสุดระบุว่า NVIDIA ได้รับตัวอย่าง HBM4 จากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ได้แก่ SK hynix, Samsung และ Micron ซึ่งหมายความว่า Rubin จะมีความยืดหยุ่นในการเลือกซัพพลายเออร์ และลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน GPU Rubin จะใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm จาก TSMC และคาดว่าจะมีการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ CoWoS-L เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ HBM4 ที่มีความหนาแน่นสูง HBM4 มีคุณสมบัติเด่นคือ: 🎗️ แบนด์วิดธ์ต่อ stack สูงถึง 1.5 TB/s 🎗️ รองรับความจุสูงสุดต่อ stack ที่ 36GB หรือมากกว่า 🎗️ ใช้ interface แบบใหม่ที่ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ Rubin จะถูกนำไปใช้ในงาน AI training, HPC, และระบบคลาวด์ระดับสูง โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 และเริ่มใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในปี 2027 ✅ NVIDIA เริ่มผลิต GPU Rubin รุ่นถัดไปจาก Blackwell ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 3nm จาก TSMC ➡️ ออกแบบแพ็กเกจ CoWoS-L สำหรับ HBM4 ➡️ เน้นงาน AI, HPC และคลาวด์ระดับสูง ✅ Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4 ➡️ ได้รับตัวอย่างจาก SK hynix, Samsung และ Micron ➡️ ลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกผู้ผลิต ✅ คุณสมบัติของ HBM4 ➡️ แบนด์วิดธ์สูงถึง 1.5 TB/s ต่อ stack ➡️ ความจุสูงสุดต่อ stack 36GB หรือมากกว่า ➡️ ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ผลิตและนักพัฒนา ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ HBM4 ต้องปรับระบบให้รองรับ interface ใหม่ ⛔ การออกแบบ CoWoS-L ต้องใช้ความแม่นยำสูงในการประกอบ ⛔ ความต้องการสูงอาจทำให้ HBM4 ขาดตลาดในช่วงแรก https://wccftech.com/nvidia-next-gen-rubin-gpus-enter-production-hbm4-samples-all-major-manufacturers/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA's Next-Gen Rubin GPUs Have Reportedly Entered Production, Also Secures HBM4 Samples From All Major DRAM Manufacturers
    NVIDIA's next-generation Rubin GPUs have entered production, and the company has also secured samples of HBM4 memory from all major suppliers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ท้าชน CUDA – แปลงโค้ด NVIDIA ให้รันบน AMD ได้!”

    Microsoft พัฒนาเครื่องมือแปลง CUDA เป็น ROCm! หวังลดต้นทุน inference ด้วย AMD GPU Microsoft กำลังพัฒนา “toolkits” ที่สามารถแปลงโค้ด CUDA ให้ทำงานบน AMD GPU ผ่าน ROCm เพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาดของ NVIDIA และลดต้นทุนการประมวลผล AI แบบ inference ในศูนย์ข้อมูล

    ในรายงานล่าสุดจาก Wccftech มีการเปิดเผยว่า Microsoft กำลังพัฒนาเครื่องมือแปลงโค้ด CUDA ให้สามารถทำงานบน GPU ของ AMD โดยใช้ ROCm ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สของ AMD สำหรับงาน HPC และ AI

    เป้าหมายหลักคือการลดต้นทุนการประมวลผลแบบ inference ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก โดย AMD GPU มีราคาถูกกว่า NVIDIA อย่างมีนัยสำคัญ แต่ติดปัญหาด้านซอฟต์แวร์ที่ยังไม่รองรับ CUDA ซึ่งเป็นมาตรฐานในวงการ AI

    เครื่องมือที่ Microsoft พัฒนานี้อาจใช้แนวทางเดียวกับ ZLUDA ซึ่งเป็น runtime compatibility layer ที่สามารถแปลง API ของ CUDA ให้ทำงานบน ROCm โดยไม่ต้องแก้ไขซอร์สโค้ดหรือคอมไพล์ใหม่ทั้งหมด

    อย่างไรก็ตาม ROCm ยังถือว่า “ไม่สมบูรณ์” ในหลายด้าน โดยบาง API ของ CUDA ยังไม่มีคู่เทียบใน ROCm ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงหรือเกิดปัญหาในระบบขนาดใหญ่

    Microsoft ยังอาจพัฒนาเครื่องมือแบบ end-to-end สำหรับการย้าย workload ไปยัง Azure โดยรองรับทั้ง AMD และ NVIDIA ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ GPU ที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการได้มากขึ้น

    Microsoft พัฒนาเครื่องมือแปลง CUDA เป็น ROCm
    ช่วยให้ CUDA code ทำงานบน AMD GPU ได้
    ลดต้นทุน inference ในศูนย์ข้อมูล
    ใช้แนวทาง runtime compatibility layer คล้าย ZLUDA

    ความได้เปรียบของ AMD GPU
    ราคาถูกกว่า NVIDIA GPU
    เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการประสิทธิภาพต่อราคา
    Microsoft กำลังร่วมมือกับ AMD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ความท้าทายของ ROCm
    ยังไม่รองรับทุก API ของ CUDA
    อาจเกิดปัญหาด้าน performance ในระบบขนาดใหญ่
    ต้องพัฒนาให้สมบูรณ์เพื่อใช้งานในระดับ production

    คำเตือนสำหรับการใช้งานในระบบจริง
    การแปลงโค้ดอาจไม่สมบูรณ์ในทุกกรณี
    ต้องทดสอบ performance อย่างละเอียดก่อนใช้งานจริง
    การเปลี่ยนแพลตฟอร์มอาจมีผลต่อความเสถียรของระบบ

    https://wccftech.com/microsoft-has-developed-toolkits-to-break-nvidia-cuda-dominance/
    🧠 “Microsoft ท้าชน CUDA – แปลงโค้ด NVIDIA ให้รันบน AMD ได้!” Microsoft พัฒนาเครื่องมือแปลง CUDA เป็น ROCm! หวังลดต้นทุน inference ด้วย AMD GPU Microsoft กำลังพัฒนา “toolkits” ที่สามารถแปลงโค้ด CUDA ให้ทำงานบน AMD GPU ผ่าน ROCm เพื่อหลีกเลี่ยงการผูกขาดของ NVIDIA และลดต้นทุนการประมวลผล AI แบบ inference ในศูนย์ข้อมูล ในรายงานล่าสุดจาก Wccftech มีการเปิดเผยว่า Microsoft กำลังพัฒนาเครื่องมือแปลงโค้ด CUDA ให้สามารถทำงานบน GPU ของ AMD โดยใช้ ROCm ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สของ AMD สำหรับงาน HPC และ AI เป้าหมายหลักคือการลดต้นทุนการประมวลผลแบบ inference ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก โดย AMD GPU มีราคาถูกกว่า NVIDIA อย่างมีนัยสำคัญ แต่ติดปัญหาด้านซอฟต์แวร์ที่ยังไม่รองรับ CUDA ซึ่งเป็นมาตรฐานในวงการ AI เครื่องมือที่ Microsoft พัฒนานี้อาจใช้แนวทางเดียวกับ ZLUDA ซึ่งเป็น runtime compatibility layer ที่สามารถแปลง API ของ CUDA ให้ทำงานบน ROCm โดยไม่ต้องแก้ไขซอร์สโค้ดหรือคอมไพล์ใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ROCm ยังถือว่า “ไม่สมบูรณ์” ในหลายด้าน โดยบาง API ของ CUDA ยังไม่มีคู่เทียบใน ROCm ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงหรือเกิดปัญหาในระบบขนาดใหญ่ Microsoft ยังอาจพัฒนาเครื่องมือแบบ end-to-end สำหรับการย้าย workload ไปยัง Azure โดยรองรับทั้ง AMD และ NVIDIA ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ GPU ที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการได้มากขึ้น ✅ Microsoft พัฒนาเครื่องมือแปลง CUDA เป็น ROCm ➡️ ช่วยให้ CUDA code ทำงานบน AMD GPU ได้ ➡️ ลดต้นทุน inference ในศูนย์ข้อมูล ➡️ ใช้แนวทาง runtime compatibility layer คล้าย ZLUDA ✅ ความได้เปรียบของ AMD GPU ➡️ ราคาถูกกว่า NVIDIA GPU ➡️ เหมาะสำหรับงาน inference ที่ต้องการประสิทธิภาพต่อราคา ➡️ Microsoft กำลังร่วมมือกับ AMD เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ ความท้าทายของ ROCm ➡️ ยังไม่รองรับทุก API ของ CUDA ➡️ อาจเกิดปัญหาด้าน performance ในระบบขนาดใหญ่ ➡️ ต้องพัฒนาให้สมบูรณ์เพื่อใช้งานในระดับ production ‼️ คำเตือนสำหรับการใช้งานในระบบจริง ⛔ การแปลงโค้ดอาจไม่สมบูรณ์ในทุกกรณี ⛔ ต้องทดสอบ performance อย่างละเอียดก่อนใช้งานจริง ⛔ การเปลี่ยนแพลตฟอร์มอาจมีผลต่อความเสถียรของระบบ https://wccftech.com/microsoft-has-developed-toolkits-to-break-nvidia-cuda-dominance/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Is Building a 'CUDA Killer' to Break NVIDIA's AI Monopoly
    Microsoft is exploring ways to leverage the 'stack' of its AMD GPUs for workloads, as it develops toolkits that convert CUDA into ROCm code.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Zen 6 มาแล้ว! AMD เสริมพลังชุดคำสั่งใหม่เพื่อโลกแห่ง AI”

    AMD เผยสถาปัตยกรรม Zen 6 – รองรับชุดคำสั่งใหม่เพื่อเร่งประสิทธิภาพ AI และ HPC Zen 6 ของ AMD จะรองรับชุดคำสั่งใหม่ เช่น AVX512 FP16 และ VNNI INT8 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการประมวลผลเวกเตอร์และ AI พร้อมเปิดเผยรายละเอียดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Venice และ Olympic Ridge ที่จะเปิดตัวในปี 2026.

    AMD ได้เพิ่มการรองรับ Zen 6 ใน GCC Compiler ผ่านแพตช์ใหม่ที่ชื่อว่า “Add AMD znver6 processor support” ซึ่งเผยให้เห็นชุดคำสั่ง ISA (Instruction Set Architecture) ที่ Zen 6 จะรองรับ ได้แก่:
    AVX512_FP16 – ช่วยให้การประมวลผลตัวเลขทศนิยมแบบครึ่งความแม่นยำเร็วขึ้น
    AVX_VNNI_INT8 – เหมาะสำหรับงาน AI inference ที่ใช้ข้อมูลแบบ 8 บิต
    AVX_NE_CONVERT, AVX_IFMA, และ AVX512_BMM – เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์และการคำนวณเมทริกซ์

    Zen 6 จะมีหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น:
    Venice Classic & Dense (Server) – รองรับสูงสุด 256 คอร์ พร้อม L3 cache สูงสุด 1024MB
    Olympic Ridge (Desktop High-End) – สูงสุด 24 คอร์ 48 threads
    Gator Range, Medusa Point, Medusa Halo (Client/APU) – ใช้กระบวนการผลิต TSMC N2P และ N3P/N3C

    Zen 6 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 โดยคาดว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน Financial Analyst Day ที่กำลังจะมาถึง

    Zen 6 เพิ่มชุดคำสั่งใหม่เพื่อรองรับงาน AI และ HPC
    AVX512_FP16 สำหรับเวกเตอร์ทศนิยม
    AVX_VNNI_INT8 สำหรับ AI inference
    เพิ่มชุดคำสั่งด้านเมทริกซ์และการแปลงข้อมูล

    กลุ่มผลิตภัณฑ์ Zen 6
    Venice Classic: 12 คอร์ต่อ CCX
    Venice Dense: 32 คอร์ต่อ CCX
    Olympic Ridge: สูงสุด 24 คอร์
    Medusa Point และ Gator Range ใช้ TSMC N3P/N3C

    ความสามารถด้าน cache และการออกแบบ
    Venice Dense มี L3 cache สูงสุด 1024MB
    ใช้การออกแบบ MCM และ monolithic ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์
    รองรับการใช้งานระดับเซิร์ฟเวอร์และผู้บริโภค

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้งาน
    ต้องอัปเดต compiler และ toolchain เพื่อรองรับ ISA ใหม่
    ซอฟต์แวร์เก่าอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากชุดคำสั่งใหม่ได้ทันที

    ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม
    ต้องปรับแต่งระบบให้รองรับการออกแบบใหม่
    การเปลี่ยนไปใช้ TSMC N2P/N3P อาจมีผลต่อความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์

    https://wccftech.com/amd-zen-6-cpu-core-isa-revealed-avx512-fp16-vnni-int8-more/
    🧠 “Zen 6 มาแล้ว! AMD เสริมพลังชุดคำสั่งใหม่เพื่อโลกแห่ง AI” AMD เผยสถาปัตยกรรม Zen 6 – รองรับชุดคำสั่งใหม่เพื่อเร่งประสิทธิภาพ AI และ HPC Zen 6 ของ AMD จะรองรับชุดคำสั่งใหม่ เช่น AVX512 FP16 และ VNNI INT8 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการประมวลผลเวกเตอร์และ AI พร้อมเปิดเผยรายละเอียดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Venice และ Olympic Ridge ที่จะเปิดตัวในปี 2026. AMD ได้เพิ่มการรองรับ Zen 6 ใน GCC Compiler ผ่านแพตช์ใหม่ที่ชื่อว่า “Add AMD znver6 processor support” ซึ่งเผยให้เห็นชุดคำสั่ง ISA (Instruction Set Architecture) ที่ Zen 6 จะรองรับ ได้แก่: 💠 AVX512_FP16 – ช่วยให้การประมวลผลตัวเลขทศนิยมแบบครึ่งความแม่นยำเร็วขึ้น 💠 AVX_VNNI_INT8 – เหมาะสำหรับงาน AI inference ที่ใช้ข้อมูลแบบ 8 บิต 💠 AVX_NE_CONVERT, AVX_IFMA, และ AVX512_BMM – เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์และการคำนวณเมทริกซ์ Zen 6 จะมีหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น: 💠 Venice Classic & Dense (Server) – รองรับสูงสุด 256 คอร์ พร้อม L3 cache สูงสุด 1024MB 💠 Olympic Ridge (Desktop High-End) – สูงสุด 24 คอร์ 48 threads 💠 Gator Range, Medusa Point, Medusa Halo (Client/APU) – ใช้กระบวนการผลิต TSMC N2P และ N3P/N3C Zen 6 จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน CES 2026 โดยคาดว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน Financial Analyst Day ที่กำลังจะมาถึง ✅ Zen 6 เพิ่มชุดคำสั่งใหม่เพื่อรองรับงาน AI และ HPC ➡️ AVX512_FP16 สำหรับเวกเตอร์ทศนิยม ➡️ AVX_VNNI_INT8 สำหรับ AI inference ➡️ เพิ่มชุดคำสั่งด้านเมทริกซ์และการแปลงข้อมูล ✅ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Zen 6 ➡️ Venice Classic: 12 คอร์ต่อ CCX ➡️ Venice Dense: 32 คอร์ต่อ CCX ➡️ Olympic Ridge: สูงสุด 24 คอร์ ➡️ Medusa Point และ Gator Range ใช้ TSMC N3P/N3C ✅ ความสามารถด้าน cache และการออกแบบ ➡️ Venice Dense มี L3 cache สูงสุด 1024MB ➡️ ใช้การออกแบบ MCM และ monolithic ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ ➡️ รองรับการใช้งานระดับเซิร์ฟเวอร์และผู้บริโภค ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้งาน ⛔ ต้องอัปเดต compiler และ toolchain เพื่อรองรับ ISA ใหม่ ⛔ ซอฟต์แวร์เก่าอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์จากชุดคำสั่งใหม่ได้ทันที ‼️ ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม ⛔ ต้องปรับแต่งระบบให้รองรับการออกแบบใหม่ ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ TSMC N2P/N3P อาจมีผลต่อความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ https://wccftech.com/amd-zen-6-cpu-core-isa-revealed-avx512-fp16-vnni-int8-more/
    WCCFTECH.COM
    AMD Zen 6 CPU Core ISA Revealed: AVX512 FP16, VNNI INT8 & More
    AMD's next-gen Zen 6 CPU ISA has been revealed in the latest support added to the GCC compiler, alongside the initial family.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล”

    Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน

    Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์

    การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel
    Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management
    Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน
    Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design

    ประวัติของ Kulkarni
    เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata
    เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure
    มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel

    ความเคลื่อนไหวของ AMD
    กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU
    ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI
    ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    สถานการณ์ภายใน Intel
    รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด
    มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
    วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner

    คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม
    การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์
    การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง

    https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    🔄🧠 “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล” Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์ การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel ➡️ Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management ➡️ Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน ➡️ Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design ✅ ประวัติของ Kulkarni ➡️ เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata ➡️ เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure ➡️ มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel ✅ ความเคลื่อนไหวของ AMD ➡️ กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU ➡️ ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI ➡️ ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ สถานการณ์ภายใน Intel ➡️ รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด ➡️ มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ➡️ วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner ‼️ คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม ⛔ การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์ ⛔ การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน ⛔ การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Data Center AI Executive Reportedly Departs for AMD
    Intel is losing another senior figure from its data center and AI business, with Saurabh Kulkarni, Vice President of Data Center AI Product Management, set to depart for AMD. Kulkarni's last day at Intel is reportedly Friday, with Anil Nanduri, VP of AI Go-To-Market, stepping in to lead the AI produ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่ออัลกอริธึมเก่าแก่ถูกท้าทาย – นักวิจัยสร้างทางลัดใหม่ที่ฉลาดกว่า

    Dijkstra’s Algorithm ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1959 เพื่อหาทางที่สั้นที่สุดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นหัวใจของโปรโตคอล OSPF ที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่ปัญหาคือมันมี “ขีดจำกัดความเร็ว” ที่เรียกว่า sorting barrier ซึ่งเกิดจากการต้องจัดเรียงจุดที่ใกล้ที่สุดซ้ำๆ ในทุกขั้นตอน

    ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก Stanford และ Tsinghua University ได้พัฒนาอัลกอริธึมใหม่ที่ รวมจุดแข็งของ Dijkstra กับ Bellman-Ford เพื่อข้ามขีดจำกัดนี้ โดยใช้เทคนิค “การจัดกลุ่ม node” และ “การขยายแบบชาญฉลาด” ที่ช่วยลดจำนวน node ที่ต้องประมวลผลลงอย่างมหาศาล

    Dijkstra’s Algorithm มีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    ต้องจัดเรียง node ที่ใกล้ที่สุดในทุกขั้นตอน
    เกิด bottleneck ที่เรียกว่า “sorting barrier”

    อัลกอริธึมใหม่จาก Stanford และ Tsinghua
    ผสมผสาน Dijkstra กับ Bellman-Ford
    ใช้การจัดกลุ่ม node แทนการประมวลผลทีละ node
    ข้ามการคำนวณที่ไม่จำเป็นด้วยการเลือก node สำคัญ

    เทคนิคที่ใช้ในการเร่งความเร็ว
    เลือก node ที่มีผลกระทบสูงต่อเส้นทาง
    ลบการสุ่มออกจากกระบวนการ
    เพิ่มระบบ layering เพื่อจัดลำดับการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ

    ความสำคัญของอัลกอริธึมในยุคปัจจุบัน
    อัลกอริธึมคือ “ฮีโร่ที่ถูกลืม” ในโลกดิจิทัล
    งานวิจัย MIT พบว่า 40% ของอัลกอริธึมพัฒนาเร็วกว่า Moore’s Law
    การปรับปรุงอัลกอริธึมมีผลมากกว่าการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลายกรณี

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาเครือข่าย
    การใช้ Dijkstra แบบเดิมอาจไม่ทันต่อความซับซ้อนของเครือข่ายยุคใหม่
    การพึ่งพาการจัดเรียง node อาจทำให้ระบบช้าลงในเครือข่ายขนาดใหญ่
    หากไม่ปรับปรุงอัลกอริธึม อาจเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบ

    การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การเร่งความเร็ว แต่คือการพิสูจน์ว่า “แม้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีที่ให้พัฒนา” และในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนที่เร็วขึ้นทุกวัน อัลกอริธึมที่ฉลาดขึ้นอาจเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเครือข่าย.

    https://www.slashgear.com/2014867/new-algorithm-beats-dijkstra-time-shortest-path-to-network/
    🧠 เมื่ออัลกอริธึมเก่าแก่ถูกท้าทาย – นักวิจัยสร้างทางลัดใหม่ที่ฉลาดกว่า Dijkstra’s Algorithm ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1959 เพื่อหาทางที่สั้นที่สุดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นหัวใจของโปรโตคอล OSPF ที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่ปัญหาคือมันมี “ขีดจำกัดความเร็ว” ที่เรียกว่า sorting barrier ซึ่งเกิดจากการต้องจัดเรียงจุดที่ใกล้ที่สุดซ้ำๆ ในทุกขั้นตอน ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก Stanford และ Tsinghua University ได้พัฒนาอัลกอริธึมใหม่ที่ รวมจุดแข็งของ Dijkstra กับ Bellman-Ford เพื่อข้ามขีดจำกัดนี้ โดยใช้เทคนิค “การจัดกลุ่ม node” และ “การขยายแบบชาญฉลาด” ที่ช่วยลดจำนวน node ที่ต้องประมวลผลลงอย่างมหาศาล ✅ Dijkstra’s Algorithm มีข้อจำกัดด้านความเร็ว ➡️ ต้องจัดเรียง node ที่ใกล้ที่สุดในทุกขั้นตอน ➡️ เกิด bottleneck ที่เรียกว่า “sorting barrier” ✅ อัลกอริธึมใหม่จาก Stanford และ Tsinghua ➡️ ผสมผสาน Dijkstra กับ Bellman-Ford ➡️ ใช้การจัดกลุ่ม node แทนการประมวลผลทีละ node ➡️ ข้ามการคำนวณที่ไม่จำเป็นด้วยการเลือก node สำคัญ ✅ เทคนิคที่ใช้ในการเร่งความเร็ว ➡️ เลือก node ที่มีผลกระทบสูงต่อเส้นทาง ➡️ ลบการสุ่มออกจากกระบวนการ ➡️ เพิ่มระบบ layering เพื่อจัดลำดับการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ความสำคัญของอัลกอริธึมในยุคปัจจุบัน ➡️ อัลกอริธึมคือ “ฮีโร่ที่ถูกลืม” ในโลกดิจิทัล ➡️ งานวิจัย MIT พบว่า 40% ของอัลกอริธึมพัฒนาเร็วกว่า Moore’s Law ➡️ การปรับปรุงอัลกอริธึมมีผลมากกว่าการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลายกรณี ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาเครือข่าย ⛔ การใช้ Dijkstra แบบเดิมอาจไม่ทันต่อความซับซ้อนของเครือข่ายยุคใหม่ ⛔ การพึ่งพาการจัดเรียง node อาจทำให้ระบบช้าลงในเครือข่ายขนาดใหญ่ ⛔ หากไม่ปรับปรุงอัลกอริธึม อาจเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบ การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การเร่งความเร็ว แต่คือการพิสูจน์ว่า “แม้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีที่ให้พัฒนา” และในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนที่เร็วขึ้นทุกวัน อัลกอริธึมที่ฉลาดขึ้นอาจเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเครือข่าย. https://www.slashgear.com/2014867/new-algorithm-beats-dijkstra-time-shortest-path-to-network/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A New Algorithm Beats Dijkstra's Time For The Shortest Path To Any Point In A Network - SlashGear
    Researchers have combined the Dijkstra and Bellman-Ford algorithms to develop an even faster way to find the shortest paths in a network.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ"

    ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ

    Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี

    Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt
    หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ
    อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร

    Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง"
    ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone
    หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร

    Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน
    ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก
    VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ

    ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม
    Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม
    ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา

    https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    👿 "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ" ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี ✅ Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt ➡️ หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ ➡️ อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร ✅ Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง" ➡️ ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone ➡️ หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร ✅ Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน ➡️ ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก ➡️ VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ ✅ ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม ➡️ Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม ➡️ ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    COFFEE.LINK
    Vodafone Germany is changing the open internet — one peering connection at a time
    The telecom giant claims its exit from public internet exchanges will give customers "lower latencies." The evidence suggests they're in for a nightmare.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน
    ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs)

    บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี

    ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน

    วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization
    องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย
    ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security
    CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ

    บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้
    ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม
    การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang”
    ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน

    แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs
    สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ
    เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี
    วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ
    สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้
    ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI

    คำเตือนจากบทเรียน ERP
    การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน
    การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง
    การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน

    ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    🛡️ จาก ERP สู่ Security Platformization – บทเรียนที่ CISOs ต้องรู้ก่อนเปลี่ยนผ่าน ลองนึกภาพองค์กรที่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยกว่า 80 ตัว แต่กลับไม่มีภาพรวมที่ชัดเจนของระบบเลย… นี่คือปัญหาที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ และเป็นเหตุผลที่แนวคิด “Security Platformization” กำลังมาแรงในหมู่ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISOs) บทความนี้เปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องมือแยกส่วนไปสู่แพลตฟอร์มรวมในโลกไซเบอร์ กับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ ERP ในยุค 90 ซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนราคาแพงที่ CISOs ควรศึกษาให้ดี ในยุคก่อน Y2K องค์กรต่างๆ เร่งเปลี่ยนระบบแยกส่วนในแต่ละแผนกไปสู่ระบบ ERP ที่รวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจแบบเรียลไทม์ แต่การเปลี่ยนผ่านนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่น การแปลงข้อมูล, การปรับกระบวนการ, และการต่อต้านจากพนักงาน วันนี้ CISOs กำลังเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน เมื่อองค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมากมายแต่ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิด “Security Platformization” ที่รวมเครื่องมือไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เช่น Cisco, Microsoft, Palo Alto Networks ต่างพัฒนาแพลตฟอร์มที่รวม cloud, endpoint, network, SIEM และ threat intelligence เข้าด้วยกัน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ก็ไม่ง่าย หากไม่เรียนรู้จากอดีต CISOs อาจเจอปัญหาเดิมซ้ำอีก เช่น การต่อต้านจากทีมงาน, การวางแผนที่ไม่รอบคอบ, หรือการละเลยการปรับกระบวนการ ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ Security Platformization ➡️ องค์กรมีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยเฉลี่ย 40–80 ตัว ทำให้เกิดข้อมูลกระจัดกระจาย ➡️ ผู้ขายเทคโนโลยีเริ่มรวมเครื่องมือเป็นแพลตฟอร์มเดียว เช่น cloud, endpoint, network security ➡️ CFOs สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อประหยัดงบและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ บทเรียนจาก ERP ที่ CISOs ควรนำมาใช้ ➡️ ERP เคยล้มเหลวเพราะแปลงข้อมูลลำบาก, ปรับกระบวนการไม่ครบ, และขาดการสนับสนุนจากทีม ➡️ การเปลี่ยนผ่านต้องมีการวางแผนเป็นเฟส ไม่ใช่แบบ “Big Bang” ➡️ ต้องมีการปรับกระบวนการและใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาอาชีพของทีมงาน ✅ แนวทางที่แนะนำสำหรับ CISOs ➡️ สร้างความเข้าใจร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และสื่อสารด้วยภาษาธุรกิจ ➡️ เริ่มจากทีมรักษาความปลอดภัยก่อน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี ➡️ วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีเฟส พร้อมแผนทดสอบและย้อนกลับ ➡️ สร้าง data pipeline ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางที่เชื่อถือได้ ➡️ ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกระบวนการด้วย SOAR และ AI ‼️ คำเตือนจากบทเรียน ERP ⛔ การเปลี่ยนผ่านแบบเร่งรีบอาจทำให้ระบบล่ม เช่นกรณี Hershey ที่ส่งสินค้าไม่ได้ช่วงฮาโลวีน ⛔ การไม่ปรับกระบวนการและไม่ฝึกอบรมทีมงาน อาจนำไปสู่ความล้มเหลวและความขัดแย้ง ⛔ การละเลยการสื่อสารกับผู้บริหาร อาจทำให้โครงการขาดแรงสนับสนุน ถ้าคุณเป็น CISO หรือผู้บริหารด้าน IT นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแลเทคโนโลยี สู่ผู้นำด้านกลยุทธ์ความปลอดภัยขององค์กรอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080709/what-past-erp-mishaps-can-teach-cisos-about-security-platformization.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What past ERP mishaps can teach CISOs about security platformization
    CISOs should study ERP challenges and best practices to pursue a successful transition from security point tools to integrated platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • นวัตกรรมฟื้นฟูฟัน! เจลโปรตีนใหม่จากอังกฤษอาจเปลี่ยนโลกทันตกรรม

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nottingham ได้พัฒนาเจลโปรตีนชนิดใหม่ที่สามารถฟื้นฟูเคลือบฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาฟลูออไรด์อีกต่อไป เจลนี้เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติที่ช่วยสร้างเคลือบฟันในวัยเด็ก และสามารถกระตุ้นการเติบโตของผลึกแร่ฟันใหม่ได้อย่างเป็นระบบ

    เจลจะถูกทาเหมือนกับการเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า เพราะมันสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยร้าวของฟัน และทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับแคลเซียมและฟอสเฟตจากน้ำลาย เพื่อสร้างเคลือบฟันใหม่ในกระบวนการที่เรียกว่า “epitaxial mineralization” ซึ่งช่วยให้ผลึกแร่ฟันใหม่เชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิมได้อย่างแนบเนียน

    นอกจากการฟื้นฟูเคลือบฟัน เจลนี้ยังสามารถสร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบนเนื้อฟันที่เปิดเผย (dentine) ซึ่งช่วยลดอาการเสียวฟัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของวัสดุอุดฟัน

    การทดลองในสภาพจำลองการใช้งานจริง เช่น การแปรงฟัน การเคี้ยว และการสัมผัสกับอาหารเปรี้ยว พบว่าเคลือบฟันที่ฟื้นฟูขึ้นมานั้นมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง

    เจลโปรตีนฟื้นฟูเคลือบฟัน
    พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Nottingham ร่วมกับนักวิจัยนานาชาติ
    ไม่ใช้ฟลูออไรด์ แต่เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติ
    กระตุ้นการสร้างผลึกแร่ฟันใหม่อย่างเป็นระบบ

    วิธีการทำงานของเจล
    ทาเหมือนเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป
    แทรกซึมรอยร้าวและสร้างโครงสร้างรองรับแร่ธาตุ
    ใช้กระบวนการ epitaxial mineralization เพื่อเชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิม

    ประโยชน์เพิ่มเติม
    สร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบน dentine
    ลดอาการเสียวฟัน
    เพิ่มประสิทธิภาพการยึดติดของวัสดุอุดฟัน

    การทดลองและผลลัพธ์
    ทดสอบในสภาพจำลองจริง เช่น การแปรงฟันและเคี้ยวอาหาร
    เคลือบฟันที่ฟื้นฟูมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติ

    การพัฒนาเชิงพาณิชย์
    เริ่มต้นโดยบริษัท Mintech-Bio
    คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายในปีหน้า

    https://www.nottingham.ac.uk/news/new-gel-restores-dental-enamel-and-could-revolutionise-tooth-repair
    🦷 นวัตกรรมฟื้นฟูฟัน! เจลโปรตีนใหม่จากอังกฤษอาจเปลี่ยนโลกทันตกรรม นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nottingham ได้พัฒนาเจลโปรตีนชนิดใหม่ที่สามารถฟื้นฟูเคลือบฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาฟลูออไรด์อีกต่อไป เจลนี้เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติที่ช่วยสร้างเคลือบฟันในวัยเด็ก และสามารถกระตุ้นการเติบโตของผลึกแร่ฟันใหม่ได้อย่างเป็นระบบ เจลจะถูกทาเหมือนกับการเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป แต่ให้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า เพราะมันสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยร้าวของฟัน และทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับแคลเซียมและฟอสเฟตจากน้ำลาย เพื่อสร้างเคลือบฟันใหม่ในกระบวนการที่เรียกว่า “epitaxial mineralization” ซึ่งช่วยให้ผลึกแร่ฟันใหม่เชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิมได้อย่างแนบเนียน นอกจากการฟื้นฟูเคลือบฟัน เจลนี้ยังสามารถสร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบนเนื้อฟันที่เปิดเผย (dentine) ซึ่งช่วยลดอาการเสียวฟัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของวัสดุอุดฟัน การทดลองในสภาพจำลองการใช้งานจริง เช่น การแปรงฟัน การเคี้ยว และการสัมผัสกับอาหารเปรี้ยว พบว่าเคลือบฟันที่ฟื้นฟูขึ้นมานั้นมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง ✅ เจลโปรตีนฟื้นฟูเคลือบฟัน ➡️ พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Nottingham ร่วมกับนักวิจัยนานาชาติ ➡️ ไม่ใช้ฟลูออไรด์ แต่เลียนแบบโปรตีนธรรมชาติ ➡️ กระตุ้นการสร้างผลึกแร่ฟันใหม่อย่างเป็นระบบ ✅ วิธีการทำงานของเจล ➡️ ทาเหมือนเคลือบฟลูออไรด์ทั่วไป ➡️ แทรกซึมรอยร้าวและสร้างโครงสร้างรองรับแร่ธาตุ ➡️ ใช้กระบวนการ epitaxial mineralization เพื่อเชื่อมต่อกับเนื้อฟันเดิม ✅ ประโยชน์เพิ่มเติม ➡️ สร้างชั้นคล้ายเคลือบฟันบน dentine ➡️ ลดอาการเสียวฟัน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดติดของวัสดุอุดฟัน ✅ การทดลองและผลลัพธ์ ➡️ ทดสอบในสภาพจำลองจริง เช่น การแปรงฟันและเคี้ยวอาหาร ➡️ เคลือบฟันที่ฟื้นฟูมีคุณสมบัติเหมือนฟันธรรมชาติ ✅ การพัฒนาเชิงพาณิชย์ ➡️ เริ่มต้นโดยบริษัท Mintech-Bio ➡️ คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายในปีหน้า https://www.nottingham.ac.uk/news/new-gel-restores-dental-enamel-and-could-revolutionise-tooth-repair
    WWW.NOTTINGHAM.AC.UK
    News - New gel restores dental enamel and could revolutionise tooth repair - University of Nottingham
    A new material has been used to create a gel that can repair and regenerate tooth enamel, opening up new possibilities for effective and long-lasting preventive and restorative dental treatment.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ออกจาก Cloud แล้วรวยขึ้น – เส้นทางของนักพัฒนาที่กล้าท้าทายระบบ”
    Rameerez นักพัฒนาอิสระผู้สร้าง PromptHero และ RailsFast ได้เขียนบทความที่กลายเป็นไวรัล หลังจากเขาตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดออกจาก AWS และหันไปใช้เซิร์ฟเวอร์เช่าราคาถูกแทน ผลลัพธ์คือ ลดค่าใช้จ่ายลง 10 เท่า และ เพิ่มประสิทธิภาพระบบขึ้น 2 เท่า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ที่มีราคาแพงและผูกขาด

    เขาเลือกใช้บริการจาก Hetzner ซึ่งให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคาเพียง $190 ต่อเดือน เทียบกับ AWS ที่คิดราคาสูงถึง $2,500–$3,500 ต่อเดือนสำหรับสเปกใกล้เคียงกัน แม้จะมีตัวเลือก Reserved Instances ที่ถูกลง แต่ก็ต้องจ่ายล่วงหน้าถึง $46,000 และติดสัญญา 3 ปี

    Rameerez วิจารณ์ว่า Cloud กลายเป็น “กับดัก” สำหรับบริษัทและนักพัฒนา เพราะมันสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการพึ่งพาแบบผูกขาด เขาเชื่อว่าหลายคนไม่กล้าออกจาก Cloud เพราะกลัวความยุ่งยาก ทั้งที่ความจริงแล้วการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เองไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยุคที่มี AI อย่าง ChatGPT และ Claude คอยช่วยเหลือ

    เขายังชี้ให้เห็นว่า DevOps และ Cloud Engineers จำนวนมากไม่มี “skin in the game” เพราะพวกเขาไม่ได้จ่ายค่า Cloud ด้วยเงินตัวเอง จึงไม่มีแรงจูงใจในการลดต้นทุนให้บริษัท

    การออกจาก Cloud ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ค่าใช้จ่ายลดลง 10 เท่า
    ประสิทธิภาพระบบเพิ่มขึ้น 2 เท่า
    ไม่มี vendor lock-in หรือข้อผูกมัดระยะยาว

    ทางเลือกใหม่: เซิร์ฟเวอร์เช่าและ VPS
    Hetzner ให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคา $190/เดือน
    VPS 8-core + RAM 32GB ราคาเพียง $50/เดือน
    ซื้อเซิร์ฟเวอร์เองได้ในราคาไม่ถึง $1,000

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cloud
    DevOps หลายคนไม่เคยจ่ายค่า Cloud ด้วยตัวเอง
    Cloud ถูกใช้เพราะ “ดูเท่” และ “ซับซ้อน”
    ความกลัวเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรถูกใช้เป็นข้ออ้าง

    การกลับมาของการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง
    AI ช่วยให้การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ง่ายขึ้น
    Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง
    การเรียนรู้ Linux กลายเป็นทักษะสำคัญในยุคใหม่

    ความเสี่ยงจากการใช้ Cloud โดยไม่เข้าใจ
    ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงโดยไม่จำเป็น
    Vendor lock-in ทำให้ย้ายออกยาก
    ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก
    การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เช่น Kubernetes สำหรับแอปเล็ก

    https://rameerez.com/send-this-article-to-your-friend-who-still-thinks-the-cloud-is-a-good-idea/
    ☁️ “ออกจาก Cloud แล้วรวยขึ้น – เส้นทางของนักพัฒนาที่กล้าท้าทายระบบ” Rameerez นักพัฒนาอิสระผู้สร้าง PromptHero และ RailsFast ได้เขียนบทความที่กลายเป็นไวรัล หลังจากเขาตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดออกจาก AWS และหันไปใช้เซิร์ฟเวอร์เช่าราคาถูกแทน ผลลัพธ์คือ ลดค่าใช้จ่ายลง 10 เท่า และ เพิ่มประสิทธิภาพระบบขึ้น 2 เท่า โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud ที่มีราคาแพงและผูกขาด เขาเลือกใช้บริการจาก Hetzner ซึ่งให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคาเพียง $190 ต่อเดือน เทียบกับ AWS ที่คิดราคาสูงถึง $2,500–$3,500 ต่อเดือนสำหรับสเปกใกล้เคียงกัน แม้จะมีตัวเลือก Reserved Instances ที่ถูกลง แต่ก็ต้องจ่ายล่วงหน้าถึง $46,000 และติดสัญญา 3 ปี Rameerez วิจารณ์ว่า Cloud กลายเป็น “กับดัก” สำหรับบริษัทและนักพัฒนา เพราะมันสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการพึ่งพาแบบผูกขาด เขาเชื่อว่าหลายคนไม่กล้าออกจาก Cloud เพราะกลัวความยุ่งยาก ทั้งที่ความจริงแล้วการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เองไม่ยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะในยุคที่มี AI อย่าง ChatGPT และ Claude คอยช่วยเหลือ เขายังชี้ให้เห็นว่า DevOps และ Cloud Engineers จำนวนมากไม่มี “skin in the game” เพราะพวกเขาไม่ได้จ่ายค่า Cloud ด้วยเงินตัวเอง จึงไม่มีแรงจูงใจในการลดต้นทุนให้บริษัท ✅ การออกจาก Cloud ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ค่าใช้จ่ายลดลง 10 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพระบบเพิ่มขึ้น 2 เท่า ➡️ ไม่มี vendor lock-in หรือข้อผูกมัดระยะยาว ✅ ทางเลือกใหม่: เซิร์ฟเวอร์เช่าและ VPS ➡️ Hetzner ให้เซิร์ฟเวอร์ 80-core ในราคา $190/เดือน ➡️ VPS 8-core + RAM 32GB ราคาเพียง $50/เดือน ➡️ ซื้อเซิร์ฟเวอร์เองได้ในราคาไม่ถึง $1,000 ✅ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Cloud ➡️ DevOps หลายคนไม่เคยจ่ายค่า Cloud ด้วยตัวเอง ➡️ Cloud ถูกใช้เพราะ “ดูเท่” และ “ซับซ้อน” ➡️ ความกลัวเรื่องความปลอดภัยและความเสถียรถูกใช้เป็นข้ออ้าง ✅ การกลับมาของการจัดการเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเอง ➡️ AI ช่วยให้การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ง่ายขึ้น ➡️ Cloudflare ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยง ➡️ การเรียนรู้ Linux กลายเป็นทักษะสำคัญในยุคใหม่ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ Cloud โดยไม่เข้าใจ ⛔ ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริงโดยไม่จำเป็น ⛔ Vendor lock-in ทำให้ย้ายออกยาก ⛔ ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็น เช่น Kubernetes สำหรับแอปเล็ก https://rameerez.com/send-this-article-to-your-friend-who-still-thinks-the-cloud-is-a-good-idea/
    RAMEEREZ.COM
    Send this article to your friend who still thinks the cloud is a good idea
    You've been lied to. You don't need the cloud – you can just run servers and save 10x your AWS costs. It's not that difficult.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD ส่ง 2 ชิปใหม่ลงสนาม! Ryzen AI MAX+ 388 และ Ryzen 7 9700X3D โผล่ใน PassMark พร้อมสเปกสุดโหด”

    ในโลกของซีพียูที่แข่งขันกันดุเดือด AMD ยังคงเดินหน้าปล่อยหมัดเด็ด ล่าสุดมีการพบข้อมูลของสองชิปใหม่ในฐานข้อมูล PassMark ได้แก่ Ryzen AI MAX+ 388 และ Ryzen 7 9700X3D ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่สเปกที่หลุดออกมานั้นน่าสนใจไม่น้อย

    Ryzen AI MAX+ 388 เป็นสมาชิกใหม่ของตระกูล Strix Halo ที่มาพร้อม 8 คอร์ 16 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และมาพร้อม iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 Compute Units แบบเดียวกับรุ่นท็อป 395 แต่มีราคาที่คาดว่าจะเข้าถึงง่ายกว่า เหมาะสำหรับสายเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกสูงในราคาคุ้มค่า

    ส่วน Ryzen 7 9700X3D เป็นชิปที่ใช้ Zen 6 พร้อมเทคโนโลยี 3D V-Cache ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องใช้แคชจำนวนมาก โดยมีความเร็วที่ถูกระบุไว้ในฐานข้อมูลถึง 5.8GHz — แม้จะดูสูงเกินจริงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง 9800X3D ที่อยู่ที่ 5.2GHz แต่ก็อาจเป็นผลจากการโอเวอร์คล็อกหรือข้อมูลที่ยังไม่แน่นอน

    ทั้งสองรุ่นมีคะแนน PassMark ที่น่าจับตา โดย 9700X3D ทำคะแนนแบบ Single Thread ได้ 4687 และ Multi Thread ได้ 40438 ส่วน 388 ทำได้ 4145 และ 31702 ตามลำดับ ซึ่งถือว่าแรงพอตัวเมื่อเทียบกับรุ่นใกล้เคียง

    AMD Ryzen AI MAX+ 388 โผล่ในฐานข้อมูล PassMark
    ใช้ Zen 5, 8 คอร์ 16 เธรด
    มาพร้อม iGPU Radeon 8060S แบบเดียวกับรุ่นท็อป
    มีแคช L3 ขนาด 32MB และ L2 ขนาด 8MB
    คาดว่า TDP อยู่ที่ 55W เช่นเดียวกับรุ่นอื่นในซีรีส์

    Ryzen 7 9700X3D ใช้ Zen 6 พร้อม 3D V-Cache
    8 คอร์ 16 เธรด ความเร็วสูงถึง 5.8GHz (อาจเป็นผลจากการโอเวอร์คล็อก)
    ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นรุ่นขายจริงหรือไม่

    คะแนน PassMark ที่น่าจับตา
    9700X3D: ST 4687 / MT 40438
    388: ST 4145 / MT 31702

    คำเตือนด้านความแม่นยำของข้อมูล
    ข้อมูลยังไม่เป็นทางการ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเปิดตัวจริง
    ความเร็ว 5.8GHz ของ 9700X3D อาจไม่ใช่ค่ามาตรฐาน

    คำเตือนสำหรับผู้ที่รอซื้อ
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาและวันวางจำหน่าย
    ควรรอการประกาศอย่างเป็นทางการจาก AMD ที่งาน CES 2026

    https://wccftech.com/amd-ryzen-ai-max-388-ryzen-7-9700x3d-8-core-cpus-spotted-in-passmark/
    🧠🔥 “AMD ส่ง 2 ชิปใหม่ลงสนาม! Ryzen AI MAX+ 388 และ Ryzen 7 9700X3D โผล่ใน PassMark พร้อมสเปกสุดโหด” ในโลกของซีพียูที่แข่งขันกันดุเดือด AMD ยังคงเดินหน้าปล่อยหมัดเด็ด ล่าสุดมีการพบข้อมูลของสองชิปใหม่ในฐานข้อมูล PassMark ได้แก่ Ryzen AI MAX+ 388 และ Ryzen 7 9700X3D ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่สเปกที่หลุดออกมานั้นน่าสนใจไม่น้อย Ryzen AI MAX+ 388 เป็นสมาชิกใหม่ของตระกูล Strix Halo ที่มาพร้อม 8 คอร์ 16 เธรด ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และมาพร้อม iGPU Radeon 8060S ที่มี 40 Compute Units แบบเดียวกับรุ่นท็อป 395 แต่มีราคาที่คาดว่าจะเข้าถึงง่ายกว่า เหมาะสำหรับสายเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกสูงในราคาคุ้มค่า ส่วน Ryzen 7 9700X3D เป็นชิปที่ใช้ Zen 6 พร้อมเทคโนโลยี 3D V-Cache ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องใช้แคชจำนวนมาก โดยมีความเร็วที่ถูกระบุไว้ในฐานข้อมูลถึง 5.8GHz — แม้จะดูสูงเกินจริงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง 9800X3D ที่อยู่ที่ 5.2GHz แต่ก็อาจเป็นผลจากการโอเวอร์คล็อกหรือข้อมูลที่ยังไม่แน่นอน ทั้งสองรุ่นมีคะแนน PassMark ที่น่าจับตา โดย 9700X3D ทำคะแนนแบบ Single Thread ได้ 4687 และ Multi Thread ได้ 40438 ส่วน 388 ทำได้ 4145 และ 31702 ตามลำดับ ซึ่งถือว่าแรงพอตัวเมื่อเทียบกับรุ่นใกล้เคียง ✅ AMD Ryzen AI MAX+ 388 โผล่ในฐานข้อมูล PassMark ➡️ ใช้ Zen 5, 8 คอร์ 16 เธรด ➡️ มาพร้อม iGPU Radeon 8060S แบบเดียวกับรุ่นท็อป ➡️ มีแคช L3 ขนาด 32MB และ L2 ขนาด 8MB ➡️ คาดว่า TDP อยู่ที่ 55W เช่นเดียวกับรุ่นอื่นในซีรีส์ ✅ Ryzen 7 9700X3D ใช้ Zen 6 พร้อม 3D V-Cache ➡️ 8 คอร์ 16 เธรด ความเร็วสูงถึง 5.8GHz (อาจเป็นผลจากการโอเวอร์คล็อก) ➡️ ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นรุ่นขายจริงหรือไม่ ✅ คะแนน PassMark ที่น่าจับตา ➡️ 9700X3D: ST 4687 / MT 40438 ➡️ 388: ST 4145 / MT 31702 ‼️ คำเตือนด้านความแม่นยำของข้อมูล ⛔ ข้อมูลยังไม่เป็นทางการ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเปิดตัวจริง ⛔ ความเร็ว 5.8GHz ของ 9700X3D อาจไม่ใช่ค่ามาตรฐาน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่รอซื้อ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาและวันวางจำหน่าย ⛔ ควรรอการประกาศอย่างเป็นทางการจาก AMD ที่งาน CES 2026 https://wccftech.com/amd-ryzen-ai-max-388-ryzen-7-9700x3d-8-core-cpus-spotted-in-passmark/
    WCCFTECH.COM
    AMD Ryzen AI MAX+ 388 & Ryzen 7 9700X3D 8-Core CPUs Spotted In PassMark: Value-Oriented Strix Halo With Full Radeon 8060S iGPU
    Two unreleased AMD CPUs have been spotted in PassMark, the Ryzen AI MAX+ 388 & the Ryzen 7 9700X3D, both of which are 8-core.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ไม่ได้แย่งงาน แต่เปิดโอกาสใหม่ให้สายโปรแกรมเมอร์ – ยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมา

    แม้หลายคนจะกังวลว่า AI จะมาแทนที่นักพัฒนา แต่รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley กลับชี้ว่า AI จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสายนี้ และทำให้การลงทุนด้านซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า AI-powered coding tools ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่กลับสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์. จากการสำรวจ CIO ในสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 100 คน พบว่า งบประมาณด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นมากกว่าด้านบริการ IT และฮาร์ดแวร์

    Sanjit Singh จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานนักพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 และบางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก

    แต่ผลกระทบของ AI ยังไม่แน่นอน
    รายงานจาก METR ในปี 2025 พบว่า AI อาจทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูง ขณะที่ งานวิจัยจาก Stanford ระบุว่า AI ช่วยผู้ที่มีทักษะต่ำได้ดี แต่กลับลดประสิทธิภาพของผู้มีความเชี่ยวชาญ

    Keith Weiss จาก Morgan Stanley กล่าวเสริมว่า การลงทุนด้านซอฟต์แวร์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนักพัฒนาในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม

    AI ช่วยเพิ่มโอกาสในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์
    เครื่องมือเขียนโค้ดด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    บริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าบริการ IT และฮาร์ดแวร์
    ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    การจ้างงานนักพัฒนามีแนวโน้มเติบโต
    คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033
    บางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก
    ธุรกิจต้องการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น

    ผลกระทบของ AI ยังไม่ชัดเจน
    รายงานจาก METR พบว่า AI ทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง
    งานวิจัยจาก Stanford ชี้ว่า AI ลดประสิทธิภาพของผู้มีประสบการณ์
    ผลลัพธ์ของ AI ต่อการทำงาน “แตกต่างกันอย่างมาก”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/learn-to-code-ai-could-mean-boom-times-for-software-developers
    📈 AI ไม่ได้แย่งงาน แต่เปิดโอกาสใหม่ให้สายโปรแกรมเมอร์ – ยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมา แม้หลายคนจะกังวลว่า AI จะมาแทนที่นักพัฒนา แต่รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley กลับชี้ว่า AI จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสายนี้ และทำให้การลงทุนด้านซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า AI-powered coding tools ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่กลับสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์. จากการสำรวจ CIO ในสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 100 คน พบว่า งบประมาณด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นมากกว่าด้านบริการ IT และฮาร์ดแวร์ Sanjit Singh จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานนักพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 และบางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก 🧪 แต่ผลกระทบของ AI ยังไม่แน่นอน รายงานจาก METR ในปี 2025 พบว่า AI อาจทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูง ขณะที่ งานวิจัยจาก Stanford ระบุว่า AI ช่วยผู้ที่มีทักษะต่ำได้ดี แต่กลับลดประสิทธิภาพของผู้มีความเชี่ยวชาญ Keith Weiss จาก Morgan Stanley กล่าวเสริมว่า การลงทุนด้านซอฟต์แวร์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนักพัฒนาในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ✅ AI ช่วยเพิ่มโอกาสในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ➡️ เครื่องมือเขียนโค้ดด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ บริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าบริการ IT และฮาร์ดแวร์ ➡️ ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ การจ้างงานนักพัฒนามีแนวโน้มเติบโต ➡️ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 ➡️ บางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก ➡️ ธุรกิจต้องการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น ‼️ ผลกระทบของ AI ยังไม่ชัดเจน ⛔ รายงานจาก METR พบว่า AI ทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง ⛔ งานวิจัยจาก Stanford ชี้ว่า AI ลดประสิทธิภาพของผู้มีประสบการณ์ ⛔ ผลลัพธ์ของ AI ต่อการทำงาน “แตกต่างกันอย่างมาก” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/learn-to-code-ai-could-mean-boom-times-for-software-developers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Learn to code: AI could mean boom times for software developers
    Artificial intelligence (AI) could, in time, create more jobs for software developers rather than eliminate them, according to investment bank Morgan Stanley.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักพัฒนาเกมหวั่น AI แย่งบทบาทสร้างสรรค์ – เทคโนโลยีที่ทั้งช่วยและท้าทายวงการเกม

    AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในอุตสาหกรรมเกม แต่ก็สร้างความกังวลไม่น้อยในหมู่นักพัฒนาและศิลปิน ว่าจะกลายเป็นผู้แย่งงานแทนที่จะเป็นผู้ช่วย.

    ลองนึกภาพว่าเกมที่คุณเล่นทุกวันนี้ อาจมีฉาก ตัวละคร หรือแม้แต่บทพูดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งหมด โดยไม่ผ่านมือมนุษย์เลยแม้แต่น้อย นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก

    จากการศึกษาของ Totally Human Media พบว่า เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปีนี้ใช้ AI ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเกมดังอย่าง Call of Duty: Black Ops 6 หรือเกมจำลองชีวิต Inzoi. AI ถูกใช้ในหลายด้าน เช่น การพากย์เสียง การวาดภาพประกอบ หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด

    Ethan Hu จาก Meshy.ai เผยว่า การสร้างโมเดล 3D ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์และงบประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาทีและต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์. นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาเกม

    แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับ AI ด้วยรอยยิ้ม

    แม้ AI จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิตเกม แต่ก็สร้างความกังวลในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะเรื่อง การลดตำแหน่งงาน และ คุณภาพของงานที่ AI สร้างขึ้น

    นักพัฒนาจากสตูดิโอในฝรั่งเศสเผยว่า โมเดล 3D ที่สร้างโดย AI มักจะ “วุ่นวาย” และต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่ากับการสร้างใหม่. ขณะที่ผู้เล่นเองก็เริ่มจับผิดว่าเกมใดใช้ AI โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่นกรณีเกม The Alters ที่ถูกวิจารณ์หนักหลังพบข้อความที่สร้างโดย AI โดยไม่ได้ระบุไว้ก่อน

    AI ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมอย่างแพร่หลาย
    เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปี 2025 ใช้ AI ในการพัฒนา
    ใช้ในงานพากย์เสียง ภาพประกอบ และเขียนโค้ด
    ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างโมเดล 3D อย่างมหาศาล

    บริษัทใหญ่เริ่มลงทุนใน AI
    EA ร่วมมือกับ Stability AI
    Microsoft พัฒนาโมเดล AI ชื่อ Muse
    Ubisoft และ Quantic Dream ยังไม่เปิดเผยแนวทาง

    ความกังวลจากนักพัฒนาเกม
    กลัวการลดตำแหน่งงานจากการใช้ AI
    ผลงานที่สร้างโดย AI ยังต้องแก้ไขมาก
    ขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้เล่นว่าใช้ AI

    ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น
    ผู้เล่นอาจไม่พอใจหากพบว่าเกมใช้ AI โดยไม่แจ้ง
    นักลงทุนยังไม่ใช้ AI เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ
    การไม่ใช้ AI อาจทำให้สตูดิโอเสียเปรียบในการแข่งขัน

    AI ในวงการเกมคือดาบสองคม – ทั้งช่วยให้สร้างสรรค์ได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มนุษย์ถูกลดบทบาทลง หากคุณเป็นนักเล่นเกมหรือผู้พัฒนาเกม นี่คือช่วงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า “เรายังควบคุมเกมอยู่ หรือ AI กำลังถือจอยแทนเรา?”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/video-game-creators-fear-ai-could-grab-the-controller
    🎮 นักพัฒนาเกมหวั่น AI แย่งบทบาทสร้างสรรค์ – เทคโนโลยีที่ทั้งช่วยและท้าทายวงการเกม AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในอุตสาหกรรมเกม แต่ก็สร้างความกังวลไม่น้อยในหมู่นักพัฒนาและศิลปิน ว่าจะกลายเป็นผู้แย่งงานแทนที่จะเป็นผู้ช่วย. ลองนึกภาพว่าเกมที่คุณเล่นทุกวันนี้ อาจมีฉาก ตัวละคร หรือแม้แต่บทพูดที่สร้างขึ้นโดย AI ทั้งหมด โดยไม่ผ่านมือมนุษย์เลยแม้แต่น้อย นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก จากการศึกษาของ Totally Human Media พบว่า เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปีนี้ใช้ AI ในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเกมดังอย่าง Call of Duty: Black Ops 6 หรือเกมจำลองชีวิต Inzoi. AI ถูกใช้ในหลายด้าน เช่น การพากย์เสียง การวาดภาพประกอบ หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด Ethan Hu จาก Meshy.ai เผยว่า การสร้างโมเดล 3D ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์และงบประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาทีและต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์. นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมพัฒนาเกม 😨 แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับ AI ด้วยรอยยิ้ม แม้ AI จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิตเกม แต่ก็สร้างความกังวลในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะเรื่อง การลดตำแหน่งงาน และ คุณภาพของงานที่ AI สร้างขึ้น นักพัฒนาจากสตูดิโอในฝรั่งเศสเผยว่า โมเดล 3D ที่สร้างโดย AI มักจะ “วุ่นวาย” และต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่ากับการสร้างใหม่. ขณะที่ผู้เล่นเองก็เริ่มจับผิดว่าเกมใดใช้ AI โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เช่นกรณีเกม The Alters ที่ถูกวิจารณ์หนักหลังพบข้อความที่สร้างโดย AI โดยไม่ได้ระบุไว้ก่อน ✅ AI ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเกมอย่างแพร่หลาย ➡️ เกือบ 20% ของเกมบน Steam ปี 2025 ใช้ AI ในการพัฒนา ➡️ ใช้ในงานพากย์เสียง ภาพประกอบ และเขียนโค้ด ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการสร้างโมเดล 3D อย่างมหาศาล ✅ บริษัทใหญ่เริ่มลงทุนใน AI ➡️ EA ร่วมมือกับ Stability AI ➡️ Microsoft พัฒนาโมเดล AI ชื่อ Muse ➡️ Ubisoft และ Quantic Dream ยังไม่เปิดเผยแนวทาง ‼️ ความกังวลจากนักพัฒนาเกม ⛔ กลัวการลดตำแหน่งงานจากการใช้ AI ⛔ ผลงานที่สร้างโดย AI ยังต้องแก้ไขมาก ⛔ ขาดความโปร่งใสในการแจ้งผู้เล่นว่าใช้ AI ‼️ ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ⛔ ผู้เล่นอาจไม่พอใจหากพบว่าเกมใช้ AI โดยไม่แจ้ง ⛔ นักลงทุนยังไม่ใช้ AI เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ⛔ การไม่ใช้ AI อาจทำให้สตูดิโอเสียเปรียบในการแข่งขัน AI ในวงการเกมคือดาบสองคม – ทั้งช่วยให้สร้างสรรค์ได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มนุษย์ถูกลดบทบาทลง หากคุณเป็นนักเล่นเกมหรือผู้พัฒนาเกม นี่คือช่วงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า “เรายังควบคุมเกมอยู่ หรือ AI กำลังถือจอยแทนเรา?” 🎮✨ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/video-game-creators-fear-ai-could-grab-the-controller
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Video game creators fear AI could grab the controller
    Generative artificial intelligence models capable of dreaming up ultra-realistic characters and virtual universes could make for cheaper, better video games in future, but the emerging technology has artists and developers on edge.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: Exynos 2600 โชว์พลัง! ทำคะแนนเทียบชั้น Apple M5 ในการทดสอบ Geekbench 6

    Samsung กำลังเขย่าวงการชิปมือถือด้วย Exynos 2600 ที่เพิ่งหลุดผลทดสอบจาก Geekbench 6 โดยสามารถทำคะแนนในหมวด single-core ได้ใกล้เคียงกับ Apple M5 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิปที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะยังเป็นแค่ตัวอย่างทางวิศวกรรม แต่ผลลัพธ์ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไม่น้อย.

    Exynos 2600 ใช้สถาปัตยกรรม 2nm GAA รุ่นแรกของ Samsung
    ช่วยลดการรั่วไหลของพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำให้ประหยัดไฟกว่า Apple A19 Pro ถึง 59% ในการทดสอบ multi-core

    ความเร็วของ CPU ที่โดดเด่น
    Core ที่แรงที่สุดทำงานที่ 4.20GHz
    3 คอร์ประสิทธิภาพที่ 3.56GHz และ 6 คอร์ประหยัดพลังงานที่ 2.76GHz

    คะแนน Geekbench 6 ที่น่าทึ่ง
    Single-core: 4,217 (เพิ่มขึ้น 22% จากรอบก่อน)
    Multi-core: 13,482 (เพิ่มขึ้น 16%)
    เทียบกับ Apple M5: Single-core 4,263 และ Multi-core 17,862

    คาดการณ์เปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    จะได้เห็นประสิทธิภาพจริงเมื่อใช้งานในอุปกรณ์จริง
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ Exynos ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง

    https://wccftech.com/exynos-2600-matches-m5-in-geekbench-6-single-core-leak/
    🚀 หัวข้อข่าว: Exynos 2600 โชว์พลัง! ทำคะแนนเทียบชั้น Apple M5 ในการทดสอบ Geekbench 6 Samsung กำลังเขย่าวงการชิปมือถือด้วย Exynos 2600 ที่เพิ่งหลุดผลทดสอบจาก Geekbench 6 โดยสามารถทำคะแนนในหมวด single-core ได้ใกล้เคียงกับ Apple M5 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิปที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แม้จะยังเป็นแค่ตัวอย่างทางวิศวกรรม แต่ผลลัพธ์ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไม่น้อย. ✅ Exynos 2600 ใช้สถาปัตยกรรม 2nm GAA รุ่นแรกของ Samsung ➡️ ช่วยลดการรั่วไหลของพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำให้ประหยัดไฟกว่า Apple A19 Pro ถึง 59% ในการทดสอบ multi-core ✅ ความเร็วของ CPU ที่โดดเด่น ➡️ Core ที่แรงที่สุดทำงานที่ 4.20GHz ➡️ 3 คอร์ประสิทธิภาพที่ 3.56GHz และ 6 คอร์ประหยัดพลังงานที่ 2.76GHz ✅ คะแนน Geekbench 6 ที่น่าทึ่ง ➡️ Single-core: 4,217 (เพิ่มขึ้น 22% จากรอบก่อน) ➡️ Multi-core: 13,482 (เพิ่มขึ้น 16%) ➡️ เทียบกับ Apple M5: Single-core 4,263 และ Multi-core 17,862 ✅ คาดการณ์เปิดตัวพร้อม Galaxy S26 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ จะได้เห็นประสิทธิภาพจริงเมื่อใช้งานในอุปกรณ์จริง ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ Exynos ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง https://wccftech.com/exynos-2600-matches-m5-in-geekbench-6-single-core-leak/
    WCCFTECH.COM
    Exynos 2600 Engineering Sample Brings M5 Levels Of Performance In The Latest Single-Core Results, Outpaces Every Other Mobile SoC In New Leak
    A new Geekbench 6 shows that the Exynos 2600 can match Apple’s M5 in single-core test, while beating the A19 Pro, the Snapdragon 8 Elite Gen 5 and Dimensity 9500 in multi-core
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น”

    จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.

    ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม

    เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก

    แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้
    ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว

    ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95%
    ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด

    ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล
    ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน

    กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต

    ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15
    ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป

    ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน
    เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง
    ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ

    ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
    ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว

    การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล
    อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    🌊💻 หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น” จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต. ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว ✅ ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95% ➡️ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด ✅ ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล ➡️ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ✅ กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต ✅ ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15 ➡️ ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป ✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน ➡️ เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering ‼️ การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง ⛔ ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ ‼️ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ⛔ ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว ‼️ การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล ⛔ อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    WWW.TECHRADAR.COM
    China’s underwater data center takes computing to new depths
    Offshore wind provides up to 95% of the energy powering the submerged servers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บินให้สุด!” ดรอนซอกเกอร์มาเลเซียคว้าอันดับ 3 โลก พร้อมจุดประกายกีฬาใหม่แห่งอาเซียน

    กีฬาใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและความมันส์อย่าง “ดรอนซอกเกอร์” กำลังสร้างกระแสในมาเลเซีย หลังทีม Cybersphere Malaysia คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันระดับโลกที่เกาหลีใต้ โดยมีนักกีฬาตั้งแต่เด็กประถมจนถึงมหาวิทยาลัยร่วมทีม สะท้อนว่าเกมนี้ “เปิดกว้างสำหรับทุกคน” และอาจกลายเป็นกีฬายอดนิยมในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต.

    ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2016 โดยใช้โดรนที่ถูกครอบด้วยกรอบพลาสติกทรงกลมเรียกว่า “Drone Ball” บินภายในกรงสนามเพื่อชนกันและทำคะแนนผ่านห่วงของฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันใช้เวลาเพียง 3 นาทีต่อรอบ แต่เต็มไปด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และกลยุทธ์

    ทีมมาเลเซียที่ไปแข่ง FIDA World Cup ประกอบด้วยนักเรียนประถม 4 คน มัธยม 1 คน และมหาวิทยาลัย 2 คน สามารถเอาชนะทีมผู้ใหญ่จาก 24 ประเทศได้อย่างน่าทึ่ง โดยใช้โดรนขนาด 20 ซม. ที่บินได้เร็วถึง 30 กม./ชม. และมีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบิน

    บทบาทในทีมมีความชัดเจน เช่น striker, guide, libero, sweeper และ keeper ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและการตัดสินใจแบบฉับไว ทำให้เกมนี้ไม่ใช่แค่ “บินให้เร็ว” แต่ต้อง “คิดให้ไว” ด้วย

    ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้ปี 2016
    ใช้โดรนบินชนกันในกรงสนามเพื่อทำคะแนนผ่านห่วง

    ทีมมาเลเซียคว้าอันดับ 3 ใน FIDA World Cup
    แข่งในประเภท Class 20 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

    ทีมประกอบด้วยนักเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย
    แสดงให้เห็นว่าเกมนี้เปิดกว้างสำหรับทุกวัย

    โดรนมีกรอบพลาสติกป้องกันการชน
    เรียกว่า Drone Ball เพื่อความปลอดภัยในการแข่งขัน

    บทบาทในทีมมี 5 ตำแหน่งหลัก
    striker, guide, libero, sweeper, keeper

    การสื่อสารในทีมเป็นหัวใจสำคัญ
    บางทีมใช้ headset เพื่อประสานงานระหว่างแข่งขัน

    ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ RM850 สำหรับ Class 20
    Class 40 มีราคาสูงถึง RM6,000 และบินได้เร็วกว่า 100 กม./ชม.

    การปรับแต่งโดรนช่วยพัฒนาทักษะด้านเทคนิค
    เช่น การซ่อมแซม การปรับน้ำหนัก และการเลือกวัสดุ

    Cybersphere Malaysia เตรียมจัดเทศกาลดรอนซอกเกอร์ในปี 2026
    ร่วมกับ Visit Malaysia Year และ Visit Johor Year

    โดรน Class 40 ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 1.1 กก.
    หากเกินจะผิดกติกาและอาจถูกตัดสิทธิ์

    ผู้เล่นใหม่อาจเข้าใจผิดว่าเล่นแบบเดี่ยวได้
    แต่จริงๆ แล้วต้องอาศัยทีมเวิร์กและการวางแผนร่วมกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/03/take-to-the-skies-the-adrenaline-rush-of-drone-soccer
    🚁 “บินให้สุด!” ดรอนซอกเกอร์มาเลเซียคว้าอันดับ 3 โลก พร้อมจุดประกายกีฬาใหม่แห่งอาเซียน กีฬาใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและความมันส์อย่าง “ดรอนซอกเกอร์” กำลังสร้างกระแสในมาเลเซีย หลังทีม Cybersphere Malaysia คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันระดับโลกที่เกาหลีใต้ โดยมีนักกีฬาตั้งแต่เด็กประถมจนถึงมหาวิทยาลัยร่วมทีม สะท้อนว่าเกมนี้ “เปิดกว้างสำหรับทุกคน” และอาจกลายเป็นกีฬายอดนิยมในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต. ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2016 โดยใช้โดรนที่ถูกครอบด้วยกรอบพลาสติกทรงกลมเรียกว่า “Drone Ball” บินภายในกรงสนามเพื่อชนกันและทำคะแนนผ่านห่วงของฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันใช้เวลาเพียง 3 นาทีต่อรอบ แต่เต็มไปด้วยความเร็ว ความแม่นยำ และกลยุทธ์ ทีมมาเลเซียที่ไปแข่ง FIDA World Cup ประกอบด้วยนักเรียนประถม 4 คน มัธยม 1 คน และมหาวิทยาลัย 2 คน สามารถเอาชนะทีมผู้ใหญ่จาก 24 ประเทศได้อย่างน่าทึ่ง โดยใช้โดรนขนาด 20 ซม. ที่บินได้เร็วถึง 30 กม./ชม. และมีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบิน บทบาทในทีมมีความชัดเจน เช่น striker, guide, libero, sweeper และ keeper ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและการตัดสินใจแบบฉับไว ทำให้เกมนี้ไม่ใช่แค่ “บินให้เร็ว” แต่ต้อง “คิดให้ไว” ด้วย ✅ ดรอนซอกเกอร์เป็นกีฬาที่เกิดในเกาหลีใต้ปี 2016 ➡️ ใช้โดรนบินชนกันในกรงสนามเพื่อทำคะแนนผ่านห่วง ✅ ทีมมาเลเซียคว้าอันดับ 3 ใน FIDA World Cup ➡️ แข่งในประเภท Class 20 รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ✅ ทีมประกอบด้วยนักเรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย ➡️ แสดงให้เห็นว่าเกมนี้เปิดกว้างสำหรับทุกวัย ✅ โดรนมีกรอบพลาสติกป้องกันการชน ➡️ เรียกว่า Drone Ball เพื่อความปลอดภัยในการแข่งขัน ✅ บทบาทในทีมมี 5 ตำแหน่งหลัก ➡️ striker, guide, libero, sweeper, keeper ✅ การสื่อสารในทีมเป็นหัวใจสำคัญ ➡️ บางทีมใช้ headset เพื่อประสานงานระหว่างแข่งขัน ✅ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ RM850 สำหรับ Class 20 ➡️ Class 40 มีราคาสูงถึง RM6,000 และบินได้เร็วกว่า 100 กม./ชม. ✅ การปรับแต่งโดรนช่วยพัฒนาทักษะด้านเทคนิค ➡️ เช่น การซ่อมแซม การปรับน้ำหนัก และการเลือกวัสดุ ✅ Cybersphere Malaysia เตรียมจัดเทศกาลดรอนซอกเกอร์ในปี 2026 ➡️ ร่วมกับ Visit Malaysia Year และ Visit Johor Year ‼️ โดรน Class 40 ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 1.1 กก. ⛔ หากเกินจะผิดกติกาและอาจถูกตัดสิทธิ์ ‼️ ผู้เล่นใหม่อาจเข้าใจผิดว่าเล่นแบบเดี่ยวได้ ⛔ แต่จริงๆ แล้วต้องอาศัยทีมเวิร์กและการวางแผนร่วมกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/03/take-to-the-skies-the-adrenaline-rush-of-drone-soccer
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Take to the skies: The adrenaline rush of drone soccer
    Ever wondered what happens when drones meet soccer? As it turns out, it's a sport that comes pretty close to Harry Potter's Quidditch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • TrashBench ใช้น้ำยาหล่อเย็นรถยนต์ทำลายสถิติ Overclock บน Intel Arc B580 ด้วยอุณหภูมิ -17°C

    นักโอเวอร์คล็อกชื่อ TrashBench สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แช่แข็งแทนไนโตรเจนเหลว เพื่อดันประสิทธิภาพของ Intel Arc B580 จนทำลายสถิติระดับโลก!

    TrashBench ไม่ได้ใช้วิธีสุดล้ำอย่างไนโตรเจนเหลว แต่กลับเลือกวิธีบ้านๆ ที่ได้ผลเกินคาด — เขาใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบ 50/50 glycol mix ที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นจนได้อุณหภูมิ -17°C แล้วนำไปหมุนเวียนผ่านชุดระบายความร้อนของการ์ดจอ Intel Arc B580

    ผลลัพธ์คือความเร็ว GPU พุ่งจาก 2,850 MHz (แบบเดิม) ไปถึง 3,316 MHz พร้อมคะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 12% และเฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% แม้ว่าอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้นระหว่างการทดสอบ

    เทคนิค Overclock แบบ DIY สุดแหวกแนว
    ใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แทนไนโตรเจนเหลว
    น้ำยา glycol mix แช่แข็งจนได้อุณหภูมิ -17°C
    GPU Intel Arc B580 ทำความเร็วได้ถึง 3,316 MHz
    คะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 (เพิ่มขึ้น 12%)
    เฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% เช่น Cyberpunk 2077, Forza Horizon 5, Monster Hunter Wilds
    ใช้ 3D printer สร้างขาเมาท์สำหรับบล็อกน้ำ
    น้ำยา antifreeze ยังคงสถานะของเหลวจนถึง -25°C

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Overclock
    การใช้ของเหลวแช่แข็งแบบบ้านๆ เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY
    การ์ดจอ Intel Arc B580 มีศักยภาพในการ Overclock สูง
    การระบายความร้อนแบบ sub-zero ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง
    TrashBench เป็นหนึ่งในนักโอเวอร์คล็อกที่เน้นวิธีสร้างสรรค์มากกว่าการใช้เงินเยอะ

    ข้อควรระวังในการทำตาม
    การใช้ของเหลวแช่แข็งต้องระวังการควบแน่นและไฟฟ้าลัดวงจร
    ต้องมีฉนวนกันความชื้นที่ดีเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย
    การใช้น้ำยารถยนต์อาจมีสารเคมีที่กัดกร่อนวัสดุบางชนิด
    ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่มีประสบการณ์ด้านฮาร์ดแวร์

    TrashBench พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความคิดสร้างสรรค์” สำคัญไม่แพ้ “งบประมาณ” ในโลกของการโอเวอร์คล็อก — และบางครั้งของที่มีอยู่ในโรงรถก็อาจพาคุณไปสู่สถิติโลกได้เลย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-overclocker-uses-car-coolant-and-pond-pump-to-cool-intel-arc-b580-achieves-17c-temperature-16-percent-performance-uplift-and-gpu-benchmark-record
    ❄️ TrashBench ใช้น้ำยาหล่อเย็นรถยนต์ทำลายสถิติ Overclock บน Intel Arc B580 ด้วยอุณหภูมิ -17°C นักโอเวอร์คล็อกชื่อ TrashBench สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แช่แข็งแทนไนโตรเจนเหลว เพื่อดันประสิทธิภาพของ Intel Arc B580 จนทำลายสถิติระดับโลก! TrashBench ไม่ได้ใช้วิธีสุดล้ำอย่างไนโตรเจนเหลว แต่กลับเลือกวิธีบ้านๆ ที่ได้ผลเกินคาด — เขาใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบ 50/50 glycol mix ที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นจนได้อุณหภูมิ -17°C แล้วนำไปหมุนเวียนผ่านชุดระบายความร้อนของการ์ดจอ Intel Arc B580 ผลลัพธ์คือความเร็ว GPU พุ่งจาก 2,850 MHz (แบบเดิม) ไปถึง 3,316 MHz พร้อมคะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 12% และเฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% แม้ว่าอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้นระหว่างการทดสอบ ✅ เทคนิค Overclock แบบ DIY สุดแหวกแนว ➡️ ใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แทนไนโตรเจนเหลว ➡️ น้ำยา glycol mix แช่แข็งจนได้อุณหภูมิ -17°C ➡️ GPU Intel Arc B580 ทำความเร็วได้ถึง 3,316 MHz ➡️ คะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 (เพิ่มขึ้น 12%) ➡️ เฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% เช่น Cyberpunk 2077, Forza Horizon 5, Monster Hunter Wilds ➡️ ใช้ 3D printer สร้างขาเมาท์สำหรับบล็อกน้ำ ➡️ น้ำยา antifreeze ยังคงสถานะของเหลวจนถึง -25°C ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Overclock ➡️ การใช้ของเหลวแช่แข็งแบบบ้านๆ เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY ➡️ การ์ดจอ Intel Arc B580 มีศักยภาพในการ Overclock สูง ➡️ การระบายความร้อนแบบ sub-zero ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง ➡️ TrashBench เป็นหนึ่งในนักโอเวอร์คล็อกที่เน้นวิธีสร้างสรรค์มากกว่าการใช้เงินเยอะ ‼️ ข้อควรระวังในการทำตาม ⛔ การใช้ของเหลวแช่แข็งต้องระวังการควบแน่นและไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ต้องมีฉนวนกันความชื้นที่ดีเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย ⛔ การใช้น้ำยารถยนต์อาจมีสารเคมีที่กัดกร่อนวัสดุบางชนิด ⛔ ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่มีประสบการณ์ด้านฮาร์ดแวร์ TrashBench พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความคิดสร้างสรรค์” สำคัญไม่แพ้ “งบประมาณ” ในโลกของการโอเวอร์คล็อก — และบางครั้งของที่มีอยู่ในโรงรถก็อาจพาคุณไปสู่สถิติโลกได้เลย https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-overclocker-uses-car-coolant-and-pond-pump-to-cool-intel-arc-b580-achieves-17c-temperature-16-percent-performance-uplift-and-gpu-benchmark-record
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน

    อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม

    Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่

    สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ:
    Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ
    Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง
    Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU
    Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย

    Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น

    จุดเด่นของ E-Series GPU
    ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8
    ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน
    Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน
    รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL

    ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ
    ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้
    เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์
    ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination

    เปรียบเทียบกับ NVIDIA
    NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้
    Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน
    GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า

    https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    🚀🧠 Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ: 🎗️ Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ 🎗️ Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง 🎗️ Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU 🎗️ Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์ 🎗️ รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น ✅ จุดเด่นของ E-Series GPU ➡️ ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8 ➡️ ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ➡️ Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน ➡️ รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL ✅ ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ ➡️ ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้ ➡️ เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination ✅ เปรียบเทียบกับ NVIDIA ➡️ NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้ ➡️ Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Apple's Former GPU Supplier Imagination Tech Shares AI GPU Advantages Over NVIDIA
    As AI GPUs continue to dominate the technology conversation, we decided to sit down with Kristof Beets, Vice President of Product Management at Imagination Technologies. Imagination Technologies is one of the oldest GPU intellectual property firms in the world and has been known for previously supplying Apple GPUs for the iPhone and iPad. With GPUs being quite close to AI processing needs as well, our discussion with Kristof surrounded how Imagination Technologies' products are suitable for AI computing. He also compared them with NVIDIA's GPUs, and the conversation started off with Kristof giving us a presentation of Imagination's latest E-Series […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุดยอดงานสไลซ์! #หมูแดงบางเฉียบ ต้องเครื่องนี้เท่านั้น!

    เปิดมิติใหม่ให้ร้านข้าวหมูแดง/ก๋วยเตี๋ยวของคุณ ด้วย เครื่องสไลซ์เนื้อ 12" Auto (300E) จาก ย.ยงหะเฮง! เราทำได้มากกว่าชาบู! สไลซ์ "หมูแดง" ได้บางถึง 1 มิลลิเมตร สวยใส น่าทาน ไม่ต้องใช้มีดให้เปลืองแรงและเสียเวลา!

    รายละเอียดเครื่องที่คุณต้องรู้!

    ระบบ Full Auto: แค่กดปุ่ม เครื่องก็ทำงานสไลซ์ให้อัตโนมัติ (ปุ่มควบคุมกันน้ำ)

    ใบมีด 12 นิ้ว (300 มม.): ทำจาก สแตนเลส เกรด 304 นำเข้าจากอิตาลี คม ทนทาน ไม่เป็นสนิมง่าย

    ความแม่นยำสูง: ปรับความหนาได้ละเอียดตั้งแต่ 1 มม. ถึง 15 มม. ต้องการบางแค่ไหนก็สั่งได้!

    มอเตอร์คู่ทรงพลัง: ใช้มอเตอร์ 2 ตัว (ใบมีด 250W. / ตัวสไลซ์ 300W.) กำลังรวม 550W. ทำงานต่อเนื่องไม่สะดุด

    กำลังการผลิต: สไลซ์ได้รวดเร็วทันใจถึง 35-38 ชิ้นต่อนาที เหมาะสำหรับร้านที่ขายดี ลูกค้าเยอะ!

    พร้อมหินลับมีดในตัว: ลับคมง่าย ไม่ต้องถอดใบมีด ไม่ต้องเสียเวลา

    โครงสร้างแข็งแรง: ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียม ตัวจานบีบเนื้อเป็นสแตนเลส 304 น้ำหนักเครื่อง 44 กก. มั่นคง ไม่สั่น

    ข้อแนะนำ: สไลซ์เนื้อแช่แข็งได้สวยที่สุด (อุณหภูมิเนื้อไม่ควรเกิน -5°C)

    ลงทุนครั้งเดียว ได้งานพรีเมียม สม่ำเสมอ ควบคุมต้นทุนได้ง่าย!

    มั่นใจด้วย รับประกันสินค้า 1 ปี และ บริการหลังการขายโดยช่างผู้ชำนาญ!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น.
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9


    #เครื่องสไลซ์เนื้อ #เครื่องสไลซ์หมู #เครื่องสไลซ์ออโต้ #MeatSlicer #MeatSlicer12นิ้ว #เครื่องหั่นเนื้อ #เครื่องครัวร้านอาหาร #ยยงหะเฮง #อุปกรณ์ชาบู #อุปกรณ์หมูกระทะ #หมูสไลซ์ #เนื้อสไลซ์ #หมูแดง #ข้าวหมูแดง #เปิดร้านชาบู #ธุรกิจอาหาร #ครัวมืออาชีพ #FoodProcessor #FoodEquipment #StainlessSteel304 #เครื่อง300E #สไลซ์บาง #สไลซ์1มิล #เนื้อแช่แข็ง #ColdCuts #เครื่องจักรอาหาร #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพ #เครื่องสไลด์ #โรงงานแปรรูป
    🥩 สุดยอดงานสไลซ์! #หมูแดงบางเฉียบ ต้องเครื่องนี้เท่านั้น! 🍜 เปิดมิติใหม่ให้ร้านข้าวหมูแดง/ก๋วยเตี๋ยวของคุณ ด้วย เครื่องสไลซ์เนื้อ 12" Auto (300E) จาก ย.ยงหะเฮง! เราทำได้มากกว่าชาบู! สไลซ์ "หมูแดง" ได้บางถึง 1 มิลลิเมตร สวยใส น่าทาน ไม่ต้องใช้มีดให้เปลืองแรงและเสียเวลา! ✅ รายละเอียดเครื่องที่คุณต้องรู้! ระบบ Full Auto: แค่กดปุ่ม เครื่องก็ทำงานสไลซ์ให้อัตโนมัติ (ปุ่มควบคุมกันน้ำ) ใบมีด 12 นิ้ว (300 มม.): ทำจาก สแตนเลส เกรด 304 นำเข้าจากอิตาลี คม ทนทาน ไม่เป็นสนิมง่าย ความแม่นยำสูง: ปรับความหนาได้ละเอียดตั้งแต่ 1 มม. ถึง 15 มม. ต้องการบางแค่ไหนก็สั่งได้! มอเตอร์คู่ทรงพลัง: ใช้มอเตอร์ 2 ตัว (ใบมีด 250W. / ตัวสไลซ์ 300W.) กำลังรวม 550W. ทำงานต่อเนื่องไม่สะดุด กำลังการผลิต: สไลซ์ได้รวดเร็วทันใจถึง 35-38 ชิ้นต่อนาที เหมาะสำหรับร้านที่ขายดี ลูกค้าเยอะ! พร้อมหินลับมีดในตัว: ลับคมง่าย ไม่ต้องถอดใบมีด ไม่ต้องเสียเวลา โครงสร้างแข็งแรง: ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียม ตัวจานบีบเนื้อเป็นสแตนเลส 304 น้ำหนักเครื่อง 44 กก. มั่นคง ไม่สั่น ข้อแนะนำ: สไลซ์เนื้อแช่แข็งได้สวยที่สุด (อุณหภูมิเนื้อไม่ควรเกิน -5°C) 💰 ลงทุนครั้งเดียว ได้งานพรีเมียม สม่ำเสมอ ควบคุมต้นทุนได้ง่าย! มั่นใจด้วย ✅รับประกันสินค้า 1 ปี และ ✅บริการหลังการขายโดยช่างผู้ชำนาญ! 📍 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น. โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องสไลซ์เนื้อ #เครื่องสไลซ์หมู #เครื่องสไลซ์ออโต้ #MeatSlicer #MeatSlicer12นิ้ว #เครื่องหั่นเนื้อ #เครื่องครัวร้านอาหาร #ยยงหะเฮง #อุปกรณ์ชาบู #อุปกรณ์หมูกระทะ #หมูสไลซ์ #เนื้อสไลซ์ #หมูแดง #ข้าวหมูแดง #เปิดร้านชาบู #ธุรกิจอาหาร #ครัวมืออาชีพ #FoodProcessor #FoodEquipment #StainlessSteel304 #เครื่อง300E #สไลซ์บาง #สไลซ์1มิล #เนื้อแช่แข็ง #ColdCuts #เครื่องจักรอาหาร #ลดต้นทุน #เพิ่มประสิทธิภาพ #เครื่องสไลด์ #โรงงานแปรรูป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 568 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปลี่ยนงาน "ซอย" ที่น่าเบื่อ ให้เป็นงาน "สร้างสรรค์" ในพริบตา!
    เหนื่อยไหมกับการนั่งซอยขิงทีละเส้น? เสียเวลา เสียพลังงาน แถมขนาดก็ไม่สม่ำเสมอ? ถึงเวลาให้ เครื่องหั่นมันฝรั่งรุ่น YPS-J310-606-Z-S เป็นสุดยอดผู้ช่วยมือโปรในครัวคุณ!

    ไม่ใช่แค่มันฝรั่ง... แต่คือ "เทพแห่งการซอยขิง" ตัวจริง!
    เครื่องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ โรงงาน, ภัตตาคาร, และร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ ที่เน้นเรื่องคุณภาพและความรวดเร็ว!

    พลังผลิตระดับอุตสาหกรรม: เร็ว แรง ทันใจ! ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง (KG/H) เทียบเท่าแรงงานคนหลายสิบคน!

    มอเตอร์แรงเต็มที่: ใช้มอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า ใช้ไฟบ้าน 220V ทำงานต่อเนื่องได้สบาย ไม่มีสะดุด

    สเตนเลสแท้ : ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสสตีลคุณภาพสูง ทนทานต่อการกัดกร่อน ทำความสะอาดง่าย ถูกสุขอนามัยมาตรฐานโรงงานอาหาร

    ปรับได้ 3 สไตล์: เครื่องเดียวจบ ครบทุกเมนู! สามารถเปลี่ยนใบมีดเพื่อหั่นได้ทั้ง แผ่น, แท่ง, และเส้น ขนาดสม่ำเสมอ!

    ขนาดและน้ำหนัก: ขนาด 468 x 572 x 690 มม. และน้ำหนัก 43 กก.

    หยุดเสียเวลาซอย! เปลี่ยนมา "ลงทุน" กับความเร็วและคุณภาพในครัวคุณ!

    สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม:
    ย. ย่งฮะเฮง (Y. Yonghahheng)

    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    เวลาทำการ:
    จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.)
    เสาร์ (8.00-16.00 น.)
    ช่องทางติดต่อ:
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ สายด่วน 081-3189098
    แชท Inbox: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องหั่นขิง #เครื่องซอยขิง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องสไลด์ผัก #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เครื่องครัวร้านอาหาร #อุปกรณ์ร้านอาหาร #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ขิงซอย #ขิง #โรงงานอาหาร #โรงงานแปรรูป #ร้านอาหาร #ภัตตาคาร #โรงแรม #ครัวมืออาชีพ #ประหยัดเวลา #เพิ่มประสิทธิภาพ #สเตนเลสสตีล
    📢💥 เปลี่ยนงาน "ซอย" ที่น่าเบื่อ ให้เป็นงาน "สร้างสรรค์" ในพริบตา! 💥📢 เหนื่อยไหมกับการนั่งซอยขิงทีละเส้น? 😭 เสียเวลา เสียพลังงาน แถมขนาดก็ไม่สม่ำเสมอ? ถึงเวลาให้ เครื่องหั่นมันฝรั่งรุ่น YPS-J310-606-Z-S เป็นสุดยอดผู้ช่วยมือโปรในครัวคุณ! 🧑‍🍳🔪 🌶️✨ ไม่ใช่แค่มันฝรั่ง... แต่คือ "เทพแห่งการซอยขิง" ตัวจริง! ✨🌶️ เครื่องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ โรงงาน, ภัตตาคาร, และร้านอาหารขนาดกลาง-ใหญ่ ที่เน้นเรื่องคุณภาพและความรวดเร็ว! ⚡ พลังผลิตระดับอุตสาหกรรม: เร็ว แรง ทันใจ! ด้วยกำลังผลิตสูงถึง 100-300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง (KG/H) เทียบเท่าแรงงานคนหลายสิบคน! ⚙️ มอเตอร์แรงเต็มที่: ใช้มอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า ใช้ไฟบ้าน 220V ทำงานต่อเนื่องได้สบาย ไม่มีสะดุด ✨ สเตนเลสแท้ 💯: ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสสตีลคุณภาพสูง ทนทานต่อการกัดกร่อน ทำความสะอาดง่าย ถูกสุขอนามัยมาตรฐานโรงงานอาหาร 📏 ปรับได้ 3 สไตล์: เครื่องเดียวจบ ครบทุกเมนู! สามารถเปลี่ยนใบมีดเพื่อหั่นได้ทั้ง แผ่น, แท่ง, และเส้น ขนาดสม่ำเสมอ! 📐 ขนาดและน้ำหนัก: ขนาด 468 x 572 x 690 มม. และน้ำหนัก 43 กก. 👉 หยุดเสียเวลาซอย! เปลี่ยนมา "ลงทุน" กับความเร็วและคุณภาพในครัวคุณ! 📍 สนใจดูสินค้าจริงและสอบถามเพิ่มเติม: ย. ย่งฮะเฮง (Y. Yonghahheng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ (8.00-17.00 น.) เสาร์ (8.00-16.00 น.) ช่องทางติดต่อ: 📞 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ สายด่วน 081-3189098 💬 แชท Inbox: m.me/yonghahheng 📲 LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com หรือ yonghahheng@gmail.com #เครื่องหั่นขิง #เครื่องซอยขิง #เครื่องหั่นผัก #เครื่องสไลด์ผัก #เครื่องครัวอุตสาหกรรม #เครื่องครัวร้านอาหาร #อุปกรณ์ร้านอาหาร #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #ขิงซอย #ขิง #โรงงานอาหาร #โรงงานแปรรูป #ร้านอาหาร #ภัตตาคาร #โรงแรม #ครัวมืออาชีพ #ประหยัดเวลา #เพิ่มประสิทธิภาพ #สเตนเลสสตีล
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 527 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts