• เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น
    ด้วยกฎ 8-8-8
    โฟกัสตามนี้ 8 ชั่วโมง ตั้งใจทำงาน
    8 ชั่วโมง นอนหลับให้เต็มที่
    8 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 3 ชั่วโมงใช้เวลากับครอบครัว 3 ชั่วโมงใช้เวลากับงานอดิเรกออกกำลังกาย 2 ชั่วโมงใช้เวลากับตัวเอง
    #สุขภาพ #เปลี่ยนชีวิต #อย่าปิดกั้นการมองเห็น
    #ชีวิตคิดบวก
    เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยกฎ 8-8-8 โฟกัสตามนี้ 8 ชั่วโมง ตั้งใจทำงาน 8 ชั่วโมง นอนหลับให้เต็มที่ 8 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 3 ชั่วโมงใช้เวลากับครอบครัว 3 ชั่วโมงใช้เวลากับงานอดิเรกออกกำลังกาย 2 ชั่วโมงใช้เวลากับตัวเอง #สุขภาพ #เปลี่ยนชีวิต #อย่าปิดกั้นการมองเห็น #ชีวิตคิดบวก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 112. วันที่ 1 ม.ค.2568 ประกาศถามหาจรรยาบรรณวิชาชีพของแพทยสภา https://drive.google.com/file/d/1kV3jlyTl_JNAzYo5HJ_nrw9Hx8DJTl6R/view?usp=drive_link
    ตามที่ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ได้ทำหนังสือถึงแพทยสภา ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ ขอให้ดำเนินการสอบสวนจริยธรรมของ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://drive.google.com/file/d/1sypT-zqTStHuo4CGJa1EevEt9cixfNhl/view?usp=drivesdk เนื่องจากปล่อยให้มีการใช้ใบยินยอมอันเป็นเท็จให้ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งนี้ได้มีการทำหนังสือ ขอให้ทบทวนแก้ไขใบยินยอมดังกล่าวแล้ว แต่กระทรวงฯกลับไม่ใส่ใจที่จะทำให้ถูกต้อง ทางกลุ่มจึงจำเป็นต้อง ยื่นหนังสือให้แพทยสภา ดำเนินการสอบสวนเรื่องดังกล่าวกับ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่มีหน้าที่กำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ดี แทนที่ แพทยสภา จะดำเนินการสอบสวนและเสนอให้มีการแก้ไขใบยินยอมดังกล่าวให้ถูกต้อง แพทยสภากลับเลือกที่จะปกป้อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าวมิได้เป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม แต่เป็นการกระทำในตำแหน่งบริหาร การปกป้องปลัดกระทรวงสาธารณสุขของแพทยสภาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า กรรมการแพทยสภา มิได้สนใจที่จะปกป้อง สิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับการรักษา อันเป็นจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานของการเป็นแพทย์ ทั้งที่ใบยินยอมดังกล่าว มิได้ให้ข้อมูลสำคัญที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้การรับรองไว้ในเอกสารกำกับยา ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า วัคซีนดังกล่าว เป็นสารพันธุกรรมดัดแปลงที่ยังอยู่ระหว่างการทำวิจัย และไม่ได้ทดสอบความปลอดภัยว่าก่อให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือไม่ได้ทดสอบว่า mRNA วัคซีนสามารถก่อมะเร็งหรือไม่
    ั้งนี้ หากแพทยสภามีเจตนาที่จะปกป้องความปลอดภัยเด็กและเยาวชน และยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ แพทยสภาสามารถจัดแถลงข่าว เรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อมูลในใบยินยอมดังกล่าวให้ถูกต้อง และลงโทษสถานเบาโดยการว่ากล่าวตักเตือนปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ แต่แพทยสภากลับทำหนังสือ “ลับ” (ที่ พส.๐๑๑/๑/๑๗๔๐๖ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗) พยายามปกป้องผู้ที่กระทำผิดโดยไม่ใส่ใจในความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนแม้แต่น้อย การกระทำดังกล่าวของ คณะกรรมการแพทยสภา รวมทั้งพฤติกรรมของนายกแพทยสภา เลขาธิการนายกแพทยสภา และรองเลขาธิการแพทยสภา แสดงให้เห็นว่า มิได้ยึดถือจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์
    113. วันที่ 3 ม.ค.2568 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ได้ส่งจดหมาย เรื่อง ขอให้ปกป้องความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนก่อนการปกป้องปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://drive.google.com/file/d/12c_6_kI3Q9wMaIbahsz5t-P_fAqbyesj/view?usp=drive_link
    เรียน พ.ญ.นางสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา น.พ. นายอิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา น.พ. นายวิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ รองเลขาธิการแพทยสภา
    สำเนาเรียน (ส่งวันที่ 9มค.) กรรมการแพทยสภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ทุกสถาบัน สื่อสารมวลชน และสำนักข่าวทุกสำนัก
    114. วันที่ 5 ม.ค.2568 ประกาศข่าว คนไทยตายเพิ่มขึ้นในปี 2567
    https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drive_link
    https://www.facebook.com/share/p/1AHaC6eSK8/
    115. วันที่ 17 ม.ค.2568 กลุ่มฯได้ส่งจดหมายถึงเลขาธิการแพทยสภา ขอข้อมูลข่าวสาร
    https://drive.google.com/file/d/172-XOvnm43P4LUntgyydYHHM7ZTOtH8Y/view?usp=drive_link
    116. วันที่ 2 ก.พ.2568 รูต่ายส่ายสะโพก Special (หมออรรถพล x เทนโด้) วัคซีน mRNA ... มือที่มองไม่เห็นและปลายเข็มแห่งซาตาน (วัคซีน mRNA ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ยังไง)
    https://rumble.com/v6gea87--mrna-...-.html
    117. วันที่ 11 ก.พ.2568 บ๊วยLive EP.16 I Full Disclosure การเปิดโปงขั้นสุด กับคุณซันนี่
    https://www.youtube.com/watch?v=8d3zRy35Iqw
    118. วันที่ 26 ก.พ.2568 อัพเดทผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิด ที่มีผลต่อร่างกาย | ปากซอย105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://www.youtube.com/watch?v=nMawgnjhgcc
    119. วันที่ 6 มี.ค.2568 วัคซีนโควิด ยิ่งฉีดเยอะ ยิ่งเปลี่ยนชีวิต |ปากซอย105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://www.youtube.com/watch?v=B3H0bySl-24
    120. วันที่ 2 มี.ค.2568 รูต่ายส่ายสะโพก Special (หมออรรถพล x เทนโด้)
    เปิดแฟ้มลับ...มือสังหารหมู่โลก (วัคซีน mRNA, เชื้อโควิด และการทุจริตในอเมริกา)
    https://rumble.com/v6q1hmg-...-mrna-.html?start=179
    121. วันที่ 14 มี.ค.2568 บ๊วยLive EP.18 l เข้าถึงปัญญาญาณ เข้าถึงDNA! กับคุณหมออรรถพล
    https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=B6_Z7LtIwBk
    122. วันที่ 30 มี.ค.2568 เปิดจักรวาล 'รายการมืด' หมออรรถพล นิลฉงน นลเฉลย ชวนพูดคุย พร้อมตอบคำถามใน ไลฟ์ "เปิดแฟ้มลับ...มือสังหาร JFK" #รต่ายส่ายสะโพก EP3
    (หมออรรถพล x เทนโด้ x อาจารย์ต้น ตำนานนักล้วงข้อมูลลับแห่งประเทศไทย)
    https://www.facebook.com/share/v/16YMx4sWn6/
    รับชมคลิปที่ https://rumble.com/v6rewkc-...-jfk-ep3.html
    หรือ https://zap.stream/naddr1qq9rzde5xqurjvfcx5mqz9thwden5te0wfjkccte9ejxzmt4wvhxjme0qgsfwrl76z6zy0tjhsdnlaj6tkqweyx5w9vdyja5n788vl07p3nw3ugrqsqqqan8vzj3gy
    123. วันที่ 1 เม.ย.2568 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาและนพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ จัดรายการ Health Nexus
    ตอนที่ 1 เปิดเผยที่มาของการเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสาร เซ็นเซอร์กำเนิดโควิดซึ่งมาจากการสร้างไวรัสใหม่และหลุดรั่วออกจากห้องปฏิบัติการ วัคซีนซึ่งเตรียมพร้อมมาก่อนการระบาด และการปกปิดข้อมูลผลข้างเคียงของวัคซีน
    https://youtu.be/aexZXA0QSKg?si=qoQxKZtu255RUhq1
    ตอนที่ 2 นโยบายใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลกระทบด้านสาธารณสุขทั้งในและต่างประเทศอย่างไร ?
    https://youtu.be/cuU1QmYGZtI?si=ftzZdTtK0bxen9PP
    ตอนที่ 3 วัคซีนโควิดและผลกระทบ
    https://youtu.be/ys_ykPbyMks?si=sOZ4BZpb1Zhg-MTz
    ตอนที่ 4 เกิดอะไรขึ้นหลังรับวัคซีนโควิด ?
    https://youtu.be/vfNhMVNZWNg?si=yS65NMKehklN7szQ
    https://t.me/ThaiPitaksithData/6914
    124. วันที่ 14 เม.ย.2568 กลุ่มฯได้ส่งหนังสือ ขอแสดงความเห็น “คัดค้าน” การยอมรับกฎ
    อนามัยระหว่างประเทศ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ.๒๐๒๔ ถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ
    กระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ประธาน
    รัฐสภา และสื่อมวลชนทุกสํานัก
    และเรียกร้องการจัดเวทีสาธารณะให้คนไทยทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
    https://www.facebook.com/share/p/1639NvU9RX/
    https://drive.google.com/file/d/1eOHJXX2DczIsh33Z1wzZ_dtaQ1sJccKU/view?u
    จดหมายที่เกี่ยวข้องที่เคยยื่นหน่วยงานทั้งหมด
    https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-
    r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    125. วันที่ 22 เม.ย.2568 คุณอดิเทพ จาวลาห์ ตัวแทนกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์เข้ารับฟังการสัมมนาประชุมเชิงปฏิบัติการ
    ต่อกฎอนามัยระหว่างประเทศและมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น
    ⭐️เหตุผลว่าทำไมต้องปฏิเสธ
    https://www.facebook.com/share/p/1EfD6VWF7A/?mibextid=wwXIfr
    ⭐️ร่าง กฏหมาย อนามัย
    https://drive.google.com/drive/folders/1aIfGOD-CE2dwcR1lFunjEFz4_yDriC-n
    รายการปากซอย 105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    https://www.youtube.com/live/O62sTRIcOKE?si=TygTglExUaiNUein
    126. วันที่ 25 เม.ย. 2568
    ยื่นจดหมายขอแสดงความคิดเห็น “คัดค้าน” การยอมรับกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับ
    แก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ๒๐๒๔
    เรียน อธิบดีกรมควบคุมโรค
    สําเนาเรียน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
    ต่างประเทศ ประธานรัฐสภา และสื่อมวลชนทุกสํานัก
    ข้าพเจ้าอดิเทพ จาวลาห์ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการแก้ไขที่ได้รับการรับรองในการประชุมสมัชชา องค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 77 ผ่านมติ WHA77.17 ในปี 2024 ซึ่งข้าพเจ้ามีความกังวลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งการใช้อํานาจในทางที่ผิดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเพียงพอ ข้าพเจ้าจึงขอใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย คัดค้าน และเรียกร้องให้มีการพิจารณาและทบทวนข้อกําหนดดังกล่าวอย่างรอบคอบ
    ไฟล์เอกสาร
    https://drive.google.com/file/d/1l0OQkErvfCimQrYl68IcrKQIT0VjuVGD/view?usp
    =drivesdk
    https://www.facebook.com/share/p/192ygrBgKv/
    127. วันที่ 28 เม.ย.2568 กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นจดหมายถึงอธิบดีกรม
    ควบคุมโรค ขอความโปร่งใสในการดําเนินงานเกี่ยวกับกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับแก้ไข
    เพิ่มเติม ค.ศ.2024 พร้อมเรียกร้องให้เปิดเผยเอกสารสําคัญและรายชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายใน
    7 วันทําการ
    https://mgronline.com/qol/detail/9680000039977
    https://drive.google.com/file/d/1lOx-z6YYotg4x6sm3w0aWb3k3xyimC4U/view?usp=drivesdk
    128.วันที่ 15 พ.ค. 2568 รายการสภากาแฟ ช่อง News1 หัวข้อ โลกรับรู้มนุษย์ทําไวรัสเขา
    มีเจตนาอะไร? คิดกุศลหรืออกุศล สัมภาษณ์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    ยูทูบ https://www.youtube.com/live/LQcoOjcPNkQ?si=QFfCzxuYBKx14God
    เฟสบุ๊กไลฟ์ https://www.facebook.com/share/v/15PyyQ8pgE/
    129.วันที่ 19 พ.ค.2568 กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการยา ตามพระราชบัญญัติยา พุทธศักราช ๒๕๑๐
    เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ คณะกรรมการยาทุกท่าน ขอให้ดำเนินการระงับการอนุญาตให้ใช้วัคซีน mRNA ในมนุษย์
    https://drive.google.com/file/d/1BR1vKiDPMrlXMykJqZUVgj3aAK-KkyjH/view?usp=drivesdk
    ข้อมูลเหล่านั้นบางส่วนได้รับการเปิดเผยในเว็บไซต์ทางการของทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา https://www.whitehouse.gov/lab-leak-true-origins-of-covid-19/
    https://www.facebook.com/share/p/1F5cKBiQSK/
    https://www.facebook.com/share/p/16EB5JToNy/
    ไฟล์จดหมายฉบับนี้
    https://drive.google.com/file/d/1zx62n7IaqEdPYL-SFeNcrS2s8cpnLuDE/view?usp=drivesdk
    130.วันที่ 22 พ.ค.2568 ผู้ที่ได้รับยาฉีดโควิดแล้วมีผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ร่างกายไม่เหมือนเดิม และญาติผู้เสียชีวิต รว่มกับ คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ
    ประธานชมรมสันติประชาธรรม พอ.นพ.พงษฺศักดิ์ ตั้งคณา นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง พญ.ชนิฎา ศิริประภารัตน์ ดร.ศรีวิชัย ศรีสุวรรณ และจิตอาสากลุ่มคนไทยพิทักษฺสิทธิ์ ร่วมยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการรับฟังความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด และให้มีการจัดเวทีทางวิชาการ ถึงท่านประธานรัฐสภาไทย และประธานสภาผู้แทนราษฎร พณฯท่าน วันมูหะมัดนอร์ มะทา
    จดหมายยื่นรัฐสภา
    https://drive.google.com/drive/folders/114MB4aBXnhPjSOb5iZKhThk0d9B0rs6f
    ไลฟ์สด https://www.facebook.com/share/v/189S4WxV6j/
    https://www.thaipithaksith.com/my-posta3c48515
    https://www.facebook.com/share/p/1NaPKfhgkD/
    https://www.khaosod.co.th/politics/news_9770255
    https://www.facebook.com/share/v/189S4WxV6j/
    https://www.facebook.com/share/19RpSX1zVx/
    131. วันที่ 29พ.ค.2568 กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด-19 พร้อมด้วย
    อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    และ คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม
    ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นายแพทย์นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
    เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขสั่งการโดยเร่งด่วน กรณีปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด19
    https://drive.google.com/file/d/167IaJuYpekFBg7Le5GleNykqNsZzbJz_/view?usp=dri
    ve_link
    ในหนังสือฉบับนี้ มีข้อเรียกร้องหลัก 6 ประการ ได้แก่:
    1. ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ในเด็กและเยาวชน จนกว่าจะมีผลการสอบสวนผลข้างเคียงอย่าง
    เป็นระบบ
    2. ให้สํานักงาน อย. ทบทวนการอนุญาตวัคซีน mRNA ทุกยี่ห้อ โดยโปร่งใส พร้อมเปิดข้อมูลจาก
    ต่างประเทศประกอบการพิจารณา
    3. เปิดเผยสัญญาจัดซื้อวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่ม mRNA ที่รัฐทําไว้กับบริษัทเอกชน
    4. เปิดให้รับคําร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อจัดทําทะเบียนผู้เดือดร้อน
    5. จัดเวทีวิชาการสาธารณะ โดยกรมควบคุมโรคร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่ออภิปรายอย่าง
    เปิดเผยเรื่องผลกระทบจากวัคซีน โดยเชิญทั้งนักวิชาการและผู้ป่วยเข้าร่วม
    6. ให้แพทยสภาสอบสวนกรณีจริยธรรมทางการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ใบยินยอมที่อาจเป็น
    เท็จ

    การยื่นหนังสือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เกิดกระบวนการตรวจสอบอย่างโปร่งใส เป็นธรรม
    และมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้ง
    ในปัจจุบันและอนาคต

    รายการจดหมายทั้งหมดที่ยื่นหน่วยงานต่างๆ
    https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna
    132. วันที่ 13ก.ย.2568 อสมท MCOT News FM100.5 ในรายการ สีสันชีวิต ช่วง เร้นไม่ลับกับเซเลบฯ คุณลักขณา จำปา อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ สัมภาษณ์ อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    https://www.facebook.com/share/p/1Gj4PLybRN/
    https://www.facebook.com/share/p/166ByWxQNb/
    https://www.youtube.com/watch?v=sbfllJghw7w
    133. วันที่ 6 ต.ค.2568 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค เรื่อง ขอให้กรมควบคุมโรคปรับแก้ข้อมูล แนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ในเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค
    https://drive.google.com/file/d/1zKmgZ-nGb7mJnKQYbkX9AbbXi-8S0VpZ/view?usp=drivesdk
    134. วันที่ 21ม.ค.-21ต.ค.2568 ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความ
    โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย
    ตอนที่ 1 https://www.thairath.co.th/newspaper/2756723
    ตอนที่ 2 https://mgronline.com/daily/detail/9670000008184
    ตอนที่ 3 https://mgronline.com/daily/detail/9670000010320
    ตอนที่ 4 https://mgronline.com/daily/detail/9670000012549
    ตอนที่ 5 https://mgronline.com/daily/detail/9670000014922
    ตอนที่ 6 https://www.thairath.co.th/news/local/2765797
    ตอนที่ 7 https://www.facebook.com/share/p/19ohqtKnpQ/
    ตอนที่ 8 https://www.facebook.com/share/p/1FaswKgAHT/
    ตอนที่ 9 https://www.facebook.com/share/p/19fp8ufNYM/
    ตอน 10
    https://www.facebook.com/share/14MV2xoK5Bq/?mibextid=wwXIfr
    ตอน 11
    https://www.facebook.com/share/p/1JHQybX6oW/?mibextid=wwXIfr
    ตอน 12
    https://www.facebook.com/share/17XgRhXGNF/?mibextid=wwXIfr
    135. วันที่ 22ต.ค.2568 นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายสั้นๆ ในภาควิชา จุฬาฯ เรื่องโควิด ข้อมูลที่จะเป็นดั่งรูรั่วเล็กๆที่จะทำให้ เขื่อน ที่ปิดกั้นความจริงพังทลายลงในไม่ช้า
    https://www.facebook.com/share/1D7vvevs4h/
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7563880418664107280

    รวบรวมข้อมูลโดยแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    🇹🇭112. วันที่ 1 ม.ค.2568 ประกาศถามหาจรรยาบรรณวิชาชีพของแพทยสภา https://drive.google.com/file/d/1kV3jlyTl_JNAzYo5HJ_nrw9Hx8DJTl6R/view?usp=drive_link ตามที่ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ได้ทำหนังสือถึงแพทยสภา ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ ขอให้ดำเนินการสอบสวนจริยธรรมของ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://drive.google.com/file/d/1sypT-zqTStHuo4CGJa1EevEt9cixfNhl/view?usp=drivesdk เนื่องจากปล่อยให้มีการใช้ใบยินยอมอันเป็นเท็จให้ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งนี้ได้มีการทำหนังสือ ขอให้ทบทวนแก้ไขใบยินยอมดังกล่าวแล้ว แต่กระทรวงฯกลับไม่ใส่ใจที่จะทำให้ถูกต้อง ทางกลุ่มจึงจำเป็นต้อง ยื่นหนังสือให้แพทยสภา ดำเนินการสอบสวนเรื่องดังกล่าวกับ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะที่มีหน้าที่กำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ดี แทนที่ แพทยสภา จะดำเนินการสอบสวนและเสนอให้มีการแก้ไขใบยินยอมดังกล่าวให้ถูกต้อง แพทยสภากลับเลือกที่จะปกป้อง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าวมิได้เป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม แต่เป็นการกระทำในตำแหน่งบริหาร การปกป้องปลัดกระทรวงสาธารณสุขของแพทยสภาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า กรรมการแพทยสภา มิได้สนใจที่จะปกป้อง สิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับการรักษา อันเป็นจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานของการเป็นแพทย์ ทั้งที่ใบยินยอมดังกล่าว มิได้ให้ข้อมูลสำคัญที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้การรับรองไว้ในเอกสารกำกับยา ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า ⚠️วัคซีนดังกล่าว เป็นสารพันธุกรรมดัดแปลงที่ยังอยู่ระหว่างการทำวิจัย และไม่ได้ทดสอบความปลอดภัยว่าก่อให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือไม่ได้ทดสอบว่า mRNA วัคซีนสามารถก่อมะเร็งหรือไม่ ⁉️ ั้งนี้ หากแพทยสภามีเจตนาที่จะปกป้องความปลอดภัยเด็กและเยาวชน และยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ แพทยสภาสามารถจัดแถลงข่าว เรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อมูลในใบยินยอมดังกล่าวให้ถูกต้อง และลงโทษสถานเบาโดยการว่ากล่าวตักเตือนปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ แต่แพทยสภากลับทำหนังสือ “ลับ” (ที่ พส.๐๑๑/๑/๑๗๔๐๖ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๗) พยายามปกป้องผู้ที่กระทำผิดโดยไม่ใส่ใจในความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนแม้แต่น้อย การกระทำดังกล่าวของ คณะกรรมการแพทยสภา รวมทั้งพฤติกรรมของนายกแพทยสภา เลขาธิการนายกแพทยสภา และรองเลขาธิการแพทยสภา แสดงให้เห็นว่า มิได้ยึดถือจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ 🇹🇭113. วันที่ 3 ม.ค.2568 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ได้ส่งจดหมาย เรื่อง ขอให้ปกป้องความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนก่อนการปกป้องปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://drive.google.com/file/d/12c_6_kI3Q9wMaIbahsz5t-P_fAqbyesj/view?usp=drive_link เรียน พ.ญ.นางสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา น.พ. นายอิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา น.พ. นายวิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ รองเลขาธิการแพทยสภา สำเนาเรียน (ส่งวันที่ 9มค.) กรรมการแพทยสภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ทุกสถาบัน สื่อสารมวลชน และสำนักข่าวทุกสำนัก 🇹🇭114. วันที่ 5 ม.ค.2568 ประกาศข่าว คนไทยตายเพิ่มขึ้นในปี 2567 https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drive_link https://www.facebook.com/share/p/1AHaC6eSK8/ 🇹🇭115. วันที่ 17 ม.ค.2568 กลุ่มฯได้ส่งจดหมายถึงเลขาธิการแพทยสภา ขอข้อมูลข่าวสาร https://drive.google.com/file/d/172-XOvnm43P4LUntgyydYHHM7ZTOtH8Y/view?usp=drive_link 🇹🇭116. วันที่ 2 ก.พ.2568 รูต่ายส่ายสะโพก Special (หมออรรถพล x เทนโด้) วัคซีน mRNA ... มือที่มองไม่เห็นและปลายเข็มแห่งซาตาน (วัคซีน mRNA ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ยังไง) https://rumble.com/v6gea87--mrna-...-.html 🇹🇭117. วันที่ 11 ก.พ.2568 บ๊วยLive EP.16 I Full Disclosure การเปิดโปงขั้นสุด กับคุณซันนี่ https://www.youtube.com/watch?v=8d3zRy35Iqw 🇹🇭118. วันที่ 26 ก.พ.2568 อัพเดทผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิด ที่มีผลต่อร่างกาย | ปากซอย105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://www.youtube.com/watch?v=nMawgnjhgcc 🇹🇭119. วันที่ 6 มี.ค.2568 วัคซีนโควิด ยิ่งฉีดเยอะ ยิ่งเปลี่ยนชีวิต |ปากซอย105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://www.youtube.com/watch?v=B3H0bySl-24 🇹🇭120. วันที่ 2 มี.ค.2568 รูต่ายส่ายสะโพก Special (หมออรรถพล x เทนโด้) เปิดแฟ้มลับ...มือสังหารหมู่โลก (วัคซีน mRNA, เชื้อโควิด และการทุจริตในอเมริกา) https://rumble.com/v6q1hmg-...-mrna-.html?start=179 🇹🇭121. วันที่ 14 มี.ค.2568 บ๊วยLive EP.18 l เข้าถึงปัญญาญาณ เข้าถึงDNA! กับคุณหมออรรถพล https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=B6_Z7LtIwBk 🇹🇭122. วันที่ 30 มี.ค.2568 เปิดจักรวาล 'รายการมืด' หมออรรถพล นิลฉงน นลเฉลย ชวนพูดคุย พร้อมตอบคำถามใน ไลฟ์ "เปิดแฟ้มลับ...มือสังหาร JFK" #รต่ายส่ายสะโพก EP3 (หมออรรถพล x เทนโด้ x อาจารย์ต้น ตำนานนักล้วงข้อมูลลับแห่งประเทศไทย) https://www.facebook.com/share/v/16YMx4sWn6/ รับชมคลิปที่ https://rumble.com/v6rewkc-...-jfk-ep3.html หรือ https://zap.stream/naddr1qq9rzde5xqurjvfcx5mqz9thwden5te0wfjkccte9ejxzmt4wvhxjme0qgsfwrl76z6zy0tjhsdnlaj6tkqweyx5w9vdyja5n788vl07p3nw3ugrqsqqqan8vzj3gy 🇹🇭123. วันที่ 1 เม.ย.2568 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาและนพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ จัดรายการ Health Nexus ตอนที่ 1 เปิดเผยที่มาของการเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสาร เซ็นเซอร์กำเนิดโควิดซึ่งมาจากการสร้างไวรัสใหม่และหลุดรั่วออกจากห้องปฏิบัติการ วัคซีนซึ่งเตรียมพร้อมมาก่อนการระบาด และการปกปิดข้อมูลผลข้างเคียงของวัคซีน https://youtu.be/aexZXA0QSKg?si=qoQxKZtu255RUhq1 ตอนที่ 2 นโยบายใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลกระทบด้านสาธารณสุขทั้งในและต่างประเทศอย่างไร ? https://youtu.be/cuU1QmYGZtI?si=ftzZdTtK0bxen9PP ตอนที่ 3 วัคซีนโควิดและผลกระทบ https://youtu.be/ys_ykPbyMks?si=sOZ4BZpb1Zhg-MTz ตอนที่ 4 เกิดอะไรขึ้นหลังรับวัคซีนโควิด ? https://youtu.be/vfNhMVNZWNg?si=yS65NMKehklN7szQ https://t.me/ThaiPitaksithData/6914 🇹🇭124. วันที่ 14 เม.ย.2568 กลุ่มฯได้ส่งหนังสือ ขอแสดงความเห็น “คัดค้าน” การยอมรับกฎ อนามัยระหว่างประเทศ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ.๒๐๒๔ ถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ประธาน รัฐสภา และสื่อมวลชนทุกสํานัก และเรียกร้องการจัดเวทีสาธารณะให้คนไทยทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น https://www.facebook.com/share/p/1639NvU9RX/ https://drive.google.com/file/d/1eOHJXX2DczIsh33Z1wzZ_dtaQ1sJccKU/view?u จดหมายที่เกี่ยวข้องที่เคยยื่นหน่วยงานทั้งหมด https://drive.google.com/drive/folders/1xAV- r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna 🇹🇭125. วันที่ 22 เม.ย.2568 คุณอดิเทพ จาวลาห์ ตัวแทนกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์เข้ารับฟังการสัมมนาประชุมเชิงปฏิบัติการ ต่อกฎอนามัยระหว่างประเทศและมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น ⭐️เหตุผลว่าทำไมต้องปฏิเสธ https://www.facebook.com/share/p/1EfD6VWF7A/?mibextid=wwXIfr ⭐️ร่าง กฏหมาย อนามัย https://drive.google.com/drive/folders/1aIfGOD-CE2dwcR1lFunjEFz4_yDriC-n รายการปากซอย 105 สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา https://www.youtube.com/live/O62sTRIcOKE?si=TygTglExUaiNUein 🇹🇭126. วันที่ 25 เม.ย. 2568 ยื่นจดหมายขอแสดงความคิดเห็น “คัดค้าน” การยอมรับกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติม ค.ศ๒๐๒๔ เรียน อธิบดีกรมควบคุมโรค สําเนาเรียน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ต่างประเทศ ประธานรัฐสภา และสื่อมวลชนทุกสํานัก ข้าพเจ้าอดิเทพ จาวลาห์ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการแก้ไขที่ได้รับการรับรองในการประชุมสมัชชา องค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 77 ผ่านมติ WHA77.17 ในปี 2024 ซึ่งข้าพเจ้ามีความกังวลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งการใช้อํานาจในทางที่ผิดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเพียงพอ ข้าพเจ้าจึงขอใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย คัดค้าน และเรียกร้องให้มีการพิจารณาและทบทวนข้อกําหนดดังกล่าวอย่างรอบคอบ ไฟล์เอกสาร https://drive.google.com/file/d/1l0OQkErvfCimQrYl68IcrKQIT0VjuVGD/view?usp =drivesdk https://www.facebook.com/share/p/192ygrBgKv/ 🇹🇭127. วันที่ 28 เม.ย.2568 กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ยื่นจดหมายถึงอธิบดีกรม ควบคุมโรค ขอความโปร่งใสในการดําเนินงานเกี่ยวกับกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับแก้ไข เพิ่มเติม ค.ศ.2024 พร้อมเรียกร้องให้เปิดเผยเอกสารสําคัญและรายชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายใน 7 วันทําการ https://mgronline.com/qol/detail/9680000039977 https://drive.google.com/file/d/1lOx-z6YYotg4x6sm3w0aWb3k3xyimC4U/view?usp=drivesdk 🇹🇭128.วันที่ 15 พ.ค. 2568 รายการสภากาแฟ ช่อง News1 หัวข้อ โลกรับรู้มนุษย์ทําไวรัสเขา มีเจตนาอะไร? คิดกุศลหรืออกุศล สัมภาษณ์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ยูทูบ https://www.youtube.com/live/LQcoOjcPNkQ?si=QFfCzxuYBKx14God เฟสบุ๊กไลฟ์ https://www.facebook.com/share/v/15PyyQ8pgE/ 🇹🇭129.วันที่ 19 พ.ค.2568 กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ยื่นหนังสือถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการยา ตามพระราชบัญญัติยา พุทธศักราช ๒๕๑๐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ คณะกรรมการยาทุกท่าน ขอให้ดำเนินการระงับการอนุญาตให้ใช้วัคซีน mRNA ในมนุษย์ https://drive.google.com/file/d/1BR1vKiDPMrlXMykJqZUVgj3aAK-KkyjH/view?usp=drivesdk ข้อมูลเหล่านั้นบางส่วนได้รับการเปิดเผยในเว็บไซต์ทางการของทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา https://www.whitehouse.gov/lab-leak-true-origins-of-covid-19/ https://www.facebook.com/share/p/1F5cKBiQSK/ https://www.facebook.com/share/p/16EB5JToNy/ ไฟล์จดหมายฉบับนี้ https://drive.google.com/file/d/1zx62n7IaqEdPYL-SFeNcrS2s8cpnLuDE/view?usp=drivesdk 🇹🇭130.วันที่ 22 พ.ค.2568 ผู้ที่ได้รับยาฉีดโควิดแล้วมีผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ร่างกายไม่เหมือนเดิม และญาติผู้เสียชีวิต รว่มกับ คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พอ.นพ.พงษฺศักดิ์ ตั้งคณา นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง พญ.ชนิฎา ศิริประภารัตน์ ดร.ศรีวิชัย ศรีสุวรรณ และจิตอาสากลุ่มคนไทยพิทักษฺสิทธิ์ ร่วมยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการรับฟังความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด และให้มีการจัดเวทีทางวิชาการ ถึงท่านประธานรัฐสภาไทย และประธานสภาผู้แทนราษฎร พณฯท่าน วันมูหะมัดนอร์ มะทา จดหมายยื่นรัฐสภา https://drive.google.com/drive/folders/114MB4aBXnhPjSOb5iZKhThk0d9B0rs6f ไลฟ์สด https://www.facebook.com/share/v/189S4WxV6j/ https://www.thaipithaksith.com/my-posta3c48515 https://www.facebook.com/share/p/1NaPKfhgkD/ https://www.khaosod.co.th/politics/news_9770255 https://www.facebook.com/share/v/189S4WxV6j/ https://www.facebook.com/share/19RpSX1zVx/ 🇹🇭131. วันที่ 29พ.ค.2568 กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด-19 พร้อมด้วย อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ และ คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นายแพทย์นิติ เหตานุรักษ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขสั่งการโดยเร่งด่วน กรณีปัญหาผลกระทบจากวัคซีนโควิด19 https://drive.google.com/file/d/167IaJuYpekFBg7Le5GleNykqNsZzbJz_/view?usp=dri ve_link ในหนังสือฉบับนี้ มีข้อเรียกร้องหลัก 6 ประการ ได้แก่: 1. ระงับการฉีดวัคซีน mRNA ในเด็กและเยาวชน จนกว่าจะมีผลการสอบสวนผลข้างเคียงอย่าง เป็นระบบ 2. ให้สํานักงาน อย. ทบทวนการอนุญาตวัคซีน mRNA ทุกยี่ห้อ โดยโปร่งใส พร้อมเปิดข้อมูลจาก ต่างประเทศประกอบการพิจารณา 3. เปิดเผยสัญญาจัดซื้อวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่ม mRNA ที่รัฐทําไว้กับบริษัทเอกชน 4. เปิดให้รับคําร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อจัดทําทะเบียนผู้เดือดร้อน 5. จัดเวทีวิชาการสาธารณะ โดยกรมควบคุมโรคร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่ออภิปรายอย่าง เปิดเผยเรื่องผลกระทบจากวัคซีน โดยเชิญทั้งนักวิชาการและผู้ป่วยเข้าร่วม 6. ให้แพทยสภาสอบสวนกรณีจริยธรรมทางการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ใบยินยอมที่อาจเป็น เท็จ การยื่นหนังสือในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เกิดกระบวนการตรวจสอบอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้ง ในปัจจุบันและอนาคต รายการจดหมายทั้งหมดที่ยื่นหน่วยงานต่างๆ https://drive.google.com/drive/folders/1xAV-r3WhU5mt1WvTp8DBZktDPRatYrna 🇹🇭132. วันที่ 13ก.ย.2568 อสมท MCOT News FM100.5 ในรายการ สีสันชีวิต ช่วง เร้นไม่ลับกับเซเลบฯ คุณลักขณา จำปา อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ สัมภาษณ์ อ.นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง https://www.facebook.com/share/p/1Gj4PLybRN/ https://www.facebook.com/share/p/166ByWxQNb/ https://www.youtube.com/watch?v=sbfllJghw7w 🇹🇭133. วันที่ 6 ต.ค.2568 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค เรื่อง ขอให้กรมควบคุมโรคปรับแก้ข้อมูล แนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ในเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค https://drive.google.com/file/d/1zKmgZ-nGb7mJnKQYbkX9AbbXi-8S0VpZ/view?usp=drivesdk 🇹🇭134. วันที่ 21ม.ค.-21ต.ค.2568 ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความ ✍️โควิดความจริงที่ถูกเปิดเผย ตอนที่ 1 https://www.thairath.co.th/newspaper/2756723 ตอนที่ 2 https://mgronline.com/daily/detail/9670000008184 ตอนที่ 3 https://mgronline.com/daily/detail/9670000010320 ตอนที่ 4 https://mgronline.com/daily/detail/9670000012549 ตอนที่ 5 https://mgronline.com/daily/detail/9670000014922 ตอนที่ 6 https://www.thairath.co.th/news/local/2765797 ตอนที่ 7 https://www.facebook.com/share/p/19ohqtKnpQ/ ตอนที่ 8 https://www.facebook.com/share/p/1FaswKgAHT/ ตอนที่ 9 https://www.facebook.com/share/p/19fp8ufNYM/ ตอน 10 https://www.facebook.com/share/14MV2xoK5Bq/?mibextid=wwXIfr ตอน 11 https://www.facebook.com/share/p/1JHQybX6oW/?mibextid=wwXIfr ตอน 12 https://www.facebook.com/share/17XgRhXGNF/?mibextid=wwXIfr 🇹🇭135. วันที่ 22ต.ค.2568 นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายสั้นๆ ในภาควิชา จุฬาฯ เรื่องโควิด ข้อมูลที่จะเป็นดั่งรูรั่วเล็กๆที่จะทำให้ เขื่อน ที่ปิดกั้นความจริงพังทลายลงในไม่ช้า https://www.facebook.com/share/1D7vvevs4h/ https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7563880418664107280 รวบรวมข้อมูลโดยแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI เปลี่ยนชีวิตช่างภาพ — ลูกค้าไม่รู้ว่าใช้ AI แก้ภาพ แต่ช่างภาพรู้ว่าได้ชีวิตคืน”

    ในยุคที่ความเร็วกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของงานสร้างสรรค์ รายงาน Aftershoot Photography Workflow Report ปี 2025 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้ AI ในการจัดการงานหลังกล้อง ที่ไม่เพียงช่วยลดเวลา แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของช่างภาพเกี่ยวกับ “ความสร้างสรรค์” และ “ความยั่งยืน” ในอาชีพ

    จากการสำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก พบว่า 81% ของผู้ที่ใช้ AI ใน workflow รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดเวลาการแก้ภาพและการจัดการหลังงานถ่าย ส่วนที่น่าตกใจคือ 64% ระบุว่าลูกค้า “ไม่รู้เลย” ว่าภาพที่ได้รับผ่านการแก้ด้วย AI และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ให้ feedback เชิงลบ

    สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ลดคุณภาพงาน แต่กลับช่วยให้ช่างภาพสามารถส่งงานได้เร็วขึ้น โดย 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2024

    นอกจากเรื่องเวลา ช่างภาพยังใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว หรือแม้แต่ฟื้นฟูสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดย 32% ระบุว่าใช้เวลานี้เพื่อขยายธุรกิจหรือเรียนรู้เพิ่มเติม

    แม้จะยังมีข้อถกเถียงเรื่อง “AI กับความสร้างสรรค์” แต่รายงานชี้ว่าช่างภาพที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ซ้ำซาก เช่น การคัดภาพหรือแก้แสง แต่ยังคงควบคุมด้านศิลปะด้วยตัวเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รายงาน Aftershoot ปี 2025 สำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก
    81% ของผู้ใช้ AI รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น
    64% ระบุว่าลูกค้าไม่รู้ว่าภาพผ่านการแก้ด้วย AI
    มีเพียง 1% ที่ให้ feedback เชิงลบเกี่ยวกับภาพที่ใช้ AI
    28% ส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2024
    32% ใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับโปรเจกต์สร้างสรรค์หรือพัฒนาธุรกิจ
    ช่างภาพใช้ AI เพื่อจัดการงานหลังกล้อง เช่น คัดภาพและแก้แสง
    AI ช่วยเปลี่ยนแนวคิดจาก “ทำงานหนัก” เป็น “ทำงานอย่างยั่งยืน”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Aftershoot เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยคัดภาพและแก้แสงอัตโนมัติ
    Lightroom และ Photoshop ยังเป็นเครื่องมือหลักในการรีทัชภาพ
    AI video editor และ photo editor ช่วยเร่งการผลิตคอนเทนต์ในหลายอุตสาหกรรม
    RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิค AI ที่ใช้ข้อมูลภายนอกช่วยตอบคำถาม
    การใช้ AI ในงานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและวิดีโอ

    https://www.techradar.com/pro/a-wake-up-call-shocking-ai-survey-finds-that-clients-of-most-photographers-dont-notice-any-difference-in-ai-edited-work-and-thats-making-these-pros-less-stressed
    📸 “AI เปลี่ยนชีวิตช่างภาพ — ลูกค้าไม่รู้ว่าใช้ AI แก้ภาพ แต่ช่างภาพรู้ว่าได้ชีวิตคืน” ในยุคที่ความเร็วกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของงานสร้างสรรค์ รายงาน Aftershoot Photography Workflow Report ปี 2025 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการถ่ายภาพมืออาชีพทั่วโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้ AI ในการจัดการงานหลังกล้อง ที่ไม่เพียงช่วยลดเวลา แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของช่างภาพเกี่ยวกับ “ความสร้างสรรค์” และ “ความยั่งยืน” ในอาชีพ จากการสำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก พบว่า 81% ของผู้ที่ใช้ AI ใน workflow รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลดเวลาการแก้ภาพและการจัดการหลังงานถ่าย ส่วนที่น่าตกใจคือ 64% ระบุว่าลูกค้า “ไม่รู้เลย” ว่าภาพที่ได้รับผ่านการแก้ด้วย AI และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ให้ feedback เชิงลบ สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ลดคุณภาพงาน แต่กลับช่วยให้ช่างภาพสามารถส่งงานได้เร็วขึ้น โดย 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2024 นอกจากเรื่องเวลา ช่างภาพยังใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว หรือแม้แต่ฟื้นฟูสุขภาพจิตและความสัมพันธ์กับลูกค้า โดย 32% ระบุว่าใช้เวลานี้เพื่อขยายธุรกิจหรือเรียนรู้เพิ่มเติม แม้จะยังมีข้อถกเถียงเรื่อง “AI กับความสร้างสรรค์” แต่รายงานชี้ว่าช่างภาพที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ซ้ำซาก เช่น การคัดภาพหรือแก้แสง แต่ยังคงควบคุมด้านศิลปะด้วยตัวเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รายงาน Aftershoot ปี 2025 สำรวจช่างภาพกว่า 1,000 คนทั่วโลก ➡️ 81% ของผู้ใช้ AI รายงานว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น ➡️ 64% ระบุว่าลูกค้าไม่รู้ว่าภาพผ่านการแก้ด้วย AI ➡️ มีเพียง 1% ที่ให้ feedback เชิงลบเกี่ยวกับภาพที่ใช้ AI ➡️ 28% ส่งภาพครบชุดภายในหนึ่งสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ➡️ 32% ใช้เวลาที่ได้คืนจาก AI ไปกับโปรเจกต์สร้างสรรค์หรือพัฒนาธุรกิจ ➡️ ช่างภาพใช้ AI เพื่อจัดการงานหลังกล้อง เช่น คัดภาพและแก้แสง ➡️ AI ช่วยเปลี่ยนแนวคิดจาก “ทำงานหนัก” เป็น “ทำงานอย่างยั่งยืน” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Aftershoot เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยคัดภาพและแก้แสงอัตโนมัติ ➡️ Lightroom และ Photoshop ยังเป็นเครื่องมือหลักในการรีทัชภาพ ➡️ AI video editor และ photo editor ช่วยเร่งการผลิตคอนเทนต์ในหลายอุตสาหกรรม ➡️ RAG (Retrieval-Augmented Generation) เป็นเทคนิค AI ที่ใช้ข้อมูลภายนอกช่วยตอบคำถาม ➡️ การใช้ AI ในงานสร้างสรรค์กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและวิดีโอ https://www.techradar.com/pro/a-wake-up-call-shocking-ai-survey-finds-that-clients-of-most-photographers-dont-notice-any-difference-in-ai-edited-work-and-thats-making-these-pros-less-stressed
    WWW.TECHRADAR.COM
    AI is rewriting photography’s future
    AI-driven consistency is turning speed and reliability into new creative currencies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jonathan Clements จากไปอย่างสงบ — นักเขียนผู้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ความหมาย’”

    Jonathan Clements ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HumbleDollar และอดีตคอลัมนิสต์ชื่อดังของ The Wall Street Journal ได้เขียนข้อความอำลาครั้งสุดท้ายไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของเว็บไซต์ ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี

    เขาเริ่มต้นข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นโพสต์นี้ แปลว่าผมจากไปแล้ว” พร้อมขอให้ผู้อ่านไม่เศร้า เพราะเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ประสบการณ์ และโอกาสที่ดีในอาชีพ เขาหวังว่าใต้ต้นไม้หน้าบ้านในฟิลาเดลเฟีย ภรรยาของเขา Elaine จะวางแผ่นหินจารึกชื่อของเขา พร้อมคำว่า “Family • Readers • Words” ซึ่งเป็นสามสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต

    Jonathan เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เกิดในลอนดอน ย้ายไปอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank และต้องเผชิญกับชีวิตในโรงเรียนประจำที่โหดร้ายในอังกฤษ ก่อนจะสอบเข้า Cambridge และเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวที่ Forbes และ The Wall Street Journal ซึ่งเขาเขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน

    เขาเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (index fund) ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เป็นที่นิยม และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีเป้าหมาย เขาเคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และคว้าอันดับหนึ่งในฮาล์ฟมาราธอนบนเรือกลางทะเลแอนตาร์กติกา

    แม้ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาพบรักครั้งสุดท้ายกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 เพียงห้าวันหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย

    เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายจัดการชีวิต เตรียมเว็บไซต์ HumbleDollar ให้ดำเนินต่อได้ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตายอย่างมีสติ จนได้รับความสนใจจากสื่อหลายแห่ง เช่น The New York Times, WSJ และ AARP

    Jonathan ไม่เพียงเป็นนักเขียนด้านการเงิน แต่เป็นนักคิดที่ใช้ “คำ” เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจชีวิต เขาจากไปอย่างสงบ แต่ทิ้งไว้ซึ่งบทเรียนเรื่องเงิน ความรัก และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jonathan Clements เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี
    เขาเขียนข้อความอำลาไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของ HumbleDollar
    ขอให้ภรรยาวางแผ่นหินจารึกคำว่า “Family • Readers • Words” ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน
    เกิดในลอนดอน ย้ายมาอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank
    เรียนที่ Cambridge และเริ่มงานที่ Forbes ก่อนย้ายไป The Wall Street Journal
    เขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน และผลักดันแนวคิด index fund
    เคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และชนะการแข่งขันหลายรายการ
    พบรักกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 หลังรู้ว่าเป็นมะเร็ง
    เตรียม HumbleDollar ให้ดำเนินต่อ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตาย
    ได้รับการยกย่องจากสื่อหลายแห่ง เช่น NYT, WSJ, AARP

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jonathan เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ผลักดัน index fund สู่กระแสหลัก
    หนังสือ “How to Think About Money” เป็นผลงานที่ขายดีที่สุดของเขา
    เขาเคยทำงานกับ Citigroup และ Creative Planning ในบทบาทด้านการศึกษาการเงิน
    HumbleDollar เปิดให้ผู้เขียนสมัครเล่นร่วมเขียนบทความ โดยเขาเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวเอง
    เขาเชื่อว่าความสุขมาจากการใช้เงินเพื่อประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ

    https://humbledollar.com/forum/farewell-friends/
    🕊️ “Jonathan Clements จากไปอย่างสงบ — นักเขียนผู้เปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาด้วยคำว่า ‘เงิน’ และ ‘ความหมาย’” Jonathan Clements ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HumbleDollar และอดีตคอลัมนิสต์ชื่อดังของ The Wall Street Journal ได้เขียนข้อความอำลาครั้งสุดท้ายไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของเว็บไซต์ ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี เขาเริ่มต้นข้อความว่า “ถ้าคุณเห็นโพสต์นี้ แปลว่าผมจากไปแล้ว” พร้อมขอให้ผู้อ่านไม่เศร้า เพราะเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก ประสบการณ์ และโอกาสที่ดีในอาชีพ เขาหวังว่าใต้ต้นไม้หน้าบ้านในฟิลาเดลเฟีย ภรรยาของเขา Elaine จะวางแผ่นหินจารึกชื่อของเขา พร้อมคำว่า “Family • Readers • Words” ซึ่งเป็นสามสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต Jonathan เล่าถึงชีวิตตั้งแต่เกิดในลอนดอน ย้ายไปอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank และต้องเผชิญกับชีวิตในโรงเรียนประจำที่โหดร้ายในอังกฤษ ก่อนจะสอบเข้า Cambridge และเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวที่ Forbes และ The Wall Street Journal ซึ่งเขาเขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน เขาเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการลงทุนในกองทุนดัชนี (index fund) ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่เป็นที่นิยม และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีเป้าหมาย เขาเคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และคว้าอันดับหนึ่งในฮาล์ฟมาราธอนบนเรือกลางทะเลแอนตาร์กติกา แม้ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาพบรักครั้งสุดท้ายกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 เพียงห้าวันหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายจัดการชีวิต เตรียมเว็บไซต์ HumbleDollar ให้ดำเนินต่อได้ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตายอย่างมีสติ จนได้รับความสนใจจากสื่อหลายแห่ง เช่น The New York Times, WSJ และ AARP Jonathan ไม่เพียงเป็นนักเขียนด้านการเงิน แต่เป็นนักคิดที่ใช้ “คำ” เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจชีวิต เขาจากไปอย่างสงบ แต่ทิ้งไว้ซึ่งบทเรียนเรื่องเงิน ความรัก และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jonathan Clements เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ด้วยวัย 62 ปี ➡️ เขาเขียนข้อความอำลาไว้ล่วงหน้าในฟอรัมของ HumbleDollar ➡️ ขอให้ภรรยาวางแผ่นหินจารึกคำว่า “Family • Readers • Words” ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ➡️ เกิดในลอนดอน ย้ายมาอเมริกาเมื่อพ่อได้งานที่ World Bank ➡️ เรียนที่ Cambridge และเริ่มงานที่ Forbes ก่อนย้ายไป The Wall Street Journal ➡️ เขียนคอลัมน์ “Getting Going” กว่า 1,000 ตอน และผลักดันแนวคิด index fund ➡️ เคยวิ่งมาราธอนใต้สามชั่วโมง และชนะการแข่งขันหลายรายการ ➡️ พบรักกับ Elaine ในปี 2020 และแต่งงานกันในปี 2024 หลังรู้ว่าเป็นมะเร็ง ➡️ เตรียม HumbleDollar ให้ดำเนินต่อ และเขียนบทความเกี่ยวกับการเผชิญความตาย ➡️ ได้รับการยกย่องจากสื่อหลายแห่ง เช่น NYT, WSJ, AARP ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jonathan เป็นหนึ่งในนักเขียนด้านการเงินที่ผลักดัน index fund สู่กระแสหลัก ➡️ หนังสือ “How to Think About Money” เป็นผลงานที่ขายดีที่สุดของเขา ➡️ เขาเคยทำงานกับ Citigroup และ Creative Planning ในบทบาทด้านการศึกษาการเงิน ➡️ HumbleDollar เปิดให้ผู้เขียนสมัครเล่นร่วมเขียนบทความ โดยเขาเป็นผู้แก้ไขด้วยตัวเอง ➡️ เขาเชื่อว่าความสุขมาจากการใช้เงินเพื่อประสบการณ์ ไม่ใช่สิ่งของ https://humbledollar.com/forum/farewell-friends/
    HUMBLEDOLLAR.COM
    Farewell Friends - HumbleDollar
    If this post is appearing, it means I’ve succumbed to cancer or one of its side effects. Please don’t feel sad for me. I’ve had a life filled with love, great experiences and wonderful career opportunities. Despite my demise at a relatively young age, I consider myself beyond fortunate. I’m hoping that, under the tree in front of our little Philadelphia rowhome, my wife Elaine will place a stone tablet inscribed with my name, and the year I was born and died.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ช่วยชาวไร่เล็กในมาลาวีฟื้นฟูหลังพายุ — เมื่อแชตบอตกลายเป็นผู้แนะนำการเพาะปลูกที่เปลี่ยนชีวิต”

    หลังจากพายุไซโคลน Freddy ถล่มพื้นที่ตอนใต้ของมาลาวีในปี 2023 ชาวไร่เล็กอย่าง Alex Maere สูญเสียไร่ข้าวโพดที่เคยผลิตได้ถึง 850 กิโลกรัมต่อฤดูกาล เหลือเพียง 8 กิโลกรัมจากดินที่ถูกน้ำพัดหายไป เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด

    Maere เป็นหนึ่งในชาวไร่หลายพันคนที่เริ่มใช้แชตบอต AI ชื่อ “Ulangizi” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรไม่แสวงกำไร Opportunity International โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาลาวี แชตบอตนี้ทำงานผ่าน WhatsApp และรองรับทั้งภาษาอังกฤษและ Chichewa ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศ

    Ulangizi ไม่เพียงให้คำแนะนำทั่วไป แต่สามารถวิเคราะห์สภาพดินและเสนอพืชที่เหมาะสม เช่น แนะนำให้ Maere ปลูกมันฝรั่งร่วมกับข้าวโพดและมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้เขาสามารถขายผลผลิตได้มากกว่า 800 ดอลลาร์ และนำเงินไปจ่ายค่าเรียนให้ลูก ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล

    ในระดับประเทศ มาลาวีกำลังเผชิญกับวิกฤตอาหารจากภัยธรรมชาติและผลกระทบของเอลนีโญ ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งระดับชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกว่า 80% ของประชากร 21 ล้านคนพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีอัตราความยากจนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

    แม้ AI จะช่วยยกระดับการเกษตรในแอฟริกาได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การวินิจฉัยโรคพืช การพยากรณ์ภัยแล้ง และการออกแบบปุ๋ย แต่ก็ยังมีอุปสรรค เช่น ความหลากหลายทางภาษา การรู้หนังสือที่ต่ำ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ยังไม่ทั่วถึงในพื้นที่ชนบท

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alex Maere สูญเสียไร่จากพายุไซโคลน Freddy และหันมาใช้แชตบอต AI เพื่อฟื้นฟู
    แชตบอต “Ulangizi” พัฒนาโดย Opportunity International และทำงานผ่าน WhatsApp
    รองรับภาษาอังกฤษและ Chichewa — ใช้ได้แม้ผู้ใช้ไม่รู้หนังสือ
    แนะนำให้ปลูกมันฝรั่งร่วมกับพืชเดิม — ทำรายได้กว่า $800

    ผลกระทบในระดับประเทศ
    รัฐบาลมาลาวีสนับสนุนโครงการนี้เพื่อรับมือกับวิกฤตอาหาร
    กว่า 80% ของประชากรพึ่งพาเกษตรกรรม — เป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้ง
    มาลาวีมีอัตราความยากจนสูง และได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติหลายครั้ง
    โครงการนี้ช่วยให้ชาวไร่เล็กเข้าถึงข้อมูลการเกษตรที่เคยเป็นเรื่องไกลตัว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แอฟริกามีฟาร์มขนาดเล็กกว่า 33–50 ล้านแห่ง ผลิตอาหารถึง 70–80% ของภูมิภาค
    การลงทุนในเทคโนโลยีเกษตรในแอฟริกาเพิ่มจาก $10 ล้าน ในปี 2014 เป็น $600 ล้าน ในปี 2022
    AI ช่วยวินิจฉัยโรคพืช ออกแบบปุ๋ย และค้นหาเครื่องมือเกษตรราคาถูก
    การใช้เสียงและภาพในแชตบอตช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้หนังสือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/how-ai-is-helping-some-small-scale-farmers-weather-a-changing-climate
    🌾 “AI ช่วยชาวไร่เล็กในมาลาวีฟื้นฟูหลังพายุ — เมื่อแชตบอตกลายเป็นผู้แนะนำการเพาะปลูกที่เปลี่ยนชีวิต” หลังจากพายุไซโคลน Freddy ถล่มพื้นที่ตอนใต้ของมาลาวีในปี 2023 ชาวไร่เล็กอย่าง Alex Maere สูญเสียไร่ข้าวโพดที่เคยผลิตได้ถึง 850 กิโลกรัมต่อฤดูกาล เหลือเพียง 8 กิโลกรัมจากดินที่ถูกน้ำพัดหายไป เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด Maere เป็นหนึ่งในชาวไร่หลายพันคนที่เริ่มใช้แชตบอต AI ชื่อ “Ulangizi” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรไม่แสวงกำไร Opportunity International โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาลาวี แชตบอตนี้ทำงานผ่าน WhatsApp และรองรับทั้งภาษาอังกฤษและ Chichewa ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศ Ulangizi ไม่เพียงให้คำแนะนำทั่วไป แต่สามารถวิเคราะห์สภาพดินและเสนอพืชที่เหมาะสม เช่น แนะนำให้ Maere ปลูกมันฝรั่งร่วมกับข้าวโพดและมันสำปะหลัง ซึ่งทำให้เขาสามารถขายผลผลิตได้มากกว่า 800 ดอลลาร์ และนำเงินไปจ่ายค่าเรียนให้ลูก ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล ในระดับประเทศ มาลาวีกำลังเผชิญกับวิกฤตอาหารจากภัยธรรมชาติและผลกระทบของเอลนีโญ ซึ่งส่งผลต่อการเลือกตั้งระดับชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกว่า 80% ของประชากร 21 ล้านคนพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีอัตราความยากจนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แม้ AI จะช่วยยกระดับการเกษตรในแอฟริกาได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การวินิจฉัยโรคพืช การพยากรณ์ภัยแล้ง และการออกแบบปุ๋ย แต่ก็ยังมีอุปสรรค เช่น ความหลากหลายทางภาษา การรู้หนังสือที่ต่ำ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ยังไม่ทั่วถึงในพื้นที่ชนบท ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alex Maere สูญเสียไร่จากพายุไซโคลน Freddy และหันมาใช้แชตบอต AI เพื่อฟื้นฟู ➡️ แชตบอต “Ulangizi” พัฒนาโดย Opportunity International และทำงานผ่าน WhatsApp ➡️ รองรับภาษาอังกฤษและ Chichewa — ใช้ได้แม้ผู้ใช้ไม่รู้หนังสือ ➡️ แนะนำให้ปลูกมันฝรั่งร่วมกับพืชเดิม — ทำรายได้กว่า $800 ✅ ผลกระทบในระดับประเทศ ➡️ รัฐบาลมาลาวีสนับสนุนโครงการนี้เพื่อรับมือกับวิกฤตอาหาร ➡️ กว่า 80% ของประชากรพึ่งพาเกษตรกรรม — เป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้ง ➡️ มาลาวีมีอัตราความยากจนสูง และได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติหลายครั้ง ➡️ โครงการนี้ช่วยให้ชาวไร่เล็กเข้าถึงข้อมูลการเกษตรที่เคยเป็นเรื่องไกลตัว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แอฟริกามีฟาร์มขนาดเล็กกว่า 33–50 ล้านแห่ง ผลิตอาหารถึง 70–80% ของภูมิภาค ➡️ การลงทุนในเทคโนโลยีเกษตรในแอฟริกาเพิ่มจาก $10 ล้าน ในปี 2014 เป็น $600 ล้าน ในปี 2022 ➡️ AI ช่วยวินิจฉัยโรคพืช ออกแบบปุ๋ย และค้นหาเครื่องมือเกษตรราคาถูก ➡️ การใช้เสียงและภาพในแชตบอตช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้หนังสือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/how-ai-is-helping-some-small-scale-farmers-weather-a-changing-climate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How AI is helping some small-scale farmers weather a changing climate
    Alex Maere survived the destruction of Cyclone Freddy when it tore through southern Malawi in 2023. His farm didn't.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำไมเราถึง ‘วนลูป’ ความคิดลบ — เมื่อคำพูดธรรมดาอาจกระตุ้นคำถามใหญ่ในใจ และเปลี่ยนชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว”

    Gregory M. Walton นักจิตวิทยาจาก Stanford ได้เขียนบทความใน Behavioral Scientist เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่หลายคนเคยเจอแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร — การ “วนลูป” ความคิดลบที่เริ่มจากเหตุการณ์เล็ก ๆ แล้วขยายกลายเป็นความรู้สึกด้อยค่า ความไม่มั่นใจ และการกระทำที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่ตั้งใจ

    เขายกตัวอย่างง่าย ๆ: ถ้าคุณเป็นพนักงานอาวุโสแล้วเข้าสายในการประชุม Zoom คำพูดประชดจากเพื่อนอาจฟังดูขำ ๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานใหม่ คำพูดเดียวกันจากหัวหน้าอาจกระตุ้นคำถามในใจว่า “ฉันเหมาะกับที่นี่ไหม?” “เขาไม่ชอบฉันหรือเปล่า?” แล้วความคิดเหล่านั้นก็เริ่มหมุนวนไม่หยุด

    Walton เรียกกระบวนการนี้ว่า “สาม C” ของการวนลูป ได้แก่:

    1️⃣Core Questions — คำถามพื้นฐานในชีวิต เช่น ฉันมีคุณค่าไหม? ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า?

    2️⃣ Construal — การตีความโลกผ่านเลนส์ของคำถามนั้น เช่น ถ้าเรากังวลว่าไม่เป็นที่ยอมรับ เราอาจมองทุกการกระทำของคนอื่นว่าเป็นการปฏิเสธ

    3️⃣ Calcification — เมื่อความคิดลบฝังแน่นจากการกระทำของเราเอง เช่น เราตอบกลับข้อความด้วยความประชด แล้วคนที่ส่งมาก็เริ่มตีตัวออกห่าง

    Walton เสนอว่าเราสามารถ “หยุดลูป” ได้ ด้วยการเข้าใจว่าคำถามในใจเราคืออะไร และหาวิธีตอบมันอย่างมีสติ เช่น การใช้ “wise interventions” — การแทรกแซงทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ที่มีผลระยะยาว เช่น จดหมายให้กำลังใจ, การสะท้อนความรู้สึก, หรือแม้แต่การเข้าใจว่า “ทุกคนก็เคยรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับ” ก็ช่วยให้เราหยุดลูปได้

    กระบวนการวนลูปทางจิตใจ
    เริ่มจากคำถามพื้นฐานในใจ เช่น “ฉันมีคุณค่าไหม?” “ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า?”
    เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่นคำพูดประชด อาจกระตุ้นคำถามนั้นให้ลุกขึ้นมา
    เราตีความสิ่งรอบตัวผ่านเลนส์ของคำถามนั้น — เห็นหลักฐานยืนยันความคิดลบ
    เราเริ่มกระทำตามความคิดนั้น เช่น ตอบกลับประชด หรือแยกตัวออกจากคนอื่น

    แนวทางหยุดลูปและสร้างลูปบวก
    เข้าใจว่า “core question” ของเราคืออะไร และมันกำลังทำงานอยู่หรือไม่
    ใช้ “wise interventions” เช่น การสะท้อนความรู้สึก หรือการให้ข้อมูลที่เปลี่ยนมุมมอง
    ตัวอย่างเช่น จดหมายให้กำลังใจสามารถลดอัตราการกลับไปกระทำผิดของเยาวชน
    การสะท้อนเรื่อง “ความเป็นส่วนหนึ่ง” ในปีแรกของมหาวิทยาลัย ส่งผลต่อความสุขและความสำเร็จในระยะยาว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Confirmation bias” คือแนวโน้มที่เราจะมองหาหลักฐานที่ยืนยันความเชื่อเดิม
    “Tifbit” คือคำที่ Walton ใช้เรียก “tiny fact, big theory” — เหตุการณ์เล็กที่กระตุ้นความคิดใหญ่
    การเข้าใจว่าเราทุกคนมีคำถามในใจเหมือนกัน ช่วยให้เรามีเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น
    การสร้างลูปบวกเริ่มจากการให้คำตอบที่ดีต่อคำถามในใจ — ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง

    https://behavioralscientist.org/why-we-spiral/
    🌀 “ทำไมเราถึง ‘วนลูป’ ความคิดลบ — เมื่อคำพูดธรรมดาอาจกระตุ้นคำถามใหญ่ในใจ และเปลี่ยนชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว” Gregory M. Walton นักจิตวิทยาจาก Stanford ได้เขียนบทความใน Behavioral Scientist เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่หลายคนเคยเจอแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร — การ “วนลูป” ความคิดลบที่เริ่มจากเหตุการณ์เล็ก ๆ แล้วขยายกลายเป็นความรู้สึกด้อยค่า ความไม่มั่นใจ และการกระทำที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่ตั้งใจ เขายกตัวอย่างง่าย ๆ: ถ้าคุณเป็นพนักงานอาวุโสแล้วเข้าสายในการประชุม Zoom คำพูดประชดจากเพื่อนอาจฟังดูขำ ๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานใหม่ คำพูดเดียวกันจากหัวหน้าอาจกระตุ้นคำถามในใจว่า “ฉันเหมาะกับที่นี่ไหม?” “เขาไม่ชอบฉันหรือเปล่า?” แล้วความคิดเหล่านั้นก็เริ่มหมุนวนไม่หยุด Walton เรียกกระบวนการนี้ว่า “สาม C” ของการวนลูป ได้แก่: 1️⃣Core Questions — คำถามพื้นฐานในชีวิต เช่น ฉันมีคุณค่าไหม? ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า? 2️⃣ Construal — การตีความโลกผ่านเลนส์ของคำถามนั้น เช่น ถ้าเรากังวลว่าไม่เป็นที่ยอมรับ เราอาจมองทุกการกระทำของคนอื่นว่าเป็นการปฏิเสธ 3️⃣ Calcification — เมื่อความคิดลบฝังแน่นจากการกระทำของเราเอง เช่น เราตอบกลับข้อความด้วยความประชด แล้วคนที่ส่งมาก็เริ่มตีตัวออกห่าง Walton เสนอว่าเราสามารถ “หยุดลูป” ได้ ด้วยการเข้าใจว่าคำถามในใจเราคืออะไร และหาวิธีตอบมันอย่างมีสติ เช่น การใช้ “wise interventions” — การแทรกแซงทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ที่มีผลระยะยาว เช่น จดหมายให้กำลังใจ, การสะท้อนความรู้สึก, หรือแม้แต่การเข้าใจว่า “ทุกคนก็เคยรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับ” ก็ช่วยให้เราหยุดลูปได้ ✅ กระบวนการวนลูปทางจิตใจ ➡️ เริ่มจากคำถามพื้นฐานในใจ เช่น “ฉันมีคุณค่าไหม?” “ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า?” ➡️ เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่นคำพูดประชด อาจกระตุ้นคำถามนั้นให้ลุกขึ้นมา ➡️ เราตีความสิ่งรอบตัวผ่านเลนส์ของคำถามนั้น — เห็นหลักฐานยืนยันความคิดลบ ➡️ เราเริ่มกระทำตามความคิดนั้น เช่น ตอบกลับประชด หรือแยกตัวออกจากคนอื่น ✅ แนวทางหยุดลูปและสร้างลูปบวก ➡️ เข้าใจว่า “core question” ของเราคืออะไร และมันกำลังทำงานอยู่หรือไม่ ➡️ ใช้ “wise interventions” เช่น การสะท้อนความรู้สึก หรือการให้ข้อมูลที่เปลี่ยนมุมมอง ➡️ ตัวอย่างเช่น จดหมายให้กำลังใจสามารถลดอัตราการกลับไปกระทำผิดของเยาวชน ➡️ การสะท้อนเรื่อง “ความเป็นส่วนหนึ่ง” ในปีแรกของมหาวิทยาลัย ส่งผลต่อความสุขและความสำเร็จในระยะยาว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Confirmation bias” คือแนวโน้มที่เราจะมองหาหลักฐานที่ยืนยันความเชื่อเดิม ➡️ “Tifbit” คือคำที่ Walton ใช้เรียก “tiny fact, big theory” — เหตุการณ์เล็กที่กระตุ้นความคิดใหญ่ ➡️ การเข้าใจว่าเราทุกคนมีคำถามในใจเหมือนกัน ช่วยให้เรามีเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น ➡️ การสร้างลูปบวกเริ่มจากการให้คำตอบที่ดีต่อคำถามในใจ — ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง https://behavioralscientist.org/why-we-spiral/
    BEHAVIORALSCIENTIST.ORG
    Why We Spiral - by Gregory M. Walton - Behavioral Scientist
    Questions of who we are or what we’re worth can send us into a tailspin. But the very same processes that pull us down can propel us up, too.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Pontevedra เมืองที่ออกแบบเพื่อคน ไม่ใช่รถ — โมเดลเมืองเดินได้ที่เปลี่ยนชีวิตคนทั้งเมือง และอาจเปลี่ยนยุโรปทั้งทวีป”

    ในขณะที่เมืองใหญ่ทั่วยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ความแออัด และอุบัติเหตุจากรถยนต์ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนชื่อว่า Pontevedra กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป — โดยเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า ไม่ใช่รถยนต์

    ตั้งแต่ปี 1999 ที่นายกเทศมนตรี Miguel Anxo Fernández Lores เข้ารับตำแหน่ง เมืองนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองอย่างจริงจัง โดยไม่ห้ามรถยนต์แบบเด็ดขาด แต่จำกัดการใช้งานเฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉิน รถบริการสาธารณะ หรือการขนส่งผู้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว

    ผลลัพธ์คือเมืองที่มีอากาศสะอาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด — เด็กๆ เดินไปโรงเรียนเองได้ ผู้สูงอายุออกมาเดินเล่นได้อย่างมั่นใจ และร้านค้าท้องถิ่นกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะคนเดินเท้ามีโอกาสแวะซื้อของมากขึ้น

    Pontevedra ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เช่น UN-Habitat Award และ EU Urban Road Safety Award จากการลดอุบัติเหตุถึงขั้น “ไม่มีผู้เสียชีวิตบนถนนในเมืองเลย” เป็นเวลากว่า 10 ปี และลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 67% ตั้งแต่เริ่มโครงการ

    นอกจากการออกแบบเมืองให้เดินได้ เมืองยังมีระบบแผนที่ Metrominuto ที่บอกระยะทางและแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการเดินไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเข้าใจในการใช้พื้นที่เมืองอย่างมีประสิทธิภาพ

    โมเดลเมืองของ Pontevedra
    จำกัดการใช้รถยนต์เฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉินและขนส่ง
    เปลี่ยนพื้นที่ 490 เฮกตาร์เป็น “เขตลดการจราจร”
    ไม่มีการจอดรถในพื้นที่สาธารณะระหว่าง 18.00–08.00 น.
    ความเร็วรถในเมืองถูกจำกัดเหลือ 10–30 กม./ชม. ตามพื้นที่

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
    ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนในเมืองนานกว่า 10 ปี
    เด็ก 73% เดินไปโรงเรียน โดย 29% เดินเอง
    การเดินและปั่นจักรยานเพิ่มจาก 66% เป็น 90% ภายใน 10 ปี
    ลดการปล่อย CO₂ ได้ประมาณ 67% ตั้งแต่ปลายยุค 1990

    การออกแบบเมืองเพื่อคน
    ถนนและทางเท้าในใจกลางเมืองไม่มีเส้นแบ่ง — คนเดินนำ
    มีแผนที่ Metrominuto บอกระยะทางและแคลอรี่จากการเดิน
    ร้านค้าเล็กๆ กลับมาคึกคักเพราะคนเดินเท้าแวะซื้อของ
    พื้นที่สาธารณะถูกใช้จัดกิจกรรม วัฒนธรรม และการพบปะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เมืองอื่นในยุโรปเริ่มทำตาม เช่น Freiburg, Oslo, Barcelona
    EU มีโครงการ Climate-Neutral and Smart Cities สนับสนุนเมืองแบบนี้
    เครือข่าย “Ciudades que caminan” ส่งเสริมการเดินในเมืองทั่วสเปน
    เมืองที่ออกแบบให้เดินได้ช่วยเพิ่มสมาธิเด็กและสุขภาพประชาชน

    https://www.greeneuropeanjournal.eu/made-for-people-not-cars-reclaiming-european-cities/
    🚶‍♀️ “Pontevedra เมืองที่ออกแบบเพื่อคน ไม่ใช่รถ — โมเดลเมืองเดินได้ที่เปลี่ยนชีวิตคนทั้งเมือง และอาจเปลี่ยนยุโรปทั้งทวีป” ในขณะที่เมืองใหญ่ทั่วยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ ความแออัด และอุบัติเหตุจากรถยนต์ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปนชื่อว่า Pontevedra กลับเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป — โดยเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นพื้นที่สำหรับคนเดินเท้า ไม่ใช่รถยนต์ ตั้งแต่ปี 1999 ที่นายกเทศมนตรี Miguel Anxo Fernández Lores เข้ารับตำแหน่ง เมืองนี้ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองอย่างจริงจัง โดยไม่ห้ามรถยนต์แบบเด็ดขาด แต่จำกัดการใช้งานเฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉิน รถบริการสาธารณะ หรือการขนส่งผู้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว ผลลัพธ์คือเมืองที่มีอากาศสะอาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด — เด็กๆ เดินไปโรงเรียนเองได้ ผู้สูงอายุออกมาเดินเล่นได้อย่างมั่นใจ และร้านค้าท้องถิ่นกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะคนเดินเท้ามีโอกาสแวะซื้อของมากขึ้น Pontevedra ยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติ เช่น UN-Habitat Award และ EU Urban Road Safety Award จากการลดอุบัติเหตุถึงขั้น “ไม่มีผู้เสียชีวิตบนถนนในเมืองเลย” เป็นเวลากว่า 10 ปี และลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 67% ตั้งแต่เริ่มโครงการ นอกจากการออกแบบเมืองให้เดินได้ เมืองยังมีระบบแผนที่ Metrominuto ที่บอกระยะทางและแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการเดินไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเข้าใจในการใช้พื้นที่เมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ โมเดลเมืองของ Pontevedra ➡️ จำกัดการใช้รถยนต์เฉพาะกรณีจำเป็น เช่น รถฉุกเฉินและขนส่ง ➡️ เปลี่ยนพื้นที่ 490 เฮกตาร์เป็น “เขตลดการจราจร” ➡️ ไม่มีการจอดรถในพื้นที่สาธารณะระหว่าง 18.00–08.00 น. ➡️ ความเร็วรถในเมืองถูกจำกัดเหลือ 10–30 กม./ชม. ตามพื้นที่ ✅ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ➡️ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนในเมืองนานกว่า 10 ปี ➡️ เด็ก 73% เดินไปโรงเรียน โดย 29% เดินเอง ➡️ การเดินและปั่นจักรยานเพิ่มจาก 66% เป็น 90% ภายใน 10 ปี ➡️ ลดการปล่อย CO₂ ได้ประมาณ 67% ตั้งแต่ปลายยุค 1990 ✅ การออกแบบเมืองเพื่อคน ➡️ ถนนและทางเท้าในใจกลางเมืองไม่มีเส้นแบ่ง — คนเดินนำ ➡️ มีแผนที่ Metrominuto บอกระยะทางและแคลอรี่จากการเดิน ➡️ ร้านค้าเล็กๆ กลับมาคึกคักเพราะคนเดินเท้าแวะซื้อของ ➡️ พื้นที่สาธารณะถูกใช้จัดกิจกรรม วัฒนธรรม และการพบปะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เมืองอื่นในยุโรปเริ่มทำตาม เช่น Freiburg, Oslo, Barcelona ➡️ EU มีโครงการ Climate-Neutral and Smart Cities สนับสนุนเมืองแบบนี้ ➡️ เครือข่าย “Ciudades que caminan” ส่งเสริมการเดินในเมืองทั่วสเปน ➡️ เมืองที่ออกแบบให้เดินได้ช่วยเพิ่มสมาธิเด็กและสุขภาพประชาชน https://www.greeneuropeanjournal.eu/made-for-people-not-cars-reclaiming-european-cities/
    WWW.GREENEUROPEANJOURNAL.EU
    Made for People, Not Cars: Reclaiming European Cities
    By prioritising residents over private vehicles, a Spanish municipality has overcome some of the biggest challenges facing Europe’s cities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5
    เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม
    มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้)
    หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
    ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?)
    เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ
    นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ
    ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว
    เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007
    เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง)
    เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt
    ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่)


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5 เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้) หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?) เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007 เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง) เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ความอดทน"...คือพลังเงียบ ที่เปลี่ยนชีวิตได้
    Cr.Wiwan Boonya
    "ความอดทน"...คือพลังเงียบ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ Cr.Wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ดร.เอ้” โพสต์ซึ้ง! ฉลองครบรอบ 65 ปี “ลาดกระบัง” ชี้เป็นสถาบันที่เปลี่ยนชีวิต พร้อมเผยความภาคภูมิใจในการพัฒนาองค์กรสู่สถาบันการศึกษาชั้นนำ
    https://www.thai-tai.tv/news/21104/
    .
    #สุชัชวีร์ #สจล #ลาดกระบัง #KMITL #การศึกษา #ไทยไท
    “ดร.เอ้” โพสต์ซึ้ง! ฉลองครบรอบ 65 ปี “ลาดกระบัง” ชี้เป็นสถาบันที่เปลี่ยนชีวิต พร้อมเผยความภาคภูมิใจในการพัฒนาองค์กรสู่สถาบันการศึกษาชั้นนำ https://www.thai-tai.tv/news/21104/ . #สุชัชวีร์ #สจล #ลาดกระบัง #KMITL #การศึกษา #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • รั้วไฟฟ้าที่ไม่มีไฟ: ความกลัวที่ขังเราไว้ แม้มันจะพังไปนานแล้ว

    บทความเริ่มจากเรื่องของสุนัขตัวหนึ่งที่ไม่กล้าออกจากระเบียงบ้าน แม้ว่า “รั้วไฟฟ้า” ที่เคยฝึกมันไว้จะเสียมานานแล้ว เจ้าของบอกว่า “มันไม่ออกไปหรอก รั้วไฟฟ้าเสียมาหลายปีแล้ว แต่มันยังไม่กล้าเดินข้าม” นั่นคือภาพของการถูกขังด้วยความทรงจำ ไม่ใช่สิ่งกีดขวางจริง

    รั้วไฟฟ้าในชีวิตจริงของเราก็มีลักษณะคล้ายกัน—ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ความรู้สึกว่าเราไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มต้น ความคิดว่า “ถ้าเขาไม่ทักมา แสดงว่าเขาไม่แคร์” ทั้งหมดนี้คือรั้วที่ไม่มีไฟ แต่เรายังไม่กล้าข้าม

    บทความชวนให้เรากล้าทำสิ่งเล็ก ๆ ที่อาจเปลี่ยนชีวิต เช่น ส่งข้อความ “คิดถึงนะ สบายดีไหม” หรือโทรหาใครสักคนที่เราห่างเหินไปนาน เพราะการเชื่อมโยงไม่ใช่เรื่องของการนับแต้ม แต่เป็นเรื่องของความกล้า

    และคนที่กล้าทำก่อน ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่คือคนที่รู้ว่ารั้วนั้นพังไปนานแล้ว และเลือกที่จะวิ่งออกไปสู่โลกที่เปิดกว้าง

    ภาพเปรียบเทียบของรั้วไฟฟ้า
    สุนัขไม่กล้าออกจากระเบียง แม้รั้วไฟฟ้าจะเสียไปแล้ว
    ความทรงจำของความเจ็บปวดทำให้มันยังคงอยู่ในกรอบเดิม
    เปรียบเทียบกับมนุษย์ที่ถูกขังด้วยความกลัวในอดีต

    รั้วไฟฟ้าในชีวิตจริง
    ความคิดว่า “ถ้าเราทักไป เขาจะคิดว่าเราน่ารำคาญ”
    ความกลัวที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้น หรือถูกมองว่าอ่อนแอ
    ความเชื่อว่าการไม่ถูกทักคือการไม่ถูกแคร์

    การเชื่อมโยงที่แท้จริง
    ไม่มีใครรำคาญเมื่อมีคนทักมาถามว่า “เป็นยังไงบ้าง”
    การเชื่อมโยงไม่ใช่การนับแต้ม แต่คือความกล้า
    แค่ 20 วินาทีของความกล้า อาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ได้

    ข้อเสนอจาก Soonly
    แอป Soonly ส่งข้อความเตือนให้ “ทักใครสักคนวันนี้”
    ช่วยให้การเชื่อมโยงกลายเป็นนิสัย ไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจชั่วคราว
    สร้างผลลัพธ์ที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ได้จริง

    ความคิดว่า “ถ้าเขาไม่ทักมา แสดงว่าเขาไม่แคร์” เป็นกับดักทางใจ
    การรอให้คนอื่นเริ่มก่อน อาจทำให้เรายืนอยู่บนระเบียงไปตลอดชีวิต
    ความกล้าเล็ก ๆ ที่ไม่กล้าทำ อาจเป็นสิ่งเดียวที่ขวางเราไว้จากความสุข

    https://soonly.com/electric-fences/
    🧠 รั้วไฟฟ้าที่ไม่มีไฟ: ความกลัวที่ขังเราไว้ แม้มันจะพังไปนานแล้ว บทความเริ่มจากเรื่องของสุนัขตัวหนึ่งที่ไม่กล้าออกจากระเบียงบ้าน แม้ว่า “รั้วไฟฟ้า” ที่เคยฝึกมันไว้จะเสียมานานแล้ว เจ้าของบอกว่า “มันไม่ออกไปหรอก รั้วไฟฟ้าเสียมาหลายปีแล้ว แต่มันยังไม่กล้าเดินข้าม” นั่นคือภาพของการถูกขังด้วยความทรงจำ ไม่ใช่สิ่งกีดขวางจริง รั้วไฟฟ้าในชีวิตจริงของเราก็มีลักษณะคล้ายกัน—ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ความรู้สึกว่าเราไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มต้น ความคิดว่า “ถ้าเขาไม่ทักมา แสดงว่าเขาไม่แคร์” ทั้งหมดนี้คือรั้วที่ไม่มีไฟ แต่เรายังไม่กล้าข้าม บทความชวนให้เรากล้าทำสิ่งเล็ก ๆ ที่อาจเปลี่ยนชีวิต เช่น ส่งข้อความ “คิดถึงนะ สบายดีไหม” หรือโทรหาใครสักคนที่เราห่างเหินไปนาน เพราะการเชื่อมโยงไม่ใช่เรื่องของการนับแต้ม แต่เป็นเรื่องของความกล้า และคนที่กล้าทำก่อน ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่คือคนที่รู้ว่ารั้วนั้นพังไปนานแล้ว และเลือกที่จะวิ่งออกไปสู่โลกที่เปิดกว้าง ✅ ภาพเปรียบเทียบของรั้วไฟฟ้า ➡️ สุนัขไม่กล้าออกจากระเบียง แม้รั้วไฟฟ้าจะเสียไปแล้ว ➡️ ความทรงจำของความเจ็บปวดทำให้มันยังคงอยู่ในกรอบเดิม ➡️ เปรียบเทียบกับมนุษย์ที่ถูกขังด้วยความกลัวในอดีต ✅ รั้วไฟฟ้าในชีวิตจริง ➡️ ความคิดว่า “ถ้าเราทักไป เขาจะคิดว่าเราน่ารำคาญ” ➡️ ความกลัวที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้น หรือถูกมองว่าอ่อนแอ ➡️ ความเชื่อว่าการไม่ถูกทักคือการไม่ถูกแคร์ ✅ การเชื่อมโยงที่แท้จริง ➡️ ไม่มีใครรำคาญเมื่อมีคนทักมาถามว่า “เป็นยังไงบ้าง” ➡️ การเชื่อมโยงไม่ใช่การนับแต้ม แต่คือความกล้า ➡️ แค่ 20 วินาทีของความกล้า อาจเปลี่ยนความสัมพันธ์ได้ ✅ ข้อเสนอจาก Soonly ➡️ แอป Soonly ส่งข้อความเตือนให้ “ทักใครสักคนวันนี้” ➡️ ช่วยให้การเชื่อมโยงกลายเป็นนิสัย ไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจชั่วคราว ➡️ สร้างผลลัพธ์ที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ได้จริง ⛔ ความคิดว่า “ถ้าเขาไม่ทักมา แสดงว่าเขาไม่แคร์” เป็นกับดักทางใจ ⛔ การรอให้คนอื่นเริ่มก่อน อาจทำให้เรายืนอยู่บนระเบียงไปตลอดชีวิต ⛔ ความกล้าเล็ก ๆ ที่ไม่กล้าทำ อาจเป็นสิ่งเดียวที่ขวางเราไว้จากความสุข https://soonly.com/electric-fences/
    SOONLY.COM
    The Electric Fence Stopped Working Years Ago
    "Don't worry, he won't leave the porch. The electric fence hasn't worked in years, but he still won't go past it."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • “คู่บาป – คู่บุญ”
    เปลี่ยนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ‘ใจที่รู้ทัน’ ของทั้งสองฝ่าย

    ‘บาป’ ไม่ใช่คำที่อยู่แต่ในหนังสือธรรมะ
    แต่คือสภาวะของใจที่ถูกปรุงแต่งให้มัวหมอง
    เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด
    คล้ายถูกเสียดแทงอยู่ข้างใน… แม้ไม่มีใครลงโทษ

    ที่น่ากลัวคือ…
    ตอนก่อบาป บางครั้งมันกลับ “สุข”
    สุขจากการได้ทำร้ายใคร
    สุขจากการเอาชนะคนที่เคยขัดใจ
    สุขจากความสะใจที่เหนือกว่า

    นี่แหละคือกับดักของบาป
    ที่มันปลอมตัวมาในรูป “ความฟินชั่วคราว”
    แต่ผลสุดท้ายคือการผลักให้เราตกต่ำ
    ไปสู่ทุกข์ที่สะสมลึกในใจ

    แล้ว “คู่บาป” คือใคร?

    คือคนที่เรา เคยมีสายใยดี
    แต่วันหนึ่งค่อยๆกลายเป็น
    คนที่ “ตั้งใจทำร้ายกัน” เป็นนิสัย

    ไม่ว่าจะด้วยคำพูดกัด
    สีหน้าปึงปัง
    การกระแทกอารมณ์
    หรือแม้แต่การใช้ความเฉยชาที่เจ็บยิ่งกว่า…

    คนเราจะไม่เป็นคู่บาปกัน
    ถ้าไม่มีช่วงเวลาดีๆร่วมกันมาก่อน
    เพราะความรักปะปนกับความเจ็บ
    เลยทำให้ “ไปไหนไม่รอด”
    เพราะเสียดาย และยังผูกใจ

    แล้วเราจะเปลี่ยน ‘คู่บาป’ ให้เป็น ‘คู่บุญ’ ได้หรือไม่?

    คู่บาป ใช้เพียง “ความตั้งใจร้ายข้างเดียว”
    ก็สร้างความเสียหายได้แล้ว

    แต่คู่บุญ
    ต้องใช้ “ความตั้งใจดีจากทั้งสองฝ่าย”
    จึงจะเยียวยา สร้างใหม่ และประคองใจให้เติบโตได้

    หากวันใดมีสติร่วมกัน
    เห็นทันอารมณ์ร้ายที่กำลังผุด
    แล้วช่วยกันหันหลังให้ความเคยชินเดิม
    หันหน้าเข้าหานิสัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเมตตา

    นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจาก “คู่เวร”
    เป็น “คู่ฟื้นใจ”

    บทสรุปจากใจธรรมะ

    คู่บาปนึกถึงแล้วเจ็บจริง

    คู่บุญนึกถึงแล้วอุ่นจริง

    คู่บาปเกิดขึ้นได้ง่าย

    คู่บุญต้องร่วมกันสร้าง!

    “จะกลายเป็นคู่บุญได้ไหม
    ไม่ขึ้นอยู่กับใครคนเดียว…
    แต่อยู่ที่ ‘ทั้งคู่’
    มีใจจริงแค่ไหน
    ที่จะตั้งต้นใหม่ด้วยความเข้าใจและสติ”

    #คู่บาปคู่บุญ #ธรรมะเปลี่ยนชีวิต #ก้าวพ้นเวร #รักอย่างมีสติ
    🌿 “คู่บาป – คู่บุญ” เปลี่ยนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ‘ใจที่รู้ทัน’ ของทั้งสองฝ่าย ‘บาป’ ไม่ใช่คำที่อยู่แต่ในหนังสือธรรมะ แต่คือสภาวะของใจที่ถูกปรุงแต่งให้มัวหมอง เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด คล้ายถูกเสียดแทงอยู่ข้างใน… แม้ไม่มีใครลงโทษ ที่น่ากลัวคือ… ตอนก่อบาป บางครั้งมันกลับ “สุข” สุขจากการได้ทำร้ายใคร สุขจากการเอาชนะคนที่เคยขัดใจ สุขจากความสะใจที่เหนือกว่า นี่แหละคือกับดักของบาป ที่มันปลอมตัวมาในรูป “ความฟินชั่วคราว” แต่ผลสุดท้ายคือการผลักให้เราตกต่ำ ไปสู่ทุกข์ที่สะสมลึกในใจ 👥 แล้ว “คู่บาป” คือใคร? คือคนที่เรา เคยมีสายใยดี แต่วันหนึ่งค่อยๆกลายเป็น คนที่ “ตั้งใจทำร้ายกัน” เป็นนิสัย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดกัด สีหน้าปึงปัง การกระแทกอารมณ์ หรือแม้แต่การใช้ความเฉยชาที่เจ็บยิ่งกว่า… คนเราจะไม่เป็นคู่บาปกัน ถ้าไม่มีช่วงเวลาดีๆร่วมกันมาก่อน เพราะความรักปะปนกับความเจ็บ เลยทำให้ “ไปไหนไม่รอด” เพราะเสียดาย และยังผูกใจ 💡 แล้วเราจะเปลี่ยน ‘คู่บาป’ ให้เป็น ‘คู่บุญ’ ได้หรือไม่? คู่บาป ใช้เพียง “ความตั้งใจร้ายข้างเดียว” ก็สร้างความเสียหายได้แล้ว แต่คู่บุญ ต้องใช้ “ความตั้งใจดีจากทั้งสองฝ่าย” จึงจะเยียวยา สร้างใหม่ และประคองใจให้เติบโตได้ หากวันใดมีสติร่วมกัน เห็นทันอารมณ์ร้ายที่กำลังผุด แล้วช่วยกันหันหลังให้ความเคยชินเดิม หันหน้าเข้าหานิสัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเมตตา นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจาก “คู่เวร” เป็น “คู่ฟื้นใจ” 🕊️ บทสรุปจากใจธรรมะ คู่บาปนึกถึงแล้วเจ็บจริง คู่บุญนึกถึงแล้วอุ่นจริง คู่บาปเกิดขึ้นได้ง่าย คู่บุญต้องร่วมกันสร้าง! “จะกลายเป็นคู่บุญได้ไหม ไม่ขึ้นอยู่กับใครคนเดียว… แต่อยู่ที่ ‘ทั้งคู่’ มีใจจริงแค่ไหน ที่จะตั้งต้นใหม่ด้วยความเข้าใจและสติ” 🌱 #คู่บาปคู่บุญ #ธรรมะเปลี่ยนชีวิต #ก้าวพ้นเวร #รักอย่างมีสติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • อยากเปลี่ยนชีวิต ให้เริ่มเปลี่ยนที่
    "วิธีคิด" และ "มุมมอง"
    Cr.Wiwan Boonya
    อยากเปลี่ยนชีวิต ให้เริ่มเปลี่ยนที่ "วิธีคิด" และ "มุมมอง" Cr.Wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมคนบางคนมีแต่คนรัก…
    แต่บางคนเจอแต่คนเกลียด — ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด?

    ถ้าคุณเคยรู้สึกว่า
    “อยู่เฉยๆ ยังมีคนหมั่นไส้”
    “ยังไม่ทันรู้จักกันดี ก็โดนรุมเกลียดแบบไม่มีเหตุผล”
    หรือแม้แต่… “มีแต่คนพร้อมจะซ้ำเติมยามล้ม”
    โพสต์นี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจเบื้องหลังของกระแสดึงดูดเวรภัยในชีวิตได้ลึกขึ้น

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    ภัยเวร ที่เกิดขึ้นกับชีวิต
    มักมีเหตุ ๒ ทางเสมอ —
    1. นิสัยในปัจจุบัน ที่ก่อคลื่นรบกวนจิตใจผู้อื่น
    2. วิบากกรรมเก่า ที่ติดตามมาให้ผลเหมือนแม่เหล็ก

    บางคนมีนิสัยดีทางกาย
    แต่ไม่รู้เลยว่าตนเองส่งกระแสจิต “อคติแรง”
    หรือ “เห็นแก่ตัวลึกๆ” ออกไป
    บางคนจิตหม่น เศร้า อาฆาตอยู่ภายใน
    ก็สร้างบรรยากาศมืดทึบ ให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัดโดยไม่รู้ตัว

    ขณะเดียวกัน บางคนไม่ได้ทำนิสัยไม่ดีอะไรเลย
    แต่ยังคงมีกรรมเก่าเปิดช่องให้ดึงดูดเวรภัยเข้ามา
    ทำให้ “แค่เห็นหน้า ก็รู้สึกไม่ถูกชะตา”
    หรือ “อยู่เฉยๆ ก็มีคนอยากกลั่นแกล้งแบบไม่มีเหตุผล”

    เมื่อเคยมีอำนาจเบียดเบียนใครในอดีต
    คุณอาจต้องมาอยู่ในวงล้อมของศัตรูในปัจจุบัน
    และเมื่อคุณเคย “แอบสะใจตอนคนอื่นล้ม”
    วันหนึ่ง…คุณอาจต้องล้มกลางวง
    ให้คนอื่นสะใจบ้างแบบไม่เข้าใจเหตุผล

    👁 แต่ธรรมะให้ทางออกเสมอ
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดใน เวรสูตร ว่า
    หากเราละภัยเวรทั้ง 5
    (ฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ผิดในกาม, พูดเท็จ, เมา)
    เราจะค่อยๆ ห่างจากเวรภัยได้จริง — แม้ในชาตินี้!

    จงอยู่อย่างผู้ที่ตั้งใจละภัยเวร
    แม้จะยังมีภัยเวรตามทัน
    แต่เมื่อจิตไม่ตอบโต้ ไม่เอาคืน
    ไม่หวังให้ใครเจ็บเหมือนเรา
    เวรจะค่อยๆ หยุดด้วยตัวมันเอง
    และผู้ที่เราเคยเป็นเวรด้วย อาจกลายเป็นมิตรได้อย่างน่าอัศจรรย์

    จำไว้ว่า…
    แม้คุณจะ “เกิดมาเพื่อโดนเกลียด”
    แต่คุณสามารถ “ตายจากไปในฐานะผู้เป็นที่รัก” ได้
    ด้วยทางเดียวคือ… ละเวรให้สำเร็จ!

    #ธรรมะเปลี่ยนชีวิต
    #เวรภัยมีจริงแต่ละได้
    #แม่เหล็กชีวิตมีพลัง
    #โพสต์ที่ใครกำลังโดนเกลียดควรอ่าน
    🧲 ทำไมคนบางคนมีแต่คนรัก… แต่บางคนเจอแต่คนเกลียด — ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด? ถ้าคุณเคยรู้สึกว่า “อยู่เฉยๆ ยังมีคนหมั่นไส้” “ยังไม่ทันรู้จักกันดี ก็โดนรุมเกลียดแบบไม่มีเหตุผล” หรือแม้แต่… “มีแต่คนพร้อมจะซ้ำเติมยามล้ม” โพสต์นี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจเบื้องหลังของกระแสดึงดูดเวรภัยในชีวิตได้ลึกขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ภัยเวร ที่เกิดขึ้นกับชีวิต มักมีเหตุ ๒ ทางเสมอ — 1. นิสัยในปัจจุบัน ที่ก่อคลื่นรบกวนจิตใจผู้อื่น 2. วิบากกรรมเก่า ที่ติดตามมาให้ผลเหมือนแม่เหล็ก บางคนมีนิสัยดีทางกาย แต่ไม่รู้เลยว่าตนเองส่งกระแสจิต “อคติแรง” หรือ “เห็นแก่ตัวลึกๆ” ออกไป บางคนจิตหม่น เศร้า อาฆาตอยู่ภายใน ก็สร้างบรรยากาศมืดทึบ ให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัดโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกัน บางคนไม่ได้ทำนิสัยไม่ดีอะไรเลย แต่ยังคงมีกรรมเก่าเปิดช่องให้ดึงดูดเวรภัยเข้ามา ทำให้ “แค่เห็นหน้า ก็รู้สึกไม่ถูกชะตา” หรือ “อยู่เฉยๆ ก็มีคนอยากกลั่นแกล้งแบบไม่มีเหตุผล” 🔁 เมื่อเคยมีอำนาจเบียดเบียนใครในอดีต คุณอาจต้องมาอยู่ในวงล้อมของศัตรูในปัจจุบัน และเมื่อคุณเคย “แอบสะใจตอนคนอื่นล้ม” วันหนึ่ง…คุณอาจต้องล้มกลางวง ให้คนอื่นสะใจบ้างแบบไม่เข้าใจเหตุผล 👁 แต่ธรรมะให้ทางออกเสมอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดใน เวรสูตร ว่า หากเราละภัยเวรทั้ง 5 (ฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, ผิดในกาม, พูดเท็จ, เมา) เราจะค่อยๆ ห่างจากเวรภัยได้จริง — แม้ในชาตินี้! ✨ จงอยู่อย่างผู้ที่ตั้งใจละภัยเวร แม้จะยังมีภัยเวรตามทัน แต่เมื่อจิตไม่ตอบโต้ ไม่เอาคืน ไม่หวังให้ใครเจ็บเหมือนเรา เวรจะค่อยๆ หยุดด้วยตัวมันเอง และผู้ที่เราเคยเป็นเวรด้วย อาจกลายเป็นมิตรได้อย่างน่าอัศจรรย์ จำไว้ว่า… แม้คุณจะ “เกิดมาเพื่อโดนเกลียด” แต่คุณสามารถ “ตายจากไปในฐานะผู้เป็นที่รัก” ได้ ด้วยทางเดียวคือ… ละเวรให้สำเร็จ! #ธรรมะเปลี่ยนชีวิต #เวรภัยมีจริงแต่ละได้ #แม่เหล็กชีวิตมีพลัง #โพสต์ที่ใครกำลังโดนเกลียดควรอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝึกอานาปานสติ เพื่อรู้ ไม่ใช่เพื่อยึด
    (โพสต์สำหรับนักภาวนาที่รู้สึก "ทำไมไม่สงบเสียที?")

    หลายคนเริ่มต้นภาวนาด้วย “ความอยากสงบเร็วๆ”
    แต่พอลมหายใจยังไม่พาใจนิ่ง
    กลับรู้สึกว่าตัวเอง “คงไม่ถูกจริตกับอานาปานสติ”

    แต่ความจริงคือ…
    ใครก็ตามที่รู้ว่าตัวเองกำลังหายใจ
    ก็มีจริตฝึกอานาปานสติได้ทั้งนั้น

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด
    ไม่ใช่ให้ยึดแต่ลม
    หรือพยายามทำใจให้นิ่งเป็นหุ่นยนต์
    แต่ให้ เห็นความจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละลม
    – ลมนี้เกร็ง รับรู้
    – ลมนี้ฟุ้ง รับรู้
    – ลมนี้สงบ รับรู้
    – ลมนี้เจ็บแน่น ก็รับรู้

    เพราะจุดหมายของอานาปานสติ
    ไม่ใช่ “เอาแต่ดี ยึดแต่สงบเป็นเรือนตาย”
    แต่คือการเห็นว่า… อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง

    ถ้าคุณฝึกด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
    จิตจะค่อยๆ สว่างด้วยปัญญา
    ไม่ใช่แค่เงียบงันเพราะความกดทับ

    เลิกเป็นหุ่นยนต์ภาวนาเถิด
    แล้วคุณจะได้เริ่มเป็น
    “นักเจริญอานาปานสติ” อย่างแท้จริง!

    #ภาวนาไม่ใช่การยึด
    #อานาปานสติไม่ใช่แค่หายใจ
    #เจริญสติแบบรู้ทัน
    #โพสต์เปลี่ยนชีวิต
    🧘‍♂️ ฝึกอานาปานสติ เพื่อรู้ ไม่ใช่เพื่อยึด (โพสต์สำหรับนักภาวนาที่รู้สึก "ทำไมไม่สงบเสียที?") หลายคนเริ่มต้นภาวนาด้วย “ความอยากสงบเร็วๆ” แต่พอลมหายใจยังไม่พาใจนิ่ง กลับรู้สึกว่าตัวเอง “คงไม่ถูกจริตกับอานาปานสติ” แต่ความจริงคือ… ใครก็ตามที่รู้ว่าตัวเองกำลังหายใจ ก็มีจริตฝึกอานาปานสติได้ทั้งนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ไม่ใช่ให้ยึดแต่ลม หรือพยายามทำใจให้นิ่งเป็นหุ่นยนต์ แต่ให้ เห็นความจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละลม – ลมนี้เกร็ง รับรู้ – ลมนี้ฟุ้ง รับรู้ – ลมนี้สงบ รับรู้ – ลมนี้เจ็บแน่น ก็รับรู้ เพราะจุดหมายของอานาปานสติ ไม่ใช่ “เอาแต่ดี ยึดแต่สงบเป็นเรือนตาย” แต่คือการเห็นว่า… อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง 👁️ ถ้าคุณฝึกด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง จิตจะค่อยๆ สว่างด้วยปัญญา ไม่ใช่แค่เงียบงันเพราะความกดทับ เลิกเป็นหุ่นยนต์ภาวนาเถิด แล้วคุณจะได้เริ่มเป็น “นักเจริญอานาปานสติ” อย่างแท้จริง! #ภาวนาไม่ใช่การยึด #อานาปานสติไม่ใช่แค่หายใจ #เจริญสติแบบรู้ทัน #โพสต์เปลี่ยนชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเพิ่งรอให้เชื่อในตัวเอง... ก่อนลงมือทำ

    บางครั้ง "ความเชื่อมั่น" ไม่ได้มาก่อน "การกระทำ"
    แต่จะ ค่อยๆงอกขึ้น ระหว่างที่คุณ “ลงมือทำ” อย่างต่อเนื่อง

    เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ทำให้ดี
    แม้ไม่มีใครเห็น
    แม้ยังไม่มั่นใจ
    เพราะ เรื่องเล็กๆ คือแบบฝึกหัดของ เรื่องใหญ่ๆ เสมอ

    ถ้ายังไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้
    ก็แค่… “ทำให้ได้ก่อน”
    แล้วความเชื่อจะตามมาเอง!

    #เริ่มที่เล็ก #แล้วค่อยใหญ่เอง
    #สร้างความเชื่อจากการลงมือ
    #โพสต์เปลี่ยนชีวิต
    🌱 อย่าเพิ่งรอให้เชื่อในตัวเอง... ก่อนลงมือทำ บางครั้ง "ความเชื่อมั่น" ไม่ได้มาก่อน "การกระทำ" แต่จะ ค่อยๆงอกขึ้น ระหว่างที่คุณ “ลงมือทำ” อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ทำให้ดี แม้ไม่มีใครเห็น แม้ยังไม่มั่นใจ เพราะ เรื่องเล็กๆ คือแบบฝึกหัดของ เรื่องใหญ่ๆ เสมอ 💬 ถ้ายังไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ก็แค่… “ทำให้ได้ก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง! #เริ่มที่เล็ก #แล้วค่อยใหญ่เอง #สร้างความเชื่อจากการลงมือ #โพสต์เปลี่ยนชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณอยากเปลี่ยนชะตาชีวิตจริงๆ...

    อย่าเริ่มจากการไปหาหมอดู
    อย่าเริ่มจากการทำพิธีใหญ่
    อย่าเริ่มจากการบ่นว่าอยากเปลี่ยนตัวเอง

    แต่ให้เริ่มจากการเปลี่ยนวิธี “โต้ตอบ” กับชะตาร้าย!

    ใครเคยมีชีวิตที่ถูกรังแกซ้ำๆ
    ใครเคยรู้สึกว่า "ทำไมชีวิตเหมือนโดนชะตากรรมตามหลอกหลอน"
    รู้ไว้เถอะ... ไม่ใช่เพราะโชคร้าย
    แต่เป็นผลของกรรมเดิมที่เคยทำมา “ทั้งชีวิต” ในอดีต

    การจะเปลี่ยนชะตา
    ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรา "อยากดี" แค่ไหน
    แต่อยู่ที่ว่าเรา "ดีให้เห็น" ได้แค่ไหนในทุกวัน

    ถ้าเคยโมโหตอบ… เปลี่ยนเป็นรู้ทันอารมณ์
    ถ้าเคยอาฆาต… เปลี่ยนเป็นอภัย
    ถ้าเคยน้อยใจ… เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นทำดีให้คนอื่นเห็น
    ถ้าเคยซัดกลับ… เปลี่ยนเป็นสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ใครเจ็บเหมือนเรา

    เมื่อคุณเปลี่ยน “ตัวที่โต้ตอบกับกรรม”
    ชะตาร้ายก็จะ "ตามตัวไม่เจอ"
    หรือแม้เจอ… ก็ทำอะไรคุณไม่ได้เต็มที่

    อย่าหวังเปลี่ยนชีวิต ด้วยของขลังหรือเคล็ดลับ
    แต่ให้สะสม “วิธีคิดแบบใหม่”
    สร้าง “พฤติกรรมแบบใหม่”
    ด้วยใจแบบใหม่… ที่ต่อเนื่องจนกลายเป็นตัวตนจริงๆ

    คนที่เปลี่ยนชะตาได้
    ไม่ใช่คนที่ใช้แรงเชียร์ตัวเองว่าต้องเปลี่ยนให้ได้วันนี้
    แต่คือคนที่ "เปลี่ยนวันละนิด" ด้วยใจแน่วแน่วันละหน

    ไม่ต้องสำเร็จทันที
    แต่ต้องซื่อตรงกับความตั้งใจทุกวัน

    เพราะสุดท้ายแล้ว…

    ชะตาไม่ได้เปลี่ยนจากการขอ
    แต่เปลี่ยนจาก “การกระทำ” ทุกครั้งที่คุณมีโอกาส

    #โพสต์ธรรมะเปลี่ยนใจ
    #ชะตาเปลี่ยนได้เมื่อใจเปลี่ยนจริง
    #กรรมใหม่ที่เปลี่ยนกรรมเก่า
    #ไม่ต้องรอปาฏิหาริย์ให้ทำดี
    🌀 ถ้าคุณอยากเปลี่ยนชะตาชีวิตจริงๆ... อย่าเริ่มจากการไปหาหมอดู อย่าเริ่มจากการทำพิธีใหญ่ อย่าเริ่มจากการบ่นว่าอยากเปลี่ยนตัวเอง แต่ให้เริ่มจากการเปลี่ยนวิธี “โต้ตอบ” กับชะตาร้าย! ใครเคยมีชีวิตที่ถูกรังแกซ้ำๆ ใครเคยรู้สึกว่า "ทำไมชีวิตเหมือนโดนชะตากรรมตามหลอกหลอน" รู้ไว้เถอะ... ไม่ใช่เพราะโชคร้าย แต่เป็นผลของกรรมเดิมที่เคยทำมา “ทั้งชีวิต” ในอดีต การจะเปลี่ยนชะตา ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรา "อยากดี" แค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าเรา "ดีให้เห็น" ได้แค่ไหนในทุกวัน 💡 ถ้าเคยโมโหตอบ… เปลี่ยนเป็นรู้ทันอารมณ์ 💡 ถ้าเคยอาฆาต… เปลี่ยนเป็นอภัย 💡 ถ้าเคยน้อยใจ… เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นทำดีให้คนอื่นเห็น 💡 ถ้าเคยซัดกลับ… เปลี่ยนเป็นสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ใครเจ็บเหมือนเรา เมื่อคุณเปลี่ยน “ตัวที่โต้ตอบกับกรรม” ชะตาร้ายก็จะ "ตามตัวไม่เจอ" หรือแม้เจอ… ก็ทำอะไรคุณไม่ได้เต็มที่ 🚫 อย่าหวังเปลี่ยนชีวิต ด้วยของขลังหรือเคล็ดลับ ✅ แต่ให้สะสม “วิธีคิดแบบใหม่” ✅ สร้าง “พฤติกรรมแบบใหม่” ✅ ด้วยใจแบบใหม่… ที่ต่อเนื่องจนกลายเป็นตัวตนจริงๆ 🔥 คนที่เปลี่ยนชะตาได้ ไม่ใช่คนที่ใช้แรงเชียร์ตัวเองว่าต้องเปลี่ยนให้ได้วันนี้ แต่คือคนที่ "เปลี่ยนวันละนิด" ด้วยใจแน่วแน่วันละหน ไม่ต้องสำเร็จทันที แต่ต้องซื่อตรงกับความตั้งใจทุกวัน เพราะสุดท้ายแล้ว… ชะตาไม่ได้เปลี่ยนจากการขอ แต่เปลี่ยนจาก “การกระทำ” ทุกครั้งที่คุณมีโอกาส #โพสต์ธรรมะเปลี่ยนใจ #ชะตาเปลี่ยนได้เมื่อใจเปลี่ยนจริง #กรรมใหม่ที่เปลี่ยนกรรมเก่า #ไม่ต้องรอปาฏิหาริย์ให้ทำดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4/4 รวมลิงค์คลิปดีๆจากโค๊ชนาตาลี
    วิธีดูนิสัยเพื่อปรับพลังงานจักระ
    https://www.youtube.com/watch?v=59IvOIZzLSk
    12 วิธีบาลานซ์จักระราก พื้นฐานสำคัญของชีวิต
    https://www.youtube.com/watch?v=HHIviG2eS1s
    15 วิธีกำจัดสิ่งอุดตันจักระที่ 2 Sacral Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=dMFv_3GVGW0
    12 วิธีกลับมารักและเห็นคุณค่าในตัวเอง เยียวยาจักระที่ 3 Solar Plexus
    https://www.youtube.com/watch?v=lCny-83ctuY&t=1509s
    14 วิธีกลับมารักตัวเอง บาลานซ์จักระที่ 4 Heart Chakra
    การไม่กล้าพูดกับโรคไทรอยด์">https://www.youtube.com/watch?v=XXdbi8cXpwU&t=799sการไม่กล้าพูดกับโรคไทรอยด์ ต้องแก้ที่จักระ 5 Throat Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=gYaFOO0aIqk&t=168s
    อยากมีญาณทิพย์ และความจำดี ต้องปรับที่จักระที่ 6 Third Eye Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=H12ZKu_L21Y
    อยากอยากสื่อกับพลังจักรวาลได้ ต้องเปิดจักระที่ 7 Crown Chakra
    https://www.youtube.com/watch?v=o7laeVgU-yk


    เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็ง! ต้องทำยังไง? ดูคลิปนี้
    https://youtu.be/peJhQGXnw_0
    มะเร็งกลับมารอบ 2 ทำยังไง!? ประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี
    https://youtu.be/m36XYSpuuMc
    ผลข้างเคียงยาต้านฮอร์โมน ที่หมออาจไม่เคยบอกคุณ!
    https://youtu.be/q95ryAqsnJs
    ไม่ทานยาต้านฮอร์โมนได้ไหม?
    https://youtu.be/t_YUAmJt1G8
    ทำไมบางคนดีท็อกซ์แล้วอาการแย่ลง?
    https://youtu.be/uZCfJ91R-0c
    Brain Tumors เนื้องอกสมองทำให้ยุบได้ไหม?
    https://youtu.be/bwe49infoyc
    รับคีโม-พุ่งเป้ามา ร่างกายไม่มีแรง ฟื้นฟูอย่างไร?
    https://youtu.be/EZaAgRUNamQ
    หลังรับ วซ มา ประจำเดือนขาด-มาไม่ปกติ ทำอย่างไร?
    https://youtu.be/soUK8PmWX8E?si=oMwYhTvl7M1YkxK-
    3 สิ่งที่สำคัญที่สุด! ที่ทำให้พิชิตมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ใน 2 เดือน!
    https://youtu.be/bIU-LwShS5g
    การรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่
    https://www.youtube.com/live/SZQiJ0FXkss
    คุณคือพลาซีโบ By ดร.โจ ดิสเพนซา ตอน: ความคิดเปลี่ยนแปลงสมอง & ร่างกายได้อย่างไร?
    https://www.youtube.com/watch?v=qPd1frafNWE&t=847s
    ผลข้างเคียงของยาต้านฮอร์โมน และประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี
    https://www.youtube.com/watch?v=scUdQxqKFH8
    ผลข้างเคียงของยาคีโมที่หมอไม่บอกคุณ !! แชร์ประสบการณ์ตรง
    https://www.youtube.com/watch?v=81Wiox18Y_A
    3 ขั้นตอนปรับจิตและสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ
    https://www.youtube.com/watch?v=5r-Lnoqz4Cg
    Ep.1 ความสัมพันธ์ของโรคต่างๆกับสมอง - Neocortex
    https://www.youtube.com/watch?v=XnPFoRDT6aE&t=46s
    Ep.2 ความสัมพันธ์ของความกลัวและโรคต่างๆกับสมองส่วนกลาง Limbic System
    https://www.youtube.com/watch?v=IDtKHRcAlLo
    Ep.3 6 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ Reptilian Brain
    https://www.youtube.com/watch?v=2aTl-g3SCbI
    Ep.4 การทำงานของต่อมไพเนียล และต่อมใต้สมอง กับฮอร์โมนแห่งความสุข
    https://www.youtube.com/watch?v=Er49qcZiZ5U
    Ep.5 วิธีเปลี่ยนคลื่นสมองกำจัดโรค และเปลี่ยนยีนได้ภายใน 4 วัน
    https://www.youtube.com/watch?v=f7RwEmOmdtQ
    4/4 รวมลิงค์คลิปดีๆจากโค๊ชนาตาลี ✍️วิธีดูนิสัยเพื่อปรับพลังงานจักระ https://www.youtube.com/watch?v=59IvOIZzLSk ✍️12 วิธีบาลานซ์จักระราก พื้นฐานสำคัญของชีวิต https://www.youtube.com/watch?v=HHIviG2eS1s ✍️15 วิธีกำจัดสิ่งอุดตันจักระที่ 2 Sacral Chakra https://www.youtube.com/watch?v=dMFv_3GVGW0 ✍️12 วิธีกลับมารักและเห็นคุณค่าในตัวเอง เยียวยาจักระที่ 3 Solar Plexus https://www.youtube.com/watch?v=lCny-83ctuY&t=1509s ✍️14 วิธีกลับมารักตัวเอง บาลานซ์จักระที่ 4 Heart Chakra https://www.youtube.com/watch?v=XXdbi8cXpwU&t=799s✍️การไม่กล้าพูดกับโรคไทรอยด์ ต้องแก้ที่จักระ 5 Throat Chakra https://www.youtube.com/watch?v=gYaFOO0aIqk&t=168s ✍️อยากมีญาณทิพย์ และความจำดี ต้องปรับที่จักระที่ 6 Third Eye Chakra https://www.youtube.com/watch?v=H12ZKu_L21Y ✍️อยากอยากสื่อกับพลังจักรวาลได้ ต้องเปิดจักระที่ 7 Crown Chakra https://www.youtube.com/watch?v=o7laeVgU-yk ✍️เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็ง! ต้องทำยังไง? ดูคลิปนี้ https://youtu.be/peJhQGXnw_0 ✍️มะเร็งกลับมารอบ 2 ทำยังไง!? ประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี https://youtu.be/m36XYSpuuMc ✍️ผลข้างเคียงยาต้านฮอร์โมน ที่หมออาจไม่เคยบอกคุณ! https://youtu.be/q95ryAqsnJs ✍️ไม่ทานยาต้านฮอร์โมนได้ไหม? https://youtu.be/t_YUAmJt1G8 ✍️ทำไมบางคนดีท็อกซ์แล้วอาการแย่ลง? https://youtu.be/uZCfJ91R-0c ✍️Brain Tumors เนื้องอกสมองทำให้ยุบได้ไหม? https://youtu.be/bwe49infoyc ✍️รับคีโม-พุ่งเป้ามา ร่างกายไม่มีแรง ฟื้นฟูอย่างไร? https://youtu.be/EZaAgRUNamQ ✍️หลังรับ วซ มา ประจำเดือนขาด-มาไม่ปกติ ทำอย่างไร? https://youtu.be/soUK8PmWX8E?si=oMwYhTvl7M1YkxK- ✍️3 สิ่งที่สำคัญที่สุด! ที่ทำให้พิชิตมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ใน 2 เดือน! https://youtu.be/bIU-LwShS5g ✍️การรักษาโรคด้วยเทคโนโลยีในยุคสมัยใหม่ https://www.youtube.com/live/SZQiJ0FXkss ✍️คุณคือพลาซีโบ By ดร.โจ ดิสเพนซา ตอน: ความคิดเปลี่ยนแปลงสมอง & ร่างกายได้อย่างไร? https://www.youtube.com/watch?v=qPd1frafNWE&t=847s ✍️ผลข้างเคียงของยาต้านฮอร์โมน และประสบการณ์ตรงของโค้ชนาตาลี https://www.youtube.com/watch?v=scUdQxqKFH8 ✍️ผลข้างเคียงของยาคีโมที่หมอไม่บอกคุณ !! แชร์ประสบการณ์ตรง https://www.youtube.com/watch?v=81Wiox18Y_A ✍️3 ขั้นตอนปรับจิตและสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ https://www.youtube.com/watch?v=5r-Lnoqz4Cg ✍️Ep.1 ความสัมพันธ์ของโรคต่างๆกับสมอง - Neocortex https://www.youtube.com/watch?v=XnPFoRDT6aE&t=46s ✍️Ep.2 ความสัมพันธ์ของความกลัวและโรคต่างๆกับสมองส่วนกลาง Limbic System https://www.youtube.com/watch?v=IDtKHRcAlLo ✍️Ep.3 6 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ Reptilian Brain https://www.youtube.com/watch?v=2aTl-g3SCbI ✍️Ep.4 การทำงานของต่อมไพเนียล และต่อมใต้สมอง กับฮอร์โมนแห่งความสุข https://www.youtube.com/watch?v=Er49qcZiZ5U ✍️Ep.5 วิธีเปลี่ยนคลื่นสมองกำจัดโรค และเปลี่ยนยีนได้ภายใน 4 วัน https://www.youtube.com/watch?v=f7RwEmOmdtQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 563 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนบางคนเปลี่ยนชีวิตเรา...โดยไม่รู้ตัว
    Cr.Wiwan Boonya
    คนบางคนเปลี่ยนชีวิตเรา...โดยไม่รู้ตัว Cr.Wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚫️ 9 บทเรียนจาก “ความตาย” ที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง

    บางคนต้อง “ตายจริง” ถึงจะเข้าใจชีวิต
    แต่บางคนแค่ “กล้าฟัง” ก็เริ่มเปลี่ยนได้แล้ว

    เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
    แต่คือบทเรียนที่อาจเปลี่ยน “วิธีอยู่” ของคุณไปตลอดกาล

    1. ความตายไม่ใช่จุดจบ...แค่เปลี่ยนสถานะ
    เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่การสูญหาย
    ชีวิตหลังตายยังมีอยู่ เพียงแค่ไม่ใช่ในร่างนี้

    2. เราไม่ได้ถูกส่งมา...เราเลือกมาเอง
    ทุกข์ที่เจอ พ่อแม่ที่ได้ บาดแผลที่เคยมี
    ล้วนเป็น “บทเรียนที่วิญญาณเลือก” เพื่อเติบโต
    เพราะ “วิญญาณไม่ได้เกิดมาเพื่อสบาย แต่มาเพื่อเรียนรู้”

    3. โรคบางโรค...มาจากความรู้สึกในอดีต
    บางคนเจ็บป่วยเพราะใจไม่เคยหาย
    แผลที่ไม่เยียวยาในชาติก่อน กลายเป็นความป่วยในชาตินี้
    บางที...สิ่งที่เราต้องรักษา อาจไม่ใช่ร่างกาย แต่คือ “ใจที่ให้อภัยตัวเอง”

    4. คนที่ทำให้เจ็บ...อาจคือคนที่เคยรักที่สุดในอีกภพหนึ่ง
    เขาอาจคือ “คู่สัญญาทางวิญญาณ”
    ที่ตกลงกันไว้ว่า เราจะเจ็บ เพื่อเราจะโต
    ไม่ใช่ทุกความเจ็บที่ไร้ค่า ถ้าเรามองเห็นบทเรียน

    5. ทุกเรื่องในชีวิต...ไม่เคยเกิดแบบสุ่ม
    คนที่มาเจอ เหตุการณ์ที่เจอ ล้วนเป็น “แผนการเรียนรู้”
    แทนที่จะถามว่า “ทำไมต้องเกิดกับฉัน”
    ลองถามว่า “ฉันควรเรียนรู้อะไรจากมัน” แทน

    6. โลกหลังความตาย...ไม่มีอะไรนอกจาก “ความรัก”
    คนที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบอกตรงกันว่า
    สิ่งที่ชัดที่สุด คือ “ความรักบริสุทธิ์”
    ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด
    บางทีเราอาจเริ่มใช้ “คุณภาพของโลกหน้า” มาเติมเต็มโลกนี้ได้แล้ว

    7. การให้อภัย...คือการปลดปล่อยจิตตัวเอง
    ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายถูก
    แต่เพราะเราพอแล้วกับการจองจำตัวเองไว้กับอดีต
    ถ้าไม่ให้อภัย เราจะต้องแบก “ปม” ไปข้ามภพข้ามชาติ

    8. คนที่กลัวตาย...มักเป็นคนที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้ม
    ยังไม่ได้รัก
    ยังไม่ได้ขอโทษ
    ยังไม่ได้ให้อภัย
    ยังไม่ได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง
    เมื่อเรา “ใช้ชีวิตจนเต็ม” ความตายจะไม่น่ากลัวอีกต่อไป

    9. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงิน...แต่เพื่อหาความหมาย
    เงินแค่เครื่องมือ
    แต่สิ่งที่วิญญาณตามหา คือ “ความหมาย” ของการมีชีวิต
    ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วรู้ว่า…
    "เราตื่นมาเพื่ออะไร"

    ถ้าโพสต์นี้ทำให้คุณรู้สึกบางอย่าง
    อย่าเพิ่งเลื่อนผ่านแบบเดิม ๆ
    ลองหยุดเพื่อทบทวน
    และ “เลือกอยู่” อย่างคนที่เข้าใจการจากไป

    #อ่านไปเรื่อยๆสรุปให้
    #ธรรมะเข้าใจง่าย
    #บทเรียนจากความตาย
    #อยู่ให้คุ้มก่อนจาก
    #โพสต์ธรรมะแบบมีชีวิต
    ⚫️ 9 บทเรียนจาก “ความตาย” ที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง บางคนต้อง “ตายจริง” ถึงจะเข้าใจชีวิต แต่บางคนแค่ “กล้าฟัง” ก็เริ่มเปลี่ยนได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือบทเรียนที่อาจเปลี่ยน “วิธีอยู่” ของคุณไปตลอดกาล 1. ความตายไม่ใช่จุดจบ...แค่เปลี่ยนสถานะ เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่การสูญหาย ชีวิตหลังตายยังมีอยู่ เพียงแค่ไม่ใช่ในร่างนี้ 2. เราไม่ได้ถูกส่งมา...เราเลือกมาเอง ทุกข์ที่เจอ พ่อแม่ที่ได้ บาดแผลที่เคยมี ล้วนเป็น “บทเรียนที่วิญญาณเลือก” เพื่อเติบโต เพราะ “วิญญาณไม่ได้เกิดมาเพื่อสบาย แต่มาเพื่อเรียนรู้” 3. โรคบางโรค...มาจากความรู้สึกในอดีต บางคนเจ็บป่วยเพราะใจไม่เคยหาย แผลที่ไม่เยียวยาในชาติก่อน กลายเป็นความป่วยในชาตินี้ บางที...สิ่งที่เราต้องรักษา อาจไม่ใช่ร่างกาย แต่คือ “ใจที่ให้อภัยตัวเอง” 4. คนที่ทำให้เจ็บ...อาจคือคนที่เคยรักที่สุดในอีกภพหนึ่ง เขาอาจคือ “คู่สัญญาทางวิญญาณ” ที่ตกลงกันไว้ว่า เราจะเจ็บ เพื่อเราจะโต ไม่ใช่ทุกความเจ็บที่ไร้ค่า ถ้าเรามองเห็นบทเรียน 5. ทุกเรื่องในชีวิต...ไม่เคยเกิดแบบสุ่ม คนที่มาเจอ เหตุการณ์ที่เจอ ล้วนเป็น “แผนการเรียนรู้” แทนที่จะถามว่า “ทำไมต้องเกิดกับฉัน” ลองถามว่า “ฉันควรเรียนรู้อะไรจากมัน” แทน 6. โลกหลังความตาย...ไม่มีอะไรนอกจาก “ความรัก” คนที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายบอกตรงกันว่า สิ่งที่ชัดที่สุด คือ “ความรักบริสุทธิ์” ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด บางทีเราอาจเริ่มใช้ “คุณภาพของโลกหน้า” มาเติมเต็มโลกนี้ได้แล้ว 7. การให้อภัย...คือการปลดปล่อยจิตตัวเอง ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายถูก แต่เพราะเราพอแล้วกับการจองจำตัวเองไว้กับอดีต ถ้าไม่ให้อภัย เราจะต้องแบก “ปม” ไปข้ามภพข้ามชาติ 8. คนที่กลัวตาย...มักเป็นคนที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้ม ยังไม่ได้รัก ยังไม่ได้ขอโทษ ยังไม่ได้ให้อภัย ยังไม่ได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง เมื่อเรา “ใช้ชีวิตจนเต็ม” ความตายจะไม่น่ากลัวอีกต่อไป 9. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงิน...แต่เพื่อหาความหมาย เงินแค่เครื่องมือ แต่สิ่งที่วิญญาณตามหา คือ “ความหมาย” ของการมีชีวิต ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วรู้ว่า… "เราตื่นมาเพื่ออะไร" 🖤 ถ้าโพสต์นี้ทำให้คุณรู้สึกบางอย่าง อย่าเพิ่งเลื่อนผ่านแบบเดิม ๆ ลองหยุดเพื่อทบทวน และ “เลือกอยู่” อย่างคนที่เข้าใจการจากไป #อ่านไปเรื่อยๆสรุปให้ #ธรรมะเข้าใจง่าย #บทเรียนจากความตาย #อยู่ให้คุ้มก่อนจาก #โพสต์ธรรมะแบบมีชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เทคโนโลยี ใครว่าไม่น่ากลัว?
    ..aiอันตรายจริงๆนะ,เปลี่ยนชีวิตคนได้เลยหากคนควบคุมมันไม่ได้หรือให้ปกติได้,ร้ายกว่าคนเลย,ถ้ามนุษย์เข้าไปในระบบมันหรือเราใช้นัันนี้ในระบบมัน,แบบไม่ใช่ใช้เน็ตนั้นล่ะ,เน็ตคือaiก็ได้,ทำลายเน็ต ทำลายคลื่นคือทำลายai,นี้ไม่เกี่ยวกับหุ่นยนต์จักรกลอีกลักษณะหนึ่งนะที่ไม่มีเน็ตมันก็ไม่เป็นไร้ อิสระจัดการตนเองที่เขียนโปรแกรมเฉพาะให้มันแต่ละรุ่นคนคิดสร้างหุ่นยนต์จักรกลนั้นๆที่ระบบคลื่นความถี่ใดๆควบคุมมันไม่ได้ หรือเน็ตใดๆแฮ็กระบบมันไม่ได้ก็ว่า,ยุคอนาคตเราต้องเจอระบบaiแน่นอน.
    ..ปัจจุบันจะภาพจะคลิปใดๆaiทำขึ้นได้เองหมดแล้ว.

    https://youtu.be/j_VORCxMAx8?si=hyz853IbzO9qK2sy
    ..เทคโนโลยี ใครว่าไม่น่ากลัว? ..aiอันตรายจริงๆนะ,เปลี่ยนชีวิตคนได้เลยหากคนควบคุมมันไม่ได้หรือให้ปกติได้,ร้ายกว่าคนเลย,ถ้ามนุษย์เข้าไปในระบบมันหรือเราใช้นัันนี้ในระบบมัน,แบบไม่ใช่ใช้เน็ตนั้นล่ะ,เน็ตคือaiก็ได้,ทำลายเน็ต ทำลายคลื่นคือทำลายai,นี้ไม่เกี่ยวกับหุ่นยนต์จักรกลอีกลักษณะหนึ่งนะที่ไม่มีเน็ตมันก็ไม่เป็นไร้ อิสระจัดการตนเองที่เขียนโปรแกรมเฉพาะให้มันแต่ละรุ่นคนคิดสร้างหุ่นยนต์จักรกลนั้นๆที่ระบบคลื่นความถี่ใดๆควบคุมมันไม่ได้ หรือเน็ตใดๆแฮ็กระบบมันไม่ได้ก็ว่า,ยุคอนาคตเราต้องเจอระบบaiแน่นอน. ..ปัจจุบันจะภาพจะคลิปใดๆaiทำขึ้นได้เองหมดแล้ว. https://youtu.be/j_VORCxMAx8?si=hyz853IbzO9qK2sy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาคืนดีกัน

    ชีวิตของ "อ๋อง" เคยเหมือนเรือลำเล็กที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลหมอกหนาทึบ เขามักจมอยู่กับ "อดีต" (Past) วนเวียนคิดถึงแต่ "สาเหตุ" (Cause) ของความผิดพลาด ความล้มเหลวต่างๆ ที่ฝังใจ จนกลายเป็น "อาการ" (Symptoms) ของความท้อแท้ ไม่มั่นใจ และมองไม่เห็นทางไปต่อในปัจจุบัน สมองซีกซ้ายที่เต็มไปด้วยเหตุผลและคำตำหนิ กับสมองซีกขวาที่โหยหาความฝันและความสุข ดูเหมือนจะทำงานขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา
    วันหนึ่ง อ๋องได้รู้จักกับแนวคิด NLP Coaching ผ่านเว็บไซต์หนึ่ง เหมือนมีแสงสว่างเล็กๆ ส่องเข้ามาในม่านหมอก เขาลองเปิดใจศึกษา ค่อยๆ เรียนรู้วิธีสำรวจความคิด ความเชื่อที่จำกัดตัวเอง และทำความเข้าใจว่าสิ่งที่คอยฉุดรั้งเขาไว้นั้นมาจากไหน

    กระบวนการโค้ชชิ่งพาอ๋องกลับมาโฟกัสที่ "ปัจจุบัน" (Now) สอนให้เขาใช้ "พลังสร้างสรรค์ปัจจุบัน" ที่มีอยู่ในตัว ดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมา เขาเริ่มฝึกตั้ง "เป้าหมาย" (Outcome) ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น "เป้าหมายในอีก 10 สัปดาห์ข้างหน้า" หรือการใช้หลักการ "10.10.10" เพื่อมองภาพความสำเร็จในระยะสั้น กลาง ยาว รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญด้วย "Rule of 5" หรือ 5 สิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน

    อ๋องเริ่มฝึกมอง "ผลลัพธ์" ที่ต้องการ และจินตนาการถึง "ผลกระทบ" (Impact) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเขาทำสำเร็จ ภาพความสำเร็จที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล แม้ในช่วงแรกจะมีบางวันที่เขาท้อแท้ หรือเผลอกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ แต่เขาก็ถูกสอนให้ใช้มุมมองที่ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ" เพื่อเป็นบทเรียนและก้าวต่อไป

    จากคนที่เคยมองโลกในแง่ลบ อ๋องค่อยๆ เปลี่ยนไป เขามีพลังมากขึ้น มีความหวัง มองเห็นเส้นทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น เขารู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกตัวเอง (Breakthrough Success) และก้าวข้ามกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งเคยขวางกั้นเขาไว้มานาน ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...

    หลายปีผ่านไป...
    ชายคนหนึ่งกำลังวาด Mind Map แผ่นนั้นอย่างตั้งใจ บนกระดาษปรากฏภาพสมองซีกซ้าย-ขวา ก้อนเมฆแห่งความคิด และลูกศรที่ชี้จากอดีตสู่อนาคต เขาวาดมันขึ้นมาเพื่อเตรียมใช้สอนและโค้ชชิ่งให้กับลูกศิษย์คนใหม่ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาคล้ายๆ กับที่เขาเคยเจอ

    เขามอง Mind Map แผ่นนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ นึกถึงการเดินทางของตัวเอง จาก "อ๋อง" เด็กหนุ่มที่เคยหลงทาง สู่ "อ.หม่อม" หรือ ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ ดร.วสิษฐ์ พรหมบุตร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Life Alignmentor” (www.lifealignmentor.com) ในวันนี้

    ใช่แล้ว... เรื่องราวทั้งหมดคือประสบการณ์ตรงของเขาเอง วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาของเขาได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง และเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เพื่อส่งต่อพลังนั้นให้กับคนอื่นๆ ต่อไป

    www.lifealignmentor.com
    วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาคืนดีกัน ชีวิตของ "อ๋อง" เคยเหมือนเรือลำเล็กที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลหมอกหนาทึบ เขามักจมอยู่กับ "อดีต" (Past) วนเวียนคิดถึงแต่ "สาเหตุ" (Cause) ของความผิดพลาด ความล้มเหลวต่างๆ ที่ฝังใจ จนกลายเป็น "อาการ" (Symptoms) ของความท้อแท้ ไม่มั่นใจ และมองไม่เห็นทางไปต่อในปัจจุบัน สมองซีกซ้ายที่เต็มไปด้วยเหตุผลและคำตำหนิ กับสมองซีกขวาที่โหยหาความฝันและความสุข ดูเหมือนจะทำงานขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง อ๋องได้รู้จักกับแนวคิด NLP Coaching ผ่านเว็บไซต์หนึ่ง เหมือนมีแสงสว่างเล็กๆ ส่องเข้ามาในม่านหมอก เขาลองเปิดใจศึกษา ค่อยๆ เรียนรู้วิธีสำรวจความคิด ความเชื่อที่จำกัดตัวเอง และทำความเข้าใจว่าสิ่งที่คอยฉุดรั้งเขาไว้นั้นมาจากไหน กระบวนการโค้ชชิ่งพาอ๋องกลับมาโฟกัสที่ "ปัจจุบัน" (Now) สอนให้เขาใช้ "พลังสร้างสรรค์ปัจจุบัน" ที่มีอยู่ในตัว ดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมา เขาเริ่มฝึกตั้ง "เป้าหมาย" (Outcome) ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น "เป้าหมายในอีก 10 สัปดาห์ข้างหน้า" หรือการใช้หลักการ "10.10.10" เพื่อมองภาพความสำเร็จในระยะสั้น กลาง ยาว รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญด้วย "Rule of 5" หรือ 5 สิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน อ๋องเริ่มฝึกมอง "ผลลัพธ์" ที่ต้องการ และจินตนาการถึง "ผลกระทบ" (Impact) ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเขาทำสำเร็จ ภาพความสำเร็จที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล แม้ในช่วงแรกจะมีบางวันที่เขาท้อแท้ หรือเผลอกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ แต่เขาก็ถูกสอนให้ใช้มุมมองที่ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ" เพื่อเป็นบทเรียนและก้าวต่อไป จากคนที่เคยมองโลกในแง่ลบ อ๋องค่อยๆ เปลี่ยนไป เขามีพลังมากขึ้น มีความหวัง มองเห็นเส้นทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น เขารู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกตัวเอง (Breakthrough Success) และก้าวข้ามกำแพงที่มองไม่เห็นซึ่งเคยขวางกั้นเขาไว้มานาน ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล... หลายปีผ่านไป... ชายคนหนึ่งกำลังวาด Mind Map แผ่นนั้นอย่างตั้งใจ บนกระดาษปรากฏภาพสมองซีกซ้าย-ขวา ก้อนเมฆแห่งความคิด และลูกศรที่ชี้จากอดีตสู่อนาคต เขาวาดมันขึ้นมาเพื่อเตรียมใช้สอนและโค้ชชิ่งให้กับลูกศิษย์คนใหม่ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาคล้ายๆ กับที่เขาเคยเจอ เขามอง Mind Map แผ่นนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ นึกถึงการเดินทางของตัวเอง จาก "อ๋อง" เด็กหนุ่มที่เคยหลงทาง สู่ "อ.หม่อม" หรือ ศาสตราจารย์พิศิษฐ์ ดร.วสิษฐ์ พรหมบุตร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ “Life Alignmentor” (www.lifealignmentor.com) ในวันนี้ ใช่แล้ว... เรื่องราวทั้งหมดคือประสบการณ์ตรงของเขาเอง วันที่สมองซีกซ้ายกับซีกขวาของเขาได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันอย่างทรงพลัง และเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เพื่อส่งต่อพลังนั้นให้กับคนอื่นๆ ต่อไป www.lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 786 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่ายอมแพ้แค่เพราะมันยาก แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ในวันที่โลกทั้งใบไม่เข้าข้างคุณ ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่ก็คุ้มค่าที่จะ "ไม่ยอมแพ้"

    แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ไม่หยุด = ชนะ สำหรับคนที่เจอวิกฤต ชีวิตมันยาก...แต่คุณ "ต้องรอด

    บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อคุณ...ผู้ที่กำลังเผชิญช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต ชีวิตอาจไม่ง่าย แต่คุณยังมีพลังเงียบในตัวเองเสมอ ขอแค่คุณไม่หยุดเดิน ก็ถือว่าคุณ "ชนะ" แล้ว

    ชีวิตไม่ได้ง่ายสำหรับใครเลย...แต่คุณก็ยังไปต่อได้เสมอ ทุกคนล้วนมี "วันที่เหนื่อยแทบล้มทั้งยืน" วันที่เหมือนถูกทั้งโลก ผลักให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ วันที่ไม่เหลือแม้แต่ "คำปลอบใจ" จากใครสักคน...

    แต่รู้ไหม? คุณไม่ได้อ่อนแอที่รู้สึกท้อ และคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในความรู้สึกแบบนี้... บทความนี้...เขียนเพื่อคุณ เพื่อบอกคุณว่า "แค่ไม่ยอมแพ้...ก็ถือว่าชนะแล้ว"

    แรงบันดาลใจ ไม่ใช่พลังวิเศษ ไม่ใช่พลังมหาศาลแบบในหนังฮีโร่ แต่มันคือ “พลังเงียบ” ที่ช่วยให้เรา "ลุกจากเตียง" ในวันที่ไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ...

    แรงบันดาลใจ... ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องเว่อร์ แค่คิดถึง "คนที่เรารัก" ก็เป็นพลัง หรือบางทีแค่ "ประโยคหนึ่ง" จากบทความนี้
    ก็อาจเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของคุณได้

    ทำไมเราต้องมีแรงบันดาลใจ? เพราะในวันที่ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผน แรงบันดาลใจจะคอย "เตือนใจ" เราว่า ชีวิตยังมีความหมายอยู่...แม้มันจะยังไม่ง่ายก็ตาม

    เมื่อทุกอย่างพังทลาย...อะไรคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ชีวิตบางครั้งเหมือนห้องที่ถูกพายุถล่ม จนเละไม่มีชิ้นดี บ้านอาจพอซ่อมได้...แต่ “ใจ” ที่พังนี่แหละ ซ่อมยากที่สุด

    ในวันที่คุณรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีแสง ไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ ลองมองดูให้ดี... คุณยังมี “ตัวเอง” ยังมี หัวใจ ที่ยังเต้น แปลว่าคุณยัง "มีโอกาส" ยังมี สมอง ที่จะเปลี่ยนความคิดทุกอย่างได้ และที่สำคัญ...ยัง เลือกได้ เสมอว่าจะ “ลุก” หรือ “นอนจม” ต่อไป

    อย่าลืมว่า...ต่อให้โลกจะไม่เข้าใจ แต่คุณยัง "เข้าใจตัวเอง" ได้เสมอ

    บทเรียนจากวิกฤต ทุกปัญหาคือของขวัญ ในรูปแบบที่เราไม่คาดคิด หลายคนค้นพบ "ตัวเอง" ในช่วงที่ยากที่สุดของชีวิต เพราะชีวิตไม่ได้ส่งวิกฤตมาเพื่อ "ทำร้ายเรา" แต่มันส่งมาเพื่อ "ทำให้เราเติบโต"

    คนที่เคยกลัวความล้มเหลว กลายเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

    คนที่เคยอ่อนแอ กลายเป็นคนที่เข้มแข็งจนคนรอบข้างทึ่ง

    ทุกปัญหา…มีของขวัญซ่อนอยู่ ถ้าคุณ “กล้าพอ” ที่จะเปิดมันออกมาดู

    อย่ายอมแพ้…แม้ในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้างคุณ ในวันที่คุณไม่มีใคร คุณยังมี “ตัวเอง” และคุณต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของตัวเองให้ได้ พูดกับตัวเองในกระจกว่า “เก่งมากแล้วนะ ที่ยังยืนอยู่ได้” ให้กำลังใจตัวเอง แบบที่คุณอยากได้จากคนอื่น

    และจงจำไว้เสมอว่า คุณคือคนเดียวที่อยู่กับตัวเอง ไปจนวันสุดท้าย อย่าให้ความโดดเดี่ยวทำให้คุณยอมแพ้ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกคนเข้าใจ แค่คุณ “เข้าใจตัวเอง” ก็เพียงพอแล้ว

    ความหวัง & ความเชื่อ พลังเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบได้ ความหวัง คือ "แสง" ที่ปลายอุโมงค์ มันอาจจะไกล...แต่มัน "มีอยู่จริง" คนที่เชื่อว่า "ชีวิตจะดีขึ้น" มักมีโอกาส “เจอสิ่งดีๆ” มากกว่าคนที่หมดหวัง

    ความเชื่อ คือ “พลังล่องหน” ที่สามารถขับเคลื่อนเรา แม้ในวันที่ดูเหมือนไม่เหลืออะไรเลย ความหวังไม่ใช่คำปลอบใจ
    แต่มันคือเครื่องมือในการ “เอาตัวรอด” อย่างแท้จริง

    กลยุทธ์ฟื้นตัวในวันที่ชีวิตพัง ทำอย่างไรให้กลับมายืนได้อีกครั้ง

    ตั้งสติ ไม่โทษตัวเอง ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ลงโทษตัวเอง” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “เรียนรู้”

    พัก แต่ไม่ถอย เหนื่อยได้ ร้องไห้ได้ แต่ขอแค่ “อย่าถอยกลับไปที่เดิม”

    มองหาความสุขเล็กๆ อย่ามองหาแต่เป้าหมายใหญ่ จนลืมว่ารอยยิ้มจากกาแฟแก้วหนึ่ง...ก็เป็นพลังได้เหมือนกัน

    เขียนไดอารี่ บันทึกความรู้สึก เพราะเมื่อคุณย้อนกลับมาอ่าน มันจะเตือนว่าคุณ "ผ่านอะไรมาได้มากแค่ไหนแล้ว"

    หาคนฟังที่ไม่ตัดสิน บางครั้งเราต้องการแค่คนที่ “ฟังเรา” โดยไม่พยายามแก้ไขอะไรเลย แค่รับฟัง

    ไม่หยุด = ชนะแล้ว คุณไม่ต้อง "ชนะทุกอย่าง" แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็ถือว่า “คุณชนะแล้ว” ล้มได้ แต่ลุกอีกครั้ง เดินช้าได้ แต่ขอแค่อย่าหยุด เหนื่อยได้ แต่จงจำไว้ว่า "พัก" ไม่ใช่ "ถอย"

    อย่าลืมว่า… คนที่ผ่านช่วงมืดที่สุดมาได้ คือคนที่จะ "สว่างกว่าใคร" เมื่อถึงเวลา

    คำคมสร้างพลังใจ
    "ถ้าคุณยังหายใจอยู่ แปลว่าคุณยังเปลี่ยนทุกอย่างได้เสมอ"

    "ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่มัน ‘คุ้มค่า’ ที่จะใช้"

    "ล้มได้ ไม่เป็นไร ขอแค่ ‘อย่าล้มเลิก’"

    ถ้ารู้สึกท้อทุกวัน ควรเริ่มจากการดูแลตัวเองทีละนิด พักผ่อนให้เพียงพอ หาแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆ และอย่าลืมหาคนที่พร้อมจะฟังคุณอย่างแท้จริง

    หากแรงบันดาลใจหายไป ให้กลับไปหา "จุดเริ่มต้น" ที่ทำให้คุณเริ่มฝัน ลองนึกถึงคนที่คุณอยากภูมิใจในตัวคุณ แล้วเริ่มใหม่จากตรงนั้น

    หากรู้สึกไม่มีค่าเลย เพราะคุณกำลังใช้มาตรฐานของคนอื่น ตัดสินตัวเอง ลองกลับมาโฟกัสที่สิ่งที่คุณทำได้ดี แม้จะเล็กน้อย ก็ยังมีคุณค่า

    ถ้าคุณยังยืนอยู่ได้หลังจากที่เจ็บมา นั่นแปลว่าคุณ “ผ่านวิกฤตมาแล้วครึ่งหนึ่ง”

    เขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต เดินเล่นคนเดียว ไปเที่ยวธรรมชาติ หรือฟังเพลงที่ให้พลังบวก เพื่อฟืเนพลังใจ

    ไม่มีใครเก่งพอจะไม่ล้ม แต่ทุกคนเก่งพอที่จะ “ลุก” ได้เสมอ

    สาระสำคัญที่ควรจดจำ ชีวิตไม่ได้ต้องการให้เราชนะทุกวัน แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็คือ “คุณเก่งมากแล้ว”

    จงเลือกที่จะเดินต่อ...แม้จะช้าก็ตาม เพราะความหวังอยู่ที่ปลายทางเสมอ พร้อมหรือยังที่จะ "ไม่ยอมแพ้"...?
    คุณไปต่อได้แน่นอน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222210 เม.ย. 2568

    #แรงบันดาลใจ #ชีวิตไม่ง่ายแต่ต้องรอด #อย่ายอมแพ้ #กำลังใจดีๆ #สู้ชีวิต #พลังใจ #ความหวังยังมีเสมอ #คำคมชีวิต #เอาชนะใจตัวเอง #ชีวิตคือการเดินทาง
    อย่ายอมแพ้แค่เพราะมันยาก แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ในวันที่โลกทั้งใบไม่เข้าข้างคุณ ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่ก็คุ้มค่าที่จะ "ไม่ยอมแพ้" 🔍 แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ไม่หยุด = ชนะ สำหรับคนที่เจอวิกฤต ชีวิตมันยาก...แต่คุณ "ต้องรอด ✨ 📌 บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อคุณ...ผู้ที่กำลังเผชิญช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต ชีวิตอาจไม่ง่าย แต่คุณยังมีพลังเงียบในตัวเองเสมอ ขอแค่คุณไม่หยุดเดิน ก็ถือว่าคุณ "ชนะ" แล้ว 💪 ชีวิตไม่ได้ง่ายสำหรับใครเลย...แต่คุณก็ยังไปต่อได้เสมอ ทุกคนล้วนมี "วันที่เหนื่อยแทบล้มทั้งยืน" วันที่เหมือนถูกทั้งโลก ผลักให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ วันที่ไม่เหลือแม้แต่ "คำปลอบใจ" จากใครสักคน... แต่รู้ไหม? คุณไม่ได้อ่อนแอที่รู้สึกท้อ และคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในความรู้สึกแบบนี้... บทความนี้...เขียนเพื่อคุณ เพื่อบอกคุณว่า "แค่ไม่ยอมแพ้...ก็ถือว่าชนะแล้ว" 🌟 แรงบันดาลใจ ไม่ใช่พลังวิเศษ ไม่ใช่พลังมหาศาลแบบในหนังฮีโร่ แต่มันคือ “พลังเงียบ” ที่ช่วยให้เรา "ลุกจากเตียง" ในวันที่ไม่อยากตื่นเลยด้วยซ้ำ... แรงบันดาลใจ... ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องเว่อร์ แค่คิดถึง "คนที่เรารัก" ก็เป็นพลัง หรือบางทีแค่ "ประโยคหนึ่ง" จากบทความนี้ ก็อาจเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของคุณได้ 🎯 ทำไมเราต้องมีแรงบันดาลใจ? เพราะในวันที่ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผน แรงบันดาลใจจะคอย "เตือนใจ" เราว่า ชีวิตยังมีความหมายอยู่...แม้มันจะยังไม่ง่ายก็ตาม 🧩 เมื่อทุกอย่างพังทลาย...อะไรคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ชีวิตบางครั้งเหมือนห้องที่ถูกพายุถล่ม จนเละไม่มีชิ้นดี บ้านอาจพอซ่อมได้...แต่ “ใจ” ที่พังนี่แหละ ซ่อมยากที่สุด 🧱 ในวันที่คุณรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีแสง ไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ ลองมองดูให้ดี... คุณยังมี “ตัวเอง” ยังมี หัวใจ ที่ยังเต้น แปลว่าคุณยัง "มีโอกาส" ยังมี สมอง ที่จะเปลี่ยนความคิดทุกอย่างได้ และที่สำคัญ...ยัง เลือกได้ เสมอว่าจะ “ลุก” หรือ “นอนจม” ต่อไป ❤️ อย่าลืมว่า...ต่อให้โลกจะไม่เข้าใจ แต่คุณยัง "เข้าใจตัวเอง" ได้เสมอ ❤️ 🎁 บทเรียนจากวิกฤต ทุกปัญหาคือของขวัญ ในรูปแบบที่เราไม่คาดคิด หลายคนค้นพบ "ตัวเอง" ในช่วงที่ยากที่สุดของชีวิต เพราะชีวิตไม่ได้ส่งวิกฤตมาเพื่อ "ทำร้ายเรา" แต่มันส่งมาเพื่อ "ทำให้เราเติบโต" คนที่เคยกลัวความล้มเหลว กลายเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว คนที่เคยอ่อนแอ กลายเป็นคนที่เข้มแข็งจนคนรอบข้างทึ่ง ทุกปัญหา…มีของขวัญซ่อนอยู่ ถ้าคุณ “กล้าพอ” ที่จะเปิดมันออกมาดู 🤝 อย่ายอมแพ้…แม้ในวันที่ไม่มีใครอยู่ข้างคุณ ในวันที่คุณไม่มีใคร คุณยังมี “ตัวเอง” และคุณต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ของตัวเองให้ได้ พูดกับตัวเองในกระจกว่า “เก่งมากแล้วนะ ที่ยังยืนอยู่ได้” ให้กำลังใจตัวเอง แบบที่คุณอยากได้จากคนอื่น และจงจำไว้เสมอว่า คุณคือคนเดียวที่อยู่กับตัวเอง ไปจนวันสุดท้าย อย่าให้ความโดดเดี่ยวทำให้คุณยอมแพ้ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องมีทุกคนเข้าใจ แค่คุณ “เข้าใจตัวเอง” ก็เพียงพอแล้ว ✨ ความหวัง & ความเชื่อ พลังเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบได้ ความหวัง คือ "แสง" ที่ปลายอุโมงค์ มันอาจจะไกล...แต่มัน "มีอยู่จริง" 💡 คนที่เชื่อว่า "ชีวิตจะดีขึ้น" มักมีโอกาส “เจอสิ่งดีๆ” มากกว่าคนที่หมดหวัง ความเชื่อ คือ “พลังล่องหน” ที่สามารถขับเคลื่อนเรา แม้ในวันที่ดูเหมือนไม่เหลืออะไรเลย ความหวังไม่ใช่คำปลอบใจ แต่มันคือเครื่องมือในการ “เอาตัวรอด” อย่างแท้จริง 🛠️ กลยุทธ์ฟื้นตัวในวันที่ชีวิตพัง ทำอย่างไรให้กลับมายืนได้อีกครั้ง ตั้งสติ ไม่โทษตัวเอง ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่ต้อง “ลงโทษตัวเอง” แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “เรียนรู้” พัก แต่ไม่ถอย เหนื่อยได้ ร้องไห้ได้ แต่ขอแค่ “อย่าถอยกลับไปที่เดิม” มองหาความสุขเล็กๆ อย่ามองหาแต่เป้าหมายใหญ่ จนลืมว่ารอยยิ้มจากกาแฟแก้วหนึ่ง...ก็เป็นพลังได้เหมือนกัน ☕ เขียนไดอารี่ บันทึกความรู้สึก เพราะเมื่อคุณย้อนกลับมาอ่าน มันจะเตือนว่าคุณ "ผ่านอะไรมาได้มากแค่ไหนแล้ว" หาคนฟังที่ไม่ตัดสิน บางครั้งเราต้องการแค่คนที่ “ฟังเรา” โดยไม่พยายามแก้ไขอะไรเลย แค่รับฟัง 🏁 ไม่หยุด = ชนะแล้ว คุณไม่ต้อง "ชนะทุกอย่าง" แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็ถือว่า “คุณชนะแล้ว” ล้มได้ แต่ลุกอีกครั้ง เดินช้าได้ แต่ขอแค่อย่าหยุด เหนื่อยได้ แต่จงจำไว้ว่า "พัก" ไม่ใช่ "ถอย" อย่าลืมว่า… คนที่ผ่านช่วงมืดที่สุดมาได้ คือคนที่จะ "สว่างกว่าใคร" เมื่อถึงเวลา 💬 คำคมสร้างพลังใจ "ถ้าคุณยังหายใจอยู่ แปลว่าคุณยังเปลี่ยนทุกอย่างได้เสมอ" "ชีวิตมันไม่ง่าย...แต่มัน ‘คุ้มค่า’ ที่จะใช้" "ล้มได้ ไม่เป็นไร ขอแค่ ‘อย่าล้มเลิก’" ถ้ารู้สึกท้อทุกวัน ควรเริ่มจากการดูแลตัวเองทีละนิด พักผ่อนให้เพียงพอ หาแรงบันดาลใจจากสิ่งเล็กๆ และอย่าลืมหาคนที่พร้อมจะฟังคุณอย่างแท้จริง หากแรงบันดาลใจหายไป ให้กลับไปหา "จุดเริ่มต้น" ที่ทำให้คุณเริ่มฝัน ลองนึกถึงคนที่คุณอยากภูมิใจในตัวคุณ แล้วเริ่มใหม่จากตรงนั้น หากรู้สึกไม่มีค่าเลย เพราะคุณกำลังใช้มาตรฐานของคนอื่น ตัดสินตัวเอง ลองกลับมาโฟกัสที่สิ่งที่คุณทำได้ดี แม้จะเล็กน้อย ก็ยังมีคุณค่า ถ้าคุณยังยืนอยู่ได้หลังจากที่เจ็บมา นั่นแปลว่าคุณ “ผ่านวิกฤตมาแล้วครึ่งหนึ่ง” เขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต เดินเล่นคนเดียว ไปเที่ยวธรรมชาติ หรือฟังเพลงที่ให้พลังบวก เพื่อฟืเนพลังใจ ไม่มีใครเก่งพอจะไม่ล้ม แต่ทุกคนเก่งพอที่จะ “ลุก” ได้เสมอ 🔑 สาระสำคัญที่ควรจดจำ ชีวิตไม่ได้ต้องการให้เราชนะทุกวัน แค่คุณ “ไม่ยอมแพ้” ก็คือ “คุณเก่งมากแล้ว” จงเลือกที่จะเดินต่อ...แม้จะช้าก็ตาม เพราะความหวังอยู่ที่ปลายทางเสมอ พร้อมหรือยังที่จะ "ไม่ยอมแพ้"...? 💥 คุณไปต่อได้แน่นอน ✨ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 222210 เม.ย. 2568 📱 #แรงบันดาลใจ #ชีวิตไม่ง่ายแต่ต้องรอด #อย่ายอมแพ้ #กำลังใจดีๆ #สู้ชีวิต #พลังใจ #ความหวังยังมีเสมอ #คำคมชีวิต #เอาชนะใจตัวเอง #ชีวิตคือการเดินทาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 954 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👁️‍🗨️ 48 ปี “ปีศาจโดเวอร์” สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งแมสซาชูเซตส์ ตำนานปริศนาอเมริกา ที่ยังไร้คำอธิบาย

    เปิดตำนานปริศนาสุดลึกลับ จากสหรัฐอเมริกา กับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทิ้งคำถาม ไว้ให้โลกค้นหามานานถึงครึ่งศตวรรษ

    เมื่อ “สิ่งลึกลับ” ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วินาที... แต่คนทั้งเมืองจดจำมันได้เป็นสิบปี หากเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบฟังตำนานเมือง หรือหลงใหลในเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบ “X-Files” หรือ “Stranger Things” ไม่ควรพลาดตำนานของ “ปีศาจโดเวอร์” (Dover Demon)

    ปี พ.ศ. 2520 คือปีที่ชื่อของ “Dover Demon” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “โดเวอร์” รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่มีหัวโต ตาเรืองแสง ไม่มีจมูกปาก แขนขายาว ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย และสำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า มันคืออะไร

    ตำนานที่เริ่มต้นจาก “ความบังเอิญ” เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ในคืนเดือนมืด วันพฤหัสบดีอันเงียบสงบของเมืองโดเวอร์ กลับกลายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปตลอดกาล…

    "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" (Bill Bartlett) วัย 17 ปี กำลังขับรถกับเพื่อน ๆ ในถนนสายเปลี่ยว จู่ ๆ เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แปลกประหลาดปีนไปตามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างถนน มันมีหัวโตมาก ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก และผิวของมันดูเหมือน “ทรายเปียก”

    เสียงของเพื่อนอาจไม่ได้ยิน แต่ภาพนั้นกลับตราตรึงบาร์ทเล็ทท์ ไปตลอดชีวิต เขาถึงขั้นวาดภาพสิ่งที่เห็น ออกมาในคืนนั้นเลยทันที

    การพบเห็นอีก 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงถัดมา

    "จอห์น แบกซ์เตอร์" วัย 15 ปี พบเห็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา

    "แอ็บบี อับราฮัม" และ "วิลล์ เทนเตอร์" ก็พบเห็นรูปร่างคล้ายกัน ขณะขับรถบนถนนอีกสาย ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากจุดแรก

    ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 4 กิโลเมตร และแม้จะเป็นวัยรุ่นต่างกลุ่ม ต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลา แต่คำอธิบายของพวกเขา กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ

    ความสำคัญของปีศาจโดเวอร์ ในแง่วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม การพบเห็นสิ่งลึกลับเพียงไม่กี่วินาที ทำไมถึงกลายเป็นตำนาน ที่คนทั้งโลกพูดถึง?

    มุมมองเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” อาจเป็นผลจากการรับรู้ผิดเพี้ยน (misperception) หรือการตีความสิ่งที่เห็นผิดจากความจริง อันเนื่องมาจากสภาพแสง เงา และความกลัว

    👁️‍🗨️ “เราเห็นสิ่งที่เรา อยากเห็น มากกว่าสิ่งที่ มันเป็นจริง ๆ”

    แต่ถ้าแค่คนเดียวที่เห็นผิด ยังพอเข้าใจได้... แล้วทำไมถึงมีคนเห็นคล้ายกันถึง 3 กลุ่ม ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง? นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจโดเวอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องหลอนกลางคืน ธรรมดา

    มุมมองเชิงวัฒนธรรม ปีศาจโดเวอร์ได้รับการบันทึกโดย "Loren Coleman" ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptozoology หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์และสารคดี ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายจนกลายเป็น Urban Legend หรือ “ตำนานเมือง” ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง

    ความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับปีศาจโดเวอร์

    มนุษย์ต่างดาว (Alien Theory) ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโต ตาใหญ่ คล้ายกับ “Grey Alien” ในวัฒนธรรมป๊อป หลายคนจึงเชื่อว่า ปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ “สปาย” จากกาแล็กซีอื่นที่กำลังสำรวจโลกอยู่

    สิ่งมีชีวิตทดลองหลุดจากห้องแล็บ? อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าขนลุกไม่น้อย คือปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นผลผลิตของการทดลองทางพันธุกรรม ที่ผิดพลาด และหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก โดยไม่ได้ตั้งใจ

    ภาพลวงตาหรือจินตนาการ? ฝ่ายที่ไม่เชื่อ มักมองว่าทั้งหมด เป็นเพียงจินตนาการของวัยรุ่นที่ตื่นเต้น หรืออาจเป็นอาการ hypnagogic hallucination คือภาพหลอนช่วงก่อนหลับ ที่สมองสร้างขึ้นเองจากความกลัว

    รายละเอียดการพบเห็นทั้ง 3 ครั้ง

    กรณีที่ 1 "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" เห็นครั้งแรก 21 เม.ย. 2520 พบสิ่งมีชีวิตปีนกำแพง ลักษณะหัวใหญ่ ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก แขนขายาว ผิวเหมือนกระดาษทราย สูงประมาณ 4 ฟุต หรือ 1.2 เมตร วาดภาพไว้เป็นหลักฐานทันที หลังเหตุการณ์

    กรณีที่ 2 "จอห์น แบกซ์เตอร์" การเผชิญหน้าใกล้ 22 เม.ย. 2520 ตี 1 พบสิ่งมีชีวิตเดินสวนทางมา รูปร่างคล้ายลิง แต่ไม่มีขน ตาเขียว ผิวดำ ใช้นิ้วยาวโอบต้นไม้ คล้ายพฤติกรรมลิง

    กรณีที่ 3 "แอ็บบี และวิลล์" บังเอิญเจออีกครั้ง 22 เม.ย. 2520 เที่ยงคืน เห็นรูปร่างคล้าย “แพะ” ยืนอยู่ข้างถนน ดวงตาสะท้อนแสงสีเขียว เมื่อต้องไฟหน้ารถ

    ปีศาจโดเวอร์กับตำนานในอเมริกาอื่น ๆ

    The Rake ผิวซีด เดิน 4 ขา ไร้ขน รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน

    Mothman มนุษย์มีปีก ดวงตาแดง ความหลอนในช่วงเวลาเฉพาะ

    Grey Alien หัวโต ผิวเทา ตาดำ ตรงลักษณะกายภาพที่สุด

    เปรียบเทียบกับตำนานลึกลับในไทย

    กระสือ สิ่งลี้ลับที่เห็นเฉพาะกลางคืน ไม่มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์

    พรายน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับในแหล่งน้ำ ที่คนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง

    ผีเปรต ร่างสูง ผอม หวาดกลัว แต่ไม่ใช่สัตว์

    แม่นาคพระโขนง สิ่งลี้ลับระหว่างความเป็นคน กับวิญญาณ

    ปีศาจโดเวอร์ใกล้เคียงที่สุดกับ “กระสือ” หรือ “พรายน้ำ” ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และเห็นเพียงบางช่วงเวลา

    เรื่องเล่าที่ไม่มีวันหายไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 48 ปี แล้ว แต่คำถามที่ว่า “ปีศาจโดเวอร์คืออะไรกันแน่?” ยังคงไม่ได้รับคำตอบ

    จะเป็นเอเลี่ยน สัตว์ทดลอง ภาพลวงตา หรือปีศาจในตำนานอินเดียแดง สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ มันได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ไว้ในใจผู้คน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ สารคดี และแม้แต่ในเกมบางเกม

    “บางเรื่อง... ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสมอไป แค่มีคนเล่า... มันก็อยู่ได้ตลอดไปแล้ว”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210817 เม.ย. 2568

    #ปีศาจโดเวอร์ #DoverDemon #สิ่งมีชีวิตลึกลับ #UrbanLegend #เรื่องลี้ลับอเมริกา #มนุษย์ต่างดาว #GreyAlien #Mothman #TheRake #ตำนานเมือง
    👁️‍🗨️ 48 ปี “ปีศาจโดเวอร์” สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งแมสซาชูเซตส์ ตำนานปริศนาอเมริกา ที่ยังไร้คำอธิบาย เปิดตำนานปริศนาสุดลึกลับ จากสหรัฐอเมริกา กับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทิ้งคำถาม ไว้ให้โลกค้นหามานานถึงครึ่งศตวรรษ 🎯 เมื่อ “สิ่งลึกลับ” ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วินาที... แต่คนทั้งเมืองจดจำมันได้เป็นสิบปี หากเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบฟังตำนานเมือง หรือหลงใหลในเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบ “X-Files” หรือ “Stranger Things” ไม่ควรพลาดตำนานของ “ปีศาจโดเวอร์” (Dover Demon) 🛸 ปี พ.ศ. 2520 คือปีที่ชื่อของ “Dover Demon” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “โดเวอร์” รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่มีหัวโต ตาเรืองแสง ไม่มีจมูกปาก แขนขายาว ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย และสำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า มันคืออะไร ❓ 👹 ตำนานที่เริ่มต้นจาก “ความบังเอิญ” เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ในคืนเดือนมืด วันพฤหัสบดีอันเงียบสงบของเมืองโดเวอร์ กลับกลายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปตลอดกาล… "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" (Bill Bartlett) วัย 17 ปี กำลังขับรถกับเพื่อน ๆ ในถนนสายเปลี่ยว จู่ ๆ เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แปลกประหลาดปีนไปตามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างถนน มันมีหัวโตมาก ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก และผิวของมันดูเหมือน “ทรายเปียก” 🌑 เสียงของเพื่อนอาจไม่ได้ยิน แต่ภาพนั้นกลับตราตรึงบาร์ทเล็ทท์ ไปตลอดชีวิต เขาถึงขั้นวาดภาพสิ่งที่เห็น ออกมาในคืนนั้นเลยทันที การพบเห็นอีก 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงถัดมา "จอห์น แบกซ์เตอร์" วัย 15 ปี พบเห็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา "แอ็บบี อับราฮัม" และ "วิลล์ เทนเตอร์" ก็พบเห็นรูปร่างคล้ายกัน ขณะขับรถบนถนนอีกสาย ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากจุดแรก ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 4 กิโลเมตร ‼️ และแม้จะเป็นวัยรุ่นต่างกลุ่ม ต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลา แต่คำอธิบายของพวกเขา กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ 🧠 ความสำคัญของปีศาจโดเวอร์ ในแง่วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม การพบเห็นสิ่งลึกลับเพียงไม่กี่วินาที ทำไมถึงกลายเป็นตำนาน ที่คนทั้งโลกพูดถึง? 🤔 มุมมองเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” อาจเป็นผลจากการรับรู้ผิดเพี้ยน (misperception) หรือการตีความสิ่งที่เห็นผิดจากความจริง อันเนื่องมาจากสภาพแสง เงา และความกลัว 👁️‍🗨️ “เราเห็นสิ่งที่เรา อยากเห็น มากกว่าสิ่งที่ มันเป็นจริง ๆ” แต่ถ้าแค่คนเดียวที่เห็นผิด ยังพอเข้าใจได้... แล้วทำไมถึงมีคนเห็นคล้ายกันถึง 3 กลุ่ม ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง? นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจโดเวอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องหลอนกลางคืน ธรรมดา มุมมองเชิงวัฒนธรรม ปีศาจโดเวอร์ได้รับการบันทึกโดย "Loren Coleman" ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptozoology หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์และสารคดี ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายจนกลายเป็น Urban Legend หรือ “ตำนานเมือง” ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง 🌍 💬 ความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับปีศาจโดเวอร์ 👽 มนุษย์ต่างดาว (Alien Theory) ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโต ตาใหญ่ คล้ายกับ “Grey Alien” ในวัฒนธรรมป๊อป หลายคนจึงเชื่อว่า ปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ “สปาย” จากกาแล็กซีอื่นที่กำลังสำรวจโลกอยู่ 🛸 🧬 สิ่งมีชีวิตทดลองหลุดจากห้องแล็บ? อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าขนลุกไม่น้อย คือปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นผลผลิตของการทดลองทางพันธุกรรม ที่ผิดพลาด และหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก โดยไม่ได้ตั้งใจ 🧠 ภาพลวงตาหรือจินตนาการ? ฝ่ายที่ไม่เชื่อ มักมองว่าทั้งหมด เป็นเพียงจินตนาการของวัยรุ่นที่ตื่นเต้น หรืออาจเป็นอาการ hypnagogic hallucination คือภาพหลอนช่วงก่อนหลับ ที่สมองสร้างขึ้นเองจากความกลัว 🔍 รายละเอียดการพบเห็นทั้ง 3 ครั้ง 📍 กรณีที่ 1 "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" เห็นครั้งแรก 21 เม.ย. 2520 พบสิ่งมีชีวิตปีนกำแพง ลักษณะหัวใหญ่ ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก แขนขายาว ผิวเหมือนกระดาษทราย สูงประมาณ 4 ฟุต หรือ 1.2 เมตร วาดภาพไว้เป็นหลักฐานทันที หลังเหตุการณ์ 📍 กรณีที่ 2 "จอห์น แบกซ์เตอร์" การเผชิญหน้าใกล้ 22 เม.ย. 2520 ตี 1 พบสิ่งมีชีวิตเดินสวนทางมา รูปร่างคล้ายลิง แต่ไม่มีขน ตาเขียว ผิวดำ ใช้นิ้วยาวโอบต้นไม้ คล้ายพฤติกรรมลิง 📍 กรณีที่ 3 "แอ็บบี และวิลล์" บังเอิญเจออีกครั้ง 22 เม.ย. 2520 เที่ยงคืน เห็นรูปร่างคล้าย “แพะ” ยืนอยู่ข้างถนน ดวงตาสะท้อนแสงสีเขียว เมื่อต้องไฟหน้ารถ 📌 ปีศาจโดเวอร์กับตำนานในอเมริกาอื่น ๆ The Rake ผิวซีด เดิน 4 ขา ไร้ขน รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน Mothman มนุษย์มีปีก ดวงตาแดง ความหลอนในช่วงเวลาเฉพาะ Grey Alien หัวโต ผิวเทา ตาดำ ตรงลักษณะกายภาพที่สุด 🇹🇭 เปรียบเทียบกับตำนานลึกลับในไทย 👻 กระสือ สิ่งลี้ลับที่เห็นเฉพาะกลางคืน ไม่มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ 🌊 พรายน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับในแหล่งน้ำ ที่คนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง 🙏 ผีเปรต ร่างสูง ผอม หวาดกลัว แต่ไม่ใช่สัตว์ 😱 แม่นาคพระโขนง สิ่งลี้ลับระหว่างความเป็นคน กับวิญญาณ ปีศาจโดเวอร์ใกล้เคียงที่สุดกับ “กระสือ” หรือ “พรายน้ำ” ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และเห็นเพียงบางช่วงเวลา 🧩 เรื่องเล่าที่ไม่มีวันหายไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 48 ปี แล้ว แต่คำถามที่ว่า “ปีศาจโดเวอร์คืออะไรกันแน่?” ยังคงไม่ได้รับคำตอบ จะเป็นเอเลี่ยน สัตว์ทดลอง ภาพลวงตา หรือปีศาจในตำนานอินเดียแดง สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ มันได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ไว้ในใจผู้คน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ สารคดี และแม้แต่ในเกมบางเกม 🎮 “บางเรื่อง... ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสมอไป แค่มีคนเล่า... มันก็อยู่ได้ตลอดไปแล้ว” 👣 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210817 เม.ย. 2568 📲 #ปีศาจโดเวอร์ #DoverDemon #สิ่งมีชีวิตลึกลับ #UrbanLegend #เรื่องลี้ลับอเมริกา #มนุษย์ต่างดาว #GreyAlien #Mothman #TheRake #ตำนานเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1069 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต

    “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด

    ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้

    ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง

    ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป

    นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม

    ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด

    ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น

    ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง

    เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103

    เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น

    ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย

    หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น

    นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต

    หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543

    นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้

    ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม

    ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง

    วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น

    ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง

    นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต

    ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม

    ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์

    ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร

    ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป

    คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต

    แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย

    นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว

    หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้

    ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด

    นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม

    การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด

    ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?”

    สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

    เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ

    ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม

    “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก

    การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย

    อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น

    หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ

    ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต

    เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม

    แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา

    การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก

    สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม

    ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง

    เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด

    นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง

    เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน

    ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า

    เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์

    จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ

    สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568

    #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    24 ปี ประหารชีวิต ‘สมคิด นามแก้ว’ นักโทษคดียาบ้าคนแรก ที่ถูกประหาร ด้วยการยิงเป้า” เสียงครวญสะท้านใจ “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต มันไม่คุ้มเลย” แง่คิดที่เตือนให้รู้คุณค่าของชีวิต “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้า คนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านไป ภายใต้บรรยากาศอันน่าสะเทือนใจ ของการเปลี่ยนแปลงสังคม การปราบปรามยาเสพติด ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทอง และความจำเป็นในการต่อต้านอาชญากรรมยาเสพติด อย่างเด็ดขาด ในโลกที่ความมีค่าแห่งชีวิต ศีลธรรม ถูกท้าทายด้วยความโลภ และความอยากรวย เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” นักโทษคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ที่ถูกประหารชีวิตเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมานั้น ยังคงสะเทือนใจคนไทยทุกวันนี้ 😢 ย้อนไปเมื่อ 24 ปี ที่ผ่านมา ในบ่ายวันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่แดนประหาร เรือนจำกลางบางขวาง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ ต้องจ้องมองและตั้งคำถาม ถึงความหมายของความถูกต้อง และความยุติธรรมในสังคม อย่างลึกซึ้ง ยาบ้าและปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดทุกชนิด ต่างก็เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในทุกชั้นสังคม แต่ยาบ้าในสมัยนั้นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่คลุ้มคลั่ง และทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมทั่วไป นายสมคิด นามแก้ว ได้ถูกจับในคดีมียาเสพติด โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ต้องขนส่งยาบ้าปริมาณมหาศาล ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบสวน ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ และในขณะที่ระบบการปราบปรามยาเสพติด เริ่มเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรม และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหายาบ้าในสังคม 👮‍♂️ ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวด เกี่ยวกับคดียาเสพติด โดยหลักฐานและการรับสารภาพ มักนำไปสู่โทษที่ร้ายแรงที่สุดในบางกรณี โดยเฉพาะในคดียาบ้า ที่มักจะมีมาตรการประหารชีวิต สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน ให้กับผู้ที่คิดจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการค้า และเสพติดยาเสพติด ในคดีของสมคิด ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความผิดไม่ได้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำ ที่บ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การกระทำความผิดในฐานะที่เป็น “นักโทษคดียาบ้า” นั้น จะต้องได้รับโทษในระดับสูงสุด ซึ่งก็คือการประหารชีวิต ตามที่ได้เกิดขึ้นจริงในวันนั้น ในช่วงเวลานั้น ยาบ้าเป็นที่แพร่หลายในสังคมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นคนทำงานข้างนอก หรือแม้แต่ในวงการขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ของเครือข่ายค้ายาเสพติด ทำให้การปราบปรามเป็นเรื่องท้าทาย และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังทำให้เกิดความรู้สึกสับสนในสังคม ที่มองเห็นภาพของความยุติธรรม ที่อาจไม่ชัดเจนในบางครั้ง เหตุการณ์ของคดีนี้ เริ่มต้นในกลางดึกวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับข้อมูล เกี่ยวกับการลำเลียงยาบ้าปริมาณมาก จากพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เข้าสู่กรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางผ่านทางหลวงหมายเลข 103 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง กองบังคับการทางหลวง 5 จังหวัดพะเยา ได้ตั้งด่านสกัด ที่ตู้ยามตำรวจทางหลวงร้องกวาง ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ตามข้อมูลที่ได้รับ และมีรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่าสีน้ำตาล ทะเบียน 3ว-8505 กทม. วิ่งเข้ามาที่จุดสกัด เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้รถหยุด เพื่อทำการตรวจค้น ในขณะตรวจค้น นายสมคิด ซึ่งในตอนนั้นอายุ 31 ปี พักอาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้แสดงออกถึงพิรุธ ด้วยการกล่าวว่า “ในรถไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย” และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ตนเองเกลียดยาบ้ามากที่สุด” แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการค้นอย่างละเอียด พบยาบ้าบรรจุในห่อพลาสติก ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในรถ ทั้งที่ประตูรถและใต้เบาะนั่ง พบว่ามียาบ้าปริมาณถึง 203 ห่อ ๆ ละ 2,000 เม็ด รวมเป็นจำนวน 406,000 เม็ด ซึ่งมีสีสันปรากฏเป็นสีส้มและเขียว ประทับตัวอักษรว่า “wy” โดยมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท จึงติดสินบนตำรวจ 5 ล้านบาท แต่ตำรวจไม่เล่นด้วย🚔 หลังจากจับกุม ในขั้นตอนการสอบสวน นายสมคิดได้ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนยาบ้าจากพ่อค้ายาเสพติด ด้วยค่าจ้าง 50,000 บาท เพื่อนำส่งให้ลูกค้าที่ปั๊มน้ำมัน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ เผยให้เห็นว่า แม้จะมีกำไรในทางการค้ายาเสพติด แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” นั้นไม่คุ้มค่าเลย เพราะชีวิตที่ถูกประหารนั้น เป็นชีวิตที่จบลงไปในพริบตา ไม่มีวันได้กลับคืน หรือแก้ไขได้หลังจากนั้น นายสมคิดถูกส่งเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ในศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยในชั้นต้นศาลเห็นว่า แม้จะมีการรับสารภาพ แต่การกระทำของนายสมคิดนั้นทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรง ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงได้พิพากษาให้ลงโทษในระดับสูงสุด นั่นคือโทษประหารชีวิต หลังจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นายสมคิดได้ดำเนินการอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พร้อมทั้งได้ยื่นหนังสือถวายฎีกา ทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 นายสมคิดได้ให้เหตุผลว่า “ตนมีการรับสารภาพมาตั้งแต่แรก และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน” รวมทั้งระบุว่า ตนได้กระทำเ พราะต้องการหาเงินมารักษาพยาบาลพี่สาว ที่ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ เนื่องจากฐานะทางการเงินที่ยากจน แต่ข้ออ้างเหล่านี้ถู กศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาปฏิเสธ โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศชาติ และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยกล่าวว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถเปรียบเทียบ กับประโยชน์ส่วนรวมของสังคมได้ ในกระบวนการพิจารณา ศาลได้พิจารณาหลักฐาน และพฤติกรรมของนายสมคิด ที่ชัดเจนว่าเป็นผู้รับจ้างขนยาบ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้า และการค้ายาเสพติด ที่สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม การที่นายสมคิดพยายามให้สินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ระบบค้ายาเสพติด มีการแทรกซึมลึกในสังคม ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อเรื่องนั้นถูกส่งต่อมายังศาลฎีกา คำพิพากษาก็ยังคงยืนหยัด นำมาซึ่งวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เป็นวันที่ประหารชีวิตเกิดขึ้นจริง วันประหารชีวิตของนายสมคิด นามแก้ว ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดความสลดใจ และสะเทือนใจคนไทยอย่างแท้จริง โดยรายละเอียดในวันนั้นถูกบันทึกไว้ในหลาย ๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของเจ้าหน้าที่ หรือรายงานของนักข่าว ภาพความทุกข์ และความหวาดกลัวของนักโทษที่ต้องรอประหาร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักแน่น ในการปราบปรามยาเสพติดในสมัยนั้น ในช่วงบ่ายของวันประหาร ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ต่างเข้ามาจัดเตรียมสิ่งของ ที่จำเป็นสำหรับการประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ขั้นตอนทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นความลับ เมื่อถึงเวลาที่นายสมคิด ถูกเบิกตัวออกจากห้องคุม ทุกอย่างดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเงียบสงัด และบรรยากาศที่หนักอึ้ง นายสมคิดในวันนั้น แสดงอาการที่ชัดเจนว่า รู้สึกกลัวและทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายที่เริ่มอ่อนแรง และจิตใจที่สั่นคลอน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายของการเดิน จากห้องคุมไปสู่หลักประหาร นายสมคิดยังคงตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของตนเอง “ผมเป็นคนแรกที่ถูกประหาร เพราะคดียาบ้าใช่ไหมครับ” และยังได้เตือนผู้อื่น เกี่ยวกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่อาจนำมาซึ่งความทุกข์ และความเสียหายต่อชีวิต 😔 ระหว่างทาง ในขณะที่นายสมคิดถูกนำไปประหาร มีการสนทนาที่บ่งบอกถึงความทรงจำ และความเจ็บปวดภายในจิตใจของเขา รวมถึงการแฉข้อเท็จจริงของเครือข่ายค้ายาเสพติด ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองในระดับท้องถิ่น “ถ้าจะปราบยาเสพติดให้หมดไปจริงๆ ก็ต้องเอาคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในทุกระดับออกไป” นายสมคิดกล่าว ในช่วงเวลาที่อารมณ์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ และความรู้สึกที่อยากจะบอกต่อสังคม ผู้คุมในวันนั้น ได้พยายามปลอบใจนายสมคิดว่า “อย่างน้อยสมคิดยังได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นครั้งสุดท้าย” แม้ว่าจะมองในแง่ของการเป็นบทเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่คำพูดเหล่านี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของจิตใจ ระหว่างความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของมนุษย์ ในห้องประหาร ที่จัดเตรียมขึ้นอย่างเคร่งครัด นายสมคิดถูกนำเข้ามาในห้องที่แสงไฟสลัว ๆ และบรรยากาศเงียบสงัด ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ทำการเตรียมเครื่องมือ และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอน ก่อนที่หัวหน้าชุดประหารจะโบกธงแดง เพื่อเริ่มกระบวนการประหาร ในช่วงเวลานั้น ผู้คุมและเจ้าหน้าที่ทุกคน ต่างมีความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างหน้าที่ และความสำนึกในความทุกข์ทรมานของนายสมคิด ขณะที่นายสมคิดเอง ก็ได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ทั้งความรัก ความฝัน และความผิดพลาด ที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกต่อไป คำบอกลาและพินัยกรรมของนายสมคิด เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงข้อคิดที่ว่า “ชีวิตมนุษย์มีค่า เกินกว่าจะถูกแลกด้วยเงินเพียงเพราะความจน หรือความสิ้นหวัง” เขาได้ฝากท้ายจดหมายถึงญาติพี่น้องว่า “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด” ซึ่งเป็นคำเตือนที่หวังว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่น เดินตามรอยเท้าของเขาในอนาคต แม้คดีของนายสมคิด นามแก้ว จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 24 ปี ที่ผ่านมา แต่ผลกระทบ และบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ยังคงสะท้อนอยู่ในสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งในแง่ของการปราบปรามยาเสพติด และการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้กับนโยบาย และวิธีการปราบปรามยาเสพติดในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับบทเรียนอันทรงคุณค่าจากการจับกุม และการดำเนินคดีที่เป็นแบบอย่าง แม้ว่าจะมีความท้าทาย จากเครือข่ายอาชญากรรมที่ซับซ้อน แต่การดำเนินการที่เข้มแข็ง และเด็ดขาดในคดีนี้ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่มีทางที่ผู้กระทำผิด จะหลุดพ้นไปจากกฎหมาย นอกจากนี้ ความเข้มงวดในการลงโทษสูงสุด อย่างการประหารชีวิต ได้เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา ที่ทำให้ผู้ค้ายาเสพติดต้องคิดทบทวนถึงความเสี่ยง และผลที่ตามมา หากตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมดังกล่าว หนึ่งในแง่คิดที่ทรงพลัง จากเหตุการณ์ของนายสมคิด คือ “ชีวิตมนุษย์มีค่าเกินกว่าจะแลกด้วยเงิน” เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ นายสมคิดได้รับเงินค่าจ้างเ 50,000 บาท เพื่อการขนส่งยาบ้า แต่ท้ายที่สุดค่าใช้จ่ายนั้น กลับสูงกว่ามาก เมื่อชีวิตของเขา ถูกสังหารไปในพริบตา เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนใจให้กับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความยากจน หรือความท้าทายใด ๆ ในชีวิต การก้าวเข้าสู่เส้นทางผิดกฎหมาย ด้วยเงินทองเพียงไม่กี่บาทนั้น ไม่สามารถชดเชยค่าของชีวิต และความมีคุณค่าที่แท้จริงได้ ในมุมมองของสังคม สิ่งนี้ยังเป็นการเผยให้เห็นถึง ความจำเป็นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ในระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคน มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต หรือกระทำความผิดเพื่อความอยู่รอด นอกจากความเสียหาย ที่เกิดกับตัวนายสมคิดแล้ว คดีนี้ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องของเขาอีกด้วย ภาพของคนในบ้าน ที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันมีค่าไป จากการกระทำที่นำไปสู่การประหารชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสีย ทั้งทางด้านอารมณ์ และชื่อเสียงในสังคม การที่คนรอบข้าง ต้องเผชิญกับความสลด จากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการมีคุณค่าชีวิต และความจำเป็นในการสนับสนุน และช่วยเหลือกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายสังคมที่เข้มแข็ง หรือการให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด ในหลายช่วงของเรื่องราวนี้ อารมณ์และความรู้สึก ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียด ทั้งความกลัว ความเสียใจ และความหวาดกลัวของนายสมคิด ในนาทีสุดท้าย และความเหงาเศร้าใจของผู้คุมและเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเผชิญกับการปฏิบัติหน้าที่หนักอึ้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องหันมาสำรวจ และตั้งคำถามว่า “เราจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นอีก?” สังคมไทยในปัจจุบัน ยังคงต้องรับมือกับปัญหายาบ้า และปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีมาตรการส่งเสริมคุณค่าชีวิต การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้กับผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรมเหล่านั้น โดยที่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น เหตุการณ์ของนายสมคิด นามแก้ว ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญทางจริยธรรม ที่สังคมไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในแง่ของการให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์ และการตัดสินใจที่มีผลตามมาตลอดชีพ ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ยังคงมีอยู่ ความจนหรือความจำเป็นบางครั้ง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำผิด แต่เหตุการณ์ของนายสมคิด สอนเราให้เห็นว่า การกระทำผิดไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แม้จะมีเหตุผลส่วนตัว ที่น่าสงสารเพียงใดก็ตาม “เงินห้าหมื่นแลกกับชีวิต” เป็นวาทะที่ชัดเจนที่เตือนใจว่า ค่าใช้จ่ายในชีวิตนั้น สูงเกินกว่าที่จะวัดด้วยเงินทอง ใครที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ควรได้รับความช่วยเหลือจากสังคม มากกว่าที่จะถูกผลัก ให้เข้าสู่เส้นทางที่ไร้ทางออก การลงโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด อาจดูเหมือนเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ในมุมมองของสังคมไทยในขณะนั้นแล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เครือข่ายค้ายาเสพติด เติบโตและแพร่กระจาย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ก็มีความถกเถียงกันในหลายมุมมอง เกี่ยวกับความถูกต้องของการลงโทษสูงสุดนี้ ว่าจะสามารถช่วยลดอาชญากรรมในระยะยาว ได้จริงหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นจากคดีของนายสมคิดคือ การลงโทษอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการยืนยันถึงความเข้มงวด ของระบบยุติธรรมในยุคนั้น หากเรามองในแง่ของการป้องกัน การลงโทษที่รุนแรง ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการกระทำผิด ได้ในระยะยาว สังคมจำเป็นต้องหันมาสนับสนุนการศึกษา สวัสดิการ และระบบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ ในบทเรียนจากคดีนี้ เราได้รู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน และปัญหาสังคมในมิติ ที่ลึกกว่าเพียงการลงโทษนั้น สำคัญมาก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ทุกคน มีโอกาสทางการศึกษา และการพัฒนาตนเอง อาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการป้องกันไม่ให้เกิดคดี ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต 24 ปีที่ผ่านมา คดีของนายสมคิด นามแก้ว ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสังคมไทย ถึงความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความรับผิดชอบ ที่เราต้องมีต่อกันในฐานะสมาชิกของสังคม แม้ว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิต นายสมคิดจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน และความกลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่คำพูดและการกระทำของเขา กลับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า สำหรับคนไทยทุกคน “อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” คือคำเตือนที่เกิดจากความเจ็บปวดส่วนตัว ที่สุดท้ายแล้ว กลับกลายเป็นเสียงเตือนถึงความผิดพลาด ที่อาจส่งผลให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารักต้องจบลงในพริบตา การประหารชีวิตในคดีนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า การเลือกทางเดินในชีวิตนั้น สำคัญมากกว่าเงินทอง หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ เพราะเมื่อชีวิตถูกใช้ไปแล้ว เราจะไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้อีก 😔 สังคมไทยในปัจจุบัน ย่อมต้องหันมาสนับสนุนกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณค่าแ ละถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ เกี่ยวกับผลกระทบของยาเสพติด การสนับสนุนให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะยากจน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง รวมถึงการส่งเสริมค่านิยมในด้านความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรม ในมุมมองนี้ คดีของนายสมคิด ไม่ได้เป็นเพียงคดีของนักโทษ ที่ถูกประหารชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำหรับทุกคน ที่ต้องคิดทบทวน ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ชีวิตมีค่า” เมื่อชีวิตของเราถูกกีดกันด้วยความผิดพลาด ในเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนความเสียหาย ที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคดีที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นอีกในอนาคต จำเป็นต้องมีการสร้างระบบ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในวงจรอาชญากรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาเรื่องผลกระทบของยาเสพติด การให้คำปรึกษาด้านจิตใจ ไปจนถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ให้กับกลุ่มคนที่อาจตกเป็นเหยื่อของความยากจน และการล่อลวงของเครือข่ายค้ายาเสพติด นอกจากนี้ การให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกในสังคมว่า “การแลกเปลี่ยนชีวิตมนุษย์เพื่อเงิน” นั้นไม่มีค่าเทียบเท่ากับความมีชีวิตอยู่ และความสมบูรณ์ของจิตใจ จะช่วยลดโอกาสให้คนเข้าสู่แนวทางที่ผิด และนำไปสู่การพัฒนาสังคมที่ดีขึ้น อย่างแท้จริง เรื่องราวของ “สมคิด นามแก้ว” ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความจริง ที่บางครั้งเราอาจมองข้ามไป ในแง่ของคุณค่าชีวิต และผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการกระทำผิดกฎหมาย 🤔 ชีวิตที่ถูกแลกด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีค่า เมื่อเทียบกับความรักและความสัมพันธ์ของคนรอบข้า งที่สูญเสียไปไปพร้อมกัน ทั้งนี้ คดีนี้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่สังคมไทยไม่ควรลืม และเป็นเครื่องเตือนใจว่า แม้จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก หรือมีความยากจน แต่ทางออกที่ถูกต้องคือ การมองหาแนวทางช่วยเหลือ และการพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่การเลือกเส้นทาง ที่นำพามาซึ่งความผิดพลาด และจุดจบที่น่าเศร้า เหตุการณ์ประหารชีวิต “สมคิด นามแก้ว” ในคดีคดียาบ้าคนแรกของประเทศไทย ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงคุณค่าให้กับคนไทยในทุกยุคสมัย แม้จะผ่านไปนาน 24 ปี แต่บาดแผลจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงปรากฏให้เห็นในแง่มุมของการต่อสู้กับยาเสพติด และการรักษาคุณค่าของชีวิตมนุษย์ จากคดีนี้เราได้เรียนรู้ว่า "ชีวิตมีค่า" และไม่ควรนำมาแลกเปลี่ยนกับเงินทอง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะผลที่ตามมาหลังจากนั้น คือความสูญเสีย ที่ไม่อาจชดเชยได้ทั้งในทางกายและจิตใจ สิ่งที่เราได้จากเรื่องราวของสมคิด คือการตระหนักในความสำคัญ ของการเลือกเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง การช่วยเหลือ และสนับสนุนกันในสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความยากจน เราควรเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง และมีความหมาย แม้ทางเดินจะยากลำบาก แต่ความมีคุณค่าในชีวิตและความจริงใจ จะนำเราไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เส้นทางที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนชีวิตอันมีค่า เพื่อเงินทองที่ว่างเปล่า ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121635 เม.ย. 2568 #24ปีประหาร #สมคิดนามแก้ว #นักโทษคดียาบ้า #ปราบยาเสพติด #ชีวิตมีค่า #คดียาบ้า #ยับยั้งอาชญากรรม #สังคมปลอดภัย #อาลัยในชีวิต #ความจริงที่ไม่ควรลืม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1982 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts