• เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อ CEO ถูกเรียกร้องให้ลาออกจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับจีน

    Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เรียกร้องให้เขาลาออกโดยอ้างว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” จากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน

    Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel โดยยืนยันว่าเขาทำงานด้วย “มาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมสูงสุด” และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลผิด” พร้อมระบุว่า Intel กำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง

    เอกสารทางการเงินเผยว่า Tan มีการควบคุมหรือถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ซึ่งบางแห่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีน

    แม้ Intel จะยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังคงลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงในประเทศ เช่น Intel 18A node แต่คำถามเรื่องความปลอดภัยระดับชาติยังคงอยู่ โดยมีวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายเตือนคณะกรรมการ Intel ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

    Donald Trump เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Intel
    อ้างว่า Tan มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการลงทุนในบริษัทจีน

    Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel ว่าเขาทำงานด้วยจริยธรรมสูงสุด
    พร้อมระบุว่าข้อกล่าวหาเป็น “ข้อมูลผิด” และกำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ

    Tan มีการถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $200 ล้าน
    ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited

    บางบริษัทที่ Tan ลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐ
    ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ

    Intel ยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
    พร้อมเน้นการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา

    คณะกรรมการของ Intel แสดงการสนับสนุน Tan อย่างเต็มที่
    ยืนยันว่าเขายังคงเป็นผู้นำที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญของบริษัท

    Tan เคยเป็น CEO ของ Cadence Design Systems ซึ่งมีคดีละเมิดกฎหมายส่งออก
    เกี่ยวข้องกับการขายเทคโนโลยีให้มหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ
    ทำให้การมี CEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง

    Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี และอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากกว่า 4 ทศวรรษ
    ได้รับการศึกษาจาก MIT และ University of San Francisco

    Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับสูง
    เช่น Intel 18A และ 14A ที่แข่งขันกับ TSMC และ Samsung

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-responds-to-trump-allegations-in-letter-i-have-always-operated-within-the-highest-legal-and-ethical-standards
    🏛️💼 เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อ CEO ถูกเรียกร้องให้ลาออกจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับจีน Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เรียกร้องให้เขาลาออกโดยอ้างว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” จากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel โดยยืนยันว่าเขาทำงานด้วย “มาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมสูงสุด” และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลผิด” พร้อมระบุว่า Intel กำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เอกสารทางการเงินเผยว่า Tan มีการควบคุมหรือถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ซึ่งบางแห่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีน แม้ Intel จะยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังคงลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงในประเทศ เช่น Intel 18A node แต่คำถามเรื่องความปลอดภัยระดับชาติยังคงอยู่ โดยมีวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายเตือนคณะกรรมการ Intel ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ✅ Donald Trump เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Intel ➡️ อ้างว่า Tan มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการลงทุนในบริษัทจีน ✅ Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel ว่าเขาทำงานด้วยจริยธรรมสูงสุด ➡️ พร้อมระบุว่าข้อกล่าวหาเป็น “ข้อมูลผิด” และกำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Tan มีการถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $200 ล้าน ➡️ ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ✅ บางบริษัทที่ Tan ลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐ ➡️ ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ ✅ Intel ยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ➡️ พร้อมเน้นการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา ✅ คณะกรรมการของ Intel แสดงการสนับสนุน Tan อย่างเต็มที่ ➡️ ยืนยันว่าเขายังคงเป็นผู้นำที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญของบริษัท ✅ Tan เคยเป็น CEO ของ Cadence Design Systems ซึ่งมีคดีละเมิดกฎหมายส่งออก ➡️ เกี่ยวข้องกับการขายเทคโนโลยีให้มหาวิทยาลัยทหารของจีน ✅ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ทำให้การมี CEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง ✅ Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี และอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากกว่า 4 ทศวรรษ ➡️ ได้รับการศึกษาจาก MIT และ University of San Francisco ✅ Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับสูง ➡️ เช่น Intel 18A และ 14A ที่แข่งขันกับ TSMC และ Samsung https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-responds-to-trump-allegations-in-letter-i-have-always-operated-within-the-highest-legal-and-ethical-standards
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก GPU มืออาชีพ: RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ที่แรงเทียบเท่า RTX 5090

    Nvidia เปิดตัว RTX Pro 5000 Blackwell Mobile GPU สำหรับโน้ตบุ๊กสายเวิร์กสเตชัน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุดที่เน้นงานระดับมืออาชีพ เช่น AI, การจำลอง, การออกแบบ 3D และการเรนเดอร์ขั้นสูง

    แม้จะเป็นรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊ก แต่ประสิทธิภาพกลับใกล้เคียงกับ RTX 5090 Laptop GPU ซึ่งเป็นรุ่นเกมมิ่งระดับสูง โดย RTX Pro 5000 Mobile มี 10,496 CUDA cores, 328 Tensor cores และ 82 RT cores พร้อมหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 24GB บนบัส 256-bit ให้แบนด์วิดธ์ 896 GB/s

    ผลการทดสอบ OpenCL พบว่า RTX Pro 5000 Mobile แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation ถึง 14% และยังเหนือกว่า RTX 5090 เล็กน้อย แม้จะมีข้อจำกัดด้านพลังงานและอินเทอร์เฟซหน่วยความจำที่แคบกว่า

    Dell ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่น Pro Max 18 Plus ที่ใช้ GPU ตัวนี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX และ DDR5-6400 ขายที่ราคา $6,121.47 ซึ่งถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กระดับสูงสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ

    RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell
    มี 10,496 CUDA cores และ 24GB GDDR7 memory

    แบนด์วิดธ์หน่วยความจำอยู่ที่ 896 GB/s
    ใช้บัส 256-bit ซึ่งแคบกว่ารุ่นเดสก์ท็อป

    ผลทดสอบ OpenCL แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation 14%
    และแรงกว่า RTX 5090 Laptop GPU ประมาณ 2%

    Dell Pro Max 18 Plus ใช้ GPU นี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX
    ขายที่ราคา $6,121.47 สำหรับรุ่นสูงสุด

    GPU นี้รองรับฟีเจอร์ระดับมืออาชีพ เช่น ECC และ Tensor cores
    เหมาะสำหรับงาน AI, simulation และการออกแบบขั้นสูง

    GPU นี้มี 328 Tensor cores และ 82 RT cores
    รองรับการเร่งความเร็วงาน machine learning และ ray tracing

    ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5nm จาก TSMC
    มีทรานซิสเตอร์มากถึง 45,600 ล้านตัว

    รองรับ PCIe 5.0 และ DisplayPort 2.1b
    แม้จะไม่มีพอร์ตแสดงผลโดยตรง แต่ใช้ผ่านระบบโน้ตบุ๊ก

    มีประสิทธิภาพ FP32 สูงถึง 49.8 TFLOPs และ AI TOPS ที่ 1824
    เหมาะกับงานที่ต้องการการคำนวณหนักและแม่นยำ

    มีรุ่นย่อย RTX Pro 1000–5000 สำหรับตลาดต่างระดับ
    รุ่นต่ำสุดมีเพียง 1,792 CUDA cores และบัสแค่ 96-bit

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-pro-5000-blackwell-laptop-gpu-beats-previous-gen-by-14-percent-in-opencl-benchmark-professional-mobile-chip-performs-like-a-laptop-rtx-5090
    🎮💼 เรื่องเล่าจากโลก GPU มืออาชีพ: RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ที่แรงเทียบเท่า RTX 5090 Nvidia เปิดตัว RTX Pro 5000 Blackwell Mobile GPU สำหรับโน้ตบุ๊กสายเวิร์กสเตชัน โดยใช้สถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุดที่เน้นงานระดับมืออาชีพ เช่น AI, การจำลอง, การออกแบบ 3D และการเรนเดอร์ขั้นสูง แม้จะเป็นรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊ก แต่ประสิทธิภาพกลับใกล้เคียงกับ RTX 5090 Laptop GPU ซึ่งเป็นรุ่นเกมมิ่งระดับสูง โดย RTX Pro 5000 Mobile มี 10,496 CUDA cores, 328 Tensor cores และ 82 RT cores พร้อมหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 24GB บนบัส 256-bit ให้แบนด์วิดธ์ 896 GB/s ผลการทดสอบ OpenCL พบว่า RTX Pro 5000 Mobile แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation ถึง 14% และยังเหนือกว่า RTX 5090 เล็กน้อย แม้จะมีข้อจำกัดด้านพลังงานและอินเทอร์เฟซหน่วยความจำที่แคบกว่า Dell ได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่น Pro Max 18 Plus ที่ใช้ GPU ตัวนี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX และ DDR5-6400 ขายที่ราคา $6,121.47 ซึ่งถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กระดับสูงสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ ✅ RTX Pro 5000 Blackwell Mobile ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell ➡️ มี 10,496 CUDA cores และ 24GB GDDR7 memory ✅ แบนด์วิดธ์หน่วยความจำอยู่ที่ 896 GB/s ➡️ ใช้บัส 256-bit ซึ่งแคบกว่ารุ่นเดสก์ท็อป ✅ ผลทดสอบ OpenCL แรงกว่า RTX 5000 Ada Generation 14% ➡️ และแรงกว่า RTX 5090 Laptop GPU ประมาณ 2% ✅ Dell Pro Max 18 Plus ใช้ GPU นี้ร่วมกับ Core Ultra 9 285HX ➡️ ขายที่ราคา $6,121.47 สำหรับรุ่นสูงสุด ✅ GPU นี้รองรับฟีเจอร์ระดับมืออาชีพ เช่น ECC และ Tensor cores ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, simulation และการออกแบบขั้นสูง ✅ GPU นี้มี 328 Tensor cores และ 82 RT cores ➡️ รองรับการเร่งความเร็วงาน machine learning และ ray tracing ✅ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5nm จาก TSMC ➡️ มีทรานซิสเตอร์มากถึง 45,600 ล้านตัว ✅ รองรับ PCIe 5.0 และ DisplayPort 2.1b ➡️ แม้จะไม่มีพอร์ตแสดงผลโดยตรง แต่ใช้ผ่านระบบโน้ตบุ๊ก ✅ มีประสิทธิภาพ FP32 สูงถึง 49.8 TFLOPs และ AI TOPS ที่ 1824 ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการการคำนวณหนักและแม่นยำ ✅ มีรุ่นย่อย RTX Pro 1000–5000 สำหรับตลาดต่างระดับ ➡️ รุ่นต่ำสุดมีเพียง 1,792 CUDA cores และบัสแค่ 96-bit https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-pro-5000-blackwell-laptop-gpu-beats-previous-gen-by-14-percent-in-opencl-benchmark-professional-mobile-chip-performs-like-a-laptop-rtx-5090
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่อเทคโนโลยีระดับนาโนกลายเป็นเป้าหมายของการจารกรรม

    ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันดุเดือด TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน กำลังเผชิญกับคดีร้ายแรง เมื่อมีพนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานรวม 6 คนถูกจับกุมในข้อหาพยายามขโมยข้อมูลลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน และมีมูลค่าสูงถึง $30,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์

    การสืบสวนเริ่มต้นจากระบบตรวจสอบภายในของ TSMC ที่พบพฤติกรรมเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับแก้ไขของไต้หวัน ซึ่งระบุชัดว่าการรั่วไหลของเทคโนโลยีระดับต่ำกว่า 14 นาโนเมตรถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

    เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของผู้ต้องสงสัย รวมถึงบริษัทญี่ปุ่น Tokyo Electron ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แม้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าข้อมูลถูกส่งต่อไปยังใคร แต่ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นนั้นมหาศาล เพราะ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปให้กับบริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Nvidia และ Qualcomm

    ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลก การขโมยข้อมูลลับไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงระดับชาติ และผู้กระทำผิดอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 12 ปี พร้อมปรับกว่า 100 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน

    พนักงาน TSMC ถูกจับกุมในข้อหาพยายามขโมยข้อมูลเทคโนโลยี 2nm
    รวมทั้งหมด 6 คน มีทั้งพนักงานปัจจุบันและอดีต

    TSMC ตรวจพบการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากระบบภายใน
    ก่อนส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี

    คดีนี้อยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของไต้หวัน
    เน้นปกป้องเทคโนโลยีระดับนาโนที่ถือเป็น “เทคโนโลยีหลักของชาติ”

    เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของผู้ต้องสงสัย
    รวมถึงบริษัทญี่ปุ่น Tokyo Electron ที่อาจเกี่ยวข้อง

    TSMC ยืนยันจะดำเนินคดีอย่างเต็มที่และเสริมระบบตรวจสอบภายใน
    เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันและเสถียรภาพองค์กร

    เทคโนโลยี 2nm เป็นขั้นสูงสุดของการผลิตชิปในปัจจุบัน
    มีประสิทธิภาพสูงและใช้ในอุปกรณ์ระดับพรีเมียม เช่น iPhone 18

    ราคาการผลิตชิป 2nm สูงถึง $30,000 ต่อเวเฟอร์
    แพงกว่าชิป 3nm ถึง 66%

    TSMC มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า Samsung ถึง 3 เท่า
    เป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก

    การแข่งขันด้าน AI และเซิร์ฟเวอร์ทำให้เทคโนโลยีชิปเป็นเป้าหมายสำคัญ
    โดยเฉพาะในยุคหลัง ChatGPT ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/two-former-tsmc-employees-arrested
    🔍💥 เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่อเทคโนโลยีระดับนาโนกลายเป็นเป้าหมายของการจารกรรม ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันดุเดือด TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน กำลังเผชิญกับคดีร้ายแรง เมื่อมีพนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานรวม 6 คนถูกจับกุมในข้อหาพยายามขโมยข้อมูลลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน และมีมูลค่าสูงถึง $30,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ การสืบสวนเริ่มต้นจากระบบตรวจสอบภายในของ TSMC ที่พบพฤติกรรมเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับแก้ไขของไต้หวัน ซึ่งระบุชัดว่าการรั่วไหลของเทคโนโลยีระดับต่ำกว่า 14 นาโนเมตรถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของผู้ต้องสงสัย รวมถึงบริษัทญี่ปุ่น Tokyo Electron ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แม้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าข้อมูลถูกส่งต่อไปยังใคร แต่ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นนั้นมหาศาล เพราะ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปให้กับบริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Nvidia และ Qualcomm ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลก การขโมยข้อมูลลับไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงระดับชาติ และผู้กระทำผิดอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 12 ปี พร้อมปรับกว่า 100 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน ✅ พนักงาน TSMC ถูกจับกุมในข้อหาพยายามขโมยข้อมูลเทคโนโลยี 2nm ➡️ รวมทั้งหมด 6 คน มีทั้งพนักงานปัจจุบันและอดีต ✅ TSMC ตรวจพบการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากระบบภายใน ➡️ ก่อนส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ✅ คดีนี้อยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของไต้หวัน ➡️ เน้นปกป้องเทคโนโลยีระดับนาโนที่ถือเป็น “เทคโนโลยีหลักของชาติ” ✅ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของผู้ต้องสงสัย ➡️ รวมถึงบริษัทญี่ปุ่น Tokyo Electron ที่อาจเกี่ยวข้อง ✅ TSMC ยืนยันจะดำเนินคดีอย่างเต็มที่และเสริมระบบตรวจสอบภายใน ➡️ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันและเสถียรภาพองค์กร ✅ เทคโนโลยี 2nm เป็นขั้นสูงสุดของการผลิตชิปในปัจจุบัน ➡️ มีประสิทธิภาพสูงและใช้ในอุปกรณ์ระดับพรีเมียม เช่น iPhone 18 ✅ ราคาการผลิตชิป 2nm สูงถึง $30,000 ต่อเวเฟอร์ ➡️ แพงกว่าชิป 3nm ถึง 66% ✅ TSMC มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า Samsung ถึง 3 เท่า ➡️ เป็นผู้ผลิตชิปให้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก ✅ การแข่งขันด้าน AI และเซิร์ฟเวอร์ทำให้เทคโนโลยีชิปเป็นเป้าหมายสำคัญ ➡️ โดยเฉพาะในยุคหลัง ChatGPT ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/two-former-tsmc-employees-arrested
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว

    เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป

    ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ
    ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ
    สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน
    ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที
    ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์
    ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน
    ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์
    เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า
    เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล

    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง
    ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy
    พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ

    วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
    เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด
    เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด

    เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
    หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย
    ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที
    ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง
    ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด
    วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่
    ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก

    วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ
    สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ
    เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT

    สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ
    มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic
    การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ

    การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing
    ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม
    เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง

    https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อวัสดุควอนตัมเปลี่ยนโลก—จากซิลิคอนสู่ยุคแห่งแสงและความเร็วระดับเทระเฮิรตซ์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northeastern ได้ค้นพบวิธีควบคุมพฤติกรรมของวัสดุควอนตัมชื่อว่า 1T-TaS₂ ซึ่งเป็นคริสตัลประเภท transition metal dichalcogenide โดยใช้เทคนิค “thermal quenching” หรือการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำผ่านการให้ความร้อนและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีวัสดุนี้จะแสดงสถานะโลหะพิเศษเฉพาะเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัดเท่านั้น แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้สถานะนี้คงอยู่ได้ที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง และยังคงเสถียรได้นานหลายเดือน ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้สถานะนี้จะอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ พวกเขาใช้ “แสง” เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ—ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่ฟิสิกส์อนุญาตให้เกิดขึ้นได้ การควบคุมนี้คล้ายกับการทำงานของทรานซิสเตอร์ แต่ไม่ต้องใช้วัสดุหลายชนิดหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อนอีกต่อไป ผลลัพธ์คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึงระดับ “เทระเฮิรตซ์” แทนที่จะเป็น “กิกะเฮิรตซ์” แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน และยังใช้พื้นที่น้อยลงอย่างมหาศาล ซึ่งเหมาะกับยุคที่ชิปต้องถูกซ้อนกันในแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ วัสดุควอนตัม 1T-TaS₂ สามารถเปลี่ยนสถานะจากฉนวนเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ตามอุณหภูมิ ➡️ ใช้เทคนิค thermal quenching เพื่อควบคุมสถานะ ➡️ สถานะโลหะที่เคยเกิดเฉพาะในอุณหภูมิต่ำมาก ตอนนี้เกิดได้ใกล้ระดับห้อง ✅ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ (hidden metallic state) สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือน ➡️ ก่อนหน้านี้อยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที ➡️ ทำให้มีโอกาสนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ✅ การควบคุมวัสดุด้วยแสงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดตามหลักฟิสิกส์ ➡️ ไม่ต้องใช้หลายวัสดุหรืออินเทอร์เฟซซับซ้อน ➡️ ลดขนาดและความซับซ้อนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ✅ สามารถเพิ่มความเร็วของโปรเซสเซอร์จากระดับกิกะเฮิรตซ์เป็นเทระเฮิรตซ์ ➡️ เร็วขึ้นถึง 1000 เท่า ➡️ เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ✅ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของวัสดุทำให้เกิดการขยายเซลล์ผลึกในบางทิศทาง ➡️ ใช้เทคนิค X-ray mapping และ scanning tunneling spectroscopy ➡️ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมมาตรของ mirror symmetry ภายในวัสดุ ✅ วัสดุนี้สามารถใช้แทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ➡️ เหมาะกับการออกแบบชิปแบบ 3D ที่มีพื้นที่จำกัด ➡️ เป็นทางเลือกใหม่ในยุคที่ซิลิคอนเริ่มถึงขีดจำกัด ‼️ เทคนิค thermal quenching ต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ⛔ หากเร็วเกินไป อาจทำให้สถานะควอนตัมล่มสลาย ⛔ ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ‼️ สถานะโลหะที่ซ่อนอยู่ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์ทั่วไปได้ทันที ⛔ ต้องผ่านการทดลองเพิ่มเติมเพื่อความเสถียรในสภาพใช้งานจริง ⛔ ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ‼️ การเปลี่ยนจากซิลิคอนไปสู่วัสดุควอนตัมต้องเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบชิปทั้งหมด ⛔ วิศวกรต้องเรียนรู้การควบคุมวัสดุใหม่ ⛔ ต้องมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างมาก ✅ วัสดุ 1T-TaS₂ มีโครงสร้างแบบ van der Waals ที่เหมาะกับการสร้างชิปแบบบางเฉียบ ➡️ สามารถซ้อนกันได้โดยไม่เสียคุณสมบัติ ➡️ เหมาะกับการออกแบบอุปกรณ์พกพาและ IoT ✅ สถานะ CDW (charge density wave) มีหลายรูปแบบและสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ ➡️ มีทั้งแบบ commensurate และ hidden metallic ➡️ การควบคุม CDW เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของวัสดุ ✅ การใช้วัสดุควอนตัมเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการพัฒนา quantum computing ➡️ ไม่ต้องใช้ qubit แต่ยังได้ความเร็วระดับควอนตัม ➡️ เหมาะกับการใช้งานทั่วไปที่ต้องการความเร็วสูง https://www.neowin.net/news/the-fastest-thing-known-to-man-is-all-set-to-make-your-pcs--phones-1000-times-faster/
    WWW.NEOWIN.NET
    The fastest thing known to man is all set to make your PCs & phones "1000 times faster"
    Researchers unveil a quantum switch activated by the fastest thing known to man, potentially revolutionizing computing as it promises to be "1000 times faster."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเพชร: เมื่อ “เพชรในห้องแล็บ” เขย่าอุตสาหกรรมที่เคยมั่นคง

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเลือกแหวนหมั้น แล้วพบว่าเพชรที่สวยงามขนาด 2 กะรัต ราคาเพียง 3,500 ดอลลาร์—แทนที่จะเป็น 35,000 ดอลลาร์แบบเดิม นี่คือผลพวงจากการเติบโตของ “เพชรที่ผลิตในห้องแล็บ” ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริโภคทั่วโลก

    จากเดิมที่เพชรธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์ของความรักและสถานะ วันนี้ผู้บริโภคหันมาเลือกเพชรแล็บเพราะราคาถูกกว่า ผลิตได้อย่างมีจริยธรรม และไม่มีประวัติ “เพชรเลือด” ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานเด็กหรือการสนับสนุนสงคราม

    ผลกระทบเริ่มชัดเจนในแคนาดา—ประเทศผู้ผลิตเพชรอันดับ 3 ของโลก—เมื่อบริษัท Burgundy Diamond Mines ต้องปิดเหมือง Point Lake และปลดพนักงานหลายร้อยคน เพราะราคาตลาดตกต่ำและต้นทุนสูงเกินไป

    Lab-Grown Diamonds กำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเพชรธรรมชาติ
    เพชรแล็บมีราคาถูกกว่า 85% และผลิตได้รวดเร็วในห้องแล็บ
    ผู้บริโภคสามารถซื้อเพชรขนาดใหญ่ขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้

    ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม
    หลีกเลี่ยง “เพชรเลือด” ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานเด็กและสงคราม
    เพชรแล็บไม่มีการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการขุดเหมือง

    อุตสาหกรรมเหมืองเพชรในแคนาดาได้รับผลกระทบหนัก
    บริษัท Burgundy Diamond Mines ปิดเหมือง Point Lake และปลดพนักงาน
    ราคาขายปลีกของเพชรธรรมชาติลดลง 26% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

    เทคโนโลยีการผลิตเพชรแล็บพัฒนาอย่างรวดเร็ว
    สามารถปรับแต่งรูปทรง สี และคุณสมบัติได้ตามต้องการ
    ทำให้เพชรแล็บมีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

    ผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น Millennials และ Gen Z นิยมเพชรแล็บมากขึ้น
    ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความโปร่งใส
    ไม่ยึดติดกับแนวคิดว่า “เพชรธรรมชาติเท่านั้นที่แท้จริง”

    การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเหมืองเพชร
    การปิดเหมืองทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมากในพื้นที่ห่างไกล
    ชุมชนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมเพชรอาจเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ

    เพชรแล็บยังมีข้อถกเถียงเรื่องการใช้พลังงานสูงในการผลิต
    แม้จะไม่ขุดเหมือง แต่การผลิตต้องใช้พลังงานจำนวนมาก
    หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

    ความแตกต่างด้าน “ความรู้สึก” และ “คุณค่า” ยังมีอยู่
    ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าเพชรธรรมชาติมี “ความซับซ้อน” ที่เพชรแล็บไม่มี
    เพชรธรรมชาติเป็น “เศษส่วนของโลกใต้พิภพ” ที่มีความเป็นเอกลักษณ์

    การลดราคาของเพชรธรรมชาติอาจทำให้สูญเสียความเป็นสินทรัพย์ลงทุน
    ราคาตกต่อเนื่องทำให้เพชรธรรมชาติไม่เป็นที่นิยมในฐานะการลงทุน
    อาจส่งผลต่อแบรนด์หรูที่เคยใช้เพชรธรรมชาติเป็นจุดขาย

    https://www.cbc.ca/news/business/lab-grown-diamonds-1.7592336
    💎 เรื่องเล่าจากโลกเพชร: เมื่อ “เพชรในห้องแล็บ” เขย่าอุตสาหกรรมที่เคยมั่นคง ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเลือกแหวนหมั้น แล้วพบว่าเพชรที่สวยงามขนาด 2 กะรัต ราคาเพียง 3,500 ดอลลาร์—แทนที่จะเป็น 35,000 ดอลลาร์แบบเดิม นี่คือผลพวงจากการเติบโตของ “เพชรที่ผลิตในห้องแล็บ” ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริโภคทั่วโลก จากเดิมที่เพชรธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์ของความรักและสถานะ วันนี้ผู้บริโภคหันมาเลือกเพชรแล็บเพราะราคาถูกกว่า ผลิตได้อย่างมีจริยธรรม และไม่มีประวัติ “เพชรเลือด” ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานเด็กหรือการสนับสนุนสงคราม ผลกระทบเริ่มชัดเจนในแคนาดา—ประเทศผู้ผลิตเพชรอันดับ 3 ของโลก—เมื่อบริษัท Burgundy Diamond Mines ต้องปิดเหมือง Point Lake และปลดพนักงานหลายร้อยคน เพราะราคาตลาดตกต่ำและต้นทุนสูงเกินไป ✅ Lab-Grown Diamonds กำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเพชรธรรมชาติ ➡️ เพชรแล็บมีราคาถูกกว่า 85% และผลิตได้รวดเร็วในห้องแล็บ ➡️ ผู้บริโภคสามารถซื้อเพชรขนาดใหญ่ขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้ ✅ ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมและสิ่งแวดล้อม ➡️ หลีกเลี่ยง “เพชรเลือด” ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานเด็กและสงคราม ➡️ เพชรแล็บไม่มีการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการขุดเหมือง ✅ อุตสาหกรรมเหมืองเพชรในแคนาดาได้รับผลกระทบหนัก ➡️ บริษัท Burgundy Diamond Mines ปิดเหมือง Point Lake และปลดพนักงาน ➡️ ราคาขายปลีกของเพชรธรรมชาติลดลง 26% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ✅ เทคโนโลยีการผลิตเพชรแล็บพัฒนาอย่างรวดเร็ว ➡️ สามารถปรับแต่งรูปทรง สี และคุณสมบัติได้ตามต้องการ ➡️ ทำให้เพชรแล็บมีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น ✅ ผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น Millennials และ Gen Z นิยมเพชรแล็บมากขึ้น ➡️ ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความโปร่งใส ➡️ ไม่ยึดติดกับแนวคิดว่า “เพชรธรรมชาติเท่านั้นที่แท้จริง” ‼️ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเหมืองเพชร ⛔ การปิดเหมืองทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมากในพื้นที่ห่างไกล ⛔ ชุมชนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมเพชรอาจเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ‼️ เพชรแล็บยังมีข้อถกเถียงเรื่องการใช้พลังงานสูงในการผลิต ⛔ แม้จะไม่ขุดเหมือง แต่การผลิตต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ⛔ หากใช้พลังงานจากฟอสซิล อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ‼️ ความแตกต่างด้าน “ความรู้สึก” และ “คุณค่า” ยังมีอยู่ ⛔ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าเพชรธรรมชาติมี “ความซับซ้อน” ที่เพชรแล็บไม่มี ⛔ เพชรธรรมชาติเป็น “เศษส่วนของโลกใต้พิภพ” ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ‼️ การลดราคาของเพชรธรรมชาติอาจทำให้สูญเสียความเป็นสินทรัพย์ลงทุน ⛔ ราคาตกต่อเนื่องทำให้เพชรธรรมชาติไม่เป็นที่นิยมในฐานะการลงทุน ⛔ อาจส่งผลต่อแบรนด์หรูที่เคยใช้เพชรธรรมชาติเป็นจุดขาย https://www.cbc.ca/news/business/lab-grown-diamonds-1.7592336
    WWW.CBC.CA
    The natural diamond industry is getting rocked. You can thank the lab-grown variety for that | CBC News
    As consumers have grown less worried about whether their diamonds are mined or made, many have turned to cost-friendly lab grown diamonds. And that’s having a big impact on the diamond mining industry — including for Canada.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: AMD กลับมาท้าชน NVIDIA ด้วย “RX 10090 XT” สุดโหด
    หลังจากปล่อยให้ NVIDIA ครองบัลลังก์ GPU ระดับไฮเอนด์มาหลายปี AMD ก็เหมือนจะ “ถอย” ไปเน้นตลาดกลาง แต่ล่าสุดมีข่าวหลุดว่า AMD เตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ที่อาจใช้ชื่อว่า Radeon RX 10090 XT — และมันดู “โหด” จนหลายคนคิดว่าอาจเป็นคู่แข่งตัวจริงของ NVIDIA RTX 6090 ที่กำลังจะมา!

    เจ้า RX 10090 XT นี้มีสเปกที่น่าตื่นตาตื่นใจ:
    - 154 Compute Units
    - 36GB GDDR7 VRAM บนบัส 384-bit
    - Bandwidth สูงถึง 1.728 TB/s
    - TDP อยู่ที่ 380W

    ทั้งหมดนี้ถูกสร้างบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปี 2026–2027 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ NVIDIA จะเปิดตัว RTX 6090 เช่นกัน

    แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกลับมาของ AMD ในตลาดไฮเอนด์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ GPU ที่กำลังขาดการแข่งขันอย่างแท้จริง

    AMD เตรียมเปิดตัว GPU RDNA 5 รุ่นไฮเอนด์
    ใช้ชื่อชั่วคราวว่า Radeon RX 10090 XT
    ตั้งเป้าแข่งขันกับ NVIDIA RTX 6090

    สเปกที่หลุดออกมานั้นทรงพลังมาก
    154 Compute Units
    36GB GDDR7 VRAM ความเร็ว 36Gbps
    บัส 384-bit และ Bandwidth 1.728 TB/s
    ใช้พลังงาน 380W

    ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับสูง
    ผลิตบนกระบวนการ TSMC 3nm
    คาดว่าจะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้นจาก RDNA 4

    วางแผนเปิดตัวระหว่างปี 2026–2027
    อาจเปิดตัวพร้อมกับ RTX 6090 ของ NVIDIA
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ของ AMD อีกครั้ง

    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันในตลาด GPU
    NVIDIA ครองตลาดไฮเอนด์มานานโดยไม่มีคู่แข่งที่สูสี
    การกลับมาของ AMD อาจช่วยลดราคาตลาดและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค

    https://www.techradar.com/computing/gpu/amd-isnt-giving-up-on-high-end-gpus-a-new-leak-hints-at-a-new-radeon-gpu-challenging-nvidias-next-gen-flagship-graphics-card
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: AMD กลับมาท้าชน NVIDIA ด้วย “RX 10090 XT” สุดโหด หลังจากปล่อยให้ NVIDIA ครองบัลลังก์ GPU ระดับไฮเอนด์มาหลายปี AMD ก็เหมือนจะ “ถอย” ไปเน้นตลาดกลาง แต่ล่าสุดมีข่าวหลุดว่า AMD เตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ที่อาจใช้ชื่อว่า Radeon RX 10090 XT — และมันดู “โหด” จนหลายคนคิดว่าอาจเป็นคู่แข่งตัวจริงของ NVIDIA RTX 6090 ที่กำลังจะมา! เจ้า RX 10090 XT นี้มีสเปกที่น่าตื่นตาตื่นใจ: - 154 Compute Units - 36GB GDDR7 VRAM บนบัส 384-bit - Bandwidth สูงถึง 1.728 TB/s - TDP อยู่ที่ 380W ทั้งหมดนี้ถูกสร้างบนเทคโนโลยี TSMC 3nm และคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปี 2026–2027 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ NVIDIA จะเปิดตัว RTX 6090 เช่นกัน แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การกลับมาของ AMD ในตลาดไฮเอนด์ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ GPU ที่กำลังขาดการแข่งขันอย่างแท้จริง ✅ AMD เตรียมเปิดตัว GPU RDNA 5 รุ่นไฮเอนด์ ➡️ ใช้ชื่อชั่วคราวว่า Radeon RX 10090 XT ➡️ ตั้งเป้าแข่งขันกับ NVIDIA RTX 6090 ✅ สเปกที่หลุดออกมานั้นทรงพลังมาก ➡️ 154 Compute Units ➡️ 36GB GDDR7 VRAM ความเร็ว 36Gbps ➡️ บัส 384-bit และ Bandwidth 1.728 TB/s ➡️ ใช้พลังงาน 380W ✅ ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับสูง ➡️ ผลิตบนกระบวนการ TSMC 3nm ➡️ คาดว่าจะมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้นจาก RDNA 4 ✅ วางแผนเปิดตัวระหว่างปี 2026–2027 ➡️ อาจเปิดตัวพร้อมกับ RTX 6090 ของ NVIDIA ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์ของ AMD อีกครั้ง ✅ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันในตลาด GPU ➡️ NVIDIA ครองตลาดไฮเอนด์มานานโดยไม่มีคู่แข่งที่สูสี ➡️ การกลับมาของ AMD อาจช่วยลดราคาตลาดและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค https://www.techradar.com/computing/gpu/amd-isnt-giving-up-on-high-end-gpus-a-new-leak-hints-at-a-new-radeon-gpu-challenging-nvidias-next-gen-flagship-graphics-card
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี

    ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก

    แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า:

    หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ

    Intel จึงอาจ:
    - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ
    - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง
    - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest

    สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม

    Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก
    โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A

    CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท
    รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services

    กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท
    เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest

    ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel
    ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก

    Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด
    แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว

    หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน
    เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

    หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า
    ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก

    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน

    การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต
    โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง

    การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel
    อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

    https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    🎙️ เรื่องเล่าจากวงการชิป: เมื่อ Intel อาจยอมถอยจากแนวหน้าของเทคโนโลยี ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan Intel กำลังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในแผนก Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก แม้ Intel จะมีความก้าวหน้าในกระบวนการผลิต 18A (เทียบเท่า 1.8nm) แต่ตลาดกลับยังคงเทใจให้กับ TSMC ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตชิป ทำให้ Intel เผชิญกับความไม่แน่นอนว่า: 🔖 หากไม่มีลูกค้าภายนอกรายใหญ่สำหรับ 14A และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญได้ อาจไม่คุ้มค่าที่จะพัฒนาต่อ Intel จึงอาจ: - หยุดพัฒนา 14A และกระบวนการผลิตขั้นสูงอื่นๆ - ยกเลิกโครงการขยายโรงงานบางแห่ง - หันไปเน้นผลิตชิปภายใน เช่น Panther Lake และ Clearwater Forest สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจาก Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด แม้จะมีการปลดพนักงานจำนวนมากแล้วก็ตาม ✅ Intel อาจถอนตัวจากการแข่งขันด้านชิปขั้นสูง หากไม่มีลูกค้าภายนอก ➡️ โดยเฉพาะกระบวนการผลิต 14A และ 18A ✅ CEO Lip-Bu Tan เตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูบริษัท ➡️ รวมถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในแผนก Intel Foundry Services ✅ กระบวนการผลิต 18A มีความก้าวหน้า แต่ยังเน้นใช้ภายในบริษัท ➡️ เช่นในผลิตภัณฑ์ Panther Lake และ Clearwater Forest ✅ ตลาดยังคงเลือกใช้บริการของ TSMC มากกว่า Intel ➡️ ทำให้ Intel ขาดแรงสนับสนุนจากลูกค้าภายนอก ✅ Intel รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด ➡️ แม้จะมีการปลดพนักงานและลดค่าใช้จ่ายแล้ว ✅ หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของ 14A ได้ อาจหยุดพัฒนาและขยายโรงงาน ➡️ เป็นการลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว ‼️ หาก Intel ถอนตัวจากการผลิตชิปขั้นสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ขาดผู้ผลิตชิประดับแนวหน้า ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและการแข่งขันระดับโลก ‼️ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ⛔ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน ‼️ การหยุดพัฒนา 14A และโครงการโรงงานอาจทำให้ Intel เสียโอกาสในอนาคต ⛔ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และ HPC ต้องการชิปขั้นสูง ‼️ การขาดลูกค้าภายนอกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในเทคโนโลยีของ Intel ⛔ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว https://wccftech.com/intel-will-drop-out-of-the-cutting-edge-chip-race-if-it-doesnt-see-external-customer-interest/
    WCCFTECH.COM
    Intel Will Drop Out of the Cutting-Edge Chip Race If It Doesn’t See External Customer Interest, Possibly Marking the Fall of a Key Custodian of Moore's Law
    Intel's foundry division is expected to witness changes, with one primary being the decision to drop the pursuit of cutting-edge chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Zen 6 – แรงทะลุ 7 GHz พร้อม 24 คอร์ในเดสก์ท็อป

    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว Zen 6 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ Ryzen desktop CPUs โดยมีข้อมูลหลุดจากแหล่งวงในอย่าง Yuri Bubily (ผู้สร้าง Hydra tuning software) และช่อง YouTube Moore’s Law Is Dead ที่เผยว่า Zen 6 จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมด

    จุดเด่นของ Zen 6 ได้แก่:
    - รองรับสูงสุด 12 คอร์ต่อ CCD (Core Complex Die) และ 24 คอร์ 48 เธรดต่อชิป
    - เพิ่มแคช L3 ต่อ CCD เป็น 48 MB และอาจมีรุ่นที่ใช้ 3D V-Cache หลายชั้น รวมสูงสุดถึง 240 MB
    - ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงจาก TSMC เช่น N2X (2nm enhanced) สำหรับรุ่นท็อป
    - ความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจทะลุ 7 GHz ในรุ่นเดสก์ท็อประดับสูง
    - ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 ทำให้ผู้ใช้ Ryzen รุ่นปัจจุบันสามารถอัปเกรดได้ง่าย
    - ปรับปรุง memory controller เป็นแบบ dual IMC แต่ยังใช้ DDR5 แบบ dual-channel
    - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบ Boost และ Curve Optimizer ทำให้การปรับแต่งยังคงเหมือนเดิม

    Zen 6 ยังมีรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ (Venice-class EPYC) และ APU (Medusa Point) ที่ใช้เทคโนโลยี N2P หรือ N3P ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์มากกว่าความเร็วสูงสุด

    คาดว่า Zen 6 จะเปิดตัวช่วงกลางถึงปลายปี 2026 พร้อมชนกับ Intel Nova Lake-S ที่จะใช้ซ็อกเก็ตใหม่และมีจำนวนคอร์สูงถึง 52 คอร์

    https://www.techspot.com/news/108646-amd-zen-6-could-hit-7-ghz-24.html
    AMD Zen 6 – แรงทะลุ 7 GHz พร้อม 24 คอร์ในเดสก์ท็อป AMD กำลังเตรียมเปิดตัว Zen 6 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ Ryzen desktop CPUs โดยมีข้อมูลหลุดจากแหล่งวงในอย่าง Yuri Bubily (ผู้สร้าง Hydra tuning software) และช่อง YouTube Moore’s Law Is Dead ที่เผยว่า Zen 6 จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมด จุดเด่นของ Zen 6 ได้แก่: - รองรับสูงสุด 12 คอร์ต่อ CCD (Core Complex Die) และ 24 คอร์ 48 เธรดต่อชิป - เพิ่มแคช L3 ต่อ CCD เป็น 48 MB และอาจมีรุ่นที่ใช้ 3D V-Cache หลายชั้น รวมสูงสุดถึง 240 MB - ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงจาก TSMC เช่น N2X (2nm enhanced) สำหรับรุ่นท็อป - ความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจทะลุ 7 GHz ในรุ่นเดสก์ท็อประดับสูง - ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 ทำให้ผู้ใช้ Ryzen รุ่นปัจจุบันสามารถอัปเกรดได้ง่าย - ปรับปรุง memory controller เป็นแบบ dual IMC แต่ยังใช้ DDR5 แบบ dual-channel - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบ Boost และ Curve Optimizer ทำให้การปรับแต่งยังคงเหมือนเดิม Zen 6 ยังมีรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ (Venice-class EPYC) และ APU (Medusa Point) ที่ใช้เทคโนโลยี N2P หรือ N3P ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์มากกว่าความเร็วสูงสุด คาดว่า Zen 6 จะเปิดตัวช่วงกลางถึงปลายปี 2026 พร้อมชนกับ Intel Nova Lake-S ที่จะใช้ซ็อกเก็ตใหม่และมีจำนวนคอร์สูงถึง 52 คอร์ https://www.techspot.com/news/108646-amd-zen-6-could-hit-7-ghz-24.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Zen 6 could hit 7 GHz and 24 cores in desktop CPUs
    Yuri Bubily, creator of the Hydra tuning software, revealed on his official Discord that engineering samples of Zen 6-based Ryzen CPUs have already reached AMD's industry partners....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe Gen6 – เร็วกว่าเดิมเท่าตัว รองรับ 512 TB

    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ SM8466 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยี PCIe Gen6 ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 28 GB/s และรองรับ IOPS สูงถึง 7 ล้านครั้งต่อวินาที—มากกว่ารุ่นก่อนถึงเท่าตัว

    ตัวคอนโทรลเลอร์ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC และรองรับมาตรฐานใหม่ NVMe 2.0+, OCP NVMe SSD Spec 2.5 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบครัน เช่น Secure Boot, AES-256, TCG Opal และ End-to-End Data Protection

    เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน SM8366 (Gen5):
    - ความเร็ว: 28 GB/s vs 14.2 GB/s
    - ความจุ: 512 TB vs 128 TB
    - IOPS: 7 ล้าน vs 3.5 ล้าน
    - เทคโนโลยีการผลิต: 4nm vs 12nm

    อย่างไรก็ตาม คอนโทรลเลอร์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดตัวเทคโนโลยีเท่านั้น และผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มใช้งานในตลาดช่วงปี 2026–2027 โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ ส่วนตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะได้ใช้ SSD ที่รองรับ PCIe Gen6

    ข้อมูลจากข่าว
    - Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น SM8466 รองรับ PCIe Gen6
    - ความเร็วสูงสุด 28 GB/s และรองรับความจุสูงสุด 512 TB
    - รองรับมาตรฐาน NVMe 2.0+, OCP Spec 2.5 และฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายรายการ
    - ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC
    - IOPS สูงสุด 7 ล้านครั้งต่อวินาที
    - เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน SM8366: เร็วขึ้น 2 เท่า, ความจุเพิ่ม 4 เท่า
    - คาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026–2027 สำหรับตลาดองค์กร
    - ตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจได้ใช้ PCIe Gen6 SSD หลังปี 2030

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป ต้องรออีกหลายปี
    - PCIe Gen5 SSD ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดผู้บริโภค ทำให้ Gen6 ยิ่งห่างไกล
    - การเปลี่ยนไปใช้ Gen6 ต้องอัปเกรดทั้งเมนบอร์ด, CPU และระบบจัดเก็บข้อมูล
    - ความเร็วสูงอาจมาพร้อมกับความร้อนและการใช้พลังงานที่มากขึ้น
    - องค์กรควรวางแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Gen6

    https://wccftech.com/silicon-motion-first-pcie-gen6-ssd-controller-enterprise-sm8466-up-to-28-gbps-speeds-512-tb-capacities/
    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD PCIe Gen6 – เร็วกว่าเดิมเท่าตัว รองรับ 512 TB Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ SM8466 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ MonTitan ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยี PCIe Gen6 ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 28 GB/s และรองรับ IOPS สูงถึง 7 ล้านครั้งต่อวินาที—มากกว่ารุ่นก่อนถึงเท่าตัว ตัวคอนโทรลเลอร์ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC และรองรับมาตรฐานใหม่ NVMe 2.0+, OCP NVMe SSD Spec 2.5 พร้อมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบครัน เช่น Secure Boot, AES-256, TCG Opal และ End-to-End Data Protection เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน SM8366 (Gen5): - ความเร็ว: 28 GB/s vs 14.2 GB/s - ความจุ: 512 TB vs 128 TB - IOPS: 7 ล้าน vs 3.5 ล้าน - เทคโนโลยีการผลิต: 4nm vs 12nm อย่างไรก็ตาม คอนโทรลเลอร์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเปิดตัวเทคโนโลยีเท่านั้น และผลิตภัณฑ์จริงจะเริ่มใช้งานในตลาดช่วงปี 2026–2027 โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ ส่วนตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจต้องรอถึงปี 2030 กว่าจะได้ใช้ SSD ที่รองรับ PCIe Gen6 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่น SM8466 รองรับ PCIe Gen6 - ความเร็วสูงสุด 28 GB/s และรองรับความจุสูงสุด 512 TB - รองรับมาตรฐาน NVMe 2.0+, OCP Spec 2.5 และฟีเจอร์ความปลอดภัยหลายรายการ - ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm ของ TSMC - IOPS สูงสุด 7 ล้านครั้งต่อวินาที - เปรียบเทียบกับรุ่นก่อน SM8366: เร็วขึ้น 2 เท่า, ความจุเพิ่ม 4 เท่า - คาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2026–2027 สำหรับตลาดองค์กร - ตลาดผู้บริโภคทั่วไปอาจได้ใช้ PCIe Gen6 SSD หลังปี 2030 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - คอนโทรลเลอร์ SM8466 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป ต้องรออีกหลายปี - PCIe Gen5 SSD ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดผู้บริโภค ทำให้ Gen6 ยิ่งห่างไกล - การเปลี่ยนไปใช้ Gen6 ต้องอัปเกรดทั้งเมนบอร์ด, CPU และระบบจัดเก็บข้อมูล - ความเร็วสูงอาจมาพร้อมกับความร้อนและการใช้พลังงานที่มากขึ้น - องค์กรควรวางแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Gen6 https://wccftech.com/silicon-motion-first-pcie-gen6-ssd-controller-enterprise-sm8466-up-to-28-gbps-speeds-512-tb-capacities/
    WCCFTECH.COM
    Silicon Motion Unveils Its First PCIe Gen6 SSD Controller For Enterprise: SM8466 With Up To 28 GB/s Speeds & 512 TB Capacities
    Silicon Motion has unveiled its next-gen PCIe Gen6 SSD controller which will be used to power the high-end enterprise level storage products.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติแล้ว ภายในสมาร์ตโฟน ชิปจะถูกวางอยู่บนแผ่นซับสเตรต แล้ว “ลูกบอลบัดกรี” (solder balls) จะเชื่อมระหว่างชิปกับเมนบอร์ด → แต่ LG Innotek เสนอว่า แทนที่จะใช้ลูกบอลเชื่อมแบบเดิม ให้ใช้แท่งทองแดง (Copper Posts) วางบนซับสเตรตก่อน แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีอีกที → ทำให้สามารถ “ลดช่องว่างระหว่างจุดเชื่อมต่อ” ลงได้ถึง 20% แบบไม่เสียประสิทธิภาพเลย

    ข้อดีไม่ใช่แค่บางลง → แต่ระบบนี้ทำให้ ระบายความร้อนได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 7 เท่า → และทนความร้อนในขั้นตอนผลิตมากขึ้น → ไม่เสียรูปง่ายเหมือนลูกบอลดีบุก

    ตอนนี้ LG Innotek มีสิทธิบัตร Copper Post แล้วกว่า 40 ใบ และเตรียมใช้กับแพ็กเกจ RF-SiP (สำหรับโมเด็ม, เครื่องขยายสัญญาณ, ตัวกรองคลื่น) และ FC-CSP (สำหรับแอปพลิเคชันโปรเซสเซอร์)

    LG Innotek พัฒนาโครงสร้าง Copper Post แทน solder balls แบบเดิม  
    • วางแท่งทองแดงบน substrate → แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีด้านบน  
    • ลดระยะห่างระหว่าง solder ได้ถึง ~20%  
    • ทำให้สมาร์ตโฟนบางลง และเหลือพื้นที่ใส่แบตฯ หรือชิ้นส่วนอื่น ๆ มากขึ้น

    ช่วยเพิ่มการระบายความร้อน + ความทนทานในกระบวนการผลิต  
    • ทองแดงนำความร้อนดีกว่าดีบุกบัดกรี 7 เท่า  
    • ไม่เสียรูปแม้ในความร้อนสูงขั้นตอนประกอบ

    ช่วยลดปัญหาสัญญาณรบกวน (signal degradation) ที่เกิดจากความร้อนสะสม  
    • เหมาะกับสมาร์ตโฟนรุ่นสูงที่มีการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    LG Innotek ลงทุนวิจัยตั้งแต่ปี 2021 โดยใช้ 3D simulation และ digital twin  
    • ปัจจุบันมีสิทธิบัตรแล้วราว 40 ใบ  
    • เตรียมใช้งานจริงกับ RF-SiP และ FC-CSP บนสมาร์ตโฟน–อุปกรณ์สวมใส่

    Copper Post ยังไม่ใช่โซลูชันที่ผ่าน mass adoption → ต้องรอผู้ผลิตนำไปใช้งานจริงอย่างแพร่หลายในตลาดก่อน

    ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำสูง → หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lg-innotek-to-slim-down-smartphones-by-replacing-solder-balls-with-copper-posts
    ปกติแล้ว ภายในสมาร์ตโฟน ชิปจะถูกวางอยู่บนแผ่นซับสเตรต แล้ว “ลูกบอลบัดกรี” (solder balls) จะเชื่อมระหว่างชิปกับเมนบอร์ด → แต่ LG Innotek เสนอว่า แทนที่จะใช้ลูกบอลเชื่อมแบบเดิม ให้ใช้แท่งทองแดง (Copper Posts) วางบนซับสเตรตก่อน แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีอีกที → ทำให้สามารถ “ลดช่องว่างระหว่างจุดเชื่อมต่อ” ลงได้ถึง 20% แบบไม่เสียประสิทธิภาพเลย ข้อดีไม่ใช่แค่บางลง → แต่ระบบนี้ทำให้ ระบายความร้อนได้ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 7 เท่า → และทนความร้อนในขั้นตอนผลิตมากขึ้น → ไม่เสียรูปง่ายเหมือนลูกบอลดีบุก ตอนนี้ LG Innotek มีสิทธิบัตร Copper Post แล้วกว่า 40 ใบ และเตรียมใช้กับแพ็กเกจ RF-SiP (สำหรับโมเด็ม, เครื่องขยายสัญญาณ, ตัวกรองคลื่น) และ FC-CSP (สำหรับแอปพลิเคชันโปรเซสเซอร์) ✅ LG Innotek พัฒนาโครงสร้าง Copper Post แทน solder balls แบบเดิม   • วางแท่งทองแดงบน substrate → แล้วค่อยวางลูกบอลบัดกรีด้านบน   • ลดระยะห่างระหว่าง solder ได้ถึง ~20%   • ทำให้สมาร์ตโฟนบางลง และเหลือพื้นที่ใส่แบตฯ หรือชิ้นส่วนอื่น ๆ มากขึ้น ✅ ช่วยเพิ่มการระบายความร้อน + ความทนทานในกระบวนการผลิต   • ทองแดงนำความร้อนดีกว่าดีบุกบัดกรี 7 เท่า   • ไม่เสียรูปแม้ในความร้อนสูงขั้นตอนประกอบ ✅ ช่วยลดปัญหาสัญญาณรบกวน (signal degradation) ที่เกิดจากความร้อนสะสม   • เหมาะกับสมาร์ตโฟนรุ่นสูงที่มีการส่งข้อมูลความเร็วสูง ✅ LG Innotek ลงทุนวิจัยตั้งแต่ปี 2021 โดยใช้ 3D simulation และ digital twin   • ปัจจุบันมีสิทธิบัตรแล้วราว 40 ใบ   • เตรียมใช้งานจริงกับ RF-SiP และ FC-CSP บนสมาร์ตโฟน–อุปกรณ์สวมใส่ ‼️ Copper Post ยังไม่ใช่โซลูชันที่ผ่าน mass adoption → ต้องรอผู้ผลิตนำไปใช้งานจริงอย่างแพร่หลายในตลาดก่อน ‼️ ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำสูง → หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lg-innotek-to-slim-down-smartphones-by-replacing-solder-balls-with-copper-posts
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    LG Innotek to slim down smartphones by replacing solder balls with copper posts
    LG Innotek introduced Copper Post packaging technology, which replaces traditional solder balls in semiconductor substrates, enabling slimmer, denser, and cooler smartphone designs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติสมาร์ตโฟนตอนนี้ใช้ RAM แบบ LPDDR5X กันอยู่ — เร็วก็จริง แต่ยังเทียบไม่ได้กับ HBM ที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และชิป AI ระดับสูง ทีนี้ Huawei ซึ่งแม้จะโดนคว่ำบาตรจนต้องใช้ชิป 7nm จาก SMIC ก็พยายามหนีขึ้นไปอีกขั้น โดย “ข้าม LPDDR6 ไปใช้ HBM เลย” — โดยใช้เทคนิค 3D Stacking มาซ้อน DRAM หลายชั้นแบบเดียวกับที่ใช้ใน HBM สำหรับ AI chip

    ผลคือ:
    - ได้ความเร็วสูงขึ้น
    - ประหยัดพลังงาน
    - ใช้พื้นที่น้อยลงมากในโทรศัพท์

    Apple เองก็มีข่าวว่าจะใช้ HBM ใน iPhone ฉลอง 20 ปี (ปี 2027) แต่ดูเหมือน Huawei จะเอาจริงก่อนและเร็วกว่า ถึงจะยังไม่ประกาศว่ารุ่นไหนจะได้ใช้ก่อนก็ตาม

    แม้เทคโนโลยีการผลิตของ Huawei จะตามหลัง (เพราะ TSMC และ Samsung ไม่สามารถผลิตให้ได้) — แต่ Huawei ก็ชดเชยด้วยการเร่งนวัตกรรมในองค์ประกอบอื่น เช่น DRAM, โมเด็ม, OS และ AI

    https://wccftech.com/huawei-could-beat-apple-in-bringing-hbm-dram-to-smartphones/
    ปกติสมาร์ตโฟนตอนนี้ใช้ RAM แบบ LPDDR5X กันอยู่ — เร็วก็จริง แต่ยังเทียบไม่ได้กับ HBM ที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และชิป AI ระดับสูง ทีนี้ Huawei ซึ่งแม้จะโดนคว่ำบาตรจนต้องใช้ชิป 7nm จาก SMIC ก็พยายามหนีขึ้นไปอีกขั้น โดย “ข้าม LPDDR6 ไปใช้ HBM เลย” — โดยใช้เทคนิค 3D Stacking มาซ้อน DRAM หลายชั้นแบบเดียวกับที่ใช้ใน HBM สำหรับ AI chip ผลคือ: - ได้ความเร็วสูงขึ้น - ประหยัดพลังงาน - ใช้พื้นที่น้อยลงมากในโทรศัพท์ Apple เองก็มีข่าวว่าจะใช้ HBM ใน iPhone ฉลอง 20 ปี (ปี 2027) แต่ดูเหมือน Huawei จะเอาจริงก่อนและเร็วกว่า ถึงจะยังไม่ประกาศว่ารุ่นไหนจะได้ใช้ก่อนก็ตาม แม้เทคโนโลยีการผลิตของ Huawei จะตามหลัง (เพราะ TSMC และ Samsung ไม่สามารถผลิตให้ได้) — แต่ Huawei ก็ชดเชยด้วยการเร่งนวัตกรรมในองค์ประกอบอื่น เช่น DRAM, โมเด็ม, OS และ AI https://wccftech.com/huawei-could-beat-apple-in-bringing-hbm-dram-to-smartphones/
    WCCFTECH.COM
    Huawei Rumored To Beat Apple In Bringing HBM DRAM To Smartphones; Technology Will Be Based On A 3D Stacking Approach, Increasing Efficiency And Boosting AI Performance
    In addition to being the first tri-fold smartphone maker, Huawei could beat Apple in adopting HBM DRAM in its smartphones
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันแบนการส่งออกชิปให้ Huawei และ SMIC
    รัฐบาลไต้หวันได้เพิ่ม Huawei และ SMIC เข้าไปในรายชื่อบริษัทที่ถูกควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นมาตรการที่เข้มงวดขึ้นหลังจากพบว่า Huaweiใช้บริษัทตัวกลางเพื่อหลอกให้ TSMC ผลิตชิป AI จำนวน 2 ล้านตัว แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไปแล้ว

    รายละเอียดมาตรการแบน
    - Huawei และ SMIC ต้อง ขอใบอนุญาตส่งออก จากบริษัทไต้หวันก่อนรับสินค้า
    - รายชื่อบริษัทที่ถูกแบนของไต้หวันรวมถึง Taliban, al-Qaeda, อิหร่าน, รัสเซีย, อัฟกานิสถาน และเกาหลีเหนือ
    - การแบนนี้เกิดขึ้นหลังจาก TSMC ถูกปรับเงินจำนวนมาก เนื่องจากผลิตชิปให้ Huawei โดยไม่ได้ตั้งใจ
    - บริษัทอื่นๆ เช่น UMC, ASE, SPIL และ Nanya ก็ต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดใหม่

    ข้อควรระวัง
    - Huawei อาจหาทางเลี่ยงมาตรการแบน โดยใช้บริษัทตัวกลางอื่นๆ
    - การแบนอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ทำให้ต้องพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้น
    - อาจเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    แนวโน้มตลาดชิป
    - สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หยุดส่งออกชิปขั้นสูงให้จีน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
    - มีการคาดการณ์ว่า จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ
    - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันอาจได้รับผลกระทบ จากการลดคำสั่งซื้อจากจีน

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาดชิป
    - การควบคุมการส่งออกอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าชิป ผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ
    - จีนอาจตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่ใช้ผลิตชิป
    - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ว่าจะสามารถแข่งขันกับไต้หวันและสหรัฐฯ ได้หรือไม่

    แนวทางการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูง
    มาตรการของสหรัฐฯ และไต้หวัน
    - สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการ ห้ามใช้ชิป Huawei Ascend ในหลายประเทศ
    - ไต้หวันกำลังพิจารณา เพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง
    - มีการคาดการณ์ว่า มาตรการแบนอาจขยายไปถึงบริษัทอื่นๆ ในจีน ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี
    - อาจเกิดการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น ระหว่างจีนและตะวันตก
    - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดกั้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม
    - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้การควบคุมเทคโนโลยีเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-bans-chip-exports-to-huawei-smic-ban-comes-after-huawei-tricked-tsmc-into-making-one-million-ai-processors-despite-us-restrictions
    🔍 ไต้หวันแบนการส่งออกชิปให้ Huawei และ SMIC รัฐบาลไต้หวันได้เพิ่ม Huawei และ SMIC เข้าไปในรายชื่อบริษัทที่ถูกควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นมาตรการที่เข้มงวดขึ้นหลังจากพบว่า Huaweiใช้บริษัทตัวกลางเพื่อหลอกให้ TSMC ผลิตชิป AI จำนวน 2 ล้านตัว แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไปแล้ว ✅ รายละเอียดมาตรการแบน - Huawei และ SMIC ต้อง ขอใบอนุญาตส่งออก จากบริษัทไต้หวันก่อนรับสินค้า - รายชื่อบริษัทที่ถูกแบนของไต้หวันรวมถึง Taliban, al-Qaeda, อิหร่าน, รัสเซีย, อัฟกานิสถาน และเกาหลีเหนือ - การแบนนี้เกิดขึ้นหลังจาก TSMC ถูกปรับเงินจำนวนมาก เนื่องจากผลิตชิปให้ Huawei โดยไม่ได้ตั้งใจ - บริษัทอื่นๆ เช่น UMC, ASE, SPIL และ Nanya ก็ต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดใหม่ ‼️ ข้อควรระวัง - Huawei อาจหาทางเลี่ยงมาตรการแบน โดยใช้บริษัทตัวกลางอื่นๆ - การแบนอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ทำให้ต้องพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้น - อาจเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ✅ แนวโน้มตลาดชิป - สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หยุดส่งออกชิปขั้นสูงให้จีน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา - มีการคาดการณ์ว่า จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันอาจได้รับผลกระทบ จากการลดคำสั่งซื้อจากจีน ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาดชิป - การควบคุมการส่งออกอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าชิป ผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ - จีนอาจตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่ใช้ผลิตชิป - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ว่าจะสามารถแข่งขันกับไต้หวันและสหรัฐฯ ได้หรือไม่ 🛡️ แนวทางการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูง ✅ มาตรการของสหรัฐฯ และไต้หวัน - สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการ ห้ามใช้ชิป Huawei Ascend ในหลายประเทศ - ไต้หวันกำลังพิจารณา เพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง - มีการคาดการณ์ว่า มาตรการแบนอาจขยายไปถึงบริษัทอื่นๆ ในจีน ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี - อาจเกิดการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น ระหว่างจีนและตะวันตก - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดกั้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้การควบคุมเทคโนโลยีเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-bans-chip-exports-to-huawei-smic-ban-comes-after-huawei-tricked-tsmc-into-making-one-million-ai-processors-despite-us-restrictions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เตรียมปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปกลางเดือนกรกฎาคม
    Intel ประกาศแผนปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปที่โรงงาน Silicon Forest ในรัฐโอเรกอน ตั้งแต่ กลางเดือนกรกฎาคม 2025 โดยมีเป้าหมาย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านวิศวกรรม

    รายละเอียดของการปรับโครงสร้าง
    Intel ปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตชิปให้เน้นด้านวิศวกรรมมากขึ้น
    - ลดจำนวนพนักงานระดับกลาง เพื่อให้ การดำเนินงานมีความคล่องตัวขึ้น
    - เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป เช่น EUV และ High-NA EUV lithography

    การปลดพนักงานอาจมีหลายรอบ
    - รอบแรกจะสิ้นสุดภายในเดือนกรกฎาคม
    - อาจมีการปลดพนักงานเพิ่มเติมหากจำเป็น

    Intel ต้องการลดต้นทุนเพื่อปรับปรุงสถานะทางการเงิน
    - บริษัทต้องการเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - การลดต้นทุนช่วยให้สามารถแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ได้ดีขึ้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การลดจำนวนพนักงานอาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    - หากลดจำนวนวิศวกรมากเกินไป อาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า

    การปลดพนักงานอาจลดความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
    - การลดจำนวนพนักงานระดับปฏิบัติการอาจทำให้การตอบสนองต่อปัญหาช้าลง

    ต้องติดตามว่า Intel จะสามารถรักษากำลังการผลิตได้หรือไม่
    - หากการลดพนักงานส่งผลต่อการผลิต อาจทำให้เกิดปัญหาด้านซัพพลายเชน

    อนาคตของ Intel และการผลิตชิป
    Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung
    ต้องติดตามว่าการปรับโครงสร้างนี้จะช่วยให้ Intel มีความคล่องตัวมากขึ้นหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-to-begin-fab-personnel-layoffs-in-mid-july-company-to-reduce-costs-and-refocus-on-engineering-talent
    🏭 Intel เตรียมปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปกลางเดือนกรกฎาคม Intel ประกาศแผนปลดพนักงานฝ่ายผลิตชิปที่โรงงาน Silicon Forest ในรัฐโอเรกอน ตั้งแต่ กลางเดือนกรกฎาคม 2025 โดยมีเป้าหมาย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านวิศวกรรม 🔍 รายละเอียดของการปรับโครงสร้าง ✅ Intel ปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตชิปให้เน้นด้านวิศวกรรมมากขึ้น - ลดจำนวนพนักงานระดับกลาง เพื่อให้ การดำเนินงานมีความคล่องตัวขึ้น - เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป เช่น EUV และ High-NA EUV lithography ✅ การปลดพนักงานอาจมีหลายรอบ - รอบแรกจะสิ้นสุดภายในเดือนกรกฎาคม - อาจมีการปลดพนักงานเพิ่มเติมหากจำเป็น ✅ Intel ต้องการลดต้นทุนเพื่อปรับปรุงสถานะทางการเงิน - บริษัทต้องการเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น - การลดต้นทุนช่วยให้สามารถแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ได้ดีขึ้น 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ‼️ การลดจำนวนพนักงานอาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ - หากลดจำนวนวิศวกรมากเกินไป อาจทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า ‼️ การปลดพนักงานอาจลดความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน - การลดจำนวนพนักงานระดับปฏิบัติการอาจทำให้การตอบสนองต่อปัญหาช้าลง ‼️ ต้องติดตามว่า Intel จะสามารถรักษากำลังการผลิตได้หรือไม่ - หากการลดพนักงานส่งผลต่อการผลิต อาจทำให้เกิดปัญหาด้านซัพพลายเชน 🚀 อนาคตของ Intel และการผลิตชิป ✅ Intel อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ✅ ต้องติดตามว่าการปรับโครงสร้างนี้จะช่วยให้ Intel มีความคล่องตัวมากขึ้นหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-to-begin-fab-personnel-layoffs-in-mid-july-company-to-reduce-costs-and-refocus-on-engineering-talent
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • Besi ปรับเป้าหมายทางการเงินระยะยาว คาดการณ์ความต้องการชิปเพิ่มขึ้น
    BE Semiconductor Industries (Besi) ปรับเป้าหมายทางการเงินระยะยาว โดยคาดการณ์ว่า ตลาดสำหรับเทคโนโลยีการจัดเรียงชิปขั้นสูงจะเติบโตอย่างมาก เนื่องจาก การพัฒนา AI และศูนย์ข้อมูล

    Besi เป็นผู้ผลิต เครื่องมือ Hybrid Bonding ที่แม่นยำที่สุดในโลก ซึ่งช่วยให้ สามารถเชื่อมต่อชิปหลายตัวเข้าด้วยกันโดยตรง ทำให้ ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องลดขนาดทรานซิสเตอร์

    ข้อมูลจากข่าว
    - Besi ปรับเป้าหมายรายได้ระยะยาวเป็น 1.5-1.9 พันล้านยูโร จากเดิม 1 พันล้านยูโร
    - อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 40%-55% จากเดิม 35%-50%
    - การพัฒนา AI และศูนย์ข้อมูลช่วยเพิ่มความต้องการเทคโนโลยี Hybrid Bonding
    - หุ้นของ Besi เพิ่มขึ้น 7.5% หลังประกาศปรับเป้าหมาย
    - นักวิเคราะห์จาก ING ระบุว่าตลาดสำหรับเทคโนโลยีการจัดเรียงชิปเติบโตขึ้นอย่างมาก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    เมื่อการลดขนาดทรานซิสเตอร์ เริ่มถึงขีดจำกัดทางกายภาพ ผู้ผลิตชิป ต้องหาทางเพิ่มประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีการจัดเรียงชิปขั้นสูง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ Hybrid Bonding จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ซับซ้อน
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น TSMC และ Intel จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้มากน้อยแค่ไหน
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและซัพพลายเชน
    - ต้องรอดูว่า Besi จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่

    Besi เชื่อว่า เทคโนโลยี Hybrid Bonding จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาชิปที่เร็วขึ้นและทรงพลังขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าตลาดจะตอบรับเทคโนโลยีนี้อย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/12/besi-lifts-its-forecast-expects-higher-demand-for-its-advanced-solutions
    🏭 Besi ปรับเป้าหมายทางการเงินระยะยาว คาดการณ์ความต้องการชิปเพิ่มขึ้น BE Semiconductor Industries (Besi) ปรับเป้าหมายทางการเงินระยะยาว โดยคาดการณ์ว่า ตลาดสำหรับเทคโนโลยีการจัดเรียงชิปขั้นสูงจะเติบโตอย่างมาก เนื่องจาก การพัฒนา AI และศูนย์ข้อมูล Besi เป็นผู้ผลิต เครื่องมือ Hybrid Bonding ที่แม่นยำที่สุดในโลก ซึ่งช่วยให้ สามารถเชื่อมต่อชิปหลายตัวเข้าด้วยกันโดยตรง ทำให้ ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องลดขนาดทรานซิสเตอร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Besi ปรับเป้าหมายรายได้ระยะยาวเป็น 1.5-1.9 พันล้านยูโร จากเดิม 1 พันล้านยูโร - อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 40%-55% จากเดิม 35%-50% - การพัฒนา AI และศูนย์ข้อมูลช่วยเพิ่มความต้องการเทคโนโลยี Hybrid Bonding - หุ้นของ Besi เพิ่มขึ้น 7.5% หลังประกาศปรับเป้าหมาย - นักวิเคราะห์จาก ING ระบุว่าตลาดสำหรับเทคโนโลยีการจัดเรียงชิปเติบโตขึ้นอย่างมาก 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อการลดขนาดทรานซิสเตอร์ เริ่มถึงขีดจำกัดทางกายภาพ ผู้ผลิตชิป ต้องหาทางเพิ่มประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีการจัดเรียงชิปขั้นสูง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ Hybrid Bonding จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ซับซ้อน - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น TSMC และ Intel จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้มากน้อยแค่ไหน - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและซัพพลายเชน - ต้องรอดูว่า Besi จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ Besi เชื่อว่า เทคโนโลยี Hybrid Bonding จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาชิปที่เร็วขึ้นและทรงพลังขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าตลาดจะตอบรับเทคโนโลยีนี้อย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/12/besi-lifts-its-forecast-expects-higher-demand-for-its-advanced-solutions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Besi lifts long-term financial targets, eyeing demand growth
    AMSTERDAM (Reuters) -BE Semiconductor Industries (Besi) raised its long-term financial targets on Thursday ahead of its investor day, saying the future is bright for its advanced chip stacking tools.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm

    ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น

    การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ

    ข้อมูลจากข่าว
    - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP)
    - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm
    - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux
    - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่
    - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
    - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว

    การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้ - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่ - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยกระดับการผลิตของคุณด้วยเครื่องบดแห้ง PULVERIZER 30B!
    คุณกำลังมองหาโซลูชันเพื่อ เพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบ และขยายไลน์การผลิตใช่ไหม?
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการ บดน้ำตาลทรายขาว ให้เป็นน้ำตาลไอซิ่ง หรือน้ำตาลผงละเอียด!

    เครื่องบดแห้ง Pulverizer 30B ของเราสามารถปรับใช้เพื่อบด น้ำตาลทรายขาว ให้ได้ขนาดอนุภาคที่สม่ำเสมอตามที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลไอซิ่งสำหรับเบเกอรี่ หรือน้ำตาลผงสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ
    ฟันตี 3 แบบ เลือกได้ตามใจ: สำหรับการบดน้ำตาลทรายขาว เราสามารถแนะนำฟันตีที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
    Pin Mill: เป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับการบดน้ำตาลทรายขาวให้เป็นผงละเอียดมาก หรือน้ำตาลไอซิ่ง เนื่องจากออกแบบมาเพื่อการบดที่ให้ความละเอียดสูง
    Hammer Mill: อาจใช้สำหรับการบดน้ำตาลทรายขาวให้มีความละเอียดปานกลาง หรือใช้เป็นขั้นตอนแรกในการลดขนาดก่อนจะบดละเอียดด้วย Pin Mill

    ควบคุมความละเอียดได้แม่นยำ: สามารถปรับเปลี่ยนตะแกรงให้เหมาะสมกับขนาดอนุภาคของน้ำตาลผงที่คุณต้องการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและตรงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของคุณ

    มาตรฐานระดับโลก: มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยด้วยมาตรฐาน ยุโรป CE และรองรับระบบ GMP, HACCP ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร

    ทดลองบดก่อนตัดสินใจ: ไม่ต้องเสี่ยง! นำวัตถุดิบของคุณ (น้ำตาลทรายขาว) มาทดลองบดกับเครื่องจริงได้เลย (กรุณาแจ้งล่วงหน้า) เพื่อให้คุณมั่นใจในประสิทธิภาพและผลลัพธ์

    เปลี่ยนน้ำตาลทรายขาวให้เป็นน้ำตาลผงคุณภาพสูง สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างไม่จำกัด!

    สนใจสอบถามเพิ่มเติม หรือนัดทดลองบดน้ำตาลทรายขาว?
    ติดต่อเราได้เลย!

    โทร: 081-318-9098, 02-2153515-9
    อีเมล: yonghahheng@gmail.com, sales@yoryonghahheng.com
    แวะมาเยี่ยมชม: สำนักงานของเราตั้งอยู่ตรงข้ามจุฬาซอย 34 ถนนบรรทัดทอง (พระราม 6) ใกล้หัวลำโพง
    เลือกคุณภาพ เลือก BONNY – เครื่องจักรที่ตอบโจทย์ทุกความสำเร็จของคุณ!


    #เครื่องบด #เครื่องบดแห้ง #Pulverizer #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรโรงงาน #บดน้ำตาล #น้ำตาลไอซิ่ง #น้ำตาลผง #อุตสาหกรรมเบเกอรี่ #วัตถุดิบอาหาร #เครื่องจักรอาหาร #โรงงานผลิต #SMEไทย #เพิ่มมูลค่า #GMP #HACCP #มาตรฐานCE #BONNY #ยย่งฮะเฮง #บดผง #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เทคโนโลยีการผลิต #เครื่องจักรคุณภาพ #การลงทุน #ธุรกิจอาหาร #นวัตกรรม #เครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร #FoodProcessing #SugarGrinding
    🚀 ยกระดับการผลิตของคุณด้วยเครื่องบดแห้ง PULVERIZER 30B! 🚀 คุณกำลังมองหาโซลูชันเพื่อ เพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบ และขยายไลน์การผลิตใช่ไหม? โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการ บดน้ำตาลทรายขาว ให้เป็นน้ำตาลไอซิ่ง หรือน้ำตาลผงละเอียด! เครื่องบดแห้ง Pulverizer 30B ของเราสามารถปรับใช้เพื่อบด น้ำตาลทรายขาว ให้ได้ขนาดอนุภาคที่สม่ำเสมอตามที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลไอซิ่งสำหรับเบเกอรี่ หรือน้ำตาลผงสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ฟันตี 3 แบบ เลือกได้ตามใจ: สำหรับการบดน้ำตาลทรายขาว เราสามารถแนะนำฟันตีที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด: Pin Mill: เป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับการบดน้ำตาลทรายขาวให้เป็นผงละเอียดมาก หรือน้ำตาลไอซิ่ง เนื่องจากออกแบบมาเพื่อการบดที่ให้ความละเอียดสูง Hammer Mill: อาจใช้สำหรับการบดน้ำตาลทรายขาวให้มีความละเอียดปานกลาง หรือใช้เป็นขั้นตอนแรกในการลดขนาดก่อนจะบดละเอียดด้วย Pin Mill ควบคุมความละเอียดได้แม่นยำ: สามารถปรับเปลี่ยนตะแกรงให้เหมาะสมกับขนาดอนุภาคของน้ำตาลผงที่คุณต้องการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและตรงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของคุณ มาตรฐานระดับโลก: มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยด้วยมาตรฐาน ยุโรป CE และรองรับระบบ GMP, HACCP ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ทดลองบดก่อนตัดสินใจ: ไม่ต้องเสี่ยง! นำวัตถุดิบของคุณ (น้ำตาลทรายขาว) มาทดลองบดกับเครื่องจริงได้เลย (กรุณาแจ้งล่วงหน้า) เพื่อให้คุณมั่นใจในประสิทธิภาพและผลลัพธ์ เปลี่ยนน้ำตาลทรายขาวให้เป็นน้ำตาลผงคุณภาพสูง สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างไม่จำกัด! 📞 สนใจสอบถามเพิ่มเติม หรือนัดทดลองบดน้ำตาลทรายขาว? ติดต่อเราได้เลย! โทร: 081-318-9098, 02-2153515-9 อีเมล: yonghahheng@gmail.com, sales@yoryonghahheng.com แวะมาเยี่ยมชม: สำนักงานของเราตั้งอยู่ตรงข้ามจุฬาซอย 34 ถนนบรรทัดทอง (พระราม 6) ใกล้หัวลำโพง เลือกคุณภาพ เลือก BONNY – เครื่องจักรที่ตอบโจทย์ทุกความสำเร็จของคุณ! #เครื่องบด #เครื่องบดแห้ง #Pulverizer #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องจักรโรงงาน #บดน้ำตาล #น้ำตาลไอซิ่ง #น้ำตาลผง #อุตสาหกรรมเบเกอรี่ #วัตถุดิบอาหาร #เครื่องจักรอาหาร #โรงงานผลิต #SMEไทย #เพิ่มมูลค่า #GMP #HACCP #มาตรฐานCE #BONNY #ยย่งฮะเฮง #บดผง #เครื่องจักรอุตสาหกรรม #เทคโนโลยีการผลิต #เครื่องจักรคุณภาพ #การลงทุน #ธุรกิจอาหาร #นวัตกรรม #เครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหาร #FoodProcessing #SugarGrinding
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิตชิป 1.4nm-class โดยบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือลิเธียกราฟีรุ่นใหม่

    High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การผลิตชิปมีความแม่นยำมากขึ้น โดย Intel เป็นบริษัทที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยลดจำนวนขั้นตอนการผลิต อย่างไรก็ตาม TSMC เชื่อว่าการพัฒนาโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet gate-all-around และ standard cell architecture สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV

    ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC ไม่ใช้ High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิต A16 (1.6nm-class) และ A14 (1.4nm-class)
    - A14 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% และลดการใช้พลังงานลง 25-30% เมื่อเทียบกับ N2
    - A14 เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ขึ้น 20-23%
    - A14 จะเริ่มผลิตในปี 2028 และจะมีรุ่นปรับปรุงในปี 2029
    - TSMC อาจใช้ High-NA EUV ในอนาคต แต่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในตอนนี้

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Intel กำลังใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี
    - TSMC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตชิป 1.4nm-class ได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV
    - การใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อการแข่งขันระหว่าง Intel และ TSMC ในอนาคต
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง และต้องจับตาดูว่า TSMC จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่

    TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปโดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจาก Intel อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องติดตามว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ TSMC รักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reiterates-it-doesnt-need-high-na-euv-for-1-4nm-class-process-technology
    TSMC ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิตชิป 1.4nm-class โดยบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือลิเธียกราฟีรุ่นใหม่ High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การผลิตชิปมีความแม่นยำมากขึ้น โดย Intel เป็นบริษัทที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยลดจำนวนขั้นตอนการผลิต อย่างไรก็ตาม TSMC เชื่อว่าการพัฒนาโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet gate-all-around และ standard cell architecture สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC ไม่ใช้ High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิต A16 (1.6nm-class) และ A14 (1.4nm-class) - A14 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% และลดการใช้พลังงานลง 25-30% เมื่อเทียบกับ N2 - A14 เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ขึ้น 20-23% - A14 จะเริ่มผลิตในปี 2028 และจะมีรุ่นปรับปรุงในปี 2029 - TSMC อาจใช้ High-NA EUV ในอนาคต แต่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในตอนนี้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Intel กำลังใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี - TSMC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตชิป 1.4nm-class ได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV - การใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อการแข่งขันระหว่าง Intel และ TSMC ในอนาคต - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง และต้องจับตาดูว่า TSMC จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่ TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปโดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจาก Intel อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องติดตามว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ TSMC รักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reiterates-it-doesnt-need-high-na-euv-for-1-4nm-class-process-technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 294 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC กำลังเปิด ศูนย์ออกแบบชิปแห่งแรกในยุโรป ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เพื่อช่วยนักพัฒนาชิปในยุโรปปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีการผลิตของบริษัท โดยศูนย์นี้จะให้บริการตั้งแต่การช่วยพัฒนา ไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไปจนถึงการปรับแต่งเทคโนโลยีการออกแบบ (DTCO) สำหรับ โปรเซสเซอร์ขั้นสูงที่ใช้ใน AI และ HPC

    TSMC มีศูนย์ออกแบบชิป 9 แห่งทั่วโลก ในแคนาดา จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหรัฐฯ โดยศูนย์ในมิวนิกจะเป็นแห่งที่ 10 และเป็นแห่งแรกในยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรป

    นอกจากนี้ TSMC ยังร่วมมือกับ Bosch, Infineon และ NXP ในการสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในยุโรป ซึ่งจะสามารถผลิตชิปที่ใช้กระบวนการ 12nm และ 16nm โดยเน้นไปที่ MCU แต่ก็สามารถผลิตชิปประเภทอื่นได้

    ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC เปิดศูนย์ออกแบบชิปแห่งแรกในยุโรป ที่เมืองมิวนิก เยอรมนี
    - ศูนย์นี้จะช่วยนักพัฒนาชิปปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะกับเทคโนโลยีของ TSMC
    - ให้บริการตั้งแต่ MCU สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไปจนถึง โปรเซสเซอร์ AI และ HPC
    - TSMC มีศูนย์ออกแบบชิป 9 แห่งทั่วโลก และศูนย์ในมิวนิกเป็นแห่งที่ 10
    - TSMC ร่วมมือกับ Bosch, Infineon และ NXP สร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในยุโรป

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การออกแบบชิปต้องมีการปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
    - การผลิตชิปต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน และต้องทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และต้องแข่งขันกับสหรัฐฯ และเอเชีย
    - TSMC ไม่ได้ออกแบบชิปเอง แต่ให้บริการปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะกับการผลิต

    การเปิดศูนย์ออกแบบชิปในยุโรปของ TSMC เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้นักพัฒนาชิปในยุโรปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องจับตาดูว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ยุโรปสามารถแข่งขันกับตลาดอื่น ๆ ได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-to-open-up-chip-design-center-in-munich-to-help-local-chip-developers
    TSMC กำลังเปิด ศูนย์ออกแบบชิปแห่งแรกในยุโรป ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เพื่อช่วยนักพัฒนาชิปในยุโรปปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีการผลิตของบริษัท โดยศูนย์นี้จะให้บริการตั้งแต่การช่วยพัฒนา ไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไปจนถึงการปรับแต่งเทคโนโลยีการออกแบบ (DTCO) สำหรับ โปรเซสเซอร์ขั้นสูงที่ใช้ใน AI และ HPC TSMC มีศูนย์ออกแบบชิป 9 แห่งทั่วโลก ในแคนาดา จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหรัฐฯ โดยศูนย์ในมิวนิกจะเป็นแห่งที่ 10 และเป็นแห่งแรกในยุโรป ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรป นอกจากนี้ TSMC ยังร่วมมือกับ Bosch, Infineon และ NXP ในการสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในยุโรป ซึ่งจะสามารถผลิตชิปที่ใช้กระบวนการ 12nm และ 16nm โดยเน้นไปที่ MCU แต่ก็สามารถผลิตชิปประเภทอื่นได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC เปิดศูนย์ออกแบบชิปแห่งแรกในยุโรป ที่เมืองมิวนิก เยอรมนี - ศูนย์นี้จะช่วยนักพัฒนาชิปปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะกับเทคโนโลยีของ TSMC - ให้บริการตั้งแต่ MCU สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไปจนถึง โปรเซสเซอร์ AI และ HPC - TSMC มีศูนย์ออกแบบชิป 9 แห่งทั่วโลก และศูนย์ในมิวนิกเป็นแห่งที่ 10 - TSMC ร่วมมือกับ Bosch, Infineon และ NXP สร้างโรงงานผลิตชิปแห่งแรกในยุโรป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การออกแบบชิปต้องมีการปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด - การผลิตชิปต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน และต้องทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และต้องแข่งขันกับสหรัฐฯ และเอเชีย - TSMC ไม่ได้ออกแบบชิปเอง แต่ให้บริการปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะกับการผลิต การเปิดศูนย์ออกแบบชิปในยุโรปของ TSMC เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้นักพัฒนาชิปในยุโรปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องจับตาดูว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ยุโรปสามารถแข่งขันกับตลาดอื่น ๆ ได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-to-open-up-chip-design-center-in-munich-to-help-local-chip-developers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • Huawei กำลังเดินหน้าสู่ตลาดชิป AI อย่างแข็งแกร่งด้วย Ascend 910C ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ NVIDIA H100 และคาดว่าจะขายได้กว่า 700,000 หน่วยในปี 2025 แม้ว่ากระบวนการผลิตของ SMIC จะมีอัตราผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำเพียง 30% ก็ตาม นอกจากนี้ Huawei ยังขยายเครือข่ายโรงงานผลิตชิปของตนเองในจีนเพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

    Huawei เตรียมขาย Ascend 910C กว่า 700,000 หน่วยในปี 2025
    - ชิป Ascend 910C มีประสิทธิภาพสูงถึง 800 TFLOP/s ที่ FP16 และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงสุด 3.2 TB/s
    - คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในจีนเร็วๆ นี้ หลังจากที่ SMIC เริ่มผลิตในปริมาณมาก

    SMIC ผลิตชิปด้วยกระบวนการ 7nm DUV แต่มีอัตราผลผลิตต่ำ
    - กระบวนการผลิตของ SMIC มีอัตราผลผลิตเพียง 30% ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนชิปที่สามารถผลิตได้
    - Huawei พยายามลดผลกระทบโดยการขยายโรงงานผลิตชิปของตนเอง

    Huawei ขยายเครือข่ายโรงงานผลิตชิปในจีน
    - มีรายงานว่า Huawei ควบคุมโรงงานผลิตชิปถึง 11 แห่งทั่วประเทศจีน
    - โรงงานเหล่านี้ใช้ชื่อที่แตกต่างกันเพื่อปกปิดความเชื่อมโยงกับ Huawei

    ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน
    - แม้ว่าชิป Ascend 910C จะมีประสิทธิภาพสูง แต่กระบวนการผลิต 7nm DUV ของ SMIC ยังล้าหลังเทคโนโลยี EUV ของ TSMC และ Samsung
    - หาก Huawei ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยขึ้น อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

    มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ อาจเป็นอุปสรรค
    - สหรัฐฯ ได้ออกข้อกำหนดใหม่ที่ห้ามใช้ชิป Ascend 910C ในต่างประเทศ เนื่องจากละเมิดกฎการส่งออกของสหรัฐฯ
    - มาตรการนี้อาจจำกัดการขยายตลาดของ Huawei นอกประเทศจีน

    https://wccftech.com/mizuho-huawei-will-likely-sell-over-700000-units-of-its-ascend-910-series-chips-in-2025-despite-smics-fairly-low-yields-of-30-percent/
    Huawei กำลังเดินหน้าสู่ตลาดชิป AI อย่างแข็งแกร่งด้วย Ascend 910C ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ NVIDIA H100 และคาดว่าจะขายได้กว่า 700,000 หน่วยในปี 2025 แม้ว่ากระบวนการผลิตของ SMIC จะมีอัตราผลผลิตที่ค่อนข้างต่ำเพียง 30% ก็ตาม นอกจากนี้ Huawei ยังขยายเครือข่ายโรงงานผลิตชิปของตนเองในจีนเพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ✅ Huawei เตรียมขาย Ascend 910C กว่า 700,000 หน่วยในปี 2025 - ชิป Ascend 910C มีประสิทธิภาพสูงถึง 800 TFLOP/s ที่ FP16 และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงสุด 3.2 TB/s - คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในจีนเร็วๆ นี้ หลังจากที่ SMIC เริ่มผลิตในปริมาณมาก ✅ SMIC ผลิตชิปด้วยกระบวนการ 7nm DUV แต่มีอัตราผลผลิตต่ำ - กระบวนการผลิตของ SMIC มีอัตราผลผลิตเพียง 30% ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนชิปที่สามารถผลิตได้ - Huawei พยายามลดผลกระทบโดยการขยายโรงงานผลิตชิปของตนเอง ✅ Huawei ขยายเครือข่ายโรงงานผลิตชิปในจีน - มีรายงานว่า Huawei ควบคุมโรงงานผลิตชิปถึง 11 แห่งทั่วประเทศจีน - โรงงานเหล่านี้ใช้ชื่อที่แตกต่างกันเพื่อปกปิดความเชื่อมโยงกับ Huawei ‼️ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน - แม้ว่าชิป Ascend 910C จะมีประสิทธิภาพสูง แต่กระบวนการผลิต 7nm DUV ของ SMIC ยังล้าหลังเทคโนโลยี EUV ของ TSMC และ Samsung - หาก Huawei ไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยขึ้น อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ‼️ มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ อาจเป็นอุปสรรค - สหรัฐฯ ได้ออกข้อกำหนดใหม่ที่ห้ามใช้ชิป Ascend 910C ในต่างประเทศ เนื่องจากละเมิดกฎการส่งออกของสหรัฐฯ - มาตรการนี้อาจจำกัดการขยายตลาดของ Huawei นอกประเทศจีน https://wccftech.com/mizuho-huawei-will-likely-sell-over-700000-units-of-its-ascend-910-series-chips-in-2025-despite-smics-fairly-low-yields-of-30-percent/
    WCCFTECH.COM
    Mizuho: Huawei Will Likely Sell Over 700,000 Units Of Its Ascend 910 Series Chips In 2025, Despite SMIC's "Fairly Low" Yields Of ~30 Percent
    Huawei's Ascend 910C chips leverage SMIC's 7nm DUV-based production process, which suffers from "fairly low" yields.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ทุ่มงบ 42 พันล้านดอลลาร์ ขยายโรงงานผลิตชิป 9 แห่งในปี 2025

    TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ประกาศแผนลงทุนระหว่าง 38-42 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายกำลังการผลิต โดยจะสร้าง โรงงานผลิตชิป 8 แห่ง และโรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง 1 แห่ง ในปี 2025

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแผนขยายโรงงานของ TSMC
    TSMC จะสร้างโรงงานใหม่ 9 แห่งในปี 2025
    - ประกอบด้วย 8 โรงงานผลิตเวเฟอร์ และ 1 โรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง

    โรงงานใหม่จะตั้งอยู่ในไต้หวัน, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และเยอรมนี
    - รวมถึง Fab 21 ในรัฐแอริโซนา และ Fab 24 ในเยอรมนี

    TSMC จะเริ่มผลิตชิป 2nm (N2) ใน Fab 20 และ Fab 22 ในไต้หวัน
    - พร้อมรองรับ เทคโนโลยี A16 (1.6nm) ในปี 2026

    โรงงาน Fab 25 ในไต้หวันจะผลิตชิป 1.4nm (A14) ในปี 2028
    - เป็นหนึ่งในโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงที่สุดของ TSMC

    TSMC กำลังเพิ่มการใช้เครื่อง EUV รุ่นใหม่จาก ASML
    - เครื่อง Low-NA EUV มีราคาสูงถึง 235 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง

    TSMC วางแผนใช้เครื่อง High-NA EUV ในอนาคต ซึ่งมีราคาสูงถึง 380 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง
    - เพื่อ เพิ่มความแม่นยำในการผลิตชิปขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-to-spend-usd42-billion-on-expansion-in-2025-ambitious-plans-detail-nine-production-facilities
    TSMC ทุ่มงบ 42 พันล้านดอลลาร์ ขยายโรงงานผลิตชิป 9 แห่งในปี 2025 TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ประกาศแผนลงทุนระหว่าง 38-42 พันล้านดอลลาร์ เพื่อขยายกำลังการผลิต โดยจะสร้าง โรงงานผลิตชิป 8 แห่ง และโรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง 1 แห่ง ในปี 2025 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแผนขยายโรงงานของ TSMC ✅ TSMC จะสร้างโรงงานใหม่ 9 แห่งในปี 2025 - ประกอบด้วย 8 โรงงานผลิตเวเฟอร์ และ 1 โรงงานบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง ✅ โรงงานใหม่จะตั้งอยู่ในไต้หวัน, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และเยอรมนี - รวมถึง Fab 21 ในรัฐแอริโซนา และ Fab 24 ในเยอรมนี ✅ TSMC จะเริ่มผลิตชิป 2nm (N2) ใน Fab 20 และ Fab 22 ในไต้หวัน - พร้อมรองรับ เทคโนโลยี A16 (1.6nm) ในปี 2026 ✅ โรงงาน Fab 25 ในไต้หวันจะผลิตชิป 1.4nm (A14) ในปี 2028 - เป็นหนึ่งในโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงที่สุดของ TSMC ✅ TSMC กำลังเพิ่มการใช้เครื่อง EUV รุ่นใหม่จาก ASML - เครื่อง Low-NA EUV มีราคาสูงถึง 235 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง ✅ TSMC วางแผนใช้เครื่อง High-NA EUV ในอนาคต ซึ่งมีราคาสูงถึง 380 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง - เพื่อ เพิ่มความแม่นยำในการผลิตชิปขั้นสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-to-spend-usd42-billion-on-expansion-in-2025-ambitious-plans-detail-nine-production-facilities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD Zen 7: สถาปัตยกรรมใหม่ที่มาพร้อมสามประเภทของคอร์และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง

    AMD กำลังพัฒนา Zen 7 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีการปรับปรุงหลายด้าน โดยมี สามประเภทของคอร์ ได้แก่ คอร์ประสิทธิภาพสูง, คอร์ความหนาแน่นสูง และคอร์พลังงานต่ำ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการใช้ TSMC A14 Node ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าพร้อมระบบ backside power delivery

    Zen 7 จะมีสามประเภทของคอร์เพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน
    - คอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับ งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง
    - คอร์ความหนาแน่นสูงสำหรับ งานที่ต้องการ throughput สูง
    - คอร์พลังงานต่ำสำหรับ งานที่ต้องการประหยัดพลังงาน

    ใช้กระบวนการผลิต TSMC A14 Node พร้อมระบบ backside power delivery
    - เดิมทีระบบนี้ถูกวางแผนให้ใช้กับ N2 Node แต่ถูกเปลี่ยนมาใช้กับ A16/A14

    ขนาดแคชเพิ่มขึ้น โดยแต่ละคอร์จะมี L2 Cache ขนาด 2MB และ L3 Cache สูงสุด 7MB
    - คอร์แบบมาตรฐานจะมี L3 Cache แบบแชร์ขนาด 12MB
    - คอร์ความหนาแน่นสูงอาจมี 16 คอร์ต่อ CCD พร้อม L3 Cache ขนาด 32MB

    มีข่าวลือว่า EPYC รุ่นใหม่อาจมี 264 คอร์ โดยใช้ 33 คอร์ต่อ CCD
    - หากเป็นจริง จะเป็นหนึ่งในโปรเซสเซอร์ที่มีจำนวนคอร์สูงที่สุดในตลาด

    Zen 7 คาดว่าจะเริ่มการผลิตในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027 และวางจำหน่ายในปี 2028
    - AMD ยังคงปรับแผนการพัฒนา และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัว

    Zen 7 อาจต้องใช้ซ็อกเก็ตใหม่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ CCD และคอร์
    - ผู้ใช้ อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดหากต้องการอัปเกรดเป็น Zen 7

    https://www.techpowerup.com/336808/amd-zen-7-rumors-three-core-classes-2-mb-l2-7-mb-v-cache-and-tsmc-a14-node
    AMD Zen 7: สถาปัตยกรรมใหม่ที่มาพร้อมสามประเภทของคอร์และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง AMD กำลังพัฒนา Zen 7 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีการปรับปรุงหลายด้าน โดยมี สามประเภทของคอร์ ได้แก่ คอร์ประสิทธิภาพสูง, คอร์ความหนาแน่นสูง และคอร์พลังงานต่ำ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการใช้ TSMC A14 Node ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าพร้อมระบบ backside power delivery ✅ Zen 7 จะมีสามประเภทของคอร์เพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน - คอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับ งานที่ต้องการพลังประมวลผลสูง - คอร์ความหนาแน่นสูงสำหรับ งานที่ต้องการ throughput สูง - คอร์พลังงานต่ำสำหรับ งานที่ต้องการประหยัดพลังงาน ✅ ใช้กระบวนการผลิต TSMC A14 Node พร้อมระบบ backside power delivery - เดิมทีระบบนี้ถูกวางแผนให้ใช้กับ N2 Node แต่ถูกเปลี่ยนมาใช้กับ A16/A14 ✅ ขนาดแคชเพิ่มขึ้น โดยแต่ละคอร์จะมี L2 Cache ขนาด 2MB และ L3 Cache สูงสุด 7MB - คอร์แบบมาตรฐานจะมี L3 Cache แบบแชร์ขนาด 12MB - คอร์ความหนาแน่นสูงอาจมี 16 คอร์ต่อ CCD พร้อม L3 Cache ขนาด 32MB ✅ มีข่าวลือว่า EPYC รุ่นใหม่อาจมี 264 คอร์ โดยใช้ 33 คอร์ต่อ CCD - หากเป็นจริง จะเป็นหนึ่งในโปรเซสเซอร์ที่มีจำนวนคอร์สูงที่สุดในตลาด ✅ Zen 7 คาดว่าจะเริ่มการผลิตในช่วงปลายปี 2026 หรือต้นปี 2027 และวางจำหน่ายในปี 2028 - AMD ยังคงปรับแผนการพัฒนา และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัว ‼️ Zen 7 อาจต้องใช้ซ็อกเก็ตใหม่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ CCD และคอร์ - ผู้ใช้ อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดหากต้องการอัปเกรดเป็น Zen 7 https://www.techpowerup.com/336808/amd-zen-7-rumors-three-core-classes-2-mb-l2-7-mb-v-cache-and-tsmc-a14-node
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD "Zen 7" Rumors: Three Core Classes, 2 MB L2, 7 MB V‑Cache, and TSMC A14 Node
    AMD is already looking ahead to its Zen 7 generation and is planning the final details for its next generation of Zen IP. The first hints come from YouTuber "Moore's Law Is Dead," which points to a few interesting decisions. AMD plans to extend its multi‑class core strategy that began with Zen 4c an...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel คาดว่าแผนก Foundry จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2027 พร้อมเปิดตัวเทคโนโลยี 14A

    Intel กำลังลงทุนมหาศาลใน เทคโนโลยีการผลิตชิปและขยายกำลังการผลิต แม้ว่าปัจจุบันแผนก Foundry จะขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส แต่บริษัทคาดว่า จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2027 ซึ่งเป็นช่วงที่ เทคโนโลยีการผลิต 14A (1.4nm-class) จะเริ่มใช้งานจริง

    Intel คาดว่าแผนก Foundry จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2027
    - เป็นช่วงที่ เทคโนโลยี 14A จะเริ่มใช้งานจริง

    ชิปแรกที่ใช้กระบวนการผลิต 18A (1.8nm-class) คือ Panther Lake
    - จะเปิดตัว ปลายปีนี้และเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า

    เทคโนโลยี 18A จะถูกใช้ใน Xeon 'Clearwater Forest' และผลิตภัณฑ์ของลูกค้าภายนอก
    - เป็น การพิสูจน์แนวคิดสำหรับลูกค้าภายนอก

    Intel วางแผนใช้ High-NA EUV lithography กับกระบวนการผลิต 14A
    - แม้ว่าจะเพิ่มต้นทุน แต่บริษัทเชื่อว่าข้อดีของเทคโนโลยีนี้จะคุ้มค่า

    Intel ตั้งเป้าให้ Foundry มีรายได้จากลูกค้าภายนอกระดับพันล้านดอลลาร์ต่อปี
    - รวมถึง รายได้จากแพ็กเกจขั้นสูงและกระบวนการผลิตรุ่นเก่า เช่น Intel 16

    Intel ต้องพิสูจน์ความสามารถของเทคโนโลยี 18A ก่อนที่ลูกค้าจะยอมรับ 14A
    - หาก 18A ไม่ประสบความสำเร็จ ลูกค้าอาจลังเลที่จะใช้ 14A

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-says-foundry-business-wont-break-even-until-14a-in-2027
    Intel คาดว่าแผนก Foundry จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2027 พร้อมเปิดตัวเทคโนโลยี 14A Intel กำลังลงทุนมหาศาลใน เทคโนโลยีการผลิตชิปและขยายกำลังการผลิต แม้ว่าปัจจุบันแผนก Foundry จะขาดทุนหลายพันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส แต่บริษัทคาดว่า จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2027 ซึ่งเป็นช่วงที่ เทคโนโลยีการผลิต 14A (1.4nm-class) จะเริ่มใช้งานจริง ✅ Intel คาดว่าแผนก Foundry จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2027 - เป็นช่วงที่ เทคโนโลยี 14A จะเริ่มใช้งานจริง ✅ ชิปแรกที่ใช้กระบวนการผลิต 18A (1.8nm-class) คือ Panther Lake - จะเปิดตัว ปลายปีนี้และเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า ✅ เทคโนโลยี 18A จะถูกใช้ใน Xeon 'Clearwater Forest' และผลิตภัณฑ์ของลูกค้าภายนอก - เป็น การพิสูจน์แนวคิดสำหรับลูกค้าภายนอก ✅ Intel วางแผนใช้ High-NA EUV lithography กับกระบวนการผลิต 14A - แม้ว่าจะเพิ่มต้นทุน แต่บริษัทเชื่อว่าข้อดีของเทคโนโลยีนี้จะคุ้มค่า ✅ Intel ตั้งเป้าให้ Foundry มีรายได้จากลูกค้าภายนอกระดับพันล้านดอลลาร์ต่อปี - รวมถึง รายได้จากแพ็กเกจขั้นสูงและกระบวนการผลิตรุ่นเก่า เช่น Intel 16 ‼️ Intel ต้องพิสูจน์ความสามารถของเทคโนโลยี 18A ก่อนที่ลูกค้าจะยอมรับ 14A - หาก 18A ไม่ประสบความสำเร็จ ลูกค้าอาจลังเลที่จะใช้ 14A https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-says-foundry-business-wont-break-even-until-14a-in-2027
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025

    Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ

    Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ
    - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร

    ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง

    วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล

    Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
    - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025
    - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้

    การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี
    - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
    - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025 Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ ✅ Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง ✅ วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล ✅ Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025 - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้ ‼️ การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ‼️ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Kevin Zhang รองประธานอาวุโสของบริษัทเปิดเผยว่า TSMC จะนำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค

    ในอดีต อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขับเคลื่อนโดย โปรเซสเซอร์สำหรับพีซี แต่เมื่อสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาท เทคโนโลยีการผลิตก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับ SoC สำหรับมือถือ และปัจจุบัน AI และ HPC กำลังกลายเป็นกลุ่มที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุด

    TSMC วางแผนที่จะนำเสนอ N3P, N2, N2P และ A14 สำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์โดยไม่ต้องใช้ backside power delivery ขณะที่ A16 และ A14P จะถูกออกแบบมาสำหรับ AI และ HPC โดยใช้ Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN)

    นอกจากนี้ TSMC กำลังขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล โดยมีการพัฒนา silicon photonics และ embedded power components เพื่อสร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน

    การปรับตัวของ TSMC ต่อความต้องการของตลาด
    - นำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับ AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค
    - ขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล

    เทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี
    - ใช้ N3P, N2, N2P และ A14 ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    - ไม่ต้องใช้ backside power delivery

    เทคโนโลยีสำหรับ AI และ HPC
    - ใช้ A16 และ A14P พร้อม Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN)
    - รองรับการใช้พลังงานสูงในศูนย์ข้อมูล

    การพัฒนา multi-chiplet packaging
    - รวม silicon photonics และ embedded power components
    - สร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-svp-kevin-zhang-opens-up-on-process-technology-development-and-evolving-demands-interview
    TSMC กำลังปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Kevin Zhang รองประธานอาวุโสของบริษัทเปิดเผยว่า TSMC จะนำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค ในอดีต อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ขับเคลื่อนโดย โปรเซสเซอร์สำหรับพีซี แต่เมื่อสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาท เทคโนโลยีการผลิตก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับ SoC สำหรับมือถือ และปัจจุบัน AI และ HPC กำลังกลายเป็นกลุ่มที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุด TSMC วางแผนที่จะนำเสนอ N3P, N2, N2P และ A14 สำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์โดยไม่ต้องใช้ backside power delivery ขณะที่ A16 และ A14P จะถูกออกแบบมาสำหรับ AI และ HPC โดยใช้ Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN) นอกจากนี้ TSMC กำลังขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล โดยมีการพัฒนา silicon photonics และ embedded power components เพื่อสร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน ✅ การปรับตัวของ TSMC ต่อความต้องการของตลาด - นำเสนอเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันสำหรับ AI, HPC และอุปกรณ์ผู้บริโภค - ขยายเทคโนโลยี multi-chiplet packaging เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล ✅ เทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์มือถือและพีซี - ใช้ N3P, N2, N2P และ A14 ซึ่งเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ - ไม่ต้องใช้ backside power delivery ✅ เทคโนโลยีสำหรับ AI และ HPC - ใช้ A16 และ A14P พร้อม Super Power Rail Backside Power Delivery Network (BSPDN) - รองรับการใช้พลังงานสูงในศูนย์ข้อมูล ✅ การพัฒนา multi-chiplet packaging - รวม silicon photonics และ embedded power components - สร้างระบบที่มีแบนด์วิดธ์สูงและประหยัดพลังงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-svp-kevin-zhang-opens-up-on-process-technology-development-and-evolving-demands-interview
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Fab 21 phase 3 ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โรงงานนี้จะสามารถผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี N2, N2P (2nm-class) และ A16 (1.6nm-class) เมื่อเสร็จสมบูรณ์ระหว่างปี 2028-2030

    การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน มูลค่า 165 พันล้านดอลลาร์ ที่ TSMC ประกาศในเดือนมีนาคม โดย Fab 21 จะมีทั้งหมด 6 โมดูล ซึ่งโมดูลที่ 3 และ 4 จะใช้เทคโนโลยี 2nm-class ส่วนโมดูลที่ 5 และ 6 จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า เช่น A14 (1.4nm-class)

    อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันได้ออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ TSMC ต้องได้รับอนุญาตก่อนที่จะลงทุนในโครงการต่างประเทศ และไม่สามารถส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดไปยังโรงงานในต่างประเทศได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ TSMC

    นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเงื่อนไขในการให้เงินสนับสนุนภายใต้ CHIPS and Science Act โดยอาจกำหนดให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการรับเงินสนับสนุนต้องเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ

    การก่อสร้าง Fab 21 phase 3
    - ตั้งอยู่ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา
    - จะสามารถผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี N2, N2P และ A16

    แผนการลงทุนของ TSMC
    - มูลค่า 165 พันล้านดอลลาร์
    - Fab 21 จะมีทั้งหมด 6 โมดูล

    ข้อจำกัดจากรัฐบาลไต้หวัน
    - TSMC ต้องได้รับอนุญาตก่อนลงทุนในต่างประเทศ
    - ไม่สามารถส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดไปยังโรงงานในต่างประเทศ

    การสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    - อาจกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการรับเงินสนับสนุนต้องเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-starts-construction-its-1-6nm-and-2nm-capable-u-s-fab-fab-21-phase-3
    TSMC ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Fab 21 phase 3 ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โรงงานนี้จะสามารถผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี N2, N2P (2nm-class) และ A16 (1.6nm-class) เมื่อเสร็จสมบูรณ์ระหว่างปี 2028-2030 การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน มูลค่า 165 พันล้านดอลลาร์ ที่ TSMC ประกาศในเดือนมีนาคม โดย Fab 21 จะมีทั้งหมด 6 โมดูล ซึ่งโมดูลที่ 3 และ 4 จะใช้เทคโนโลยี 2nm-class ส่วนโมดูลที่ 5 และ 6 จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า เช่น A14 (1.4nm-class) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันได้ออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ TSMC ต้องได้รับอนุญาตก่อนที่จะลงทุนในโครงการต่างประเทศ และไม่สามารถส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดไปยังโรงงานในต่างประเทศได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ TSMC นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเงื่อนไขในการให้เงินสนับสนุนภายใต้ CHIPS and Science Act โดยอาจกำหนดให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการรับเงินสนับสนุนต้องเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ ✅ การก่อสร้าง Fab 21 phase 3 - ตั้งอยู่ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา - จะสามารถผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี N2, N2P และ A16 ✅ แผนการลงทุนของ TSMC - มูลค่า 165 พันล้านดอลลาร์ - Fab 21 จะมีทั้งหมด 6 โมดูล ✅ ข้อจำกัดจากรัฐบาลไต้หวัน - TSMC ต้องได้รับอนุญาตก่อนลงทุนในต่างประเทศ - ไม่สามารถส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดไปยังโรงงานในต่างประเทศ ✅ การสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ - อาจกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการรับเงินสนับสนุนต้องเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-starts-construction-its-1-6nm-and-2nm-capable-u-s-fab-fab-21-phase-3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts