• "เราจะผ่านไปด้วยกัน"

    วันที่แสนมืดมน…สับสนรอบตัว
ถนนว่างเปล่า...ไร้เสียงหัวเราะให้ได้ยิน
โควิดแพร่กระจาย...ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร
แต่หัวใจคนไทย...จะไม่ไหวหวั่น

    แม้จะไกลแค่ไหน...ก็ยังมีกัน
แม้จะหนักเพียงใด...เรายังยืนไหว
จากร้อยร่วงติดลบ…เราจะสร้างขึ้นใหม่
พรุ่งนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    เราจะผ่านไปด้วยกัน...แม้ต้องห่างไกล
แม้เจ็บ แม้ล้ม ยังมีใครที่รออยู่ตรงนั้น
ยื่นมือมาแบ่งปัน...คนละครึ่งช่วยกัน
จากน้ำตา...เป็นรอยยิ้มในสักวัน

    เสียงแห่งความหวัง...เริ่มก้องกังวาน
โครงการแห่งใจ...ช่วยเติมไฟให้ยังยืน
"เราไม่ทิ้งกัน" ส่งรักให้เธอ แม้ไกลแสนไกล
แค่หัวใจเราไม่ห่างกัน

    อาจมีบางวัน...ที่เราอ่อนล้า
อาจมีบางครา...ต้องเสียบางอย่างไป
แต่สุดท้ายเราจะก้าวไป...
จับมือกันไว้...ไม่ปล่อยไปไหน

    เราจะผ่านไปด้วยกัน...แม้ต้องห่างไกล
แม้เจ็บ แม้ล้ม ยังมีใครที่รออยู่ตรงนั้น
ยื่นมือมาแบ่งปัน...คนละครึ่งช่วยกัน
จากน้ำตา...เป็นรอยยิ้มในสักวัน

    วันที่ฟ้าใส...เราจะกลับมา
เมื่อผ่านไวรัสร้าย...จะได้กอดกันอีกครั้ง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311125 ม.ค. 2568

    #เราจะผ่านไปด้วยกัน #โควิด19 #คนละครึ่ง #เราไม่ทิ้งกัน #สู้ไปด้วยกัน #ไทยไม่ทิ้งกัน #กำลังใจ #พรุ่งนี้ต้องดีกว่า #รักและแบ่งปัน #StayStrongThailand 🎶✊💙
    "เราจะผ่านไปด้วยกัน" วันที่แสนมืดมน…สับสนรอบตัว
ถนนว่างเปล่า...ไร้เสียงหัวเราะให้ได้ยิน
โควิดแพร่กระจาย...ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร
แต่หัวใจคนไทย...จะไม่ไหวหวั่น แม้จะไกลแค่ไหน...ก็ยังมีกัน
แม้จะหนักเพียงใด...เรายังยืนไหว
จากร้อยร่วงติดลบ…เราจะสร้างขึ้นใหม่
พรุ่งนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน เราจะผ่านไปด้วยกัน...แม้ต้องห่างไกล
แม้เจ็บ แม้ล้ม ยังมีใครที่รออยู่ตรงนั้น
ยื่นมือมาแบ่งปัน...คนละครึ่งช่วยกัน
จากน้ำตา...เป็นรอยยิ้มในสักวัน เสียงแห่งความหวัง...เริ่มก้องกังวาน
โครงการแห่งใจ...ช่วยเติมไฟให้ยังยืน
"เราไม่ทิ้งกัน" ส่งรักให้เธอ แม้ไกลแสนไกล
แค่หัวใจเราไม่ห่างกัน อาจมีบางวัน...ที่เราอ่อนล้า
อาจมีบางครา...ต้องเสียบางอย่างไป
แต่สุดท้ายเราจะก้าวไป...
จับมือกันไว้...ไม่ปล่อยไปไหน เราจะผ่านไปด้วยกัน...แม้ต้องห่างไกล
แม้เจ็บ แม้ล้ม ยังมีใครที่รออยู่ตรงนั้น
ยื่นมือมาแบ่งปัน...คนละครึ่งช่วยกัน
จากน้ำตา...เป็นรอยยิ้มในสักวัน วันที่ฟ้าใส...เราจะกลับมา
เมื่อผ่านไวรัสร้าย...จะได้กอดกันอีกครั้ง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311125 ม.ค. 2568 #เราจะผ่านไปด้วยกัน #โควิด19 #คนละครึ่ง #เราไม่ทิ้งกัน #สู้ไปด้วยกัน #ไทยไม่ทิ้งกัน #กำลังใจ #พรุ่งนี้ต้องดีกว่า #รักและแบ่งปัน #StayStrongThailand 🎶✊💙
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • ตอนฉันอายุ20ปี เคยคิดอยากมีลูกชายสักคนแต่ไม่ต้องการมีแฟนคือเด็กหลอดแก้วประมาณนั้น เพื่อให้เขาทำความฝันให้ฉันคือบวชตลอดชีวิตข้ามฝั่งให้ได้และโปรดคน ความคิดก็จะวนคิดอยู่แบบนั้น🔄"ต่อมาคืนหนึ่งฉันก็หลับและฝันว่ามีเสียงๆหนึ่งพูดว่าเธอจะให้ลูกเธอเกิดใน"กาลียุคเช่นนี้หรือ ภาพปรากฎเห็นคนกินคนด้วยกันเหมือนสัตว์ล่าเนื้อ เลือดนองพื้นท่วมถึง"ตาตุ่มช้าง🐘"ภาพมันน่ากลัวสลดหดหู่จริงๆตื่นจากฝันก็เลยเปลี่ยนความคิดๆว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะให้ใครมาทำความฝันให้ใคร เพราะทุกคนต่างก็มีฝันของตนเอง เพื่อนให้หนังสือตัวกูของกูมาหนึ่งเล่ม ฉันอ่านจบในไม่กี่นาทีและอ่านวนหลายรอบ จนคิดว่าเราต้องศึกษาคำสอนอย่างจริงจังว่ามีอัจฉริยะมนุษย์ ที่ตรัสรู้ธรรมเช่นนี้อยู่จริงๆหรือหาหนังสือหลวงพ่อพุทธทาสมาอ่านหลายเล่ม "แม่ฉันชอบสร้างพระไตรปิฎกถวายวัดฉันสงสัยถามแม่ว่ามีอะไรดีในนั้น"แม่บอกอ่านเองซิ ฉันตัดสินใจอ่านโห😯ทึ่งมากคนอะไรจะฉลาดขนาดนี้ "❤นึกรักพระพุทธเจ้าขึ้นมาเลยว่าถ้ามีคนรักก็อยากได้บุคคลเช่นนี้ถ้ามีลูกก็อยากมีลูกเช่นนี้ถ้าไม่มีก็ไม่มีคู่ดีก่วา"เพราะตอนเด็กๆฉันถามตัวเองบ่อยครั้งว่าฉันเกิดมาทำไมมาจากไหน เคยถามแม่ว่าโลกนี้สุดขอบโลกอยู่ตรงไหนอยากเดินออกไปจากโลกนี้ ฉันเห็นพ่อแม่มีปากเสียงกันบ่อยๆฉันคิดเองนะตอนนั้นว่า ความรักถ้ามันทำให้ทุกข์จะรักกันทำไม ฉันบอกกับแม่ว่าถ้าต้องทนอยู่กันเพื่อลูกไม่ต้องนะ ชีวิตคนเรามันสั้นควรหาความสุขให้ตัวเองบ้างจากนั้นพ่อกับแม่ก็เลิกกันฉันเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ฉันมีโลกที่แคบมากเพราะไม่ชอบเที่ยวพ่อต้องจ้างให้ไปเที่ยวเพื่อจะอยู่กับแม่สองคนบ้าง😉 แต่ชอบอยู่บ้านฟังธรรมอ่าน📚หนังสือ(โลกส่วนตัวสูง)จึงไม่ค่อยมีประสบการณ์ชีวิตนอกบ้านเลย พอทำงานไปเที่ยวบ้านเพื่อนเห็นครอบครัวเขาทะเลาะกันรุนแรง เลยคิดว่าอ้าวเราคิดว่าเป็นเฉพาะบ้านเราซะอีกโหบ้านคนอื่นหนักก่วาเราอีกเขามีลงไม้ลงมือกันด้วย บ้านเราไม่เคยมีๆแต่พ่อทะเลาะบ่นอยู่คนเดียวแม่ไม่เคยเถียงกลับสักคำ แม่นิ่งอย่างเดียว(ฉันมีส่วนผสมของพ่อๆเป็นคนใจดีอ่อนโยนสุภาพ"ถ้าไม่ดื่ม"ส่วนแม่เป็นผู้หญิงแกร่งเป็นผู้นำเข้มแข็งอดทนสูง)ที่ไหนถ้ามีการทะเลาะกันฉันจะเดินหนีทันที ไม่มีการมุงดูเด็ดขาดไม่ชอบ#อาจารย์สนธิพูดทัชใจฉันมากคือทุกคนต้องเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตัวเองเพราะให้กันไม่ได้ แนะนำได้แต่ประสบการณ์สุข,ทุกข์..ของใครของมัน..."อ่านเจอคำสอนหลวงพ่อพุทธทาส ว่า"อะไรที่ไม่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตอย่าคิดว่าจะเข้าใจ"ฉันเข้าใจเลย ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้บททดสอบเหมือนแบบฝึกหัด แล้วจะเข้าใจในบริบทด้วยตัวเราเอง พระพุทธเจ้าสอนให้ดูที่ต้นเหตุจึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัวถ้าเรารู้จักจิตใจตนเองจริงๆทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่ได้ตั้งอยู่ตลอดกาล ฉันก็จะเรียนรู้บททดสอบชีวิตไปเรื่อยๆและก็หวังให้ตัวเองเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้จนก่วาลมหายใจสุดท้าย สันตติส่งต่อจิตอีกดวงในร่างใหม่ต่อไป ชาตินี้ฉันยังไม่มีกำลังมากพอที่จะข้ามฝั่ง🏊‍♀️ได้หรอกรู้ตัว สู้ไปด้วยกันนะทุกคน✌ " bkk Th 21102567 "รักพ่อแม่และครอบครัวมากๆ💞"แม้จากไปแล้วแต่อยู่ใน❤📣 miss you......
    ตอนฉันอายุ20ปี เคยคิดอยากมีลูกชายสักคนแต่ไม่ต้องการมีแฟนคือเด็กหลอดแก้วประมาณนั้น เพื่อให้เขาทำความฝันให้ฉันคือบวชตลอดชีวิตข้ามฝั่งให้ได้และโปรดคน ความคิดก็จะวนคิดอยู่แบบนั้น🔄"ต่อมาคืนหนึ่งฉันก็หลับและฝันว่ามีเสียงๆหนึ่งพูดว่าเธอจะให้ลูกเธอเกิดใน"กาลียุคเช่นนี้หรือ ภาพปรากฎเห็นคนกินคนด้วยกันเหมือนสัตว์ล่าเนื้อ เลือดนองพื้นท่วมถึง"ตาตุ่มช้าง🐘"ภาพมันน่ากลัวสลดหดหู่จริงๆตื่นจากฝันก็เลยเปลี่ยนความคิดๆว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะให้ใครมาทำความฝันให้ใคร เพราะทุกคนต่างก็มีฝันของตนเอง เพื่อนให้หนังสือตัวกูของกูมาหนึ่งเล่ม ฉันอ่านจบในไม่กี่นาทีและอ่านวนหลายรอบ จนคิดว่าเราต้องศึกษาคำสอนอย่างจริงจังว่ามีอัจฉริยะมนุษย์ ที่ตรัสรู้ธรรมเช่นนี้อยู่จริงๆหรือหาหนังสือหลวงพ่อพุทธทาสมาอ่านหลายเล่ม "แม่ฉันชอบสร้างพระไตรปิฎกถวายวัดฉันสงสัยถามแม่ว่ามีอะไรดีในนั้น"แม่บอกอ่านเองซิ ฉันตัดสินใจอ่านโห😯ทึ่งมากคนอะไรจะฉลาดขนาดนี้ "❤นึกรักพระพุทธเจ้าขึ้นมาเลยว่าถ้ามีคนรักก็อยากได้บุคคลเช่นนี้ถ้ามีลูกก็อยากมีลูกเช่นนี้ถ้าไม่มีก็ไม่มีคู่ดีก่วา"เพราะตอนเด็กๆฉันถามตัวเองบ่อยครั้งว่าฉันเกิดมาทำไมมาจากไหน เคยถามแม่ว่าโลกนี้สุดขอบโลกอยู่ตรงไหนอยากเดินออกไปจากโลกนี้ ฉันเห็นพ่อแม่มีปากเสียงกันบ่อยๆฉันคิดเองนะตอนนั้นว่า ความรักถ้ามันทำให้ทุกข์จะรักกันทำไม ฉันบอกกับแม่ว่าถ้าต้องทนอยู่กันเพื่อลูกไม่ต้องนะ ชีวิตคนเรามันสั้นควรหาความสุขให้ตัวเองบ้างจากนั้นพ่อกับแม่ก็เลิกกันฉันเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ฉันมีโลกที่แคบมากเพราะไม่ชอบเที่ยวพ่อต้องจ้างให้ไปเที่ยวเพื่อจะอยู่กับแม่สองคนบ้าง😉 แต่ชอบอยู่บ้านฟังธรรมอ่าน📚หนังสือ(โลกส่วนตัวสูง)จึงไม่ค่อยมีประสบการณ์ชีวิตนอกบ้านเลย พอทำงานไปเที่ยวบ้านเพื่อนเห็นครอบครัวเขาทะเลาะกันรุนแรง เลยคิดว่าอ้าวเราคิดว่าเป็นเฉพาะบ้านเราซะอีกโหบ้านคนอื่นหนักก่วาเราอีกเขามีลงไม้ลงมือกันด้วย บ้านเราไม่เคยมีๆแต่พ่อทะเลาะบ่นอยู่คนเดียวแม่ไม่เคยเถียงกลับสักคำ แม่นิ่งอย่างเดียว(ฉันมีส่วนผสมของพ่อๆเป็นคนใจดีอ่อนโยนสุภาพ"ถ้าไม่ดื่ม"ส่วนแม่เป็นผู้หญิงแกร่งเป็นผู้นำเข้มแข็งอดทนสูง)ที่ไหนถ้ามีการทะเลาะกันฉันจะเดินหนีทันที ไม่มีการมุงดูเด็ดขาดไม่ชอบ#อาจารย์สนธิพูดทัชใจฉันมากคือทุกคนต้องเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตัวเองเพราะให้กันไม่ได้ แนะนำได้แต่ประสบการณ์สุข,ทุกข์..ของใครของมัน..."อ่านเจอคำสอนหลวงพ่อพุทธทาส ว่า"อะไรที่ไม่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตอย่าคิดว่าจะเข้าใจ"ฉันเข้าใจเลย ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้บททดสอบเหมือนแบบฝึกหัด แล้วจะเข้าใจในบริบทด้วยตัวเราเอง พระพุทธเจ้าสอนให้ดูที่ต้นเหตุจึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัวถ้าเรารู้จักจิตใจตนเองจริงๆทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่ได้ตั้งอยู่ตลอดกาล ฉันก็จะเรียนรู้บททดสอบชีวิตไปเรื่อยๆและก็หวังให้ตัวเองเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้จนก่วาลมหายใจสุดท้าย สันตติส่งต่อจิตอีกดวงในร่างใหม่ต่อไป ชาตินี้ฉันยังไม่มีกำลังมากพอที่จะข้ามฝั่ง🏊‍♀️ได้หรอกรู้ตัว สู้ไปด้วยกันนะทุกคน✌ " bkk Th 21102567 "รักพ่อแม่และครอบครัวมากๆ💞"แม้จากไปแล้วแต่อยู่ใน❤📣 miss you......
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 495 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไปร่วมงาน 7 ตุลาคมสู้ไปด้วยกัน ร่วมเป็นกำลังใจให้กันและกัน ร่วมใช้เหตุและสร้างเหตุปัจจัยที่ดี ขององค์รวม แห่งการขับเคลื่อนการต่อสู้ให้ไปสู่ชัยชนะได้อย่างแน่นอน ได้พบกับคุณพี่ชัยพรรณประภาสวัฒ ได้แลกเปลี่ยนกันบ้าง
    ไปร่วมงาน 7 ตุลาคมสู้ไปด้วยกัน ร่วมเป็นกำลังใจให้กันและกัน ร่วมใช้เหตุและสร้างเหตุปัจจัยที่ดี ขององค์รวม แห่งการขับเคลื่อนการต่อสู้ให้ไปสู่ชัยชนะได้อย่างแน่นอน ได้พบกับคุณพี่ชัยพรรณประภาสวัฒ ได้แลกเปลี่ยนกันบ้าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้….

    ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!!

    ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
    ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน
    ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน
    ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า……
    “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……”
    ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน
    เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore)
    เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..…

    เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน
    2001 ที่ Ljubljana, Slovenia
    คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น
    ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม)
    แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ
    เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

    ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร?
    เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย”
    ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้
    เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร……

    ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย
    และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ
    ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ

    ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม
    พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

    หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย
    บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง)
    อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน
    ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ
    ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน
    และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan
    ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง
    เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น
    ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต
    เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000
    ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี
    ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า
    “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ
    และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…”

    การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช)
    ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม
    และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน
    ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน)
    ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ
    ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ…

    รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย)
    แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น
    อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง…
    และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน
    American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า
    “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……”
    “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..”
    “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..”
    แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป

    สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม
    และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน
    ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน
    เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า
    “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “
    และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย

    แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า
    นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ
    ABM (Anti-Ballistic Missile)
    เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี..

    การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน
    ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก)
    โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที
    ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
    แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู
    และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้
    พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา
    ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย
    และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า
    ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!!

    ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์
    เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก)
    เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร
    เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม
    คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์
    ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……”
    เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร

    ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ
    ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
    เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?”
    คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ……
    ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย
    วิตก……
    กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก
    เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ

    ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา
    ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย
    กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
    ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!!
    การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย
    แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน
    มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
    แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี

    ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่
    ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน
    ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ
    ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข
    แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ)
    เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย

    คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..”
    ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น
    ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว
    เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!!
    และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…)
    ว่า……

    “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………”

    **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006

    Wiwanda W. Vichit
    จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้…. ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!! ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า…… “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……” ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore) เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..… เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน 2001 ที่ Ljubljana, Slovenia คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม) แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย” ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้ เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร…… ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง) อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000 ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…” การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช) ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน) ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ… รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย) แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง… และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……” “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..” “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..” แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “ และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ ABM (Anti-Ballistic Missile) เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี.. การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้ พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!! ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์ เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก) เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์ ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……” เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?” คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ…… ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย วิตก…… กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!! การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ) เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..” ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!! และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…) ว่า…… “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………” **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1069 มุมมอง 0 รีวิว