• AMD กำลังเตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Radeon PRO W9000 ที่ออกแบบมาสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ การเรนเดอร์ 3D และการพัฒนา AI โดยใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในงานจริง แม้จะมีหน่วยความจำเพียง 32GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า Radeon PRO W7900 ที่มี 48GB แต่ AMD เน้นการให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพต่อราคาและความคุ้มค่า

    GPU รุ่นนี้ใช้สถาปัตยกรรม Navi 48 XTW ที่มีขนาด 356mm² และมีการปรับแต่งเพื่อรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น CAD, CGI rendering และการจำลองแบบเรียลไทม์ โดยมีรุ่นย่อย XL, XT และ XTX ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน

    อย่างไรก็ตาม RDNA 4 ยังไม่มีการรวมเข้ากับแพลตฟอร์ม ROCm ของ AMD ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI และ Machine Learning

    ✅ การออกแบบและสถาปัตยกรรม
    - ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และ Navi 48 XTW
    - ขนาด die 356mm² พร้อมการปรับแต่งสำหรับงานระดับมืออาชีพ

    ✅ เป้าหมายของ AMD
    - เน้นประสิทธิภาพต่อราคาและความคุ้มค่า
    - ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ไม่ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่

    ✅ การใช้งานในงานระดับมืออาชีพ
    - รองรับงาน CAD, CGI rendering และการจำลองแบบเรียลไทม์
    - มีรุ่นย่อย XL, XT และ XTX เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน

    ✅ การเปิดตัวและการจัดแสดง
    - คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Computex 2025 และงาน “Advancing AI” ของ AMD

    https://www.techradar.com/pro/amd-set-to-launch-new-radeon-pro-w9000-workstation-gpu-to-take-on-nvidias-formidable-rtx-pro-6000-blackwell-workstation-edition
    AMD กำลังเตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Radeon PRO W9000 ที่ออกแบบมาสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การตัดต่อวิดีโอ การเรนเดอร์ 3D และการพัฒนา AI โดยใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในงานจริง แม้จะมีหน่วยความจำเพียง 32GB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า Radeon PRO W7900 ที่มี 48GB แต่ AMD เน้นการให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพต่อราคาและความคุ้มค่า GPU รุ่นนี้ใช้สถาปัตยกรรม Navi 48 XTW ที่มีขนาด 356mm² และมีการปรับแต่งเพื่อรองรับงานระดับมืออาชีพ เช่น CAD, CGI rendering และการจำลองแบบเรียลไทม์ โดยมีรุ่นย่อย XL, XT และ XTX ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม RDNA 4 ยังไม่มีการรวมเข้ากับแพลตฟอร์ม ROCm ของ AMD ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI และ Machine Learning ✅ การออกแบบและสถาปัตยกรรม - ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และ Navi 48 XTW - ขนาด die 356mm² พร้อมการปรับแต่งสำหรับงานระดับมืออาชีพ ✅ เป้าหมายของ AMD - เน้นประสิทธิภาพต่อราคาและความคุ้มค่า - ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ไม่ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ ✅ การใช้งานในงานระดับมืออาชีพ - รองรับงาน CAD, CGI rendering และการจำลองแบบเรียลไทม์ - มีรุ่นย่อย XL, XT และ XTX เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน ✅ การเปิดตัวและการจัดแสดง - คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Computex 2025 และงาน “Advancing AI” ของ AMD https://www.techradar.com/pro/amd-set-to-launch-new-radeon-pro-w9000-workstation-gpu-to-take-on-nvidias-formidable-rtx-pro-6000-blackwell-workstation-edition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการเดินทางขององค์กรต่างๆ ในการนำแนวทาง Zero Trust มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดย Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่ไว้วางใจบุคคลหรือระบบใดๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร และต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าองค์กรส่วนใหญ่จะเริ่มต้นใช้งาน Zero Trust แต่ยังมีความท้าทายด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญ

    ✅ Zero Trust เป็นแนวทางที่เน้นการตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง
    - องค์กรต้องตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงทุกครั้ง แม้จะอยู่ภายในเครือข่าย
    - การนำ Zero Trust มาใช้ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์

    ✅ องค์กรส่วนใหญ่เริ่มต้นใช้งาน Zero Trust
    - 63% ขององค์กรทั่วโลกมีการนำ Zero Trust มาใช้ในบางส่วน
    - 58% ขององค์กรยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยครอบคลุมเพียง 50% ของระบบ

    ✅ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ
    - การนำ Zero Trust มาใช้ต้องการการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและกระบวนการ
    - การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น

    ✅ การจัดการความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการใช้งาน
    - Zero Trust อาจเพิ่มความยุ่งยากในการใช้งาน แต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย
    - การสร้างกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อรับฟังความคิดเห็นช่วยลดผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน

    ✅ การสร้างกรอบการทำงานเพื่อช่วยในการนำ Zero Trust มาใช้
    - การใช้กรอบการทำงานช่วยให้องค์กรสามารถจัดการโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - กรอบการทำงานช่วยประเมินความสามารถในการป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคาม

    https://www.csoonline.com/article/3965399/security-leaders-shed-light-on-their-zero-trust-journeys.html
    บทความนี้กล่าวถึงการเดินทางขององค์กรต่างๆ ในการนำแนวทาง Zero Trust มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดย Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่ไว้วางใจบุคคลหรือระบบใดๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร และต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าองค์กรส่วนใหญ่จะเริ่มต้นใช้งาน Zero Trust แต่ยังมีความท้าทายด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญ ✅ Zero Trust เป็นแนวทางที่เน้นการตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง - องค์กรต้องตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงทุกครั้ง แม้จะอยู่ภายในเครือข่าย - การนำ Zero Trust มาใช้ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ ✅ องค์กรส่วนใหญ่เริ่มต้นใช้งาน Zero Trust - 63% ขององค์กรทั่วโลกมีการนำ Zero Trust มาใช้ในบางส่วน - 58% ขององค์กรยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยครอบคลุมเพียง 50% ของระบบ ✅ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ - การนำ Zero Trust มาใช้ต้องการการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและกระบวนการ - การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น ✅ การจัดการความสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการใช้งาน - Zero Trust อาจเพิ่มความยุ่งยากในการใช้งาน แต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย - การสร้างกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อรับฟังความคิดเห็นช่วยลดผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน ✅ การสร้างกรอบการทำงานเพื่อช่วยในการนำ Zero Trust มาใช้ - การใช้กรอบการทำงานช่วยให้องค์กรสามารถจัดการโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ - กรอบการทำงานช่วยประเมินความสามารถในการป้องกันและตอบสนองต่อภัยคุกคาม https://www.csoonline.com/article/3965399/security-leaders-shed-light-on-their-zero-trust-journeys.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Security leaders shed light on their zero trust journeys
    Most CISOs recognize the improved security posture zero trust will bring. But cultural and technological changes make for an arduous path that takes business savvy and technical acumen to navigate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นุ่น วรนุช” เล่าประสบการณ์เปิดโลกการทำงาน ได้ร่วมรายการของประเทศจีน Ride the wind 2025 ถือเป็นโบนัสชีวิต ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ในอายุเท่านี้

    สร้างความฮือฮาให้แฟนๆ ชาวไทย เมื่อเห็น “นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี” ปรากฎตัวในรายการดัง “Ride the wind 2025” ของประเทศจีน พร้อมโชว์สกิลทั้งร้องทั้งเต้นแบบจัดเต็ม ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ทั้งบวกและลบ ในงานกาล่าภาพยนตร์เรื่อง “สุสานคนเป็น” ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ชั้น 5 สยามพารากอน นุ่น วรนุช ได้เล่าถึงประสบการณ์ในเวทีระดับอินเตอร์ครั้งนี้ว่าถือเป็นโบนัสของชีวิต

    “เหนื่อยแล้วก็ยาก มันเป็นรายการ Ride the wind 2025 เหมือนแข่งขันรวมนักแสดง หลากหลายสาขา ก็มาทำโชว์กัน ทำกลุ่มกันแล้วก็มีการโหวตกันให้คะแนนกัน จริงๆ ยากค่ะ แล้วภาษาจีนด้วย เราก็พูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ก็สนุก เราก็พยายามสื่อสาร ก็มีน้องที่เด็กที่สุดเป็นหัวหน้าทีมเรา แล้วก็จิตใจดีมาก นุ่นว่าสิ่งสำคัญนอกจากการได้ทำโชว์ ได้เรียนรู้ภาษา คือได้มิตรภาพที่ดีมาก แล้วก็ได้ไปเห็นการทำงานของประเทศจีน เขาทำงานกันหนักมาก บางวันตารางงานวันถัดไปมาตอนตี 4 หรือมีบางวันเลิกตี 5 ก็มี

    เวลาในการซ้อมเอารวมๆ แล้วก็น่าจะประมาณ 7 วัน บางครั้งก็คิดอยู่ว่าตัวเองไปทำอะไรตรงนั้น แล้วเราจะทำยังไงเพราะว่าการสื่อสาร แต่เขาก็เตรียมล่ามให้เรา ล่ามก็จะคอยพูดให้เราฟังอยู่ตลอด มันก็เหมือนต้องสื่อสารหลายด้าน หรือบางครั้งพออยู่ไปฟังภาษาจีนได้บ้างก็จะฟังคำเอาแล้วก็รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร ล่ามก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดมันก็เหมือนรายการที่มีกล้องอยู่ตลอดเวลา ก็แปลกดีก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ในอายุเท่านี้

    คือรายการมันเหมือนรายการที่ทุกคนจะต้องมีผลงานมาแล้ว ก็จะมีนักแสดงคนนึงที่เป็นนักแสดงของฮ่องกง ก็เป็นนักแสดงที่อาวุโสที่สุดแล้วก็ดังมากๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังดังมากๆ นุ่นก็ดีใจจังเลยว่านักแสดงต่างชาติพอเวลาดังเขาก็ยังมีคนชื่นชม คอยติดตาม ได้เห็นการทำงานหลายๆ ด้านของเขา ก็รู้สึกประทับใจ แล้วก็ได้มองว่าที่อื่นเขาเป็นยังไง”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000038127

    #MGROnline #นุ่นวรนุช #Ridethewind2025
    “นุ่น วรนุช” เล่าประสบการณ์เปิดโลกการทำงาน ได้ร่วมรายการของประเทศจีน Ride the wind 2025 ถือเป็นโบนัสชีวิต ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ในอายุเท่านี้ • สร้างความฮือฮาให้แฟนๆ ชาวไทย เมื่อเห็น “นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี” ปรากฎตัวในรายการดัง “Ride the wind 2025” ของประเทศจีน พร้อมโชว์สกิลทั้งร้องทั้งเต้นแบบจัดเต็ม ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ทั้งบวกและลบ ในงานกาล่าภาพยนตร์เรื่อง “สุสานคนเป็น” ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ชั้น 5 สยามพารากอน นุ่น วรนุช ได้เล่าถึงประสบการณ์ในเวทีระดับอินเตอร์ครั้งนี้ว่าถือเป็นโบนัสของชีวิต • “เหนื่อยแล้วก็ยาก มันเป็นรายการ Ride the wind 2025 เหมือนแข่งขันรวมนักแสดง หลากหลายสาขา ก็มาทำโชว์กัน ทำกลุ่มกันแล้วก็มีการโหวตกันให้คะแนนกัน จริงๆ ยากค่ะ แล้วภาษาจีนด้วย เราก็พูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ก็สนุก เราก็พยายามสื่อสาร ก็มีน้องที่เด็กที่สุดเป็นหัวหน้าทีมเรา แล้วก็จิตใจดีมาก นุ่นว่าสิ่งสำคัญนอกจากการได้ทำโชว์ ได้เรียนรู้ภาษา คือได้มิตรภาพที่ดีมาก แล้วก็ได้ไปเห็นการทำงานของประเทศจีน เขาทำงานกันหนักมาก บางวันตารางงานวันถัดไปมาตอนตี 4 หรือมีบางวันเลิกตี 5 ก็มี • เวลาในการซ้อมเอารวมๆ แล้วก็น่าจะประมาณ 7 วัน บางครั้งก็คิดอยู่ว่าตัวเองไปทำอะไรตรงนั้น แล้วเราจะทำยังไงเพราะว่าการสื่อสาร แต่เขาก็เตรียมล่ามให้เรา ล่ามก็จะคอยพูดให้เราฟังอยู่ตลอด มันก็เหมือนต้องสื่อสารหลายด้าน หรือบางครั้งพออยู่ไปฟังภาษาจีนได้บ้างก็จะฟังคำเอาแล้วก็รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร ล่ามก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดมันก็เหมือนรายการที่มีกล้องอยู่ตลอดเวลา ก็แปลกดีก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ในอายุเท่านี้ • คือรายการมันเหมือนรายการที่ทุกคนจะต้องมีผลงานมาแล้ว ก็จะมีนักแสดงคนนึงที่เป็นนักแสดงของฮ่องกง ก็เป็นนักแสดงที่อาวุโสที่สุดแล้วก็ดังมากๆ ซึ่งตอนนี้ก็ยังดังมากๆ นุ่นก็ดีใจจังเลยว่านักแสดงต่างชาติพอเวลาดังเขาก็ยังมีคนชื่นชม คอยติดตาม ได้เห็นการทำงานหลายๆ ด้านของเขา ก็รู้สึกประทับใจ แล้วก็ได้มองว่าที่อื่นเขาเป็นยังไง” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000038127 • #MGROnline #นุ่นวรนุช #Ridethewind2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการเดินทางขององค์กรต่างๆ ในการนำแนวคิด Zero Trust มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระบบ โดย Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่ไว้วางใจบุคคลหรืออุปกรณ์ใดๆ ทั้งภายในและภายนอกเครือข่ายขององค์กร และต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

    ✅ องค์กรทั่วโลกกว่า 63% ได้นำกลยุทธ์ Zero Trust มาใช้บางส่วน
    - จากการสำรวจของ Gartner ในปี 2024 พบว่า 58% ขององค์กรเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น
    - มีเพียงไม่ถึง 50% ของสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมด้วย Zero Trust

    ✅ Zero Trust ต้องการการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยี
    - การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการนำเทคโนโลยี เช่น Multi-Factor Authentication (MFA) และ Privileged Access Management (PAM) มาใช้
    - ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

    ✅ การนำ Zero Trust มาใช้ต้องการการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง
    - การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในองค์กร เช่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและผู้นำธุรกิจ
    - การสร้างความเข้าใจและการฝึกอบรมเป็นสิ่งสำคัญ

    ✅ Zero Trust ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความปลอดภัยได้อย่างละเอียด
    - เช่น การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงตามระดับความสำคัญของข้อมูล
    - ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/3965399/security-leaders-shed-light-on-their-zero-trust-journeys.html
    บทความนี้กล่าวถึงการเดินทางขององค์กรต่างๆ ในการนำแนวคิด Zero Trust มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในระบบ โดย Zero Trust เป็นแนวคิดที่ไม่ไว้วางใจบุคคลหรืออุปกรณ์ใดๆ ทั้งภายในและภายนอกเครือข่ายขององค์กร และต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ✅ องค์กรทั่วโลกกว่า 63% ได้นำกลยุทธ์ Zero Trust มาใช้บางส่วน - จากการสำรวจของ Gartner ในปี 2024 พบว่า 58% ขององค์กรเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น - มีเพียงไม่ถึง 50% ของสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมด้วย Zero Trust ✅ Zero Trust ต้องการการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัฒนธรรมและเทคโนโลยี - การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการนำเทคโนโลยี เช่น Multi-Factor Authentication (MFA) และ Privileged Access Management (PAM) มาใช้ - ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ✅ การนำ Zero Trust มาใช้ต้องการการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง - การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในองค์กร เช่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและผู้นำธุรกิจ - การสร้างความเข้าใจและการฝึกอบรมเป็นสิ่งสำคัญ ✅ Zero Trust ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความปลอดภัยได้อย่างละเอียด - เช่น การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงตามระดับความสำคัญของข้อมูล - ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/3965399/security-leaders-shed-light-on-their-zero-trust-journeys.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Security leaders shed light on their zero trust journeys
    Most CISOs recognize the improved security posture zero trust will bring. But cultural and technological changes make for an arduous path that takes business savvy and technical acumen to navigate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 14 เคล็ดลับของความ “ร่ำรวย” อย่างยั่งยืน
    .
    เคล็ดลับของความร่ำรวยมีเงินทองมากมายเป็นสิ่งที่ผู้คนพยายามค้นหากันมาช้านาน มีผู้เขียนไว้ในหนังสือต่างๆ หลากหลายเนื้อหา แต่ไม่มีฉันทามติว่าทำอย่างไรจึงจะร่ำรวยเช่นนั้นได้ ซึ่งสูตรสำเร็จนี้แตกต่างไปจากเคล็ดลับของความ “ร่ำรวย” อีกลักษณะหนึ่งซึ่งผู้เขียนจำนวนหนึ่งดูจะเห็นพ้องต้องกัน
    .
    ความร่ำรวยที่กล่าวถึงนี้คือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดี สม่ำเสมอตลอดชีวิต ทั้งในวัยทำงานและวัยพ้นทำงาน ซึ่งมิได้หมายถึงการมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ หากหมายถึงการมีอิสระทางการเงิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความมั่นคงในด้านการเงิน มีชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพไปหตลอดชีวิต และเหนืออื่นใด มีความสุขและความสงบทางใจอันเกิดจากมีความมั่นคงทางการเงิน
    .
    เคล้ดลับดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
    - จงทำงานหาเงินอย่างสุจริต ขยันหมั่นเพียร
    - จงอยู่กินต่ำกว่าฐานะเสมอ กล่าวคือ มีความมัธยัสถ์ ไม่ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายไร้เหตุผล และกินอยู่อย่างพอเหมาะพอควรจนมีรายจ่าย ต่ำกว่ารายได้ ซึ่งหมายถึง การมีเงินเหลือจ่ายในครอบครัวหรือมีเงินออม
    - จงออมเงินโดยกันส่วนหนึ่งของรายได้ออกมาก่อนใช้จ่ายเสมอ ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ โดยถือว่าเป็นรางวัลสำหรับตนเอง และเริ่มกระทำตั้งแต่บัดนี้อย่างสม่ำเสมอ อย่างมีความมุ่งมั่นในเป้าหมายของการนำเงินเหลือเก็บเหล่านี้ไปลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงของชีวิตในอนาคต
    .
    ในความพยายามที่จะออม อย่ามุ่งสนใจด้านรายได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรใส่ใจเรื่องการใช้จ่ายด้วย สมดังคำกล่าวที่ว่า “รายได้สำคัญ แต่การใช้จ่ายนั้นสำคัญกว่า”
    .
    - ทำให้เงินออมอยู่ในสภาพ “เงินทำงานรับใช้” นั่นคือนำเงินออมไปลงทุนเพื่อให้เกิดรายได้เสริมเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายได้จากการทำงานปกติ โดยมุ่งให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการลงทุนนี้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพทั้งตอนอยู่ในวัยทำงานและเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว
    ในการนำเงินออมไปลงทุน จงไตร่ตรองและศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ และปรึกษาหารือผู้รู้ในเรื่องการลงทุน เพื่ออุดช่องโหว่ของความรู้เพื่อไม่ให้ตัดสินใจผิดพลาด
    .
    สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความ “ร่ำรวย” ขึ้นมาได้ในเบื้องแรกก็คือการออม และสิ่งที่จะทำให้เกิดการออมขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าใดก็คือความสามารถในการข่มใจตนเองที่ต้องการจ่ายเงินเพื่อการบริโภค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าต้องมี “อำนาจเหนือเงิน”
    .
    ดำรงชีวิตตามหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” กล่าวคือ ดำเนินชีวิตด้วยความพอดีอย่างอยู่บนพื้นฐานของความพอเหมาะพอควร ไม่เสี่ยงหรือประมาทอย่างขาดสติ
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 14 เคล็ดลับของความ “ร่ำรวย” อย่างยั่งยืน . เคล็ดลับของความร่ำรวยมีเงินทองมากมายเป็นสิ่งที่ผู้คนพยายามค้นหากันมาช้านาน มีผู้เขียนไว้ในหนังสือต่างๆ หลากหลายเนื้อหา แต่ไม่มีฉันทามติว่าทำอย่างไรจึงจะร่ำรวยเช่นนั้นได้ ซึ่งสูตรสำเร็จนี้แตกต่างไปจากเคล็ดลับของความ “ร่ำรวย” อีกลักษณะหนึ่งซึ่งผู้เขียนจำนวนหนึ่งดูจะเห็นพ้องต้องกัน . ความร่ำรวยที่กล่าวถึงนี้คือ การมีคุณภาพชีวิตที่ดี สม่ำเสมอตลอดชีวิต ทั้งในวัยทำงานและวัยพ้นทำงาน ซึ่งมิได้หมายถึงการมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ หากหมายถึงการมีอิสระทางการเงิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความมั่นคงในด้านการเงิน มีชีวิตที่มีความสุขตามอัตภาพไปหตลอดชีวิต และเหนืออื่นใด มีความสุขและความสงบทางใจอันเกิดจากมีความมั่นคงทางการเงิน . เคล้ดลับดังกล่าวมีดังต่อไปนี้ - จงทำงานหาเงินอย่างสุจริต ขยันหมั่นเพียร - จงอยู่กินต่ำกว่าฐานะเสมอ กล่าวคือ มีความมัธยัสถ์ ไม่ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายไร้เหตุผล และกินอยู่อย่างพอเหมาะพอควรจนมีรายจ่าย ต่ำกว่ารายได้ ซึ่งหมายถึง การมีเงินเหลือจ่ายในครอบครัวหรือมีเงินออม - จงออมเงินโดยกันส่วนหนึ่งของรายได้ออกมาก่อนใช้จ่ายเสมอ ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ โดยถือว่าเป็นรางวัลสำหรับตนเอง และเริ่มกระทำตั้งแต่บัดนี้อย่างสม่ำเสมอ อย่างมีความมุ่งมั่นในเป้าหมายของการนำเงินเหลือเก็บเหล่านี้ไปลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงของชีวิตในอนาคต . ในความพยายามที่จะออม อย่ามุ่งสนใจด้านรายได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรใส่ใจเรื่องการใช้จ่ายด้วย สมดังคำกล่าวที่ว่า “รายได้สำคัญ แต่การใช้จ่ายนั้นสำคัญกว่า” . - ทำให้เงินออมอยู่ในสภาพ “เงินทำงานรับใช้” นั่นคือนำเงินออมไปลงทุนเพื่อให้เกิดรายได้เสริมเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายได้จากการทำงานปกติ โดยมุ่งให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการลงทุนนี้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพทั้งตอนอยู่ในวัยทำงานและเมื่อพ้นวัยทำงานไปแล้ว ในการนำเงินออมไปลงทุน จงไตร่ตรองและศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ และปรึกษาหารือผู้รู้ในเรื่องการลงทุน เพื่ออุดช่องโหว่ของความรู้เพื่อไม่ให้ตัดสินใจผิดพลาด . สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความ “ร่ำรวย” ขึ้นมาได้ในเบื้องแรกก็คือการออม และสิ่งที่จะทำให้เกิดการออมขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าใดก็คือความสามารถในการข่มใจตนเองที่ต้องการจ่ายเงินเพื่อการบริโภค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าต้องมี “อำนาจเหนือเงิน” . ดำรงชีวิตตามหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” กล่าวคือ ดำเนินชีวิตด้วยความพอดีอย่างอยู่บนพื้นฐานของความพอเหมาะพอควร ไม่เสี่ยงหรือประมาทอย่างขาดสติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงคำแนะนำจาก Anjul Bhambhri รองประธานอาวุโสของ Adobe Experience Cloud ในการสร้างกลยุทธ์ AI ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นความสำคัญของ ความโปร่งใส และ การจัดการข้อมูล เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างความไว้วางใจและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงวิธีการจัดการทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน เช่น การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ✅ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ AI
    - ธุรกิจควรเปิดเผยข้อมูลและให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนการ
    - การฟังความคิดเห็นของลูกค้าช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น

    ✅ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - Adobe ใช้การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อจัดการทรัพยากร
    - การใช้ SSD และ HDD อย่างเหมาะสมช่วยลดการใช้พลังงาน

    ✅ การปฏิบัติตามกฎระเบียบช่วยสร้างความไว้วางใจ
    - กฎระเบียบ เช่น GDPR, HIPAA และ FERPA ช่วยกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูล
    - ธุรกิจควรมีบทบาทชัดเจนในการกำกับดูแลข้อมูล

    ✅ การสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการจัดการข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
    - ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้การจัดการข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/want-to-build-an-ai-strategy-adobe-svp-advises-you-start-with-transparency
    บทความนี้กล่าวถึงคำแนะนำจาก Anjul Bhambhri รองประธานอาวุโสของ Adobe Experience Cloud ในการสร้างกลยุทธ์ AI ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นความสำคัญของ ความโปร่งใส และ การจัดการข้อมูล เพื่อให้ธุรกิจสามารถสร้างความไว้วางใจและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงวิธีการจัดการทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน เช่น การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ✅ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ AI - ธุรกิจควรเปิดเผยข้อมูลและให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนการ - การฟังความคิดเห็นของลูกค้าช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น ✅ การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - Adobe ใช้การแบ่งประเภทข้อมูลเป็น hot, warm และ cold storage เพื่อจัดการทรัพยากร - การใช้ SSD และ HDD อย่างเหมาะสมช่วยลดการใช้พลังงาน ✅ การปฏิบัติตามกฎระเบียบช่วยสร้างความไว้วางใจ - กฎระเบียบ เช่น GDPR, HIPAA และ FERPA ช่วยกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูล - ธุรกิจควรมีบทบาทชัดเจนในการกำกับดูแลข้อมูล ✅ การสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการจัดการข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ - ปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้การจัดการข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/want-to-build-an-ai-strategy-adobe-svp-advises-you-start-with-transparency
    WWW.TECHRADAR.COM
    Want to build an AI strategy? Adobe SVP advises you start with transparency
    Start with transparency and honesty, and the rest will follow
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • Seagate ได้เผยแพร่รายงานชื่อ "Decarbonizing Data" ซึ่งเน้นถึงความท้าทายด้านความยั่งยืนที่ศูนย์ข้อมูลต้องเผชิญในยุคที่ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 165% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2023 และยังเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น การใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล

    ✅ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลอาจเพิ่มขึ้นถึง 165% ภายในปี 2030
    - การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการขยายตัวของธุรกิจและการใช้งาน AI
    - 53.5% ของผู้นำธุรกิจ กังวลเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น

    ✅ Seagate แนะนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
    - เช่น ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและการใช้ HVAC ที่มีประสิทธิภาพสูง
    - แพลตฟอร์ม HAMR-based Mozaic 3+ ของ Seagate ช่วยลดคาร์บอนต่อเทราไบต์ได้กว่า 70%

    ✅ การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
    - 92.2% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เห็นด้วยว่าการยืดอายุการใช้งานช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ✅ HDD มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า SSD
    - SSD สร้างคาร์บอนสะสมต่อเทราไบต์มากกว่า HDD ถึง 160 เท่า ในช่วงอายุการใช้งาน 5 ปี

    https://www.neowin.net/news/as-millions-of-windows-10-pcs-await-ewaste-dump-seagate-claims-ssds-are-way-worse-than-hdds/
    Seagate ได้เผยแพร่รายงานชื่อ "Decarbonizing Data" ซึ่งเน้นถึงความท้าทายด้านความยั่งยืนที่ศูนย์ข้อมูลต้องเผชิญในยุคที่ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 165% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2023 และยังเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น การใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ✅ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลอาจเพิ่มขึ้นถึง 165% ภายในปี 2030 - การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการขยายตัวของธุรกิจและการใช้งาน AI - 53.5% ของผู้นำธุรกิจ กังวลเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น ✅ Seagate แนะนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน - เช่น ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและการใช้ HVAC ที่มีประสิทธิภาพสูง - แพลตฟอร์ม HAMR-based Mozaic 3+ ของ Seagate ช่วยลดคาร์บอนต่อเทราไบต์ได้กว่า 70% ✅ การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ - 92.2% ของผู้ตอบแบบสอบถาม เห็นด้วยว่าการยืดอายุการใช้งานช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ✅ HDD มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า SSD - SSD สร้างคาร์บอนสะสมต่อเทราไบต์มากกว่า HDD ถึง 160 เท่า ในช่วงอายุการใช้งาน 5 ปี https://www.neowin.net/news/as-millions-of-windows-10-pcs-await-ewaste-dump-seagate-claims-ssds-are-way-worse-than-hdds/
    WWW.NEOWIN.NET
    As millions of Windows 10 PCs await eWaste dump, Seagate claims SSDs are way worse than HDDs
    Microsoft is ending support for Windows 10 later this year, and that means millions of unsupported PCs will be dumped. Seagate has published a new report considering the e-waste aspect of that.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก “ทุกวัน” กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก: ความสัมพันธ์ที่จบลงโดยไม่มีคำลา 💔 แม้ไม่มีใครพูดลา…แต่ใจเรารู้ดีว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

    เมื่อความสัมพันธ์ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่มีคำลา บางครั้งเราไม่ได้หายไป... แค่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของชีวิต

    บางคนเคยอยู่ในทุกวันของเรา แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำเงียบ ๆ ในใจ สำรวจความสัมพันธ์ที่จบลง โดยไม่มีคำลา... และทำไมมันถึงเจ็บกว่าที่คิด

    ความเงียบที่ดังที่สุด คือการหายไปของใครบางคน... ในทุกปี... เราอาจได้เจอใครบางคน ที่กลายมาเป็น "คนสำคัญ" ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน... เราก็อาจเสียใครบางคนไป ไม่ใช่ด้วยการทะเลาะ ไม่ใช่ด้วยความผิดพลาด แต่เป็นการ “ค่อย ๆ หายไป” แบบไม่มีแม้แต่คำลา 🕊️

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่คือทุกความสัมพันธ์ในชีวิต เพื่อนสนิท ครอบครัว คนเคยใกล้ชิด หรือแม้แต่คนที่เคยอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญ...

    วันนี้ เราจะมาคุยกันถึง "การจากลาในความเงียบ" ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร?

    🌒 ความเงียบไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ในหลายความสัมพันธ์ จุดจบไม่ได้มาพร้อมคำพูด
    ไม่มีคำบอกลาชัดเจน ไม่มีน้ำตา ไม่มีการโต้แย้ง แต่กลับเป็นเพียง “การเงียบ” ที่ค่อย ๆ สร้างระยะห่าง

    📱 ข้อความที่ค่อย ๆ หายไป บทสนทนาที่สั้นลง และหัวใจที่ไม่เต้นพร้อมกันอีกต่อไป

    บางครั้ง... เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันเริ่มห่างกันตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็กลายเป็น “คนเคยรู้จัก” ไปแล้ว...

    ทำไมเราถึงหายไปจากกัน…แม้ไม่ได้ตั้งใจ?

    เราทุกคนมีชีวิตที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ชีวิตผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ งาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ความฝัน ทั้งหมดนี้ดึงพลังใจของเรา ไปจากความสัมพันธ์เดิม ๆ จนบางครั้ง... เรา “ลืม” ว่าเคยมีใครอีกคนรอคุยกับเราอยู่

    🌀 มันไม่ได้เกิดจากการเบื่อกัน แต่เกิดจาก “ชีวิตที่พาให้เราหายไป”

    ความเหนื่อยล้าในใจที่บอกไม่ออก บางคนไม่ได้อยากหายไป แต่แค่ "เหนื่อยเกินไป" ที่จะเป็นคนเดิม เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะคุย เหนื่อยที่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้

    และเมื่อเราปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น... มันก็กลายเป็น “กำแพง” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ 🧱

    เราเติบโตในเส้นทางที่ต่างกัน การเติบโตทำให้มุมมองเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน สิ่งที่เคยชอบเหมือนกัน กลับไม่ตรงกันอีกต่อไป แม้จะไม่มีใครผิด… แต่เมื่อเราเดินไปคนละเส้นทาง "ระยะห่าง" ก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 🚶‍♂️🚶‍♀️

    ความสัมพันธ์ที่จางหายไป… ไม่ได้หมายความว่าไร้ค่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “วันเวลาที่เคยมีร่วมกัน” ไร้ความหมาย

    ❤️ ความทรงจำดี ๆ ยังคงอยู่ในใจ

    🌿 ความห่วงใยยังแทรกอยู่ในความเงียบ

    💬 บางบทสนทนายังคงอยู่ในความคิดเสมอ

    และบางครั้ง... เพียงแค่ได้คิดถึงใครคนนั้น ในความทรงจำ ก็เพียงพอแล้ว... ที่จะทำให้ใจอบอุ่นขึ้นในวันเหงา ๆ

    บางคนเคยเป็น "ทุกวัน" ของเรา… แต่กลายเป็นเพียงคนในความทรงจำ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใครบางคนที่...

    📌 เคยโทรหากันทุกคืน
    📌 เคยเล่าเรื่องให้ฟังทุกเช้า
    📌 เคยไปทุกที่ด้วยกัน
    📌 เคยรู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร

    แล้ววันนี้... เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ... ความทรงจำ

    “ไม่มีใครผิดที่เปลี่ยนไป” ประโยคที่เข้าใจได้ เมื่อเรารักตัวเองมากพอ การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

    👤 คนบางคนสอนให้เรารู้จักรัก
    👤 บางคนสอนให้เรารู้จักเจ็บ
    👤 และบางคน… สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง

    ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันอีก แต่เรายังอยู่ใน "บทเรียนชีวิต" ของกันและกันเสมอ

    แล้วเราจะเยียวยาหัวใจ หลังความสัมพันธ์ที่จบลงในความเงียบ ได้อย่างไร?

    ยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องธรรมดา การหายไปไม่ได้แปลว่าใครไม่รัก แต่เป็นเพราะเส้นทางของเรา มาถึงจุดที่ต้องแยกกันเดิน

    ให้อภัยตัวเอง และให้อภัยอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำขอโทษ หรือคำอธิบาย แต่เราสามารถเลือก “ให้อภัยในใจ” เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บ

    เก็บความทรงจำดี ๆ ไว้… แต่ไม่ต้องยึดติด ความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องลบทิ้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน มาฉุดรั้งเราไว้จากการเติบโต

    แม้จะจางหายไป…แต่ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ 🕊️

    เราไม่สามารถห้ามใครหายไปจากชีวิตเราได้ และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในชีวิตทุกคน ได้ตลอดไป

    แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการ...

    🫶 รักษาความทรงจำดี ๆ
    📌 เรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา
    🌱 และใช้มันเป็นพลังในการเติบโตต่อไป

    เพราะสุดท้าย... สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การอยู่กับใครไปตลอดชีวิต แต่คือ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำ ที่งดงามพอหรือยัง? 💫

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 192315 เม.ย. 2568

    📱 #ความสัมพันธ์ #คนเคยรู้จัก #จากลาที่ไม่มีคำลา #คิดถึงเสมอ #คนในความทรงจำ
    #เติบโตด้วยกัน #บทเรียนชีวิต #ความเงียบที่เจ็บปวด #ความเปลี่ยนแปลง #รักในความทรงจำ
    จาก “ทุกวัน” กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก: ความสัมพันธ์ที่จบลงโดยไม่มีคำลา 💔 แม้ไม่มีใครพูดลา…แต่ใจเรารู้ดีว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อความสัมพันธ์ค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่มีคำลา บางครั้งเราไม่ได้หายไป... แค่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของชีวิต บางคนเคยอยู่ในทุกวันของเรา แต่ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำเงียบ ๆ ในใจ สำรวจความสัมพันธ์ที่จบลง โดยไม่มีคำลา... และทำไมมันถึงเจ็บกว่าที่คิด ความเงียบที่ดังที่สุด คือการหายไปของใครบางคน... ในทุกปี... เราอาจได้เจอใครบางคน ที่กลายมาเป็น "คนสำคัญ" ในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน... เราก็อาจเสียใครบางคนไป ไม่ใช่ด้วยการทะเลาะ ไม่ใช่ด้วยความผิดพลาด แต่เป็นการ “ค่อย ๆ หายไป” แบบไม่มีแม้แต่คำลา 🕊️ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรัก แต่คือทุกความสัมพันธ์ในชีวิต เพื่อนสนิท ครอบครัว คนเคยใกล้ชิด หรือแม้แต่คนที่เคยอยู่ในทุกช่วงเวลาสำคัญ... วันนี้ เราจะมาคุยกันถึง "การจากลาในความเงียบ" ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร? 🌒 ความเงียบไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง ในหลายความสัมพันธ์ จุดจบไม่ได้มาพร้อมคำพูด ไม่มีคำบอกลาชัดเจน ไม่มีน้ำตา ไม่มีการโต้แย้ง แต่กลับเป็นเพียง “การเงียบ” ที่ค่อย ๆ สร้างระยะห่าง 📱 ข้อความที่ค่อย ๆ หายไป บทสนทนาที่สั้นลง และหัวใจที่ไม่เต้นพร้อมกันอีกต่อไป บางครั้ง... เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันเริ่มห่างกันตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็กลายเป็น “คนเคยรู้จัก” ไปแล้ว... ทำไมเราถึงหายไปจากกัน…แม้ไม่ได้ตั้งใจ? เราทุกคนมีชีวิตที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ชีวิตผู้ใหญ่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ งาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัว ความฝัน ทั้งหมดนี้ดึงพลังใจของเรา ไปจากความสัมพันธ์เดิม ๆ จนบางครั้ง... เรา “ลืม” ว่าเคยมีใครอีกคนรอคุยกับเราอยู่ 🌀 มันไม่ได้เกิดจากการเบื่อกัน แต่เกิดจาก “ชีวิตที่พาให้เราหายไป” ความเหนื่อยล้าในใจที่บอกไม่ออก บางคนไม่ได้อยากหายไป แต่แค่ "เหนื่อยเกินไป" ที่จะเป็นคนเดิม เหนื่อยที่จะยิ้ม เหนื่อยที่จะคุย เหนื่อยที่จะพยายามรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ และเมื่อเราปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้น... มันก็กลายเป็น “กำแพง” ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ 🧱 เราเติบโตในเส้นทางที่ต่างกัน การเติบโตทำให้มุมมองเปลี่ยน ความฝันเปลี่ยน สิ่งที่เคยชอบเหมือนกัน กลับไม่ตรงกันอีกต่อไป แม้จะไม่มีใครผิด… แต่เมื่อเราเดินไปคนละเส้นทาง "ระยะห่าง" ก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 🚶‍♂️🚶‍♀️ ความสัมพันธ์ที่จางหายไป… ไม่ได้หมายความว่าไร้ค่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “วันเวลาที่เคยมีร่วมกัน” ไร้ความหมาย ❤️ ความทรงจำดี ๆ ยังคงอยู่ในใจ 🌿 ความห่วงใยยังแทรกอยู่ในความเงียบ 💬 บางบทสนทนายังคงอยู่ในความคิดเสมอ และบางครั้ง... เพียงแค่ได้คิดถึงใครคนนั้น ในความทรงจำ ก็เพียงพอแล้ว... ที่จะทำให้ใจอบอุ่นขึ้นในวันเหงา ๆ บางคนเคยเป็น "ทุกวัน" ของเรา… แต่กลายเป็นเพียงคนในความทรงจำ ลองย้อนกลับไปนึกถึงใครบางคนที่... 📌 เคยโทรหากันทุกคืน 📌 เคยเล่าเรื่องให้ฟังทุกเช้า 📌 เคยไปทุกที่ด้วยกัน 📌 เคยรู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร แล้ววันนี้... เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่คือ... ความทรงจำ “ไม่มีใครผิดที่เปลี่ยนไป” ประโยคที่เข้าใจได้ เมื่อเรารักตัวเองมากพอ การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ 👤 คนบางคนสอนให้เรารู้จักรัก 👤 บางคนสอนให้เรารู้จักเจ็บ 👤 และบางคน… สอนให้เรารู้จักปล่อยวาง ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตกันอีก แต่เรายังอยู่ใน "บทเรียนชีวิต" ของกันและกันเสมอ แล้วเราจะเยียวยาหัวใจ หลังความสัมพันธ์ที่จบลงในความเงียบ ได้อย่างไร? ยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง คือเรื่องธรรมดา การหายไปไม่ได้แปลว่าใครไม่รัก แต่เป็นเพราะเส้นทางของเรา มาถึงจุดที่ต้องแยกกันเดิน ให้อภัยตัวเอง และให้อภัยอีกฝ่าย แม้จะไม่มีคำขอโทษ หรือคำอธิบาย แต่เราสามารถเลือก “ให้อภัยในใจ” เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บ เก็บความทรงจำดี ๆ ไว้… แต่ไม่ต้องยึดติด ความทรงจำดี ๆ ไม่ต้องลบทิ้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้มัน มาฉุดรั้งเราไว้จากการเติบโต แม้จะจางหายไป…แต่ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ 🕊️ เราไม่สามารถห้ามใครหายไปจากชีวิตเราได้ และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในชีวิตทุกคน ได้ตลอดไป แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการ... 🫶 รักษาความทรงจำดี ๆ 📌 เรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่ผ่านมา 🌱 และใช้มันเป็นพลังในการเติบโตต่อไป เพราะสุดท้าย... สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การอยู่กับใครไปตลอดชีวิต แต่คือ ในวันที่ยังอยู่ด้วยกัน เราได้สร้างความทรงจำ ที่งดงามพอหรือยัง? 💫 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 192315 เม.ย. 2568 📱 #ความสัมพันธ์ #คนเคยรู้จัก #จากลาที่ไม่มีคำลา #คิดถึงเสมอ #คนในความทรงจำ #เติบโตด้วยกัน #บทเรียนชีวิต #ความเงียบที่เจ็บปวด #ความเปลี่ยนแปลง #รักในความทรงจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 10 ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงิน
    .
    สุภาษิตจีนบอกว่า หากจะกินผลไม้ที่ปลูกเองอย่างเร็วที่สุดก็ต้องปลูกวันนี้เลย ถ้าจะให้ผลิดอกออกผลอย่างดีแล้ว ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันตั้งแต่แรก และวางแผนก่อนลงมือปลูกว่าจะปลูกที่ใด ห่างจากต้นไม้อื่นมากน้อยแค่ไหน การผลิดอกออกผลของเงินก็เหมือนกัน จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน และวางแผนเพื่อความมั่นคงที่จะได้ดอกผล
    .
    มีความตรงหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจ นั่นคือเงินเป็นได้ทั้งนาย ทาส มิตร และศัตรู ถ้าผู้ใดยอมให้เงินเป็นนาย ชีวิตก็จะอับเฉา เพราะจริยธรรมจะเป็นเรื่องรองจากการแสวงหาเงินทอง การใช้เล่ห์เพทุบายฉ้อฉลคดโกงจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้ เพราะสามารถกระทำได้ทุกสิ่งเพียงให้ได้เงิน แต่ถ้าเห็นว่าเงินมิใช่เรื่องใหญ่ที่สุด และสามารถมีวินัยควบคุมตนเองให้มีอำนาจเหนือเงินได้แล้ว เงินก็จะเป็นทาสรับใช้และเป็นมิตรไปพร้อมๆกันด้วย เพราะเงินจะทำงานรับใช้ตลอดเวลา โดยจะหาเงินมาให้จากการที่ได้เอาเงินไปลงทุนไว้
    .
    การที่เงินเป็นศัตรูนั้นเกิดขึ้นเมื่อต้องกู้หนี้ยืมสิน เพราะจำเป็นต้องใช้เงินในขณะที่เงินในมือมีไม่พอ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็คือการเป็นศัตรูของเงิน เพราะมันจะทิ่มแทงผู้กู้ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น การเลือกให้เงินเป็นทาสและให้เงินเป็นมิตรจึงเป็นสิ่งพึงประสงค์กว่ากรณีเงินเป็นนายและศัตรู
    .
    นอกจากนี้การใช้เงินที่เหมาะสมในแต่ละเดือนนั้น ควรมีลำดับความสำคัญเรียงลงไปดังนี้ (1) ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ซึ่งได้แก่ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเสื้อผ้า ค่าหย่อนใจ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอด (2) กันเงินส่วนหนึ่งไว้สำรองฉุกเฉินในรูปของเงินฝากออมทรัพย์ หรือการลงทุนระยะสั้นที่สามารถถอนมาใช้ได้ทันกาล (3) จ่ายภาระหนี้สินที่จำเป็น เช่น เงินผ่อนชำระหนี้เพื่อการบริโภค (หนี้บัตรเครดิต) และเพื่อการศึกษา และ (4) หักเงินไว้สำหรับแผนการในอนาคตที่สำคัญเพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขสบายและมั่นคง เช่น ค่าดาวน์บ้าน ค่าดาวน์รถยนต์ ทุนการศึกษาของลูก ค่าภาษีปลายปี เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินอย่างอื่นเพื่อเป็นทุนตอนเกษียฯอายุ (5) หักเบี้ยประกันชีวิต ประกันรถยนต์ และค่าประกันอื่นๆ เพื่อความมั่นคงในชีวิต การประกันเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือการประกันเงินออมทางอ้อมนั่นเอง เพราะหากไม่มีการประกันแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้เสียเงินมากๆ โดยไม่คาดฝันจะทำให้ต้องเอาเงินออมออกมาใช้จนอาจหมดไปก็เป็นได้
    .
    รายจ่ายทั้ง 5 รายการนี้ปนเปกันอยู่ทั้งรายจ่ายเพื่อการบริโภคและเงินออม (ค่าดาวน์บ้าน ทุนการศึกษา ค่าดาวน์รถยนต์ เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ) สิ่งสำคัญก็คือ ในภาพรวมของช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น หนึ่งปี รายจ่ายเพื่อการบริโภครวมกันไม่ควรเกินร้อยละ 85 ซึ่งหมายถึงมีเงินออมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นอัตราต่ำสุดของการออม
    .
    เงินมีแขนขา มีพลวัตไม่หยุดนิ่ง การมีรายได้น้อยแต่ยังพอมีชีวิตอยู่รอดด้วยปัจจัยสี่ระดับพื้นฐาน มิได้หมายความว่าขาดโอกาสในการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ถ้าหากสามารถกันเงินส่วนหนึ่งออกจากรายได้ก่อนการบริโภค ก็จะทำให้มีเงินออมเป็นทุนเริ่มต้น
    .
    การออมทำได้หลายวิธี ดังนี้
    .
    (1) เก็บเงินแบบเพิ่มสิบ กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่ใช้เงินออกไป ให้บวกยอดเงินเข้าไปอีกร้อยละ 10 เช่น ถ้าซื้อของ 100 บาท ก็ให้เก็บเงินไว้อีก 10 บาทเสมอ ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะจ่ายออกไปมากน้อยเพียงใด ก็จะมีเงินออมร้อยละ 10 อยู่ในมือเสมอ ข้อดีของมันคล้ายกับมีภาษีเก็บเพิ่มนั่นเอง เช่น เมื่อจะซื้อของราคา 500 บาท ก็จะเกิดความคิดว่าราคาของมันคือ 550 บาท ดังนั้น การใช้จ่ายก็จะน้อยลงไปด้วยโดยอัตโนมัติ
    (2) เก็บเงินแบบลบสิบ กล่าวคือ หักเงินร้อยละ 10 ของเงินเดือนทันทีที่ได้รับมาเป็นเงินออม โดยอาจเป็นการสั่งให้หักเงินเดือนเข้าอีกบัญชีหนึ่งในอัตราร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน การกระทำเช่นนี้ก็จะทำให้มีเงินออมร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน
    (3) กำหนดการออมแต่ละวันไว้ตายตัว เช่น แต่ละเดือนเก็บเงินออมวันละ 15 บาททุกวัน โดยรวมกันทั้งเดือนอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน และหากเป็นไปได้ไม่ควรออมต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี
    .
    ทั้ง 3 วิธีนี้จะทำให้เก็บเงินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน ซึ่งเงินออมทั้งหมดนี้มีแขนขาที่สามารถงอกเงยออกไปได้อย่างไม่หยุดยั่ง ขอยกตัวอย่างตัวเลขให้ดูดังนี้ การออมวันละ 15 บาท และนำฝากธนาคารทุกวันอย่างสม่ำเสมอด้วยอัตราดอกเบี้ยทยต้นร้อยละ 10 ต่อปี ในเวลา 13 ปี จะมีเงินก้อน 100,000 บาท (เงินออมจริงๆคือ 71,175 บาท ดอกเบี้ยคือ 28,825 บาท)
    .
    เงินก้อนนี้สามารถนำไปดาวน์บ้านหรือลงทุนเพื่อให้เกิดความสุขสบายโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกต่อไป หรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่งสามารถทำให้เงินงอกเงยขึ้นได้
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 10 ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงิน . สุภาษิตจีนบอกว่า หากจะกินผลไม้ที่ปลูกเองอย่างเร็วที่สุดก็ต้องปลูกวันนี้เลย ถ้าจะให้ผลิดอกออกผลอย่างดีแล้ว ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันตั้งแต่แรก และวางแผนก่อนลงมือปลูกว่าจะปลูกที่ใด ห่างจากต้นไม้อื่นมากน้อยแค่ไหน การผลิดอกออกผลของเงินก็เหมือนกัน จำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน และวางแผนเพื่อความมั่นคงที่จะได้ดอกผล . มีความตรงหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจ นั่นคือเงินเป็นได้ทั้งนาย ทาส มิตร และศัตรู ถ้าผู้ใดยอมให้เงินเป็นนาย ชีวิตก็จะอับเฉา เพราะจริยธรรมจะเป็นเรื่องรองจากการแสวงหาเงินทอง การใช้เล่ห์เพทุบายฉ้อฉลคดโกงจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนเหล่านี้ เพราะสามารถกระทำได้ทุกสิ่งเพียงให้ได้เงิน แต่ถ้าเห็นว่าเงินมิใช่เรื่องใหญ่ที่สุด และสามารถมีวินัยควบคุมตนเองให้มีอำนาจเหนือเงินได้แล้ว เงินก็จะเป็นทาสรับใช้และเป็นมิตรไปพร้อมๆกันด้วย เพราะเงินจะทำงานรับใช้ตลอดเวลา โดยจะหาเงินมาให้จากการที่ได้เอาเงินไปลงทุนไว้ . การที่เงินเป็นศัตรูนั้นเกิดขึ้นเมื่อต้องกู้หนี้ยืมสิน เพราะจำเป็นต้องใช้เงินในขณะที่เงินในมือมีไม่พอ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็คือการเป็นศัตรูของเงิน เพราะมันจะทิ่มแทงผู้กู้ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น การเลือกให้เงินเป็นทาสและให้เงินเป็นมิตรจึงเป็นสิ่งพึงประสงค์กว่ากรณีเงินเป็นนายและศัตรู . นอกจากนี้การใช้เงินที่เหมาะสมในแต่ละเดือนนั้น ควรมีลำดับความสำคัญเรียงลงไปดังนี้ (1) ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ซึ่งได้แก่ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเสื้อผ้า ค่าหย่อนใจ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุดเพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอด (2) กันเงินส่วนหนึ่งไว้สำรองฉุกเฉินในรูปของเงินฝากออมทรัพย์ หรือการลงทุนระยะสั้นที่สามารถถอนมาใช้ได้ทันกาล (3) จ่ายภาระหนี้สินที่จำเป็น เช่น เงินผ่อนชำระหนี้เพื่อการบริโภค (หนี้บัตรเครดิต) และเพื่อการศึกษา และ (4) หักเงินไว้สำหรับแผนการในอนาคตที่สำคัญเพื่อการมีชีวิตที่มีความสุขสบายและมั่นคง เช่น ค่าดาวน์บ้าน ค่าดาวน์รถยนต์ ทุนการศึกษาของลูก ค่าภาษีปลายปี เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินอย่างอื่นเพื่อเป็นทุนตอนเกษียฯอายุ (5) หักเบี้ยประกันชีวิต ประกันรถยนต์ และค่าประกันอื่นๆ เพื่อความมั่นคงในชีวิต การประกันเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือการประกันเงินออมทางอ้อมนั่นเอง เพราะหากไม่มีการประกันแล้ว เหตุการณ์ที่ทำให้เสียเงินมากๆ โดยไม่คาดฝันจะทำให้ต้องเอาเงินออมออกมาใช้จนอาจหมดไปก็เป็นได้ . รายจ่ายทั้ง 5 รายการนี้ปนเปกันอยู่ทั้งรายจ่ายเพื่อการบริโภคและเงินออม (ค่าดาวน์บ้าน ทุนการศึกษา ค่าดาวน์รถยนต์ เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ) สิ่งสำคัญก็คือ ในภาพรวมของช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น หนึ่งปี รายจ่ายเพื่อการบริโภครวมกันไม่ควรเกินร้อยละ 85 ซึ่งหมายถึงมีเงินออมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นอัตราต่ำสุดของการออม . เงินมีแขนขา มีพลวัตไม่หยุดนิ่ง การมีรายได้น้อยแต่ยังพอมีชีวิตอยู่รอดด้วยปัจจัยสี่ระดับพื้นฐาน มิได้หมายความว่าขาดโอกาสในการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ถ้าหากสามารถกันเงินส่วนหนึ่งออกจากรายได้ก่อนการบริโภค ก็จะทำให้มีเงินออมเป็นทุนเริ่มต้น . การออมทำได้หลายวิธี ดังนี้ . (1) เก็บเงินแบบเพิ่มสิบ กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่ใช้เงินออกไป ให้บวกยอดเงินเข้าไปอีกร้อยละ 10 เช่น ถ้าซื้อของ 100 บาท ก็ให้เก็บเงินไว้อีก 10 บาทเสมอ ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะจ่ายออกไปมากน้อยเพียงใด ก็จะมีเงินออมร้อยละ 10 อยู่ในมือเสมอ ข้อดีของมันคล้ายกับมีภาษีเก็บเพิ่มนั่นเอง เช่น เมื่อจะซื้อของราคา 500 บาท ก็จะเกิดความคิดว่าราคาของมันคือ 550 บาท ดังนั้น การใช้จ่ายก็จะน้อยลงไปด้วยโดยอัตโนมัติ (2) เก็บเงินแบบลบสิบ กล่าวคือ หักเงินร้อยละ 10 ของเงินเดือนทันทีที่ได้รับมาเป็นเงินออม โดยอาจเป็นการสั่งให้หักเงินเดือนเข้าอีกบัญชีหนึ่งในอัตราร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน การกระทำเช่นนี้ก็จะทำให้มีเงินออมร้อยละ 10 ของรายได้ทุกเดือน (3) กำหนดการออมแต่ละวันไว้ตายตัว เช่น แต่ละเดือนเก็บเงินออมวันละ 15 บาททุกวัน โดยรวมกันทั้งเดือนอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน และหากเป็นไปได้ไม่ควรออมต่ำกว่าร้อยละ 15 ของรายได้ก่อนหักภาษี . ทั้ง 3 วิธีนี้จะทำให้เก็บเงินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินเดือน ซึ่งเงินออมทั้งหมดนี้มีแขนขาที่สามารถงอกเงยออกไปได้อย่างไม่หยุดยั่ง ขอยกตัวอย่างตัวเลขให้ดูดังนี้ การออมวันละ 15 บาท และนำฝากธนาคารทุกวันอย่างสม่ำเสมอด้วยอัตราดอกเบี้ยทยต้นร้อยละ 10 ต่อปี ในเวลา 13 ปี จะมีเงินก้อน 100,000 บาท (เงินออมจริงๆคือ 71,175 บาท ดอกเบี้ยคือ 28,825 บาท) . เงินก้อนนี้สามารถนำไปดาวน์บ้านหรือลงทุนเพื่อให้เกิดความสุขสบายโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกต่อไป หรือได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่งสามารถทำให้เงินงอกเงยขึ้นได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความจาก TechRadar รายงานว่า Thomas Dohmke CEO ของ GitHub เชื่อว่าเด็กควรเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเขาเน้นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

    ✅ GitHub สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก
    - Dohmke เชื่อว่าการเขียนโค้ดควรเป็น วิชาหลักในโรงเรียน เช่นเดียวกับฟิสิกส์และภูมิศาสตร์
    - นักพัฒนายังคงเป็นที่ต้องการ แม้ AI จะช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยตนเอง

    ✅ AI ช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมง่ายขึ้น แต่ไม่แทนที่นักพัฒนา
    - เครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot ช่วยให้การเขียนโค้ดเร็วขึ้น
    - นักพัฒนาสามารถใช้ AI เพื่อ ลดงานที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา
    - Dohmke เน้นว่า นักพัฒนาต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ
    - หากหยุดเรียนรู้ อาจทำให้ ตกยุคและสูญเสียโอกาสในอุตสาหกรรม

    ✅ GitHub ยังคงพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อช่วยนักพัฒนา
    - Copilot มีฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดีขึ้น
    - AI ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้มากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/forget-ai-children-still-need-to-learn-how-to-code-github-ceo-says-heres-how-you-can-get-them-to-start
    บทความจาก TechRadar รายงานว่า Thomas Dohmke CEO ของ GitHub เชื่อว่าเด็กควรเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเขาเน้นว่า AI ไม่ได้มาแทนที่นักพัฒนา แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ✅ GitHub สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้การเขียนโค้ดตั้งแต่ยังเล็ก - Dohmke เชื่อว่าการเขียนโค้ดควรเป็น วิชาหลักในโรงเรียน เช่นเดียวกับฟิสิกส์และภูมิศาสตร์ - นักพัฒนายังคงเป็นที่ต้องการ แม้ AI จะช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยตนเอง ✅ AI ช่วยให้การพัฒนาโปรแกรมง่ายขึ้น แต่ไม่แทนที่นักพัฒนา - เครื่องมือ AI เช่น GitHub Copilot ช่วยให้การเขียนโค้ดเร็วขึ้น - นักพัฒนาสามารถใช้ AI เพื่อ ลดงานที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักพัฒนา - Dohmke เน้นว่า นักพัฒนาต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ - หากหยุดเรียนรู้ อาจทำให้ ตกยุคและสูญเสียโอกาสในอุตสาหกรรม ✅ GitHub ยังคงพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อช่วยนักพัฒนา - Copilot มีฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดีขึ้น - AI ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่ช่วยให้ นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้มากขึ้น https://www.techradar.com/pro/forget-ai-children-still-need-to-learn-how-to-code-github-ceo-says-heres-how-you-can-get-them-to-start
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้

    Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR

    นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse
    - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
    - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024

    ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR
    - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์

    ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs
    - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
    - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ
    - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
    - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง
    - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้ Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์ - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Four years in, Meta has burned through $45 billion chasing its metaverse dream
    Insiders say the metaverse project has become a financial sinkhole, consuming $45 billion by early 2025. That's nearly equal to the combined market caps of social media...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชิป AI ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

    Greenpeace รายงานว่าการผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 350% จากปี 2023 และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูง โดยโรงงานผลิตขนาดใหญ่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ถึง 100 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อชั่วโมง

    นอกจากนี้ Greenpeace ยังเตือนว่าความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน

    ✅ ผลกระทบจากการผลิตชิป AI
    - การผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024
    - การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน

    ✅ ความต้องการพลังงานในอนาคต
    - ความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030
    - มากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน

    ✅ บทบาทของบริษัทเทคโนโลยี
    - บริษัทเช่น Nvidia, Microsoft, Meta และ Google ถูกเรียกร้องให้สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน
    - TSMC กำลังเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ยังมีความล่าช้า

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
    - การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูงและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    - การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศผู้ผลิตอาจเพิ่มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ℹ️ คำแนะนำเพื่อความยั่งยืน
    - บริษัทเทคโนโลยีควรสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน
    - การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/report-soaring-demand-for-ai-chips-fuels-power-usage
    ข่าวนี้เล่าถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชิป AI ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล Greenpeace รายงานว่าการผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 350% จากปี 2023 และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูง โดยโรงงานผลิตขนาดใหญ่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ถึง 100 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อชั่วโมง นอกจากนี้ Greenpeace ยังเตือนว่าความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน ✅ ผลกระทบจากการผลิตชิป AI - การผลิตชิป AI ใช้พลังงานไฟฟ้าถึง 984 กิกะวัตต์ชั่วโมงในปี 2024 - การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 453,600 เมตริกตันในปีเดียวกัน ✅ ความต้องการพลังงานในอนาคต - ความต้องการไฟฟ้าสำหรับการผลิตชิป AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 37,238 กิกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 - มากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์ในปัจจุบัน ✅ บทบาทของบริษัทเทคโนโลยี - บริษัทเช่น Nvidia, Microsoft, Meta และ Google ถูกเรียกร้องให้สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน - TSMC กำลังเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ยังมีความล่าช้า ℹ️ ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม - การผลิตชิป AI มีความต้องการพลังงานสูงและเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศผู้ผลิตอาจเพิ่มผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ℹ️ คำแนะนำเพื่อความยั่งยืน - บริษัทเทคโนโลยีควรสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน - การพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/report-soaring-demand-for-ai-chips-fuels-power-usage
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Report: Soaring demand for AI chips fuels power usage
    Growing demand for the semiconductor chips that power artificial intelligence is driving soaring electricity use, particularly in countries that rely on fossil fuels for power, environmental group Greenpeace warned.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง

    Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร

    เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS)
    - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS
    - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที

    ✅ การใช้งานและความพร้อม
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง
    - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029

    ✅ การยืนยันข้อมูล GPS
    - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS
    - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี

    ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS
    - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง
    - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้
    - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Broadcast Positioning System (BPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS เพื่อเป็นระบบสำรองในกรณีที่ GPS ถูกโจมตีหรือขัดข้อง Broadcast Positioning System (BPS) ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัลในการให้ข้อมูลตำแหน่งและเวลา โดยมีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ซึ่งแม้จะน้อยกว่า GPS ที่มีความแม่นยำ 10 นาโนวินาที แต่ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานในบางกรณี อย่างไรก็ตาม การใช้งาน BPS ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง และมีความแม่นยำในรัศมีประมาณ 100 เมตร เทคโนโลยีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา โดยคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในปี 2029 นอกจากนี้ BPS ยังสามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS ได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ✅ การพัฒนา Broadcast Positioning System (BPS) - ใช้สัญญาณโทรทัศน์ดิจิทัล ATSC 3.0 แทนดาวเทียม GPS - มีความแม่นยำในระดับ 100 นาโนวินาที ✅ การใช้งานและความพร้อม - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณจากสถานีส่งอย่างน้อย 4 แห่ง - คาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2027 และเพิ่มฟีเจอร์ในปี 2029 ✅ การยืนยันข้อมูล GPS - BPS สามารถใช้เป็นระบบยืนยันข้อมูลของ GPS - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกรณีที่ GPS ถูกโจมตี ℹ️ ข้อจำกัดของ BPS - ความแม่นยำต่ำกว่า GPS และต้องการสถานีส่งสัญญาณหลายแห่ง - การใช้งานอาจจำกัดในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ATSC 3.0 ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย - หากระบบ BPS ถูกโจมตี อาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานที่พึ่งพาเทคโนโลยีนี้ - การพัฒนาระบบสำรองที่มีความปลอดภัยสูงเป็นสิ่งสำคัญ https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-signal-based-bps-tested-as-fallback-for-gps-digital-tv-infrastructure-could-come-to-the-rescue-if-satellites-are-compromised
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์ได้ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault ได้ ส่งผลให้เกมกลายเป็นโหมดที่ว่างเปล่าโดยไม่มีผู้เล่นเลย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (doxxing) โดยแฮกเกอร์

    Kyber ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนา modding ได้รายงานว่า EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์ แต่ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท

    ✅ ปัญหาในเกม Star Wars Battlefront II
    - แฮกเกอร์ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault
    - ผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    ✅ การตอบสนองจาก EA
    - EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์
    - ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท

    ✅ บทบาทของ Kyber
    - Kyber รายงานปัญหาและกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม modding ใหม่ที่ชื่อ Kyber V2
    - Kyber V2 จะเพิ่มฟีเจอร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์แบบอิสระและการสนับสนุน Nexus Mods

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อผู้เล่น
    - การโจมตีอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้เล่นตกอยู่ในความเสี่ยง
    - การแสดงข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกม

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน EA
    - การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าอาจลดความเชื่อมั่นของผู้เล่นในบริษัท
    - การจัดการปัญหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techspot.com/news/107519-pc-gamers-report-hackers-have-taken-over-star.html
    แฮกเกอร์ได้ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault ได้ ส่งผลให้เกมกลายเป็นโหมดที่ว่างเปล่าโดยไม่มีผู้เล่นเลย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (doxxing) โดยแฮกเกอร์ Kyber ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนา modding ได้รายงานว่า EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์ แต่ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท ✅ ปัญหาในเกม Star Wars Battlefront II - แฮกเกอร์ใช้สคริปต์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ในโหมด Supremacy และ Galactic Assault - ผู้เล่นบางคนได้รับข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมและถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ การตอบสนองจาก EA - EA ได้แก้ไขช่องโหว่บางส่วนในเซิร์ฟเวอร์ - ยังไม่มีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากบริษัท ✅ บทบาทของ Kyber - Kyber รายงานปัญหาและกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม modding ใหม่ที่ชื่อ Kyber V2 - Kyber V2 จะเพิ่มฟีเจอร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์แบบอิสระและการสนับสนุน Nexus Mods ℹ️ ความเสี่ยงต่อผู้เล่น - การโจมตีอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้เล่นตกอยู่ในความเสี่ยง - การแสดงข้อความแชทที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อประสบการณ์การเล่นเกม ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน EA - การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าอาจลดความเชื่อมั่นของผู้เล่นในบริษัท - การจัดการปัญหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techspot.com/news/107519-pc-gamers-report-hackers-have-taken-over-star.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PC gamers report hackers have taken over Star Wars Battlefront II
    The subreddit and official support forums for Star Wars Battlefront II are currently filled with complaints about a hack that has broken some parts of the game...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Meta และ Zuckerberg พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงตลาดจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน รวมถึงการเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน

    Meta ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยโฆษกของ Meta ระบุว่าข้อกล่าวหานั้น "ไม่เป็นความจริงและห่างไกลจากความเป็นจริง" และยืนยันว่า Meta ไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน

    นอกจากนี้ Wynn-Williams ยังกล่าวว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีนผ่านการเปิดเผยโมเดล Llama AI และยังร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์

    ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Mark Zuckerberg และ Meta
    - Sarah Wynn-Williams กล่าวหาว่า Zuckerberg เสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน
    - Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน

    ✅ การพัฒนา AI และเครื่องมือเซ็นเซอร์
    - Wynn-Williams อ้างว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีน
    - Meta ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - การเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล
    - การเปิดเผยโมเดล AI อาจเพิ่มความสามารถของจีนในด้านเทคโนโลยี

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน Meta
    - ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุนใน Meta
    - การจัดการข้อกล่าวหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techradar.com/pro/security/zuckerberg-offered-us-data-to-china-in-bid-to-enter-market-ex-meta-exec-tells-senate
    Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Meta และ Zuckerberg พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงตลาดจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน รวมถึงการเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน Meta ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยโฆษกของ Meta ระบุว่าข้อกล่าวหานั้น "ไม่เป็นความจริงและห่างไกลจากความเป็นจริง" และยืนยันว่า Meta ไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน นอกจากนี้ Wynn-Williams ยังกล่าวว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีนผ่านการเปิดเผยโมเดล Llama AI และยังร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Mark Zuckerberg และ Meta - Sarah Wynn-Williams กล่าวหาว่า Zuckerberg เสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน - Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน ✅ การพัฒนา AI และเครื่องมือเซ็นเซอร์ - Wynn-Williams อ้างว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีน - Meta ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - การเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล - การเปิดเผยโมเดล AI อาจเพิ่มความสามารถของจีนในด้านเทคโนโลยี ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน Meta - ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุนใน Meta - การจัดการข้อกล่าวหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techradar.com/pro/security/zuckerberg-offered-us-data-to-china-in-bid-to-enter-market-ex-meta-exec-tells-senate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sensata Technologies ได้รายงานเหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่ายของบริษัท การโจมตีนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เช่น การจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ บริษัทได้ดำเนินการตอบสนองทันทีโดยปิดเครือข่ายบางส่วน นำผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    Sensata ยังระบุว่ามีการสูญเสียไฟล์บางส่วน แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับไฟล์เหล่านั้น ขณะนี้บริษัทกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบและจะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

    แม้ว่าบริษัทจะคาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025 แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบทั้งหมดได้

    ✅ เหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่ Sensata Technologies
    - Sensata ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่าย
    - ส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ

    ✅ การตอบสนองของบริษัท
    - ปิดเครือข่ายบางส่วนและนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย
    - แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเริ่มการตรวจสอบ

    ✅ การสูญเสียไฟล์และการตรวจสอบ
    - บริษัทสูญเสียไฟล์บางส่วนและกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบ
    - จะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

    ✅ ผลกระทบต่อผลประกอบการ
    - Sensata คาดว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - การโจมตีแรนซัมแวร์อาจทำให้ข้อมูลสำคัญของบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยง
    - การสูญเสียไฟล์อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะยาว

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า
    - เหตุการณ์นี้อาจลดความเชื่อมั่นของลูกค้าและคู่ค้าในระบบความปลอดภัยของบริษัท
    - การจัดการเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techradar.com/pro/security/top-us-sensor-maker-sensata-hit-by-worrying-ransomware-attack
    Sensata Technologies ได้รายงานเหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่ายของบริษัท การโจมตีนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เช่น การจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ บริษัทได้ดำเนินการตอบสนองทันทีโดยปิดเครือข่ายบางส่วน นำผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง Sensata ยังระบุว่ามีการสูญเสียไฟล์บางส่วน แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับไฟล์เหล่านั้น ขณะนี้บริษัทกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบและจะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม แม้ว่าบริษัทจะคาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025 แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบทั้งหมดได้ ✅ เหตุการณ์แรนซัมแวร์ที่ Sensata Technologies - Sensata ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เข้ารหัสอุปกรณ์บางส่วนในเครือข่าย - ส่งผลกระทบต่อการจัดส่ง การรับสินค้า การผลิต และการสนับสนุนอื่นๆ ✅ การตอบสนองของบริษัท - ปิดเครือข่ายบางส่วนและนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย - แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเริ่มการตรวจสอบ ✅ การสูญเสียไฟล์และการตรวจสอบ - บริษัทสูญเสียไฟล์บางส่วนและกำลังตรวจสอบไฟล์ที่ได้รับผลกระทบ - จะดำเนินการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม ✅ ผลกระทบต่อผลประกอบการ - Sensata คาดว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองของปี 2025 ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - การโจมตีแรนซัมแวร์อาจทำให้ข้อมูลสำคัญของบริษัทตกอยู่ในความเสี่ยง - การสูญเสียไฟล์อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะยาว ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า - เหตุการณ์นี้อาจลดความเชื่อมั่นของลูกค้าและคู่ค้าในระบบความปลอดภัยของบริษัท - การจัดการเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techradar.com/pro/security/top-us-sensor-maker-sensata-hit-by-worrying-ransomware-attack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023

    ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI

    ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร

    ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม

    ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ

    ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023 ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Group of ex-OpenAI employees back Musk's lawsuit to halt OpenAI restructure
    SAN FRANCISCO (Reuters) - A dozen former OpenAI employees filed a legal brief on Friday backing co-founder Elon Musk's lawsuit aimed at keeping the non-profit status of OpenAI, marking the latest development in the dispute over the future of the artificial intelligence firm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแพร่กระจายข้อมูลเท็จหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลและการสนับสนุนองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในช่วงวิกฤต

    ✅ การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ:
    - หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เช่น วิดีโอที่สร้างจาก AI หรือภาพจากเหตุการณ์ในประเทศอื่น
    - ข้อมูลเท็จเหล่านี้ถูกใช้เพื่อสร้างรายได้จากโฆษณา โดยผู้สร้างเนื้อหาได้รับเงินจากการแชร์และการดู

    ✅ ผลกระทบต่อการช่วยเหลือ:
    - การแพร่กระจายข้อมูลเท็จทำให้เกิดความตื่นตระหนกและขัดขวางการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
    - องค์กรช่วยเหลือและประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง

    ✅ การตอบสนองของแพลตฟอร์ม:
    - Meta และ TikTok ได้ดำเนินการลบโพสต์ที่มีข้อมูลเท็จและแนะนำแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
    - TikTok มีการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกว่า 50 ภาษาเพื่อจัดการกับข้อมูลเท็จ

    ✅ ความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูล:
    - การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในช่วงวิกฤตเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากข้อมูลที่ผิดพลาดอาจส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/making-money-out-of-a-disaster-fake-news-in-myanmar-quake
    การแพร่กระจายข้อมูลเท็จหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลและการสนับสนุนองค์กรช่วยเหลือในพื้นที่ การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในช่วงวิกฤต ✅ การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ: - หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เช่น วิดีโอที่สร้างจาก AI หรือภาพจากเหตุการณ์ในประเทศอื่น - ข้อมูลเท็จเหล่านี้ถูกใช้เพื่อสร้างรายได้จากโฆษณา โดยผู้สร้างเนื้อหาได้รับเงินจากการแชร์และการดู ✅ ผลกระทบต่อการช่วยเหลือ: - การแพร่กระจายข้อมูลเท็จทำให้เกิดความตื่นตระหนกและขัดขวางการช่วยเหลือผู้ประสบภัย - องค์กรช่วยเหลือและประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ✅ การตอบสนองของแพลตฟอร์ม: - Meta และ TikTok ได้ดำเนินการลบโพสต์ที่มีข้อมูลเท็จและแนะนำแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ - TikTok มีการฝึกอบรมผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกว่า 50 ภาษาเพื่อจัดการกับข้อมูลเท็จ ✅ ความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูล: - การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในช่วงวิกฤตเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากข้อมูลที่ผิดพลาดอาจส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/making-money-out-of-a-disaster-fake-news-in-myanmar-quake
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Making money out of a disaster: fake news in Myanmar quake
    Creators and social platforms cash in as misinformation floods newsfeeds after Myanmar quake.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงาน Kyiv International Cyber Resilience Forum 2025 ที่จัดขึ้นในยูเครน มีการพูดถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามไซเบอร์ที่ยูเครนต้องเผชิญจากการโจมตีของรัสเซีย

    ✅ ความร่วมมือระหว่างประเทศ:
    - ยูเครนสามารถป้องกันการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนในสหรัฐฯ และยุโรป
    - การโจมตีของรัสเซียไม่ได้มาจากหน่วยงานรัฐอย่าง GRU, SVR และ FSB เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการโจมตี

    ✅ กลยุทธ์ของรัสเซีย:
    - รัสเซียมีความเชี่ยวชาญในด้าน Social Engineering โดยใช้ QR Code เพื่อหลอกลวงเป้าหมายให้ติดตั้งมัลแวร์ผ่านแอปพลิเคชัน Signal
    - Google Threat Intelligence Group ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวิธีการโจมตีนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025

    ✅ ความยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง:
    - ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อพันธมิตรบางราย เช่น Signal หยุดให้ความร่วมมือ
    - การมีแผนสำรองและทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การใช้ระบบสื่อสารหรือภาพถ่ายดาวเทียมจากแหล่งอื่น เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น

    บทเรียนที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้:
    💡 อย่าพึ่งพาแหล่งเดียว:
    - การมีแผนสำรองสำหรับกรณีที่บริการหรือพันธมิตรหยุดให้ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญ

    💡 การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด:
    - การวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การโจมตีไซเบอร์หรือภัยพิบัติ ช่วยให้องค์กรสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

    💡 การสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ:
    - การทำงานร่วมกับพันธมิตรในระดับโลกช่วยเพิ่มศักยภาพในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/3950749/some-lessons-learned-about-resilience-in-cybersecurity-from-a-visit-to-ukraine.html
    ในงาน Kyiv International Cyber Resilience Forum 2025 ที่จัดขึ้นในยูเครน มีการพูดถึงบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะในบริบทของสงครามไซเบอร์ที่ยูเครนต้องเผชิญจากการโจมตีของรัสเซีย ✅ ความร่วมมือระหว่างประเทศ: - ยูเครนสามารถป้องกันการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนในสหรัฐฯ และยุโรป - การโจมตีของรัสเซียไม่ได้มาจากหน่วยงานรัฐอย่าง GRU, SVR และ FSB เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการโจมตี ✅ กลยุทธ์ของรัสเซีย: - รัสเซียมีความเชี่ยวชาญในด้าน Social Engineering โดยใช้ QR Code เพื่อหลอกลวงเป้าหมายให้ติดตั้งมัลแวร์ผ่านแอปพลิเคชัน Signal - Google Threat Intelligence Group ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับวิธีการโจมตีนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ✅ ความยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง: - ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อพันธมิตรบางราย เช่น Signal หยุดให้ความร่วมมือ - การมีแผนสำรองและทางเลือกที่หลากหลาย เช่น การใช้ระบบสื่อสารหรือภาพถ่ายดาวเทียมจากแหล่งอื่น เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่น บทเรียนที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้: 💡 อย่าพึ่งพาแหล่งเดียว: - การมีแผนสำรองสำหรับกรณีที่บริการหรือพันธมิตรหยุดให้ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญ 💡 การเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด: - การวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การโจมตีไซเบอร์หรือภัยพิบัติ ช่วยให้องค์กรสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว 💡 การสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ: - การทำงานร่วมกับพันธมิตรในระดับโลกช่วยเพิ่มศักยภาพในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/3950749/some-lessons-learned-about-resilience-in-cybersecurity-from-a-visit-to-ukraine.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lessons learned about cyber resilience from a visit to Ukraine
    When systems fail, it’s important to have a plan to replace lost resources however and from wherever you can source them, as the embattled country has learned over more than a decade of conflict.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว การฝึกอบรมพนักงานให้รับมือกับการโจมตี เช่น Phishing, Social Engineering และ Deepfake เป็นสิ่งสำคัญ แต่การมอบหมายให้ HR เป็นผู้ดูแลการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์โดยลำพัง อาจทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยง

    == ข้อจำกัดของ HR ในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ==
    ✅ ขาดความรู้เฉพาะทาง:
    - HR อาจไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น เทคนิคใหม่ ๆ ที่แฮ็กเกอร์ใช้โจมตี

    ✅ การฝึกอบรมที่ไม่ตรงจุด:
    - การฝึกอบรมที่จัดโดย HR อาจเน้นไปที่การปฏิบัติตามข้อกำหนดทั่วไป แต่ขาดการเน้นย้ำถึงภัยคุกคามเฉพาะที่องค์กรเผชิญ

    ✅ ความไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร:
    - HR อาจไม่สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเงินที่ต้องเน้นการป้องกันข้อมูลบัตรเครดิต

    == ความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัย ==
    💡 การสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ:
    - ทีมความปลอดภัยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่องค์กรเผชิญ และช่วยออกแบบการฝึกอบรมที่ตรงจุด

    💡 การแปลข้อมูลเทคนิคให้เข้าใจง่าย:
    - HR สามารถช่วยแปลข้อมูลเชิงเทคนิคให้เป็นภาษาที่พนักงานทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

    💡 การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย:
    - การฝึกอบรมที่มีความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัยช่วยสร้างความตระหนักรู้และวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร

    https://www.csoonline.com/article/3856404/is-hr-running-your-employee-security-training-heres-why-thats-not-always-the-best-idea.html
    ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว การฝึกอบรมพนักงานให้รับมือกับการโจมตี เช่น Phishing, Social Engineering และ Deepfake เป็นสิ่งสำคัญ แต่การมอบหมายให้ HR เป็นผู้ดูแลการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์โดยลำพัง อาจทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยง == ข้อจำกัดของ HR ในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ == ✅ ขาดความรู้เฉพาะทาง: - HR อาจไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น เทคนิคใหม่ ๆ ที่แฮ็กเกอร์ใช้โจมตี ✅ การฝึกอบรมที่ไม่ตรงจุด: - การฝึกอบรมที่จัดโดย HR อาจเน้นไปที่การปฏิบัติตามข้อกำหนดทั่วไป แต่ขาดการเน้นย้ำถึงภัยคุกคามเฉพาะที่องค์กรเผชิญ ✅ ความไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร: - HR อาจไม่สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรม เช่น ในภาคการเงินที่ต้องเน้นการป้องกันข้อมูลบัตรเครดิต == ความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัย == 💡 การสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ: - ทีมความปลอดภัยสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่องค์กรเผชิญ และช่วยออกแบบการฝึกอบรมที่ตรงจุด 💡 การแปลข้อมูลเทคนิคให้เข้าใจง่าย: - HR สามารถช่วยแปลข้อมูลเชิงเทคนิคให้เป็นภาษาที่พนักงานทั่วไปเข้าใจได้ง่าย 💡 การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย: - การฝึกอบรมที่มีความร่วมมือระหว่าง HR และทีมความปลอดภัยช่วยสร้างความตระหนักรู้และวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร https://www.csoonline.com/article/3856404/is-hr-running-your-employee-security-training-heres-why-thats-not-always-the-best-idea.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Is HR running your employee security training? Here’s why that’s not always the best idea
    Training employees to resist the lure of phishing, scams, and deepfakes is central to a good cybersecurity posture, but to be effective it needs to be handled with plenty of input and guidance from the security team.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนอย่าง ToddyCat ถูกเปิดโปงว่ากำลังใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ESET เพื่อฝังโค้ดอันตรายเข้าสู่ระบบที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม ช่องโหว่นี้ระบุว่าเป็น CVE-2024-11859 ซึ่งเกี่ยวกับการจัดการ Dynamic Link Library (DLL) โดยมีการค้นพบครั้งแรกและแจ้งเตือนจาก Kaspersky

    ✅ วิธีการโจมตี:
    - ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ESET ถูกใช้ในการปลูกฝัง DLL ที่มีโค้ดอันตราย เพื่อให้โหลดแทนไฟล์ระบบที่ถูกต้องเมื่อเรียกใช้ ESET Command Line Scanner
    - การโจมตีแบบนี้ต้องการสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ ทำให้นักโจมตีสามารถเจาะระบบอย่างลึกซึ้งและติดตั้งมัลแวร์ เช่น TCESB ซึ่งเป็นมัลแวร์เฉพาะที่ใช้ในแคมเปญนี้

    ✅ กลุ่มเป้าหมาย:
    - กลุ่ม ToddyCat ได้ใช้ช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยเน้นเจาะอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ ESET เช่น ESET NOD32 Antivirus, ESET Internet Security, และผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร เช่น Endpoint Security

    ✅ การตอบสนอง:
    - ESET ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่นี้ในเดือนมกราคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อปิดช่องทางที่กลุ่ม ToddyCat ใช้ในการโจมตี

    💡 ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับแฮ็กเกอร์: เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการไม่อัปเดตซอฟต์แวร์สามารถทำให้อุปกรณ์ตกเป็นเป้าได้ง่าย

    💡 ตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ในระดับลึก: การตรวจสอบไฟล์ระบบ เช่น version.dll หรือการติดตามการติดตั้งไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.csoonline.com/article/3957108/chinese-toddycat-abuses-eset-antivirus-bug-for-malicious-activities.html
    กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนอย่าง ToddyCat ถูกเปิดโปงว่ากำลังใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ESET เพื่อฝังโค้ดอันตรายเข้าสู่ระบบที่ไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม ช่องโหว่นี้ระบุว่าเป็น CVE-2024-11859 ซึ่งเกี่ยวกับการจัดการ Dynamic Link Library (DLL) โดยมีการค้นพบครั้งแรกและแจ้งเตือนจาก Kaspersky ✅ วิธีการโจมตี: - ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ ESET ถูกใช้ในการปลูกฝัง DLL ที่มีโค้ดอันตราย เพื่อให้โหลดแทนไฟล์ระบบที่ถูกต้องเมื่อเรียกใช้ ESET Command Line Scanner - การโจมตีแบบนี้ต้องการสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ ทำให้นักโจมตีสามารถเจาะระบบอย่างลึกซึ้งและติดตั้งมัลแวร์ เช่น TCESB ซึ่งเป็นมัลแวร์เฉพาะที่ใช้ในแคมเปญนี้ ✅ กลุ่มเป้าหมาย: - กลุ่ม ToddyCat ได้ใช้ช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยเน้นเจาะอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ ESET เช่น ESET NOD32 Antivirus, ESET Internet Security, และผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กร เช่น Endpoint Security ✅ การตอบสนอง: - ESET ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่นี้ในเดือนมกราคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด เพื่อปิดช่องทางที่กลุ่ม ToddyCat ใช้ในการโจมตี 💡 ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับแฮ็กเกอร์: เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการไม่อัปเดตซอฟต์แวร์สามารถทำให้อุปกรณ์ตกเป็นเป้าได้ง่าย 💡 ตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ในระดับลึก: การตรวจสอบไฟล์ระบบ เช่น version.dll หรือการติดตามการติดตั้งไดรเวอร์ที่มีช่องโหว่เป็นสิ่งสำคัญ https://www.csoonline.com/article/3957108/chinese-toddycat-abuses-eset-antivirus-bug-for-malicious-activities.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Chinese ToddyCat abuses ESET antivirus bug for malicious activities
    The DLL search order hijacking vulnerability allows attackers to trick Windows into executing malicious DLLs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday สำหรับเดือนเมษายน 2025 โดยแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 134 รายการ รวมถึง Zero-Day ที่นักโจมตีไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในระบบ Windows เหตุการณ์นี้เตือนให้ผู้ใช้งานรีบติดตั้งอัปเดตเพื่อป้องกันภัยคุกคาม

    == สิ่งสำคัญในอัปเดตครั้งนี้ ==
    ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ที่ต้องรีบแก้ไข:
    - ช่องโหว่ Zero-Day ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-29824 และช่วยให้นักโจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์การใช้งานระบบ (System Privileges) บน Windows
    - แม้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีในสถานการณ์จริงอย่างไร แต่ความสำคัญของการติดตั้งอัปเดตนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ตกเป็นเป้าหมาย

    ✅ รายละเอียดของช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไข:
    - 49 Elevation of Privilege Vulnerabilities
    - 9 Security Feature Bypass Vulnerabilities
    - 31 Remote Code Execution Vulnerabilities
    - 17 Information Disclosure Vulnerabilities
    - 14 Denial of Service Vulnerabilities
    - 3 Spoofing Vulnerabilities

    ✅ คำแนะนำจาก Microsoft: ผู้ใช้ Windows ทุกคนควรรีบติดตั้งแพตช์ใหม่ทันทีที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้

    https://www.tomsguide.com/computing/online-security/microsoft-just-patched-134-windows-security-flaws-including-a-zero-day-used-by-hackers-update-your-pc-right-now
    Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday สำหรับเดือนเมษายน 2025 โดยแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยถึง 134 รายการ รวมถึง Zero-Day ที่นักโจมตีไซเบอร์ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในระบบ Windows เหตุการณ์นี้เตือนให้ผู้ใช้งานรีบติดตั้งอัปเดตเพื่อป้องกันภัยคุกคาม == สิ่งสำคัญในอัปเดตครั้งนี้ == ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ที่ต้องรีบแก้ไข: - ช่องโหว่ Zero-Day ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-29824 และช่วยให้นักโจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์การใช้งานระบบ (System Privileges) บน Windows - แม้ Microsoft ยังไม่ได้เปิดเผยว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีในสถานการณ์จริงอย่างไร แต่ความสำคัญของการติดตั้งอัปเดตนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ตกเป็นเป้าหมาย ✅ รายละเอียดของช่องโหว่ที่ได้รับการแก้ไข: - 49 Elevation of Privilege Vulnerabilities - 9 Security Feature Bypass Vulnerabilities - 31 Remote Code Execution Vulnerabilities - 17 Information Disclosure Vulnerabilities - 14 Denial of Service Vulnerabilities - 3 Spoofing Vulnerabilities ✅ คำแนะนำจาก Microsoft: ผู้ใช้ Windows ทุกคนควรรีบติดตั้งแพตช์ใหม่ทันทีที่พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่เหล่านี้ https://www.tomsguide.com/computing/online-security/microsoft-just-patched-134-windows-security-flaws-including-a-zero-day-used-by-hackers-update-your-pc-right-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เป็นภัยคุกคามระดับโลกและพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมกลุ่ม (DEI) ได้ถูกยกระดับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของทีมไซเบอร์ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดช่องว่างความสามารถด้านความปลอดภัย แต่ยังสร้างทีมงานที่สามารถป้องกันและตอบสนองภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    == ความสำคัญของ DEI ในความปลอดภัยไซเบอร์ ==
    ✅ การรวมความหลากหลายทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น:
    - ทีมงานที่มีความหลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยให้มีมุมมองที่แตกต่าง แต่ยังช่วยลดจุดบอดที่ทีมงานทั่วไปอาจมองไม่เห็น
    - เช่น ความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและพฤติกรรมช่วยให้เข้าใจวิธีการใช้เทคโนโลยีในแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการสร้างกลยุทธ์ป้องกัน

    ✅ สร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ถูกมองข้าม:
    - การให้ความสำคัญกับ DEI ช่วยเปิดทางให้บุคคลที่เคยขาดโอกาสได้เข้าสู่สายงานไซเบอร์ เช่น ผู้หญิงที่ยังเป็นเพียง 15% ในวงการนี้ และชาวแอฟริกันอเมริกันที่มีเพียง 8% ในสายงานเทคโนโลยี

    ✅ ช่วยลดปัญหาขาดแคลนบุคลากร:
    - ปัจจุบัน มีตำแหน่งงานด้านไซเบอร์กว่า 450,000 ตำแหน่ง ในสหรัฐฯ ที่ยังขาดแคลนบุคลากร และ DEI จะช่วยสร้างเส้นทางสู่การพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

    == โครงการและมาตรการที่ช่วยผลักดัน DEI ==
    #ShareTheMicInCyber (#STMIC):
    - แคมเปญที่ช่วยสร้างพื้นที่และยกระดับความสำคัญของผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์ที่เป็นคนผิวดำ พร้อมกับจัดตั้งทุนการศึกษาที่ช่วยสร้างโอกาสในสายงานนี้

    ✅ การสร้างแนวทางที่มีมิติทางสังคมและเทคโนโลยี:
    - DEI ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีที่แตกต่างตามวัฒนธรรม ช่วยเสริมสร้างระบบป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/3953961/why-dei-is-key-for-a-cyber-safe-future.html
    ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์เป็นภัยคุกคามระดับโลกและพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมกลุ่ม (DEI) ได้ถูกยกระดับเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งของทีมไซเบอร์ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดช่องว่างความสามารถด้านความปลอดภัย แต่ยังสร้างทีมงานที่สามารถป้องกันและตอบสนองภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ == ความสำคัญของ DEI ในความปลอดภัยไซเบอร์ == ✅ การรวมความหลากหลายทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น: - ทีมงานที่มีความหลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยให้มีมุมมองที่แตกต่าง แต่ยังช่วยลดจุดบอดที่ทีมงานทั่วไปอาจมองไม่เห็น - เช่น ความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและพฤติกรรมช่วยให้เข้าใจวิธีการใช้เทคโนโลยีในแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการสร้างกลยุทธ์ป้องกัน ✅ สร้างโอกาสให้กลุ่มคนที่ถูกมองข้าม: - การให้ความสำคัญกับ DEI ช่วยเปิดทางให้บุคคลที่เคยขาดโอกาสได้เข้าสู่สายงานไซเบอร์ เช่น ผู้หญิงที่ยังเป็นเพียง 15% ในวงการนี้ และชาวแอฟริกันอเมริกันที่มีเพียง 8% ในสายงานเทคโนโลยี ✅ ช่วยลดปัญหาขาดแคลนบุคลากร: - ปัจจุบัน มีตำแหน่งงานด้านไซเบอร์กว่า 450,000 ตำแหน่ง ในสหรัฐฯ ที่ยังขาดแคลนบุคลากร และ DEI จะช่วยสร้างเส้นทางสู่การพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ == โครงการและมาตรการที่ช่วยผลักดัน DEI == ✅ #ShareTheMicInCyber (#STMIC): - แคมเปญที่ช่วยสร้างพื้นที่และยกระดับความสำคัญของผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์ที่เป็นคนผิวดำ พร้อมกับจัดตั้งทุนการศึกษาที่ช่วยสร้างโอกาสในสายงานนี้ ✅ การสร้างแนวทางที่มีมิติทางสังคมและเทคโนโลยี: - DEI ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีที่แตกต่างตามวัฒนธรรม ช่วยเสริมสร้างระบบป้องกันความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น https://www.csoonline.com/article/3953961/why-dei-is-key-for-a-cyber-safe-future.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why DEI is key for a cyber safe future
    Diversity, equity, and inclusion (DEI) can be a cyber superpower — not just for reducing security skills gaps but for ensuring cybersecurity teams make defenses stronger and more adaptive.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ประกาศย้ำมาตรการใหม่เกี่ยวกับ Microsoft Teams โดยผู้ใช้งานจะไม่สามารถใช้งานแอปได้ หากไม่ได้อัปเดตเกิน 90 วัน หลังจากการปล่อยเวอร์ชันใหม่ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันปัญหาด้านการปฏิบัติงานในระบบ

    == เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมาตรการนี้ ==
    ✅ การรักษาความปลอดภัย:
    - Microsoft ระบุว่าการอัปเดต Teams เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของผู้ใช้งานปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐาน Modern Lifecycle Policy

    ✅ การปรับปรุงระบบโดยอัตโนมัติ:
    - โดยปกติ Teams จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติ เพื่อลดภาระการจัดการของผู้ใช้งาน

    == รูปแบบการแจ้งเตือนผู้ใช้งาน ==
    ✅ เมื่อแอปไม่ได้รับการอัปเดตเกิน 30–90 วัน (หรือ 60–90 วันในระบบ VDI) ผู้ใช้งานจะเห็นการแจ้งเตือนภายในแอป

    ✅ หากเกิน 90 วัน แอปจะถูกบล็อก และแสดงตัวเลือกให้ผู้ใช้งานอัปเดต ติดต่อแอดมิน หรือเปลี่ยนไปใช้ Teams บนเว็บแทน

    ✅ วันเริ่มต้นบล็อกการใช้งาน:
    - 11 เมษายน 2025: บนแอป Teams ใน Windows
    - 6 พฤษภาคม 2025: สำหรับการใช้งานใน Virtual Desktop Infrastructure (VDI)
    - 15 พฤษภาคม 2025: บนแอป Teams สำหรับ macOS

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-details-on-teams-block-if-app-is-not-updated-after-90-days/
    Microsoft ประกาศย้ำมาตรการใหม่เกี่ยวกับ Microsoft Teams โดยผู้ใช้งานจะไม่สามารถใช้งานแอปได้ หากไม่ได้อัปเดตเกิน 90 วัน หลังจากการปล่อยเวอร์ชันใหม่ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันปัญหาด้านการปฏิบัติงานในระบบ == เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมาตรการนี้ == ✅ การรักษาความปลอดภัย: - Microsoft ระบุว่าการอัปเดต Teams เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของผู้ใช้งานปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐาน Modern Lifecycle Policy ✅ การปรับปรุงระบบโดยอัตโนมัติ: - โดยปกติ Teams จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติ เพื่อลดภาระการจัดการของผู้ใช้งาน == รูปแบบการแจ้งเตือนผู้ใช้งาน == ✅ เมื่อแอปไม่ได้รับการอัปเดตเกิน 30–90 วัน (หรือ 60–90 วันในระบบ VDI) ผู้ใช้งานจะเห็นการแจ้งเตือนภายในแอป ✅ หากเกิน 90 วัน แอปจะถูกบล็อก และแสดงตัวเลือกให้ผู้ใช้งานอัปเดต ติดต่อแอดมิน หรือเปลี่ยนไปใช้ Teams บนเว็บแทน ✅ วันเริ่มต้นบล็อกการใช้งาน: - 11 เมษายน 2025: บนแอป Teams ใน Windows - 6 พฤษภาคม 2025: สำหรับการใช้งานใน Virtual Desktop Infrastructure (VDI) - 15 พฤษภาคม 2025: บนแอป Teams สำหรับ macOS https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-details-on-teams-block-if-app-is-not-updated-after-90-days/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares details on Teams block if app is not updated after 90 days
    Microsoft has confirmed that Teams will be warning users who are on an outdated app version and will eventually block it after 90 days.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในครอบครัวใครละทิ้งนี้ไปให้ทำมาหากินให้ตายชีวิตก็ไม่มีความสุข
    ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในครอบครัวใครละทิ้งนี้ไปให้ทำมาหากินให้ตายชีวิตก็ไม่มีความสุข
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts