• วิกฤตหน่วยความจำโลกดันราคา PC ปี 2026 พุ่งสูงสุด 8% — ผู้ผลิตบางรายถึงขั้นขายเครื่อง “ไม่มี RAM”

    รายงานล่าสุดจาก IDC ชี้ว่าอุตสาหกรรมพีซีกำลังเข้าสู่ช่วง “พายุราคา” ครั้งใหญ่ในปี 2026 เนื่องจากวิกฤตหน่วยความจำ NAND และ DRAM ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับราคาพีซีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2025 และมีแนวโน้มว่าราคาจะพุ่งสูงสุดถึง 8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนชิปหน่วยความจำที่ถูกดูดไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI อย่างมหาศาล

    บริษัทใหญ่ทั้ง Dell และ Lenovo ต่างประกาศขึ้นราคาพีซีสูงสุดถึง 15% ขณะที่ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้วิธีสุดขั้ว เช่น การขายพีซีแบบ “ไม่มี RAM” เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อแรมเอง เนื่องจากต้นทุนสูงจนไม่สามารถใส่มาในเครื่องได้โดยไม่ขาดทุน นอกจากนี้ Framework ยังหยุดขาย RAM แบบแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกว้านซื้อไปปั่นราคา ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดหน่วยความจำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากการที่ผู้ผลิตชิปเลือกทุ่มกำลังผลิตไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI รุ่นใหม่ ทำให้ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดลำดับความสำคัญลงอย่างหนัก แม้ผู้ผลิตจะสามารถสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังผลิตได้ แต่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด AI ที่อาจเกิดฟองสบู่ได้ทุกเมื่อ

    IDC เตือนว่าผู้บริโภคควรเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ RAM และ SSD ที่อาจขึ้นราคาอีกตลอดปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำว่าหากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็วกว่าเดิม แต่ถ้าระบบยังใช้งานได้ดี อาจรอให้ตลาดกลับมาสมดุล ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการด้าน AI จะชะลอตัวลงเมื่อใด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    IDC คาดราคา PC ปี 2026 เพิ่มขึ้น 4–8%
    เกิดจากวิกฤต DRAM และ NAND ทั่วโลก
    ตลาดพีซีอาจหดตัวสูงสุดถึง 8.9%

    ผู้ผลิตเริ่มขึ้นราคาหนัก
    Dell และ Lenovo ปรับขึ้นสูงสุด 15%
    บางรายขายพีซี “ไม่มี RAM” ให้ลูกค้าหามาใส่เอง

    HBM แย่งกำลังผลิตจาก DRAM/NAND
    ผู้ผลิตทุ่มกำลังผลิตให้ชิป AI เพราะกำไรสูงกว่า
    โรงงานใหม่ใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาหลายปี

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภค
    ถ้าจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็ว
    ถ้าระบบยังดี อาจรอจนตลาดนิ่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/idc-expects-average-pc-prices-to-jump-by-up-to-8-percent-in-2026-due-to-crushing-memory-shortages-some-vendors-already-selling-pre-builts-without-ram
    💥 วิกฤตหน่วยความจำโลกดันราคา PC ปี 2026 พุ่งสูงสุด 8% — ผู้ผลิตบางรายถึงขั้นขายเครื่อง “ไม่มี RAM” รายงานล่าสุดจาก IDC ชี้ว่าอุตสาหกรรมพีซีกำลังเข้าสู่ช่วง “พายุราคา” ครั้งใหญ่ในปี 2026 เนื่องจากวิกฤตหน่วยความจำ NAND และ DRAM ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับราคาพีซีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2025 และมีแนวโน้มว่าราคาจะพุ่งสูงสุดถึง 8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนชิปหน่วยความจำที่ถูกดูดไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI อย่างมหาศาล บริษัทใหญ่ทั้ง Dell และ Lenovo ต่างประกาศขึ้นราคาพีซีสูงสุดถึง 15% ขณะที่ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้วิธีสุดขั้ว เช่น การขายพีซีแบบ “ไม่มี RAM” เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อแรมเอง เนื่องจากต้นทุนสูงจนไม่สามารถใส่มาในเครื่องได้โดยไม่ขาดทุน นอกจากนี้ Framework ยังหยุดขาย RAM แบบแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกว้านซื้อไปปั่นราคา ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดหน่วยความจำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากการที่ผู้ผลิตชิปเลือกทุ่มกำลังผลิตไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI รุ่นใหม่ ทำให้ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดลำดับความสำคัญลงอย่างหนัก แม้ผู้ผลิตจะสามารถสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังผลิตได้ แต่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด AI ที่อาจเกิดฟองสบู่ได้ทุกเมื่อ IDC เตือนว่าผู้บริโภคควรเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ RAM และ SSD ที่อาจขึ้นราคาอีกตลอดปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำว่าหากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็วกว่าเดิม แต่ถ้าระบบยังใช้งานได้ดี อาจรอให้ตลาดกลับมาสมดุล ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการด้าน AI จะชะลอตัวลงเมื่อใด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ IDC คาดราคา PC ปี 2026 เพิ่มขึ้น 4–8% ➡️ เกิดจากวิกฤต DRAM และ NAND ทั่วโลก ➡️ ตลาดพีซีอาจหดตัวสูงสุดถึง 8.9% ✅ ผู้ผลิตเริ่มขึ้นราคาหนัก ➡️ Dell และ Lenovo ปรับขึ้นสูงสุด 15% ➡️ บางรายขายพีซี “ไม่มี RAM” ให้ลูกค้าหามาใส่เอง ✅ HBM แย่งกำลังผลิตจาก DRAM/NAND ➡️ ผู้ผลิตทุ่มกำลังผลิตให้ชิป AI เพราะกำไรสูงกว่า ➡️ โรงงานใหม่ใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาหลายปี ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภค ➡️ ถ้าจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็ว ➡️ ถ้าระบบยังดี อาจรอจนตลาดนิ่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/idc-expects-average-pc-prices-to-jump-by-up-to-8-percent-in-2026-due-to-crushing-memory-shortages-some-vendors-already-selling-pre-builts-without-ram
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • AltaVista: ตำนานเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิก UI สะอาด–เร็วแรง แต่พ่ายแพ้ต่อยุคเว็บพอร์ทัลและการเปลี่ยนมือหลายครั้ง

    สามทศวรรษก่อน AltaVista ถือเป็นหนึ่งในเสิร์ชเอนจินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยอินเทอร์เฟซที่สะอาด รวดเร็ว และระบบจัดทำดัชนีเว็บที่เหนือกว่าคู่แข่งในเวลานั้น เปิดตัวในปี 1995 พร้อมฐานข้อมูลเว็บกว่า 16 ล้านหน้า ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น AltaVista กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การค้นหาข้อมูลบนเว็บกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

    ความสำเร็จของ AltaVista ส่วนหนึ่งมาจากพลังประมวลผลของ DEC Alpha 8400 Turbolaser ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงสุดในยุคนั้น ทำให้สามารถรองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างเว็บครอว์เลอร์ “Scooter” และระบบจัดทำดัชนี “TurboVista” ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเสิร์ชเอนจินแบบไดเรกทอรีที่ครองตลาดในเวลานั้น เช่น Yahoo Directory หรือ Lycos

    อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Google เปิดตัว PageRank ในปี 1998 ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีคุณภาพสูงกว่า AltaVista อย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ AltaVista ถูกขายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ DEC → Compaq → CMGI → Overture → Yahoo! ทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์ขาดความเสถียร และถูกบังคับให้เปลี่ยนจากเสิร์ชเอนจินเรียบง่ายไปเป็น “เว็บพอร์ทัล” ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและฟีเจอร์เกินจำเป็น จนสูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไปในที่สุด

    แม้ AltaVista จะถูกปิดตัวในปี 2013 แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต ทั้งในฐานะผู้บุกเบิก UI แบบมินิมอลที่ Google นำไปต่อยอด และในฐานะบทเรียนสำคัญของการบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ต้องรักษาแก่นหลักของตัวเองให้มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AltaVista คือเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิกยุคแรกของอินเทอร์เน็ต
    เปิดตัวปี 1995 พร้อมฐานข้อมูล 16 ล้านหน้า
    UI สะอาด รวดเร็ว และเหนือกว่าเสิร์ชแบบไดเรกทอรีในยุคนั้น

    พลังของ DEC Alpha ทำให้ AltaVista เร็วกว่าใคร
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ DEC Alpha 8400 Turbolaser
    รองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวัน

    Google เปลี่ยนเกมด้วย PageRank
    อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์
    ผลลัพธ์แม่นยำกว่า ทำให้ผู้ใช้ย้ายไป Google อย่างรวดเร็ว

    การเปลี่ยนมือหลายครั้งทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์สั่นคลอน
    ถูกบังคับให้กลายเป็นเว็บพอร์ทัลที่สูญเสียเอกลักษณ์
    ปิดตัวในปี 2013 หลังถูก Yahoo! ซื้อกิจการ

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์บ่อยครั้งคือความเสี่ยงใหญ่
    ทำให้แบรนด์สูญเสียเอกลักษณ์และฐานผู้ใช้

    การไล่ตามคู่แข่งโดยไม่ยึดจุดแข็งของตัวเอง
    AltaVista พยายามเป็นเว็บพอร์ทัลเหมือน Yahoo จนลืมจุดเด่นด้านการค้นหา

    เทคโนโลยีใหม่สามารถล้มยักษ์ได้เสมอ
    PageRank ของ Google คือบทเรียนว่าความแม่นยำสำคัญกว่า “ความเร็วเพียงอย่างเดียว”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/search-pioneer-altavistas-star-shone-bright-with-a-clean-and-minimal-ui-30-years-ago-engine-lost-momentum-after-multiple-ownership-changes-and-the-embrace-of-the-web-portal-trend
    🔍 AltaVista: ตำนานเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิก UI สะอาด–เร็วแรง แต่พ่ายแพ้ต่อยุคเว็บพอร์ทัลและการเปลี่ยนมือหลายครั้ง สามทศวรรษก่อน AltaVista ถือเป็นหนึ่งในเสิร์ชเอนจินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยอินเทอร์เฟซที่สะอาด รวดเร็ว และระบบจัดทำดัชนีเว็บที่เหนือกว่าคู่แข่งในเวลานั้น เปิดตัวในปี 1995 พร้อมฐานข้อมูลเว็บกว่า 16 ล้านหน้า ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น AltaVista กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การค้นหาข้อมูลบนเว็บกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ความสำเร็จของ AltaVista ส่วนหนึ่งมาจากพลังประมวลผลของ DEC Alpha 8400 Turbolaser ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงสุดในยุคนั้น ทำให้สามารถรองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างเว็บครอว์เลอร์ “Scooter” และระบบจัดทำดัชนี “TurboVista” ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเสิร์ชเอนจินแบบไดเรกทอรีที่ครองตลาดในเวลานั้น เช่น Yahoo Directory หรือ Lycos อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Google เปิดตัว PageRank ในปี 1998 ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีคุณภาพสูงกว่า AltaVista อย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ AltaVista ถูกขายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ DEC → Compaq → CMGI → Overture → Yahoo! ทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์ขาดความเสถียร และถูกบังคับให้เปลี่ยนจากเสิร์ชเอนจินเรียบง่ายไปเป็น “เว็บพอร์ทัล” ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและฟีเจอร์เกินจำเป็น จนสูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไปในที่สุด แม้ AltaVista จะถูกปิดตัวในปี 2013 แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต ทั้งในฐานะผู้บุกเบิก UI แบบมินิมอลที่ Google นำไปต่อยอด และในฐานะบทเรียนสำคัญของการบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ต้องรักษาแก่นหลักของตัวเองให้มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AltaVista คือเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิกยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ➡️ เปิดตัวปี 1995 พร้อมฐานข้อมูล 16 ล้านหน้า ➡️ UI สะอาด รวดเร็ว และเหนือกว่าเสิร์ชแบบไดเรกทอรีในยุคนั้น ✅ พลังของ DEC Alpha ทำให้ AltaVista เร็วกว่าใคร ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ DEC Alpha 8400 Turbolaser ➡️ รองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวัน ✅ Google เปลี่ยนเกมด้วย PageRank ➡️ อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ➡️ ผลลัพธ์แม่นยำกว่า ทำให้ผู้ใช้ย้ายไป Google อย่างรวดเร็ว ✅ การเปลี่ยนมือหลายครั้งทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์สั่นคลอน ➡️ ถูกบังคับให้กลายเป็นเว็บพอร์ทัลที่สูญเสียเอกลักษณ์ ➡️ ปิดตัวในปี 2013 หลังถูก Yahoo! ซื้อกิจการ ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์บ่อยครั้งคือความเสี่ยงใหญ่ ⛔ ทำให้แบรนด์สูญเสียเอกลักษณ์และฐานผู้ใช้ ‼️ การไล่ตามคู่แข่งโดยไม่ยึดจุดแข็งของตัวเอง ⛔ AltaVista พยายามเป็นเว็บพอร์ทัลเหมือน Yahoo จนลืมจุดเด่นด้านการค้นหา ‼️ เทคโนโลยีใหม่สามารถล้มยักษ์ได้เสมอ ⛔ PageRank ของ Google คือบทเรียนว่าความแม่นยำสำคัญกว่า “ความเร็วเพียงอย่างเดียว” https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/search-pioneer-altavistas-star-shone-bright-with-a-clean-and-minimal-ui-30-years-ago-engine-lost-momentum-after-multiple-ownership-changes-and-the-embrace-of-the-web-portal-trend
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • TP‑Link Tapo C200: เมื่อกล้องวงจรปิดราคาถูกกลายเป็นประตูหลังสู่บ้านของผู้ใช้

    งานวิจัยล่าสุดของ Simone Margaritelli เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการในกล้อง TP‑Link Tapo C200 ซึ่งเป็นหนึ่งในกล้อง IP ราคาประหยัดที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก จุดเริ่มต้นของการค้นพบนี้มาจากการทดลอง “เล่นสนุกวันหยุด” ที่ตั้งใจใช้ AI ช่วยในการรีเวิร์สเอนจิเนียริง แต่กลับนำไปสู่การพบช่องโหว่ที่กระทบอุปกรณ์กว่า 25,000 ตัวที่เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง การค้นพบนี้สะท้อนความจริงที่น่ากังวลว่าอุปกรณ์ IoT ราคาถูกจำนวนมากยังคงมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแออย่างน่าตกใจ

    สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ TP‑Link เก็บ private SSL keys แบบ hardcoded ไว้ในเฟิร์มแวร์ ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับกล้องสามารถดักฟังและถอดรหัส HTTPS traffic ได้ทันทีโดยไม่ต้องยุ่งกับฮาร์ดแวร์เลย นอกจากนี้ การใช้ AI เช่น Grok, Claude Opus และ GhidraMCP ทำให้กระบวนการวิเคราะห์เฟิร์มแวร์เร็วขึ้นอย่างมหาศาล—ตั้งแต่การถอดรหัสเฟิร์มแวร์จาก S3 bucket ที่เปิดสาธารณะ ไปจนถึงการทำความเข้าใจโค้ด MIPS ที่ซับซ้อนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

    การวิเคราะห์นำไปสู่การค้นพบช่องโหว่ 4 รายการที่ร้ายแรง ทั้ง buffer overflow ใน ONVIF XML parser, integer overflow ใน HTTPS server, API ที่อนุญาตให้เปลี่ยน WiFi ของกล้องได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน และ API ที่เปิดเผยรายชื่อ WiFi รอบข้าง ซึ่งสามารถนำไปสู่การ ระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ ผ่านฐานข้อมูล BSSID ของ Apple นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความปลอดภัย แต่เป็นปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวระดับโครงสร้างที่ทำให้กล้องวงจรปิดกลายเป็นอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งโดยไม่ตั้งใจ

    ท้ายที่สุด Margaritelli เปิดเผยไทม์ไลน์การแจ้งเตือน TP‑Link ซึ่งล่าช้าเกินกว่า 150 วันก่อนจะมีการออกแพตช์ ทั้งที่บริษัทเป็น CVE Numbering Authority (CNA) ของตัวเอง และใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด นี่คือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่สะท้อนปัญหาของอุตสาหกรรม IoT: ผู้ผลิตควบคุมทั้งผลิตภัณฑ์ ช่องโหว่ และการรายงาน ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาความรับผิดชอบของบริษัทมากกว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่แท้จริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่ค้นพบจากการรีเวิร์สเฟิร์มแวร์
    พบ private SSL keys แบบ hardcoded ในเฟิร์มแวร์
    เฟิร์มแวร์ทั้งหมดของ TP‑Link อยู่ใน S3 bucket แบบเปิด
    AI ช่วยเร่งการวิเคราะห์โค้ด MIPS และ mapping API handlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ช่องโหว่สำคัญ (CVE)
    CVE‑2025‑8065 — ONVIF XML parser overflow ทำให้กล้อง crash
    CVE‑2025‑14299 — HTTPS Content‑Length integer overflow
    CVE‑2025‑14300 — API connectAp ไม่มี auth ทำให้เปลี่ยน WiFi ได้
    scanApList API เปิดเผยข้อมูล WiFi รอบข้างแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้โจมตีสามารถดักฟังวิดีโอได้ผ่าน private key ที่ฝังมาในเฟิร์มแวร์
    สามารถบังคับให้กล้องเชื่อมต่อ WiFi ของผู้โจมตี
    สามารถระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อผ่าน BSSID → Apple location API
    อุปกรณ์กว่า 25,000 ตัว เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง

    ปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ผลิต
    TP‑Link เป็น CNA ของตัวเอง ทำให้มีอำนาจควบคุมการรายงานช่องโหว่
    ใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด
    การตอบสนองล่าช้าเกินกว่า 150 วัน แม้ช่องโหว่จะร้ายแรง

    สิ่งที่ต้องระวัง
    กล้อง IoT ราคาถูกมักมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแอ
    การพึ่งพา API ที่ไม่มีการยืนยันตัวตนเป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    การเปิดเผย BSSID อาจนำไปสู่การระบุตำแหน่งบ้านได้
    ผู้ผลิตที่เป็น CNA ของตัวเองอาจมีแรงจูงใจลดการเปิดเผยช่องโหว่

    https://www.evilsocket.net/2025/12/18/TP-Link-Tapo-C200-Hardcoded-Keys-Buffer-Overflows-and-Privacy-in-the-Era-of-AI-Assisted-Reverse-Engineering/
    🔓 TP‑Link Tapo C200: เมื่อกล้องวงจรปิดราคาถูกกลายเป็นประตูหลังสู่บ้านของผู้ใช้ งานวิจัยล่าสุดของ Simone Margaritelli เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการในกล้อง TP‑Link Tapo C200 ซึ่งเป็นหนึ่งในกล้อง IP ราคาประหยัดที่ได้รับความนิยมสูงทั่วโลก จุดเริ่มต้นของการค้นพบนี้มาจากการทดลอง “เล่นสนุกวันหยุด” ที่ตั้งใจใช้ AI ช่วยในการรีเวิร์สเอนจิเนียริง แต่กลับนำไปสู่การพบช่องโหว่ที่กระทบอุปกรณ์กว่า 25,000 ตัวที่เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง การค้นพบนี้สะท้อนความจริงที่น่ากังวลว่าอุปกรณ์ IoT ราคาถูกจำนวนมากยังคงมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแออย่างน่าตกใจ สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ TP‑Link เก็บ private SSL keys แบบ hardcoded ไว้ในเฟิร์มแวร์ ซึ่งหมายความว่าใครก็ตามที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับกล้องสามารถดักฟังและถอดรหัส HTTPS traffic ได้ทันทีโดยไม่ต้องยุ่งกับฮาร์ดแวร์เลย นอกจากนี้ การใช้ AI เช่น Grok, Claude Opus และ GhidraMCP ทำให้กระบวนการวิเคราะห์เฟิร์มแวร์เร็วขึ้นอย่างมหาศาล—ตั้งแต่การถอดรหัสเฟิร์มแวร์จาก S3 bucket ที่เปิดสาธารณะ ไปจนถึงการทำความเข้าใจโค้ด MIPS ที่ซับซ้อนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การวิเคราะห์นำไปสู่การค้นพบช่องโหว่ 4 รายการที่ร้ายแรง ทั้ง buffer overflow ใน ONVIF XML parser, integer overflow ใน HTTPS server, API ที่อนุญาตให้เปลี่ยน WiFi ของกล้องได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน และ API ที่เปิดเผยรายชื่อ WiFi รอบข้าง ซึ่งสามารถนำไปสู่การ ระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อได้อย่างแม่นยำ ผ่านฐานข้อมูล BSSID ของ Apple นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความปลอดภัย แต่เป็นปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวระดับโครงสร้างที่ทำให้กล้องวงจรปิดกลายเป็นอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งโดยไม่ตั้งใจ ท้ายที่สุด Margaritelli เปิดเผยไทม์ไลน์การแจ้งเตือน TP‑Link ซึ่งล่าช้าเกินกว่า 150 วันก่อนจะมีการออกแพตช์ ทั้งที่บริษัทเป็น CVE Numbering Authority (CNA) ของตัวเอง และใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด นี่คือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่สะท้อนปัญหาของอุตสาหกรรม IoT: ผู้ผลิตควบคุมทั้งผลิตภัณฑ์ ช่องโหว่ และการรายงาน ทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาความรับผิดชอบของบริษัทมากกว่ามาตรฐานความปลอดภัยที่แท้จริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่ค้นพบจากการรีเวิร์สเฟิร์มแวร์ ➡️ พบ private SSL keys แบบ hardcoded ในเฟิร์มแวร์ ➡️ เฟิร์มแวร์ทั้งหมดของ TP‑Link อยู่ใน S3 bucket แบบเปิด ➡️ AI ช่วยเร่งการวิเคราะห์โค้ด MIPS และ mapping API handlers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ช่องโหว่สำคัญ (CVE) ➡️ CVE‑2025‑8065 — ONVIF XML parser overflow ทำให้กล้อง crash ➡️ CVE‑2025‑14299 — HTTPS Content‑Length integer overflow ➡️ CVE‑2025‑14300 — API connectAp ไม่มี auth ทำให้เปลี่ยน WiFi ได้ ➡️ scanApList API เปิดเผยข้อมูล WiFi รอบข้างแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้โจมตีสามารถดักฟังวิดีโอได้ผ่าน private key ที่ฝังมาในเฟิร์มแวร์ ➡️ สามารถบังคับให้กล้องเชื่อมต่อ WiFi ของผู้โจมตี ➡️ สามารถระบุตำแหน่งบ้านของเหยื่อผ่าน BSSID → Apple location API ➡️ อุปกรณ์กว่า 25,000 ตัว เปิดเผยบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง ✅ ปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้ผลิต ➡️ TP‑Link เป็น CNA ของตัวเอง ทำให้มีอำนาจควบคุมการรายงานช่องโหว่ ➡️ ใช้จำนวน CVE ต่ำเป็นเครื่องมือทางการตลาด ➡️ การตอบสนองล่าช้าเกินกว่า 150 วัน แม้ช่องโหว่จะร้ายแรง ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ กล้อง IoT ราคาถูกมักมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยที่อ่อนแอ ⛔ การพึ่งพา API ที่ไม่มีการยืนยันตัวตนเป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ การเปิดเผย BSSID อาจนำไปสู่การระบุตำแหน่งบ้านได้ ⛔ ผู้ผลิตที่เป็น CNA ของตัวเองอาจมีแรงจูงใจลดการเปิดเผยช่องโหว่ https://www.evilsocket.net/2025/12/18/TP-Link-Tapo-C200-Hardcoded-Keys-Buffer-Overflows-and-Privacy-in-the-Era-of-AI-Assisted-Reverse-Engineering/
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • QuantWare เปิดตัว VIO‑40K: โปรเซสเซอร์ควอนตัม 10,000 คิวบิตที่พลิกเกมอุตสาหกรรม

    QuantWare สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้งด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ VIO‑40K ซึ่งสามารถบรรจุคิวบิตได้ถึง 10,000 คิวบิตบนชิปเดียว มากกว่าชิปของ Google และ IBM ในปัจจุบันกว่า 100 เท่า ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจากระบบสายสัญญาณแบบ 2D ไปสู่ โครงสร้าง 3D พร้อมการเดินสายแบบแนวตั้ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการเชื่อมต่อที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการมานานหลายปี

    หัวใจของสถาปัตยกรรมนี้คือการใช้ chiplets—โมดูลชิปขนาดเล็กที่นำมาต่อกันเป็นระบบใหญ่—ทำให้ QuantWare สามารถสร้าง QPU ที่รองรับ 40,000 I/O lines ได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิปอย่างไร้ขีดจำกัด แนวทางนี้คล้ายกับการแก้ปัญหาความแออัดของเมือง: แทนที่จะขยายออกด้านข้าง ก็สร้างตึกสูงขึ้นแทน เป็นการพลิกวิธีคิดที่ช่วยให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถสเกลได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

    สิ่งที่ทำให้ QuantWare น่าสนใจยิ่งขึ้นคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในวงการ Google และ IBM ที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เองทั้งหมด QuantWare เลือกเดินเส้นทางแบบ “Intel ของวงการควอนตัม” โดยเน้นขายชิปให้ผู้ผลิตรายอื่น และผลักดันแนวคิด Quantum Open Architecture เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของตนเชื่อมต่อกับ ecosystem ที่มีอยู่แล้ว เช่น Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ระบบไฮบริดที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกสามารถส่งงานบางส่วนให้ QPU ทำได้อย่างไร้รอยต่อ

    แม้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: “ชิปที่ใหญ่ขึ้นคือชิปที่ดีกว่าหรือไม่?” ในขณะที่ Google และ IBM มุ่งเน้นการแก้ปัญหา error correction และ fault tolerance QuantWare เลือกใช้แนวทาง brute‑force scaling ซึ่งอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องพิสูจน์ความเสถียรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การประกาศว่าจะเริ่มขายชิปให้ลูกค้าในปี 2028 ทำให้วงการจับตามองว่า QuantWare จะสามารถรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับ Big Tech ที่มีทรัพยากรมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฮไลต์จากสถาปัตยกรรม VIO‑40K
    รองรับ 10,000 คิวบิต มากกว่า Google/IBM ประมาณ 100 เท่า
    ใช้ 3D vertical wiring แทน 2D เพื่อลดคอขวดด้านการเชื่อมต่อ
    ใช้ chiplets เพื่อสร้างระบบขนาดใหญ่แบบโมดูลาร์
    รองรับ 40,000 I/O lines ซึ่งเป็นระดับอุตสาหกรรม

    กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง
    ตั้งเป้าเป็น “Intel ของควอนตัม” โดยขายชิปแทนสร้างระบบเอง
    ผลักดัน Quantum Open Architecture เพื่อให้ ecosystem เปิดกว้าง
    ทำงานร่วมกับ Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ได้โดยตรง

    บริบทจากวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง
    Google และ IBM เน้น error correction มากกว่า brute‑force scaling
    การสเกลคิวบิตเป็นปัญหาใหญ่ของวงการมานาน
    การใช้ chiplets อาจเป็นแนวทางใหม่ของการสร้าง QPU ขนาดใหญ่

    ประเด็นที่ต้องจับตา
    จำนวนคิวบิตมากขึ้นไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพดีขึ้นเสมอไป
    ความเสถียรและ error rate ยังต้องพิสูจน์ในงานจริง
    Big Tech อาจไล่ทันหรือแซงได้ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า

    https://www.slashgear.com/2053448/quantware-quantum-computer-processor-10000-qubit/
    ⚛️ QuantWare เปิดตัว VIO‑40K: โปรเซสเซอร์ควอนตัม 10,000 คิวบิตที่พลิกเกมอุตสาหกรรม QuantWare สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้งด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ VIO‑40K ซึ่งสามารถบรรจุคิวบิตได้ถึง 10,000 คิวบิตบนชิปเดียว มากกว่าชิปของ Google และ IBM ในปัจจุบันกว่า 100 เท่า ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจากระบบสายสัญญาณแบบ 2D ไปสู่ โครงสร้าง 3D พร้อมการเดินสายแบบแนวตั้ง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านการเชื่อมต่อที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการมานานหลายปี หัวใจของสถาปัตยกรรมนี้คือการใช้ chiplets—โมดูลชิปขนาดเล็กที่นำมาต่อกันเป็นระบบใหญ่—ทำให้ QuantWare สามารถสร้าง QPU ที่รองรับ 40,000 I/O lines ได้โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดชิปอย่างไร้ขีดจำกัด แนวทางนี้คล้ายกับการแก้ปัญหาความแออัดของเมือง: แทนที่จะขยายออกด้านข้าง ก็สร้างตึกสูงขึ้นแทน เป็นการพลิกวิธีคิดที่ช่วยให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถสเกลได้จริงในระดับอุตสาหกรรม สิ่งที่ทำให้ QuantWare น่าสนใจยิ่งขึ้นคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในวงการ Google และ IBM ที่สร้างทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เองทั้งหมด QuantWare เลือกเดินเส้นทางแบบ “Intel ของวงการควอนตัม” โดยเน้นขายชิปให้ผู้ผลิตรายอื่น และผลักดันแนวคิด Quantum Open Architecture เพื่อให้ฮาร์ดแวร์ของตนเชื่อมต่อกับ ecosystem ที่มีอยู่แล้ว เช่น Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ซึ่งอาจเปิดประตูสู่ระบบไฮบริดที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกสามารถส่งงานบางส่วนให้ QPU ทำได้อย่างไร้รอยต่อ แม้จะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: “ชิปที่ใหญ่ขึ้นคือชิปที่ดีกว่าหรือไม่?” ในขณะที่ Google และ IBM มุ่งเน้นการแก้ปัญหา error correction และ fault tolerance QuantWare เลือกใช้แนวทาง brute‑force scaling ซึ่งอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ต้องพิสูจน์ความเสถียรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การประกาศว่าจะเริ่มขายชิปให้ลูกค้าในปี 2028 ทำให้วงการจับตามองว่า QuantWare จะสามารถรักษาความได้เปรียบนี้ไว้ได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับ Big Tech ที่มีทรัพยากรมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฮไลต์จากสถาปัตยกรรม VIO‑40K ➡️ รองรับ 10,000 คิวบิต มากกว่า Google/IBM ประมาณ 100 เท่า ➡️ ใช้ 3D vertical wiring แทน 2D เพื่อลดคอขวดด้านการเชื่อมต่อ ➡️ ใช้ chiplets เพื่อสร้างระบบขนาดใหญ่แบบโมดูลาร์ ➡️ รองรับ 40,000 I/O lines ซึ่งเป็นระดับอุตสาหกรรม ✅ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่าง ➡️ ตั้งเป้าเป็น “Intel ของควอนตัม” โดยขายชิปแทนสร้างระบบเอง ➡️ ผลักดัน Quantum Open Architecture เพื่อให้ ecosystem เปิดกว้าง ➡️ ทำงานร่วมกับ Nvidia NVQLink และ CUDA‑Q ได้โดยตรง ✅ บริบทจากวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ Google และ IBM เน้น error correction มากกว่า brute‑force scaling ➡️ การสเกลคิวบิตเป็นปัญหาใหญ่ของวงการมานาน ➡️ การใช้ chiplets อาจเป็นแนวทางใหม่ของการสร้าง QPU ขนาดใหญ่ ‼️ ประเด็นที่ต้องจับตา ⛔ จำนวนคิวบิตมากขึ้นไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพดีขึ้นเสมอไป ⛔ ความเสถียรและ error rate ยังต้องพิสูจน์ในงานจริง ⛔ Big Tech อาจไล่ทันหรือแซงได้ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า https://www.slashgear.com/2053448/quantware-quantum-computer-processor-10000-qubit/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Company Unveils New Quantum Processor 100x Denser Than Any Other - SlashGear
    There has been a break through in the quantum industry with a company unveiling a new processor that is 100x denser than any other.
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • Moore Threads เปิดตัว Lushan (Gaming) และ Huashan (AI) GPUs — อ้างแรงขึ้น 15× ในเกม และ 50× ใน Ray Tracing

    Moore Threads ผู้ผลิต GPU จากจีนเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่สองตระกูลคือ Lushan สำหรับเกมมิ่ง และ Huashan สำหรับงาน AI โดยบริษัทเคลมว่าประสิทธิภาพกระโดดขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทั้งในด้านเกมและงานเรนเดอร์แบบ Ray Tracing ต

    แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคจะมีเพียงหัวข่าว แต่ตัวเลขที่ประกาศนั้นโดดเด่นมาก:
    ประสิทธิภาพเกมเพิ่มขึ้นสูงสุด 15×
    Ray Tracing เร็วขึ้นสูงสุด 50×
    รองรับ DirectX 12 Ultimate
    เตรียมเปิดตัวปีหน้า

    ข่าวนี้ยังถูกวางคู่กับผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท เช่น Yangtze AI SoC ที่เน้นงาน AI PC ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทกำลังพยายามสร้าง ecosystem ครบชุด ตั้งแต่ GPU เกม ไปจนถึงชิป AI สำหรับโน้ตบุ๊กและมินิพีซี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Moore Threads เปิดตัว GPU สองตระกูลใหม่
    Lushan → เน้นเกมมิ่ง
    Huashan → เน้น AI

    ตัวเลขประสิทธิภาพที่ประกาศ
    เกมมิ่งแรงขึ้น 15×
    Ray Tracing แรงขึ้น 50×
    รองรับ DX12 Ultimate

    กำหนดการเปิดตัว
    วางจำหน่าย ปีหน้า (ตามข้อมูลในแท็บ)

    ข้อควรระวังในการตีความตัวเลข
    แม้ตัวเลขจะดู “ก้าวกระโดด” มาก แต่เป็นตัวเลขจากผู้ผลิตเอง และยังไม่มี benchmark อิสระมายืนยัน (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ GPU จีนรุ่นก่อนๆ เช่นกัน)

    https://wccftech.com/moore-threads-lushan-gaming-huashan-ai-gpus-15x-gaming-uplift-50x-rt-boost-dx12-ultimate-support/
    🟦⚡ Moore Threads เปิดตัว Lushan (Gaming) และ Huashan (AI) GPUs — อ้างแรงขึ้น 15× ในเกม และ 50× ใน Ray Tracing Moore Threads ผู้ผลิต GPU จากจีนเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่สองตระกูลคือ Lushan สำหรับเกมมิ่ง และ Huashan สำหรับงาน AI โดยบริษัทเคลมว่าประสิทธิภาพกระโดดขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทั้งในด้านเกมและงานเรนเดอร์แบบ Ray Tracing ต แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคจะมีเพียงหัวข่าว แต่ตัวเลขที่ประกาศนั้นโดดเด่นมาก: ✅ ประสิทธิภาพเกมเพิ่มขึ้นสูงสุด 15× ✅ Ray Tracing เร็วขึ้นสูงสุด 50× ✅ รองรับ DirectX 12 Ultimate ✅ เตรียมเปิดตัวปีหน้า ข่าวนี้ยังถูกวางคู่กับผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท เช่น Yangtze AI SoC ที่เน้นงาน AI PC ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทกำลังพยายามสร้าง ecosystem ครบชุด ตั้งแต่ GPU เกม ไปจนถึงชิป AI สำหรับโน้ตบุ๊กและมินิพีซี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Moore Threads เปิดตัว GPU สองตระกูลใหม่ Lushan → เน้นเกมมิ่ง Huashan → เน้น AI ✅ ตัวเลขประสิทธิภาพที่ประกาศ เกมมิ่งแรงขึ้น 15× Ray Tracing แรงขึ้น 50× รองรับ DX12 Ultimate ✅ กำหนดการเปิดตัว วางจำหน่าย ปีหน้า (ตามข้อมูลในแท็บ) ⚠️ ข้อควรระวังในการตีความตัวเลข แม้ตัวเลขจะดู “ก้าวกระโดด” มาก แต่เป็นตัวเลขจากผู้ผลิตเอง และยังไม่มี benchmark อิสระมายืนยัน (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ GPU จีนรุ่นก่อนๆ เช่นกัน) https://wccftech.com/moore-threads-lushan-gaming-huashan-ai-gpus-15x-gaming-uplift-50x-rt-boost-dx12-ultimate-support/
    WCCFTECH.COM
    Moore Threads Unveils The Lushan Gaming & Huashan AI GPUs: 15x Gaming Performance Uplift, 50x RT Boost, DX12 Ultimate Support, Launching Next Year
    Chinese chipmaker, Moore Threads, has unveiled its two brand new GPUs, Lushan for gaming & Huashan for AI, promising big performance boosts.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • CENI: จีนเปิดใช้งานเครือข่ายวิจัยระดับชาติ — โอนข้อมูล 72TB ข้ามระยะทาง 1,000 กม. ด้วยความเร็วใกล้ 100 Gbps

    จีนประกาศเปิดใช้งาน China Environment for Network Innovation (CENI) เครือข่ายวิจัยระดับชาติที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต รองรับงานด้าน AI, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และระบบที่ต้องการ deterministic networking จุดเด่นคือการทดสอบโอนข้อมูล 72TB จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังมณฑลหูเป่ย ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1.6 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น throughput ใกล้เคียง 100 Gbps.

    CENI ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ต้องการปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น FAST ที่ผลิตข้อมูลมากกว่า 100TB ต่อวัน ซึ่งเกินความสามารถของเครือข่ายสาธารณะทั่วไป เครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 40 เมือง, ใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงยาวกว่า 55,000 กิโลเมตร, และรองรับการสร้าง virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่ายพร้อมกัน ผ่านเทคโนโลยี DWDM 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณ.

    สิ่งที่ทำให้ CENI แตกต่างคือแนวคิด deterministic networking — การรับประกัน latency, jitter และ packet delivery แบบคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเทอร์เน็ตทั่วไปทำไม่ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญสำหรับงาน AI distributed training, real‑time robotics, และระบบควบคุมโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ นักวิจัยจีนยังเปรียบ CENI กับบทบาทของ ARPANET ในสหรัฐฯ ที่เคยเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตยุคแรก.

    แม้การทดสอบจะเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม แต่ขนาดของโครงการและความสามารถที่แสดงออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างเครือข่ายระดับประเทศที่รองรับงานข้อมูลยุค AI ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในอนาคตทั่วโลก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CENI คือเครือข่ายวิจัยระดับชาติของจีน
    ออกแบบเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต
    รองรับงาน AI และ data‑intensive workloads

    ทดสอบโอนข้อมูล 72TB ข้าม 1,000 กม. ใน 1.6 ชั่วโมง
    throughput ใกล้ 100 Gbps
    ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ FAST

    โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับประเทศ
    ครอบคลุม 40 เมือง
    ใยแก้วนำแสงกว่า 55,000 กม.
    รองรับ virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่าย

    รองรับ deterministic networking
    ควบคุม latency และ jitter ได้แม่นยำ
    เหมาะกับ AI, robotics, และ real‑time systems

    ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน
    ผลทดสอบเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม
    ประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างเมื่อใช้งานเต็มรูปแบบ

    deterministic networking ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมาก
    ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลต่อระบบทั้งเครือข่าย

    โครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ต้องใช้งบประมาณและการดูแลสูงมาก
    อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-switches-on-ceni-research-network-with-72tb-transfer-test-across-1000km
    🌐⚡ CENI: จีนเปิดใช้งานเครือข่ายวิจัยระดับชาติ — โอนข้อมูล 72TB ข้ามระยะทาง 1,000 กม. ด้วยความเร็วใกล้ 100 Gbps จีนประกาศเปิดใช้งาน China Environment for Network Innovation (CENI) เครือข่ายวิจัยระดับชาติที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต รองรับงานด้าน AI, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และระบบที่ต้องการ deterministic networking จุดเด่นคือการทดสอบโอนข้อมูล 72TB จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังมณฑลหูเป่ย ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1.6 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น throughput ใกล้เคียง 100 Gbps. CENI ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ต้องการปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น FAST ที่ผลิตข้อมูลมากกว่า 100TB ต่อวัน ซึ่งเกินความสามารถของเครือข่ายสาธารณะทั่วไป เครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 40 เมือง, ใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงยาวกว่า 55,000 กิโลเมตร, และรองรับการสร้าง virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่ายพร้อมกัน ผ่านเทคโนโลยี DWDM 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณ. สิ่งที่ทำให้ CENI แตกต่างคือแนวคิด deterministic networking — การรับประกัน latency, jitter และ packet delivery แบบคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเทอร์เน็ตทั่วไปทำไม่ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญสำหรับงาน AI distributed training, real‑time robotics, และระบบควบคุมโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ นักวิจัยจีนยังเปรียบ CENI กับบทบาทของ ARPANET ในสหรัฐฯ ที่เคยเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตยุคแรก. แม้การทดสอบจะเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม แต่ขนาดของโครงการและความสามารถที่แสดงออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างเครือข่ายระดับประเทศที่รองรับงานข้อมูลยุค AI ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในอนาคตทั่วโลก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CENI คือเครือข่ายวิจัยระดับชาติของจีน ➡️ ออกแบบเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต ➡️ รองรับงาน AI และ data‑intensive workloads ✅ ทดสอบโอนข้อมูล 72TB ข้าม 1,000 กม. ใน 1.6 ชั่วโมง ➡️ throughput ใกล้ 100 Gbps ➡️ ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ FAST ✅ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับประเทศ ➡️ ครอบคลุม 40 เมือง ➡️ ใยแก้วนำแสงกว่า 55,000 กม. ➡️ รองรับ virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่าย ✅ รองรับ deterministic networking ➡️ ควบคุม latency และ jitter ได้แม่นยำ ➡️ เหมาะกับ AI, robotics, และ real‑time systems ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน ‼️ ผลทดสอบเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม ⛔ ประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างเมื่อใช้งานเต็มรูปแบบ ‼️ deterministic networking ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมาก ⛔ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลต่อระบบทั้งเครือข่าย ‼️ โครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ต้องใช้งบประมาณและการดูแลสูงมาก ⛔ อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-switches-on-ceni-research-network-with-72tb-transfer-test-across-1000km
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • NitroGen: โมเดล AI เล่นเกมได้กว่า 1,000 เกม และอาจเป็นก้าวสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่

    งานวิจัย NitroGen จากทีมร่วมของ Nvidia, Stanford, Caltech และสถาบันอื่นๆ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการ AI และหุ่นยนต์ ด้วยการพัฒนาโมเดลที่สามารถเรียนรู้การเล่นเกมกว่า 1,000 เกมจากวิดีโอสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมง จุดเด่นคือ NitroGen ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เล่นเกมเก่ง” เพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นโมเดลที่เข้าใจการกระทำ (actions) ในโลกที่ซับซ้อน — แนวคิดที่คล้าย “GPT for actions” ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของ AI ที่มีร่างกาย (embodied AI) ในอนาคต.

    สิ่งที่น่าสนใจคือ NitroGen ถูกสร้างบนสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ซึ่งเดิมทีออกแบบมาสำหรับหุ่นยนต์โดยเฉพาะ การนำโมเดลนี้ไปฝึกในโลกเกมที่เต็มไปด้วยกฎ ฟิสิกส์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำกลับไปใช้ในโลกจริงได้ เช่น การควบคุมมอเตอร์ การตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คุ้นเคย และการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด.

    ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า NitroGen สามารถเล่นเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG, platformer, racing ไปจนถึง battle royale และยังทำงานได้ดีในเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% นี่เป็นสัญญาณว่าการเรียนรู้จาก “โลกจำลอง” อาจเป็นทางลัดสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานในโลกจริงได้อย่างยืดหยุ่น.

    ในมุมกว้างขึ้น นักวิจัยมองว่าโมเดลแบบ NitroGen จะช่วยลดต้นทุนการฝึกหุ่นยนต์ในโลกจริง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การใช้วิดีโอเกมเป็นสนามฝึกจึงเป็นทั้งทางเลือกที่ปลอดภัย เร็ว และมีความหลากหลายมากกว่าโลกจริงหลายเท่า นอกจากนี้ การเปิดซอร์สโค้ดและน้ำหนักโมเดลยังช่วยให้ชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกสามารถทดลอง ปรับแต่ง และสร้างนวัตกรรมต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    NitroGen คือโมเดล AI ที่ฝึกจากวิดีโอเกมกว่า 1,000 เกม
    ใช้ข้อมูลจากสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมงในการเรียนรู้การควบคุมเกม
    รองรับเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG ถึง battle royale

    พื้นฐานโมเดลมาจากสถาปัตยกรรม GROOT N1.5
    เดิมออกแบบเพื่อหุ่นยนต์ ทำให้โมเดลมีศักยภาพด้าน embodied AI

    ผลทดสอบแสดงให้เห็นความสามารถในการเล่นเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52%

    เปิดซอร์สเพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด
    ทั้งน้ำหนักโมเดล โค้ด และชุดข้อมูลพร้อมให้ทดลองใช้งาน

    คำเตือน / ประเด็นที่ควรจับตา
    การใช้วิดีโอเกมเป็นฐานฝึกอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมโลกจริงทั้งหมด
    ฟิสิกส์ในเกมอาจไม่ตรงกับโลกจริง ทำให้เกิดช่องว่างในการนำไปใช้กับหุ่นยนต์

    โมเดลที่เรียนรู้จากข้อมูลสาธารณะอาจมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์หรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะวิดีโอที่มีข้อมูลผู้เล่นหรือ UI เฉพาะเกม

    การพัฒนา embodied AI ที่มีความสามารถสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    หากระบบควบคุมไม่รัดกุม อาจเกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-led-nitrogen-is-a-generalist-video-gaming-ai-that-can-play-any-title-research-also-has-big-implications-for-robotics
    🎮 NitroGen: โมเดล AI เล่นเกมได้กว่า 1,000 เกม และอาจเป็นก้าวสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่ งานวิจัย NitroGen จากทีมร่วมของ Nvidia, Stanford, Caltech และสถาบันอื่นๆ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการ AI และหุ่นยนต์ ด้วยการพัฒนาโมเดลที่สามารถเรียนรู้การเล่นเกมกว่า 1,000 เกมจากวิดีโอสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมง จุดเด่นคือ NitroGen ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เล่นเกมเก่ง” เพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นโมเดลที่เข้าใจการกระทำ (actions) ในโลกที่ซับซ้อน — แนวคิดที่คล้าย “GPT for actions” ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของ AI ที่มีร่างกาย (embodied AI) ในอนาคต. สิ่งที่น่าสนใจคือ NitroGen ถูกสร้างบนสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ซึ่งเดิมทีออกแบบมาสำหรับหุ่นยนต์โดยเฉพาะ การนำโมเดลนี้ไปฝึกในโลกเกมที่เต็มไปด้วยกฎ ฟิสิกส์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำกลับไปใช้ในโลกจริงได้ เช่น การควบคุมมอเตอร์ การตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คุ้นเคย และการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด. ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า NitroGen สามารถเล่นเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG, platformer, racing ไปจนถึง battle royale และยังทำงานได้ดีในเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% นี่เป็นสัญญาณว่าการเรียนรู้จาก “โลกจำลอง” อาจเป็นทางลัดสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานในโลกจริงได้อย่างยืดหยุ่น. ในมุมกว้างขึ้น นักวิจัยมองว่าโมเดลแบบ NitroGen จะช่วยลดต้นทุนการฝึกหุ่นยนต์ในโลกจริง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การใช้วิดีโอเกมเป็นสนามฝึกจึงเป็นทั้งทางเลือกที่ปลอดภัย เร็ว และมีความหลากหลายมากกว่าโลกจริงหลายเท่า นอกจากนี้ การเปิดซอร์สโค้ดและน้ำหนักโมเดลยังช่วยให้ชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกสามารถทดลอง ปรับแต่ง และสร้างนวัตกรรมต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ NitroGen คือโมเดล AI ที่ฝึกจากวิดีโอเกมกว่า 1,000 เกม ➡️ ใช้ข้อมูลจากสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมงในการเรียนรู้การควบคุมเกม ➡️ รองรับเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG ถึง battle royale ✅ พื้นฐานโมเดลมาจากสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ➡️ เดิมออกแบบเพื่อหุ่นยนต์ ทำให้โมเดลมีศักยภาพด้าน embodied AI ✅ ผลทดสอบแสดงให้เห็นความสามารถในการเล่นเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ➡️ มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% ✅ เปิดซอร์สเพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด ➡️ ทั้งน้ำหนักโมเดล โค้ด และชุดข้อมูลพร้อมให้ทดลองใช้งาน ⚠️ คำเตือน / ประเด็นที่ควรจับตา ‼️ การใช้วิดีโอเกมเป็นฐานฝึกอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมโลกจริงทั้งหมด ⛔ ฟิสิกส์ในเกมอาจไม่ตรงกับโลกจริง ทำให้เกิดช่องว่างในการนำไปใช้กับหุ่นยนต์ ‼️ โมเดลที่เรียนรู้จากข้อมูลสาธารณะอาจมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์หรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะวิดีโอที่มีข้อมูลผู้เล่นหรือ UI เฉพาะเกม ‼️ การพัฒนา embodied AI ที่มีความสามารถสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ หากระบบควบคุมไม่รัดกุม อาจเกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-led-nitrogen-is-a-generalist-video-gaming-ai-that-can-play-any-title-research-also-has-big-implications-for-robotics
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • เหรียญจตุคามรามเทพหลังหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
    เหรียญจตุคามรามเทพหลังหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ (หลังตอกโค็ด) วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง จ.ยะลา จัดสร้าง ปี2550 //พระดีพิธีใหญ๋ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ // รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ พ่อคุ้มครอง พ่อให้รวย ปลอดภัย สำเร็จ บูชาไว้ใช้เสริมดวงคุ้มครองดวงชะตา โชคลาภ วาสนา เงินทองไหลมาเทมา เมตตามหานิยม ในด้านค้าขาย หนุนดวงเสริมพลัง เสริมความมั่งคั่ง เสริมความร่ำรวย แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี **

    ** วัดพุทธภูมิ เดิมชื่อ วัดนิบง ได้ไปนิมนต์พระดำ จนทสโร จากวัดเวฬุวัน เริ่มแรกได้สร้างศาลาพักพระขึ้น 1 หลัง ภายหลังนายยับพัด กองชิน ได้ขายที่ดินให้ขุนขจรโจรแสยง (หลวงอนุกูลประชากิจ) เพื่อสร้างวัดเมื่อ พ.ศ. 2471 แล้วได้นิมนต์พระดำมาจำพรรษา ใช้ชื่อว่า สำนักพุทธภูมิ ต่อมาได้มีผู้ซื้อที่ดินถวายเพื่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก จนตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2475 ในนาม "วัดพุทธภูมิ" **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญจตุคามรามเทพหลังหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ เหรียญจตุคามรามเทพหลังหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ (หลังตอกโค็ด) วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง จ.ยะลา จัดสร้าง ปี2550 //พระดีพิธีใหญ๋ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ // รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ พ่อคุ้มครอง พ่อให้รวย ปลอดภัย สำเร็จ บูชาไว้ใช้เสริมดวงคุ้มครองดวงชะตา โชคลาภ วาสนา เงินทองไหลมาเทมา เมตตามหานิยม ในด้านค้าขาย หนุนดวงเสริมพลัง เสริมความมั่งคั่ง เสริมความร่ำรวย แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ** ** วัดพุทธภูมิ เดิมชื่อ วัดนิบง ได้ไปนิมนต์พระดำ จนทสโร จากวัดเวฬุวัน เริ่มแรกได้สร้างศาลาพักพระขึ้น 1 หลัง ภายหลังนายยับพัด กองชิน ได้ขายที่ดินให้ขุนขจรโจรแสยง (หลวงอนุกูลประชากิจ) เพื่อสร้างวัดเมื่อ พ.ศ. 2471 แล้วได้นิมนต์พระดำมาจำพรรษา ใช้ชื่อว่า สำนักพุทธภูมิ ต่อมาได้มีผู้ซื้อที่ดินถวายเพื่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก จนตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2475 ในนาม "วัดพุทธภูมิ" ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • YouTube และ Google ล่มพร้อมกัน

    ตั้งแต่เช้าวันศุกร์ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรรายงานว่าไม่สามารถใช้งาน YouTube, YouTube TV และ Google Search ได้ตามปกติ โดยเฉพาะ YouTube ที่มีรายงานปัญหามากกว่า 10,000 เคสในช่วงชั่วโมงเดียว ทำให้เป็นบริการที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

    สัญญาณจาก Downdetector และ Cloudflare
    ข้อมูลจาก Downdetector แสดงให้เห็นการพุ่งสูงของการแจ้งปัญหาในหลายบริการพร้อมกัน ทั้ง YouTube, Google TV, Google Search รวมถึงแอปอื่น ๆ เช่น The Weather Channel และ Target ขณะเดียวกัน Cloudflare รายงานว่ามีปัญหาเครือข่ายเล็กน้อยในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ได้แก้ไขไปแล้ว ทำให้ยังไม่แน่ชัดว่าปัญหามาจาก Google โดยตรงหรือจากโครงสร้างพื้นฐานภายนอก

    การตอบสนองและสถานการณ์ล่าสุด
    Google ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่มีการอัปเดตว่าเพิ่งปล่อย Core Algorithm Update เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบ อย่างไรก็ตาม สถานะบริการของ Google ยังคงแสดงว่า “ปกติ” ทำให้ผู้ใช้บางส่วนยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ขณะที่บางพื้นที่ยังคงพบปัญหา

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    การล่มครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อการใช้งานทั่วไป แต่ยังส่งผลต่อผู้ที่พึ่งพา YouTube TV ในการรับชมรายการสด และผู้ใช้ Google Search ในการทำงานหรือค้นหาข้อมูล ปัญหาลักษณะนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของบริการออนไลน์ที่มีผู้ใช้จำนวนมหาศาลทั่วโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ
    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    YouTube มีรายงานปัญหามากกว่า 10,000 เคส
    Google Search และ YouTube TV มีรายงานหลายร้อยเคส

    ข้อมูลจาก Downdetector และ Cloudflare
    หลายบริการมีการแจ้งปัญหาพร้อมกัน
    Cloudflare เคยมีปัญหาเครือข่าย แต่แก้ไขแล้ว

    สถานการณ์ล่าสุด
    Google ปล่อย Core Algorithm Update เมื่อ 11 ธันวาคม
    สถานะบริการยังคงแสดง “ปกติ”

    คำเตือนและผลกระทบ
    ผู้ใช้บางพื้นที่ยังไม่สามารถใช้งานได้
    กระทบต่อการทำงานและการรับชมรายการสด
    สะท้อนความเปราะบางของบริการออนไลน์ระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/news/live/ongoing-youtube-google-outage-reported-outage-spikes-across-popular-services
    📺 YouTube และ Google ล่มพร้อมกัน ตั้งแต่เช้าวันศุกร์ ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรรายงานว่าไม่สามารถใช้งาน YouTube, YouTube TV และ Google Search ได้ตามปกติ โดยเฉพาะ YouTube ที่มีรายงานปัญหามากกว่า 10,000 เคสในช่วงชั่วโมงเดียว ทำให้เป็นบริการที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด 🌐 สัญญาณจาก Downdetector และ Cloudflare ข้อมูลจาก Downdetector แสดงให้เห็นการพุ่งสูงของการแจ้งปัญหาในหลายบริการพร้อมกัน ทั้ง YouTube, Google TV, Google Search รวมถึงแอปอื่น ๆ เช่น The Weather Channel และ Target ขณะเดียวกัน Cloudflare รายงานว่ามีปัญหาเครือข่ายเล็กน้อยในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ได้แก้ไขไปแล้ว ทำให้ยังไม่แน่ชัดว่าปัญหามาจาก Google โดยตรงหรือจากโครงสร้างพื้นฐานภายนอก 🛠️ การตอบสนองและสถานการณ์ล่าสุด Google ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่มีการอัปเดตว่าเพิ่งปล่อย Core Algorithm Update เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบ อย่างไรก็ตาม สถานะบริการของ Google ยังคงแสดงว่า “ปกติ” ทำให้ผู้ใช้บางส่วนยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ขณะที่บางพื้นที่ยังคงพบปัญหา ⚠️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ การล่มครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อการใช้งานทั่วไป แต่ยังส่งผลต่อผู้ที่พึ่งพา YouTube TV ในการรับชมรายการสด และผู้ใช้ Google Search ในการทำงานหรือค้นหาข้อมูล ปัญหาลักษณะนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของบริการออนไลน์ที่มีผู้ใช้จำนวนมหาศาลทั่วโลก 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ YouTube มีรายงานปัญหามากกว่า 10,000 เคส ➡️ Google Search และ YouTube TV มีรายงานหลายร้อยเคส ✅ ข้อมูลจาก Downdetector และ Cloudflare ➡️ หลายบริการมีการแจ้งปัญหาพร้อมกัน ➡️ Cloudflare เคยมีปัญหาเครือข่าย แต่แก้ไขแล้ว ✅ สถานการณ์ล่าสุด ➡️ Google ปล่อย Core Algorithm Update เมื่อ 11 ธันวาคม ➡️ สถานะบริการยังคงแสดง “ปกติ” ‼️ คำเตือนและผลกระทบ ⛔ ผู้ใช้บางพื้นที่ยังไม่สามารถใช้งานได้ ⛔ กระทบต่อการทำงานและการรับชมรายการสด ⛔ สะท้อนความเปราะบางของบริการออนไลน์ระดับโลก https://www.tomshardware.com/news/live/ongoing-youtube-google-outage-reported-outage-spikes-across-popular-services
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูล Stargate ได้ไฟเขียว

    โครงการ Stargate ของ OpenAI และ Oracle ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากเมืองดีทรอยต์ราว 40 ไมล์ ได้รับอนุมัติให้ใช้พลังงานมหาศาลถึง 1.4GW เพื่อรองรับเป้าหมายการสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีความจุรวมกว่า 5GW ถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

    ขั้นตอนอนุมัติที่ถูกวิจารณ์
    DTE Energy ยื่นคำร้องแบบ ex parte motion ทำให้การอนุมัติผ่านไปโดยไม่ต้องมีการไต่สวนหรือเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น คณะกรรมการ MPSC ลงมติเป็นเอกฉันท์ 3-0 เพื่ออนุมัติสัญญา ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากรู้สึกว่าถูก “ตัดสิทธิ์” ในการมีส่วนร่วม

    ความกังวลของชุมชน
    ชาวบ้านและนักการเมืองบางส่วนกังวลว่าโครงการนี้จะทำให้ ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอาจกระทบต่อ คุณภาพน้ำในพื้นที่ แม้กฎหมายรัฐมิชิแกนปี 2024 จะกำหนดว่าศูนย์ข้อมูลไม่สามารถผลักภาระค่าไฟไปยังประชาชนเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หลายคนยังไม่มั่นใจในมาตรการป้องกัน

    กลไกป้องกันของสัญญา
    สัญญาระหว่าง DTE และ Green Chile Ventures (บริษัทย่อยของ Oracle) กำหนดให้ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟฟ้าอย่างน้อย 80% ของกำลังที่สัญญาไว้ แม้จะไม่ได้ใช้งานจริง เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าใช้จ่ายตกไปที่ผู้บริโภคทั่วไป อีกทั้งสัญญามีอายุยาวถึง 19 ปี ทำให้ DTE สามารถคืนทุนได้โดยไม่ต้องผลักภาระไปยังชุมชน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การอนุมัติจาก MPSC
    อนุมัติให้ DTE จ่ายไฟ 1.4GW ให้ศูนย์ข้อมูล Stargate
    ใช้กระบวนการ ex parte motion โดยไม่เปิดให้คัดค้าน

    รายละเอียดโครงการ
    Stargate มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW
    ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากดีทรอยต์ 40 ไมล์

    ความกังวลของชุมชน
    เสี่ยงค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
    อาจกระทบคุณภาพน้ำในพื้นที่

    กลไกป้องกันในสัญญา
    ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟขั้นต่ำ 80% ของสัญญา
    สัญญามีอายุ 19 ปี ป้องกันไม่ให้ภาระตกที่ประชาชน

    คำเตือนและข้อวิจารณ์
    การอนุมัติแบบไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างความไม่ไว้วางใจ
    ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายยังคงเป็นข้อกังวล

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openais-stargate-data-center-gets-approval-to-receive-1-4-gigawatts-of-power-in-michigan-some-residents-furious-as-energy-company-is-given-go-ahead-by-regulatory-body-without-hearing-opposition
    ⚡ ศูนย์ข้อมูล Stargate ได้ไฟเขียว โครงการ Stargate ของ OpenAI และ Oracle ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากเมืองดีทรอยต์ราว 40 ไมล์ ได้รับอนุมัติให้ใช้พลังงานมหาศาลถึง 1.4GW เพื่อรองรับเป้าหมายการสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีความจุรวมกว่า 5GW ถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ 🏛️ ขั้นตอนอนุมัติที่ถูกวิจารณ์ DTE Energy ยื่นคำร้องแบบ ex parte motion ทำให้การอนุมัติผ่านไปโดยไม่ต้องมีการไต่สวนหรือเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น คณะกรรมการ MPSC ลงมติเป็นเอกฉันท์ 3-0 เพื่ออนุมัติสัญญา ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากรู้สึกว่าถูก “ตัดสิทธิ์” ในการมีส่วนร่วม 🌍 ความกังวลของชุมชน ชาวบ้านและนักการเมืองบางส่วนกังวลว่าโครงการนี้จะทำให้ ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอาจกระทบต่อ คุณภาพน้ำในพื้นที่ แม้กฎหมายรัฐมิชิแกนปี 2024 จะกำหนดว่าศูนย์ข้อมูลไม่สามารถผลักภาระค่าไฟไปยังประชาชนเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หลายคนยังไม่มั่นใจในมาตรการป้องกัน 🛡️ กลไกป้องกันของสัญญา สัญญาระหว่าง DTE และ Green Chile Ventures (บริษัทย่อยของ Oracle) กำหนดให้ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟฟ้าอย่างน้อย 80% ของกำลังที่สัญญาไว้ แม้จะไม่ได้ใช้งานจริง เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าใช้จ่ายตกไปที่ผู้บริโภคทั่วไป อีกทั้งสัญญามีอายุยาวถึง 19 ปี ทำให้ DTE สามารถคืนทุนได้โดยไม่ต้องผลักภาระไปยังชุมชน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การอนุมัติจาก MPSC ➡️ อนุมัติให้ DTE จ่ายไฟ 1.4GW ให้ศูนย์ข้อมูล Stargate ➡️ ใช้กระบวนการ ex parte motion โดยไม่เปิดให้คัดค้าน ✅ รายละเอียดโครงการ ➡️ Stargate มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW ➡️ ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากดีทรอยต์ 40 ไมล์ ✅ ความกังวลของชุมชน ➡️ เสี่ยงค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ➡️ อาจกระทบคุณภาพน้ำในพื้นที่ ✅ กลไกป้องกันในสัญญา ➡️ ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟขั้นต่ำ 80% ของสัญญา ➡️ สัญญามีอายุ 19 ปี ป้องกันไม่ให้ภาระตกที่ประชาชน ‼️ คำเตือนและข้อวิจารณ์ ⛔ การอนุมัติแบบไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างความไม่ไว้วางใจ ⛔ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายยังคงเป็นข้อกังวล https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openais-stargate-data-center-gets-approval-to-receive-1-4-gigawatts-of-power-in-michigan-some-residents-furious-as-energy-company-is-given-go-ahead-by-regulatory-body-without-hearing-opposition
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • หน่วยความจำ DDR5 รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรองจาก Intel

    SK hynix ประกาศว่าโมดูล DDR5 RDIMM ขนาด 256GB ที่ใช้ชิปหน่วยความจำ 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b (5th Gen 10nm-class) ได้รับการรับรองจาก Intel Data Center Certified เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม จุดเด่นคือการรวมความจุสูงเข้ากับการใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพสูง ซึ่งเหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ AI และระบบ hyperscale cloud ที่ต้องการทั้งความเร็วและความคุ้มค่า

    ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
    โมดูล DDR5 รุ่นใหม่นี้สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 18% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ 256GB รุ่นก่อนหน้า โดยเฉลี่ยแล้วจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6 แบบ single-CPU ซึ่งหากนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลที่มีเครื่องนับหมื่นเครื่อง จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูลและ AI workloads
    AI servers ใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาลทั้ง HBM และ DDR5 SDRAM การลดพลังงานในระดับโมดูลจึงมีผลกระทบมหาศาลต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะ hyperscale data centers ที่ต้องการทั้ง throughput สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ การรับรองจาก Intel ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการคลาวด์และองค์กรที่ต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    แม้จะมีการประหยัดพลังงานที่ชัดเจน แต่การใช้โมดูลความจุสูงเช่นนี้ยังมีต้นทุนที่สูง และอาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ได้ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้ DDR5 รุ่นใหม่ยังต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การรับรองจาก Intel
    SK hynix 256GB DDR5 RDIMM ผ่าน Intel Data Center Certified
    ใช้ชิป 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b

    ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานได้ 18% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
    ประหยัดได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6

    ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูล
    ลดค่าใช้จ่ายมหาศาลใน hyperscale data centers
    เหมาะกับ AI workloads ที่ต้องการ throughput สูง

    ข้อควรระวัง
    ราคาสูง อาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่
    ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-certified-256-gb-ddr5-stick-could-cut-xeon-memory-power-by-18-percent-saving-millions-of-dollars-a-32w-per-socket-reduction-could-save-millions-per-hyperscale-data-center
    🖥️ หน่วยความจำ DDR5 รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรองจาก Intel SK hynix ประกาศว่าโมดูล DDR5 RDIMM ขนาด 256GB ที่ใช้ชิปหน่วยความจำ 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b (5th Gen 10nm-class) ได้รับการรับรองจาก Intel Data Center Certified เป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม จุดเด่นคือการรวมความจุสูงเข้ากับการใช้พลังงานต่ำและประสิทธิภาพสูง ซึ่งเหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ AI และระบบ hyperscale cloud ที่ต้องการทั้งความเร็วและความคุ้มค่า ⚡ ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน โมดูล DDR5 รุ่นใหม่นี้สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 18% เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ 256GB รุ่นก่อนหน้า โดยเฉลี่ยแล้วจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6 แบบ single-CPU ซึ่งหากนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลที่มีเครื่องนับหมื่นเครื่อง จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี 🌐 ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูลและ AI workloads AI servers ใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาลทั้ง HBM และ DDR5 SDRAM การลดพลังงานในระดับโมดูลจึงมีผลกระทบมหาศาลต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะ hyperscale data centers ที่ต้องการทั้ง throughput สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ การรับรองจาก Intel ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการคลาวด์และองค์กรที่ต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ⚠️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด แม้จะมีการประหยัดพลังงานที่ชัดเจน แต่การใช้โมดูลความจุสูงเช่นนี้ยังมีต้นทุนที่สูง และอาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ได้ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปใช้ DDR5 รุ่นใหม่ยังต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การรับรองจาก Intel ➡️ SK hynix 256GB DDR5 RDIMM ผ่าน Intel Data Center Certified ➡️ ใช้ชิป 32Gb บนกระบวนการผลิต 1b ✅ ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานได้ 18% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ➡️ ประหยัดได้ 32.4W ต่อเครื่อง Xeon 6 ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูล ➡️ ลดค่าใช้จ่ายมหาศาลใน hyperscale data centers ➡️ เหมาะกับ AI workloads ที่ต้องการ throughput สูง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาสูง อาจไม่เหมาะกับ workload ที่ไม่ต้องการหน่วยความจำขนาดใหญ่ ⛔ ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้กับแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/intel-certified-256-gb-ddr5-stick-could-cut-xeon-memory-power-by-18-percent-saving-millions-of-dollars-a-32w-per-socket-reduction-could-save-millions-per-hyperscale-data-center
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • การตัดสินคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี

    ศาลกลางเมืองเซินเจิ้นได้ตัดสินลงโทษผู้ต้องหาทั้งหมด 27 คนในคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี โดยผู้ต้องหาหลัก หวัง อู่ปิน (Wang Wubin) ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี และปรับเป็นเงิน 1 ล้านหยวน ขณะที่ผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 4 เดือนถึง 5 ปี พร้อมค่าปรับตามระดับการมีส่วนร่วมและปริมาณที่ลักลอบส่งออก

    ความสำคัญของแอนติโมนี
    แอนติโมนีถือเป็น แร่เชิงกลยุทธ์ ที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ชิปอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และการใช้งานด้านกลาโหม โดยเฉพาะการผสมกับซิลิคอนเพื่อผลิตไดโอดและทรานซิสเตอร์ หรือการผสมกับอินเดียมและแกลเลียมเพื่อสร้างเซ็นเซอร์อินฟราเรดและเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้การควบคุมการส่งออกมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    บริบททางการค้าและการเมือง
    จีนเพิ่งมีการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ และยกเลิกการห้ามส่งออกแร่บางชนิด เช่น แกลเลียม, เจอร์เมเนียม และแอนติโมนี แต่ยังคงต้องมีใบอนุญาตการส่งออกอย่างเข้มงวด การลักลอบครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบบควบคุมของรัฐ และเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าที่ฮ่องกงและเส้นทางผ่านไทยและเม็กซิโก

    ผลกระทบและคำเตือน
    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้าน ห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์ ที่อาจถูกลักลอบเพื่อเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า หากไม่มีการควบคุมเข้มงวด อาจกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงระดับโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การตัดสินคดีในจีน
    ผู้ต้องหาหลักถูกจำคุก 12 ปี และปรับ 1 ล้านหยวน
    ผู้ต้องหาอีก 26 คนถูกลงโทษจำคุก 4 เดือนถึง 5 ปี

    ความสำคัญของแอนติโมนี
    ใช้ในเซมิคอนดักเตอร์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และกลาโหม
    เป็นแร่เชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    บริบททางการค้าโลก
    จีนยกเลิกการห้ามส่งออกบางแร่ แต่ยังต้องมีใบอนุญาต
    มีการลักลอบผ่านฮ่องกง ไทย และเม็กซิโก

    คำเตือนและผลกระทบ
    การลักลอบส่งออกบั่นทอนระบบควบคุมของรัฐ
    เสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์
    อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-convicts-27-people-for-smuggling-antimony-166-tons-of-mineral-used-for-semiconductor-manufacturing-exported-without-licenses-court-decides
    ⚖️ การตัดสินคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี ศาลกลางเมืองเซินเจิ้นได้ตัดสินลงโทษผู้ต้องหาทั้งหมด 27 คนในคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี โดยผู้ต้องหาหลัก หวัง อู่ปิน (Wang Wubin) ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี และปรับเป็นเงิน 1 ล้านหยวน ขณะที่ผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 4 เดือนถึง 5 ปี พร้อมค่าปรับตามระดับการมีส่วนร่วมและปริมาณที่ลักลอบส่งออก 🧪 ความสำคัญของแอนติโมนี แอนติโมนีถือเป็น แร่เชิงกลยุทธ์ ที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ชิปอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และการใช้งานด้านกลาโหม โดยเฉพาะการผสมกับซิลิคอนเพื่อผลิตไดโอดและทรานซิสเตอร์ หรือการผสมกับอินเดียมและแกลเลียมเพื่อสร้างเซ็นเซอร์อินฟราเรดและเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้การควบคุมการส่งออกมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี 🌍 บริบททางการค้าและการเมือง จีนเพิ่งมีการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ และยกเลิกการห้ามส่งออกแร่บางชนิด เช่น แกลเลียม, เจอร์เมเนียม และแอนติโมนี แต่ยังคงต้องมีใบอนุญาตการส่งออกอย่างเข้มงวด การลักลอบครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบบควบคุมของรัฐ และเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าที่ฮ่องกงและเส้นทางผ่านไทยและเม็กซิโก ⚠️ ผลกระทบและคำเตือน เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้าน ห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์ ที่อาจถูกลักลอบเพื่อเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า หากไม่มีการควบคุมเข้มงวด อาจกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงระดับโลก 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การตัดสินคดีในจีน ➡️ ผู้ต้องหาหลักถูกจำคุก 12 ปี และปรับ 1 ล้านหยวน ➡️ ผู้ต้องหาอีก 26 คนถูกลงโทษจำคุก 4 เดือนถึง 5 ปี ✅ ความสำคัญของแอนติโมนี ➡️ ใช้ในเซมิคอนดักเตอร์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และกลาโหม ➡️ เป็นแร่เชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี ✅ บริบททางการค้าโลก ➡️ จีนยกเลิกการห้ามส่งออกบางแร่ แต่ยังต้องมีใบอนุญาต ➡️ มีการลักลอบผ่านฮ่องกง ไทย และเม็กซิโก ‼️ คำเตือนและผลกระทบ ⛔ การลักลอบส่งออกบั่นทอนระบบควบคุมของรัฐ ⛔ เสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์ ⛔ อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-convicts-27-people-for-smuggling-antimony-166-tons-of-mineral-used-for-semiconductor-manufacturing-exported-without-licenses-court-decides
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • Windows Server 2025: ยุคใหม่ของ Native NVMe

    Microsoft ได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมการจัดการ I/O ของ Windows Server 2025 โดยตัดการแปลงคำสั่ง NVMe ไปเป็น SCSI ที่เคยเป็นคอขวดมานาน ทำให้ระบบสามารถสื่อสารกับ NVMe SSD ได้โดยตรง ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น virtualization, AI/ML workloads และฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้
    การทดสอบภายในของ Microsoft แสดงให้เห็นว่า Native NVMe สามารถเพิ่ม IOPS ได้ถึง 80% และลดการใช้ CPU ลง 45% เมื่อเทียบกับ Windows Server 2022 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการใช้ multi-queue architecture ของ NVMe ที่รองรับได้ถึง 64,000 queues และ 64,000 commands ต่อ queue ซึ่งต่างจาก SCSI ที่จำกัดเพียง 32 commands ต่อ queue

    ผลกระทบต่อองค์กร
    สำหรับองค์กรที่ใช้ SQL Server, Hyper-V หรือระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ การเปิดใช้งาน Native NVMe จะช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น VM boot เร็วขึ้น, live migration ลื่นไหลขึ้น และการประมวลผลข้อมูล AI/ML มี latency ต่ำลง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ เพราะสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    แม้ฟีเจอร์นี้จะพร้อมใช้งานแล้ว แต่ Microsoft เลือกที่จะปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง ต้องเปิดใช้งานด้วยการแก้ Registry หรือ Group Policy และยังมีข้อจำกัดว่าต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เอง หากใช้ไดรเวอร์จากผู้ผลิตอื่น ฟีเจอร์นี้จะไม่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่และอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปลี่ยนแปลงหลักใน Windows Server 2025
    รองรับ Native NVMe โดยตรง ไม่ต้องผ่าน SCSI translation
    เพิ่ม IOPS ได้สูงสุด 80% และลด CPU usage 45%

    ผลลัพธ์ต่อองค์กรและ workload
    SQL Server, Hyper-V, และ AI/ML workloads ทำงานเร็วขึ้น
    ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ฟีเจอร์ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น ต้องเปิดเองผ่าน Registry/Group Policy
    ต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เท่านั้น
    บาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/windows-server-2025-gains-native-nvme-support-14-years-after-its-introduction-groundbreaking-i-o-stack-drops-scsi-emulation-limitations-for-massive-throughput-and-cpu-efficiency-gains
    🖥️ Windows Server 2025: ยุคใหม่ของ Native NVMe Microsoft ได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมการจัดการ I/O ของ Windows Server 2025 โดยตัดการแปลงคำสั่ง NVMe ไปเป็น SCSI ที่เคยเป็นคอขวดมานาน ทำให้ระบบสามารถสื่อสารกับ NVMe SSD ได้โดยตรง ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น virtualization, AI/ML workloads และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ⚡ ประสิทธิภาพที่พิสูจน์ได้ การทดสอบภายในของ Microsoft แสดงให้เห็นว่า Native NVMe สามารถเพิ่ม IOPS ได้ถึง 80% และลดการใช้ CPU ลง 45% เมื่อเทียบกับ Windows Server 2022 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการใช้ multi-queue architecture ของ NVMe ที่รองรับได้ถึง 64,000 queues และ 64,000 commands ต่อ queue ซึ่งต่างจาก SCSI ที่จำกัดเพียง 32 commands ต่อ queue 🏢 ผลกระทบต่อองค์กร สำหรับองค์กรที่ใช้ SQL Server, Hyper-V หรือระบบไฟล์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ การเปิดใช้งาน Native NVMe จะช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น VM boot เร็วขึ้น, live migration ลื่นไหลขึ้น และการประมวลผลข้อมูล AI/ML มี latency ต่ำลง นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ เพราะสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ⚠️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด แม้ฟีเจอร์นี้จะพร้อมใช้งานแล้ว แต่ Microsoft เลือกที่จะปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น เพื่อให้ผู้ดูแลระบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง ต้องเปิดใช้งานด้วยการแก้ Registry หรือ Group Policy และยังมีข้อจำกัดว่าต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เอง หากใช้ไดรเวอร์จากผู้ผลิตอื่น ฟีเจอร์นี้จะไม่ทำงาน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่และอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปลี่ยนแปลงหลักใน Windows Server 2025 ➡️ รองรับ Native NVMe โดยตรง ไม่ต้องผ่าน SCSI translation ➡️ เพิ่ม IOPS ได้สูงสุด 80% และลด CPU usage 45% ✅ ผลลัพธ์ต่อองค์กรและ workload ➡️ SQL Server, Hyper-V, และ AI/ML workloads ทำงานเร็วขึ้น ➡️ ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์ถูกปิดเป็นค่าเริ่มต้น ต้องเปิดเองผ่าน Registry/Group Policy ⛔ ต้องใช้ไดรเวอร์ StorNVMe.sys ของ Windows เท่านั้น ⛔ บาง consumer SSD อาจไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง https://www.tomshardware.com/desktops/servers/windows-server-2025-gains-native-nvme-support-14-years-after-its-introduction-groundbreaking-i-o-stack-drops-scsi-emulation-limitations-for-massive-throughput-and-cpu-efficiency-gains
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • รูปปั้นกรีก–โรมัน: สีสันที่หายไปและการตีความใหม่

    งานศิลป์กรีกและโรมันที่เราคุ้นเคยในพิพิธภัณฑ์มักเป็นหินอ่อนสีขาวสะอาด แต่หลักฐานทางโบราณคดีชี้ชัดว่ารูปปั้นเหล่านี้เคยถูกทาสีอย่างสดใส (polychromy) เพียงแต่สีเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เมื่อมีการทำ reconstruction เช่นในนิทรรศการ Gods in Color ของ Vinzenz Brinkmann ผลลัพธ์กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ารูปปั้นดู “น่าเกลียด” และผิดธรรมชาติ

    บทความชี้ว่าคำอธิบายที่นิยมคือ “รสนิยมต่างยุค” — เราในยุคปัจจุบันชอบความขาวสะอาด ขณะที่ชาวกรีก–โรมันชอบสีสด แต่ผู้เขียนโต้แย้งว่า หลักฐานจากภาพวาดและโมเสกโบราณกลับแสดงให้เห็นการใช้สีที่ละเอียดอ่อนและเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ฉูดฉาดเหมือน reconstruction ที่เราเห็นในปัจจุบัน

    ทฤษฎีใหม่: ปัญหาคือการทาสีที่ไม่ดี
    ผู้เขียนเสนอว่า เหตุผลที่ reconstruction ดูแย่ไม่ใช่เพราะรสนิยมต่างยุค แต่เพราะการทาสีใหม่ทำได้ “ไม่ดี” — ขาดความละเอียดอ่อนที่ศิลปินโบราณมี และถูกจำกัดด้วยหลักการอนุรักษ์ที่ไม่อนุญาตให้เติมสิ่งที่ไม่มีหลักฐานตรง ๆ ทำให้เหลือเพียงการทาสีตาม pigment ชั้นล่างที่พบ ซึ่งไม่สะท้อนงานจริงที่เสร็จสมบูรณ์

    ตัวอย่างจากศิลปะอียิปต์ เนปาล หรือยุโรปยุคกลาง–บาโรก แสดงให้เห็นว่ารูปปั้นทาสีสามารถดูงดงามและน่าขนลุกในเชิงพิธีกรรม แต่ไม่ถึงขั้น “น่าเกลียด” แบบ reconstruction ของกรีก–โรมันในปัจจุบัน

    มิติทางสังคมและการสื่อสาร
    บทความยังตั้งข้อสังเกตว่า ความสนใจมหาศาลที่เกิดขึ้นอาจมาจาก “ความน่าเกลียด” เองที่ดึงดูดผู้ชม และบางทีนักวิชาการอาจใช้สิ่งนี้เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างการรับรู้ว่ารูปปั้นโบราณเคยถูกทาสีจริง ๆ อย่างไรก็ตาม การนำเสนอที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดว่า “นี่คือหน้าตาที่แท้จริง” อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อผู้เชี่ยวชาญในระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    รูปปั้นกรีก–โรมันเคยถูกทาสีจริง
    หลักฐานจาก pigment และภาพวาดโบราณยืนยันการใช้ polychromy

    Reconstruction สมัยใหม่ดูน่าเกลียด
    ตัวอย่างเช่น Augustus of Prima Porta ที่ถูกทาสีใหม่

    ทฤษฎี “รสนิยมต่างยุค” ถูกตั้งคำถาม
    ภาพวาดและโมเสกโบราณแสดงการใช้สีที่ละเอียดอ่อน ไม่ฉูดฉาด

    ทฤษฎีใหม่: ปัญหาคือการทาสีที่ไม่ดี
    Reconstruction อิง pigment ชั้นล่าง ไม่ใช่งานเสร็จสมบูรณ์

    คำเตือนต่อการสื่อสารวิชาการ
    การนำเสนอ reconstruction แบบ garish อาจทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดและลดความเชื่อมั่นต่อผู้เชี่ยวชาญ

    https://worksinprogress.co/issue/were-classical-statues-painted-horribly/
    🎨 รูปปั้นกรีก–โรมัน: สีสันที่หายไปและการตีความใหม่ งานศิลป์กรีกและโรมันที่เราคุ้นเคยในพิพิธภัณฑ์มักเป็นหินอ่อนสีขาวสะอาด แต่หลักฐานทางโบราณคดีชี้ชัดว่ารูปปั้นเหล่านี้เคยถูกทาสีอย่างสดใส (polychromy) เพียงแต่สีเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เมื่อมีการทำ reconstruction เช่นในนิทรรศการ Gods in Color ของ Vinzenz Brinkmann ผลลัพธ์กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ารูปปั้นดู “น่าเกลียด” และผิดธรรมชาติ บทความชี้ว่าคำอธิบายที่นิยมคือ “รสนิยมต่างยุค” — เราในยุคปัจจุบันชอบความขาวสะอาด ขณะที่ชาวกรีก–โรมันชอบสีสด แต่ผู้เขียนโต้แย้งว่า หลักฐานจากภาพวาดและโมเสกโบราณกลับแสดงให้เห็นการใช้สีที่ละเอียดอ่อนและเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ฉูดฉาดเหมือน reconstruction ที่เราเห็นในปัจจุบัน 🖌️ ทฤษฎีใหม่: ปัญหาคือการทาสีที่ไม่ดี ผู้เขียนเสนอว่า เหตุผลที่ reconstruction ดูแย่ไม่ใช่เพราะรสนิยมต่างยุค แต่เพราะการทาสีใหม่ทำได้ “ไม่ดี” — ขาดความละเอียดอ่อนที่ศิลปินโบราณมี และถูกจำกัดด้วยหลักการอนุรักษ์ที่ไม่อนุญาตให้เติมสิ่งที่ไม่มีหลักฐานตรง ๆ ทำให้เหลือเพียงการทาสีตาม pigment ชั้นล่างที่พบ ซึ่งไม่สะท้อนงานจริงที่เสร็จสมบูรณ์ ตัวอย่างจากศิลปะอียิปต์ เนปาล หรือยุโรปยุคกลาง–บาโรก แสดงให้เห็นว่ารูปปั้นทาสีสามารถดูงดงามและน่าขนลุกในเชิงพิธีกรรม แต่ไม่ถึงขั้น “น่าเกลียด” แบบ reconstruction ของกรีก–โรมันในปัจจุบัน 🤔 มิติทางสังคมและการสื่อสาร บทความยังตั้งข้อสังเกตว่า ความสนใจมหาศาลที่เกิดขึ้นอาจมาจาก “ความน่าเกลียด” เองที่ดึงดูดผู้ชม และบางทีนักวิชาการอาจใช้สิ่งนี้เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างการรับรู้ว่ารูปปั้นโบราณเคยถูกทาสีจริง ๆ อย่างไรก็ตาม การนำเสนอที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดว่า “นี่คือหน้าตาที่แท้จริง” อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อผู้เชี่ยวชาญในระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ รูปปั้นกรีก–โรมันเคยถูกทาสีจริง ➡️ หลักฐานจาก pigment และภาพวาดโบราณยืนยันการใช้ polychromy ✅ Reconstruction สมัยใหม่ดูน่าเกลียด ➡️ ตัวอย่างเช่น Augustus of Prima Porta ที่ถูกทาสีใหม่ ✅ ทฤษฎี “รสนิยมต่างยุค” ถูกตั้งคำถาม ➡️ ภาพวาดและโมเสกโบราณแสดงการใช้สีที่ละเอียดอ่อน ไม่ฉูดฉาด ✅ ทฤษฎีใหม่: ปัญหาคือการทาสีที่ไม่ดี ➡️ Reconstruction อิง pigment ชั้นล่าง ไม่ใช่งานเสร็จสมบูรณ์ ‼️ คำเตือนต่อการสื่อสารวิชาการ ⛔ การนำเสนอ reconstruction แบบ garish อาจทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดและลดความเชื่อมั่นต่อผู้เชี่ยวชาญ https://worksinprogress.co/issue/were-classical-statues-painted-horribly/
    WORKSINPROGRESS.CO
    Were classical statues painted horribly? - Works in Progress Magazine
    Many claim that modern viewers dislike painted reconstructions of Greek and Roman statues because our taste differs from theirs.
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251218 #securityonline


    Mozilla เปิดยุคใหม่: Firefox เตรียมกลายเป็นเบราว์เซอร์พลัง AI
    Mozilla ประกาศแผนการใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Anthony Enzor-DeMeo ที่จะเปลี่ยน Firefox จากเบราว์เซอร์แบบดั้งเดิมให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI จุดมุ่งหมายคือการทำให้ Firefox ไม่ใช่แค่เครื่องมือท่องเว็บ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ใช้และสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Mozilla ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ที่ถูกครอบงำโดย Chrome และ Edge
    https://securityonline.info/mozillas-new-chapter-ceo-anthony-enzor-demeo-to-transform-firefox-into-an-ai-powered-powerhouse

    Let’s Encrypt ปรับระบบ TLS ใหม่: ใบรับรองสั้นลงเหลือ 45 วัน
    Let’s Encrypt ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการออกใบรับรอง TLS โดยลดอายุการใช้งานจาก 90 วันเหลือเพียง 45 วัน พร้อมเปิดตัวโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Generation Y Hierarchy และการรองรับ TLS แบบใช้ IP โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากใบรับรองที่ถูกขโมยหรือไม่ได้อัปเดต และทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลระบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บทั่วโลก
    https://securityonline.info/the-45-day-era-begins-lets-encrypt-unveils-generation-y-hierarchy-and-ip-based-tls

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Commons Text เสี่ยงถูกยึดเซิร์ฟเวอร์
    เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใหม่ในไลบรารี Java ที่ชื่อ Apache Commons Text ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการข้อความ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-46295 และมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8 เต็ม 10 จุดอันตรายอยู่ที่ฟังก์ชัน string interpolation ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาและทำให้เกิดการรันคำสั่งจากระยะไกลได้ ลักษณะนี้คล้ายกับเหตุการณ์ Log4Shell ที่เคยสร้างความเสียหายใหญ่ในอดีต ทีมพัฒนา FileMaker Server ได้รีบแก้ไขโดยอัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัยแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่
    https://securityonline.info/cve-2025-46295-cvss-9-8-critical-apache-commons-text-flaw-risks-total-server-takeover

    หลอกด้วยใบสั่งจราจรปลอม: แอป RTO Challan ดูดข้อมูลและเงิน
    ในอินเดียมีการโจมตีใหม่ที่ใช้ความกลัวการโดนใบสั่งจราจรมาเป็นเครื่องมือ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป “RTO Challan” ผ่าน WhatsApp โดยอ้างว่าเป็นแอปทางการเพื่อดูหลักฐานการกระทำผิด แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ซ่อนตัวและสร้าง VPN ปลอมเพื่อส่งข้อมูลออกไปโดยไม่ถูกตรวจจับ มันสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่บัตร Aadhaar, PAN ไปจนถึงข้อมูลธนาคาร และยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตพร้อมรหัส PIN เพื่อทำธุรกรรมปลอมแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการโจมตีที่ผสมผสานทั้งวิศวกรรมสังคมและเทคนิคขั้นสูง ผู้ใช้ถูกเตือนให้ระวังข้อความจากเบอร์แปลกและไม่ดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
    https://securityonline.info/rto-challan-scam-how-a-fake-traffic-ticket-and-a-malicious-vpn-can-drain-your-bank-account

    Node.js systeminformation พบช่องโหว่เสี่ยง RCE บน Windows
    ไลบรารีชื่อดัง systeminformation ที่ถูกดาวน์โหลดกว่า 16 ล้านครั้งต่อเดือน ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-68154 โดยเฉพาะบน Windows ฟังก์ชัน fsSize() ที่ใช้ตรวจสอบขนาดดิสก์ไม่ได้กรองข้อมูลอินพุต ทำให้ผู้โจมตีสามารถใส่คำสั่ง PowerShell แทนตัวอักษรไดรฟ์ และรันคำสั่งอันตรายได้ทันที ผลกระทบคือการเข้าควบคุมระบบ อ่านข้อมูลลับ หรือแม้กระทั่งปล่อย ransomware นักพัฒนาถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.27.14 ที่แก้ไขแล้วโดยด่วน
    https://securityonline.info/node-js-alert-systeminformation-flaw-risks-windows-rce-for-16m-monthly-users

    OpenAI เจรจา Amazon ขอทุนเพิ่ม 10 พันล้าน พร้อมเงื่อนไขใช้ชิป AI ของ Amazon
    มีรายงานว่า OpenAI กำลังเจรจากับ Amazon เพื่อระดมทุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI ต้องใช้ชิป AI ของ Amazon เช่น Trainium และ Inferentia แทนการพึ่งพา NVIDIA ที่ราคาแพงและขาดตลาด หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ Amazon ได้การยืนยันคุณภาพชิปจากผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในวงการ AI และยังช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนการประมวลผล ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลระหว่าง Microsoft และ Amazon ในการเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์
    https://securityonline.info/the-10b-pivot-openai-in-talks-for-massive-amazon-funding-but-theres-a-silicon-catch

    Cloudflare เผยรายงานปี 2025: สงครามบอท AI และการจราจรอินเทอร์เน็ตพุ่ง 19%
    รายงานประจำปีของ Cloudflare ชี้ให้เห็นว่าปี 2025 อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้น 19% และเกิด “สงครามบอท AI” ที่แข่งขันกันเก็บข้อมูลออนไลน์ โดย Google ครองอันดับหนึ่งด้านการเก็บข้อมูลผ่าน crawler เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่าง Gemini ขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงหากำไรกลับกลายเป็นเป้าหมายโจมตีไซเบอร์มากที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลอ่อนไหวแต่ขาดทรัพยากรป้องกัน รายงานยังระบุว่ามีการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่กว่า 25 ครั้งในปีเดียว และครึ่งหนึ่งของการหยุดชะงักอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกิดจากการกระทำของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนทั้งความก้าวหน้าและความเปราะบางของโลกออนไลน์
    https://securityonline.info/the-internet-rewired-cloudflare-2025-review-unveils-the-ai-bot-war-and-a-19-traffic-surge

    Locked Out of the Cloud: เมื่อแฮกเกอร์ใช้ AWS Termination Protection ปล้นพลังประมวลผลไปขุดคริปโต
    เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมากในโลกคลาวด์ แฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ AWS โดยใช้บัญชีที่ถูกขโมย แล้วรีบ deploy เครื่องขุดคริปโตภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จุดที่น่ากลัวคือพวกเขาใช้ฟีเจอร์ DryRun เพื่อตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย และเมื่อเครื่องขุดถูกสร้างขึ้น พวกเขาเปิดการป้องกันการลบ (termination protection) ทำให้เจ้าของระบบไม่สามารถลบเครื่องได้ทันที ต้องปิดการป้องกันก่อนถึงจะจัดการได้ นั่นทำให้แฮกเกอร์มีเวลาขุดคริปโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้าง backdoor ผ่าน AWS Lambda และเตรียมใช้ Amazon SES เพื่อส่งอีเมลฟิชชิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การเจาะ AWS โดยตรง แต่เป็นการใช้ credential ที่ถูกขโมยไปอย่างชาญฉลาด
    https://securityonline.info/locked-out-of-the-cloud-hackers-use-aws-termination-protection-to-hijack-ecs-for-unstoppable-crypto-mining

    Blurred Deception: กลยุทธ์ฟิชชิ่งของกลุ่ม APT
    รัสเซียที่ใช้ “เอกสารเบลอ” กลุ่ม APT จากรัสเซียส่งอีเมลปลอมในชื่อคำสั่งจากประธานาธิบดี Transnistria โดยแนบไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทางการ แต่เนื้อหาถูกทำให้เบลอด้วย CSS filter ผู้รับจึงต้องใส่อีเมลและรหัสผ่านเพื่อ “ปลดล็อก” เอกสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหลอกขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ ฟังก์ชัน JavaScript ที่ใช้ยังมีลูกเล่นคือไม่ว่ารหัสผ่านจะถูกหรือผิดก็ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์อยู่ดี แคมเปญนี้ไม่ได้หยุดแค่ Transnistria แต่ยังขยายไปยังประเทศในยุโรปตะวันออกและหน่วยงาน NATO ด้วย ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความเร่งด่วนและความอยากรู้อยากเห็นของเหยื่อเป็นตัวล่อ
    https://securityonline.info/blurred-deception-russian-apt-targets-transnistria-and-nato-with-high-pressure-phishing-lures

    “Better Auth” Framework Alert: ช่องโหว่ Double-Slash ที่ทำให้ระบบป้องกันพัง
    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Better Auth ซึ่งเป็น framework ยอดนิยมสำหรับ TypeScript ที่ใช้กันกว้างขวาง ปัญหาคือ router ภายในชื่อ rou3 มอง URL ที่มีหลาย slash เช่น //sign-in/email ว่าเหมือนกับ /sign-in/email แต่ระบบป้องกันบางอย่างไม่ได้ normalize URL แบบเดียวกัน ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง path ที่ถูกปิดไว้ หรือเลี่ยง rate limit ได้ง่าย ๆ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 8.6 และกระทบผู้ใช้จำนวนมาก การแก้ไขคืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ หรือปรับ proxy ให้ normalize URL ก่อนถึงระบบ หากไม่ทำก็เสี่ยงที่ระบบจะถูกเจาะผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ แต่ร้ายแรงนี้
    https://securityonline.info/better-auth-framework-alert-the-double-slash-trick-that-bypasses-security-controls

    Ink Dragon’s Global Mesh: เมื่อเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลถูกเปลี่ยนเป็นโหนดสอดแนม
    กลุ่มสอดแนมไซเบอร์จากจีนที่ชื่อ Ink Dragon ใช้เทคนิคใหม่ในการสร้างเครือข่ายสั่งการ โดยเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลที่ถูกเจาะให้กลายเป็นโหนด relay ส่งต่อคำสั่งและข้อมูลไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ผ่านโมดูล ShadowPad IIS Listener ทำให้การติดตามแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคำสั่งอาจวิ่งผ่านหลายองค์กรก่อนถึงเป้าหมายจริง พวกเขายังใช้ช่องโหว่ IIS ที่รู้จักกันมานานและ misconfiguration ของ ASP.NET เพื่อเข้ามา จากนั้นติดตั้ง malware รุ่นใหม่ที่ซ่อนการสื่อสารผ่าน Microsoft Graph API การขยายเป้าหมายไปยังยุโรปทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค แต่เป็นโครงสร้างสอดแนมข้ามชาติที่ใช้โครงสร้างของเหยื่อเองเป็นเครื่องมือ
    https://securityonline.info/ink-dragons-global-mesh-how-chinese-spies-turn-compromised-government-servers-into-c2-relay-nodes

    Academic Ambush: เมื่อกลุ่ม APT ปลอมรายงาน “Plagiarism” เพื่อเจาะระบบนักวิชาการ
    นี่คือแคมเปญที่ใช้ความกังวลของนักวิชาการเป็นตัวล่อ แฮกเกอร์ส่งอีเมลปลอมในชื่อ “Forum Troll APT” โดยอ้างว่าผลงานของเหยื่อถูกตรวจพบการลอกเลียนแบบ พร้อมแนบไฟล์ Word ที่ดูเหมือนรายงานตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเอกสารที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ โค้ดจะถูกเรียกใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์เข้ามาในเครื่องทันที การโจมตีนี้เล่นกับความกลัวเรื่องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงวิชาการ ทำให้ผู้รับมีแนวโน้มเปิดไฟล์โดยไม่ระวัง ถือเป็นการใช้ “แรงกดดันทางสังคม” เป็นอาวุธไซเบอร์
    https://securityonline.info/academic-ambush-how-the-forum-troll-apt-hijacks-scholars-systems-via-fake-plagiarism-reports

    GitHub ยอมถอย หลังนักพัฒนารวมพลังต้านค่าธรรมเนียม Self-Hosted Runner
    เรื่องนี้เริ่มจาก GitHub ประกาศว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน self-hosted runner ใน GitHub Actions ตั้งแต่มีนาคม 2026 โดยคิดนาทีละ 0.002 ดอลลาร์ แม้ผู้ใช้จะลงทุนเครื่องเองแล้วก็ตาม ข่าวนี้ทำให้ชุมชนนักพัฒนาลุกฮือทันที เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ สุดท้าย GitHub ต้องออกมาประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมออกไป พร้อมลดราคาสำหรับ runner ที่ GitHub โฮสต์เองลงถึง 39% ตั้งแต่ต้นปี 2026 และย้ำว่าจะกลับไปฟังเสียงนักพัฒนาให้มากขึ้นก่อนปรับแผนใหม่ เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของชุมชนสามารถกดดันให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต้องทบทวนการตัดสินใจได้
    https://securityonline.info/the-developer-win-github-postpones-self-hosted-runner-fee-after-massive-community-outcry

    ช่องโหว่ร้ายแรง HPE OneView เปิดทางให้ยึดศูนย์ข้อมูลได้ทันที
    Hewlett Packard Enterprise (HPE) แจ้งเตือนช่องโหว่ CVE-2025-37164 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด 10.0 ในซอฟต์แวร์ OneView ซึ่งเป็นหัวใจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่าย ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ต้องล็อกอินสามารถสั่งรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดศูนย์ข้อมูลทั้งระบบได้เลย HPE รีบออกแพตช์ v11.00 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน สำหรับผู้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า มี hotfix ให้ แต่ต้องระวังว่าหลังอัปเกรดบางเวอร์ชันต้องติดตั้งซ้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะยังเสี่ยงอยู่
    https://securityonline.info/cve-2025-37164-cvss-10-0-unauthenticated-hpe-oneview-rce-grants-total-control-over-data-centers

    CISA เตือนด่วน แฮ็กเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ Cisco และ SonicWall โจมตีจริงแล้ว
    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเพิ่มช่องโหว่ร้ายแรงเข้ารายการ KEV หลังพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ Cisco Secure Email Gateway ที่มีคะแนน 10 เต็มในการเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมติดตั้งมัลแวร์ AquaShell และ AquaPurge เพื่อซ่อนร่องรอย นอกจากนี้ยังพบการโจมตี SonicWall SMA1000 โดยใช้ช่องโหว่เดิมร่วมกับช่องโหว่ใหม่เพื่อยึดระบบได้ทั้งหมด และยังมีการนำช่องโหว่เก่าใน ASUS Live Update ที่หมดการสนับสนุนแล้วกลับมาใช้โจมตีในลักษณะ supply chain อีกด้วย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งแพตช์ก่อนเส้นตาย 24 ธันวาคม 2025 https://securityonline.info/cisa-alert-chinese-hackers-weaponize-cvss-10-cisco-zero-day-sonicwall-exploit-chains

    แฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 ใช้มัลแวร์ Aqua เจาะ Cisco Secure Email
    Cisco Talos เปิดเผยว่ากลุ่ม UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20393 ใน Cisco Secure Email Gateway และ Web Manager เพื่อเข้าถึงระบบในระดับ root โดยอาศัยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Spam Quarantine ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเปิดไว้จะกลายเป็นช่องทางให้โจมตีได้ทันที เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาติดตั้งมัลแวร์ชุด “Aqua” ได้แก่ AquaShell ที่ฝังตัวในไฟล์เซิร์ฟเวอร์, AquaPurge ที่ลบหลักฐานใน log และ AquaTunnel ที่สร้างการเชื่อมต่อย้อนกลับเพื่อรักษาการเข้าถึง แม้แก้ช่องโหว่แล้วก็ยังไม่พ้นภัย เพราะมัลแวร์ฝังลึกจน Cisco แนะนำว่าหากถูกเจาะแล้วต้อง rebuild เครื่องใหม่เท่านั้น
    https://securityonline.info/cisco-zero-day-siege-chinese-group-uat-9686-deploys-aqua-malware-via-cvss-10-root-exploit

    SonicWall เตือนช่องโหว่ใหม่ถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่เดิม ยึดระบบได้แบบ root
    SonicWall ออกประกาศด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-40602 ในอุปกรณ์ SMA1000 แม้คะแนน CVSS เพียง 6.6 แต่เมื่อถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่ CVE-2025-23006 ที่ร้ายแรงกว่า จะกลายเป็นการโจมตีแบบ chain ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน และยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ทันที เท่ากับยึดระบบทั้งองค์กรได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน SonicWall ได้ออกแพตช์ใหม่และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที หากไม่สามารถทำได้ควรปิดการเข้าถึง AMC และ SSH จากอินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการโจมตี
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/zero-day-warning-hackers-chain-sonicwall-sma1000-flaws-for-unauthenticated-root-rce
    📌🔐🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠🔐📌 #รวมข่าวIT #20251218 #securityonline 🦊 Mozilla เปิดยุคใหม่: Firefox เตรียมกลายเป็นเบราว์เซอร์พลัง AI Mozilla ประกาศแผนการใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Anthony Enzor-DeMeo ที่จะเปลี่ยน Firefox จากเบราว์เซอร์แบบดั้งเดิมให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI จุดมุ่งหมายคือการทำให้ Firefox ไม่ใช่แค่เครื่องมือท่องเว็บ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ใช้และสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Mozilla ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ที่ถูกครอบงำโดย Chrome และ Edge 🔗 https://securityonline.info/mozillas-new-chapter-ceo-anthony-enzor-demeo-to-transform-firefox-into-an-ai-powered-powerhouse 🔒 Let’s Encrypt ปรับระบบ TLS ใหม่: ใบรับรองสั้นลงเหลือ 45 วัน Let’s Encrypt ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการออกใบรับรอง TLS โดยลดอายุการใช้งานจาก 90 วันเหลือเพียง 45 วัน พร้อมเปิดตัวโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Generation Y Hierarchy และการรองรับ TLS แบบใช้ IP โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากใบรับรองที่ถูกขโมยหรือไม่ได้อัปเดต และทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลระบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บทั่วโลก 🔗 https://securityonline.info/the-45-day-era-begins-lets-encrypt-unveils-generation-y-hierarchy-and-ip-based-tls 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Commons Text เสี่ยงถูกยึดเซิร์ฟเวอร์ เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใหม่ในไลบรารี Java ที่ชื่อ Apache Commons Text ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการข้อความ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-46295 และมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8 เต็ม 10 จุดอันตรายอยู่ที่ฟังก์ชัน string interpolation ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาและทำให้เกิดการรันคำสั่งจากระยะไกลได้ ลักษณะนี้คล้ายกับเหตุการณ์ Log4Shell ที่เคยสร้างความเสียหายใหญ่ในอดีต ทีมพัฒนา FileMaker Server ได้รีบแก้ไขโดยอัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัยแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่ 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-46295-cvss-9-8-critical-apache-commons-text-flaw-risks-total-server-takeover 🚦 หลอกด้วยใบสั่งจราจรปลอม: แอป RTO Challan ดูดข้อมูลและเงิน ในอินเดียมีการโจมตีใหม่ที่ใช้ความกลัวการโดนใบสั่งจราจรมาเป็นเครื่องมือ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป “RTO Challan” ผ่าน WhatsApp โดยอ้างว่าเป็นแอปทางการเพื่อดูหลักฐานการกระทำผิด แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ซ่อนตัวและสร้าง VPN ปลอมเพื่อส่งข้อมูลออกไปโดยไม่ถูกตรวจจับ มันสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่บัตร Aadhaar, PAN ไปจนถึงข้อมูลธนาคาร และยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตพร้อมรหัส PIN เพื่อทำธุรกรรมปลอมแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการโจมตีที่ผสมผสานทั้งวิศวกรรมสังคมและเทคนิคขั้นสูง ผู้ใช้ถูกเตือนให้ระวังข้อความจากเบอร์แปลกและไม่ดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 🔗 https://securityonline.info/rto-challan-scam-how-a-fake-traffic-ticket-and-a-malicious-vpn-can-drain-your-bank-account 💻 Node.js systeminformation พบช่องโหว่เสี่ยง RCE บน Windows ไลบรารีชื่อดัง systeminformation ที่ถูกดาวน์โหลดกว่า 16 ล้านครั้งต่อเดือน ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-68154 โดยเฉพาะบน Windows ฟังก์ชัน fsSize() ที่ใช้ตรวจสอบขนาดดิสก์ไม่ได้กรองข้อมูลอินพุต ทำให้ผู้โจมตีสามารถใส่คำสั่ง PowerShell แทนตัวอักษรไดรฟ์ และรันคำสั่งอันตรายได้ทันที ผลกระทบคือการเข้าควบคุมระบบ อ่านข้อมูลลับ หรือแม้กระทั่งปล่อย ransomware นักพัฒนาถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.27.14 ที่แก้ไขแล้วโดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/node-js-alert-systeminformation-flaw-risks-windows-rce-for-16m-monthly-users 💰 OpenAI เจรจา Amazon ขอทุนเพิ่ม 10 พันล้าน พร้อมเงื่อนไขใช้ชิป AI ของ Amazon มีรายงานว่า OpenAI กำลังเจรจากับ Amazon เพื่อระดมทุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI ต้องใช้ชิป AI ของ Amazon เช่น Trainium และ Inferentia แทนการพึ่งพา NVIDIA ที่ราคาแพงและขาดตลาด หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ Amazon ได้การยืนยันคุณภาพชิปจากผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในวงการ AI และยังช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนการประมวลผล ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลระหว่าง Microsoft และ Amazon ในการเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์ 🔗 https://securityonline.info/the-10b-pivot-openai-in-talks-for-massive-amazon-funding-but-theres-a-silicon-catch 🌐 Cloudflare เผยรายงานปี 2025: สงครามบอท AI และการจราจรอินเทอร์เน็ตพุ่ง 19% รายงานประจำปีของ Cloudflare ชี้ให้เห็นว่าปี 2025 อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้น 19% และเกิด “สงครามบอท AI” ที่แข่งขันกันเก็บข้อมูลออนไลน์ โดย Google ครองอันดับหนึ่งด้านการเก็บข้อมูลผ่าน crawler เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่าง Gemini ขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงหากำไรกลับกลายเป็นเป้าหมายโจมตีไซเบอร์มากที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลอ่อนไหวแต่ขาดทรัพยากรป้องกัน รายงานยังระบุว่ามีการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่กว่า 25 ครั้งในปีเดียว และครึ่งหนึ่งของการหยุดชะงักอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกิดจากการกระทำของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนทั้งความก้าวหน้าและความเปราะบางของโลกออนไลน์ 🔗 https://securityonline.info/the-internet-rewired-cloudflare-2025-review-unveils-the-ai-bot-war-and-a-19-traffic-surge 🖥️ Locked Out of the Cloud: เมื่อแฮกเกอร์ใช้ AWS Termination Protection ปล้นพลังประมวลผลไปขุดคริปโต เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมากในโลกคลาวด์ แฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ AWS โดยใช้บัญชีที่ถูกขโมย แล้วรีบ deploy เครื่องขุดคริปโตภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จุดที่น่ากลัวคือพวกเขาใช้ฟีเจอร์ DryRun เพื่อตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย และเมื่อเครื่องขุดถูกสร้างขึ้น พวกเขาเปิดการป้องกันการลบ (termination protection) ทำให้เจ้าของระบบไม่สามารถลบเครื่องได้ทันที ต้องปิดการป้องกันก่อนถึงจะจัดการได้ นั่นทำให้แฮกเกอร์มีเวลาขุดคริปโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้าง backdoor ผ่าน AWS Lambda และเตรียมใช้ Amazon SES เพื่อส่งอีเมลฟิชชิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การเจาะ AWS โดยตรง แต่เป็นการใช้ credential ที่ถูกขโมยไปอย่างชาญฉลาด 🔗 https://securityonline.info/locked-out-of-the-cloud-hackers-use-aws-termination-protection-to-hijack-ecs-for-unstoppable-crypto-mining 📧 Blurred Deception: กลยุทธ์ฟิชชิ่งของกลุ่ม APT รัสเซียที่ใช้ “เอกสารเบลอ” กลุ่ม APT จากรัสเซียส่งอีเมลปลอมในชื่อคำสั่งจากประธานาธิบดี Transnistria โดยแนบไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทางการ แต่เนื้อหาถูกทำให้เบลอด้วย CSS filter ผู้รับจึงต้องใส่อีเมลและรหัสผ่านเพื่อ “ปลดล็อก” เอกสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหลอกขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ ฟังก์ชัน JavaScript ที่ใช้ยังมีลูกเล่นคือไม่ว่ารหัสผ่านจะถูกหรือผิดก็ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์อยู่ดี แคมเปญนี้ไม่ได้หยุดแค่ Transnistria แต่ยังขยายไปยังประเทศในยุโรปตะวันออกและหน่วยงาน NATO ด้วย ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความเร่งด่วนและความอยากรู้อยากเห็นของเหยื่อเป็นตัวล่อ 🔗 https://securityonline.info/blurred-deception-russian-apt-targets-transnistria-and-nato-with-high-pressure-phishing-lures 🔐 “Better Auth” Framework Alert: ช่องโหว่ Double-Slash ที่ทำให้ระบบป้องกันพัง มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Better Auth ซึ่งเป็น framework ยอดนิยมสำหรับ TypeScript ที่ใช้กันกว้างขวาง ปัญหาคือ router ภายในชื่อ rou3 มอง URL ที่มีหลาย slash เช่น //sign-in/email ว่าเหมือนกับ /sign-in/email แต่ระบบป้องกันบางอย่างไม่ได้ normalize URL แบบเดียวกัน ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง path ที่ถูกปิดไว้ หรือเลี่ยง rate limit ได้ง่าย ๆ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 8.6 และกระทบผู้ใช้จำนวนมาก การแก้ไขคืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ หรือปรับ proxy ให้ normalize URL ก่อนถึงระบบ หากไม่ทำก็เสี่ยงที่ระบบจะถูกเจาะผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ แต่ร้ายแรงนี้ 🔗 https://securityonline.info/better-auth-framework-alert-the-double-slash-trick-that-bypasses-security-controls 🐉 Ink Dragon’s Global Mesh: เมื่อเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลถูกเปลี่ยนเป็นโหนดสอดแนม กลุ่มสอดแนมไซเบอร์จากจีนที่ชื่อ Ink Dragon ใช้เทคนิคใหม่ในการสร้างเครือข่ายสั่งการ โดยเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลที่ถูกเจาะให้กลายเป็นโหนด relay ส่งต่อคำสั่งและข้อมูลไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ผ่านโมดูล ShadowPad IIS Listener ทำให้การติดตามแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคำสั่งอาจวิ่งผ่านหลายองค์กรก่อนถึงเป้าหมายจริง พวกเขายังใช้ช่องโหว่ IIS ที่รู้จักกันมานานและ misconfiguration ของ ASP.NET เพื่อเข้ามา จากนั้นติดตั้ง malware รุ่นใหม่ที่ซ่อนการสื่อสารผ่าน Microsoft Graph API การขยายเป้าหมายไปยังยุโรปทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค แต่เป็นโครงสร้างสอดแนมข้ามชาติที่ใช้โครงสร้างของเหยื่อเองเป็นเครื่องมือ 🔗 https://securityonline.info/ink-dragons-global-mesh-how-chinese-spies-turn-compromised-government-servers-into-c2-relay-nodes 📚 Academic Ambush: เมื่อกลุ่ม APT ปลอมรายงาน “Plagiarism” เพื่อเจาะระบบนักวิชาการ นี่คือแคมเปญที่ใช้ความกังวลของนักวิชาการเป็นตัวล่อ แฮกเกอร์ส่งอีเมลปลอมในชื่อ “Forum Troll APT” โดยอ้างว่าผลงานของเหยื่อถูกตรวจพบการลอกเลียนแบบ พร้อมแนบไฟล์ Word ที่ดูเหมือนรายงานตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเอกสารที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ โค้ดจะถูกเรียกใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์เข้ามาในเครื่องทันที การโจมตีนี้เล่นกับความกลัวเรื่องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงวิชาการ ทำให้ผู้รับมีแนวโน้มเปิดไฟล์โดยไม่ระวัง ถือเป็นการใช้ “แรงกดดันทางสังคม” เป็นอาวุธไซเบอร์ 🔗 https://securityonline.info/academic-ambush-how-the-forum-troll-apt-hijacks-scholars-systems-via-fake-plagiarism-reports 🛠️ GitHub ยอมถอย หลังนักพัฒนารวมพลังต้านค่าธรรมเนียม Self-Hosted Runner เรื่องนี้เริ่มจาก GitHub ประกาศว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน self-hosted runner ใน GitHub Actions ตั้งแต่มีนาคม 2026 โดยคิดนาทีละ 0.002 ดอลลาร์ แม้ผู้ใช้จะลงทุนเครื่องเองแล้วก็ตาม ข่าวนี้ทำให้ชุมชนนักพัฒนาลุกฮือทันที เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ สุดท้าย GitHub ต้องออกมาประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมออกไป พร้อมลดราคาสำหรับ runner ที่ GitHub โฮสต์เองลงถึง 39% ตั้งแต่ต้นปี 2026 และย้ำว่าจะกลับไปฟังเสียงนักพัฒนาให้มากขึ้นก่อนปรับแผนใหม่ เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของชุมชนสามารถกดดันให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต้องทบทวนการตัดสินใจได้ 🔗 https://securityonline.info/the-developer-win-github-postpones-self-hosted-runner-fee-after-massive-community-outcry ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรง HPE OneView เปิดทางให้ยึดศูนย์ข้อมูลได้ทันที Hewlett Packard Enterprise (HPE) แจ้งเตือนช่องโหว่ CVE-2025-37164 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด 10.0 ในซอฟต์แวร์ OneView ซึ่งเป็นหัวใจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่าย ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ต้องล็อกอินสามารถสั่งรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดศูนย์ข้อมูลทั้งระบบได้เลย HPE รีบออกแพตช์ v11.00 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน สำหรับผู้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า มี hotfix ให้ แต่ต้องระวังว่าหลังอัปเกรดบางเวอร์ชันต้องติดตั้งซ้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะยังเสี่ยงอยู่ 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-37164-cvss-10-0-unauthenticated-hpe-oneview-rce-grants-total-control-over-data-centers 🚨 CISA เตือนด่วน แฮ็กเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ Cisco และ SonicWall โจมตีจริงแล้ว หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเพิ่มช่องโหว่ร้ายแรงเข้ารายการ KEV หลังพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ Cisco Secure Email Gateway ที่มีคะแนน 10 เต็มในการเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมติดตั้งมัลแวร์ AquaShell และ AquaPurge เพื่อซ่อนร่องรอย นอกจากนี้ยังพบการโจมตี SonicWall SMA1000 โดยใช้ช่องโหว่เดิมร่วมกับช่องโหว่ใหม่เพื่อยึดระบบได้ทั้งหมด และยังมีการนำช่องโหว่เก่าใน ASUS Live Update ที่หมดการสนับสนุนแล้วกลับมาใช้โจมตีในลักษณะ supply chain อีกด้วย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งแพตช์ก่อนเส้นตาย 24 ธันวาคม 2025 🔗 https://securityonline.info/cisa-alert-chinese-hackers-weaponize-cvss-10-cisco-zero-day-sonicwall-exploit-chains 🐚 แฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 ใช้มัลแวร์ Aqua เจาะ Cisco Secure Email Cisco Talos เปิดเผยว่ากลุ่ม UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20393 ใน Cisco Secure Email Gateway และ Web Manager เพื่อเข้าถึงระบบในระดับ root โดยอาศัยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Spam Quarantine ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเปิดไว้จะกลายเป็นช่องทางให้โจมตีได้ทันที เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาติดตั้งมัลแวร์ชุด “Aqua” ได้แก่ AquaShell ที่ฝังตัวในไฟล์เซิร์ฟเวอร์, AquaPurge ที่ลบหลักฐานใน log และ AquaTunnel ที่สร้างการเชื่อมต่อย้อนกลับเพื่อรักษาการเข้าถึง แม้แก้ช่องโหว่แล้วก็ยังไม่พ้นภัย เพราะมัลแวร์ฝังลึกจน Cisco แนะนำว่าหากถูกเจาะแล้วต้อง rebuild เครื่องใหม่เท่านั้น 🔗 https://securityonline.info/cisco-zero-day-siege-chinese-group-uat-9686-deploys-aqua-malware-via-cvss-10-root-exploit 🔒 SonicWall เตือนช่องโหว่ใหม่ถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่เดิม ยึดระบบได้แบบ root SonicWall ออกประกาศด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-40602 ในอุปกรณ์ SMA1000 แม้คะแนน CVSS เพียง 6.6 แต่เมื่อถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่ CVE-2025-23006 ที่ร้ายแรงกว่า จะกลายเป็นการโจมตีแบบ chain ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน และยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ทันที เท่ากับยึดระบบทั้งองค์กรได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน SonicWall ได้ออกแพตช์ใหม่และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที หากไม่สามารถทำได้ควรปิดการเข้าถึง AMC และ SSH จากอินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการโจมตี ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/zero-day-warning-hackers-chain-sonicwall-sma1000-flaws-for-unauthenticated-root-rce
    0 Comments 0 Shares 451 Views 0 Reviews
  • AI ดันราคา DRAM พุ่งสูง: G.Skill เตือนผู้ซื้อ

    หนึ่งในผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ G.Skill ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงสาเหตุที่ราคา DRAM โดยเฉพาะ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยระบุว่า ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเป็นตัวการสำคัญ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนทั่วโลกและผลักดันให้ต้นทุนการจัดหาชิปสูงขึ้นตามไปด้วย

    ราคาของ DDR5 ในหลายภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึง 3–4 เท่า ภายในเวลาเพียงสองเดือน ส่งผลให้การประกอบพีซีใหม่กลายเป็นเรื่องยากขึ้นอย่างมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ RAM บางชุดสูงเกือบเทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าราคาที่พุ่งสูงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2026–2028

    G.Skill ระบุว่าต้นทุนการจัดหาชิปจากผู้ผลิต IC เพิ่มขึ้นอย่างมาก และราคาที่บริษัทตั้งจำหน่ายสะท้อนถึงต้นทุนที่สูงขึ้นในตลาดโลก โดยแนะนำให้ผู้ซื้อ “ระมัดระวัง” และตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความผันผวนสูงและอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    แม้บางฝ่ายเชื่อว่าราคาอาจเริ่มทรงตัวภายใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับราคาก่อนหน้านี้ยังคงเป็นเรื่องยากและอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้ตลาดพีซีและผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนต่อเนื่อง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    สาเหตุราคาพุ่งสูง
    ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ทำให้เกิดภาวะขาดแคลน DRAM ทั่วโลก

    การเพิ่มขึ้นของราคา DDR5
    ราคาพุ่งขึ้น 3–4 เท่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    RAM DDR5 บางชุดมีราคาสูงเกือบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง

    คำแนะนำจาก G.Skill
    ผู้ซื้อควรระมัดระวังและตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจ

    คำเตือนด้านแนวโน้มราคา
    ราคามีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026–2028
    แม้บางฝ่ายคาดว่าจะทรงตัวใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับเดิมอาจใช้เวลานานมาก

    https://wccftech.com/g-skill-blames-ai-industry-for-sky-high-dram-prices/
    💾 AI ดันราคา DRAM พุ่งสูง: G.Skill เตือนผู้ซื้อ หนึ่งในผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ G.Skill ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงสาเหตุที่ราคา DRAM โดยเฉพาะ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยระบุว่า ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเป็นตัวการสำคัญ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนทั่วโลกและผลักดันให้ต้นทุนการจัดหาชิปสูงขึ้นตามไปด้วย ราคาของ DDR5 ในหลายภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึง 3–4 เท่า ภายในเวลาเพียงสองเดือน ส่งผลให้การประกอบพีซีใหม่กลายเป็นเรื่องยากขึ้นอย่างมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ RAM บางชุดสูงเกือบเทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าราคาที่พุ่งสูงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2026–2028 G.Skill ระบุว่าต้นทุนการจัดหาชิปจากผู้ผลิต IC เพิ่มขึ้นอย่างมาก และราคาที่บริษัทตั้งจำหน่ายสะท้อนถึงต้นทุนที่สูงขึ้นในตลาดโลก โดยแนะนำให้ผู้ซื้อ “ระมัดระวัง” และตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความผันผวนสูงและอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า แม้บางฝ่ายเชื่อว่าราคาอาจเริ่มทรงตัวภายใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับราคาก่อนหน้านี้ยังคงเป็นเรื่องยากและอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้ตลาดพีซีและผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนต่อเนื่อง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ สาเหตุราคาพุ่งสูง ➡️ ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ทำให้เกิดภาวะขาดแคลน DRAM ทั่วโลก ✅ การเพิ่มขึ้นของราคา DDR5 ➡️ ราคาพุ่งขึ้น 3–4 เท่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ RAM DDR5 บางชุดมีราคาสูงเกือบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง ✅ คำแนะนำจาก G.Skill ➡️ ผู้ซื้อควรระมัดระวังและตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจ ‼️ คำเตือนด้านแนวโน้มราคา ⛔ ราคามีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026–2028 ⛔ แม้บางฝ่ายคาดว่าจะทรงตัวใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับเดิมอาจใช้เวลานานมาก https://wccftech.com/g-skill-blames-ai-industry-for-sky-high-dram-prices/
    WCCFTECH.COM
    G.Skill Blames AI Industry For Sky-High DRAM Prices; Says "Purchasers Should Be Mindful" Of Prices
    G.Skill has released a short statement regarding the sky-high DRAM prices. It blamed the AI industry for such memory volatility.
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • Texas Instruments เปิดโรงงานใหม่ ผลิตชิปวันละหลายสิบล้าน

    Texas Instruments (TI) ประกาศเปิดโรงงานผลิตเวเฟอร์ 300 มิลลิเมตร แห่งใหม่ที่เมือง Sherman รัฐเท็กซัส หลังจากลงทุนกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ โดยโรงงานนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่แห่งที่ TI วางแผนสร้างเพื่อเสริมกำลังการผลิตในสหรัฐฯ โรงงานแรก (SM1) เริ่มเดินเครื่องแล้ว และพร้อมส่งมอบชิปให้ลูกค้าในตลาดทันที

    โรงงาน SM1 จะเน้นผลิตชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟส่องสว่างในรถยนต์ และระบบพลังงานในศูนย์ข้อมูล ไม่ได้มุ่งผลิตชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับคอมพิวเตอร์ขั้นสูงเหมือน Intel หรือ TSMC แต่จะเน้นตลาดที่ต้องการความเสถียรและการผลิตในปริมาณมหาศาล ซึ่ง TI มองว่าเป็นจุดแข็งของบริษัท

    การลงทุนครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Made in USA” เพื่อเสริมความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ TI คาดว่าโรงงานทั้งสี่แห่งใน Sherman จะสร้างงานโดยตรงกว่า 3,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน TI ก็ทยอยปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มิลลิเมตร เพื่อปรับสมดุลกำลังการผลิตไปสู่มาตรฐานใหม่

    นอกจากการเพิ่มกำลังผลิตแล้ว TI ยังเน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น การลดการใช้พลังงานขณะสแตนด์บาย การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน และการลดสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) เพื่อให้ชิปที่ผลิตออกมามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และศูนย์ข้อมูลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การลงทุนครั้งใหญ่ของ TI
    มูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ สร้างโรงงาน 4 แห่งที่ Sherman, Texas

    โรงงาน SM1 เริ่มผลิตแล้ว
    เน้นชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น รถยนต์และศูนย์ข้อมูล

    ผลกระทบต่อการจ้างงาน
    คาดว่าจะสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่งในพื้นที่

    การปรับสมดุลกำลังการผลิต
    ปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มม. เพื่อย้ายไปสู่มาตรฐาน 300 มม.

    การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานสแตนด์บาย เพิ่มความหนาแน่น และลด EMI

    คำเตือนด้านการแข่งขันและห่วงโซ่อุปทาน
    TI ไม่ได้ผลิตชิปขั้นสูงสำหรับ AI หรือ HPC อาจเสียเปรียบในตลาดประสิทธิภาพสูง
    แม้จะช่วยเสริมความมั่นคง แต่การลงทุนมหาศาลยังเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/new-texas-instruments-fab-will-pump-out-tens-of-millions-of-chips-per-day-first-300mm-fab-starts-production-after-usd60-billion-investment
    🏭 Texas Instruments เปิดโรงงานใหม่ ผลิตชิปวันละหลายสิบล้าน Texas Instruments (TI) ประกาศเปิดโรงงานผลิตเวเฟอร์ 300 มิลลิเมตร แห่งใหม่ที่เมือง Sherman รัฐเท็กซัส หลังจากลงทุนกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ โดยโรงงานนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่แห่งที่ TI วางแผนสร้างเพื่อเสริมกำลังการผลิตในสหรัฐฯ โรงงานแรก (SM1) เริ่มเดินเครื่องแล้ว และพร้อมส่งมอบชิปให้ลูกค้าในตลาดทันที โรงงาน SM1 จะเน้นผลิตชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟส่องสว่างในรถยนต์ และระบบพลังงานในศูนย์ข้อมูล ไม่ได้มุ่งผลิตชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับคอมพิวเตอร์ขั้นสูงเหมือน Intel หรือ TSMC แต่จะเน้นตลาดที่ต้องการความเสถียรและการผลิตในปริมาณมหาศาล ซึ่ง TI มองว่าเป็นจุดแข็งของบริษัท การลงทุนครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Made in USA” เพื่อเสริมความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ TI คาดว่าโรงงานทั้งสี่แห่งใน Sherman จะสร้างงานโดยตรงกว่า 3,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน TI ก็ทยอยปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มิลลิเมตร เพื่อปรับสมดุลกำลังการผลิตไปสู่มาตรฐานใหม่ นอกจากการเพิ่มกำลังผลิตแล้ว TI ยังเน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น การลดการใช้พลังงานขณะสแตนด์บาย การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน และการลดสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) เพื่อให้ชิปที่ผลิตออกมามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และศูนย์ข้อมูลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การลงทุนครั้งใหญ่ของ TI ➡️ มูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ สร้างโรงงาน 4 แห่งที่ Sherman, Texas ✅ โรงงาน SM1 เริ่มผลิตแล้ว ➡️ เน้นชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น รถยนต์และศูนย์ข้อมูล ✅ ผลกระทบต่อการจ้างงาน ➡️ คาดว่าจะสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่งในพื้นที่ ✅ การปรับสมดุลกำลังการผลิต ➡️ ปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มม. เพื่อย้ายไปสู่มาตรฐาน 300 มม. ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานสแตนด์บาย เพิ่มความหนาแน่น และลด EMI ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขันและห่วงโซ่อุปทาน ⛔ TI ไม่ได้ผลิตชิปขั้นสูงสำหรับ AI หรือ HPC อาจเสียเปรียบในตลาดประสิทธิภาพสูง ⛔ แม้จะช่วยเสริมความมั่นคง แต่การลงทุนมหาศาลยังเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/new-texas-instruments-fab-will-pump-out-tens-of-millions-of-chips-per-day-first-300mm-fab-starts-production-after-usd60-billion-investment
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • AI ใช้พลังงานและน้ำมากกว่า Bitcoin Mining

    รายงานจาก Alex de Vries-Gao นักวิจัยจาก VU Amsterdam Institute for Environmental Studies ระบุว่า ความต้องการพลังงานของ AI อาจสูงถึง 23 กิกะวัตต์ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานของ Bitcoin mining ทั้งปี 2024 นอกจากนี้ยังคาดว่า AI จะใช้น้ำระหว่าง 312.5 ถึง 764.6 พันล้านลิตร สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล เทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภคในหนึ่งปี

    แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นการประมาณ แต่ก็สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้ทรัพยากรจริงในรายงานความยั่งยืน ทำให้การประเมินต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลการลงทุนและการติดตั้งฮาร์ดแวร์

    ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมาก โดยคาดว่า AI อาจสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศในปี 2022 นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขุดแร่ การผลิตชิป และการกำจัดอุปกรณ์

    นักการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อการใช้ทรัพยากรของ AI โดยมีการเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำอย่างละเอียด รวมถึงข้อเสนอให้ชะลอการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การใช้พลังงานของ AI
    คาดว่าจะสูงถึง 23GW ในปี 2025 มากกว่า Bitcoin mining ปี 2024

    การใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน
    อยู่ระหว่าง 312.5–764.6 พันล้านลิตร เทียบเท่าน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภค

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ใกล้เคียงกับการปล่อยของประเทศสิงคโปร์ในปี 2022

    ความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี
    ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำในรายงานความยั่งยืน

    คำเตือนด้านสิ่งแวดล้อม
    ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน
    การขยายศูนย์ข้อมูล AI อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำและพลังงานของประชาชนในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-surpasses-2024-bitcoin-mining-in-energy-usage-uses-more-h20-than-the-bottles-of-water-people-drink-globally-study-claims-says-ai-demand-could-hit-23gw-and-up-to-764-billion-liters-of-water-in-2025
    ⚡ AI ใช้พลังงานและน้ำมากกว่า Bitcoin Mining รายงานจาก Alex de Vries-Gao นักวิจัยจาก VU Amsterdam Institute for Environmental Studies ระบุว่า ความต้องการพลังงานของ AI อาจสูงถึง 23 กิกะวัตต์ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานของ Bitcoin mining ทั้งปี 2024 นอกจากนี้ยังคาดว่า AI จะใช้น้ำระหว่าง 312.5 ถึง 764.6 พันล้านลิตร สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล เทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภคในหนึ่งปี แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นการประมาณ แต่ก็สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้ทรัพยากรจริงในรายงานความยั่งยืน ทำให้การประเมินต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลการลงทุนและการติดตั้งฮาร์ดแวร์ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมาก โดยคาดว่า AI อาจสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศในปี 2022 นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขุดแร่ การผลิตชิป และการกำจัดอุปกรณ์ นักการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อการใช้ทรัพยากรของ AI โดยมีการเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำอย่างละเอียด รวมถึงข้อเสนอให้ชะลอการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การใช้พลังงานของ AI ➡️ คาดว่าจะสูงถึง 23GW ในปี 2025 มากกว่า Bitcoin mining ปี 2024 ✅ การใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน ➡️ อยู่ระหว่าง 312.5–764.6 พันล้านลิตร เทียบเท่าน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภค ✅ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ➡️ เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ใกล้เคียงกับการปล่อยของประเทศสิงคโปร์ในปี 2022 ✅ ความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำในรายงานความยั่งยืน ‼️ คำเตือนด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูล AI อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำและพลังงานของประชาชนในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-surpasses-2024-bitcoin-mining-in-energy-usage-uses-more-h20-than-the-bottles-of-water-people-drink-globally-study-claims-says-ai-demand-could-hit-23gw-and-up-to-764-billion-liters-of-water-in-2025
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • แนวคิด “No Graphics API” – ลดความซับซ้อนของกราฟิก API

    Sebastian Aaltonen นักพัฒนาเกมที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี อธิบายว่าการเปลี่ยนผ่านจาก DirectX 11 และ OpenGL ไปสู่ API รุ่นใหม่อย่าง DirectX 12, Vulkan และ Metal เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ AAA games ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด หลายเกมเมื่อพอร์ตไปยัง API ใหม่กลับมีประสิทธิภาพลดลง เพราะโครงสร้างของ engine เดิมไม่สอดคล้องกับ persistent objects ที่ API ใหม่บังคับใช้.

    เขาชี้ว่า GPU ปัจจุบันมีวิวัฒนาการไปไกล เช่น coherent last-level caches, bindless texture samplers และการรองรับ 64-bit GPU pointers ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ retained mode objects ที่ซับซ้อนอีกต่อไป ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ PSO permutation explosion ที่ทำให้ cache ของผู้ใช้กินพื้นที่มากกว่า 100GB และต้องพึ่งพา cloud servers ของ vendor เพื่อเก็บ pipeline state objects.

    Aaltonen เสนอว่าหากออกแบบ API ใหม่โดยยึดตามสถาปัตยกรรม GPU ปัจจุบัน เราสามารถลดความซับซ้อนลงอย่างมาก เช่น ใช้ pointer-based memory management แบบ CUDA และ Metal, รองรับ wide loads และ coherent memory โดยตรง รวมถึงการจัดการ descriptor heap ที่โปร่งใสและง่ายต่อการเขียน shader.

    แนวคิด “No Graphics API” จึงไม่ใช่การลบ API ออกไปทั้งหมด แต่เป็นการลด abstraction ที่ไม่จำเป็น และให้ GPU ทำงานตรงกับหน่วยความจำและ pointer โดยตรง เพื่อแก้ปัญหาประสิทธิภาพและความซับซ้อนที่สะสมมานานกว่า 20 ปีในวงการกราฟิก API.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ปัญหาของ API รุ่นใหม่ (DX12/Vulkan/Metal)
    ซับซ้อนเกินไปสำหรับ engine เดิม
    เกิด PSO permutation explosion และ cache ขนาดมหาศาล

    วิวัฒนาการของ GPU ปัจจุบัน
    มี coherent caches และ bindless samplers
    รองรับ 64-bit GPU pointers และ direct memory access

    แนวคิด “No Graphics API”
    ลด abstraction ที่ไม่จำเป็น
    ใช้ pointer-based memory และ descriptor heap ที่โปร่งใส

    คำเตือนต่ออุตสาหกรรม
    หากยังยึดติดกับ API รุ่นเก่า จะสร้างภาระ cache และ pipeline state ที่ไม่จำเป็น
    ความซับซ้อนที่สะสมอาจทำให้การพัฒนาเกมและกราฟิกช้าลงและสิ้นเปลืองทรัพยากร

    https://www.sebastianaaltonen.com/blog/no-graphics-api
    🖥️ แนวคิด “No Graphics API” – ลดความซับซ้อนของกราฟิก API Sebastian Aaltonen นักพัฒนาเกมที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี อธิบายว่าการเปลี่ยนผ่านจาก DirectX 11 และ OpenGL ไปสู่ API รุ่นใหม่อย่าง DirectX 12, Vulkan และ Metal เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ AAA games ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด หลายเกมเมื่อพอร์ตไปยัง API ใหม่กลับมีประสิทธิภาพลดลง เพราะโครงสร้างของ engine เดิมไม่สอดคล้องกับ persistent objects ที่ API ใหม่บังคับใช้. เขาชี้ว่า GPU ปัจจุบันมีวิวัฒนาการไปไกล เช่น coherent last-level caches, bindless texture samplers และการรองรับ 64-bit GPU pointers ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ retained mode objects ที่ซับซ้อนอีกต่อไป ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ PSO permutation explosion ที่ทำให้ cache ของผู้ใช้กินพื้นที่มากกว่า 100GB และต้องพึ่งพา cloud servers ของ vendor เพื่อเก็บ pipeline state objects. Aaltonen เสนอว่าหากออกแบบ API ใหม่โดยยึดตามสถาปัตยกรรม GPU ปัจจุบัน เราสามารถลดความซับซ้อนลงอย่างมาก เช่น ใช้ pointer-based memory management แบบ CUDA และ Metal, รองรับ wide loads และ coherent memory โดยตรง รวมถึงการจัดการ descriptor heap ที่โปร่งใสและง่ายต่อการเขียน shader. แนวคิด “No Graphics API” จึงไม่ใช่การลบ API ออกไปทั้งหมด แต่เป็นการลด abstraction ที่ไม่จำเป็น และให้ GPU ทำงานตรงกับหน่วยความจำและ pointer โดยตรง เพื่อแก้ปัญหาประสิทธิภาพและความซับซ้อนที่สะสมมานานกว่า 20 ปีในวงการกราฟิก API. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ปัญหาของ API รุ่นใหม่ (DX12/Vulkan/Metal) ➡️ ซับซ้อนเกินไปสำหรับ engine เดิม ➡️ เกิด PSO permutation explosion และ cache ขนาดมหาศาล ✅ วิวัฒนาการของ GPU ปัจจุบัน ➡️ มี coherent caches และ bindless samplers ➡️ รองรับ 64-bit GPU pointers และ direct memory access ✅ แนวคิด “No Graphics API” ➡️ ลด abstraction ที่ไม่จำเป็น ➡️ ใช้ pointer-based memory และ descriptor heap ที่โปร่งใส ‼️ คำเตือนต่ออุตสาหกรรม ⛔ หากยังยึดติดกับ API รุ่นเก่า จะสร้างภาระ cache และ pipeline state ที่ไม่จำเป็น ⛔ ความซับซ้อนที่สะสมอาจทำให้การพัฒนาเกมและกราฟิกช้าลงและสิ้นเปลืองทรัพยากร https://www.sebastianaaltonen.com/blog/no-graphics-api
    WWW.SEBASTIANAALTONEN.COM
    No Graphics API — Sebastian Aaltonen
    Graphics APIs and shader languages have significantly increased in complexity over the past decade. It’s time to start discussing how to strip down the abstractions to simplify development, improve performance, and prepare for future GPU workloads.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • AI กำลังทำให้ Formal Verification กลายเป็นกระแสหลักในซอฟต์แวร์

    Formal Verification หรือการพิสูจน์ความถูกต้องของซอฟต์แวร์ด้วยหลักคณิตศาสตร์ เคยเป็นเรื่องที่ใช้เฉพาะในงานวิจัยหรือระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ระบบการบินหรือการเข้ารหัสข้อมูล เนื่องจากต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญสูงมาก เช่น กรณี seL4 microkernel ที่ใช้เวลาถึง 20 ปีคนในการพิสูจน์ความถูกต้องของโค้ดเพียงไม่กี่พันบรรทัด. แต่ปัจจุบัน AI โดยเฉพาะ LLM-based coding assistants กำลังเข้ามาช่วยลดภาระนี้อย่างมหาศาล.

    AI ไม่เพียงแต่ช่วยเขียนโค้ด แต่ยังสามารถสร้าง proof scripts เพื่อยืนยันว่าโค้ดนั้นสอดคล้องกับสเปกที่กำหนดไว้ Proof checkers อย่าง Isabelle หรือ Lean จะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้แม้ AI จะ “หลอน” หรือสร้างโค้ดผิดพลาด ก็ไม่สามารถผ่านการตรวจสอบได้ สิ่งนี้เปลี่ยนสมการทางเศรษฐศาสตร์ของการพัฒนา เพราะต้นทุนการพิสูจน์ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับต้นทุนของบั๊กที่อาจสร้างความเสียหาย.

    นอกจากการลดต้นทุนแล้ว AI ยังสร้าง “ความจำเป็นใหม่” ในการใช้ Formal Verification เนื่องจากโค้ดที่สร้างโดย AI มีความเร็วสูงแต่เสี่ยงต่อข้อผิดพลาดที่มนุษย์อาจตรวจไม่พบ การให้ AI พิสูจน์ความถูกต้องของโค้ดที่มันสร้างเอง จึงเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือกว่าการตรวจสอบด้วยสายตามนุษย์ และอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม.

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การเขียน formal specification หรือการกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการให้โค้ดมี ซึ่งยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญและการตีความที่ถูกต้อง หากสเปกไม่ชัดเจน การพิสูจน์ก็ไม่มีความหมาย นักวิจัยบางส่วนจึงมองว่า AI อาจช่วยแปลสเปกจากภาษาธรรมชาติเป็นภาษาทางการได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องการตีความผิดพลาดที่ต้องระวัง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    AI กำลังทำให้ Formal Verification เข้าสู่กระแสหลัก
    Proof assistants เช่น Lean, Isabelle, Agda ถูกใช้ร่วมกับ AI เพื่อลดภาระการเขียน proof scripts
    ต้นทุนการพิสูจน์ลดลง ทำให้การตรวจสอบโค้ดมีความคุ้มค่ามากขึ้น

    AI สร้างความจำเป็นใหม่ในการตรวจสอบโค้ด
    โค้ดที่สร้างโดย LLMs มีความเร็วสูงแต่เสี่ยงต่อบั๊ก
    Proof checkers สามารถป้องกันข้อผิดพลาดที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น

    การเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐศาสตร์และมาตรฐานอุตสาหกรรม
    ต้นทุนบั๊กสูงกว่าต้นทุนการพิสูจน์ ทำให้ Formal Verification มีความคุ้มค่า
    อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในซอฟต์แวร์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    การเขียน formal specification ยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง หากผิดพลาดจะทำให้การพิสูจน์ไร้ค่า
    การใช้ AI แปลสเปกจากภาษาธรรมชาติอาจเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาด

    https://martin.kleppmann.com/2025/12/08/ai-formal-verification.html
    🧩 AI กำลังทำให้ Formal Verification กลายเป็นกระแสหลักในซอฟต์แวร์ Formal Verification หรือการพิสูจน์ความถูกต้องของซอฟต์แวร์ด้วยหลักคณิตศาสตร์ เคยเป็นเรื่องที่ใช้เฉพาะในงานวิจัยหรือระบบที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ระบบการบินหรือการเข้ารหัสข้อมูล เนื่องจากต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญสูงมาก เช่น กรณี seL4 microkernel ที่ใช้เวลาถึง 20 ปีคนในการพิสูจน์ความถูกต้องของโค้ดเพียงไม่กี่พันบรรทัด. แต่ปัจจุบัน AI โดยเฉพาะ LLM-based coding assistants กำลังเข้ามาช่วยลดภาระนี้อย่างมหาศาล. AI ไม่เพียงแต่ช่วยเขียนโค้ด แต่ยังสามารถสร้าง proof scripts เพื่อยืนยันว่าโค้ดนั้นสอดคล้องกับสเปกที่กำหนดไว้ Proof checkers อย่าง Isabelle หรือ Lean จะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้แม้ AI จะ “หลอน” หรือสร้างโค้ดผิดพลาด ก็ไม่สามารถผ่านการตรวจสอบได้ สิ่งนี้เปลี่ยนสมการทางเศรษฐศาสตร์ของการพัฒนา เพราะต้นทุนการพิสูจน์ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับต้นทุนของบั๊กที่อาจสร้างความเสียหาย. นอกจากการลดต้นทุนแล้ว AI ยังสร้าง “ความจำเป็นใหม่” ในการใช้ Formal Verification เนื่องจากโค้ดที่สร้างโดย AI มีความเร็วสูงแต่เสี่ยงต่อข้อผิดพลาดที่มนุษย์อาจตรวจไม่พบ การให้ AI พิสูจน์ความถูกต้องของโค้ดที่มันสร้างเอง จึงเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือกว่าการตรวจสอบด้วยสายตามนุษย์ และอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม. อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การเขียน formal specification หรือการกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการให้โค้ดมี ซึ่งยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญและการตีความที่ถูกต้อง หากสเปกไม่ชัดเจน การพิสูจน์ก็ไม่มีความหมาย นักวิจัยบางส่วนจึงมองว่า AI อาจช่วยแปลสเปกจากภาษาธรรมชาติเป็นภาษาทางการได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องการตีความผิดพลาดที่ต้องระวัง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ AI กำลังทำให้ Formal Verification เข้าสู่กระแสหลัก ➡️ Proof assistants เช่น Lean, Isabelle, Agda ถูกใช้ร่วมกับ AI เพื่อลดภาระการเขียน proof scripts ➡️ ต้นทุนการพิสูจน์ลดลง ทำให้การตรวจสอบโค้ดมีความคุ้มค่ามากขึ้น ✅ AI สร้างความจำเป็นใหม่ในการตรวจสอบโค้ด ➡️ โค้ดที่สร้างโดย LLMs มีความเร็วสูงแต่เสี่ยงต่อบั๊ก ➡️ Proof checkers สามารถป้องกันข้อผิดพลาดที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ✅ การเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐศาสตร์และมาตรฐานอุตสาหกรรม ➡️ ต้นทุนบั๊กสูงกว่าต้นทุนการพิสูจน์ ทำให้ Formal Verification มีความคุ้มค่า ➡️ อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในซอฟต์แวร์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ การเขียน formal specification ยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง หากผิดพลาดจะทำให้การพิสูจน์ไร้ค่า ⛔ การใช้ AI แปลสเปกจากภาษาธรรมชาติอาจเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาด https://martin.kleppmann.com/2025/12/08/ai-formal-verification.html
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • “อนุทิน” เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำถามประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว และได้ส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาดำเนินการต่อไป โดยย้ำต้องทำให้ถูกต้องตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันปัญหาการตีความในภายหลัง
    .
    นายอนุทิน ระบุว่า ครม.อยากให้การทำประชามติเกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เพื่อความสะดวกและช่วยประหยัดงบประมาณ ซึ่งคาดว่าจะประหยัดได้ราว 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กกต.
    .
    ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ยอมรับว่า หากไม่สามารถทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 ได้ในช่วงนี้ พรรคภูมิใจไทยอาจนำประเด็นดังกล่าวไปใช้เป็นนโยบายหาเสียง เนื่องจากเป็นจุดยืนของพรรคมาโดยตลอด
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121814
    .
    #News1live #News1 #อนุทิน #ครม #ประชามติ #แก้รัฐธรรมนูญ #เลือกตั้ง2569 #ภูมิใจไทย #MOU43 #MOU44
    “อนุทิน” เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำถามประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว และได้ส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาดำเนินการต่อไป โดยย้ำต้องทำให้ถูกต้องตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันปัญหาการตีความในภายหลัง . นายอนุทิน ระบุว่า ครม.อยากให้การทำประชามติเกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เพื่อความสะดวกและช่วยประหยัดงบประมาณ ซึ่งคาดว่าจะประหยัดได้ราว 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กกต. . ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ยอมรับว่า หากไม่สามารถทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 ได้ในช่วงนี้ พรรคภูมิใจไทยอาจนำประเด็นดังกล่าวไปใช้เป็นนโยบายหาเสียง เนื่องจากเป็นจุดยืนของพรรคมาโดยตลอด . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121814 . #News1live #News1 #อนุทิน #ครม #ประชามติ #แก้รัฐธรรมนูญ #เลือกตั้ง2569 #ภูมิใจไทย #MOU43 #MOU44
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • ศาลอาญาพิพากษาจำคุก พฤทธิกร สาระกุล อดีตทีมงานก้าวหน้า รวม 20 ปี จากคดีโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันผ่านสื่อสังคมออนไลน์รวม 10 ครั้ง เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
    .
    ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการใส่ร้ายดูหมิ่นอย่างร้ายแรง กระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร
    .
    คดีนี้จำเลยหลบหนีระหว่างการพิจารณา ศาลจึงสั่งออกหมายจับและอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย พร้อมดำเนินกระบวนการตามกฎหมายต่อไป
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121760
    .
    #News1live #News1 #ศาลอาญา #หมิ่นสถาบัน #มาตรา112 #คดีความมั่นคง #กฎหมายไทย
    ศาลอาญาพิพากษาจำคุก พฤทธิกร สาระกุล อดีตทีมงานก้าวหน้า รวม 20 ปี จากคดีโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันผ่านสื่อสังคมออนไลน์รวม 10 ครั้ง เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ . ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการใส่ร้ายดูหมิ่นอย่างร้ายแรง กระทบต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร . คดีนี้จำเลยหลบหนีระหว่างการพิจารณา ศาลจึงสั่งออกหมายจับและอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย พร้อมดำเนินกระบวนการตามกฎหมายต่อไป . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121760 . #News1live #News1 #ศาลอาญา #หมิ่นสถาบัน #มาตรา112 #คดีความมั่นคง #กฎหมายไทย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • ชำแหละเหลี่ยม “จิรัฏฐ์” ทำไมสู้คดีคนเดียว ปมร้อน “สด.43 ปลอม”
    .
    คดีปลอมใบ สด.43 ของ “จิรัฏฐ์” อดีต สส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคประชาชน กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จากข้อหาใช้เอกสารราชการปลอม
    .
    คำถามสำคัญที่ถูกตั้งขึ้น คือเหตุใดจำเลยจึงเลือกเบิกความเพียงคนเดียว ไม่เรียกคณะกรรมการตรวจเลือกทหารในพื้นที่มาเป็นพยาน ทั้งที่ใบ สด.43 ฉบับดังกล่าวถูกใช้สมัคร สส. ถึงสองครั้ง
    .
    กูรูกฎหมายชี้ หากมีการดึงคณะกรรมการตรวจเลือกทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง คดีอาจลุกลามไปสู่คดีทุจริตข้าราชการ และเปลี่ยนเส้นทางการพิจารณาไปอีกระดับ ซึ่งอาจทำให้โทษหนักขึ้นหลายเท่า
    .
    ขณะเดียวกัน การส่งภริยาลงสมัคร สส. แทนตัวเอง ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถามต่อความรับผิดชอบของพรรคการเมือง และระบบตรวจสอบภายใน
    .
    คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่สะเทือนถึงมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง และความเชื่อมั่นของประชาชน
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121723 .
    .
    #News1live #News1 #ปมร้อนข่าวลึก #truthfromthailand #newsupdate #สด43ปลอม #การเมืองไทย #จริยธรรมนักการเมือง
    ชำแหละเหลี่ยม “จิรัฏฐ์” ทำไมสู้คดีคนเดียว ปมร้อน “สด.43 ปลอม” . คดีปลอมใบ สด.43 ของ “จิรัฏฐ์” อดีต สส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคประชาชน กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จากข้อหาใช้เอกสารราชการปลอม . คำถามสำคัญที่ถูกตั้งขึ้น คือเหตุใดจำเลยจึงเลือกเบิกความเพียงคนเดียว ไม่เรียกคณะกรรมการตรวจเลือกทหารในพื้นที่มาเป็นพยาน ทั้งที่ใบ สด.43 ฉบับดังกล่าวถูกใช้สมัคร สส. ถึงสองครั้ง . กูรูกฎหมายชี้ หากมีการดึงคณะกรรมการตรวจเลือกทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง คดีอาจลุกลามไปสู่คดีทุจริตข้าราชการ และเปลี่ยนเส้นทางการพิจารณาไปอีกระดับ ซึ่งอาจทำให้โทษหนักขึ้นหลายเท่า . ขณะเดียวกัน การส่งภริยาลงสมัคร สส. แทนตัวเอง ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถามต่อความรับผิดชอบของพรรคการเมือง และระบบตรวจสอบภายใน . คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่สะเทือนถึงมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง และความเชื่อมั่นของประชาชน . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121723 . . #News1live #News1 #ปมร้อนข่าวลึก #truthfromthailand #newsupdate #สด43ปลอม #การเมืองไทย #จริยธรรมนักการเมือง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า ได้ร้องขอประธานาธิบดีจีน สี จิ้ผิง ให้พิจารณาปล่อยตัว จิมมี ไล มหาเศรษฐีเจ้าของสื่อฮ่องกง หลังถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดคดีปลุกปั่นและคดีความมั่นคง
    .
    ทรัมป์ระบุว่า ไลมีอายุมากและมีปัญหาสุขภาพ จึงขอให้ฝ่ายจีนพิจารณาการปล่อยตัวด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม โดยยอมรับว่าได้หยิบยกประเด็นนี้หารือกับผู้นำจีนมาแล้ว
    .
    คดีของจิมมี ไล ถูกจับตาในระดับนานาชาติ ในฐานะตัวชี้วัดเสรีภาพสื่อและความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรมในฮ่องกง ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ อังกฤษ และสหภาพยุโรป ขณะที่จีนย้ำไม่ยอมรับการแทรกแซงกิจการภายใน
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121636
    .
    #News1live #News1 #ทรัมป์ #สีจิ้ผิง #จิมมีไล #ฮ่องกง #การเมืองโลก #เสรีภาพสื่อ
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า ได้ร้องขอประธานาธิบดีจีน สี จิ้ผิง ให้พิจารณาปล่อยตัว จิมมี ไล มหาเศรษฐีเจ้าของสื่อฮ่องกง หลังถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดคดีปลุกปั่นและคดีความมั่นคง . ทรัมป์ระบุว่า ไลมีอายุมากและมีปัญหาสุขภาพ จึงขอให้ฝ่ายจีนพิจารณาการปล่อยตัวด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม โดยยอมรับว่าได้หยิบยกประเด็นนี้หารือกับผู้นำจีนมาแล้ว . คดีของจิมมี ไล ถูกจับตาในระดับนานาชาติ ในฐานะตัวชี้วัดเสรีภาพสื่อและความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรมในฮ่องกง ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ อังกฤษ และสหภาพยุโรป ขณะที่จีนย้ำไม่ยอมรับการแทรกแซงกิจการภายใน . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121636 . #News1live #News1 #ทรัมป์ #สีจิ้ผิง #จิมมีไล #ฮ่องกง #การเมืองโลก #เสรีภาพสื่อ
    Like
    Haha
    3
    1 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • ไหวเหรอยศชนัน ลูกสมชายเจ๊แดง

    การเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ในช่วงการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากกระแสสังคมจะเงียบเชียบแล้ว แคนดิเดต 3 คนที่เสนอมา สองคนแรกไม่มีอะไรใหม่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่มีผลงานโดดเด่น แม้สมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่กระทรวงเกรดเอ ในตำแหน่ง รมช.คลัง หนำซ้ำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทก็ล้มเหลว ส่วนนายสุุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คนที่ติดตามการเมืองมานานจะร้องยี้ เพราะเวียนวนเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คุมกระทรวงคมนาคม หนำซ้ำยังถูกเคลือบแคลงสงสัยกรณี CTX9000

    จะมีหน้าใหม่อยู่คนเดียว คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ เชน แม้จะมีโปร์ไฟล์เป็นถึงอดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีผลงานวิจัยมากมาย แต่สังคมไม่ได้สนใจเท่ากับเป็นลูกชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงถูกจับตามองทันทีว่าสืบทอดอำนาจทางการเมืองในตระกูลชินวัตรหรือไม่ หลังครอบครัวและเครือญาติตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีโทษจำคุกคดีโครงการรับจำนำข้าว และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงนายฮุน เซน แห่งกัมพูชา

    พรรคเพื่อไทยพยายามยกเครื่องพรรคเพื่อสลัดภาพความเป็นพรรครากหญ้า พรรคประชานิยมแจกแหลก ด้วยวาทกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย" ออกแบบด้วยวิทยาศาสตร์และเหตุผล ไปสู้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างพรรคประชาชน แต่ก็ยังมีนโยบายประชานิยมติดมาด้วย ทั้งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ถูกตั้งคำถามว่าจะยั่งยืนหรือไม่ รวมไปถึงนโยบายล้างหนี้ให้คนไทย สูงสุด 100,000 บาท แต่ไม่พูดถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นบาดแผลของพรรค รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข้อกล่าวหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับครอบครัวนายฮุน เซน

    อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยังคงเลือดไหลไม่หยุด สส. มากกว่า 10 คน เห็นท่าไม่ดีย้ายไปพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลชินวัตร แม้นายทักษิณที่เป็นศาสดาของพรรค จะถูกจำคุกในคดีทุจริต รวมทั้งคดีมาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดสั่งให้อุทธรณ์ แถมยังแพ้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ 1.76 หมื่นล้านบาท กลายเป็นมีดปักหลังตระกูลการเมืองผู้มั่งคั่ง ที่หากดึงออกเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น ความล้มเหลวของรัฐบาลแพทองธาร รวมทั้งข้อกล่าวหาขายชาติ อาจทำให้หาเสียงยากที่สุด จึงกลายเป็นคำถามว่า ทั้งคนทั้งพรรคจะเข็นกันไหวหรือ?

    #Newskit
    ไหวเหรอยศชนัน ลูกสมชายเจ๊แดง การเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ในช่วงการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากกระแสสังคมจะเงียบเชียบแล้ว แคนดิเดต 3 คนที่เสนอมา สองคนแรกไม่มีอะไรใหม่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่มีผลงานโดดเด่น แม้สมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่กระทรวงเกรดเอ ในตำแหน่ง รมช.คลัง หนำซ้ำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทก็ล้มเหลว ส่วนนายสุุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คนที่ติดตามการเมืองมานานจะร้องยี้ เพราะเวียนวนเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่คุมกระทรวงคมนาคม หนำซ้ำยังถูกเคลือบแคลงสงสัยกรณี CTX9000 จะมีหน้าใหม่อยู่คนเดียว คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ เชน แม้จะมีโปร์ไฟล์เป็นถึงอดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีผลงานวิจัยมากมาย แต่สังคมไม่ได้สนใจเท่ากับเป็นลูกชาย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงถูกจับตามองทันทีว่าสืบทอดอำนาจทางการเมืองในตระกูลชินวัตรหรือไม่ หลังครอบครัวและเครือญาติตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีโทษจำคุกคดีโครงการรับจำนำข้าว และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงนายฮุน เซน แห่งกัมพูชา พรรคเพื่อไทยพยายามยกเครื่องพรรคเพื่อสลัดภาพความเป็นพรรครากหญ้า พรรคประชานิยมแจกแหลก ด้วยวาทกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย" ออกแบบด้วยวิทยาศาสตร์และเหตุผล ไปสู้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างพรรคประชาชน แต่ก็ยังมีนโยบายประชานิยมติดมาด้วย ทั้งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ถูกตั้งคำถามว่าจะยั่งยืนหรือไม่ รวมไปถึงนโยบายล้างหนี้ให้คนไทย สูงสุด 100,000 บาท แต่ไม่พูดถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นบาดแผลของพรรค รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีข้อกล่าวหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตระกูลชินวัตร กับครอบครัวนายฮุน เซน อีกด้านหนึ่ง พรรคเพื่อไทยยังคงเลือดไหลไม่หยุด สส. มากกว่า 10 คน เห็นท่าไม่ดีย้ายไปพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลชินวัตร แม้นายทักษิณที่เป็นศาสดาของพรรค จะถูกจำคุกในคดีทุจริต รวมทั้งคดีมาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดสั่งให้อุทธรณ์ แถมยังแพ้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ 1.76 หมื่นล้านบาท กลายเป็นมีดปักหลังตระกูลการเมืองผู้มั่งคั่ง ที่หากดึงออกเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น ความล้มเหลวของรัฐบาลแพทองธาร รวมทั้งข้อกล่าวหาขายชาติ อาจทำให้หาเสียงยากที่สุด จึงกลายเป็นคำถามว่า ทั้งคนทั้งพรรคจะเข็นกันไหวหรือ? #Newskit
    1 Comments 0 Shares 289 Views 0 Reviews
More Results