• บรรดาผู้นำประเทศต่างๆจำเป็นต้องตระหนักว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ "จริงจังอย่างมาก" เกี่ยวกับการยุติความขัดแย้งยูเครน จากความเห็นของ อเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ประธานาธิบดีโปแลนด์ ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
    .
    ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นในขณะที่มีข่าวว่า ทรัมป์ จะแต่งตั้งทูตพิเศษสำหรับเป็นผู้นำในการเจรจาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในยูเครน หลังจากเขาเคยประกาศระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ว่าจะยุติสงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟภายใน 24 ชั่วโมง ที่กลับเข้าสู่อำนาจ
    .
    ประธานาธิบดีโปแลนด์ ทำนายเหมือนกับหลายคน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆนานาในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ หลังจากได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับว่าที่ผู้นำสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์(11พ.ย.) ทั้งนี้ สตับบ์ ชี้แนะว่าบรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายของเคียฟ ควรอำนวยความสะดวกแก่การเจรจา ก่อน ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม
    .
    "ผมคิดว่า เราในยุโรปและทั่วทั้งโลก จำเป็นต้องเข้าใจว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีความจริงจังอย่างมากเกี่ยวกับการได้ข้อตกลงสันติภาพ โดยไม่ชักช้าเกินไป" เขากล่าวในวันอังคาร(12พ.ย.) รอบนอกการประชุมภาวะโลกร้อนในอาเซอร์ไบจาน "ตัวผมเองเคยบอกว่า มันมีประตูแห่งโอกาสของการเจรจานี้ ในระหว่างศึกเลือกตั้งและวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง"
    .
    ที่ผ่านมา สตับบ์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ส่งเสียงสนับสนุนเหตุผลของยูเครนอย่างแข็งขัน และเมื่อถูกถามว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่า ทรัมป์ จะได้ข้อตกลงที่ยุติธรรมสำหรับยูเครน ทาง สตับบ์ เน้นย้ำว่าในความคิดเห็นของเขา ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับยูเครน คือยูเครนได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ อย่างไรก็ตามข้อเรียกร้องนี้ รัสเซีย เรียกมันว่าเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง
    .
    ทรัมป์ กล่าวอ้างระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ว่าเขาจะยุติความขัดแย้งภายใน 24 ชั่วโมง หากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเลือกเขากลับเข้าสู่อำนาจ ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของแผนการ แต่สื่อมวลชนบ่งชี้ว่าบางที ทรัมป์อาจถาโถมแรงกดดันใส่ทั้งมอสโกและเคียฟ เพื่อบีบให้ยอมประนีประนอม
    .
    ความเห็นของผู้นำโปแลนด์ มีขึ้นในขณะที่สำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์รายงานในวันพุธ(13พ.ย.) ว่า ทรัมป์ เตรียมแต่งตั้งทูตพิเศษที่จะรับหน้าที่เป็นผู้นำการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังจากก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เคยเผยว่าเขาจะพูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในอนาคตอันใกล้
    .
    "คุณกำลังได้เห็นทูตพิเศษระดับอาวุโสมากๆ บางคนที่มีความน่าเชื่อถืออย่างมาก ผู้ซึ่งจะได้รับมอบหมายให้หนทางออกหนึ่งๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการแก้ปัญหาอย่างสันติ" แหล่งข่าวซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามเปิดเผยกับฟ็อกซ์นิวส์ พร้อมระบุว่า "คุณกำลังจะได้เห็นสิ่งนี้ ในอนาคตอันใกล้"
    .
    ราว 1 สัปดาห์นับตั้งแต่เขาคว้าชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์เปิดเผยรายชื่อบุคคลต่างๆเป็นชุดๆ ที่เขามีความตั้งใจเสนอชื่อดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษา ในนั้นรวมถึงกรณีที่เขาเปิดเผยว่าจะแต่งตั้ง สตีเฟน วิตคอฟฟ์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลาง โดยบอกว่า วิตคอฟฟ์ จะส่งเสียงเรียกร้องแบบไม่หยุดสำหรับร้องหาสันติภาพในภูมิภาค
    .
    ทรัมป์ พูดคุยกับ เซเลนสกี ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน และบอกกับเอ็นบีซีนิวส์ ว่าเขาอยากพูดคุยกับปูตินในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ ปูติน แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ต่อชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา(7พ.ย.) และบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขาพร้อมหารือกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    .
    อย่างไรก็ตามวังเครมลินปฏิเสธซ้ำๆเกี่ยวกับคำพูดอวดอ้างว่า ทรัมป์ จะสามารถยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างง่ายดาย แม้ ปูติน ชี้ว่าถ้อยแถลงของทรัมป์ในเรื่องนี้ "อย่างน้อยๆ ก็คู่ควรได้รับความสนใจ"
    .
    ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทรัมป์ จะผลักดันทางออกใดในความขัดแย้งนี้ ระหว่างการหาเสียง ว่าที่รองประธานาธิบดีเจ.ดี.แวนซ์ บ่งชี้ว่าอาจมีการประกาศข้อตกลงหยุดยิงและจัดตั้งเขตปลอดทหารหนึ่งๆตามแนวหน้าในปัจจุบัน พร้อมกับไม่ไฟเขียวให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต
    .
    รายงานของวอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่าบรรดาที่ปรึกษาของทรัมป์ สนับสนุนแนวคิดบางส่วนของแผนนี้ และสนับสนุนให้ว่าที่ประธานาธิบดีนำเสนอมันกับทั้งเซเลนสกีและปูติน
    .
    มอสโก ยืนกรานว่าทางออกใดๆ จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการที่ยูเครนยุติปฏิบัติการทางทหารและยอมรับ "ความเป็นจริงด้านดินแดน" ที่ว่าพวกเขาไม่มีวันทวงคืนแคว้นต่างๆที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียได้อีกแล้ว ในนั้นประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์, แคว้นลูฮันสก์, แคว้นเคียร์ซอนและแคว้นซาโปริซเซีย รวมไปถึงแคว้นไครเมีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109496
    ..............
    Sondhi X
    บรรดาผู้นำประเทศต่างๆจำเป็นต้องตระหนักว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ "จริงจังอย่างมาก" เกี่ยวกับการยุติความขัดแย้งยูเครน จากความเห็นของ อเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ประธานาธิบดีโปแลนด์ ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก . ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นในขณะที่มีข่าวว่า ทรัมป์ จะแต่งตั้งทูตพิเศษสำหรับเป็นผู้นำในการเจรจาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในยูเครน หลังจากเขาเคยประกาศระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ว่าจะยุติสงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟภายใน 24 ชั่วโมง ที่กลับเข้าสู่อำนาจ . ประธานาธิบดีโปแลนด์ ทำนายเหมือนกับหลายคน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆนานาในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ หลังจากได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับว่าที่ผู้นำสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์(11พ.ย.) ทั้งนี้ สตับบ์ ชี้แนะว่าบรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายของเคียฟ ควรอำนวยความสะดวกแก่การเจรจา ก่อน ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม . "ผมคิดว่า เราในยุโรปและทั่วทั้งโลก จำเป็นต้องเข้าใจว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีความจริงจังอย่างมากเกี่ยวกับการได้ข้อตกลงสันติภาพ โดยไม่ชักช้าเกินไป" เขากล่าวในวันอังคาร(12พ.ย.) รอบนอกการประชุมภาวะโลกร้อนในอาเซอร์ไบจาน "ตัวผมเองเคยบอกว่า มันมีประตูแห่งโอกาสของการเจรจานี้ ในระหว่างศึกเลือกตั้งและวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง" . ที่ผ่านมา สตับบ์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ส่งเสียงสนับสนุนเหตุผลของยูเครนอย่างแข็งขัน และเมื่อถูกถามว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่า ทรัมป์ จะได้ข้อตกลงที่ยุติธรรมสำหรับยูเครน ทาง สตับบ์ เน้นย้ำว่าในความคิดเห็นของเขา ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับยูเครน คือยูเครนได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ อย่างไรก็ตามข้อเรียกร้องนี้ รัสเซีย เรียกมันว่าเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง . ทรัมป์ กล่าวอ้างระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ว่าเขาจะยุติความขัดแย้งภายใน 24 ชั่วโมง หากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเลือกเขากลับเข้าสู่อำนาจ ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของแผนการ แต่สื่อมวลชนบ่งชี้ว่าบางที ทรัมป์อาจถาโถมแรงกดดันใส่ทั้งมอสโกและเคียฟ เพื่อบีบให้ยอมประนีประนอม . ความเห็นของผู้นำโปแลนด์ มีขึ้นในขณะที่สำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์รายงานในวันพุธ(13พ.ย.) ว่า ทรัมป์ เตรียมแต่งตั้งทูตพิเศษที่จะรับหน้าที่เป็นผู้นำการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังจากก่อนหน้านี้ ทรัมป์ เคยเผยว่าเขาจะพูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในอนาคตอันใกล้ . "คุณกำลังได้เห็นทูตพิเศษระดับอาวุโสมากๆ บางคนที่มีความน่าเชื่อถืออย่างมาก ผู้ซึ่งจะได้รับมอบหมายให้หนทางออกหนึ่งๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการแก้ปัญหาอย่างสันติ" แหล่งข่าวซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามเปิดเผยกับฟ็อกซ์นิวส์ พร้อมระบุว่า "คุณกำลังจะได้เห็นสิ่งนี้ ในอนาคตอันใกล้" . ราว 1 สัปดาห์นับตั้งแต่เขาคว้าชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์เปิดเผยรายชื่อบุคคลต่างๆเป็นชุดๆ ที่เขามีความตั้งใจเสนอชื่อดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษา ในนั้นรวมถึงกรณีที่เขาเปิดเผยว่าจะแต่งตั้ง สตีเฟน วิตคอฟฟ์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลาง โดยบอกว่า วิตคอฟฟ์ จะส่งเสียงเรียกร้องแบบไม่หยุดสำหรับร้องหาสันติภาพในภูมิภาค . ทรัมป์ พูดคุยกับ เซเลนสกี ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน และบอกกับเอ็นบีซีนิวส์ ว่าเขาอยากพูดคุยกับปูตินในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ ปูติน แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ต่อชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา(7พ.ย.) และบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เขาพร้อมหารือกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ . อย่างไรก็ตามวังเครมลินปฏิเสธซ้ำๆเกี่ยวกับคำพูดอวดอ้างว่า ทรัมป์ จะสามารถยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างง่ายดาย แม้ ปูติน ชี้ว่าถ้อยแถลงของทรัมป์ในเรื่องนี้ "อย่างน้อยๆ ก็คู่ควรได้รับความสนใจ" . ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทรัมป์ จะผลักดันทางออกใดในความขัดแย้งนี้ ระหว่างการหาเสียง ว่าที่รองประธานาธิบดีเจ.ดี.แวนซ์ บ่งชี้ว่าอาจมีการประกาศข้อตกลงหยุดยิงและจัดตั้งเขตปลอดทหารหนึ่งๆตามแนวหน้าในปัจจุบัน พร้อมกับไม่ไฟเขียวให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต . รายงานของวอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่าบรรดาที่ปรึกษาของทรัมป์ สนับสนุนแนวคิดบางส่วนของแผนนี้ และสนับสนุนให้ว่าที่ประธานาธิบดีนำเสนอมันกับทั้งเซเลนสกีและปูติน . มอสโก ยืนกรานว่าทางออกใดๆ จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการที่ยูเครนยุติปฏิบัติการทางทหารและยอมรับ "ความเป็นจริงด้านดินแดน" ที่ว่าพวกเขาไม่มีวันทวงคืนแคว้นต่างๆที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียได้อีกแล้ว ในนั้นประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์, แคว้นลูฮันสก์, แคว้นเคียร์ซอนและแคว้นซาโปริซเซีย รวมไปถึงแคว้นไครเมีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109496 .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ตกรางวัล อีลอน มัสก์ แต่งตั้งคุมกระทรวงใหม่ที่รับผิดชอบการปฏิรูปรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของทีวีฟ็อกซ์ นิวส์และอดีตทหารผ่านศึก เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ดันแผนล้างบางนายพลสายก้าวหน้าและ “ผู้ทรยศ” ในเพนตากอน
    .
    มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครเพื่อเป็นตัวแทนรีพับลิกันลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ภายหลังถอนตัวและหันมาสนับสนุนทรัมป์ จะร่วมกันคุมกระทรวงใหม่ที่มีชื่อว่ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลแห่งนี้ โดยมุ่งตัดขั้นตอนระเบียบราชการตลอดจนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตลอดจนลดเลิกการใช้จ่ายที่สูญเปล่า และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
    .
    ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ประกาศเมื่อวันอังคาร (12 พ.ย) ว่า หน่วยงานใหม่นี้จะทำให้ฝันของพรรครีพับลิกันเป็นจริง รวมทั้งจะเสนอคำแนะนำและแนวทางจากภายนอกรัฐบาล เป็นการส่งสัญญาณว่า บทบาทของมัสก์และรามาสวามีจะอยู่ในลักษณะไม่เป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาเสียก่อน นอกจากนั้นมัสก์ยังสามารถเป็นซีอีโอเทสลา, เอ็กซ์ และสเปซเอ็กซ์ ต่อไปตามปกติ
    .
    กระทรวงใหม่นี้จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวและสำนักบริหารงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างและสร้างแนวทางแบบผู้ประกอบการเพื่อทำให้เกิดรัฐบาลแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน โดยที่ภารกิจนี้จะต้องลุล่วงภายในวันที่ 4 ก.ค. 2026 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 250 ปีการลงนามคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา
    .
    คาดกันว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะส่งให้ธุรกิจของมัสก์ที่นิตยสารฟอร์บส์ยกให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกและได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์ ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษจากรัฐบาล รวมทั้งจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งผลดีต่อพวกธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และคริปโต
    .
    ในการรณรงค์หาเสียงเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์รอบนี้ มีรายงานว่ามัสก์ทุ่มเงินสนับสนุนรวมแล้วเกินหลัก 100 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นเขายังตระเวนช่วยทรัมป์ปราศรัยหาเสียงอีกด้วย
    .
    สำหรับภารกิจใหม่ที่ทรัมป์อวดอ้างว่า จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่า “แมนฮัตตันโปรเจ็กต์” ซึ่งก็คือโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มัสก์สัญญาจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสที่สุด โดยจะรายงานการดำเนินการทั้งหมดทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมให้ข้อเสนอแนะบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์
    .
    ระหว่างปราศรัยช่วยทรัมป์หาเสียงที่ เมดิสันสแควร์การ์เด้น นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนที่แล้ว มัสก์ระบุว่า งบประมาณของรัฐบาลกลางควรต้องลดลงอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สำนักงบประมาณรัฐสภาประเมินว่า เฉพาะปีงบประมาณปัจจุบันรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายทางทหาร รวม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์จากค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลกลาง 6.75 ล้านล้านดอลลาร์
    .
    นอกจากนั้นชื่อย่อของกระทรวงใหม่คือ DOGE ยังพาดพิงถึงชื่อโดชคอยน์ ซึ่งเป็นคริปโตที่มัสก์สนับสนุน และราคาของมันก็ทะยานขึ้นเกินเท่าตัวนับจากวันเลือกตั้งตามกระแสการคาดหวังในตลาดคริปโตว่า คณะบริหารของทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบในอุตสาหกรรมนี้
    .
    สำหรับรามาสวามี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยา และปี 2021 เคยออกหนังสือ “โวค อิงก์” ติเตียนการตัดสินใจของบริษัทใหญ่บางแห่งที่กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจโดยอิงกับข้อกังวลเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    .
    นอกจากมัสก์และรามาสวามีแล้ว เมื่อคืนวันอังคารทรัมป์ยังเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของ ฟ็อกซ์ นิวส์ เครือข่ายทีวีอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) , จอห์น แรตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติในรัฐบาลทรัมป์ 1.0 เป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ), คริสตี โนเอ็ม ผู้ว่าการรัฐเซาธ์ดาโกตา เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้เขียนนโยบายผู้อพยพที่มุ่งแบนมุสลิมของทรัมป์ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่ทำงานทำเนียบขาว และไมค์ ฮักคาบี อดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอส์ เป็นเอกอัครราชทูตประจำอิสราเอล
    .
    อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ ดูจะเป็นตัวเลือกที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในบรรดาสมาชิกคณะบริหารที่ทรัมป์ประกาศออกมาจนถึงขณะนี้ รวมทั้งยังเรียกเสียงประณามจากฝ่ายตรงข้ามบางคน เช่น อดัม สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต ที่วิจารณ์ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมไม่ใช่งานสำหรับพวกมือใหม่
    .
    ทว่า ทรัมป์ยกย่องเฮกเซธ วัย 44 ปี อดีตทหารผ่านศึกสังกัดกองทหารรักษาดินแดน (เนชั่นแนลการ์ด) ที่เคยไปประจำการในอัฟกานิสถาน อิรัก และกวนตานาโม ว่า เป็นคนทรหด ฉลาด และเชื่อมั่นในนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนอย่างแท้จริง และสำทับว่า เฮกเซธจะทำให้กองทัพอเมริกันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
    .
    คาดหมายกันว่า หากได้รับการรับรองจากวุฒิสมาชิก เฮกเซธจะเป็นอาวุธชั้นดีในการกำจัดบรรดานายพลที่ทรัมป์กล่าวหาว่า ปฏิบัติตามนโยบายเชิงก้าวหน้าด้านความหลากหลายในกองทัพ เป็นต้นว่า การยอมรับชาวเกย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกอนุรักษนิยมคัดค้าน รวมทั้งยังอาจปะทะกับพลอากาศเอกซี.คิว. บราวน์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯคนปัจจุบัน ที่เฮกเซธกล่าวหาว่า รับนโยบายมาจากนักการเมืองฝ่ายซ้าย
    .
    ทั้งนี้ ภายในเพนตากอนกำลังกังวลว่า ทรัมป์ต้องการขุดรากถอนโคนนายทหารและข้าราชการพลเรือนที่เขามองว่าทรยศต่อตัวเขา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน เขาให้สัมภาษณ์ฟ็อกซ์นิวส์ว่า จะไล่นายพลที่ “ตื่นรู้” ซึ่งหมายถึงผู้ที่พุ่งความสนใจที่ความยุติธรรมด้านเชื้อชาติและสังคม ทว่า คำนี้ถูกพวกอนุรักษนิยมนำมาใช้เพื่อใส่ร้ายนโยบายเชิงก้าวหน้า
    .
    นอกจากนั้นเฮกเซธยังโจมตีชาติพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ว่าอ่อนแอ รวมทั้งชี้ว่า จีนกำลังจะครอบงำประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109487
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ตกรางวัล อีลอน มัสก์ แต่งตั้งคุมกระทรวงใหม่ที่รับผิดชอบการปฏิรูปรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของทีวีฟ็อกซ์ นิวส์และอดีตทหารผ่านศึก เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ดันแผนล้างบางนายพลสายก้าวหน้าและ “ผู้ทรยศ” ในเพนตากอน . มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครเพื่อเป็นตัวแทนรีพับลิกันลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ภายหลังถอนตัวและหันมาสนับสนุนทรัมป์ จะร่วมกันคุมกระทรวงใหม่ที่มีชื่อว่ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลแห่งนี้ โดยมุ่งตัดขั้นตอนระเบียบราชการตลอดจนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตลอดจนลดเลิกการใช้จ่ายที่สูญเปล่า และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง . ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ประกาศเมื่อวันอังคาร (12 พ.ย) ว่า หน่วยงานใหม่นี้จะทำให้ฝันของพรรครีพับลิกันเป็นจริง รวมทั้งจะเสนอคำแนะนำและแนวทางจากภายนอกรัฐบาล เป็นการส่งสัญญาณว่า บทบาทของมัสก์และรามาสวามีจะอยู่ในลักษณะไม่เป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาเสียก่อน นอกจากนั้นมัสก์ยังสามารถเป็นซีอีโอเทสลา, เอ็กซ์ และสเปซเอ็กซ์ ต่อไปตามปกติ . กระทรวงใหม่นี้จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวและสำนักบริหารงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างและสร้างแนวทางแบบผู้ประกอบการเพื่อทำให้เกิดรัฐบาลแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน โดยที่ภารกิจนี้จะต้องลุล่วงภายในวันที่ 4 ก.ค. 2026 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 250 ปีการลงนามคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา . คาดกันว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะส่งให้ธุรกิจของมัสก์ที่นิตยสารฟอร์บส์ยกให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกและได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์ ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษจากรัฐบาล รวมทั้งจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งผลดีต่อพวกธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และคริปโต . ในการรณรงค์หาเสียงเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์รอบนี้ มีรายงานว่ามัสก์ทุ่มเงินสนับสนุนรวมแล้วเกินหลัก 100 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นเขายังตระเวนช่วยทรัมป์ปราศรัยหาเสียงอีกด้วย . สำหรับภารกิจใหม่ที่ทรัมป์อวดอ้างว่า จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่า “แมนฮัตตันโปรเจ็กต์” ซึ่งก็คือโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มัสก์สัญญาจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสที่สุด โดยจะรายงานการดำเนินการทั้งหมดทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมให้ข้อเสนอแนะบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ . ระหว่างปราศรัยช่วยทรัมป์หาเสียงที่ เมดิสันสแควร์การ์เด้น นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนที่แล้ว มัสก์ระบุว่า งบประมาณของรัฐบาลกลางควรต้องลดลงอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สำนักงบประมาณรัฐสภาประเมินว่า เฉพาะปีงบประมาณปัจจุบันรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายทางทหาร รวม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์จากค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลกลาง 6.75 ล้านล้านดอลลาร์ . นอกจากนั้นชื่อย่อของกระทรวงใหม่คือ DOGE ยังพาดพิงถึงชื่อโดชคอยน์ ซึ่งเป็นคริปโตที่มัสก์สนับสนุน และราคาของมันก็ทะยานขึ้นเกินเท่าตัวนับจากวันเลือกตั้งตามกระแสการคาดหวังในตลาดคริปโตว่า คณะบริหารของทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบในอุตสาหกรรมนี้ . สำหรับรามาสวามี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยา และปี 2021 เคยออกหนังสือ “โวค อิงก์” ติเตียนการตัดสินใจของบริษัทใหญ่บางแห่งที่กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจโดยอิงกับข้อกังวลเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ . นอกจากมัสก์และรามาสวามีแล้ว เมื่อคืนวันอังคารทรัมป์ยังเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของ ฟ็อกซ์ นิวส์ เครือข่ายทีวีอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) , จอห์น แรตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติในรัฐบาลทรัมป์ 1.0 เป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ), คริสตี โนเอ็ม ผู้ว่าการรัฐเซาธ์ดาโกตา เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้เขียนนโยบายผู้อพยพที่มุ่งแบนมุสลิมของทรัมป์ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่ทำงานทำเนียบขาว และไมค์ ฮักคาบี อดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอส์ เป็นเอกอัครราชทูตประจำอิสราเอล . อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ ดูจะเป็นตัวเลือกที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในบรรดาสมาชิกคณะบริหารที่ทรัมป์ประกาศออกมาจนถึงขณะนี้ รวมทั้งยังเรียกเสียงประณามจากฝ่ายตรงข้ามบางคน เช่น อดัม สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต ที่วิจารณ์ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมไม่ใช่งานสำหรับพวกมือใหม่ . ทว่า ทรัมป์ยกย่องเฮกเซธ วัย 44 ปี อดีตทหารผ่านศึกสังกัดกองทหารรักษาดินแดน (เนชั่นแนลการ์ด) ที่เคยไปประจำการในอัฟกานิสถาน อิรัก และกวนตานาโม ว่า เป็นคนทรหด ฉลาด และเชื่อมั่นในนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนอย่างแท้จริง และสำทับว่า เฮกเซธจะทำให้กองทัพอเมริกันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง . คาดหมายกันว่า หากได้รับการรับรองจากวุฒิสมาชิก เฮกเซธจะเป็นอาวุธชั้นดีในการกำจัดบรรดานายพลที่ทรัมป์กล่าวหาว่า ปฏิบัติตามนโยบายเชิงก้าวหน้าด้านความหลากหลายในกองทัพ เป็นต้นว่า การยอมรับชาวเกย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกอนุรักษนิยมคัดค้าน รวมทั้งยังอาจปะทะกับพลอากาศเอกซี.คิว. บราวน์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯคนปัจจุบัน ที่เฮกเซธกล่าวหาว่า รับนโยบายมาจากนักการเมืองฝ่ายซ้าย . ทั้งนี้ ภายในเพนตากอนกำลังกังวลว่า ทรัมป์ต้องการขุดรากถอนโคนนายทหารและข้าราชการพลเรือนที่เขามองว่าทรยศต่อตัวเขา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน เขาให้สัมภาษณ์ฟ็อกซ์นิวส์ว่า จะไล่นายพลที่ “ตื่นรู้” ซึ่งหมายถึงผู้ที่พุ่งความสนใจที่ความยุติธรรมด้านเชื้อชาติและสังคม ทว่า คำนี้ถูกพวกอนุรักษนิยมนำมาใช้เพื่อใส่ร้ายนโยบายเชิงก้าวหน้า . นอกจากนั้นเฮกเซธยังโจมตีชาติพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ว่าอ่อนแอ รวมทั้งชี้ว่า จีนกำลังจะครอบงำประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109487 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❗️ทรัมป์ได้เลือกวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างเป็นทางการ

    โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาจะเสนอชื่อวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ จากฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ

    “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ, จากฟลอริดา, ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โกเป็นผู้นำที่ได้รับการเคารพนับถือ, และเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังสำหรับเสรีภาพ เขาจะเป็นผู้สนับสนุนประเทศชาติของเรา, เพื่อนแท้ของพันธมิตรของเรา, และเป็นนักรบผู้กล้าหาญที่จะไม่ยอมแพ้ต่อศัตรู ผมตั้งตารอที่จะร่วมงานกับมาร์โกเพื่อให้ประเทศอเมริกา, และโลก, ปลอดภัยและยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง!” ทรัมป์กล่าวในแถลงการณ์

    รูบิโอถือเป็นคู่หูของทรัมป์ในการชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งปี ๒๐๒๔, แต่เลือกรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์แทน นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน, เขาได้เสนอร่างกฎหมายต่อต้านรัสเซียหลายฉบับและมีมุมมองที่รุนแรงต่อจีนและรัสเซีย หากได้รับการแต่งตั้ง, รูบิโอจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกที่เป็นชาวฮิสแปนิก
    .
    ❗️ TRUMP HAS OFFICIALLY SELECTED SEN. MARCO RUBIO AS HIS PICK FOR SECRETARY OF STATE

    US President-elect Donald Trump said on Wednesday that he will nominate Florida Senator Marco Rubio to be the US Secretary of State.

    "It is my Great Honor to announce that Senator Marco Rubio, of Florida, is hereby nominated to be The United States Secretary of State. Marco is a Highly Respected Leader, and a very powerful Voice for Freedom. He will be a strong Advocate for our Nation, a true friend to our Allies, and a fearless Warrior who will never back down to our adversaries. I look forward to working with Marco to Make America, and the World, Safe and Great Again!" Trump said in a statement.

    Rubio was considered as Trump's running mate for the position of the US vice president in the 2024 election, but Vice President-elect J.D. Vance was chosen instead. Since the beginning of the Russian special military operation in Ukraine, he has introduced a number of Anti-Russian bills and holds harsh views on China and Russia. If appointed, Rubio would be the first Hispanic secretary of state.
    .
    Last edited 3:24 AM · Nov 14, 2024 · 2,086 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1856795310355300520
    ❗️ทรัมป์ได้เลือกวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างเป็นทางการ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาจะเสนอชื่อวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ จากฟลอริดาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะประกาศว่าวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ, จากฟลอริดา, ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โกเป็นผู้นำที่ได้รับการเคารพนับถือ, และเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังสำหรับเสรีภาพ เขาจะเป็นผู้สนับสนุนประเทศชาติของเรา, เพื่อนแท้ของพันธมิตรของเรา, และเป็นนักรบผู้กล้าหาญที่จะไม่ยอมแพ้ต่อศัตรู ผมตั้งตารอที่จะร่วมงานกับมาร์โกเพื่อให้ประเทศอเมริกา, และโลก, ปลอดภัยและยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง!” ทรัมป์กล่าวในแถลงการณ์ รูบิโอถือเป็นคู่หูของทรัมป์ในการชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งปี ๒๐๒๔, แต่เลือกรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์แทน นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน, เขาได้เสนอร่างกฎหมายต่อต้านรัสเซียหลายฉบับและมีมุมมองที่รุนแรงต่อจีนและรัสเซีย หากได้รับการแต่งตั้ง, รูบิโอจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกที่เป็นชาวฮิสแปนิก . ❗️ TRUMP HAS OFFICIALLY SELECTED SEN. MARCO RUBIO AS HIS PICK FOR SECRETARY OF STATE US President-elect Donald Trump said on Wednesday that he will nominate Florida Senator Marco Rubio to be the US Secretary of State. "It is my Great Honor to announce that Senator Marco Rubio, of Florida, is hereby nominated to be The United States Secretary of State. Marco is a Highly Respected Leader, and a very powerful Voice for Freedom. He will be a strong Advocate for our Nation, a true friend to our Allies, and a fearless Warrior who will never back down to our adversaries. I look forward to working with Marco to Make America, and the World, Safe and Great Again!" Trump said in a statement. Rubio was considered as Trump's running mate for the position of the US vice president in the 2024 election, but Vice President-elect J.D. Vance was chosen instead. Since the beginning of the Russian special military operation in Ukraine, he has introduced a number of Anti-Russian bills and holds harsh views on China and Russia. If appointed, Rubio would be the first Hispanic secretary of state. . Last edited 3:24 AM · Nov 14, 2024 · 2,086 Views https://x.com/SputnikInt/status/1856795310355300520
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำชาติอาหรับและมุสลิมประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในกาซา พร้อมเรียกร้องยิวถอนออกจากดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมดและสถาปนารัฐปาเลสไตน์ ทว่า รัฐมนตรีอิสราเอลดาหน้าคัดค้าน ถึงขั้นประกาศว่า จะดำเนินการเพื่อเข้าผนวกดินแดนบางส่วนในเวสต์แบงก์ปีหน้า
    .
    ในการประชุมสุดยอดที่จัดขึ้นที่กรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันจันทร์ (11 พ.ย.) บรรดาผู้นำของกลุ่มสันนิบาตอาหรับซึ่งมีสมาชิก 22 ชาติ และขององค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ที่มีสมาชิก 57 ชาติ ได้แสดงจุดยืนที่เป็นหนึ่งเดียวกันเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง หลังจากอิสราเอลและฮามาสทำสงครามในกาซามากว่าหนึ่งปี รวมทั้งลุกลามออกไปยังเลบานอน ตลอดจนอีกหลายชาติในภูมิภาค
    .
    ซัมมิตนี้ยังจัดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประเทศที่เป็นผู้สนับสนุนหลักทางทหารของอิสราเอล
    .
    แถลงการณ์ปิดประชุมที่ออกมาในวันจันทร์ (11) ระบุว่า สันติภาพที่เป็นธรรมและครอบคลุมในตะวันออกกลางเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากอิสราเอลไม่ยุติการยึดครองดินแดนทั้งหมดที่เป็นของปาเลสไตน์ตามเขตแดน ณ วันที่ 4 มิ.ย.1967 ทั้งนี้ ดินแดนดังกล่าวหมายถึงเขตเวสต์แบงก์ เยรูซาเลมตะวันออก ฉนวนกาซา และที่ราบสูงโกลัน
    .
    ในแถลงการณ์ยังอ้างอิงมติของสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้อิสราเอลถอนออกจากดินแดนเหล่านั้น ตลอดจนแผนริเริ่มสันติภาพอาหรับปี 2002 ที่ประเทศอาหรับเสนอสถาปนาความสัมพันธ์ระดับปกติกับอิสราเอล แลกเปลี่ยนกับการที่อิสราเอลทำข้อตกลงสองรัฐ ซึ่งก็คือการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ขึ้นมาตามเขตแดนในปี 1967
    .
    นอกจากนั้น แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้นานาชาติประกาศแผนการพร้อมขั้นตอนและกำหนดเวลาที่เฉพาะเจาะจงในการสนับสนุนให้รัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้นจริง
    .
    อย่างไรก็ตาม ทางด้านรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว คัดค้านการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ โดยกิเดียน ซาร์ ผู้เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐยิวคนใหม่ วิจารณ์ว่า แนวทางดังกล่าวไม่สามารถทำได้จริง
    .
    เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอล ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ถึงขั้นประกาศว่า จะผลักดันให้อิสราเอลเข้าผนวกดินแดนบางส่วนในเวสต์แบงก์ในปีหน้า
    .
    สำหรับซัมมิตในริยาดคราวนี้ ยังได้แถลงประณามอาชญากรรมน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงของกองทัพอิสราเอลซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
    .
    ขณะที่มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดี เรียกร้องให้โลกหยุดการกระทำของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์และเลบานอน พร้อมประณามปฏิบัติการของอิสราเอลในกาซาเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” รวมทั้งยังเรียกร้องให้อิสราเอลยับยั้งการโจมตีอิหร่าน ท่าทีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างริยาดกับเตหะรานซึ่งมีการปรับปรุงกระเตื้องขึ้นมาก
    .
    ด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ มิคาติ ของเลบานอน เตือนว่า เลบานอนกำลังเผชิญวิกฤตความอยู่รอด และโจมตีประเทศที่แทรกแซงกิจการภายในของเลบานอน ซึ่งมีนัยหมายถึงอิหร่าน
    .
    ขณะที่รองประธานาธิบดีโมฮัมหมัด เรซา อาเรฟของอิหร่าน กล่าวว่า โลกกำลังรอให้ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ยุติการประหัตประหารผู้บริสุทธิ์ในกาซาและเลบานอนทันที
    .
    นอกจากนั้น แถลงการณ์ของที่ประชุมในริยาดยังเรียกร้องให้แบนการส่งออกและการจัดส่งอาวุธให้อิสราเอล
    .
    อย่างไรก็ดี มีรายงานจากเว็บไซต์ข่าวแอกซิออสของอเมริกาว่า รอน เดอร์เมอร์ รัฐมนตรีกิจการยุทธศาสตร์ของอิสราเอล ได้เดินทางไปพบทรัมป์ที่รีสอร์ตในฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ ก่อนที่เดอร์เมอร์จะไปพบแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน
    .
    แอกซิออสรายงานเพิ่มเติมว่า เดอร์เมอร์นำข้อความจากเนทันยาฮูไปถ่ายทอดให้ทรัมป์ฟัง รวมทั้งสรุปแผนการสำหรับกาซา เลบานอน และอิหร่านในช่วง 2 เดือนข้างหน้าก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง
    .
    อนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ (10 พ.ย.) ทรัมป์เปิดเผยกับนิวยอร์กโพสต์ว่า จะเสนอชื่อ ส.ส.เอลิส สเตฟานิก ประธานของที่ประชุมพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้มีจุดยืนปกป้องอิสราเอลและต่อต้านอิหร่านอย่างแข็งขัน เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็นคนใหม่ของเขา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109074
    ..............
    Sondhi X
    ผู้นำชาติอาหรับและมุสลิมประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในกาซา พร้อมเรียกร้องยิวถอนออกจากดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมดและสถาปนารัฐปาเลสไตน์ ทว่า รัฐมนตรีอิสราเอลดาหน้าคัดค้าน ถึงขั้นประกาศว่า จะดำเนินการเพื่อเข้าผนวกดินแดนบางส่วนในเวสต์แบงก์ปีหน้า . ในการประชุมสุดยอดที่จัดขึ้นที่กรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันจันทร์ (11 พ.ย.) บรรดาผู้นำของกลุ่มสันนิบาตอาหรับซึ่งมีสมาชิก 22 ชาติ และขององค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) ที่มีสมาชิก 57 ชาติ ได้แสดงจุดยืนที่เป็นหนึ่งเดียวกันเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง หลังจากอิสราเอลและฮามาสทำสงครามในกาซามากว่าหนึ่งปี รวมทั้งลุกลามออกไปยังเลบานอน ตลอดจนอีกหลายชาติในภูมิภาค . ซัมมิตนี้ยังจัดขึ้นไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประเทศที่เป็นผู้สนับสนุนหลักทางทหารของอิสราเอล . แถลงการณ์ปิดประชุมที่ออกมาในวันจันทร์ (11) ระบุว่า สันติภาพที่เป็นธรรมและครอบคลุมในตะวันออกกลางเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากอิสราเอลไม่ยุติการยึดครองดินแดนทั้งหมดที่เป็นของปาเลสไตน์ตามเขตแดน ณ วันที่ 4 มิ.ย.1967 ทั้งนี้ ดินแดนดังกล่าวหมายถึงเขตเวสต์แบงก์ เยรูซาเลมตะวันออก ฉนวนกาซา และที่ราบสูงโกลัน . ในแถลงการณ์ยังอ้างอิงมติของสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้อิสราเอลถอนออกจากดินแดนเหล่านั้น ตลอดจนแผนริเริ่มสันติภาพอาหรับปี 2002 ที่ประเทศอาหรับเสนอสถาปนาความสัมพันธ์ระดับปกติกับอิสราเอล แลกเปลี่ยนกับการที่อิสราเอลทำข้อตกลงสองรัฐ ซึ่งก็คือการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ขึ้นมาตามเขตแดนในปี 1967 . นอกจากนั้น แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้นานาชาติประกาศแผนการพร้อมขั้นตอนและกำหนดเวลาที่เฉพาะเจาะจงในการสนับสนุนให้รัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้นจริง . อย่างไรก็ตาม ทางด้านรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็ว คัดค้านการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ โดยกิเดียน ซาร์ ผู้เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐยิวคนใหม่ วิจารณ์ว่า แนวทางดังกล่าวไม่สามารถทำได้จริง . เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีคลังอิสราเอล ซึ่งสังกัดพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ถึงขั้นประกาศว่า จะผลักดันให้อิสราเอลเข้าผนวกดินแดนบางส่วนในเวสต์แบงก์ในปีหน้า . สำหรับซัมมิตในริยาดคราวนี้ ยังได้แถลงประณามอาชญากรรมน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงของกองทัพอิสราเอลซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ . ขณะที่มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดี เรียกร้องให้โลกหยุดการกระทำของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์และเลบานอน พร้อมประณามปฏิบัติการของอิสราเอลในกาซาเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” รวมทั้งยังเรียกร้องให้อิสราเอลยับยั้งการโจมตีอิหร่าน ท่าทีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างริยาดกับเตหะรานซึ่งมีการปรับปรุงกระเตื้องขึ้นมาก . ด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ มิคาติ ของเลบานอน เตือนว่า เลบานอนกำลังเผชิญวิกฤตความอยู่รอด และโจมตีประเทศที่แทรกแซงกิจการภายในของเลบานอน ซึ่งมีนัยหมายถึงอิหร่าน . ขณะที่รองประธานาธิบดีโมฮัมหมัด เรซา อาเรฟของอิหร่าน กล่าวว่า โลกกำลังรอให้ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ยุติการประหัตประหารผู้บริสุทธิ์ในกาซาและเลบานอนทันที . นอกจากนั้น แถลงการณ์ของที่ประชุมในริยาดยังเรียกร้องให้แบนการส่งออกและการจัดส่งอาวุธให้อิสราเอล . อย่างไรก็ดี มีรายงานจากเว็บไซต์ข่าวแอกซิออสของอเมริกาว่า รอน เดอร์เมอร์ รัฐมนตรีกิจการยุทธศาสตร์ของอิสราเอล ได้เดินทางไปพบทรัมป์ที่รีสอร์ตในฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ ก่อนที่เดอร์เมอร์จะไปพบแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในวันเดียวกัน . แอกซิออสรายงานเพิ่มเติมว่า เดอร์เมอร์นำข้อความจากเนทันยาฮูไปถ่ายทอดให้ทรัมป์ฟัง รวมทั้งสรุปแผนการสำหรับกาซา เลบานอน และอิหร่านในช่วง 2 เดือนข้างหน้าก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง . อนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ (10 พ.ย.) ทรัมป์เปิดเผยกับนิวยอร์กโพสต์ว่า จะเสนอชื่อ ส.ส.เอลิส สเตฟานิก ประธานของที่ประชุมพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้มีจุดยืนปกป้องอิสราเอลและต่อต้านอิหร่านอย่างแข็งขัน เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็นคนใหม่ของเขา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109074 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 718 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิหร่านระบุว่า "โลกกำลังเฝ้ารอ" รัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเข้ารับตำแหน่ง เข้ามาหยุดสงครามของอิสราเอลกับพวกนักรบฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ ตามที่เคยลั่นวาจาไว้ พร้อมกับประณามปฏิบัติการลอบสังหารต่างๆ โดยฝีมือของรัฐยิว ว่าเป็น "การก่อการร้ายอย่างเป็นระบบ"
    .
    "รัฐบาลอเมริกาคือผู้สนับสนุนหลักของการกระทำต่างๆ ของรัฐบาลไซออนิสต์ (อิสราเอล)" โมฮัมหมัด เรซา อาเรฟ รองประธานาธิบดีคนที่ 1 บอกกับที่ประชุมซัมมิตร่วมระหว่างสันนิบาตอาหรับกับองค์การความร่วมมืออิสลาม ในกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย
    .
    "โลกกำลังเฝ้ารอคำสัญญาของรัฐบาลใหม่ของประเทศแห่งนี้ สำหรับหยุดการทำสงครามกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ในกาซาและเลบานอนในทันที" รองประธานาธิบดีคนที่ 1 ของอิหร่านกล่าว
    .
    นับตั้งแต่พวกฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งโหมกระพือสงครามทั้งในกาซาและเลบานอน อิสราเอลได้สังหารสมาชิกระดับสูงของฝ่ายต่อต้านไปหลายคน ในนั้นรวมถึง ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส และฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์
    .
    นอกจากนี้ ยังเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลเป็นผู้ลงมือลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาสคนก่อนหน้า ในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน
    .
    "ปฏิบัติการสังหารเป้าหมายไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการไม่เคารพกฎหมายและเป็นการก่อการร้ายอย่างเป็นระบบ เปลี่ยนองค์กรด้านความมั่นคง เป็นเครื่องมือในการส่งหารผู้นำและพลเมืองของประเทศต่างๆ" อาเรฟกล่าว
    .
    ในขณะที่ ทรัมป์ เคยให้สัญญาเกี่ยวกับสันติภาพในตะวันออกกลาง ในระหว่างหาเสียงนั้น เขายังเคยพูดว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังพ้นจากตำแหน่งควรกดดันให้ อิสราเอลปิดฉากในการทำสงครามกับฮามาสในกาซา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108688
    ..............
    Sondhi X
    อิหร่านระบุว่า "โลกกำลังเฝ้ารอ" รัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเข้ารับตำแหน่ง เข้ามาหยุดสงครามของอิสราเอลกับพวกนักรบฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ ตามที่เคยลั่นวาจาไว้ พร้อมกับประณามปฏิบัติการลอบสังหารต่างๆ โดยฝีมือของรัฐยิว ว่าเป็น "การก่อการร้ายอย่างเป็นระบบ" . "รัฐบาลอเมริกาคือผู้สนับสนุนหลักของการกระทำต่างๆ ของรัฐบาลไซออนิสต์ (อิสราเอล)" โมฮัมหมัด เรซา อาเรฟ รองประธานาธิบดีคนที่ 1 บอกกับที่ประชุมซัมมิตร่วมระหว่างสันนิบาตอาหรับกับองค์การความร่วมมืออิสลาม ในกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย . "โลกกำลังเฝ้ารอคำสัญญาของรัฐบาลใหม่ของประเทศแห่งนี้ สำหรับหยุดการทำสงครามกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ในกาซาและเลบานอนในทันที" รองประธานาธิบดีคนที่ 1 ของอิหร่านกล่าว . นับตั้งแต่พวกฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งโหมกระพือสงครามทั้งในกาซาและเลบานอน อิสราเอลได้สังหารสมาชิกระดับสูงของฝ่ายต่อต้านไปหลายคน ในนั้นรวมถึง ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส และฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ . นอกจากนี้ ยังเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลเป็นผู้ลงมือลอบสังหาร อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาสคนก่อนหน้า ในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน . "ปฏิบัติการสังหารเป้าหมายไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการไม่เคารพกฎหมายและเป็นการก่อการร้ายอย่างเป็นระบบ เปลี่ยนองค์กรด้านความมั่นคง เป็นเครื่องมือในการส่งหารผู้นำและพลเมืองของประเทศต่างๆ" อาเรฟกล่าว . ในขณะที่ ทรัมป์ เคยให้สัญญาเกี่ยวกับสันติภาพในตะวันออกกลาง ในระหว่างหาเสียงนั้น เขายังเคยพูดว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังพ้นจากตำแหน่งควรกดดันให้ อิสราเอลปิดฉากในการทำสงครามกับฮามาสในกาซา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108688 .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 626 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของวอชิงตันโพสต์ที่ว่า มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กันแล้วระหว่างปูติน กับ ทรัมป์ โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องผู้นำรัสเซียอย่าทำให้สงครามในยูเครนลุกลาม ทั้งนี้แดนหมีขาวบอกว่านี่เป็นข่าวเท็จ ปูตินไม่มีแผนคุยกับทรัมป์ อีกทั้งบอกด้วยว่าไม่มีสัญญาณใดๆ แสดงว่า ฝ่ายตะวันตกพร้อมแล้วสำหรับการพูดจากัน
    .
    หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานเมื่อวันอาทิตย์ (10) โดยอ้างอิงแหล่งข่าวงในหลายคนว่า ทรัมป์ ได้โทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย จากรีสอร์ตส่วนตัวของเขาที่มาร์-อะลา-โก รัฐฟลอริดาเมื่อวันพฤหัสฯ (7) หรือหนึ่งวันหลังสื่อใหญ่ทุกสำนักประกาศว่า ทรัมป์ชนะรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครต ในศึกชิงทำเนียบขาวที่จัดขึ้นเมื่อวันอังคาร (5)
    .
    วอชิงตันโพสต์ระบุว่า ทรัมป์เรียกร้องปูตินอย่าทำให้สงครามในยูเครนลุกลาม และเตือนว่า อเมริกากองทหารขนาดใหญ่ประจำการอยู่ในยุโรป รวมทั้งยังแสดงความสนใจหารือกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤตยูเครนเร็วๆ นี้
    .
    นอกจากวอชิงตันโพสต์แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์ก็รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (10) ว่า ทรัมป์ได้พูดคุยกับปูตินจริงๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ทว่า ในวันจันทร์ (11) ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินออกมาแถลงว่า ข่าวดังกล่าวเป็นการกุเรื่องขึ้น และยืนยันว่า ปูตินไม่มีแผนการเฉพาะเจาะจงในการพูดคุยกับทรัมป์ในขณะนี้
    .
    ขณะที่ สตีเฟน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ ระบุในคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะไม่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวระหว่างทรัมป์กับผู้นำโลกคนอื่นๆ
    .
    ส่วนกระทรวงการต่างประเทศยูเครนกล่าวว่า ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเรื่องการหารือระหว่างทรัมป์กับปูติน จึงไม่อาจยืนยันหรือปฏิเสธได้
    .
    อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ (10) ทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี โดยที่โฆษกของชอลซ์แถลงว่า ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันที่จะทำงานด้วยกันเพื่อหาทางนำสันติภาพกลับคืนสู่ยุโรป
    .
    เมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า ไม่มีการตระเตรียมใดๆ สำหรับที่ปูตินจะพูดจาหารือกับชอลซ์ และเขาเห็นว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าจุดยืนของยุโรปในเรื่องยูเครนมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
    .
    “เรามองเห็นความหงุดหงิดว้าวุ่นอย่างชัดเจน รวมทั้งมีความหวาดกลัวต่างๆ ในหมู่ชาวยุโรปเกี่ยวกับการเลือกตั้งมิสเตอร์ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ” เปสคอฟ บอก พร้อมกับย้ำว่า ปูตินได้พูดอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้วว่าเปิดกว้างสำหรับการพูดจากันทุกอย่าง ทว่าจนถึงเวลานี้ยังไม่ได้มีการตระเตรียมใดๆ รัสเซียยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ
    .
    เขากล่าวว่า จนถึงตอนนี้ “พวกผู้นำยุโรปยังคงกำลังพยายามที่จะบรรลุถึงการทำให้รัสเซียประสบความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์” แต่มอสโกจะ “ดำเนินปฏิบัติการพิเศษของเราต่อไปจนกว่าจะบรรลุจุดมุ่งหมายทั้งหมดของเรา”
    .
    ชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์มีแนวโน้มส่งผลต่อการสู้รบขัดแย้งในยูเครนที่ดำเนินมาเกือบ 3 ปี เนื่องจากว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ผู้นี้หาเสียงโดยยืนกรานมาตลอดว่า การสู้รบจะต้องยุติลงโดยเร็ว รวมทั้งแสดงความเคลือบแคลงกับการที่อเมริกาให้การสนับสนุนเคียฟมูลค่าเป็นหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์
    .
    ทางฝ่ายประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้หารือกับทรัมป์เมื่อวันพุธ (6 พ.ย.) โดยมีอีลอน มัสก์ ร่วมหารือด้วย มหาเศรษฐีที่ให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างแข็งขันผู้นี้ เคยพูดระบุว่าเคียฟต้องยอมรับความเป็นจริงเรื่องจะต้องเสียดินแดนให้รัสเซีย
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ให้สัมภาษณ์ซีบีเอสนิวส์เมื่อวันอาทิตย์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง ยืนยันว่า จะจัดส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า เพื่อให้เคียฟมีสถานะที่เข้มแข็งที่สุดทั้งในสนามรบและการเจรจา ซึ่งจะรวมถึงการให้เงินสนับสนุนที่เหลืออยู่อีก 6,000 ล้านดอลลาร์
    .
    ซัลลิแวนเสริมว่า ไบเดนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ดำเนินการให้รัฐสภาและคณะบริหารชุดต่อไปตระหนักว่า อเมริกาไม่อาจทิ้งยูเครนได้ เนื่องจากจะทำให้ยุโรปไร้เสถียรภาพมากขึ้น
    .
    ระหว่างหาเสียง ทรัมป์ประกาศว่า จะทำให้สงครามยูเครนยุติลงโดยเร็วก่อนที่ตนเองจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้บอกว่า จะทำอย่างไร
    .
    ทรัมป์และพันธมิตรต่างคัดค้านการที่อเมริกาให้เงินช่วยเหลือยูเครน และเปรยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการอัดฉีดเงินให้บริษัทอุตสาหกรรมการทหารที่ฉ้อฉลและสนับสนุนสงคราม รวมทั้งพวกสายเหยี่ยวด้านนโยบายการต่างประเทศ
    .
    นอกจากนั้น ยังคาดกันว่า การทำข้อตกลงกันให้ได้โดยเร็ว ย่อมหมายถึงเคียฟต้องยอมเสียดินแดนที่ถูกกองทัพรัสเซียเข้ายึดครองทางด้านใต้และตะวันออกของประเทศ
    .
    ไบรอัน แลนซา ที่ปรึกษาสำคัญคนหนึ่งของทรัมป์ให้สัมภาษณ์บีบีซีเมื่อวันเสาร์ (9 ) โดยยกตัวอย่างว่า ยูเครนต้องเลิกคิดว่าจะได้ไครเมียที่รัสเซียเข้าผนวกเมื่อปี 2014 คืน
    .
    ทว่า เคียฟยืนกรานว่า จะไม่ยอมยกดินแดนหรือยอมตามข้อเรียกร้องอื่นๆ ของรัสเซีย เนื่องจากจะทำให้ปูตินได้ใจและยั่วยุก้าวร้าวขึ้น ขณะที่รู้กันว่า พันธมิตรในยุโรปอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสรู้สึกกังวลกับการดำเนินการฝ่ายเดียวของทรัมป์
    .
    ช่วงหลายเดือนมานี้ทั้งมอสโกและเคียฟต่างพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสถานะได้เปรียบในการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นในท้ายที่สุด โดยยูเครนได้เข้ายึดพื้นที่บางส่วนในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย และกองกำลังมอสโกรุกคืบเร็วขึ้นในยูเครน
    .
    สุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการโจมตีกันด้วยโดรนหนักที่สุด โดยเซเลนสกีเผยว่า รัสเซียส่งโดรน 145 ลำโจมตียูเครนเมื่อคืนวันเสาร์ และมอสโกระบุว่า สอยโดรนยูเครน 34 ลำที่มุ่งโจมตีมอสโกในวันอาทิตย์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108683
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซียออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของวอชิงตันโพสต์ที่ว่า มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กันแล้วระหว่างปูติน กับ ทรัมป์ โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องผู้นำรัสเซียอย่าทำให้สงครามในยูเครนลุกลาม ทั้งนี้แดนหมีขาวบอกว่านี่เป็นข่าวเท็จ ปูตินไม่มีแผนคุยกับทรัมป์ อีกทั้งบอกด้วยว่าไม่มีสัญญาณใดๆ แสดงว่า ฝ่ายตะวันตกพร้อมแล้วสำหรับการพูดจากัน . หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานเมื่อวันอาทิตย์ (10) โดยอ้างอิงแหล่งข่าวงในหลายคนว่า ทรัมป์ ได้โทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย จากรีสอร์ตส่วนตัวของเขาที่มาร์-อะลา-โก รัฐฟลอริดาเมื่อวันพฤหัสฯ (7) หรือหนึ่งวันหลังสื่อใหญ่ทุกสำนักประกาศว่า ทรัมป์ชนะรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครต ในศึกชิงทำเนียบขาวที่จัดขึ้นเมื่อวันอังคาร (5) . วอชิงตันโพสต์ระบุว่า ทรัมป์เรียกร้องปูตินอย่าทำให้สงครามในยูเครนลุกลาม และเตือนว่า อเมริกากองทหารขนาดใหญ่ประจำการอยู่ในยุโรป รวมทั้งยังแสดงความสนใจหารือกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤตยูเครนเร็วๆ นี้ . นอกจากวอชิงตันโพสต์แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์ก็รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (10) ว่า ทรัมป์ได้พูดคุยกับปูตินจริงๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา . ทว่า ในวันจันทร์ (11) ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินออกมาแถลงว่า ข่าวดังกล่าวเป็นการกุเรื่องขึ้น และยืนยันว่า ปูตินไม่มีแผนการเฉพาะเจาะจงในการพูดคุยกับทรัมป์ในขณะนี้ . ขณะที่ สตีเฟน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ ระบุในคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า จะไม่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดคุยโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวระหว่างทรัมป์กับผู้นำโลกคนอื่นๆ . ส่วนกระทรวงการต่างประเทศยูเครนกล่าวว่า ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเรื่องการหารือระหว่างทรัมป์กับปูติน จึงไม่อาจยืนยันหรือปฏิเสธได้ . อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ (10) ทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี โดยที่โฆษกของชอลซ์แถลงว่า ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันที่จะทำงานด้วยกันเพื่อหาทางนำสันติภาพกลับคืนสู่ยุโรป . เมื่อถูกสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า ไม่มีการตระเตรียมใดๆ สำหรับที่ปูตินจะพูดจาหารือกับชอลซ์ และเขาเห็นว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าจุดยืนของยุโรปในเรื่องยูเครนมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว . “เรามองเห็นความหงุดหงิดว้าวุ่นอย่างชัดเจน รวมทั้งมีความหวาดกลัวต่างๆ ในหมู่ชาวยุโรปเกี่ยวกับการเลือกตั้งมิสเตอร์ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ” เปสคอฟ บอก พร้อมกับย้ำว่า ปูตินได้พูดอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้วว่าเปิดกว้างสำหรับการพูดจากันทุกอย่าง ทว่าจนถึงเวลานี้ยังไม่ได้มีการตระเตรียมใดๆ รัสเซียยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ . เขากล่าวว่า จนถึงตอนนี้ “พวกผู้นำยุโรปยังคงกำลังพยายามที่จะบรรลุถึงการทำให้รัสเซียประสบความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์” แต่มอสโกจะ “ดำเนินปฏิบัติการพิเศษของเราต่อไปจนกว่าจะบรรลุจุดมุ่งหมายทั้งหมดของเรา” . ชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์มีแนวโน้มส่งผลต่อการสู้รบขัดแย้งในยูเครนที่ดำเนินมาเกือบ 3 ปี เนื่องจากว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ผู้นี้หาเสียงโดยยืนกรานมาตลอดว่า การสู้รบจะต้องยุติลงโดยเร็ว รวมทั้งแสดงความเคลือบแคลงกับการที่อเมริกาให้การสนับสนุนเคียฟมูลค่าเป็นหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์ . ทางฝ่ายประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้หารือกับทรัมป์เมื่อวันพุธ (6 พ.ย.) โดยมีอีลอน มัสก์ ร่วมหารือด้วย มหาเศรษฐีที่ให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างแข็งขันผู้นี้ เคยพูดระบุว่าเคียฟต้องยอมรับความเป็นจริงเรื่องจะต้องเสียดินแดนให้รัสเซีย . ในอีกด้านหนึ่ง เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ให้สัมภาษณ์ซีบีเอสนิวส์เมื่อวันอาทิตย์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง ยืนยันว่า จะจัดส่งความช่วยเหลือให้ยูเครนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า เพื่อให้เคียฟมีสถานะที่เข้มแข็งที่สุดทั้งในสนามรบและการเจรจา ซึ่งจะรวมถึงการให้เงินสนับสนุนที่เหลืออยู่อีก 6,000 ล้านดอลลาร์ . ซัลลิแวนเสริมว่า ไบเดนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ดำเนินการให้รัฐสภาและคณะบริหารชุดต่อไปตระหนักว่า อเมริกาไม่อาจทิ้งยูเครนได้ เนื่องจากจะทำให้ยุโรปไร้เสถียรภาพมากขึ้น . ระหว่างหาเสียง ทรัมป์ประกาศว่า จะทำให้สงครามยูเครนยุติลงโดยเร็วก่อนที่ตนเองจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้บอกว่า จะทำอย่างไร . ทรัมป์และพันธมิตรต่างคัดค้านการที่อเมริกาให้เงินช่วยเหลือยูเครน และเปรยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการอัดฉีดเงินให้บริษัทอุตสาหกรรมการทหารที่ฉ้อฉลและสนับสนุนสงคราม รวมทั้งพวกสายเหยี่ยวด้านนโยบายการต่างประเทศ . นอกจากนั้น ยังคาดกันว่า การทำข้อตกลงกันให้ได้โดยเร็ว ย่อมหมายถึงเคียฟต้องยอมเสียดินแดนที่ถูกกองทัพรัสเซียเข้ายึดครองทางด้านใต้และตะวันออกของประเทศ . ไบรอัน แลนซา ที่ปรึกษาสำคัญคนหนึ่งของทรัมป์ให้สัมภาษณ์บีบีซีเมื่อวันเสาร์ (9 ) โดยยกตัวอย่างว่า ยูเครนต้องเลิกคิดว่าจะได้ไครเมียที่รัสเซียเข้าผนวกเมื่อปี 2014 คืน . ทว่า เคียฟยืนกรานว่า จะไม่ยอมยกดินแดนหรือยอมตามข้อเรียกร้องอื่นๆ ของรัสเซีย เนื่องจากจะทำให้ปูตินได้ใจและยั่วยุก้าวร้าวขึ้น ขณะที่รู้กันว่า พันธมิตรในยุโรปอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสรู้สึกกังวลกับการดำเนินการฝ่ายเดียวของทรัมป์ . ช่วงหลายเดือนมานี้ทั้งมอสโกและเคียฟต่างพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสถานะได้เปรียบในการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นในท้ายที่สุด โดยยูเครนได้เข้ายึดพื้นที่บางส่วนในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย และกองกำลังมอสโกรุกคืบเร็วขึ้นในยูเครน . สุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการโจมตีกันด้วยโดรนหนักที่สุด โดยเซเลนสกีเผยว่า รัสเซียส่งโดรน 145 ลำโจมตียูเครนเมื่อคืนวันเสาร์ และมอสโกระบุว่า สอยโดรนยูเครน 34 ลำที่มุ่งโจมตีมอสโกในวันอาทิตย์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108683 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 676 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตรองประธานบริษัทไฟเซอร์ ดร. ไมเคิล เยดอน อ้างว่าวัคซีนโควิด-๑๙ เป็นอาวุธชีวภาพ ที่ออกแบบมาเพื่อฆ่าคนหลายพันล้านคนตามแผนลดจำนวนประชากรของดีพสเตต
    .
    Former Pfizer VP Dr. Michael Yeadon claims that the COVID vaccines are bioweapons designed to kill billions of people as part of a depopulation agenda by the Deep State.
    .
    7:15 PM · Nov 11, 2024 · 14.5K Views
    https://x.com/iluminatibot/status/1855947337371451727
    อดีตรองประธานบริษัทไฟเซอร์ ดร. ไมเคิล เยดอน อ้างว่าวัคซีนโควิด-๑๙ เป็นอาวุธชีวภาพ ที่ออกแบบมาเพื่อฆ่าคนหลายพันล้านคนตามแผนลดจำนวนประชากรของดีพสเตต . Former Pfizer VP Dr. Michael Yeadon claims that the COVID vaccines are bioweapons designed to kill billions of people as part of a depopulation agenda by the Deep State. . 7:15 PM · Nov 11, 2024 · 14.5K Views https://x.com/iluminatibot/status/1855947337371451727
    Wow
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และแนะนำผู้นำรัสเซียอย่าทำให้สงครามยูคเรนลุกลามบานปลาย แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการสนทนาเปิดเผยกับรอยเตอร์ ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนเรียกร้อง ทรัมป์ อย่าได้ทอดทิ้งเคียฟ
    .
    แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ทรัมป์และปูติน พูดคุยกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ ก็ได้หารือกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ในวันพุธ (6 พ.ย.) ทั้งนี้ ทรัมป์ เคยวิพากษ์จารณ์ขอบเขตที่สหรัฐฯ มอบแรงสนับสนุนทั้งทางการเงินและทางทหารแก่เคียฟ และประกาศยุติสงครามอย่างรวดเร็ว แต่ไม่บอกว่าด้วยวิธีการใด
    .
    กระทรวงการต่างประเทศยูเครนบอกว่าพวกเขาไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับปูติน ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นด้วยหรือคัดค้าน
    .
    ส่วน สตีเวน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ ตอบคำถามเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการโทรศัพท์หารือระหว่าง ทรัมป์ กับ ปูติน โดยบอกว่า "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อการพูดคุยแบบส่วนตัวระหว่างว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และบรรดาผู้นำโลกคนอื่นๆ" ขณะที่สถานทูตรัสเซียในวอชิงตัน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
    .
    ทรัมป์ ตัวแทนจากรีพับลิกันจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม หลังเอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 5 พฤศจิกายน และล่าสุดทำเนียบขาวเผยว่า ไบเดน เชิญ ทรัมป์ เข้ามาหารือที่ห้องทำงานรูปไข่ในวันพุธ (13 พ.ย.) ที่จะถึงนี้
    .
    เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ว่าสารสำคัญสุดของไบเดน คือจะเป็นการรับปากถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ และเขาจะพูดคุยกับ ทรัมป์ เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง
    .
    "ประธานาธิบดีไบเดน จะใช้โอกาสในช่วง 70 วันที่เหลืออยู่ เสนอแนะสภาคองเกรสและว่าที่รัฐบาลใหม่ ว่าสหรัฐฯ ไม่ควรตีจากยูเครน การทอดทิ้งยูเครนจะหมายถึงภาวะไร้เสถียรภาพในยุโรป" ซัลลิแวน บอกกับซีบีเอสนิวส์
    .
    ความเห็นของซัลลิแวน มีขึ้นในขณะที่ยูเครนโจมตีกรุงมอสโกด้วยโดรนอย่างน้อยๆ 34 ลำ เมื่อวันอาทิตย์ (10 พ.ย.) ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการโดรนโจมตีเล่นงานเมืองหลวงของรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น
    .
    วอชิงตันมอบความช่วยเหลือทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจแก่ยูเครนไปแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ถูกรัสเซียรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เงินจำนวนมหาศาลที่ ทรัมป์ เสียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำๆ และถูกต่อต้านจากบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกันคนอื่นๆ
    .
    ทรัมป์ กล่าวอ้างเมื่อปีที่แล้ว ว่า ปูติน จะไม่มีวันรุกรานยูเครน หากว่าเขาอยู่ในทำเนียบขาวในช่วงเวลาดังกล่าว และเขาบอกกับรอยเตอร์ว่า ยูเครนอาจจำเป็นต้องยอมสละดินแดนเพื่อบรรลุข้อตกลงสันติภาพ บางอย่างที่เคียฟปฏิเสธและทางไบเดน ก็ไม่เคยชี้แนะไปในทิศทางนี้
    .
    เซเลนสกี ระบุเมื่อวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) เขาไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับแผนของทรัมป์ ในการยุติสงครามยูเครนอย่างรวดเร็ว และเขาเชื่อว่าการยุติสงครามอย่างรวดเร็ว จะหมายถึงการที่เคียฟต้องยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่
    .
    อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ (GAO) พบว่าภายใต้การบริหารงานของไบเดน สภาคองเกรสจัดสรรงบประมาณไปให้ยูเครนแล้วกว่า 174,000 ล้านดอลลาร์ แต่คาดหมายว่าจำนวนดังกล่าวจะลดลงอย่างมาก ภายใต้การนำของทรัมป์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันก็ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
    .
    ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครจะครองเสียงข้างมาก ด้วยยังอยู่ระหว่างการนับคะแนนเสียงบางส่วน เวลานี้รีพับลิกันได้ไปแล้วอย่างน้อย 213 ที่นั่ง และต้องการอีกเพียงอย่างน้อย 5 ที่นั่ง เพื่อให้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของการครองเสียงข้างมากในสภาล่าง คืออย่างน้อย 218 ที่นั่ง
    .
    ถ้ารีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา นั่นจะหมายความว่าวาระต่างๆ ส่วนใหญ่ของทรัมป์ น่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแบบง่ายดาย
    .
    บิล ฮาเกอร์ตี วุฒิสมาชิกจากรีพับลิกัน พันธมิตรของทรัมป์ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิพากษ์วิจารณ์เงินสนับสนุนที่อเมริกามอบให้ยูเครน ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีบีเอส "ประชาชนชาวอเมริกาต้องการปกป้องอธิปไตยที่นี่ ในอเมริกา ก่อนที่เราจะใช้งบประมาณของเราและทรัพยากรของเรา ปกป้องอธิปไตยของประเทศอื่น" ฮาเกอร์ตีกล่าว
    .
    ปัจจุบัน กองกำลังมอสโกยึดครองพื้นที่ราว 1 ใน 5 ของยูเครน และรัสเซียประกาศแข็งกร้าวว่าสงครามจะไม่อาจหยุดลง จนกว่าดินแดนต่างๆ ที่พวกเขาผนวกนั้นได้รับการรับรองแล้ว ในขณะที่ยูเครนเรียกร้องให้คืนดินแดนทั้งหมด จุดยืนที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาพันธมิตรตะวันตกเป็นส่วนใหญ่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108315
    ..............
    Sondhi X
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ พูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และแนะนำผู้นำรัสเซียอย่าทำให้สงครามยูคเรนลุกลามบานปลาย แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการสนทนาเปิดเผยกับรอยเตอร์ ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนเรียกร้อง ทรัมป์ อย่าได้ทอดทิ้งเคียฟ . แหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ทรัมป์และปูติน พูดคุยกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ ก็ได้หารือกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ในวันพุธ (6 พ.ย.) ทั้งนี้ ทรัมป์ เคยวิพากษ์จารณ์ขอบเขตที่สหรัฐฯ มอบแรงสนับสนุนทั้งทางการเงินและทางทหารแก่เคียฟ และประกาศยุติสงครามอย่างรวดเร็ว แต่ไม่บอกว่าด้วยวิธีการใด . กระทรวงการต่างประเทศยูเครนบอกว่าพวกเขาไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับปูติน ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นด้วยหรือคัดค้าน . ส่วน สตีเวน เฉิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทรัมป์ ตอบคำถามเมื่อถูกถามเกี่ยวกับการโทรศัพท์หารือระหว่าง ทรัมป์ กับ ปูติน โดยบอกว่า "เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อการพูดคุยแบบส่วนตัวระหว่างว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และบรรดาผู้นำโลกคนอื่นๆ" ขณะที่สถานทูตรัสเซียในวอชิงตัน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ . ทรัมป์ ตัวแทนจากรีพับลิกันจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม หลังเอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 5 พฤศจิกายน และล่าสุดทำเนียบขาวเผยว่า ไบเดน เชิญ ทรัมป์ เข้ามาหารือที่ห้องทำงานรูปไข่ในวันพุธ (13 พ.ย.) ที่จะถึงนี้ . เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ว่าสารสำคัญสุดของไบเดน คือจะเป็นการรับปากถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ และเขาจะพูดคุยกับ ทรัมป์ เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง . "ประธานาธิบดีไบเดน จะใช้โอกาสในช่วง 70 วันที่เหลืออยู่ เสนอแนะสภาคองเกรสและว่าที่รัฐบาลใหม่ ว่าสหรัฐฯ ไม่ควรตีจากยูเครน การทอดทิ้งยูเครนจะหมายถึงภาวะไร้เสถียรภาพในยุโรป" ซัลลิแวน บอกกับซีบีเอสนิวส์ . ความเห็นของซัลลิแวน มีขึ้นในขณะที่ยูเครนโจมตีกรุงมอสโกด้วยโดรนอย่างน้อยๆ 34 ลำ เมื่อวันอาทิตย์ (10 พ.ย.) ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการโดรนโจมตีเล่นงานเมืองหลวงของรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น . วอชิงตันมอบความช่วยเหลือทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจแก่ยูเครนไปแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ถูกรัสเซียรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เงินจำนวนมหาศาลที่ ทรัมป์ เสียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำๆ และถูกต่อต้านจากบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกันคนอื่นๆ . ทรัมป์ กล่าวอ้างเมื่อปีที่แล้ว ว่า ปูติน จะไม่มีวันรุกรานยูเครน หากว่าเขาอยู่ในทำเนียบขาวในช่วงเวลาดังกล่าว และเขาบอกกับรอยเตอร์ว่า ยูเครนอาจจำเป็นต้องยอมสละดินแดนเพื่อบรรลุข้อตกลงสันติภาพ บางอย่างที่เคียฟปฏิเสธและทางไบเดน ก็ไม่เคยชี้แนะไปในทิศทางนี้ . เซเลนสกี ระบุเมื่อวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) เขาไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับแผนของทรัมป์ ในการยุติสงครามยูเครนอย่างรวดเร็ว และเขาเชื่อว่าการยุติสงครามอย่างรวดเร็ว จะหมายถึงการที่เคียฟต้องยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่ . อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ (GAO) พบว่าภายใต้การบริหารงานของไบเดน สภาคองเกรสจัดสรรงบประมาณไปให้ยูเครนแล้วกว่า 174,000 ล้านดอลลาร์ แต่คาดหมายว่าจำนวนดังกล่าวจะลดลงอย่างมาก ภายใต้การนำของทรัมป์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันก็ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน . ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครจะครองเสียงข้างมาก ด้วยยังอยู่ระหว่างการนับคะแนนเสียงบางส่วน เวลานี้รีพับลิกันได้ไปแล้วอย่างน้อย 213 ที่นั่ง และต้องการอีกเพียงอย่างน้อย 5 ที่นั่ง เพื่อให้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำของการครองเสียงข้างมากในสภาล่าง คืออย่างน้อย 218 ที่นั่ง . ถ้ารีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา นั่นจะหมายความว่าวาระต่างๆ ส่วนใหญ่ของทรัมป์ น่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแบบง่ายดาย . บิล ฮาเกอร์ตี วุฒิสมาชิกจากรีพับลิกัน พันธมิตรของทรัมป์ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิพากษ์วิจารณ์เงินสนับสนุนที่อเมริกามอบให้ยูเครน ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีบีเอส "ประชาชนชาวอเมริกาต้องการปกป้องอธิปไตยที่นี่ ในอเมริกา ก่อนที่เราจะใช้งบประมาณของเราและทรัพยากรของเรา ปกป้องอธิปไตยของประเทศอื่น" ฮาเกอร์ตีกล่าว . ปัจจุบัน กองกำลังมอสโกยึดครองพื้นที่ราว 1 ใน 5 ของยูเครน และรัสเซียประกาศแข็งกร้าวว่าสงครามจะไม่อาจหยุดลง จนกว่าดินแดนต่างๆ ที่พวกเขาผนวกนั้นได้รับการรับรองแล้ว ในขณะที่ยูเครนเรียกร้องให้คืนดินแดนทั้งหมด จุดยืนที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาพันธมิตรตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108315 .............. Sondhi X
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 694 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไบเดนเตรียมเปิดห้องทำงานรูปไข่ต้อนรับทรัมป์ และยืนยันจะไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ต้นปีหน้า ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ทรัมป์ไม่ยอมทำเมื่อ 4 ปีที่แล้วด้วยข้ออ้างว่า ตนถูกปล้นชัยชนะ และขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มจัดตั้งคณะบริหาร ทางด้านเดโมแครตกลับไล่หาแพะรับผิดชอบความพ่ายแพ้ของแฮร์ริส โดยเพโลซี อดีตประธานสภาล่างชี้ว่า ถ้าไบเดนถอนตัวเร็วขึ้น เหตุการณ์อาจไม่เป็นแบบนี้
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 สามารถกลับสู่ทำเนียบขาวอีกสมัยหลังคว้าชัยขาดลอยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา
    .
    ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันเสาร์ (9 พ.ย.) ว่าไบเดนจะพบทรัมป์ในห้องทำงานรูปไข่ในวันพุธ (13 พ.ย.) ซึ่งการพบกันระหว่างประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระกับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านาน แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ไม่ได้เชิญโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เยี่ยมเยียนทำเนียบขาว แต่กลับอ้างโดยไม่มีหลักฐานว่า ตนเองถูกโกงเลือกตั้งและนำไปสู่การก่อม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021
    .
    นอกจากนั้นทรัมป์ยังแหกธรรมเนียมปฏิบัติด้วยการไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดนในวันที่ 20 ม.ค.ปีเดียวกัน แต่ทำเนียบขาวยืนยันว่า ไบเดนจะไปร่วมพิธีดังกล่าวของทรัมป์ต้นปีหน้า
    .
    นอกจากนี้ ช่วงต้นปีหน้าไบเดนจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกคนที่ต้องถ่ายโอนอำนาจคืนให้ประธานาธิบดีคนก่อนตนเอง โดยครั้งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์นี้คือตอนที่ประธานาธิบดีเบนจามิน แฮร์ริสัน ส่งคืนทำเนียบขาวให้โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 19
    .
    ทรัมป์ อดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์วัย 78 ปี กวาดชัยชนะท่วมท้นกว่าครั้งที่แล้ว แม้ถูกตัดสินกระทำผิดคดีอาญา ถูกดำเนินการสอบสวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้งตอนที่เป็นประธานาธิบดี และถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานตีตราว่า เป็นเผด็จการฟาสซิสต์ก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ เอ็กซิตโพลล์พบว่า สิ่งที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกังวลมากที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในยุคไบเดนภายหลังอเมริกาเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19
    .
    ไบเดน วัย 81 ปี ที่ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกรกฎาคมท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอายุ สุขภาพ และความเฉียบคมทางความคิดนั้น โทรแสดงความยินดีกับทรัมป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 พ.ย.)
    .
    สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนมองหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่รับไม้ต่อเป็นตัวแทนพรรคก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งเพียง 100 วัน
    .
    แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์นิวยอร์ก ไทมส์ว่า ไบเดนถอนตัวช้าเกินไป แถมประกาศรับรองแฮร์ริสทันที ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการหยั่งเสียงรอบไพรมารีที่อาจทำให้พรรคมีแคนดิเดตให้เลือกมากขึ้น
    .
    เพโลซีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีบทบาทสำคัญในการกล่อมให้ไบเดนยอมถอนตัว ตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนผลการเลือกตั้งควรมุ่งที่จุดแข็งของแฮร์ริสที่สามารถกระตุ้นความหวังของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและทำให้แคมเปญหาเสียงมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างมาก
    .
    ขณะที่เดโมแครตกำลังหาแพะรับบาป ทรัมป์ได้เริ่มฟอร์มคณะบริหารสมัยที่ 2 ด้วยการแต่งตั้งซูซี ไวลส์ ผู้จัดการแคมเปญหาเสียง เป็นหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ และเป็นการแต่งตั้งสมาชิกคณะบริหารคนแรกของทรัมป์
    .
    ตัวเก็งคนอื่นๆ ในคณะบริหารทรัมป์ 2 ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรเบิร์ต เคนเนดี้ จูเนียร์ แกนนำการต่อต้านวัคซีนที่ทรัมป์ประกาศว่า จะได้รับบทบาทสำคัญด้านสุขอนามัย
    .
    อีกคนคือ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลก ที่อาจรับหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาล หลังจากนายใหญ่สเปซเอ็กซ์, เทสลา และเอ็กซ์ ที่มีอุดมการณ์การเมืองปีกขวาผู้นี้ ให้การสนับสนุนทรัมป์สุดตัว
    .
    นอกจากนั้นยังคาดว่า ทรัมป์จะยกเลิกนโยบายสำคัญของไบเดนหลายอย่าง โดยว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ผู้นี้เตรียมกลับสู่ทำเนียบขาวในฐานะผู้ปฏิเสธแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แถมประกาศเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108252
    ..............
    Sondhi X
    ไบเดนเตรียมเปิดห้องทำงานรูปไข่ต้อนรับทรัมป์ และยืนยันจะไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ต้นปีหน้า ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ทรัมป์ไม่ยอมทำเมื่อ 4 ปีที่แล้วด้วยข้ออ้างว่า ตนถูกปล้นชัยชนะ และขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มจัดตั้งคณะบริหาร ทางด้านเดโมแครตกลับไล่หาแพะรับผิดชอบความพ่ายแพ้ของแฮร์ริส โดยเพโลซี อดีตประธานสภาล่างชี้ว่า ถ้าไบเดนถอนตัวเร็วขึ้น เหตุการณ์อาจไม่เป็นแบบนี้ . โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 สามารถกลับสู่ทำเนียบขาวอีกสมัยหลังคว้าชัยขาดลอยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา . ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันเสาร์ (9 พ.ย.) ว่าไบเดนจะพบทรัมป์ในห้องทำงานรูปไข่ในวันพุธ (13 พ.ย.) ซึ่งการพบกันระหว่างประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระกับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านาน แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ไม่ได้เชิญโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เยี่ยมเยียนทำเนียบขาว แต่กลับอ้างโดยไม่มีหลักฐานว่า ตนเองถูกโกงเลือกตั้งและนำไปสู่การก่อม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 . นอกจากนั้นทรัมป์ยังแหกธรรมเนียมปฏิบัติด้วยการไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดนในวันที่ 20 ม.ค.ปีเดียวกัน แต่ทำเนียบขาวยืนยันว่า ไบเดนจะไปร่วมพิธีดังกล่าวของทรัมป์ต้นปีหน้า . นอกจากนี้ ช่วงต้นปีหน้าไบเดนจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกคนที่ต้องถ่ายโอนอำนาจคืนให้ประธานาธิบดีคนก่อนตนเอง โดยครั้งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์นี้คือตอนที่ประธานาธิบดีเบนจามิน แฮร์ริสัน ส่งคืนทำเนียบขาวให้โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 19 . ทรัมป์ อดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์วัย 78 ปี กวาดชัยชนะท่วมท้นกว่าครั้งที่แล้ว แม้ถูกตัดสินกระทำผิดคดีอาญา ถูกดำเนินการสอบสวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้งตอนที่เป็นประธานาธิบดี และถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานตีตราว่า เป็นเผด็จการฟาสซิสต์ก็ตาม . ทั้งนี้ เอ็กซิตโพลล์พบว่า สิ่งที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกังวลมากที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในยุคไบเดนภายหลังอเมริกาเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 . ไบเดน วัย 81 ปี ที่ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกรกฎาคมท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอายุ สุขภาพ และความเฉียบคมทางความคิดนั้น โทรแสดงความยินดีกับทรัมป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 พ.ย.) . สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนมองหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่รับไม้ต่อเป็นตัวแทนพรรคก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งเพียง 100 วัน . แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์นิวยอร์ก ไทมส์ว่า ไบเดนถอนตัวช้าเกินไป แถมประกาศรับรองแฮร์ริสทันที ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการหยั่งเสียงรอบไพรมารีที่อาจทำให้พรรคมีแคนดิเดตให้เลือกมากขึ้น . เพโลซีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีบทบาทสำคัญในการกล่อมให้ไบเดนยอมถอนตัว ตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนผลการเลือกตั้งควรมุ่งที่จุดแข็งของแฮร์ริสที่สามารถกระตุ้นความหวังของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและทำให้แคมเปญหาเสียงมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างมาก . ขณะที่เดโมแครตกำลังหาแพะรับบาป ทรัมป์ได้เริ่มฟอร์มคณะบริหารสมัยที่ 2 ด้วยการแต่งตั้งซูซี ไวลส์ ผู้จัดการแคมเปญหาเสียง เป็นหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ และเป็นการแต่งตั้งสมาชิกคณะบริหารคนแรกของทรัมป์ . ตัวเก็งคนอื่นๆ ในคณะบริหารทรัมป์ 2 ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรเบิร์ต เคนเนดี้ จูเนียร์ แกนนำการต่อต้านวัคซีนที่ทรัมป์ประกาศว่า จะได้รับบทบาทสำคัญด้านสุขอนามัย . อีกคนคือ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลก ที่อาจรับหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาล หลังจากนายใหญ่สเปซเอ็กซ์, เทสลา และเอ็กซ์ ที่มีอุดมการณ์การเมืองปีกขวาผู้นี้ ให้การสนับสนุนทรัมป์สุดตัว . นอกจากนั้นยังคาดว่า ทรัมป์จะยกเลิกนโยบายสำคัญของไบเดนหลายอย่าง โดยว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ผู้นี้เตรียมกลับสู่ทำเนียบขาวในฐานะผู้ปฏิเสธแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แถมประกาศเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108252 .............. Sondhi X
    Love
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 633 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัญญาณร้ายที่บ่งบอกว่าผู้ที่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์นั้นจะต้องผิดหวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาได้แต่งตั้งนายไบรอัน ฮุก อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฝ่ายกิจการองค์กรระหว่างประเทศสายเหยี่ยว ที่เป็นผู้นำฝ่ายต่อต้านอิหร่านและรัสเซียในสมัยรัฐบาลบุชและปอมเปโอ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยทรัมป์ได้แต่งตั้งให้ไบรอัน ฮุก ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารในกระทรวงการต่างประเทศ กำกับดูแลการจัดตั้งทีมนโยบายต่างประเทศชุดใหม่

    ฮุคมี ทัศนคติ ที่แข็งกร้าวต่อรัสเซียมาอย่างยาวนาน ซึ่งอาจทำให้เขาขัดแย้งกับทรัมป์ ซึ่งสัญญาว่าจะเจรจายุติสงครามในยูเครนโดยเร็ว หลังจากฮุคออกจากรัฐบาลทรัมป์สมัยที่แล้ว ได้ทำงานเป็นรองประธานบริษัทไพรเวทอิควิตี้ในนิวยอร์กที่เน้นการลงทุนระหว่างประเทศ

    นอกจากนี้ทัศนคติสายเหยี่ยวของฮุคเกี่ยวกับอิหร่านอาจส่งผลต่อแนวทางนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ต่ออิหร่าน แม้ว่าทรัมป์และรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจ.ดี. แวนซ์ จะเคยกล่าวว่าสงครามกับอิหร่านไม่เป็นผลดีต่ออเมริกา แต่ฮุคกลับผลักดันนโยบายต่างๆ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง

    https://www.dropsitenews.com/p/trump-iran-hawk-hook-pompeo-israel-netanyahu-russia

    #Thaitimes
    สัญญาณร้ายที่บ่งบอกว่าผู้ที่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์นั้นจะต้องผิดหวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาได้แต่งตั้งนายไบรอัน ฮุก อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฝ่ายกิจการองค์กรระหว่างประเทศสายเหยี่ยว ที่เป็นผู้นำฝ่ายต่อต้านอิหร่านและรัสเซียในสมัยรัฐบาลบุชและปอมเปโอ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยทรัมป์ได้แต่งตั้งให้ไบรอัน ฮุก ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารในกระทรวงการต่างประเทศ กำกับดูแลการจัดตั้งทีมนโยบายต่างประเทศชุดใหม่ ฮุคมี ทัศนคติ ที่แข็งกร้าวต่อรัสเซียมาอย่างยาวนาน ซึ่งอาจทำให้เขาขัดแย้งกับทรัมป์ ซึ่งสัญญาว่าจะเจรจายุติสงครามในยูเครนโดยเร็ว หลังจากฮุคออกจากรัฐบาลทรัมป์สมัยที่แล้ว ได้ทำงานเป็นรองประธานบริษัทไพรเวทอิควิตี้ในนิวยอร์กที่เน้นการลงทุนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ทัศนคติสายเหยี่ยวของฮุคเกี่ยวกับอิหร่านอาจส่งผลต่อแนวทางนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ต่ออิหร่าน แม้ว่าทรัมป์และรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจ.ดี. แวนซ์ จะเคยกล่าวว่าสงครามกับอิหร่านไม่เป็นผลดีต่ออเมริกา แต่ฮุคกลับผลักดันนโยบายต่างๆ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง https://www.dropsitenews.com/p/trump-iran-hawk-hook-pompeo-israel-netanyahu-russia #Thaitimes
    WWW.DROPSITENEWS.COM
    Trump is Eyeing Iran Hawk Brian Hook as First Foreign Policy Pick
    "The Iranian view is that Trump wants to make a deal, but it depends on whether he appoints the same neoconservatives as last time"
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 561 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ข่าวอีกด้าน(จริงเท็จมิทราบ)
    ..
    ระเบิด! Kamala Harris กำลังหลบหนี! กลุ่มหมวกขาวติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ขณะที่การกลับมาของทรัมป์ส่งสัญญาณการล่มสลายของหุ่นเชิด Deep State – GITMO รออยู่!

    Kamala Harris ซึ่งเคยเป็นดาวรุ่งของ Deep State กำลังวิ่งหนีเพื่อหลบซ่อน หลังจากชัยชนะของทรัมป์ในปี 2024 โลกของเธอพลิกคว่ำ สถานการณ์พลิกผัน และ Kamala ตกเป็นเหยื่อ

    กลุ่มหมวกขาวกำลังเข้าใกล้ ตั้งใจที่จะนำเธอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บทบาทของเธอในฐานะหุ่นเชิดเพื่อการจัดการของชนชั้นสูงสิ้นสุดลงแล้ว และเธออยู่บนเส้นทางเดียวสู่ GITMO ทุกการกระทำที่ซ่อนเร้น ทุกข้อตกลงที่เธอทำในความลับ ถูกเปิดเผยแล้ว เธอไม่ใช่รองประธานาธิบดีอีกต่อไป เธอเป็นเพียงผู้หลบหนีที่หลบหนีจากความจริง

    บทบาทที่แท้จริงของ Kamala ถูกเปิดเผย

    เป็นเวลาหลายปีที่การเติบโตของ Kamala ถูกจัดฉากขึ้นเพื่อรับใช้วาระของ Deep State ภาพลักษณ์ที่เธอสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเป็นเพียงหน้ากากสำหรับผลประโยชน์ของชนชั้นสูงเท่านั้น เบื้องหลังมุมมองของสาธารณชน เธอยังคงรักษาอำนาจของ Deep State เอาไว้ แต่การเลือกตั้งในปี 2024 ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยชัยชนะของทรัมป์ กลุ่มรักชาติได้รับอำนาจในการนำความจริงมาเปิดเผย

    พันธมิตรและสายสัมพันธ์ลับๆ ของกมลากำลังคลี่คลาย และกลุ่มหมวกขาวก็ไม่ยอมลดละ เปิดเผยเครือข่ายของเธอ สายสัมพันธ์ของเธอกับ CIA, FBI และหน่วยงานลับอื่นๆ กลายเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ

    ไม่มีที่ใดให้หนีอีกแล้ว

    เส้นทางหลบหนีของกมลาหายไปแล้ว และคนควบคุมระดับสูงของเธอก็ไม่สามารถปกป้องเธอได้ กลุ่มหมวกขาวติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเธอ นี่ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่เป็นการกำจัดผู้ปฏิบัติการที่ฝังตัวมากที่สุดคนหนึ่งของ Deep State ด้วยกลยุทธ์ และจุดหมายปลายทางก็ถูกกำหนดไว้แล้ว: กวนตัน เธอไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เธอเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรยศ หุ่นเชิดของผลประโยชน์ของโลกาภิวัตน์ที่เผชิญกับความยุติธรรมที่แท้จริงในขณะนี้

    กวนตานาโมรออยู่: จุดจบของการปกครองของกมลา

    สิ่งอำนวยความสะดวกที่กวนตานาโม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับคนทรยศต่อประเทศชาติ พร้อมแล้ว การบ่อนทำลายประชาธิปไตยของกมลาและความสัมพันธ์ของเธอกับเจ้าหน้าที่โลกาภิวัตน์กำลังถูกเปิดโปง นี่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียกร้องความสมบูรณ์ของอเมริกาคืนมาด้วย ผู้รักชาติได้เปิดเผยแผนการของเธอ บทบาทของเธอในการทำให้การเลือกตั้งไม่มั่นคง และการทรยศต่อประชาชนของเธอ

    คำสั่งโดยตรงของทรัมป์

    ด้วยการกลับมาของทรัมป์ กองทัพกำลังดำเนินการอย่างมีจุดมุ่งหมาย คำสั่งของเขาในการนำกมลาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้เกี่ยวกับการแก้แค้น แต่เป็นการทำลายผู้นำทุกคนของดีพสเตต พันธมิตรทางทหารของทรัมป์พร้อมที่จะดำเนินการตามภารกิจนี้ให้สำเร็จ หลายคนที่เคยปกป้องเธอตอนนี้กำลังร่วมมือกับกลุ่มหมวกขาว โดยเข้าใจถึงผลที่ตามมา

    การล่มสลายของกมลาส่งสารบางอย่าง

    การจับกุมเธอไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถจัดการระบบได้ กลุ่มหมวกขาวจะไม่หยุดจนกว่าคนทุจริตทุกคนจะต้องเผชิญกับความยุติธรรม การล่มสลายของกมลาเป็นหลักฐานว่าอเมริกาของทรัมป์จะไม่ยอมทนต่อการทรยศ ผู้รักชาติทุกที่ต่างได้เห็นความจริงที่ถูกเปิดเผย

    ความยุติธรรมสำหรับประชาชน

    การมาถึงของกมลาที่กวนตานาโมนั้นไม่ใช่แค่สัญลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นคืนความยุติธรรมอีกด้วย เธอเป็นตัวแทนของระบบที่ทุจริต แต่ตอนนี้ผู้รักชาติกำลังเรียกร้องประเทศของตนคืน วันแห่งการชดใช้ของเธอใกล้เข้ามาแล้ว และประชาชนกำลังเฝ้าดูอยู่ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ทรัมป์และกลุ่มหมวกขาวกำลังรื้อถอนกลุ่มดีพสเตตทีละชิ้น ในอเมริกาของทรัมป์ การทรยศจะไม่ลอยนวลพ้นโทษ
    ..ข่าวอีกด้าน(จริงเท็จมิทราบ) .. ระเบิด! Kamala Harris กำลังหลบหนี! กลุ่มหมวกขาวติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ขณะที่การกลับมาของทรัมป์ส่งสัญญาณการล่มสลายของหุ่นเชิด Deep State – GITMO รออยู่! Kamala Harris ซึ่งเคยเป็นดาวรุ่งของ Deep State กำลังวิ่งหนีเพื่อหลบซ่อน หลังจากชัยชนะของทรัมป์ในปี 2024 โลกของเธอพลิกคว่ำ สถานการณ์พลิกผัน และ Kamala ตกเป็นเหยื่อ กลุ่มหมวกขาวกำลังเข้าใกล้ ตั้งใจที่จะนำเธอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บทบาทของเธอในฐานะหุ่นเชิดเพื่อการจัดการของชนชั้นสูงสิ้นสุดลงแล้ว และเธออยู่บนเส้นทางเดียวสู่ GITMO ทุกการกระทำที่ซ่อนเร้น ทุกข้อตกลงที่เธอทำในความลับ ถูกเปิดเผยแล้ว เธอไม่ใช่รองประธานาธิบดีอีกต่อไป เธอเป็นเพียงผู้หลบหนีที่หลบหนีจากความจริง บทบาทที่แท้จริงของ Kamala ถูกเปิดเผย เป็นเวลาหลายปีที่การเติบโตของ Kamala ถูกจัดฉากขึ้นเพื่อรับใช้วาระของ Deep State ภาพลักษณ์ที่เธอสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันเป็นเพียงหน้ากากสำหรับผลประโยชน์ของชนชั้นสูงเท่านั้น เบื้องหลังมุมมองของสาธารณชน เธอยังคงรักษาอำนาจของ Deep State เอาไว้ แต่การเลือกตั้งในปี 2024 ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยชัยชนะของทรัมป์ กลุ่มรักชาติได้รับอำนาจในการนำความจริงมาเปิดเผย พันธมิตรและสายสัมพันธ์ลับๆ ของกมลากำลังคลี่คลาย และกลุ่มหมวกขาวก็ไม่ยอมลดละ เปิดเผยเครือข่ายของเธอ สายสัมพันธ์ของเธอกับ CIA, FBI และหน่วยงานลับอื่นๆ กลายเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ ไม่มีที่ใดให้หนีอีกแล้ว เส้นทางหลบหนีของกมลาหายไปแล้ว และคนควบคุมระดับสูงของเธอก็ไม่สามารถปกป้องเธอได้ กลุ่มหมวกขาวติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเธอ นี่ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่เป็นการกำจัดผู้ปฏิบัติการที่ฝังตัวมากที่สุดคนหนึ่งของ Deep State ด้วยกลยุทธ์ และจุดหมายปลายทางก็ถูกกำหนดไว้แล้ว: กวนตัน เธอไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เธอเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรยศ หุ่นเชิดของผลประโยชน์ของโลกาภิวัตน์ที่เผชิญกับความยุติธรรมที่แท้จริงในขณะนี้ กวนตานาโมรออยู่: จุดจบของการปกครองของกมลา สิ่งอำนวยความสะดวกที่กวนตานาโม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับคนทรยศต่อประเทศชาติ พร้อมแล้ว การบ่อนทำลายประชาธิปไตยของกมลาและความสัมพันธ์ของเธอกับเจ้าหน้าที่โลกาภิวัตน์กำลังถูกเปิดโปง นี่ไม่ใช่แค่การลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียกร้องความสมบูรณ์ของอเมริกาคืนมาด้วย ผู้รักชาติได้เปิดเผยแผนการของเธอ บทบาทของเธอในการทำให้การเลือกตั้งไม่มั่นคง และการทรยศต่อประชาชนของเธอ คำสั่งโดยตรงของทรัมป์ ด้วยการกลับมาของทรัมป์ กองทัพกำลังดำเนินการอย่างมีจุดมุ่งหมาย คำสั่งของเขาในการนำกมลาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้เกี่ยวกับการแก้แค้น แต่เป็นการทำลายผู้นำทุกคนของดีพสเตต พันธมิตรทางทหารของทรัมป์พร้อมที่จะดำเนินการตามภารกิจนี้ให้สำเร็จ หลายคนที่เคยปกป้องเธอตอนนี้กำลังร่วมมือกับกลุ่มหมวกขาว โดยเข้าใจถึงผลที่ตามมา การล่มสลายของกมลาส่งสารบางอย่าง การจับกุมเธอไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถจัดการระบบได้ กลุ่มหมวกขาวจะไม่หยุดจนกว่าคนทุจริตทุกคนจะต้องเผชิญกับความยุติธรรม การล่มสลายของกมลาเป็นหลักฐานว่าอเมริกาของทรัมป์จะไม่ยอมทนต่อการทรยศ ผู้รักชาติทุกที่ต่างได้เห็นความจริงที่ถูกเปิดเผย ความยุติธรรมสำหรับประชาชน การมาถึงของกมลาที่กวนตานาโมนั้นไม่ใช่แค่สัญลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นคืนความยุติธรรมอีกด้วย เธอเป็นตัวแทนของระบบที่ทุจริต แต่ตอนนี้ผู้รักชาติกำลังเรียกร้องประเทศของตนคืน วันแห่งการชดใช้ของเธอใกล้เข้ามาแล้ว และประชาชนกำลังเฝ้าดูอยู่ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ทรัมป์และกลุ่มหมวกขาวกำลังรื้อถอนกลุ่มดีพสเตตทีละชิ้น ในอเมริกาของทรัมป์ การทรยศจะไม่ลอยนวลพ้นโทษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำพูดของรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจดี แวนซ์ กลับมาเป็นไวรัลในโซเลียลอีกครั้ง เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเขากล่าวไว้เมื่อฤดูร้อนปี 2023:

    "เราสร้างนโยบายต่างประเทศที่เอาแต่คอยกดดัน บงการ จับผิด และสั่งสอนให้พวกเค้าทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ต่อประเทศที่ไม่ได้ต้องการเกี่ยวข้องใดๆกับสหรัฐฯ แต่จีนกลับมีนโยบายต่างประเทศในการสร้างถนน สะพาน และสร้างอาหารให้แก่ประเทศที่ยากจน"

    ผมคิดว่า เราควรดำเนินนโยบายทางการทูตที่เคารพในผลประโยชน์ของประเทศเหล่านี้"
    คำพูดของรองประธานาธิบดีคนใหม่ เจดี แวนซ์ กลับมาเป็นไวรัลในโซเลียลอีกครั้ง เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเขากล่าวไว้เมื่อฤดูร้อนปี 2023: "เราสร้างนโยบายต่างประเทศที่เอาแต่คอยกดดัน บงการ จับผิด และสั่งสอนให้พวกเค้าทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ต่อประเทศที่ไม่ได้ต้องการเกี่ยวข้องใดๆกับสหรัฐฯ แต่จีนกลับมีนโยบายต่างประเทศในการสร้างถนน สะพาน และสร้างอาหารให้แก่ประเทศที่ยากจน" ผมคิดว่า เราควรดำเนินนโยบายทางการทูตที่เคารพในผลประโยชน์ของประเทศเหล่านี้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวแทนจากเดโมแครต ให้สัญญาถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติแก่ โดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างการกล่าวปราศรัย ยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งผู้นำอเมริกาเมื่อวันอังคาร (5 พ.ย.) ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องเหล่าผู้สนับสนุนอย่าเพิ่งสิ้นหวัง ให้เดินหน้าสู้เพื่ออุดมการณ์ต่อไป
    .
    "เราต้องยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในวันนี้ ดิฉันได้คุยกับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และแสดงความยินดีกับเขาต่อชัยชนะของเขา" แฮร์ริส กล่าวปราศรัย ณ มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เธอเคยเรียน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
    .
    "ดิฉันบอกกับเขาว่า เราจะช่วยเขาและคณะทำงานของเขาในการเปลี่ยนผ่าน และเราจะมีส่วนร่วมในการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ" แฮร์ริสระบุ
    .
    แฮร์ริส ไม่ได้พาดพิงกรณีที่ ทรัมป์ ปฏิเสธยอมรับความพ่ายแพ้ที่เขาปราศรัยต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2020 แต่เธอกล่าวว่าการเคารพผลการเลือกตั้งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นอะไรที่พิเศษแตกต่างจากระบอบราชาธิปไตยและระบอบเผด็จการ ใครก็ตามที่อยากได้ความไว้วางใจจากสาธารณะจำเป็นต้องเคารพผลการเลือกตั้ง
    .
    "ในขณะเดียวกัน ในประเทศของเรา เรามีความภักดีไม่ใช่แค่กับประธานาธิบดีรายหนึ่งๆ หรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นความภักดีต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และภักดีต่อมโนธรรมและต่อพระผู้เป็นเจ้าของเรา" เธอกล่าว
    .
    ระหว่างปราศรัยต่อหน้าฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ แฮร์ริสเริ่มต้นด้วยการเรียกร้องให้บรรดาผู้สนับสนุนเดินหน้าสู้ต่อเพื่ออุดมการณ์ต่างไ ของพวกเขา แม้มีความรู้สึกผิดหวังเจ็บปวด หนึ่งวันหลังจาก ทรัมป์ คว้าชัยชนะอย่างขาดลอย
    .
    "ผลของศึกเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราสู้เพื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เราโหวตเพื่อ แต่ฟังฉัน ฉันอยากบอกว่าแสงสว่างแห่งความหวังของอเมริกาจะลุกโชนสว่างไสวอยู่เสมอ ตราบใดที่เราไม่มีวันยอมแพ้ และตราบใดที่เราเดินหน้าสู้ต่อไป" เธอกล่าว "บางครั้งการต่อสู้ต้องใช้เวลาสักพัก มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันชนะ"
    .
    บรรดาผู้สนับสนุนของแฮร์ริสหลายพันคนรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ดในคืนวันอังคาร (5 พ.ย.) เพื่อสิ่งที่พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ สำหรับผู้หญิงรายหนึ่งได้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามในวันพุธ (6 พ.ย.) พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกรอบ เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนแฮร์ริส หลังจากเธอประสบความพ่ายแพ้
    .
    "ฉันมาที่นี่ เพื่อแสดงความรักและความเคารพที่มีต่อเธอ สำหรับสิ่งที่เธอทำ" ดอนนา บรูซ วัย 72 ปีกล่าว พร้อมระบุว่าเธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ สวมเสื้อยืดที่มีข้อความว่า เด็กผู้หญิงผิวสีจะปกป้องโลก "ฉันยังคงเชื่อแบบนั้น มันอาจไม่ใช่เด็กหญิงรายนี้ แต่ฉันเชื่อว่าเด็กผู้หญิงผิวสีรายหนึ่งจะสามารถทำได้"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107151
    ..............
    Sondhi X
    กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวแทนจากเดโมแครต ให้สัญญาถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติแก่ โดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างการกล่าวปราศรัย ยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งผู้นำอเมริกาเมื่อวันอังคาร (5 พ.ย.) ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องเหล่าผู้สนับสนุนอย่าเพิ่งสิ้นหวัง ให้เดินหน้าสู้เพื่ออุดมการณ์ต่อไป . "เราต้องยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในวันนี้ ดิฉันได้คุยกับว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และแสดงความยินดีกับเขาต่อชัยชนะของเขา" แฮร์ริส กล่าวปราศรัย ณ มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เธอเคยเรียน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. . "ดิฉันบอกกับเขาว่า เราจะช่วยเขาและคณะทำงานของเขาในการเปลี่ยนผ่าน และเราจะมีส่วนร่วมในการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ" แฮร์ริสระบุ . แฮร์ริส ไม่ได้พาดพิงกรณีที่ ทรัมป์ ปฏิเสธยอมรับความพ่ายแพ้ที่เขาปราศรัยต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในปี 2020 แต่เธอกล่าวว่าการเคารพผลการเลือกตั้งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นอะไรที่พิเศษแตกต่างจากระบอบราชาธิปไตยและระบอบเผด็จการ ใครก็ตามที่อยากได้ความไว้วางใจจากสาธารณะจำเป็นต้องเคารพผลการเลือกตั้ง . "ในขณะเดียวกัน ในประเทศของเรา เรามีความภักดีไม่ใช่แค่กับประธานาธิบดีรายหนึ่งๆ หรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นความภักดีต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และภักดีต่อมโนธรรมและต่อพระผู้เป็นเจ้าของเรา" เธอกล่าว . ระหว่างปราศรัยต่อหน้าฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์ แฮร์ริสเริ่มต้นด้วยการเรียกร้องให้บรรดาผู้สนับสนุนเดินหน้าสู้ต่อเพื่ออุดมการณ์ต่างไ ของพวกเขา แม้มีความรู้สึกผิดหวังเจ็บปวด หนึ่งวันหลังจาก ทรัมป์ คว้าชัยชนะอย่างขาดลอย . "ผลของศึกเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราสู้เพื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เราโหวตเพื่อ แต่ฟังฉัน ฉันอยากบอกว่าแสงสว่างแห่งความหวังของอเมริกาจะลุกโชนสว่างไสวอยู่เสมอ ตราบใดที่เราไม่มีวันยอมแพ้ และตราบใดที่เราเดินหน้าสู้ต่อไป" เธอกล่าว "บางครั้งการต่อสู้ต้องใช้เวลาสักพัก มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันชนะ" . บรรดาผู้สนับสนุนของแฮร์ริสหลายพันคนรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ดในคืนวันอังคาร (5 พ.ย.) เพื่อสิ่งที่พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ สำหรับผู้หญิงรายหนึ่งได้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามในวันพุธ (6 พ.ย.) พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกรอบ เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนแฮร์ริส หลังจากเธอประสบความพ่ายแพ้ . "ฉันมาที่นี่ เพื่อแสดงความรักและความเคารพที่มีต่อเธอ สำหรับสิ่งที่เธอทำ" ดอนนา บรูซ วัย 72 ปีกล่าว พร้อมระบุว่าเธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ สวมเสื้อยืดที่มีข้อความว่า เด็กผู้หญิงผิวสีจะปกป้องโลก "ฉันยังคงเชื่อแบบนั้น มันอาจไม่ใช่เด็กหญิงรายนี้ แต่ฉันเชื่อว่าเด็กผู้หญิงผิวสีรายหนึ่งจะสามารถทำได้" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107151 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1132 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ กำชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส อย่างง่ายดายและเด็ดขาดเกินคาดหมายในวันพุธ (6 พ.ย.) หลังกวาดคะแนนจากรัฐสมรภูมิสำคัญ และได้กลับสู่ทำเนียบขาวสมัยที่สองที่มีแนวโน้มสร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลก นอกจากนั้น พรรครีพับลิกันของเขายังสามารถชิงอำนาจการควบคุมวุฒิสภาจากเดโมแครตได้สำเร็จ
    .
    ถึงแม้ผลสำรวจจากหลายสำนักก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นในวันอังคาร (5) ต่างระบุว่า การแข่งขันครั้งนี้จะคู่คี่สูสีกันมากและอาจต้องรอนานหลายวันกว่าจะรู้ผล แต่กลายเป็นว่า พวกสื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ สามารถประกาศอย่างเป็นเสียงเอกฉันท์ชนิดไม่มีเจ้าไหนแตกแถวตั้งแต่ในวันพุธ (6) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี เป็นผู้ชนะ หลังจากอดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สามารถกวาดคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) เกิน 270 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับผู้ชนะ และได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47
    .
    วิสคอนซิน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐสมรภูมิที่ผู้ออกเสียงไม่ได้แสดงความนิยมในผู้สมัครคนไหนหรือพรรคใหญ่พรรคใดอย่างชัดเจน จึงถูกมองว่าจะเป็นตัวชี้ขาดผู้มีชัยในการเลือกตั้งคราวนี้ ได้กลายเป็นรัฐตัดสินไปจริงๆ โดยหลังจากฟ็อกซ์นิวส์ เป็นสื่อยักษ์ใหญ่เจ้าแรกที่คาดการณ์ว่าทรัมป์ชนะในรัฐนี้ แล้วจึงประกาศว่าเขาได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงและเป็นผู้ชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปแล้ว ถัดจากนั้นอีกหลายชั่วโมงต่อมา สื่อยักษ์ใหญ่อื่นๆ ได้แก่ เอบีซี ซีบีเอส เอ็นบีซี ซีเอ็นเอ็น เอพี ก็เดินมาในรอยทางเดียวกัน กล่าวคือ ทยอยประกาศคาดการณ์ว่าทรัมป์ได้วิสคอนซินซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 10 เสียงไป และทำให้เป็นผู้ชนะโดยรวม ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายรัฐที่นับคะแนนยังไม่ทันเสร็จสิ้นก็ตามที
    .
    ไม่เพียงชนะด้วยเสียงคณะผู้เลือกตั้ง ในครั้งนี้ทรัมป์ยังได้คะแนนป็อปปูลาร์โหวต หรือเสียงโหวตจากผู้ออกเสียงทั่วประเทศ นำหน้าแฮร์ริสถึงประมาณ 5 ล้านคะแนน แตกต่างจากตอนที่เขาชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2016 ซึ่งเขามีชัยด้านเสียงคณะผู้เลือกตั้ง แต่แพ้ป็อปปูลาร์โหวตให้แก่คู่แข่งคือ ฮิลลารี คลินตัน เกือบ 3 ล้านคะแนน
    .
    นอกจากนั้นแล้ว พรรครีพับลิกันของทรัมป์ ยังเข้ายึดวุฒิสภามาจากเดโมแครตได้สำเร็จ โดยชิงที่นั่งซึ่งเดิมเป็นของเดโมแครตมาได้ 2 ที่นั่ง ทำให้พวกเขาเวลานี้เป็นฝ่ายที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฎรที่ชุดที่แล้วรีพับลิกันครองเสียงข้างมากเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยนั้น ยังไม่มีพรรคใดทำท่าชนะอย่างแน่นอนชัดเจน และต้องรอผลการนับคะแนนอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้
    .
    แฮร์ริสที่ถูกเปลี่ยนตัวเข้าแทนที่ โจ ไบเดน และมีเวลาในการรณรงค์หาเสียงเพียง 15 สัปดาห์เท่านั้น ทำไม่สำเร็จในการระดมเสียงสนับสนุนให้มากพอเพื่อยับยั้งทรัมป์ โดยเฉพาะในการคลายความกังวลของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาผู้อพยพ มิหนำซ้ำผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ยังไม่สนใจคำเตือนของแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตผู้นี้ที่ว่า ทรัมป์ต้องการอำนาจแบบไม่มีการตรวจสอบและเป็นตัวอันตรายสำหรับประชาธิปไตย ทำให้ประเด็นหลักในการหาเสียงของแฮร์ริสคือ การสร้างความเป็นเอกภาพและสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง สุดท้ายยังไม่เพียงพอให้เธอสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นหญิงผิวดำและเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกด้วย
    .
    จากโพลสำเร็จของรอยเตอร์/อิปซอสส์ บ่งชี้ว่าพวกผู้มีสิทธิเลือกตั้งมองว่า เรื่องงานและเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอเมริกา โดยคนอเมริกันจำนวนมากไม่พอใจปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจด้านอื่นๆ อยู่ในอาการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นพุ่งทำสถิติ ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราว่างงานต่ำ ทั้งนี้นอกจากคนเหล่านั้นมองว่า เรื่องเงินเฟ้อเป็นความผิดของคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ยังบอกว่า ไว้ใจทรัมป์มากกว่าแฮร์ริสในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
    .
    กลุ่มฮิสปานิกหรือกลุ่มคนพูดภาษาสเปน ที่เดิมทีเป็นฐานเสียงของเดโมแครต รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อรุนแรงที่สุด กลายเป็นตัวช่วยส่งให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ นอกเหนือจากฐานเสียงที่จงรักภักดีเหนียวแน่นกับพวกเขาซึ่งได้แก่กลุ่มคนผิวขาวที่เรียนไม่ถึงระดับมหาวิทยาลัย
    .
    ชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นมา ถึงแม้ว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมต่ำต่อเนื่อง เคยผ่านกระบวนการถูกพิจารณาถอดถอนถึง 2 ครั้ง ถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาวของตนเองระบุว่าเป็น “ฟาสซิสต์” ถูกฟ้องร้องคดีอาญา 4 คดี และถูกตัดสินว่าผิดในคดีแพ่งจากการล่วงละเมิดทางเพศและการหมิ่นประมาท ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเขาถูกคณะลูกขุนในนิวยอร์กตัดสินว่า กระทำผิดในการปลอมแปลงข้อมูลธุรกิจเพื่อปกปิดการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่า
    .
    ด้วยวัย 78 ปี ทรัมป์กำลังจะสร้างสถิติใหม่ในการเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด
    .
    ชัยชนะของทรัมป์ยังมีนัยสำคัญต่อนโยบายการค้า ผู้อพยพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอเมริกา และสงครามในยูเครน
    .
    นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ข้อเสนอขึ้นภาษีศุลกากรอย่างแรงของทรัมป์มีแนวโน้มจุดชนวนสงครามการค้ารุนแรงขึ้นกับจีน ตลอดจนกับพวกประเทศพันธมิตรของอเมริกา นอกจากนั้นเขายังให้สัญญาเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่
    .
    ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้สนับสนุนที่ไปรวมตัวติดตามดูการนับคะแนนอยู่ที่รัฐฟลอริดา ทรัมป์ขึ้นเวทีพร้อมเมลาเนีย ภรรยา และลูกๆ และประกาศว่า นี่คือชัยชนะอันงดงามสำหรับคนอเมริกัน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ตนทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
    .
    เขายังกล่าวถึงการรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารสองครั้งระหว่างช่วงหาเสียงว่า หลายคนบอกว่าพระเจ้าปกป้องเขา
    .
    นอกจากครอบครัวทรัมป์ วุฒิสมาชิก เจดี. แวนซ์ คู่หูในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และบรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันแล้ว งานนี้ยังมี อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกที่อัดฉีดแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ราว 120 ล้านดอลลาร์ เข้าร่วมฉลองด้วย โดยทรัมป์ยกย่องนายใหญ่เอ็กซ์และเทสลาผู้นี้เป็น “ดาวดวงใหม่” และก่อนหน้านี้ยังประกาศว่า จะแต่งตั้งมัสก์เป็นประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบประสิทธิภาพของรัฐบาล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107148
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ กำชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส อย่างง่ายดายและเด็ดขาดเกินคาดหมายในวันพุธ (6 พ.ย.) หลังกวาดคะแนนจากรัฐสมรภูมิสำคัญ และได้กลับสู่ทำเนียบขาวสมัยที่สองที่มีแนวโน้มสร้างแรงกระเพื่อมทั่วโลก นอกจากนั้น พรรครีพับลิกันของเขายังสามารถชิงอำนาจการควบคุมวุฒิสภาจากเดโมแครตได้สำเร็จ . ถึงแม้ผลสำรวจจากหลายสำนักก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นในวันอังคาร (5) ต่างระบุว่า การแข่งขันครั้งนี้จะคู่คี่สูสีกันมากและอาจต้องรอนานหลายวันกว่าจะรู้ผล แต่กลายเป็นว่า พวกสื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ สามารถประกาศอย่างเป็นเสียงเอกฉันท์ชนิดไม่มีเจ้าไหนแตกแถวตั้งแต่ในวันพุธ (6) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี เป็นผู้ชนะ หลังจากอดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สามารถกวาดคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral vote) เกิน 270 คะแนนซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับผู้ชนะ และได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 . วิสคอนซิน ซึ่งเป็น 1 ใน 7 รัฐสมรภูมิที่ผู้ออกเสียงไม่ได้แสดงความนิยมในผู้สมัครคนไหนหรือพรรคใหญ่พรรคใดอย่างชัดเจน จึงถูกมองว่าจะเป็นตัวชี้ขาดผู้มีชัยในการเลือกตั้งคราวนี้ ได้กลายเป็นรัฐตัดสินไปจริงๆ โดยหลังจากฟ็อกซ์นิวส์ เป็นสื่อยักษ์ใหญ่เจ้าแรกที่คาดการณ์ว่าทรัมป์ชนะในรัฐนี้ แล้วจึงประกาศว่าเขาได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงและเป็นผู้ชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปแล้ว ถัดจากนั้นอีกหลายชั่วโมงต่อมา สื่อยักษ์ใหญ่อื่นๆ ได้แก่ เอบีซี ซีบีเอส เอ็นบีซี ซีเอ็นเอ็น เอพี ก็เดินมาในรอยทางเดียวกัน กล่าวคือ ทยอยประกาศคาดการณ์ว่าทรัมป์ได้วิสคอนซินซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 10 เสียงไป และทำให้เป็นผู้ชนะโดยรวม ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายรัฐที่นับคะแนนยังไม่ทันเสร็จสิ้นก็ตามที . ไม่เพียงชนะด้วยเสียงคณะผู้เลือกตั้ง ในครั้งนี้ทรัมป์ยังได้คะแนนป็อปปูลาร์โหวต หรือเสียงโหวตจากผู้ออกเสียงทั่วประเทศ นำหน้าแฮร์ริสถึงประมาณ 5 ล้านคะแนน แตกต่างจากตอนที่เขาชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2016 ซึ่งเขามีชัยด้านเสียงคณะผู้เลือกตั้ง แต่แพ้ป็อปปูลาร์โหวตให้แก่คู่แข่งคือ ฮิลลารี คลินตัน เกือบ 3 ล้านคะแนน . นอกจากนั้นแล้ว พรรครีพับลิกันของทรัมป์ ยังเข้ายึดวุฒิสภามาจากเดโมแครตได้สำเร็จ โดยชิงที่นั่งซึ่งเดิมเป็นของเดโมแครตมาได้ 2 ที่นั่ง ทำให้พวกเขาเวลานี้เป็นฝ่ายที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฎรที่ชุดที่แล้วรีพับลิกันครองเสียงข้างมากเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยนั้น ยังไม่มีพรรคใดทำท่าชนะอย่างแน่นอนชัดเจน และต้องรอผลการนับคะแนนอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้ . แฮร์ริสที่ถูกเปลี่ยนตัวเข้าแทนที่ โจ ไบเดน และมีเวลาในการรณรงค์หาเสียงเพียง 15 สัปดาห์เท่านั้น ทำไม่สำเร็จในการระดมเสียงสนับสนุนให้มากพอเพื่อยับยั้งทรัมป์ โดยเฉพาะในการคลายความกังวลของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาผู้อพยพ มิหนำซ้ำผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ยังไม่สนใจคำเตือนของแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตผู้นี้ที่ว่า ทรัมป์ต้องการอำนาจแบบไม่มีการตรวจสอบและเป็นตัวอันตรายสำหรับประชาธิปไตย ทำให้ประเด็นหลักในการหาเสียงของแฮร์ริสคือ การสร้างความเป็นเอกภาพและสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง สุดท้ายยังไม่เพียงพอให้เธอสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ อีกทั้งเป็นหญิงผิวดำและเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกด้วย . จากโพลสำเร็จของรอยเตอร์/อิปซอสส์ บ่งชี้ว่าพวกผู้มีสิทธิเลือกตั้งมองว่า เรื่องงานและเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอเมริกา โดยคนอเมริกันจำนวนมากไม่พอใจปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจด้านอื่นๆ อยู่ในอาการที่ดี ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นพุ่งทำสถิติ ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอัตราว่างงานต่ำ ทั้งนี้นอกจากคนเหล่านั้นมองว่า เรื่องเงินเฟ้อเป็นความผิดของคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ยังบอกว่า ไว้ใจทรัมป์มากกว่าแฮร์ริสในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ . กลุ่มฮิสปานิกหรือกลุ่มคนพูดภาษาสเปน ที่เดิมทีเป็นฐานเสียงของเดโมแครต รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อรุนแรงที่สุด กลายเป็นตัวช่วยส่งให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ นอกเหนือจากฐานเสียงที่จงรักภักดีเหนียวแน่นกับพวกเขาซึ่งได้แก่กลุ่มคนผิวขาวที่เรียนไม่ถึงระดับมหาวิทยาลัย . ชัยชนะครั้งนี้เกิดขึ้นมา ถึงแม้ว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมต่ำต่อเนื่อง เคยผ่านกระบวนการถูกพิจารณาถอดถอนถึง 2 ครั้ง ถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานในทำเนียบขาวของตนเองระบุว่าเป็น “ฟาสซิสต์” ถูกฟ้องร้องคดีอาญา 4 คดี และถูกตัดสินว่าผิดในคดีแพ่งจากการล่วงละเมิดทางเพศและการหมิ่นประมาท ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเขาถูกคณะลูกขุนในนิวยอร์กตัดสินว่า กระทำผิดในการปลอมแปลงข้อมูลธุรกิจเพื่อปกปิดการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่า . ด้วยวัย 78 ปี ทรัมป์กำลังจะสร้างสถิติใหม่ในการเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด . ชัยชนะของทรัมป์ยังมีนัยสำคัญต่อนโยบายการค้า ผู้อพยพ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอเมริกา และสงครามในยูเครน . นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ข้อเสนอขึ้นภาษีศุลกากรอย่างแรงของทรัมป์มีแนวโน้มจุดชนวนสงครามการค้ารุนแรงขึ้นกับจีน ตลอดจนกับพวกประเทศพันธมิตรของอเมริกา นอกจากนั้นเขายังให้สัญญาเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ . ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของผู้สนับสนุนที่ไปรวมตัวติดตามดูการนับคะแนนอยู่ที่รัฐฟลอริดา ทรัมป์ขึ้นเวทีพร้อมเมลาเนีย ภรรยา และลูกๆ และประกาศว่า นี่คือชัยชนะอันงดงามสำหรับคนอเมริกัน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ตนทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง . เขายังกล่าวถึงการรอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารสองครั้งระหว่างช่วงหาเสียงว่า หลายคนบอกว่าพระเจ้าปกป้องเขา . นอกจากครอบครัวทรัมป์ วุฒิสมาชิก เจดี. แวนซ์ คู่หูในตำแหน่งรองประธานาธิบดี และบรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันแล้ว งานนี้ยังมี อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกที่อัดฉีดแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ราว 120 ล้านดอลลาร์ เข้าร่วมฉลองด้วย โดยทรัมป์ยกย่องนายใหญ่เอ็กซ์และเทสลาผู้นี้เป็น “ดาวดวงใหม่” และก่อนหน้านี้ยังประกาศว่า จะแต่งตั้งมัสก์เป็นประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบประสิทธิภาพของรัฐบาล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000107148 .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1241 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว CNN รายงานล่าสุดให้อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสายรีพับลิกัน เก็บชัยชนะไปแล้วอย่างน้อย 25 รัฐ รวมถึงนอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจียซึ่งเป็น 2 ใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญ คว้าจำนวนผู้แทนเลือกตั้งแล้ว 246 คน ขณะที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต มีแนวโน้มคว้าชัยแล้วใน 14 รัฐ และเขต D.C. ได้คณะผู้แทนเลือกตั้ง 187 คน ทว่ายังต้องรอจับตาผลการนับคะแนนในอีก 5 รัฐสมรภูมิสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดผลเลือกตั้งในครั้งนี้

    https://mgronline.com/around/detail/9670000106900

    #Thaitimes
    สำนักข่าว CNN รายงานล่าสุดให้อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสายรีพับลิกัน เก็บชัยชนะไปแล้วอย่างน้อย 25 รัฐ รวมถึงนอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจียซึ่งเป็น 2 ใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญ คว้าจำนวนผู้แทนเลือกตั้งแล้ว 246 คน ขณะที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต มีแนวโน้มคว้าชัยแล้วใน 14 รัฐ และเขต D.C. ได้คณะผู้แทนเลือกตั้ง 187 คน ทว่ายังต้องรอจับตาผลการนับคะแนนในอีก 5 รัฐสมรภูมิสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดผลเลือกตั้งในครั้งนี้ https://mgronline.com/around/detail/9670000106900 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ใกล้เส้นชัย! CNN ชี้ ‘ทรัมป์’ กวาด 2 รัฐสมรภูมิ ‘จอร์เจีย-นอร์ทแคโรไลนา’ ได้ผู้แทนเลือกตั้ง 246 คน
    สำนักข่าว CNN รายงานล่าสุดให้อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสายรีพับลิกัน เก็บชัยชนะไปแล้วอย่างน้อย 25 รัฐ รวมถึงนอร์ทแคโรไลนาและจอร์เจียซึ่งเป็น 2 ใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญ คว้าจำนวนผู้แทนเลือกตั้งแล้ว 246 คน ข
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวแทนพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีครั้งแรกที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา แถลงสร้างประวัติศาสตร์ จะเอายุครุ่งเรืองสหรัฐฯกลับคืนมา กล่าวชื่นชมมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ เป็นซุปเปอร์จีเนียสช่วยให้ชนะเลือกตั้ง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ส่งสารแสดงความยินดีต่อทรัมป์ ส่วนคู่แข่ง กมลา แฮร์ริส ไม่ปรากฎตัวบนเวทีหลังคะแนนไม่ขึ้นรอลุ้นต่อถึงพรุ่งนี้
    .
    เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันนี้(6 พ.ย)ว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฎตัวบนเวทีประกาศชัยชนะพร้อมสมาชิกครอบครัวและว่าที่คู่ชิง เจดี แวนซ์ ในเมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา
    .
    เสียงปรบมือกระหึ่มเมื่อเขาเดินเข้าไปและอยู่บนเวที ตัวแทนพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะเกิดขึ้นในขณะที่เขาได้คะแนนคณะเลือกตั้งสหรัฐฯ (electoral vote) ที่ 266 คะแนน และกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตได้ไป 195 คะแนนอ้างอิงจาก CNN ของสหรัฐฯ
    .
    ทรัมป์ยืนยันว่า เขาจะนำยุคทองกลับมายังสหรัฐอเมริกาและจะซ่อมแซมทุกสิ่ง
    .
    “และเหตุผลที่พวกเราได้สร้างประวัติศาสตร์ในคืนนี้ และเหตุผลคือพวกเราได้ฝ่าขวากหนามที่ไม่มีใครคิดว่าทำได้ และเวลานี้เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเราได้ประสบความสำเร็จทางการเมืองสูงสุดอย่างไม่น่าเชื่อ”
    .
    และอดีตผู้นำสหรัฐฯยังกล่าวชมเชยไปถึงเจ้าของเทสลาและแพลตฟอร์ม X ที่ทุ่มหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้สามารถเอาชนะรัฐเพนซิลเวเนียที่ถือเป็นรัฐสวิงสเตท
    .
    “เขามีบุคลิก เขาเป็นคนพิเศษ เขามันซุปเปอร์จีเนียส” ทรัมป์ประกาศ พร้อมเสริมว่า “พวกเราต้องปกป้องพวกคนอัจฉริยะเหล่านี้ของพวกเราไว้ เราไม่ได้มีมากเท่าใด พวกเราต้องปกป้องบรรดาซุปเปอร์จีเนียส”
    .
    พร้อมกันนี้ทรัมป์ยังประกาศอีกครั้งว่า จะกวาดล้างพวกผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งหลาย
    ขณะเดียวกัน คู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ กล่าวว่า “พวกเราเป็นประจักษ์พยานการกลับมาทางการเมืองอย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาตร์ของสหรัฐฯ”
    .
    ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง แสดงความยินดีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเขากล่าวว่า พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน
    .
    และตามมาด้วยนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้แสดงความบิยดีต่อทรัมป์ด้วยการทวีตภาพ เนทันยาฮูและภรรยา ซารา (Sara) ที่ถ่ายภาพร่วมทรัมป์
    .
    เอบีซีของสหรัฐฯรายงานว่า อย่างไรก็ตามเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส จะไม่ขึ้นปรากฎตัวคืนเลือกตั้งเพื่อกล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุน แต่จะเลื่อนไปตอนเช้าวันพุธ(6)แทน
    โดยทีมหาเสียงชี้ว่า ต้องการรอระหว่างผลคะแนนยังคงกำลังนับและอีกทั้งในวันเลือกตั้งนี้ยังไม่มีการสรุปชัดเจนว่าใครเป็นผู้ชนะ
    .
    ภาพแสดงให้เห็นบรรดาผู้สนับสนุนแฮร์ริสรวมตัวที่มหาวิทยาลัยโฮวาร์ด (Howard University)นั้นอยู่ในอาการที่เศร้าเนื่องมาจากผลคะแนนที่ไล่ตามคู่แข่งได้เดินออกไปจากสถานที่จัดงานปาร์ตี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106994
    .........
    Sondhi X
    ตัวแทนพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีครั้งแรกที่เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา แถลงสร้างประวัติศาสตร์ จะเอายุครุ่งเรืองสหรัฐฯกลับคืนมา กล่าวชื่นชมมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ เป็นซุปเปอร์จีเนียสช่วยให้ชนะเลือกตั้ง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ส่งสารแสดงความยินดีต่อทรัมป์ ส่วนคู่แข่ง กมลา แฮร์ริส ไม่ปรากฎตัวบนเวทีหลังคะแนนไม่ขึ้นรอลุ้นต่อถึงพรุ่งนี้ . เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันนี้(6 พ.ย)ว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฎตัวบนเวทีประกาศชัยชนะพร้อมสมาชิกครอบครัวและว่าที่คู่ชิง เจดี แวนซ์ ในเมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา . เสียงปรบมือกระหึ่มเมื่อเขาเดินเข้าไปและอยู่บนเวที ตัวแทนพรรครีพับลิกันประกาศชัยชนะเกิดขึ้นในขณะที่เขาได้คะแนนคณะเลือกตั้งสหรัฐฯ (electoral vote) ที่ 266 คะแนน และกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตได้ไป 195 คะแนนอ้างอิงจาก CNN ของสหรัฐฯ . ทรัมป์ยืนยันว่า เขาจะนำยุคทองกลับมายังสหรัฐอเมริกาและจะซ่อมแซมทุกสิ่ง . “และเหตุผลที่พวกเราได้สร้างประวัติศาสตร์ในคืนนี้ และเหตุผลคือพวกเราได้ฝ่าขวากหนามที่ไม่มีใครคิดว่าทำได้ และเวลานี้เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเราได้ประสบความสำเร็จทางการเมืองสูงสุดอย่างไม่น่าเชื่อ” . และอดีตผู้นำสหรัฐฯยังกล่าวชมเชยไปถึงเจ้าของเทสลาและแพลตฟอร์ม X ที่ทุ่มหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้สามารถเอาชนะรัฐเพนซิลเวเนียที่ถือเป็นรัฐสวิงสเตท . “เขามีบุคลิก เขาเป็นคนพิเศษ เขามันซุปเปอร์จีเนียส” ทรัมป์ประกาศ พร้อมเสริมว่า “พวกเราต้องปกป้องพวกคนอัจฉริยะเหล่านี้ของพวกเราไว้ เราไม่ได้มีมากเท่าใด พวกเราต้องปกป้องบรรดาซุปเปอร์จีเนียส” . พร้อมกันนี้ทรัมป์ยังประกาศอีกครั้งว่า จะกวาดล้างพวกผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งหลาย ขณะเดียวกัน คู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ กล่าวว่า “พวกเราเป็นประจักษ์พยานการกลับมาทางการเมืองอย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาตร์ของสหรัฐฯ” . ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง แสดงความยินดีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเขากล่าวว่า พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน . และตามมาด้วยนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้แสดงความบิยดีต่อทรัมป์ด้วยการทวีตภาพ เนทันยาฮูและภรรยา ซารา (Sara) ที่ถ่ายภาพร่วมทรัมป์ . เอบีซีของสหรัฐฯรายงานว่า อย่างไรก็ตามเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส จะไม่ขึ้นปรากฎตัวคืนเลือกตั้งเพื่อกล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุน แต่จะเลื่อนไปตอนเช้าวันพุธ(6)แทน โดยทีมหาเสียงชี้ว่า ต้องการรอระหว่างผลคะแนนยังคงกำลังนับและอีกทั้งในวันเลือกตั้งนี้ยังไม่มีการสรุปชัดเจนว่าใครเป็นผู้ชนะ . ภาพแสดงให้เห็นบรรดาผู้สนับสนุนแฮร์ริสรวมตัวที่มหาวิทยาลัยโฮวาร์ด (Howard University)นั้นอยู่ในอาการที่เศร้าเนื่องมาจากผลคะแนนที่ไล่ตามคู่แข่งได้เดินออกไปจากสถานที่จัดงานปาร์ตี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106994 ......... Sondhi X
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1251 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกัน กับกมลา แฮร์ริส ของพรรคเดโมแครต เคลื่อนเข้าสู่ระยะพุ่งโถมตัวเข้าสู่เส้นชัยซึ่งยังมีความไม่แน่นอนเป็นอย่างยิ่งในวันอังคาร (5 พ.ย.) ขณะที่ผู้ออกเสียงชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนเดินทางไปยังหน่วยเลือกตั้ง เพื่อตัดสินใจเลือก 2 วิสัยทัศน์สำหรับประเทศชาติซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด
    .
    ในเวลาที่หน่วยเลือกตั้งแห่งแรกๆ เริ่มเปิดต้อนรับผู้ออกมาใช้สิทธิ ผลโพลสำรวจและพวกผู้เชี่ยวชาญระบุว่า คู่แข่งขันสำคัญทั้งสองคือ รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส วัย 60 ที่เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ผู้สมัครของพรรครีพับลิกัน ยังคงอยู่ในสภาพที่มีคะแนนนิยมคู่คี่สูสีจนยากลำบากแก่การตัดสินชี้ขาด ในการต่อสู้ช่วงชิงทำเนียบขาวครั้งที่ถือว่ายากลำบากและพลิกผันไปมามากที่สุดในยุคสมัยใหม่
    .
    หน่วยเลือกตั้งในรัฐทางภาคตะวันออก เป็นต้นว่า เวอร์จิเนีย นอร์ทแคโรไลนา และนิวยอร์ก เปิดให้เข้าไปใช้สิทธิตั้งแต่เวลา 06.00 น. (ตรงกับ 18.00 น.เวลาเมืองไทย) โดยคาดหมายกันว่าตลอดทั้งวันจะผู้ไปใช้สิทธิกันหลายสิบล้านคน เพิ่มเติมจากจำนวนกว่า 82 ล้านคนซึ่งไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากันแล้วในช่วงหลายๆ สัปดาห์ก่อนหน้านี้
    .
    ขณะที่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจะยังไม่เป็นที่ทราบกันไปอีกหลายวันทีเดียว ถ้าผลมีความคู่คี่กันมากอย่างที่โพลทั้งหลายบ่งชี้ไว้ ซึ่งก็จะเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในประเทศที่มีการแตกแยกแบ่งขั้วกันอย่างล้ำลึกอยู่แล้วแห่งนี้
    .
    นอกจากนั้น ยังมีความหวาดกลัวกันว่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย และกระทั่งความรุนแรงขึ้นมา ถ้าหาก ทรัมป์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และท้าทายผลเลือกตั้งอย่างที่เขาเคยกระทำในการเลือกตั้งปี 2020
    .
    ในวันจันทร์ (4) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียง ทั้ง ทรัมป์ และ แฮร์ริส ต่างทำงานอย่างไม่ยอมเหน็ดยอมเหนื่อยเพื่อปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนของพวกเขาออกมาใช้สิทธิที่คูหาเลือกตั้ง ขณะเดียวกับที่พยายามหาทางเอาชนะใจพวกผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยังไม่ได้ตัดสินใจคนท้ายๆ โดยเฉพาะในบรรดารัฐสมรภูมิ ซึ่งคาดหมายกันว่าจะเป็นผู้ชี้ขาดผลการแข่งขันคราวนี้
    .
    ทรัมป์ ให้สัญญาจะนำอเมริกาสู่ “ความรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น” ส่วนกมลา แฮร์ริส เรียกร้อง “การเริ่มต้นใหม่” หลังจากอเมริกาถูกครอบงำด้วยวาทกรรมทางการเมืองซึ่งมุ่งปลุกเร้าความเกลียดชังและความรุนแรงของทรัมป์มาเกือบทศวรรษ
    .
    รองประธานาธิบดีหญิงจากพรรคเดโมแครตปิดฉากการหาเสียงที่ร็อคกี้สเต็ปส์ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญของภาพยนตร์ดัง “ร็อกกี้” ในรัฐเพนซิลเวเนีย 1 ใน 7 รัฐสมรภูมิที่ต้องชนะให้ได้
    .
    แฮร์ริสประกาศว่า การเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นการแข่งขันที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกคะแนนเสียงมีความสำคัญ และอ้างอิงถึงหนัง “ร็อกกี้” ว่า ขอยกย่องทุกคนที่เริ่มต้นในฐานะมวยรองแต่สามารถฝ่าฝันสู่ชัยชนะสำเร็จ
    .
    ที่ผ่านมา แฮร์ริส ย้ำอยู่เสมอว่า ตนเองเป็นมวยรอง โดยเธอได้ตั๋วชิงทำเนียบขาวในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครตแบบกะทันหัน หลังจากเมื่อ 3 เดือนที่แล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยอมจำนนต่อการกดดันภายในพรรคและขอถอนตัวจากการแข่งขัน
    .
    อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสยืนยันว่า เธอจะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
    .
    ทางด้านทรัมป์พาสมาชิกครอบครัวหลายคนขึ้นเวทีทิ้งทวนการหาเสียงที่เมืองแกรนด์ราปิดส์ รัฐมิชิแกน
    .
    อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ก็เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนออกไปลงคะแนนในวันอังคาร (5) เพื่อให้ตนเองสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่ประเทศเผชิญอยู่ รวมทั้งพาอเมริกาและโลกสู่ความรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
    .
    การปราศรัยส่งท้ายของทั้งคู่สะท้อนว่า การออกไปใช้สิทธิมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ โดยทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างบอกว่า รู้สึกมีกำลังใจจากจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าซึ่งสูงถึง 82 ล้านคน และตอนนี้ทั้งคู่จำเป็นต้องระดมผู้สนับสนุนออกไปเลือกตั้งในวันอังคาร
    .
    ทั้งนี้ ในการหาเสียงช่วงหลายวันสุดท้าย ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันส่งสาส์นถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งกันคนละประเด็นโดยสิ้นเชิง
    .
    ที่เมืองรีดดิ้ง รัฐเพนซิลเวเนีย ทรัมป์ย้ำว่า อเมริกากำลังตกต่ำและตึงเครียดจากปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายที่เขาเรียกว่า “สัตว์” และบรรยายว่า “โหดเหี้ยม”
    .
    ด้านแฮร์ริสชูประเด็นต่อต้านการห้ามทำแท้งทั่วอเมริกา และเรียกร้องการเริ่มต้นใหม่ หลังจากอเมริกาถูกครอบงำด้วยวาทกรรมทางการเมืองของทรัมป์มาเกือบทศวรรษ
    .
    ถึงแม้มัวหมองจากการถูกตัดสินกระทำผิดคดีอาญา และเรื่องอื้อฉาวที่เหล่าผู้สนับสนุนบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการแข่งขันกับ โจ ไบเดน แต่ต้องถือว่า ทรัมป์ ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุด มีข้อได้เปรียบหลายอย่างในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะจากการตามจิกเรื่องเศรษฐกิจซึ่งคนอเมริกันกำลังมีความกังวล โดยเฉพาะเกี่วกับอัตราเงินเฟ้อ ตลอดจนการใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายที่ได้ใจฐานเสียงปีกขวา
    .
    ในทางกลับกัน แฮร์ริสมีเวลาสร้างแคมเปญหาเสียงแค่ 3 เดือน กระนั้นก็ประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อยๆ ในการปลุกเร้าพรรคเดโมแครต รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มหนุ่มสาวและผู้หญิงอย่างชัดเจน
    .
    ขณะเดียวกัน ทั่วโลกกำลังตั้งตารอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากจะมีนัยสำคัญต่อวิกฤตการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามในยูเครน รวมถึงการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ทรัมป์กล่าวหาว่า เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง
    .
    สถานการณ์เฉพาะหน้าที่น่ากลัวที่สุดคือประชาธิปไตยของอเมริกากำลังจะถูกทดสอบ หากทรัมป์แพ้แต่ไม่ยอมรับเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่เหล่ากองเชียร์ของเขาบุกโจมตีอาคารรัฐสภา รวมทั้งการที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ถูกลอบสังหารถึง 2 ครั้ง ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงดูเป็นไปได้มากขึ้น
    .
    ที่กรุงวอชิงตันมีการติดตั้งรั้วสูงรอบบริเวณที่พักแฮร์ริสและทำเนียบขาว ขณะที่ห้างร้านหลายแห่งนำแผ่นไม้อัดมาตีปิดกระจกด้านหน้า
    .
    ทั้งรัฐออริกอน วอชิงตัน และเนวาดา ต่างเรียกกองทหารรักษาดินแดน (เนชั่นแนล การ์ด) เข้ารักษาการณ์ และกระทรวงกลาโหมเผยว่า อย่างน้อย 17 รัฐสั่งให้สมาชิกกองทหารรักษาดินแดนรวม 600 นายเตรียมพร้อมหากจำเป็น
    .
    ด้านสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) จัดตั้งศูนย์บัญชาการการเลือกตั้งแห่งชาติในวอชิงตันเพื่อตรวจติดตามภัยคุกคามตลอดสัปดาห์การเลือกตั้ง นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในคูหาเลือกตั้งเกือบ 100,000 แห่งทั่วประเทศ
    .
    รันเบ็ก อิเล็กชัน เซอร์วิส ผู้ให้บริการเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยปฏิบัติการเลือกตั้ง ยืนยันข่าวที่ว่า ได้จัดส่งปุ่มกดฉุกเฉิน 1,000 ชุดสำหรับลูกค้าที่รวมถึงพวกหน่วยเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย โดยอุปกรณ์นี้มีขนาดเล็กสามารถห้อยคอหรือเก็บในกระเป๋า ซึ่งจะจับคู่กับมือถือของผู้ใช้ และเชื่อมต่อกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106742
    ..............
    Sondhi X
    การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกัน กับกมลา แฮร์ริส ของพรรคเดโมแครต เคลื่อนเข้าสู่ระยะพุ่งโถมตัวเข้าสู่เส้นชัยซึ่งยังมีความไม่แน่นอนเป็นอย่างยิ่งในวันอังคาร (5 พ.ย.) ขณะที่ผู้ออกเสียงชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนเดินทางไปยังหน่วยเลือกตั้ง เพื่อตัดสินใจเลือก 2 วิสัยทัศน์สำหรับประเทศชาติซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัด . ในเวลาที่หน่วยเลือกตั้งแห่งแรกๆ เริ่มเปิดต้อนรับผู้ออกมาใช้สิทธิ ผลโพลสำรวจและพวกผู้เชี่ยวชาญระบุว่า คู่แข่งขันสำคัญทั้งสองคือ รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส วัย 60 ที่เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ผู้สมัครของพรรครีพับลิกัน ยังคงอยู่ในสภาพที่มีคะแนนนิยมคู่คี่สูสีจนยากลำบากแก่การตัดสินชี้ขาด ในการต่อสู้ช่วงชิงทำเนียบขาวครั้งที่ถือว่ายากลำบากและพลิกผันไปมามากที่สุดในยุคสมัยใหม่ . หน่วยเลือกตั้งในรัฐทางภาคตะวันออก เป็นต้นว่า เวอร์จิเนีย นอร์ทแคโรไลนา และนิวยอร์ก เปิดให้เข้าไปใช้สิทธิตั้งแต่เวลา 06.00 น. (ตรงกับ 18.00 น.เวลาเมืองไทย) โดยคาดหมายกันว่าตลอดทั้งวันจะผู้ไปใช้สิทธิกันหลายสิบล้านคน เพิ่มเติมจากจำนวนกว่า 82 ล้านคนซึ่งไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากันแล้วในช่วงหลายๆ สัปดาห์ก่อนหน้านี้ . ขณะที่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจะยังไม่เป็นที่ทราบกันไปอีกหลายวันทีเดียว ถ้าผลมีความคู่คี่กันมากอย่างที่โพลทั้งหลายบ่งชี้ไว้ ซึ่งก็จะเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในประเทศที่มีการแตกแยกแบ่งขั้วกันอย่างล้ำลึกอยู่แล้วแห่งนี้ . นอกจากนั้น ยังมีความหวาดกลัวกันว่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย และกระทั่งความรุนแรงขึ้นมา ถ้าหาก ทรัมป์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และท้าทายผลเลือกตั้งอย่างที่เขาเคยกระทำในการเลือกตั้งปี 2020 . ในวันจันทร์ (4) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียง ทั้ง ทรัมป์ และ แฮร์ริส ต่างทำงานอย่างไม่ยอมเหน็ดยอมเหนื่อยเพื่อปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนของพวกเขาออกมาใช้สิทธิที่คูหาเลือกตั้ง ขณะเดียวกับที่พยายามหาทางเอาชนะใจพวกผู้มีสิทธิออกเสียงที่ยังไม่ได้ตัดสินใจคนท้ายๆ โดยเฉพาะในบรรดารัฐสมรภูมิ ซึ่งคาดหมายกันว่าจะเป็นผู้ชี้ขาดผลการแข่งขันคราวนี้ . ทรัมป์ ให้สัญญาจะนำอเมริกาสู่ “ความรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น” ส่วนกมลา แฮร์ริส เรียกร้อง “การเริ่มต้นใหม่” หลังจากอเมริกาถูกครอบงำด้วยวาทกรรมทางการเมืองซึ่งมุ่งปลุกเร้าความเกลียดชังและความรุนแรงของทรัมป์มาเกือบทศวรรษ . รองประธานาธิบดีหญิงจากพรรคเดโมแครตปิดฉากการหาเสียงที่ร็อคกี้สเต็ปส์ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญของภาพยนตร์ดัง “ร็อกกี้” ในรัฐเพนซิลเวเนีย 1 ใน 7 รัฐสมรภูมิที่ต้องชนะให้ได้ . แฮร์ริสประกาศว่า การเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นการแข่งขันที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกคะแนนเสียงมีความสำคัญ และอ้างอิงถึงหนัง “ร็อกกี้” ว่า ขอยกย่องทุกคนที่เริ่มต้นในฐานะมวยรองแต่สามารถฝ่าฝันสู่ชัยชนะสำเร็จ . ที่ผ่านมา แฮร์ริส ย้ำอยู่เสมอว่า ตนเองเป็นมวยรอง โดยเธอได้ตั๋วชิงทำเนียบขาวในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครตแบบกะทันหัน หลังจากเมื่อ 3 เดือนที่แล้วประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยอมจำนนต่อการกดดันภายในพรรคและขอถอนตัวจากการแข่งขัน . อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสยืนยันว่า เธอจะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ . ทางด้านทรัมป์พาสมาชิกครอบครัวหลายคนขึ้นเวทีทิ้งทวนการหาเสียงที่เมืองแกรนด์ราปิดส์ รัฐมิชิแกน . อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ก็เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนออกไปลงคะแนนในวันอังคาร (5) เพื่อให้ตนเองสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่ประเทศเผชิญอยู่ รวมทั้งพาอเมริกาและโลกสู่ความรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น . การปราศรัยส่งท้ายของทั้งคู่สะท้อนว่า การออกไปใช้สิทธิมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ โดยทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างบอกว่า รู้สึกมีกำลังใจจากจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าซึ่งสูงถึง 82 ล้านคน และตอนนี้ทั้งคู่จำเป็นต้องระดมผู้สนับสนุนออกไปเลือกตั้งในวันอังคาร . ทั้งนี้ ในการหาเสียงช่วงหลายวันสุดท้าย ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันส่งสาส์นถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งกันคนละประเด็นโดยสิ้นเชิง . ที่เมืองรีดดิ้ง รัฐเพนซิลเวเนีย ทรัมป์ย้ำว่า อเมริกากำลังตกต่ำและตึงเครียดจากปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายที่เขาเรียกว่า “สัตว์” และบรรยายว่า “โหดเหี้ยม” . ด้านแฮร์ริสชูประเด็นต่อต้านการห้ามทำแท้งทั่วอเมริกา และเรียกร้องการเริ่มต้นใหม่ หลังจากอเมริกาถูกครอบงำด้วยวาทกรรมทางการเมืองของทรัมป์มาเกือบทศวรรษ . ถึงแม้มัวหมองจากการถูกตัดสินกระทำผิดคดีอาญา และเรื่องอื้อฉาวที่เหล่าผู้สนับสนุนบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการแข่งขันกับ โจ ไบเดน แต่ต้องถือว่า ทรัมป์ ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุด มีข้อได้เปรียบหลายอย่างในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะจากการตามจิกเรื่องเศรษฐกิจซึ่งคนอเมริกันกำลังมีความกังวล โดยเฉพาะเกี่วกับอัตราเงินเฟ้อ ตลอดจนการใช้ถ้อยคำรุนแรงโจมตีปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายที่ได้ใจฐานเสียงปีกขวา . ในทางกลับกัน แฮร์ริสมีเวลาสร้างแคมเปญหาเสียงแค่ 3 เดือน กระนั้นก็ประสบความสำเร็จไม่ใช่น้อยๆ ในการปลุกเร้าพรรคเดโมแครต รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มหนุ่มสาวและผู้หญิงอย่างชัดเจน . ขณะเดียวกัน ทั่วโลกกำลังตั้งตารอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างใจจดใจจ่อ เนื่องจากจะมีนัยสำคัญต่อวิกฤตการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามในยูเครน รวมถึงการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ทรัมป์กล่าวหาว่า เป็นเรื่องโกหกหลอกลวง . สถานการณ์เฉพาะหน้าที่น่ากลัวที่สุดคือประชาธิปไตยของอเมริกากำลังจะถูกทดสอบ หากทรัมป์แพ้แต่ไม่ยอมรับเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่เหล่ากองเชียร์ของเขาบุกโจมตีอาคารรัฐสภา รวมทั้งการที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ถูกลอบสังหารถึง 2 ครั้ง ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงดูเป็นไปได้มากขึ้น . ที่กรุงวอชิงตันมีการติดตั้งรั้วสูงรอบบริเวณที่พักแฮร์ริสและทำเนียบขาว ขณะที่ห้างร้านหลายแห่งนำแผ่นไม้อัดมาตีปิดกระจกด้านหน้า . ทั้งรัฐออริกอน วอชิงตัน และเนวาดา ต่างเรียกกองทหารรักษาดินแดน (เนชั่นแนล การ์ด) เข้ารักษาการณ์ และกระทรวงกลาโหมเผยว่า อย่างน้อย 17 รัฐสั่งให้สมาชิกกองทหารรักษาดินแดนรวม 600 นายเตรียมพร้อมหากจำเป็น . ด้านสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) จัดตั้งศูนย์บัญชาการการเลือกตั้งแห่งชาติในวอชิงตันเพื่อตรวจติดตามภัยคุกคามตลอดสัปดาห์การเลือกตั้ง นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในคูหาเลือกตั้งเกือบ 100,000 แห่งทั่วประเทศ . รันเบ็ก อิเล็กชัน เซอร์วิส ผู้ให้บริการเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยปฏิบัติการเลือกตั้ง ยืนยันข่าวที่ว่า ได้จัดส่งปุ่มกดฉุกเฉิน 1,000 ชุดสำหรับลูกค้าที่รวมถึงพวกหน่วยเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย โดยอุปกรณ์นี้มีขนาดเล็กสามารถห้อยคอหรือเก็บในกระเป๋า ซึ่งจะจับคู่กับมือถือของผู้ใช้ และเชื่อมต่อกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106742 .............. Sondhi X
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1308 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงจะอยู่ห่างกันในระยะทาง, แต่อยู่ไกลกันในประสบการณ์: ไบเดนไม่เข้าร่วมงานรวมตัวหาเสียงเลือกตั้งของแฮร์ริส

    ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงเฝ้าติดตามคืนเลือกตั้งของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส, รายงานของ Washington Examiner, ซึ่ง, น่าจะบอกอะไรได้หลายอย่าง

    แม้ว่าไบเดนและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจะอยู่ที่ทำเนียบขาวเพื่อติดตามความคืบหน้าการเลือกตั้ง, แต่แฮร์ริสจะจัดงานของเธอที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด, ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงสองไมล์

    ความสัมพันธ์ระหว่างไบเดนและแฮร์ริสตึงเครียด, โดยแฮร์ริสวางตำแหน่งตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นใหม่, โดยสัญญาว่าจะมี "หนทางใหม่ข้างหน้า" และกล่าวว่า "เราจะไม่หันหลังกลับ" อย่างไรก็ตาม, อาชีพการงานของเธอเป็นหนี้บุญคุณไบเดนมาก, ซึ่งเลือกเธอเป็นคู่หูในปี 2020 และสนับสนุนเธอหลังจากถอนตัวจากการแข่งขัน
    .
    MILES APART, WORLDS AWAY: BIDEN PASSES ON HARRIS’S ELECTION NIGHT GATHERING

    President Joe Biden will not attend Vice President Kamala Harris's election night watch party, the Washington Examiner reports, which, probably, speaks volumes.

    While Biden and the first lady will stay at the White House for election updates, Harris is hosting her event at Howard University, just two miles away.

    The Biden-Harris relationship has been strained, with Harris positioning herself as a fresh start, promising a “new way forward” and saying “We are not going back.” Yet, her career owes much to Biden, who chose her as his running mate in 2020 and endorsed her after withdrawing from the race.
    .
    6:34 AM · Nov 6, 2024 · 1,710 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1853944121901383724
    ถึงจะอยู่ห่างกันในระยะทาง, แต่อยู่ไกลกันในประสบการณ์: ไบเดนไม่เข้าร่วมงานรวมตัวหาเสียงเลือกตั้งของแฮร์ริส ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงเฝ้าติดตามคืนเลือกตั้งของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส, รายงานของ Washington Examiner, ซึ่ง, น่าจะบอกอะไรได้หลายอย่าง แม้ว่าไบเดนและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจะอยู่ที่ทำเนียบขาวเพื่อติดตามความคืบหน้าการเลือกตั้ง, แต่แฮร์ริสจะจัดงานของเธอที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด, ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงสองไมล์ ความสัมพันธ์ระหว่างไบเดนและแฮร์ริสตึงเครียด, โดยแฮร์ริสวางตำแหน่งตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นใหม่, โดยสัญญาว่าจะมี "หนทางใหม่ข้างหน้า" และกล่าวว่า "เราจะไม่หันหลังกลับ" อย่างไรก็ตาม, อาชีพการงานของเธอเป็นหนี้บุญคุณไบเดนมาก, ซึ่งเลือกเธอเป็นคู่หูในปี 2020 และสนับสนุนเธอหลังจากถอนตัวจากการแข่งขัน . MILES APART, WORLDS AWAY: BIDEN PASSES ON HARRIS’S ELECTION NIGHT GATHERING President Joe Biden will not attend Vice President Kamala Harris's election night watch party, the Washington Examiner reports, which, probably, speaks volumes. While Biden and the first lady will stay at the White House for election updates, Harris is hosting her event at Howard University, just two miles away. The Biden-Harris relationship has been strained, with Harris positioning herself as a fresh start, promising a “new way forward” and saying “We are not going back.” Yet, her career owes much to Biden, who chose her as his running mate in 2020 and endorsed her after withdrawing from the race. . 6:34 AM · Nov 6, 2024 · 1,710 Views https://x.com/SputnikInt/status/1853944121901383724
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️หน่วยเลือกตั้งแรกปิดทำการในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี ๒๐๒๔

    หน่วยเลือกตั้งแรกๆในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มปิดทำการในเวลา ๑๘.๐๐ น. ตามเวลาตะวันออก (๒๓.๐๐ น. GMT) ขณะที่ประเทศกำลังเลือกประธานาธิบดีคนต่อไป

    หน่วยเลือกตั้งของรัฐแรกที่จะปิดทำการนั้นอยู่ในเขตทางตะวันออกของรัฐอินเดียนาและรัฐเคนตักกี้, ในขณะที่หน่วยเลือกตั้งของรัฐสุดท้ายจะปิดทำการในฮาวาย (เที่ยงคืน) และอลาสก้า (เที่ยงคืน-๐๑.๐๐ น. ตามเวลาตะวันออก)

    รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน, กมลา แฮร์ริส, ซึ่งเป็นพรรคเดโมแครต, และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นพรรครีพับลิกัน, กำลังแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งสูงสุดของประเทศ โดยคาดว่าการแข่งขันที่สูสีนี้จะลงเอยที่รัฐที่เป็นสมรภูมิรบไม่กี่รัฐ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย, นอร์ทแคโรไลนา, จอร์เจีย, มิชิแกน, แอริโซนา, วิสคอนซิน, และเนวาดา

    ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง ๔๓๕ ที่นั่ง และวุฒิสภา ๓๔ ที่นั่งจากทั้งหมด ๑๐๐ ที่นั่ง จะมีการเลือกตั้งในวันที่ ๕ พฤศจิกายนเช่นกัน
    .
    ⚡️FIRST POLLING STATIONS CLOSE IN 2024 US ELECTION

    The first polling stations start closing in the United States at 6:00 p.m. Eastern time (23:00 GMT) as the country is electing its next president.

    The first state polls to close are located in the eastern counties of Indiana and Kentucky, while the final state polls are set to close in Hawaii (midnight) and Alaska (midnight-01:00 a.m. ET).

    The incumbent vice president, Kamala Harris, a Democrat, and former President Donald Trump, a Republican, are vying for the country's top job. The close race is expected to come down to a handful of battleground states - Pennsylvania, North Carolina, Georgia, Michigan, Arizona, Wisconsin, and Nevada.

    All 435 seats in the House of Representatives and 34 of the 100 seats in the Senate are also up for election on November 5.
    .
    6:05 AM · Nov 6, 2024 · 2,090 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1853936673781923945
    ⚡️หน่วยเลือกตั้งแรกปิดทำการในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี ๒๐๒๔ หน่วยเลือกตั้งแรกๆในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มปิดทำการในเวลา ๑๘.๐๐ น. ตามเวลาตะวันออก (๒๓.๐๐ น. GMT) ขณะที่ประเทศกำลังเลือกประธานาธิบดีคนต่อไป หน่วยเลือกตั้งของรัฐแรกที่จะปิดทำการนั้นอยู่ในเขตทางตะวันออกของรัฐอินเดียนาและรัฐเคนตักกี้, ในขณะที่หน่วยเลือกตั้งของรัฐสุดท้ายจะปิดทำการในฮาวาย (เที่ยงคืน) และอลาสก้า (เที่ยงคืน-๐๑.๐๐ น. ตามเวลาตะวันออก) รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน, กมลา แฮร์ริส, ซึ่งเป็นพรรคเดโมแครต, และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นพรรครีพับลิกัน, กำลังแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งสูงสุดของประเทศ โดยคาดว่าการแข่งขันที่สูสีนี้จะลงเอยที่รัฐที่เป็นสมรภูมิรบไม่กี่รัฐ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย, นอร์ทแคโรไลนา, จอร์เจีย, มิชิแกน, แอริโซนา, วิสคอนซิน, และเนวาดา ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรทั้ง ๔๓๕ ที่นั่ง และวุฒิสภา ๓๔ ที่นั่งจากทั้งหมด ๑๐๐ ที่นั่ง จะมีการเลือกตั้งในวันที่ ๕ พฤศจิกายนเช่นกัน . ⚡️FIRST POLLING STATIONS CLOSE IN 2024 US ELECTION The first polling stations start closing in the United States at 6:00 p.m. Eastern time (23:00 GMT) as the country is electing its next president. The first state polls to close are located in the eastern counties of Indiana and Kentucky, while the final state polls are set to close in Hawaii (midnight) and Alaska (midnight-01:00 a.m. ET). The incumbent vice president, Kamala Harris, a Democrat, and former President Donald Trump, a Republican, are vying for the country's top job. The close race is expected to come down to a handful of battleground states - Pennsylvania, North Carolina, Georgia, Michigan, Arizona, Wisconsin, and Nevada. All 435 seats in the House of Representatives and 34 of the 100 seats in the Senate are also up for election on November 5. . 6:05 AM · Nov 6, 2024 · 2,090 Views https://x.com/SputnikInt/status/1853936673781923945
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์-แฮร์ริส ตระเวนปราศรัยตามรัฐสมรภูมิ ในวันสุดท้ายของการหาเสียงศึกชิงทำเนียบขาวที่เต็มไปด้วยดรามา ตั้งแต่การที่ทรัมป์ถูกตัดสินทำผิดอุกฉกรรจ์และถูกลอบสังหารสองครั้งสองหน จนถึงการที่ประธานาธิบดีในตำแหน่งอย่างไบเดนถูกกดดันจนต้องถอนตัวจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ แฮร์ริส เน้นชูประเด็นสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ขณะที่ทรัมป์ยังปลุกกระแสว่าถูกโกงเลือกตั้งครั้งที่แล้วและอาจถูกโกงอีกในคราวนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความมั่นใจว่า ตนเองจะเป็นผู้ชนะ
    .
    รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต วางแผนใช้เวลาทั้งวันจันทร์ (4 พ.ย.) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral votes) 19 เสียง มากที่สุดในบรรดา 7 รัฐซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐสมรภูมิ ที่หมายถึงรัฐที่ยังไม่มีความแน่นอนชัดเจนว่าจะโหวตให้ผู้สมัครคนไหน และดังนั้นจึงกลายเป็นตัวตัดสินทำให้ผู้ชนะมีโอกาสได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งจนเกินครึ่งหนึ่ง หรือ 270 คะแนนจากทั้งประเทศ 538 คะแนน ที่จะเป็นตัวชี้ขาดว่าผู้สมัครคนไหนจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
    .
    สำหรับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกันนั้น มีกำหนดตระเวนหาเสียงใน 3 รัฐสมรภูมิ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน
    .
    รายงานข่าวระบุว่า มีคนอเมริกันราว 77 ล้านคนแล้วที่ไปลงคะแนนล่วงหน้า แต่แฮร์ริสและทรัมป์ยังคงพยายามผลักดันผู้สนับสนุนอีกหลายล้านคนไปใช้สิทธิในวันอังคาร (5 ) ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ทั้งสิ้น
    .
    กล่าวคือหากทรัมป์ชนะจะทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกฟ้องร้องและถูกศาลตัดสินว่าทำผิดอุกฉกรรจ์ในคดีอาญาจากกรณีจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่าในนิวยอร์ก โดยที่การได้กลับสู่ทำเนียบขาวจะทำให้เขามีอำนาจในการยุติการสอบสวนตนเองอีกหลายคดี นอกจากนั้นทรัมป์ยังจะเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยคนก่อนหน้านี้คือ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
    .
    ส่วนแฮร์ริสจะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงผิวดำที่มีเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกของอเมริกา
    .
    แฮร์ริสจับพลัดจับผลูได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงศึกชิงทำเนียบขาวครั้งนี้ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน โชว์ผลงานการดีเบตสุดเลวร้ายเมื่อเดือนมิถุนายนจนถูกกดดันหนักและตัดสินใจถอนตัวจากการเลือกตั้ง
    .
    ทางฝั่งทรัมป์รอดหวุดหวิดจากการถูกลอบยิงระหว่างหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ต่อมาในเดือนกันยายน เจ้าหน้าที่กรมกิจการลับก็สกัดความพยายามลอบสังหารครั้งที่ 2 โดยมือปืนคนหนึ่งที่แอบซุ่มเตรียมปืนไรเฟิลในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งของทรัมป์ในฟลอริดาขณะที่เจ้าตัวกำลังตีกอล์ฟ
    .
    ในส่วนการหาเสียงนั้น แฮร์ริสประกาศตัวเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยเน้นย้ำการสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง หลังจากศาลสูงสุดได้ตัดสินยกเลิกสิทธิในการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2022 เธอยังตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดเกี่ยวกับบทบาทของทรัมป์ในเหตุการณ์ม็อบบุกโจมตีอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. 2021
    .
    รองประธานาธิบดีผู้นี้ยังโจมตีทรัมป์ว่า เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย และไม่นานมานี้ถึงขั้นเรียกทรัมป์ว่า เป็นพวกเผด็จการฟาสซิสต์
    .
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองวันสุดท้ายของการหาเสียง แฮร์ริสแทบจะหยุดโจมตีทรัมป์โดยสิ้นเชิง และหันมาให้สัญญาว่า จะแก้ไขปัญหาต่างๆ และหาทางประนีประนอม
    .
    ด้านทรัมป์ปัดฝุ่นสโลแกนยอดฮิตของตัวเอง “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และ “อเมริกาต้องมาก่อน” รวมทั้งยังประกาศจุดยืนแข็งกร้าวในประเด็นคนเข้าเมือง พร้อมโจมตีเดโมแครตเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และให้คำมั่นฟื้นยุคทองทางเศรษฐกิจ ยุติวิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปิดพรมแดนทางใต้ของอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งที่ทรัมป์ออกนอกสคริปต์ไปคร่ำครวญเรื่องที่ตัวเองถูกฟ้องหลังจากพยายามล้มล้างชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดนเมื่อปี 2020 และด้อยค่าอเมริกาว่าเป็น “ประเทศที่ล้มเหลว”
    .
    ในวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) ทรัมป์กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานอีกครั้งว่า ระบบการเลือกตั้งของอเมริกากำลังคดโกงตัวเขา และบอกว่า ไม่น่ายอมขนของออกจากทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนโอ้อวดว่า ครั้งนี้จะชนะถล่มทลายจนโกงไม่ได้
    .
    เรื่องที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีแนวโน้มชี้ขาดกันในการโหวตที่ 7 รัฐสมรภูมินั้น สามารถสาวย้อนกลับไปในปี 2016 ซึ่งทรัมป์ชนะได้เป็นประธานาธิบดี ภายหลังมีชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน แต่ในปี 2020 เมื่อเขาเสียทั้ง 3 รัฐนี้ให้ไบเดน เขาก็ตกเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งนี้อีก 4 รัฐสมรภูมิที่เหลือ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา จอร์เจีย แอริโซนา และเนวาดา
    .
    ทรัมป์นั้นเคยชนะในนอร์ทแคโรไลนา 2 ครั้ง และแพ้ในเนวาดา 2 ครั้ง เขาชนะในแอริโซนาและจอร์เจียในปี 2016 แต่แพ้ไบเดนในอีก 4 ปีต่อมา
    .
    ทางด้านทีมหาเสียงของแฮร์ริสแสดงความมั่นใจในระยะไม่กี่วันหลังๆ นี้ โดยชี้ไปที่ข้อมูลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งผู้ออกเสียงหญิงมาใช้สิทธิในจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงกว่าผู้ออกเสียงชายค่อนข้างมาก ตลอดจนผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจมีความโน้มเอียงเลือกแฮร์ริส กระนั้น บรรดาผู้ช่วยของเธออยากให้มองว่า แฮร์ริสยังคงเป็นมวยรอง
    .
    ส่วนทีมหาเสียงของทรัมป์แสดงความมั่นใจไม่แพ้กัน โดยอ้างว่า แนวทางประชานิยมของทรัมป์สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและชนชั้นแรงงานจากทุกชาติพันธุ์และสีผิว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106360
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์-แฮร์ริส ตระเวนปราศรัยตามรัฐสมรภูมิ ในวันสุดท้ายของการหาเสียงศึกชิงทำเนียบขาวที่เต็มไปด้วยดรามา ตั้งแต่การที่ทรัมป์ถูกตัดสินทำผิดอุกฉกรรจ์และถูกลอบสังหารสองครั้งสองหน จนถึงการที่ประธานาธิบดีในตำแหน่งอย่างไบเดนถูกกดดันจนต้องถอนตัวจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ แฮร์ริส เน้นชูประเด็นสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ขณะที่ทรัมป์ยังปลุกกระแสว่าถูกโกงเลือกตั้งครั้งที่แล้วและอาจถูกโกงอีกในคราวนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความมั่นใจว่า ตนเองจะเป็นผู้ชนะ . รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต วางแผนใช้เวลาทั้งวันจันทร์ (4 พ.ย.) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (electoral votes) 19 เสียง มากที่สุดในบรรดา 7 รัฐซึ่งเรียกกันว่าเป็นรัฐสมรภูมิ ที่หมายถึงรัฐที่ยังไม่มีความแน่นอนชัดเจนว่าจะโหวตให้ผู้สมัครคนไหน และดังนั้นจึงกลายเป็นตัวตัดสินทำให้ผู้ชนะมีโอกาสได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งจนเกินครึ่งหนึ่ง หรือ 270 คะแนนจากทั้งประเทศ 538 คะแนน ที่จะเป็นตัวชี้ขาดว่าผู้สมัครคนไหนจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป . สำหรับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกันนั้น มีกำหนดตระเวนหาเสียงใน 3 รัฐสมรภูมิ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน . รายงานข่าวระบุว่า มีคนอเมริกันราว 77 ล้านคนแล้วที่ไปลงคะแนนล่วงหน้า แต่แฮร์ริสและทรัมป์ยังคงพยายามผลักดันผู้สนับสนุนอีกหลายล้านคนไปใช้สิทธิในวันอังคาร (5 ) ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ทั้งสิ้น . กล่าวคือหากทรัมป์ชนะจะทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกฟ้องร้องและถูกศาลตัดสินว่าทำผิดอุกฉกรรจ์ในคดีอาญาจากกรณีจ่ายเงินปิดปากดาราหนังปลุกใจเสือป่าในนิวยอร์ก โดยที่การได้กลับสู่ทำเนียบขาวจะทำให้เขามีอำนาจในการยุติการสอบสวนตนเองอีกหลายคดี นอกจากนั้นทรัมป์ยังจะเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสองสมัยติดกัน โดยคนก่อนหน้านี้คือ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 . ส่วนแฮร์ริสจะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงผิวดำที่มีเชื้อสายเอเชียใต้คนแรกของอเมริกา . แฮร์ริสจับพลัดจับผลูได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงศึกชิงทำเนียบขาวครั้งนี้ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน โชว์ผลงานการดีเบตสุดเลวร้ายเมื่อเดือนมิถุนายนจนถูกกดดันหนักและตัดสินใจถอนตัวจากการเลือกตั้ง . ทางฝั่งทรัมป์รอดหวุดหวิดจากการถูกลอบยิงระหว่างหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ต่อมาในเดือนกันยายน เจ้าหน้าที่กรมกิจการลับก็สกัดความพยายามลอบสังหารครั้งที่ 2 โดยมือปืนคนหนึ่งที่แอบซุ่มเตรียมปืนไรเฟิลในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งของทรัมป์ในฟลอริดาขณะที่เจ้าตัวกำลังตีกอล์ฟ . ในส่วนการหาเสียงนั้น แฮร์ริสประกาศตัวเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย โดยเน้นย้ำการสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง หลังจากศาลสูงสุดได้ตัดสินยกเลิกสิทธิในการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2022 เธอยังตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดเกี่ยวกับบทบาทของทรัมป์ในเหตุการณ์ม็อบบุกโจมตีอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. 2021 . รองประธานาธิบดีผู้นี้ยังโจมตีทรัมป์ว่า เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย และไม่นานมานี้ถึงขั้นเรียกทรัมป์ว่า เป็นพวกเผด็จการฟาสซิสต์ . อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองวันสุดท้ายของการหาเสียง แฮร์ริสแทบจะหยุดโจมตีทรัมป์โดยสิ้นเชิง และหันมาให้สัญญาว่า จะแก้ไขปัญหาต่างๆ และหาทางประนีประนอม . ด้านทรัมป์ปัดฝุ่นสโลแกนยอดฮิตของตัวเอง “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” และ “อเมริกาต้องมาก่อน” รวมทั้งยังประกาศจุดยืนแข็งกร้าวในประเด็นคนเข้าเมือง พร้อมโจมตีเดโมแครตเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และให้คำมั่นฟื้นยุคทองทางเศรษฐกิจ ยุติวิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปิดพรมแดนทางใต้ของอเมริกา . อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งที่ทรัมป์ออกนอกสคริปต์ไปคร่ำครวญเรื่องที่ตัวเองถูกฟ้องหลังจากพยายามล้มล้างชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดนเมื่อปี 2020 และด้อยค่าอเมริกาว่าเป็น “ประเทศที่ล้มเหลว” . ในวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) ทรัมป์กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานอีกครั้งว่า ระบบการเลือกตั้งของอเมริกากำลังคดโกงตัวเขา และบอกว่า ไม่น่ายอมขนของออกจากทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนโอ้อวดว่า ครั้งนี้จะชนะถล่มทลายจนโกงไม่ได้ . เรื่องที่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีแนวโน้มชี้ขาดกันในการโหวตที่ 7 รัฐสมรภูมินั้น สามารถสาวย้อนกลับไปในปี 2016 ซึ่งทรัมป์ชนะได้เป็นประธานาธิบดี ภายหลังมีชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย มิชิแกน และวิสคอนซิน แต่ในปี 2020 เมื่อเขาเสียทั้ง 3 รัฐนี้ให้ไบเดน เขาก็ตกเป็นฝ่ายแพ้ ทั้งนี้อีก 4 รัฐสมรภูมิที่เหลือ ได้แก่ นอร์ทแคโรไลนา จอร์เจีย แอริโซนา และเนวาดา . ทรัมป์นั้นเคยชนะในนอร์ทแคโรไลนา 2 ครั้ง และแพ้ในเนวาดา 2 ครั้ง เขาชนะในแอริโซนาและจอร์เจียในปี 2016 แต่แพ้ไบเดนในอีก 4 ปีต่อมา . ทางด้านทีมหาเสียงของแฮร์ริสแสดงความมั่นใจในระยะไม่กี่วันหลังๆ นี้ โดยชี้ไปที่ข้อมูลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งผู้ออกเสียงหญิงมาใช้สิทธิในจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงกว่าผู้ออกเสียงชายค่อนข้างมาก ตลอดจนผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจมีความโน้มเอียงเลือกแฮร์ริส กระนั้น บรรดาผู้ช่วยของเธออยากให้มองว่า แฮร์ริสยังคงเป็นมวยรอง . ส่วนทีมหาเสียงของทรัมป์แสดงความมั่นใจไม่แพ้กัน โดยอ้างว่า แนวทางประชานิยมของทรัมป์สามารถดึงดูดหนุ่มสาวและชนชั้นแรงงานจากทุกชาติพันธุ์และสีผิว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000106360 .............. Sondhi X
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 984 มุมมอง 0 รีวิว
  • หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพยายามยุติความขัดแย้งยูเครนอย่างเร็วที่สุด เขาอาจพบจุดจบในชะตากรรมเดียวกับ จอห์น เอฟ.เคนเนดี จากความเห็นของ ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย
    .
    ขณะเดียวกัน เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับมอสโก จะยังคงตึงเครียดในระดับสูงลิ่วต่อไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันอังคาร (5 พ.ย.)
    .
    ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ ตัวแทนจากรีพับลิกัน ประกาศซ้ำๆ ว่าจะยุติสถานการณ์นองเลือดในยูเครนในเวลาอันสั้น หากได้รับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างเจาะจงใดๆ ในขณะที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต คู่แข่งของเขา เชื่อว่า ทรัมป์ อาจบีบให้ เคียฟ ยอมจำนน
    .
    ในเรื่องนี้ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกวังเครมลินก็แสดงความเคลือบแคลงสงสัยเช่นกันเกี่ยวกับความสามารถของทรัมป์ ในการหยุดความขัดแย้งในชั่วข้ามคืน พร้อมเชื่อว่าไม่มีไม้กายสิทธิ์ใดๆ ในปัจจุบันที่เขาจะทำเช่นนั้นได้
    .
    เมดเวเดฟ โพสต์ข้อความลงบนช่องเทเลแกรมเมื่อวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) ระบุว่ามอสโกไม่ได้คาดหวังใดๆ เกี่ยวกับผลลัพธ์ของศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมอ้างว่า "สำหรับรัสเซียแล้ว การเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เนื่องจากจุดยืนของผู้สมัครทั้ง 2 สะท้อนออกมาโดยสิ้นเชิงอย่างเป็นเอกฉันท์ทั้ง 2 ฝ่าย ว่าจำเป็นต้องเอาชนะประเทศของเรา"
    .
    ข้อความของเมดเวเดฟ เขียนต่อว่า แม้ในระหว่างหาเสียง ทรัมป์ พูดจากน่าเบื่อต่างๆ เกี่ยวกับโอกาสสันติภาพในยูเครน และอ้างว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาผู้นำโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากได้รับเลือกตั้ง ตัวแทนจากรีพับลิกันรายนี้ "จะบังคับให้ทุกคนทำตามระบบกฎเกณฑ์ทั้งหมดทั้งมวล และจะไม่สามารถหยุดสงครามได้ ไม่ใช่แค่ภายในวันเดียว ใน 3 วัน หรือใน 3 เดือน"
    .
    "และถ้าหากเขาพยายามยุติความขัดแย้งยูเครน เขาจะกลายเป็นจอห์น เอฟ.เคนเนดี รายต่อไป" อดีตประธานาธิบดีรัสเซียเตือน อ้างถึง จอห์น เอฟ.เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกลอบสังหารในปี 1963
    .
    ในส่วนของแฮร์ริส เจ้าหน้าที่รัสเซียมองว่าเธอเป็น "คนโง่ ไร้ประสบการณ์ และอยู่ภายใต้การควบคุม" ขณะที่ เมดเวเดฟ ชี้ว่าหากเธอได้รัยชัยชนะ เธอจะเป็นแค่หุ่นเชิด ปล่อยให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และสมาชิกในบริวารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา คอยกุมบังเหียน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพยายามยุติความขัดแย้งยูเครนอย่างเร็วที่สุด เขาอาจพบจุดจบในชะตากรรมเดียวกับ จอห์น เอฟ.เคนเนดี จากความเห็นของ ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย . ขณะเดียวกัน เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับมอสโก จะยังคงตึงเครียดในระดับสูงลิ่วต่อไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันอังคาร (5 พ.ย.) . ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ ตัวแทนจากรีพับลิกัน ประกาศซ้ำๆ ว่าจะยุติสถานการณ์นองเลือดในยูเครนในเวลาอันสั้น หากได้รับเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างเจาะจงใดๆ ในขณะที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครต คู่แข่งของเขา เชื่อว่า ทรัมป์ อาจบีบให้ เคียฟ ยอมจำนน . ในเรื่องนี้ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกวังเครมลินก็แสดงความเคลือบแคลงสงสัยเช่นกันเกี่ยวกับความสามารถของทรัมป์ ในการหยุดความขัดแย้งในชั่วข้ามคืน พร้อมเชื่อว่าไม่มีไม้กายสิทธิ์ใดๆ ในปัจจุบันที่เขาจะทำเช่นนั้นได้ . เมดเวเดฟ โพสต์ข้อความลงบนช่องเทเลแกรมเมื่อวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) ระบุว่ามอสโกไม่ได้คาดหวังใดๆ เกี่ยวกับผลลัพธ์ของศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมอ้างว่า "สำหรับรัสเซียแล้ว การเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เนื่องจากจุดยืนของผู้สมัครทั้ง 2 สะท้อนออกมาโดยสิ้นเชิงอย่างเป็นเอกฉันท์ทั้ง 2 ฝ่าย ว่าจำเป็นต้องเอาชนะประเทศของเรา" . ข้อความของเมดเวเดฟ เขียนต่อว่า แม้ในระหว่างหาเสียง ทรัมป์ พูดจากน่าเบื่อต่างๆ เกี่ยวกับโอกาสสันติภาพในยูเครน และอ้างว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาผู้นำโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากได้รับเลือกตั้ง ตัวแทนจากรีพับลิกันรายนี้ "จะบังคับให้ทุกคนทำตามระบบกฎเกณฑ์ทั้งหมดทั้งมวล และจะไม่สามารถหยุดสงครามได้ ไม่ใช่แค่ภายในวันเดียว ใน 3 วัน หรือใน 3 เดือน" . "และถ้าหากเขาพยายามยุติความขัดแย้งยูเครน เขาจะกลายเป็นจอห์น เอฟ.เคนเนดี รายต่อไป" อดีตประธานาธิบดีรัสเซียเตือน อ้างถึง จอห์น เอฟ.เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกลอบสังหารในปี 1963 . ในส่วนของแฮร์ริส เจ้าหน้าที่รัสเซียมองว่าเธอเป็น "คนโง่ ไร้ประสบการณ์ และอยู่ภายใต้การควบคุม" ขณะที่ เมดเวเดฟ ชี้ว่าหากเธอได้รัยชัยชนะ เธอจะเป็นแค่หุ่นเชิด ปล่อยให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และสมาชิกในบริวารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา คอยกุมบังเหียน . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 522 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) เน้นย้ำคำกล่าวอ้างของเขาเกี่ยวกับการโกงคะแนนโหวตในรัฐสมรภูมิต่างๆ ในขณะที่เขาและคู่แข่งอย่าง กมลา แฮร์ริส จากเดโมแครต ใช้ช่วงเวลา 48 ชั่วโมงสุดท้าย ของการรณรงค์หาเสียง ระดมเสียงสนับสนุนในเป้าหมายคว้าชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่คู่คี่สูสีที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์
    .
    คาดหมายว่าศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้จะเป็นไปอย่างสูสีมากๆ โดยผลสำรวจความคิดเห็นต่างๆ พบว่าจนถึง ณ ขณะนี้มีอยู่หลายรัฐที่คะแนนนิยมของทั้งคู่ยังคงใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของศึกเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา
    .
    ขณะเดียวกัน พบว่าจนถึงตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าไปแล้วกว่า 77.3 ล้านคน ก่อนถึงวันเลือกตั้งในวันอังคาร (5 พ.ย.) มากกว่าครึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในปี 2020
    .
    ในขณะที่เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงวันเลือกตั้ง เป็นอีกครั้งที่ ทรัมป์ บ่งชี้ว่าเขาอาจไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และใช้วาทกรรมเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม และสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่าแม้ไม่มีหลักฐานสำคัญใดๆ เกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งในสหรัฐฯ แต่ ทรัมป์ อ้างว่าพวกเดโมแครตในรัฐเพนซิลเวเนีย รัฐสมรภูมิ กำลังทำงานอย่างหนักในการขโมยผลการเลือกตั้ง
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังแสดงความขุ่นเคืองบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายที่มักรายงานในสิ่งที่เขาเรียกว่า "ข่าวปลอม" เล่นงานเขาเป็นประจำ โดย ทรัมป์ บอกกับบรรดาผู้สนับสนุนว่า จะไม่ว่าอะไรหากมีผู้สื่อข่าวรายหนึ่งถูกยิงบ้าง
    .
    ระหว่างการปราศรัยหาเสียงเป็นเวลา 90 นาที ทรัมป์ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบเสียชีวิตในเหตุลอบสังหารเมื่อเดือนกรกฎาคม พร้อมระบุว่าสำหรับเขาแล้ว หากถูกยิงอีกรอบ คราวนี้กระสุนควรจะพุ่งผ่านกลุ่มสื่อมวลชน "สำหรับผม หากมีใครถูกยิงจากการนำเสนอข่าวปลอม ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมไม่แคร์ด้วย" เขาพูดไปหัวเราะไป
    .
    ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น แฮร์ริส ได้ไปร่วมพิธีที่โบสถ์แห่งหน่ง ที่มีชาวผิวสีเป็นชนกลุ่มใหญ่ ในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน และใช้โอกาสนี้เรียกร้องอเมริกันชน ก้าวข้าม ทรัมป์ "ขอพวกเราจงก้าวไปข้างหน้า และเขียนบทตอนถัดไปในประวัติศาสตร์ของเรา" รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุ "ขณะที่เรารู้ดีว่ามีคนที่กำลังหาทางสร้างความแตกแยกหนักหน่วงขึ้น หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง และก่อความวุ่นวาย ในช่วงเวลาที่ประเทศของเราเต็มไปด้วยการเมืองที่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากมายเหลือเกิน"
    .
    แฮร์ริส เรียกคำกล่าวหาของทรัมป์ เกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งว่าเป็นความพยายามทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคะแนนโหวตของพวกเขานั้นไม่มีความสำคัญ "ระบบต่างๆ ที่ใช้ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ในปี 2024 มีความซื่อตรง" เธอกล่าว "และประชาชนจะเป็นคนตัดสินผลการเลือกตั้ง"
    .
    เหมือนกับเพนซิลเวเนีย ในรัฐมิชิแกน อีกรัฐสมรภูมิก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ทรัมป์ เคยพลิกเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน ในป้อมปราการของเดโมแครตแห่งนี้ ในศึกเลือกตั้งปี 2016 แต่ ไบเดน นำพารัฐแห่งนี้กลับมาเป็นป้อมปราการของเดโมแครตอีกรอบในปี 2020 ได้แรงหนุนจากผู้มีสิทธิออกเสียงแรงงานสหภาพและคนผิวสี
    .
    อย่างไรก็ตาม คราวนี้ แฮร์ริส กำลังเสี่ยงสูญเสียแรงสนับสนุนจากชุมชนอเมริกันเชื้อสายอาหรับที่มีอยู่กว่า 200,000 คน ที่ประณามแนวทางของไบเดน ในการจัดการสงครามอิสราเอล-ฮามาส ในกาซา
    .
    สถานการณ์การเลือกตั้งเวลานี้ มีรายงานระบุว่า ชาวอเมริกัน 75 ล้านคนไปลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของรีลเคลียร์โพลิติกส์จนถึงค่ำวันเสาร์ระบุว่า ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสไม่มีใครนำใครเกิน 3 จุดในรัฐหนึ่งรัฐใดใน 7 รัฐสมรภูมิที่จะเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง
    .
    บรรดาผู้สนับสนุนรีพับลิกันให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า พร้อมโยนความสงสัยเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งทิ้งทันที ถ้าทรัมป์ชนะแบบแลนด์สไลด์
    .
    เชิร์ล วัย 39 ปีที่ทำงานในองค์กรไม่หวังผลกำไรแห่งหนึ่งบอกว่า เธอคง “สงสัย” ถ้าผลเลือกตั้งออกมาว่า แฮร์ริสชนะ แต่จะ “มั่นใจมาก” ถ้าผลออกมาว่า ทรัมป์ชนะ
    .
    “เพราะพระเจ้าลิขิตมาแล้วให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี พวกเราแค่รอเท่านั้น”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000105983
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในวันอาทิตย์ (3 พ.ย.) เน้นย้ำคำกล่าวอ้างของเขาเกี่ยวกับการโกงคะแนนโหวตในรัฐสมรภูมิต่างๆ ในขณะที่เขาและคู่แข่งอย่าง กมลา แฮร์ริส จากเดโมแครต ใช้ช่วงเวลา 48 ชั่วโมงสุดท้าย ของการรณรงค์หาเสียง ระดมเสียงสนับสนุนในเป้าหมายคว้าชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่คู่คี่สูสีที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์ . คาดหมายว่าศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้จะเป็นไปอย่างสูสีมากๆ โดยผลสำรวจความคิดเห็นต่างๆ พบว่าจนถึง ณ ขณะนี้มีอยู่หลายรัฐที่คะแนนนิยมของทั้งคู่ยังคงใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของศึกเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา . ขณะเดียวกัน พบว่าจนถึงตอนนี้มีผู้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าไปแล้วกว่า 77.3 ล้านคน ก่อนถึงวันเลือกตั้งในวันอังคาร (5 พ.ย.) มากกว่าครึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในปี 2020 . ในขณะที่เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงวันเลือกตั้ง เป็นอีกครั้งที่ ทรัมป์ บ่งชี้ว่าเขาอาจไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และใช้วาทกรรมเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม และสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่าแม้ไม่มีหลักฐานสำคัญใดๆ เกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งในสหรัฐฯ แต่ ทรัมป์ อ้างว่าพวกเดโมแครตในรัฐเพนซิลเวเนีย รัฐสมรภูมิ กำลังทำงานอย่างหนักในการขโมยผลการเลือกตั้ง . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังแสดงความขุ่นเคืองบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายที่มักรายงานในสิ่งที่เขาเรียกว่า "ข่าวปลอม" เล่นงานเขาเป็นประจำ โดย ทรัมป์ บอกกับบรรดาผู้สนับสนุนว่า จะไม่ว่าอะไรหากมีผู้สื่อข่าวรายหนึ่งถูกยิงบ้าง . ระหว่างการปราศรัยหาเสียงเป็นเวลา 90 นาที ทรัมป์ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบเสียชีวิตในเหตุลอบสังหารเมื่อเดือนกรกฎาคม พร้อมระบุว่าสำหรับเขาแล้ว หากถูกยิงอีกรอบ คราวนี้กระสุนควรจะพุ่งผ่านกลุ่มสื่อมวลชน "สำหรับผม หากมีใครถูกยิงจากการนำเสนอข่าวปลอม ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมไม่แคร์ด้วย" เขาพูดไปหัวเราะไป . ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น แฮร์ริส ได้ไปร่วมพิธีที่โบสถ์แห่งหน่ง ที่มีชาวผิวสีเป็นชนกลุ่มใหญ่ ในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน และใช้โอกาสนี้เรียกร้องอเมริกันชน ก้าวข้าม ทรัมป์ "ขอพวกเราจงก้าวไปข้างหน้า และเขียนบทตอนถัดไปในประวัติศาสตร์ของเรา" รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุ "ขณะที่เรารู้ดีว่ามีคนที่กำลังหาทางสร้างความแตกแยกหนักหน่วงขึ้น หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง และก่อความวุ่นวาย ในช่วงเวลาที่ประเทศของเราเต็มไปด้วยการเมืองที่แตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากมายเหลือเกิน" . แฮร์ริส เรียกคำกล่าวหาของทรัมป์ เกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งว่าเป็นความพยายามทำให้ผู้คนรู้สึกว่าคะแนนโหวตของพวกเขานั้นไม่มีความสำคัญ "ระบบต่างๆ ที่ใช้ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ในปี 2024 มีความซื่อตรง" เธอกล่าว "และประชาชนจะเป็นคนตัดสินผลการเลือกตั้ง" . เหมือนกับเพนซิลเวเนีย ในรัฐมิชิแกน อีกรัฐสมรภูมิก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน ทรัมป์ เคยพลิกเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน ในป้อมปราการของเดโมแครตแห่งนี้ ในศึกเลือกตั้งปี 2016 แต่ ไบเดน นำพารัฐแห่งนี้กลับมาเป็นป้อมปราการของเดโมแครตอีกรอบในปี 2020 ได้แรงหนุนจากผู้มีสิทธิออกเสียงแรงงานสหภาพและคนผิวสี . อย่างไรก็ตาม คราวนี้ แฮร์ริส กำลังเสี่ยงสูญเสียแรงสนับสนุนจากชุมชนอเมริกันเชื้อสายอาหรับที่มีอยู่กว่า 200,000 คน ที่ประณามแนวทางของไบเดน ในการจัดการสงครามอิสราเอล-ฮามาส ในกาซา . สถานการณ์การเลือกตั้งเวลานี้ มีรายงานระบุว่า ชาวอเมริกัน 75 ล้านคนไปลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของรีลเคลียร์โพลิติกส์จนถึงค่ำวันเสาร์ระบุว่า ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสไม่มีใครนำใครเกิน 3 จุดในรัฐหนึ่งรัฐใดใน 7 รัฐสมรภูมิที่จะเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง . บรรดาผู้สนับสนุนรีพับลิกันให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า พร้อมโยนความสงสัยเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้งทิ้งทันที ถ้าทรัมป์ชนะแบบแลนด์สไลด์ . เชิร์ล วัย 39 ปีที่ทำงานในองค์กรไม่หวังผลกำไรแห่งหนึ่งบอกว่า เธอคง “สงสัย” ถ้าผลเลือกตั้งออกมาว่า แฮร์ริสชนะ แต่จะ “มั่นใจมาก” ถ้าผลออกมาว่า ทรัมป์ชนะ . “เพราะพระเจ้าลิขิตมาแล้วให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี พวกเราแค่รอเท่านั้น” . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000105983 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 884 มุมมอง 0 รีวิว
  • หม่อมโจ้
    สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส
    เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร
    ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้
    เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด
    ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน
    แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
    อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง
    'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น
    ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล
    ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
    ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
    ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ :
    (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist'
    ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist'
    เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น
    การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา
    ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น
    ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน
    ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย
    (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
    การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง
    วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542)
    ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank
    Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ
    แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO
    โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่
    (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ
    เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ
    ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น
    หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร)
    ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย
    ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก
    ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร
    จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่
    ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
    ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น
    ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้
    ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด
    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    หม่อมโจ้ สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้ เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง 'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ : (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist' เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542) ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่ (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร) ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่ ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด จึงเรียนมาเพื่อทราบ ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นายดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียจากปี 2008 ถึง 2012 เตือนสหรัฐฯให้จริงจังกับคำเตือนนิวเคลียร์ของรัสเซีย เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3

    เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติอันทรงอิทธิพลของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอาร์ทีนิวส์ ว่าพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไม่ต้องการสงครามโลกครั้งที่ 3 และในเหตุผลบางอย่าง พวกเขาเชื่อว่า "รัสเซียจะไม่มีวันข้ามเส้นตายนั้น"

    อย่างไรก็ตาม "พวกเขาคิดผิด" เมดเวเดฟกล่าวกับอาร์ทีนิวส์ พร้อมระบุมอสโกเชื่อว่าสถาบันการเมืองทั้งในสหรัฐฯ และยุโรปในปัจจุบัน ขาดวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและความคิดที่ละเอียดละอ่อน ต่างจากนายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ล่วงลับ

    ทั้งนี้ คิสซิงเจอร์ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปีก่อน เป็นคนดำเนินการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตในทศวรรษปี 1970 ซึ่งนำไปสู่สนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ครั้งสำคัญครั้งแรกระหว่างสองมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็น

    "ถ้าเราพูดถึงการอยู่รอดของประเทศของเรา ก็ตามที่ประธานาธิบดีของเรากล่าวซ้ำๆ เราคงไม่มีทางเลือกอื่น" เมดเวเดฟระบุ

    สงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อมานาน 2 ปีครึ่ง กำลังเข้าสู่สิ่งที่พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียเรียกว่าขั้นอันตรายที่สุด ในขณะที่กองกำลังมอสโกกำลังรุกคืบทางภาคตะวันออกของยูเครน และตะวันตกกำลังขบคิดว่าจะค้ำยันประคับประคองเคียฟอย่างไร

    รัสเซียส่งสัญญาณไปยังตะวันตกมานานหลายสัปดาห์แล้วว่า มอสโกจะตอบโต้หากว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรไฟเขียวให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลของตะวันตกโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทางนาโตก็กล่าวหาว่าเกาหลีเหนือได้ส่งทหารไปยังทางตะวันตกของรัสเซีย ในความเป็นไปได้ว่าจะเข้าช่วยเหลือกองกำลังมอสโกสู้รบกับยูเครน

    พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียกล่าวหาว่าบรรดาผู้นำตะวันตกเพิกเฉยต่อสัญญาณต่างๆ ของมอสโกที่ส่งไปถึง เกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคงของยุโรปและสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายในยูเครน

    บรรดานักการทูตสหรัฐฯ บอกว่าแม้ความสัมพันธ์กับรัสเซียจะดำดิ่งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็น แต่วอชิงตันไม่ได้หาทางขยายสงครามในยูเครนให้ลุกลาม

    (ที่มา : รอยเตอร์)

    #Thaitimes
    2 พฤศจิกายน 2567-รายงานข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นายดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียจากปี 2008 ถึง 2012 เตือนสหรัฐฯให้จริงจังกับคำเตือนนิวเคลียร์ของรัสเซีย เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติอันทรงอิทธิพลของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอาร์ทีนิวส์ ว่าพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไม่ต้องการสงครามโลกครั้งที่ 3 และในเหตุผลบางอย่าง พวกเขาเชื่อว่า "รัสเซียจะไม่มีวันข้ามเส้นตายนั้น" อย่างไรก็ตาม "พวกเขาคิดผิด" เมดเวเดฟกล่าวกับอาร์ทีนิวส์ พร้อมระบุมอสโกเชื่อว่าสถาบันการเมืองทั้งในสหรัฐฯ และยุโรปในปัจจุบัน ขาดวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลและความคิดที่ละเอียดละอ่อน ต่างจากนายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ล่วงลับ ทั้งนี้ คิสซิงเจอร์ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปีก่อน เป็นคนดำเนินการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตในทศวรรษปี 1970 ซึ่งนำไปสู่สนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ครั้งสำคัญครั้งแรกระหว่างสองมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็น "ถ้าเราพูดถึงการอยู่รอดของประเทศของเรา ก็ตามที่ประธานาธิบดีของเรากล่าวซ้ำๆ เราคงไม่มีทางเลือกอื่น" เมดเวเดฟระบุ สงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อมานาน 2 ปีครึ่ง กำลังเข้าสู่สิ่งที่พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียเรียกว่าขั้นอันตรายที่สุด ในขณะที่กองกำลังมอสโกกำลังรุกคืบทางภาคตะวันออกของยูเครน และตะวันตกกำลังขบคิดว่าจะค้ำยันประคับประคองเคียฟอย่างไร รัสเซียส่งสัญญาณไปยังตะวันตกมานานหลายสัปดาห์แล้วว่า มอสโกจะตอบโต้หากว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรไฟเขียวให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลของตะวันตกโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทางนาโตก็กล่าวหาว่าเกาหลีเหนือได้ส่งทหารไปยังทางตะวันตกของรัสเซีย ในความเป็นไปได้ว่าจะเข้าช่วยเหลือกองกำลังมอสโกสู้รบกับยูเครน พวกเจ้าหน้าที่รัสเซียกล่าวหาว่าบรรดาผู้นำตะวันตกเพิกเฉยต่อสัญญาณต่างๆ ของมอสโกที่ส่งไปถึง เกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคงของยุโรปและสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายในยูเครน บรรดานักการทูตสหรัฐฯ บอกว่าแม้ความสัมพันธ์กับรัสเซียจะดำดิ่งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็น แต่วอชิงตันไม่ได้หาทางขยายสงครามในยูเครนให้ลุกลาม (ที่มา : รอยเตอร์) #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิลอน มัสก์ ไม่ยอมมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา หลังศาลออกหมายเรียกให้มาชี้แจงกรณีสุ่มเเจกเงิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อโหวตเตอร์ เพื่อกระตุ้นให้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

    การไม่มาตามคำสั่งศาลอาจทำให้มัสก์ต้องเสี่ยงต่อความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

    แลร์รี เเครสเนอร์ อัยการของรัฐเพนซิลเวเนีย กล่าวหามัสก์ ว่ากำลังทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง "จากการสุ่มแจกเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นการชี้นำ" โดยขอให้ศาลใช้อำนาจหยุดการกระทำด้วยการแจกเงินของมัสก์ ซึ่งถือเป็นการล่อลวง หลอกล่อ และกระตุ้น ซึ่งไม่ได้เกิดจากความรู้สึกโดยแท้จริงของประชาชน

    เเครสเนอร์ ยังกล่าวอีกว่า แท้จริงแล้วมัสก์ไม่ได้สุ่มแจกเงินจริงๆ แต่เป็นการเล่นละคร เนื่องจากผู้ที่ได้รับเงินจากมัสก์สองรายแรก ก็คือคนที่สนับสนุนทรัมป์นั่นเอง

    การแจกเงินของมัสก์จะเกิดขึ้นเฉพาะในรัฐ 7 ที่เรียกว่าสวิงสเตทเท่านั้น ซึ่งมีการเเข่งขันแย่งคะแนนเสียงกันอย่างสูสีระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จากพรรรีพับลิกัน และรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมเเครต

    7 รัฐดังกล่าวได้เเก่ แอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา นอร์ธเเคโรไลนา เพนซิลเวเนียและวิสคอนซิน

    สื่อรายงานว่า เหตุที่มัสก์ไม่ยอมไปศาล เนื่องจากเขาพยายาม "ซื้อเวลา" โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ศาลของรัฐบาลกลาง เพื่อให้เขามีเวลาเดินหน้าการเเจกเงินต่อไปได้

    ซึ่งมัสก์ให้เหตุผลที่ไม่ยอมไปศาลว่า ความพยายามดำเนินคดีนี้โดยฝ่ายอัยการ ก่อให้เกิดคำถามต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็น และการเกี่ยวข้องกับประเด็นเเทรกแซงทางการเมือง ดังนั้นควรนำไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐบาลกลาง



    อิลอน มัสก์ ไม่ยอมมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา หลังศาลออกหมายเรียกให้มาชี้แจงกรณีสุ่มเเจกเงิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อโหวตเตอร์ เพื่อกระตุ้นให้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง การไม่มาตามคำสั่งศาลอาจทำให้มัสก์ต้องเสี่ยงต่อความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล แลร์รี เเครสเนอร์ อัยการของรัฐเพนซิลเวเนีย กล่าวหามัสก์ ว่ากำลังทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง "จากการสุ่มแจกเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นการชี้นำ" โดยขอให้ศาลใช้อำนาจหยุดการกระทำด้วยการแจกเงินของมัสก์ ซึ่งถือเป็นการล่อลวง หลอกล่อ และกระตุ้น ซึ่งไม่ได้เกิดจากความรู้สึกโดยแท้จริงของประชาชน เเครสเนอร์ ยังกล่าวอีกว่า แท้จริงแล้วมัสก์ไม่ได้สุ่มแจกเงินจริงๆ แต่เป็นการเล่นละคร เนื่องจากผู้ที่ได้รับเงินจากมัสก์สองรายแรก ก็คือคนที่สนับสนุนทรัมป์นั่นเอง การแจกเงินของมัสก์จะเกิดขึ้นเฉพาะในรัฐ 7 ที่เรียกว่าสวิงสเตทเท่านั้น ซึ่งมีการเเข่งขันแย่งคะแนนเสียงกันอย่างสูสีระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จากพรรรีพับลิกัน และรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมเเครต 7 รัฐดังกล่าวได้เเก่ แอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา นอร์ธเเคโรไลนา เพนซิลเวเนียและวิสคอนซิน สื่อรายงานว่า เหตุที่มัสก์ไม่ยอมไปศาล เนื่องจากเขาพยายาม "ซื้อเวลา" โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ศาลของรัฐบาลกลาง เพื่อให้เขามีเวลาเดินหน้าการเเจกเงินต่อไปได้ ซึ่งมัสก์ให้เหตุผลที่ไม่ยอมไปศาลว่า ความพยายามดำเนินคดีนี้โดยฝ่ายอัยการ ก่อให้เกิดคำถามต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็น และการเกี่ยวข้องกับประเด็นเเทรกแซงทางการเมือง ดังนั้นควรนำไปสู่การพิจารณาของศาลรัฐบาลกลาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts