• เรื่องเล่าจาก Sandy Bridge ถึง GTX 1060: เมื่อเครื่องเก่ากลายเป็นขุมพลังแห่งความทรงจำ

    ผู้ใช้ Reddit ชื่อ Key-law-3005 ได้แชร์ภาพและเรื่องราวของคอมพิวเตอร์ที่เขาได้มาจากร้าน Goodwill ในราคาเพียง $9 ซึ่งเมื่อเปิดฝาเครื่องออกมา กลับพบว่าอุปกรณ์ภายในมีมูลค่ามากกว่าราคาซื้อหลายเท่า ทั้งเมนบอร์ด Gigabyte GA-Z68X-UD3H-B, เคส Corsair ATX และพาวเวอร์ซัพพลาย Seasonic S12 II 520W ที่ยังใช้งานได้ดี

    แม้เขาจะยอมรับว่าเป็นมือใหม่ด้าน DIY PC แต่ชุมชน PCMR บน Reddit ก็เข้ามาให้คำแนะนำอย่างอบอุ่น โดยเสนอให้เขาอัปเกรด CPU เป็น Core i7-2600K หรือ Xeon รุ่นที่รองรับ LGA1155 ซึ่งสามารถโอเวอร์คล็อกได้ และติดตั้ง RAM DDR3 ให้เต็ม 4 ช่อง พร้อมเพิ่มการ์ดจอแยก เช่น GTX 1060 ที่ยังรองรับเกมยุค 2010s ถึงต้น 2020s ได้ดี

    แม้ GTX 1060 จะใกล้หมดการสนับสนุนไดรเวอร์จาก Nvidia แต่ก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในตลาดมือสอง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการเล่นเกมคลาสสิกหรือ eSports เช่น CS:GO, Dota 2, หรือ Overwatch

    บางคนในชุมชนแนะนำให้ขายชิ้นส่วนแยกเพื่อไปซื้อแพลตฟอร์มใหม่ที่รองรับ Windows 11 ได้เต็มรูปแบบ แต่หลายคนก็เห็นว่าการฟื้นฟูเครื่องนี้ให้กลายเป็น “nostalgic gaming rig” เป็นทางเลือกที่น่าสนุกและคุ้มค่ากว่า

    https://www.tomshardware.com/desktops/usd9-goodwill-pc-find-earns-congratulations-from-enthusiasts-the-machine-could-be-a-great-esports-or-nostalgic-gaming-powerhouse-with-the-right-upgrades
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Sandy Bridge ถึง GTX 1060: เมื่อเครื่องเก่ากลายเป็นขุมพลังแห่งความทรงจำ ผู้ใช้ Reddit ชื่อ Key-law-3005 ได้แชร์ภาพและเรื่องราวของคอมพิวเตอร์ที่เขาได้มาจากร้าน Goodwill ในราคาเพียง $9 ซึ่งเมื่อเปิดฝาเครื่องออกมา กลับพบว่าอุปกรณ์ภายในมีมูลค่ามากกว่าราคาซื้อหลายเท่า ทั้งเมนบอร์ด Gigabyte GA-Z68X-UD3H-B, เคส Corsair ATX และพาวเวอร์ซัพพลาย Seasonic S12 II 520W ที่ยังใช้งานได้ดี แม้เขาจะยอมรับว่าเป็นมือใหม่ด้าน DIY PC แต่ชุมชน PCMR บน Reddit ก็เข้ามาให้คำแนะนำอย่างอบอุ่น โดยเสนอให้เขาอัปเกรด CPU เป็น Core i7-2600K หรือ Xeon รุ่นที่รองรับ LGA1155 ซึ่งสามารถโอเวอร์คล็อกได้ และติดตั้ง RAM DDR3 ให้เต็ม 4 ช่อง พร้อมเพิ่มการ์ดจอแยก เช่น GTX 1060 ที่ยังรองรับเกมยุค 2010s ถึงต้น 2020s ได้ดี แม้ GTX 1060 จะใกล้หมดการสนับสนุนไดรเวอร์จาก Nvidia แต่ก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในตลาดมือสอง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการเล่นเกมคลาสสิกหรือ eSports เช่น CS:GO, Dota 2, หรือ Overwatch บางคนในชุมชนแนะนำให้ขายชิ้นส่วนแยกเพื่อไปซื้อแพลตฟอร์มใหม่ที่รองรับ Windows 11 ได้เต็มรูปแบบ แต่หลายคนก็เห็นว่าการฟื้นฟูเครื่องนี้ให้กลายเป็น “nostalgic gaming rig” เป็นทางเลือกที่น่าสนุกและคุ้มค่ากว่า https://www.tomshardware.com/desktops/usd9-goodwill-pc-find-earns-congratulations-from-enthusiasts-the-machine-could-be-a-great-esports-or-nostalgic-gaming-powerhouse-with-the-right-upgrades
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    $9 Goodwill PC find earns congratulations from enthusiasts — the machine could be a great eSports or nostalgic gaming powerhouse with the right upgrades
    The Intel Sandy Bridge era machine’s motherboard, case, and power supply are individually worth multiples of the ticket price.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Inbound 2025: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นทีมร่วมงานที่ขับเคลื่อนธุรกิจ

    ในงาน HubSpot Inbound 2025 ที่จัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก มีการเปิดตัวเครื่องมือใหม่กว่า 200 รายการที่เน้นการสร้าง “ทีมลูกผสม” ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยมีแนวคิดหลักคือ “The Loop”—กรอบการทำงานที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน: เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด, สร้างทีม AI, และเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เต็มศักยภาพ

    CEO Yamini Rangan ย้ำว่า organic traffic กำลังตายลง และการตลาดต้องเปลี่ยนจากการไล่ตามคลิก ไปสู่การสร้างความไว้วางใจผ่านช่องทางใหม่ เช่น podcast, newsletter และ social ที่มีความจริงใจมากกว่า

    HubSpot เปิดตัว Data Hub, Smart CRM ที่มี “project object” สำหรับติดตามงานแบบละเอียด และ Breeze agents ที่สามารถสร้างข้อความแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทางแบบ real-time

    SmartBug, Wistia, AdRoll, Cvent และ Docket ต่างก็โชว์การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตน เช่น SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการ onboarding และ migration, Wistia ใช้ AI ในการวิเคราะห์วิดีโอ B2B, ส่วน Docket เสนอ AI concierge ที่ช่วยตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead

    Anthropic ก็เข้าร่วมงาน โดย CEO Dario Amodei พูดถึง Claude ที่เคยถูกใช้ใน ransomware โดยรัฐ แต่ตอนนี้ถูกปรับให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมเปิดตัว Claude Code ที่หวังจะเป็น “AWS ของยุค AI”

    แนวคิดหลักจาก HubSpot
    “The Loop” คือกรอบการทำงานใหม่: เชื่อมข้อมูล, สร้างทีม AI, เปิดศักยภาพคน
    เน้น “human authenticity with AI efficiency”
    เปิดตัว Data Hub, Smart CRM, Breeze agents และ NIM microservices

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการตลาด
    Organic traffic ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    HubSpot หันไปลงทุนใน podcast, newsletter และ social เพื่อสร้าง trust
    ผู้บริโภคต้องการเนื้อหาที่จริงใจมากกว่าปริมาณ

    ตัวอย่างการใช้งาน AI จากพันธมิตร
    SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการใช้งาน HubSpot แบบครบวงจร
    Wistia ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอและเชื่อมต่อกับ Adobe, Salesforce, Mailchimp
    AdRoll ใช้ machine learning สร้างแคมเปญโฆษณาแบบ multi-channel
    Docket เสนอ AI concierge สำหรับตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead
    Cvent ใช้ AI ค้นหาโรงแรมและจัดการอีเวนต์แบบครบวงจร

    มุมมองจาก Anthropic
    Claude ยังไม่ฉลาดเกินมนุษย์ แต่ใกล้เคียงระดับปริญญาตรี
    Claude Code ถูกวางเป็น “platform” สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
    มีการป้องกันการใช้โมเดลในทางที่ผิด เช่น ransomware

    https://www.techradar.com/pro/live/hubspot-inbound-2025-all-the-news-and-announcements-as-it-happens
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Inbound 2025: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นทีมร่วมงานที่ขับเคลื่อนธุรกิจ ในงาน HubSpot Inbound 2025 ที่จัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก มีการเปิดตัวเครื่องมือใหม่กว่า 200 รายการที่เน้นการสร้าง “ทีมลูกผสม” ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยมีแนวคิดหลักคือ “The Loop”—กรอบการทำงานที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน: เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด, สร้างทีม AI, และเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เต็มศักยภาพ CEO Yamini Rangan ย้ำว่า organic traffic กำลังตายลง และการตลาดต้องเปลี่ยนจากการไล่ตามคลิก ไปสู่การสร้างความไว้วางใจผ่านช่องทางใหม่ เช่น podcast, newsletter และ social ที่มีความจริงใจมากกว่า HubSpot เปิดตัว Data Hub, Smart CRM ที่มี “project object” สำหรับติดตามงานแบบละเอียด และ Breeze agents ที่สามารถสร้างข้อความแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทางแบบ real-time SmartBug, Wistia, AdRoll, Cvent และ Docket ต่างก็โชว์การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตน เช่น SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการ onboarding และ migration, Wistia ใช้ AI ในการวิเคราะห์วิดีโอ B2B, ส่วน Docket เสนอ AI concierge ที่ช่วยตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead Anthropic ก็เข้าร่วมงาน โดย CEO Dario Amodei พูดถึง Claude ที่เคยถูกใช้ใน ransomware โดยรัฐ แต่ตอนนี้ถูกปรับให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมเปิดตัว Claude Code ที่หวังจะเป็น “AWS ของยุค AI” ✅ แนวคิดหลักจาก HubSpot ➡️ “The Loop” คือกรอบการทำงานใหม่: เชื่อมข้อมูล, สร้างทีม AI, เปิดศักยภาพคน ➡️ เน้น “human authenticity with AI efficiency” ➡️ เปิดตัว Data Hub, Smart CRM, Breeze agents และ NIM microservices ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการตลาด ➡️ Organic traffic ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ HubSpot หันไปลงทุนใน podcast, newsletter และ social เพื่อสร้าง trust ➡️ ผู้บริโภคต้องการเนื้อหาที่จริงใจมากกว่าปริมาณ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน AI จากพันธมิตร ➡️ SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการใช้งาน HubSpot แบบครบวงจร ➡️ Wistia ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอและเชื่อมต่อกับ Adobe, Salesforce, Mailchimp ➡️ AdRoll ใช้ machine learning สร้างแคมเปญโฆษณาแบบ multi-channel ➡️ Docket เสนอ AI concierge สำหรับตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead ➡️ Cvent ใช้ AI ค้นหาโรงแรมและจัดการอีเวนต์แบบครบวงจร ✅ มุมมองจาก Anthropic ➡️ Claude ยังไม่ฉลาดเกินมนุษย์ แต่ใกล้เคียงระดับปริญญาตรี ➡️ Claude Code ถูกวางเป็น “platform” สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ➡️ มีการป้องกันการใช้โมเดลในทางที่ผิด เช่น ransomware https://www.techradar.com/pro/live/hubspot-inbound-2025-all-the-news-and-announcements-as-it-happens
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Dalian: เมื่อโรงงาน NAND ที่เคยเป็นความหวังของ Intel กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดการเติบโต

    โรงงานผลิต NAND ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเดิมเป็นของ Intel และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ที่ SK hynix ทำกับ Intel ตั้งแต่ปี 2020

    แม้ SK hynix จะควบคุมโรงงานนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังคงผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ผ่านแบรนด์ Solidigm แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศยกเลิกใบอนุญาต VEU (Validated End-User) สำหรับโรงงานในจีนของ SK hynix และ Samsung ซึ่งเคยอนุญาตให้นำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง

    การยกเลิกใบอนุญาตนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 และจะทำให้โรงงาน Dalian ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยี NAND รุ่นใหม่ เช่น 238-layer หรือ 321-layer ได้อีกต่อไป แม้จะยังสามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือเดิมได้ก็ตาม

    SK hynix จึงกลายเป็นเจ้าของโรงงานที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโตอย่างชัดเจน และอาจต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่นอกจีน หากต้องการแข่งขันในตลาด NAND ระดับสูง ซึ่งอาจใช้เงินถึง 10–20 พันล้านดอลลาร์

    การเปลี่ยนชื่อและโครงสร้างกรรมสิทธิ์
    โรงงาน Dalian เปลี่ยนชื่อเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd.
    เป็นขั้นตอนสุดท้ายของดีลมูลค่า $9B ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020
    Intel Asia Holding ออกจากสถานะผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม

    สถานะการผลิตและเทคโนโลยี
    โรงงานยังผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC
    ใช้เทคโนโลยีที่สืบทอดจาก Intel ผ่านแบรนด์ Solidigm
    ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่ 238- หรือ 321-layer NAND ได้

    ผลกระทบจากการยกเลิกใบอนุญาต VEU
    สหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาต VEU สำหรับ SK hynix และ Samsung ในจีน
    มีผลตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2025
    ไม่สามารถนำเข้าเครื่องมือใหม่จากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ขออนุญาตรายครั้ง

    ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ SK hynix
    อาจต้องสร้างโรงงานใหม่นอกจีนเพื่อรองรับ NAND รุ่นใหม่
    คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน $10–20B
    ต้องปรับแผนการผลิตและ supply chain อย่างมีนัยสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-dalian-plant-now-officially-sk-hynix
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dalian: เมื่อโรงงาน NAND ที่เคยเป็นความหวังของ Intel กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดการเติบโต โรงงานผลิต NAND ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเดิมเป็นของ Intel และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ที่ SK hynix ทำกับ Intel ตั้งแต่ปี 2020 แม้ SK hynix จะควบคุมโรงงานนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังคงผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ผ่านแบรนด์ Solidigm แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศยกเลิกใบอนุญาต VEU (Validated End-User) สำหรับโรงงานในจีนของ SK hynix และ Samsung ซึ่งเคยอนุญาตให้นำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง การยกเลิกใบอนุญาตนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 และจะทำให้โรงงาน Dalian ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยี NAND รุ่นใหม่ เช่น 238-layer หรือ 321-layer ได้อีกต่อไป แม้จะยังสามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือเดิมได้ก็ตาม SK hynix จึงกลายเป็นเจ้าของโรงงานที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโตอย่างชัดเจน และอาจต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่นอกจีน หากต้องการแข่งขันในตลาด NAND ระดับสูง ซึ่งอาจใช้เงินถึง 10–20 พันล้านดอลลาร์ ✅ การเปลี่ยนชื่อและโครงสร้างกรรมสิทธิ์ ➡️ โรงงาน Dalian เปลี่ยนชื่อเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. ➡️ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของดีลมูลค่า $9B ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020 ➡️ Intel Asia Holding ออกจากสถานะผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ✅ สถานะการผลิตและเทคโนโลยี ➡️ โรงงานยังผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ➡️ ใช้เทคโนโลยีที่สืบทอดจาก Intel ผ่านแบรนด์ Solidigm ➡️ ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่ 238- หรือ 321-layer NAND ได้ ✅ ผลกระทบจากการยกเลิกใบอนุญาต VEU ➡️ สหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาต VEU สำหรับ SK hynix และ Samsung ในจีน ➡️ มีผลตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2025 ➡️ ไม่สามารถนำเข้าเครื่องมือใหม่จากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ขออนุญาตรายครั้ง ✅ ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ SK hynix ➡️ อาจต้องสร้างโรงงานใหม่นอกจีนเพื่อรองรับ NAND รุ่นใหม่ ➡️ คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน $10–20B ➡️ ต้องปรับแผนการผลิตและ supply chain อย่างมีนัยสำคัญ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-dalian-plant-now-officially-sk-hynix
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแกนกลวง: เมื่อสายเคเบิลที่ไม่มีแก้วกลายเป็นตัวเร่งความเร็วของยุค AI

    หลังจากที่โลกใช้สายไฟเบอร์แก้วนำแสงมานานกว่า 40 ปี โดยมีขีดจำกัดการสูญเสียสัญญาณอยู่ที่ ~0.14 dB/km ทีมวิจัยจาก Lumenisity ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Microsoft ได้สร้างสายเคเบิลแบบใหม่ที่เรียกว่า “double nested antiresonant nodeless fiber” หรือ DNANF ซึ่งใช้แกนกลางเป็นอากาศแทนแก้ว และสามารถลดการสูญเสียสัญญาณลงเหลือเพียง 0.091 dB/km

    เทคโนโลยีนี้ใช้โครงสร้างแก้วบางระดับไมครอนล้อมรอบแกนอากาศ ทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนแสงกลับเข้าสู่แกนกลาง และลดการกระจายของคลื่นแสงที่ไม่ต้องการ ผลลัพธ์คือสายเคเบิลที่เร็วขึ้น (เพราะแสงเดินทางในอากาศเร็วกว่าในแก้ว) และสูญเสียพลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

    Microsoft ได้ติดตั้งสายเคเบิลนี้จริงแล้วกว่า 1,200 กิโลเมตรในเครือข่าย Azure และประกาศว่าจะขยายอีก 15,000 กิโลเมตรภายในสองปี เพื่อรองรับการเชื่อมต่อ AI ที่ต้องการ latency ต่ำและ bandwidth สูง

    นอกจากการลดการสูญเสียสัญญาณแล้ว DNANF ยังมี chromatic dispersion ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วถึง 7 เท่า ซึ่งช่วยให้การออกแบบ transceiver ง่ายขึ้น และลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์เครือข่าย

    Francesco Poletti ผู้ร่วมออกแบบเทคโนโลยีนี้ระบุว่า การลดการสูญเสียสัญญาณลงระดับนี้จะช่วยให้สามารถ “ข้ามสถานีขยายสัญญาณได้หนึ่งในทุกสองหรือสามจุด” ซึ่งลดทั้งต้นทุนการติดตั้งและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

    ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ DNANF
    ใช้โครงสร้างแก้วบางล้อมรอบแกนอากาศเพื่อสะท้อนแสงกลับ
    ลดการสูญเสียสัญญาณเหลือเพียง 0.091 dB/km ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วเดิม
    ลด chromatic dispersion ได้ถึง 7 เท่าเมื่อเทียบกับสายแก้ว

    การใช้งานจริงในเครือข่าย Azure
    Microsoft ติดตั้งแล้วกว่า 1,200 กม. และวางแผนขยายอีก 15,000 กม.
    ใช้ในเครือข่าย AI เพื่อรองรับ latency ต่ำและ bandwidth สูง
    ช่วยลดจำนวนสถานีขยายสัญญาณและต้นทุนการดำเนินงาน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เป็นครั้งแรกที่สายแกนอากาศมีประสิทธิภาพดีกว่าสายแก้ว
    อาจเปลี่ยนมาตรฐานการออกแบบเครือข่ายในอนาคต
    ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูลเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ความท้าทายด้านการผลิตและมาตรฐาน
    การผลิตต้องใช้เครื่องมือใหม่และกระบวนการเฉพาะ
    มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับสาย DNANF ยังไม่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน

    ความไม่แน่นอนของการขยายในวงกว้าง
    แม้จะใช้งานจริงแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการ deploy
    ต้องพิสูจน์ความเสถียรในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและระยะยาว

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความเร็ว”
    แม้แสงในอากาศจะเร็วกว่าในแก้ว แต่ความเร็วรวมยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ปลายทาง
    การลด latency ต้องพิจารณาทั้งระบบ ไม่ใช่แค่สายเคเบิลอย่างเดียว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hollow-core-fiber-research-smashes-optical-loss-record
    🎙️ เรื่องเล่าจากแกนกลวง: เมื่อสายเคเบิลที่ไม่มีแก้วกลายเป็นตัวเร่งความเร็วของยุค AI หลังจากที่โลกใช้สายไฟเบอร์แก้วนำแสงมานานกว่า 40 ปี โดยมีขีดจำกัดการสูญเสียสัญญาณอยู่ที่ ~0.14 dB/km ทีมวิจัยจาก Lumenisity ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Microsoft ได้สร้างสายเคเบิลแบบใหม่ที่เรียกว่า “double nested antiresonant nodeless fiber” หรือ DNANF ซึ่งใช้แกนกลางเป็นอากาศแทนแก้ว และสามารถลดการสูญเสียสัญญาณลงเหลือเพียง 0.091 dB/km เทคโนโลยีนี้ใช้โครงสร้างแก้วบางระดับไมครอนล้อมรอบแกนอากาศ ทำหน้าที่เหมือนกระจกสะท้อนแสงกลับเข้าสู่แกนกลาง และลดการกระจายของคลื่นแสงที่ไม่ต้องการ ผลลัพธ์คือสายเคเบิลที่เร็วขึ้น (เพราะแสงเดินทางในอากาศเร็วกว่าในแก้ว) และสูญเสียพลังงานน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ Microsoft ได้ติดตั้งสายเคเบิลนี้จริงแล้วกว่า 1,200 กิโลเมตรในเครือข่าย Azure และประกาศว่าจะขยายอีก 15,000 กิโลเมตรภายในสองปี เพื่อรองรับการเชื่อมต่อ AI ที่ต้องการ latency ต่ำและ bandwidth สูง นอกจากการลดการสูญเสียสัญญาณแล้ว DNANF ยังมี chromatic dispersion ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วถึง 7 เท่า ซึ่งช่วยให้การออกแบบ transceiver ง่ายขึ้น และลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์เครือข่าย Francesco Poletti ผู้ร่วมออกแบบเทคโนโลยีนี้ระบุว่า การลดการสูญเสียสัญญาณลงระดับนี้จะช่วยให้สามารถ “ข้ามสถานีขยายสัญญาณได้หนึ่งในทุกสองหรือสามจุด” ซึ่งลดทั้งต้นทุนการติดตั้งและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ✅ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ DNANF ➡️ ใช้โครงสร้างแก้วบางล้อมรอบแกนอากาศเพื่อสะท้อนแสงกลับ ➡️ ลดการสูญเสียสัญญาณเหลือเพียง 0.091 dB/km ต่ำกว่าฟิเบอร์แก้วเดิม ➡️ ลด chromatic dispersion ได้ถึง 7 เท่าเมื่อเทียบกับสายแก้ว ✅ การใช้งานจริงในเครือข่าย Azure ➡️ Microsoft ติดตั้งแล้วกว่า 1,200 กม. และวางแผนขยายอีก 15,000 กม. ➡️ ใช้ในเครือข่าย AI เพื่อรองรับ latency ต่ำและ bandwidth สูง ➡️ ช่วยลดจำนวนสถานีขยายสัญญาณและต้นทุนการดำเนินงาน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เป็นครั้งแรกที่สายแกนอากาศมีประสิทธิภาพดีกว่าสายแก้ว ➡️ อาจเปลี่ยนมาตรฐานการออกแบบเครือข่ายในอนาคต ➡️ ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ข้อมูลเร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น ‼️ ความท้าทายด้านการผลิตและมาตรฐาน ⛔ การผลิตต้องใช้เครื่องมือใหม่และกระบวนการเฉพาะ ⛔ มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับสาย DNANF ยังไม่ถูกกำหนดอย่างชัดเจน ‼️ ความไม่แน่นอนของการขยายในวงกว้าง ⛔ แม้จะใช้งานจริงแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการ deploy ⛔ ต้องพิสูจน์ความเสถียรในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและระยะยาว ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความเร็ว” ⛔ แม้แสงในอากาศจะเร็วกว่าในแก้ว แต่ความเร็วรวมยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ปลายทาง ⛔ การลด latency ต้องพิจารณาทั้งระบบ ไม่ใช่แค่สายเคเบิลอย่างเดียว https://www.tomshardware.com/tech-industry/hollow-core-fiber-research-smashes-optical-loss-record
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI ถูกจับใส่ลูป แล้วมันเขียนโค้ดไม่หยุดจนสร้างเครื่องมือใหม่

    ในงาน YC Agents Hackathon ทีมงานกลุ่มหนึ่งเกิดไอเดียแปลกๆ: ถ้าเอา Claude Code (agent เขียนโค้ด) มาใส่ไว้ในลูป while แบบ headless แล้วปล่อยให้มันทำงานไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น?

    คำตอบคือ...เกิด commit กว่า 1,000 รายการในข้ามคืน และสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อว่า RepoMirror ที่สามารถพอร์ตโค้ดจาก React ไป Vue, จาก Python ไป TypeScript หรือแม้แต่จาก gRPC ไป REST ได้โดยอัตโนมัติ

    พวกเขาใช้คำสั่งง่ายๆ เช่น:
    while :; do cat prompt.md | claude -p --dangerously-skip-permissions; done

    โดยให้ prompt ระบุว่าให้พอร์ตโค้ดจาก repo หนึ่งไปยังอีก repo หนึ่ง และให้ commit ทุกครั้งที่แก้ไฟล์ พร้อมเก็บ todo และแผนงานไว้ในโฟลเดอร์ .agent/

    ผลลัพธ์คือ Claude ทำงานได้ดีเกินคาด — ไม่หลุด scope, ไม่ออกนอกเรื่อง, เขียน test เอง และบางครั้งถึงขั้น pkill ตัวเองเมื่อรู้ว่าติดลูปไม่จบ

    พวกเขายังสร้างเครื่องมือชื่อ repomirror ที่ช่วยตั้งค่า source/target repo และคำสั่ง sync ได้ง่ายๆ เช่น:
    npx repomirror init --source-dir ./browser-use --target-dir ./browser-use-zig --instructions "convert browser use to Zig"

    และสามารถรันแบบลูปไม่รู้จบด้วย npx repomirror sync-forever

    แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นหลักฐานว่า agent เขียนโค้ดสามารถทำงานจริงในระดับ production ได้ — แม้จะต้องปรับแต่ง prompt และแก้โค้ดบางส่วนเองก็ตาม

    ข้อมูลในข่าว
    ทีมงานใช้ Claude Code รันในลูป while เพื่อให้ทำงานแบบ headless โดยไม่หยุดพัก
    สร้างเครื่องมือชื่อ RepoMirror สำหรับพอร์ตโค้ดข้ามภาษา/เฟรมเวิร์ก
    ใช้ prompt ที่เรียบง่าย เช่น “พอร์ตจาก React ไป Vue” หรือ “จาก Python ไป TypeScript”
    agent ทำ commit ทุกครั้งที่แก้ไฟล์ และเก็บ todo ไว้ในโฟลเดอร์ .agent/
    Claude สามารถเขียน test, ควบคุม scope และหยุดตัวเองเมื่อรู้ว่าติดลูป
    มีการพอร์ตหลายโปรเจกต์ เช่น assistant-ui, browser-use, AI SDK จาก JS ไป Python
    สร้างเครื่องมือ repomirror ที่ใช้คำสั่ง init และ sync เพื่อจัดการ repo ได้ง่าย
    ใช้ VM บน GCP รันลูป overnight และใช้เงิน inference ประมาณ $800
    agent ทำ commit รวมกว่า 1,100 รายการในโปรเจกต์ต่างๆ
    พบว่า prompt ที่สั้นและชัดเจนให้ผลลัพธ์ดีกว่าการเขียนยาวเกินไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Claude Code เป็น agent ที่พัฒนาโดย Anthropic สำหรับการเขียนโค้ดแบบ LLM
    การใช้ headless agent ช่วยลดการแทรกแซงจากมนุษย์ แต่ต้องควบคุมด้วย prompt ที่ดี
    การพอร์ตโค้ดข้ามภาษาโดยอัตโนมัติยังต้องการการตรวจสอบคุณภาพจากนักพัฒนา
    การใช้ commit ต่อไฟล์ช่วยให้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและย้อนกลับได้
    การใช้ .agent/ เป็น scratchpad ช่วยให้ agent มีพื้นที่เก็บแผนงานและสถานะ

    agent ไม่สามารถสร้างโค้ดที่สมบูรณ์แบบได้เสมอ ต้องมีการปรับแต่งและตรวจสอบภายหลัง
    prompt ที่ซับซ้อนเกินไปทำให้ agent ทำงานช้าลงและหลุดโฟกัส
    บาง demo จาก Python ยังไม่สามารถทำงานได้ใน TypeScript อย่างสมบูรณ์
    การรัน agent แบบไม่หยุดพักอาจใช้ทรัพยากรสูงและมีค่าใช้จ่ายมาก
    การใช้คำสั่ง --dangerously-skip-permissions อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    การพึ่งพา agent โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์อาจนำไปสู่บั๊กหรือช่องโหว่ในระบบ

    https://github.com/repomirrorhq/repomirror/blob/main/repomirror.md
    🎙️ เมื่อ AI ถูกจับใส่ลูป แล้วมันเขียนโค้ดไม่หยุดจนสร้างเครื่องมือใหม่ ในงาน YC Agents Hackathon ทีมงานกลุ่มหนึ่งเกิดไอเดียแปลกๆ: ถ้าเอา Claude Code (agent เขียนโค้ด) มาใส่ไว้ในลูป while แบบ headless แล้วปล่อยให้มันทำงานไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบคือ...เกิด commit กว่า 1,000 รายการในข้ามคืน และสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อว่า RepoMirror ที่สามารถพอร์ตโค้ดจาก React ไป Vue, จาก Python ไป TypeScript หรือแม้แต่จาก gRPC ไป REST ได้โดยอัตโนมัติ พวกเขาใช้คำสั่งง่ายๆ เช่น: 🔖 while :; do cat prompt.md | claude -p --dangerously-skip-permissions; done โดยให้ prompt ระบุว่าให้พอร์ตโค้ดจาก repo หนึ่งไปยังอีก repo หนึ่ง และให้ commit ทุกครั้งที่แก้ไฟล์ พร้อมเก็บ todo และแผนงานไว้ในโฟลเดอร์ .agent/ ผลลัพธ์คือ Claude ทำงานได้ดีเกินคาด — ไม่หลุด scope, ไม่ออกนอกเรื่อง, เขียน test เอง และบางครั้งถึงขั้น pkill ตัวเองเมื่อรู้ว่าติดลูปไม่จบ พวกเขายังสร้างเครื่องมือชื่อ repomirror ที่ช่วยตั้งค่า source/target repo และคำสั่ง sync ได้ง่ายๆ เช่น: 🔖 npx repomirror init --source-dir ./browser-use --target-dir ./browser-use-zig --instructions "convert browser use to Zig" และสามารถรันแบบลูปไม่รู้จบด้วย npx repomirror sync-forever แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นหลักฐานว่า agent เขียนโค้ดสามารถทำงานจริงในระดับ production ได้ — แม้จะต้องปรับแต่ง prompt และแก้โค้ดบางส่วนเองก็ตาม ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ทีมงานใช้ Claude Code รันในลูป while เพื่อให้ทำงานแบบ headless โดยไม่หยุดพัก ➡️ สร้างเครื่องมือชื่อ RepoMirror สำหรับพอร์ตโค้ดข้ามภาษา/เฟรมเวิร์ก ➡️ ใช้ prompt ที่เรียบง่าย เช่น “พอร์ตจาก React ไป Vue” หรือ “จาก Python ไป TypeScript” ➡️ agent ทำ commit ทุกครั้งที่แก้ไฟล์ และเก็บ todo ไว้ในโฟลเดอร์ .agent/ ➡️ Claude สามารถเขียน test, ควบคุม scope และหยุดตัวเองเมื่อรู้ว่าติดลูป ➡️ มีการพอร์ตหลายโปรเจกต์ เช่น assistant-ui, browser-use, AI SDK จาก JS ไป Python ➡️ สร้างเครื่องมือ repomirror ที่ใช้คำสั่ง init และ sync เพื่อจัดการ repo ได้ง่าย ➡️ ใช้ VM บน GCP รันลูป overnight และใช้เงิน inference ประมาณ $800 ➡️ agent ทำ commit รวมกว่า 1,100 รายการในโปรเจกต์ต่างๆ ➡️ พบว่า prompt ที่สั้นและชัดเจนให้ผลลัพธ์ดีกว่าการเขียนยาวเกินไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Claude Code เป็น agent ที่พัฒนาโดย Anthropic สำหรับการเขียนโค้ดแบบ LLM ➡️ การใช้ headless agent ช่วยลดการแทรกแซงจากมนุษย์ แต่ต้องควบคุมด้วย prompt ที่ดี ➡️ การพอร์ตโค้ดข้ามภาษาโดยอัตโนมัติยังต้องการการตรวจสอบคุณภาพจากนักพัฒนา ➡️ การใช้ commit ต่อไฟล์ช่วยให้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและย้อนกลับได้ ➡️ การใช้ .agent/ เป็น scratchpad ช่วยให้ agent มีพื้นที่เก็บแผนงานและสถานะ ⛔ agent ไม่สามารถสร้างโค้ดที่สมบูรณ์แบบได้เสมอ ต้องมีการปรับแต่งและตรวจสอบภายหลัง ⛔ prompt ที่ซับซ้อนเกินไปทำให้ agent ทำงานช้าลงและหลุดโฟกัส ⛔ บาง demo จาก Python ยังไม่สามารถทำงานได้ใน TypeScript อย่างสมบูรณ์ ⛔ การรัน agent แบบไม่หยุดพักอาจใช้ทรัพยากรสูงและมีค่าใช้จ่ายมาก ⛔ การใช้คำสั่ง --dangerously-skip-permissions อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ การพึ่งพา agent โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์อาจนำไปสู่บั๊กหรือช่องโหว่ในระบบ https://github.com/repomirrorhq/repomirror/blob/main/repomirror.md
    GITHUB.COM
    repomirror/repomirror.md at main · repomirrorhq/repomirror
    Contribute to repomirrorhq/repomirror development by creating an account on GitHub.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อการรีวิวโค้ดแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ – และความพยายามสร้างเครื่องมือใหม่ก็ยังไม่ง่าย

    หลายคนที่เขียนโค้ดคงคุ้นเคยกับการรีวิวโค้ดผ่าน GitHub ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “stacked pull requests” และ “interdiff reviews” ที่ GitHub ยังรองรับได้ไม่ดีนัก

    Matklad จาก TigerBeetle จึงทดลองสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อว่า git-review โดยมีแนวคิดว่า “การรีวิวโค้ดควรเป็น commit หนึ่งที่อยู่บน branch ของ PR” ซึ่ง reviewer และ author สามารถแก้ไขร่วมกันได้ โดยใช้ inline comment ในโค้ดจริงแทนการพิมพ์ใน browser

    แนวคิดนี้ช่วยให้การรีวิวโค้ดมีบริบทมากขึ้น เช่น reviewer สามารถรันเทสต์, ลอง refactor, หรือใช้ code completion ได้ทันทีใน editor ของตัวเอง แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว เพราะ comment ที่อยู่ใน commit อาจขัดแย้งกับโค้ดใหม่ ทำให้เกิด conflict และต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก

    สุดท้าย แม้แนวคิดจะดี แต่ git-review ก็ถูก “พักไว้ก่อน” เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ใน 500 บรรทัดของโค้ดต้นแบบ

    อย่างไรก็ตาม Matklad เชื่อว่าอนาคตของ code review อาจเปลี่ยนไป หาก Git รองรับ “Change-Id” แบบ Gerrit ซึ่งจะช่วยให้ track การเปลี่ยนแปลงของ commit ได้ดีขึ้น และอาจเปิดทางให้รีวิวแบบ interdiff กลายเป็นมาตรฐานใหม่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    GitHub มีข้อจำกัดในการรองรับ stacked pull requests และ interdiff reviews
    git-review ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดลองแนวคิดใหม่ในการรีวิวโค้ด
    แนวคิดคือการใช้ commit เดียวบน PR branch เพื่อเก็บ comment รีวิว
    Reviewer สามารถใช้ editor ของตัวเองในการรันเทสต์และ refactor ได้ทันที
    การรีวิวแบบนี้ช่วยให้มีบริบทมากกว่าการดู diff ผ่าน browser
    ปัญหาเกิดเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว ทำให้ comment เกิด conflict
    ต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก
    git-review ถูกพักไว้เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่ควบคุมได้
    Matklad หวังว่า Git จะรองรับ Change-Id เพื่อช่วยให้ interdiff review เป็นไปได้
    เขาเชื่อว่าการรีวิวโค้ดควรอยู่ใน repository ไม่ใช่ในระบบ web-based

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gerrit และ Fossil เป็นระบบที่เก็บสถานะรีวิวไว้ใน repository
    เครื่องมืออย่าง git-appraise, git-bug, และ prr พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีต่าง ๆ
    Jane Street ใช้ระบบรีวิวภายในที่ไม่พึ่งพา web interface และมีประสิทธิภาพสูง
    ในปี 2025 เครื่องมือรีวิวโค้ดที่ได้รับความนิยมยังคงเป็น GitHub Pull Requests, Gerrit, และ Phabricator
    DevOps และ Agile ทำให้ความต้องการรีวิวโค้ดแบบ real-time และ contextual เพิ่มขึ้น

    https://tigerbeetle.com/blog/2025-08-04-code-review-can-be-better/
    🎙️ เมื่อการรีวิวโค้ดแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ – และความพยายามสร้างเครื่องมือใหม่ก็ยังไม่ง่าย หลายคนที่เขียนโค้ดคงคุ้นเคยกับการรีวิวโค้ดผ่าน GitHub ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “stacked pull requests” และ “interdiff reviews” ที่ GitHub ยังรองรับได้ไม่ดีนัก Matklad จาก TigerBeetle จึงทดลองสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อว่า git-review โดยมีแนวคิดว่า “การรีวิวโค้ดควรเป็น commit หนึ่งที่อยู่บน branch ของ PR” ซึ่ง reviewer และ author สามารถแก้ไขร่วมกันได้ โดยใช้ inline comment ในโค้ดจริงแทนการพิมพ์ใน browser แนวคิดนี้ช่วยให้การรีวิวโค้ดมีบริบทมากขึ้น เช่น reviewer สามารถรันเทสต์, ลอง refactor, หรือใช้ code completion ได้ทันทีใน editor ของตัวเอง แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว เพราะ comment ที่อยู่ใน commit อาจขัดแย้งกับโค้ดใหม่ ทำให้เกิด conflict และต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก สุดท้าย แม้แนวคิดจะดี แต่ git-review ก็ถูก “พักไว้ก่อน” เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ใน 500 บรรทัดของโค้ดต้นแบบ อย่างไรก็ตาม Matklad เชื่อว่าอนาคตของ code review อาจเปลี่ยนไป หาก Git รองรับ “Change-Id” แบบ Gerrit ซึ่งจะช่วยให้ track การเปลี่ยนแปลงของ commit ได้ดีขึ้น และอาจเปิดทางให้รีวิวแบบ interdiff กลายเป็นมาตรฐานใหม่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ GitHub มีข้อจำกัดในการรองรับ stacked pull requests และ interdiff reviews ➡️ git-review ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดลองแนวคิดใหม่ในการรีวิวโค้ด ➡️ แนวคิดคือการใช้ commit เดียวบน PR branch เพื่อเก็บ comment รีวิว ➡️ Reviewer สามารถใช้ editor ของตัวเองในการรันเทสต์และ refactor ได้ทันที ➡️ การรีวิวแบบนี้ช่วยให้มีบริบทมากกว่าการดู diff ผ่าน browser ➡️ ปัญหาเกิดเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว ทำให้ comment เกิด conflict ➡️ ต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก ➡️ git-review ถูกพักไว้เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่ควบคุมได้ ➡️ Matklad หวังว่า Git จะรองรับ Change-Id เพื่อช่วยให้ interdiff review เป็นไปได้ ➡️ เขาเชื่อว่าการรีวิวโค้ดควรอยู่ใน repository ไม่ใช่ในระบบ web-based ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gerrit และ Fossil เป็นระบบที่เก็บสถานะรีวิวไว้ใน repository ➡️ เครื่องมืออย่าง git-appraise, git-bug, และ prr พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีต่าง ๆ ➡️ Jane Street ใช้ระบบรีวิวภายในที่ไม่พึ่งพา web interface และมีประสิทธิภาพสูง ➡️ ในปี 2025 เครื่องมือรีวิวโค้ดที่ได้รับความนิยมยังคงเป็น GitHub Pull Requests, Gerrit, และ Phabricator ➡️ DevOps และ Agile ทำให้ความต้องการรีวิวโค้ดแบบ real-time และ contextual เพิ่มขึ้น https://tigerbeetle.com/blog/2025-08-04-code-review-can-be-better/
    TIGERBEETLE.COM
    Code Review Can Be Better
    Insights, updates, and technical deep dives on building a high-performance financial transactions database.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อซีอีโอ AWS บอกว่า “ไล่เด็กใหม่ออกเพราะ AI” คือความคิดที่โง่ที่สุด

    ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานหลายประเภท หลายองค์กรเริ่มคิดว่า “ถ้า AI ทำงานแทนได้ ก็ไม่ต้องจ้างเด็กใหม่แล้วสิ” แต่ Matt Garman ซีอีโอของ AWS กลับออกมาพูดตรง ๆ ว่า “นั่นคือความคิดที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา”

    เขาให้เหตุผลว่า พนักงานระดับเริ่มต้น (junior staff) คือกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกลุ่มที่ “โตมากับ AI” จึงมีความเข้าใจและพร้อมใช้งานเครื่องมือใหม่ ๆ มากที่สุด ถ้าองค์กรไม่จ้างคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้และเติบโต วันหนึ่งจะไม่มีใครเหลือที่เข้าใจวิธีการทำงานจริงเลย

    Garman ยังวิจารณ์แนวคิดที่วัดประสิทธิภาพของ AI ด้วย “จำนวนบรรทัดของโค้ดที่เขียนได้” โดยบอกว่า “มันเป็น metric ที่ไร้สาระ” เพราะโค้ดเยอะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า

    เขาเชื่อว่า AI ควรเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่ และสิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือ “การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การเรียนแค่ทักษะเฉพาะทางอาจไม่พอสำหรับการทำงานระยะยาว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Matt Garman ซีอีโอ AWS กล่าวว่าการใช้ AI แทนพนักงานระดับเริ่มต้นคือ “ความคิดที่โง่ที่สุด”
    เขาให้เหตุผลว่าเด็กใหม่มีค่าใช้จ่ายต่ำและเข้าใจ AI มากที่สุด
    การไม่จ้างเด็กใหม่จะทำให้องค์กรไม่มีคนที่มีประสบการณ์ในอนาคต
    Garman สนับสนุนให้จ้างเด็กจบใหม่และสอนทักษะการคิดและแก้ปัญหา
    เขาเชื่อว่า AI ควรช่วยในการเรียนรู้ ไม่ใช่แทนที่การเรียนรู้
    เขาวิจารณ์การวัดผล AI ด้วยจำนวนโค้ดว่าเป็น metric ที่ไร้สาระ
    โค้ดมากไม่ได้แปลว่าดี บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า
    กว่า 80% ของนักพัฒนาใน AWS ใช้ AI ในงาน เช่น เขียน unit test, เอกสาร, โค้ด และทำงานร่วมกับ AI agent
    การใช้งาน AI ใน AWS เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TechRadar รายงานว่า Gen Z มองว่าเจ้านายไม่เข้าใจประโยชน์ของ AI
    Garman แนะนำให้พนักงานรุ่นใหม่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
    เขาเน้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการแยกปัญหา
    การใช้ AI เพื่อเสริมการเรียนรู้จะช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่เติบโตได้เร็วขึ้น
    AWS ใช้เครื่องมือ Kiro เพื่อช่วยในการเขียนโค้ดแบบมีผู้ช่วย

    https://www.theregister.com/2025/08/21/aws_ceo_entry_level_jobs_opinion/
    🎙️ เมื่อซีอีโอ AWS บอกว่า “ไล่เด็กใหม่ออกเพราะ AI” คือความคิดที่โง่ที่สุด ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานหลายประเภท หลายองค์กรเริ่มคิดว่า “ถ้า AI ทำงานแทนได้ ก็ไม่ต้องจ้างเด็กใหม่แล้วสิ” แต่ Matt Garman ซีอีโอของ AWS กลับออกมาพูดตรง ๆ ว่า “นั่นคือความคิดที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา” เขาให้เหตุผลว่า พนักงานระดับเริ่มต้น (junior staff) คือกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด และเป็นกลุ่มที่ “โตมากับ AI” จึงมีความเข้าใจและพร้อมใช้งานเครื่องมือใหม่ ๆ มากที่สุด ถ้าองค์กรไม่จ้างคนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้และเติบโต วันหนึ่งจะไม่มีใครเหลือที่เข้าใจวิธีการทำงานจริงเลย Garman ยังวิจารณ์แนวคิดที่วัดประสิทธิภาพของ AI ด้วย “จำนวนบรรทัดของโค้ดที่เขียนได้” โดยบอกว่า “มันเป็น metric ที่ไร้สาระ” เพราะโค้ดเยอะไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า เขาเชื่อว่า AI ควรเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา ไม่ใช่เครื่องมือแทนที่ และสิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือ “การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก การเรียนแค่ทักษะเฉพาะทางอาจไม่พอสำหรับการทำงานระยะยาว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Matt Garman ซีอีโอ AWS กล่าวว่าการใช้ AI แทนพนักงานระดับเริ่มต้นคือ “ความคิดที่โง่ที่สุด” ➡️ เขาให้เหตุผลว่าเด็กใหม่มีค่าใช้จ่ายต่ำและเข้าใจ AI มากที่สุด ➡️ การไม่จ้างเด็กใหม่จะทำให้องค์กรไม่มีคนที่มีประสบการณ์ในอนาคต ➡️ Garman สนับสนุนให้จ้างเด็กจบใหม่และสอนทักษะการคิดและแก้ปัญหา ➡️ เขาเชื่อว่า AI ควรช่วยในการเรียนรู้ ไม่ใช่แทนที่การเรียนรู้ ➡️ เขาวิจารณ์การวัดผล AI ด้วยจำนวนโค้ดว่าเป็น metric ที่ไร้สาระ ➡️ โค้ดมากไม่ได้แปลว่าดี บางครั้งโค้ดน้อยแต่มีคุณภาพกลับดีกว่า ➡️ กว่า 80% ของนักพัฒนาใน AWS ใช้ AI ในงาน เช่น เขียน unit test, เอกสาร, โค้ด และทำงานร่วมกับ AI agent ➡️ การใช้งาน AI ใน AWS เพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TechRadar รายงานว่า Gen Z มองว่าเจ้านายไม่เข้าใจประโยชน์ของ AI ➡️ Garman แนะนำให้พนักงานรุ่นใหม่ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ➡️ เขาเน้นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, ความคิดสร้างสรรค์ และการแยกปัญหา ➡️ การใช้ AI เพื่อเสริมการเรียนรู้จะช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่เติบโตได้เร็วขึ้น ➡️ AWS ใช้เครื่องมือ Kiro เพื่อช่วยในการเขียนโค้ดแบบมีผู้ช่วย https://www.theregister.com/2025/08/21/aws_ceo_entry_level_jobs_opinion/
    WWW.THEREGISTER.COM
    AWS CEO says AI replacing junior staff is 'dumbest idea'
    : They're cheap and grew up with AI … so you're firing them why?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ที่สร้างโดย AI: ภัยเงียบที่ปรับตัวได้และไม่มีวันหยุด
    ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับศัตรูรูปแบบใหม่—มัลแวร์ที่สร้างโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งสามารถเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และหลบหลีกระบบป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    CrowdStrike รายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ รัสเซีย และอิหร่านใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบองค์กร สร้างเรซูเม่ปลอม และแม้แต่สัมภาษณ์งานด้วย deepfake เพื่อแฝงตัวเข้าไปในบริษัท

    มัลแวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบหลีกการตรวจจับแบบเดิมได้ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองแบบ “polymorphic” คือเปลี่ยนโค้ดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

    AI ยังช่วยสร้างอีเมล phishing ที่เหมือนจริงมากจนผู้ใช้ทั่วไปแยกไม่ออก และสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมายเพื่อหาช่องโหว่แบบเรียลไทม์

    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ไม่มีแพตช์” แบบเดิมที่จะแก้ไขได้ เพราะมัลแวร์เหล่านี้ไม่หยุดนิ่ง และสามารถปรับตัวตามการป้องกันที่องค์กรใช้

    ลักษณะของมัลแวร์ที่สร้างโดย AI
    ใช้ GenAI สร้างมัลแวร์ที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้
    สามารถสร้าง deepfake เพื่อแฝงตัวในองค์กร
    ใช้ AI สร้าง phishing email ที่เหมือนจริงมาก
    ปรับโค้ดแบบ polymorphic เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ
    วิเคราะห์ระบบเป้าหมายและปรับกลยุทธ์โจมตีแบบเรียลไทม์
    ไม่มีแพตช์แบบเดิมที่สามารถแก้ไขได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ AI สามารถหลบเลี่ยงระบบ EDR โดยแฝงตัวใน process ของระบบ
    ใช้ adversarial ML เพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรม
    แฮกเกอร์ระดับล่างสามารถใช้ AI สร้างมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ลึก
    การป้องกันต้องใช้ AI ฝั่งดีที่สามารถวิเคราะห์และตอบโต้แบบอัตโนมัติ
    Zero Trust Architecture และ Multi-Factor Authentication เป็นแนวทางป้องกันที่จำเป็น
    ระบบ NGAV และ AI-powered EDR เป็นเครื่องมือใหม่ที่องค์กรควรใช้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/no-patch-available-ai-made-malware-could-overwhelm-cyber-defences
    🕷️ มัลแวร์ที่สร้างโดย AI: ภัยเงียบที่ปรับตัวได้และไม่มีวันหยุด ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับศัตรูรูปแบบใหม่—มัลแวร์ที่สร้างโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งสามารถเรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และหลบหลีกระบบป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ CrowdStrike รายงานว่าแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ รัสเซีย และอิหร่านใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่สามารถเจาะระบบองค์กร สร้างเรซูเม่ปลอม และแม้แต่สัมภาษณ์งานด้วย deepfake เพื่อแฝงตัวเข้าไปในบริษัท มัลแวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบหลีกการตรวจจับแบบเดิมได้ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองแบบ “polymorphic” คือเปลี่ยนโค้ดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ AI ยังช่วยสร้างอีเมล phishing ที่เหมือนจริงมากจนผู้ใช้ทั่วไปแยกไม่ออก และสามารถวิเคราะห์ระบบเป้าหมายเพื่อหาช่องโหว่แบบเรียลไทม์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “ไม่มีแพตช์” แบบเดิมที่จะแก้ไขได้ เพราะมัลแวร์เหล่านี้ไม่หยุดนิ่ง และสามารถปรับตัวตามการป้องกันที่องค์กรใช้ ✅ ลักษณะของมัลแวร์ที่สร้างโดย AI ➡️ ใช้ GenAI สร้างมัลแวร์ที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ➡️ สามารถสร้าง deepfake เพื่อแฝงตัวในองค์กร ➡️ ใช้ AI สร้าง phishing email ที่เหมือนจริงมาก ➡️ ปรับโค้ดแบบ polymorphic เพื่อหลบหลีกการตรวจจับ ➡️ วิเคราะห์ระบบเป้าหมายและปรับกลยุทธ์โจมตีแบบเรียลไทม์ ➡️ ไม่มีแพตช์แบบเดิมที่สามารถแก้ไขได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ AI สามารถหลบเลี่ยงระบบ EDR โดยแฝงตัวใน process ของระบบ ➡️ ใช้ adversarial ML เพื่อหลอกระบบตรวจจับพฤติกรรม ➡️ แฮกเกอร์ระดับล่างสามารถใช้ AI สร้างมัลแวร์ได้โดยไม่ต้องมีความรู้ลึก ➡️ การป้องกันต้องใช้ AI ฝั่งดีที่สามารถวิเคราะห์และตอบโต้แบบอัตโนมัติ ➡️ Zero Trust Architecture และ Multi-Factor Authentication เป็นแนวทางป้องกันที่จำเป็น ➡️ ระบบ NGAV และ AI-powered EDR เป็นเครื่องมือใหม่ที่องค์กรควรใช้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/17/no-patch-available-ai-made-malware-could-overwhelm-cyber-defences
    WWW.THESTAR.COM.MY
    No patch available: AI-made malware could overwhelm cyber-defences
    The "growing weaponisation" of generative artificial intelligence (GenAI) could make older forms of cybersecurity and virus scanning obsolete.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • Prinano กับเครื่องพิมพ์วงจรระดับนาโน: ทางเลือกใหม่แทน EUV
    ในโลกของการผลิตชิปที่ต้องการความละเอียดระดับนาโนเมตร ประเทศจีนได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมได้ นั่นคือเครื่องพิมพ์วงจรแบบ “Nanoimprint Lithography” หรือ NIL จากบริษัท Prinano ซึ่งใช้แม่พิมพ์ควอตซ์ที่มีลวดลายวงจรระดับนาโน กดลงบนแผ่น wafer ที่เคลือบสาร resist แทนการใช้แสงแบบเดิม

    เครื่องรุ่น PL-SR ของ Prinano เป็นเครื่อง NIL แบบ “step-and-repeat” ที่สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดต่ำกว่า 10nm ได้บนแผ่น wafer ขนาด 300mm โดยใช้ระบบฉีดหมึกความแม่นยำสูง และกลไกควบคุมการแนบแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อให้ได้ลวดลายที่คมชัดและไม่บิดเบี้ยว

    แม้จะไม่เร็วเท่าเครื่อง EUV จาก ASML แต่ NIL มีข้อดีคือราคาถูกกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และเหมาะกับการผลิตชิปประเภท memory, photonics และ packaging ที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ ไม่ซับซ้อน

    การเปิดตัวเครื่อง NIL จาก Prinano
    เป็นเครื่อง NIL รุ่นแรกที่ผลิตในจีนสำหรับการใช้งานจริง
    ใช้แม่พิมพ์ควอตซ์กดลงบนสาร resist แทนการใช้แสง
    รองรับการพิมพ์บน wafer ขนาด 300mm ด้วยความละเอียดต่ำกว่า 10nm

    เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้
    ใช้ระบบฉีดหมึกปรับปริมาณตามความหนาแน่นของลวดลาย
    ควบคุมความหนาของชั้นสารเหลือ (residual layer) ให้น้อยกว่า 10nm
    มีระบบชดเชยความโค้งระหว่างแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อป้องกันการบิดเบี้ยว

    การเปรียบเทียบกับ EUV
    EUV ต้องใช้หลายขั้นตอนในการพิมพ์ลวดลายต่ำกว่า 10nm
    NIL สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดในขั้นตอนเดียว หากแม่พิมพ์มีความแม่นยำ
    NIL ไม่มี residual layer แบบเดียวกับ EUV แต่มีความแม่นยำใกล้เคียงกัน

    การใช้งานที่เหมาะสม
    เหมาะกับการผลิต NAND Flash, photonic chips และ microdisplays
    ไม่เหมาะกับการผลิต CPU หรือ GPU ที่มีโครงสร้างซับซ้อน
    ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงแต่ไม่เน้นปริมาณการผลิตมาก

    ความเร็วในการผลิตต่ำกว่าระบบ EUV หรือ DUV projection
    ต้องสัมผัส wafer ทีละ field ทำให้ throughput ต่ำ
    ไม่เหมาะกับการผลิตชิป logic ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและต้องการ defect rate ต่ำมาก
    การสัมผัสโดยตรงอาจทำให้แม่พิมพ์เสียหายจากฝุ่นหรือสิ่งปนเปื้อน
    หากแม่พิมพ์มีข้อผิดพลาด จะส่งผลต่อ yield อย่างรุนแรง
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง overlay accuracy ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-based-firm-delivers-its-first-chipmaking-tool-that-stamps-nanoscale-chip-designs-onto-wafers-prinanos-nanoimprint-lithography-tool-uses-quartz-molds-engraved-with-circuits
    🇨🇳 Prinano กับเครื่องพิมพ์วงจรระดับนาโน: ทางเลือกใหม่แทน EUV ในโลกของการผลิตชิปที่ต้องการความละเอียดระดับนาโนเมตร ประเทศจีนได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมได้ นั่นคือเครื่องพิมพ์วงจรแบบ “Nanoimprint Lithography” หรือ NIL จากบริษัท Prinano ซึ่งใช้แม่พิมพ์ควอตซ์ที่มีลวดลายวงจรระดับนาโน กดลงบนแผ่น wafer ที่เคลือบสาร resist แทนการใช้แสงแบบเดิม เครื่องรุ่น PL-SR ของ Prinano เป็นเครื่อง NIL แบบ “step-and-repeat” ที่สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดต่ำกว่า 10nm ได้บนแผ่น wafer ขนาด 300mm โดยใช้ระบบฉีดหมึกความแม่นยำสูง และกลไกควบคุมการแนบแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อให้ได้ลวดลายที่คมชัดและไม่บิดเบี้ยว แม้จะไม่เร็วเท่าเครื่อง EUV จาก ASML แต่ NIL มีข้อดีคือราคาถูกกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และเหมาะกับการผลิตชิปประเภท memory, photonics และ packaging ที่มีโครงสร้างซ้ำ ๆ ไม่ซับซ้อน ✅ การเปิดตัวเครื่อง NIL จาก Prinano ➡️ เป็นเครื่อง NIL รุ่นแรกที่ผลิตในจีนสำหรับการใช้งานจริง ➡️ ใช้แม่พิมพ์ควอตซ์กดลงบนสาร resist แทนการใช้แสง ➡️ รองรับการพิมพ์บน wafer ขนาด 300mm ด้วยความละเอียดต่ำกว่า 10nm ✅ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ ➡️ ใช้ระบบฉีดหมึกปรับปริมาณตามความหนาแน่นของลวดลาย ➡️ ควบคุมความหนาของชั้นสารเหลือ (residual layer) ให้น้อยกว่า 10nm ➡️ มีระบบชดเชยความโค้งระหว่างแม่พิมพ์กับ wafer เพื่อป้องกันการบิดเบี้ยว ✅ การเปรียบเทียบกับ EUV ➡️ EUV ต้องใช้หลายขั้นตอนในการพิมพ์ลวดลายต่ำกว่า 10nm ➡️ NIL สามารถพิมพ์ลวดลายละเอียดในขั้นตอนเดียว หากแม่พิมพ์มีความแม่นยำ ➡️ NIL ไม่มี residual layer แบบเดียวกับ EUV แต่มีความแม่นยำใกล้เคียงกัน ✅ การใช้งานที่เหมาะสม ➡️ เหมาะกับการผลิต NAND Flash, photonic chips และ microdisplays ➡️ ไม่เหมาะกับการผลิต CPU หรือ GPU ที่มีโครงสร้างซับซ้อน ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงแต่ไม่เน้นปริมาณการผลิตมาก ⛔ ความเร็วในการผลิตต่ำกว่าระบบ EUV หรือ DUV projection ⛔ ต้องสัมผัส wafer ทีละ field ทำให้ throughput ต่ำ ⛔ ไม่เหมาะกับการผลิตชิป logic ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและต้องการ defect rate ต่ำมาก ⛔ การสัมผัสโดยตรงอาจทำให้แม่พิมพ์เสียหายจากฝุ่นหรือสิ่งปนเปื้อน ⛔ หากแม่พิมพ์มีข้อผิดพลาด จะส่งผลต่อ yield อย่างรุนแรง ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง overlay accuracy ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตระดับสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-based-firm-delivers-its-first-chipmaking-tool-that-stamps-nanoscale-chip-designs-onto-wafers-prinanos-nanoimprint-lithography-tool-uses-quartz-molds-engraved-with-circuits
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China-based firm delivers its first chipmaking tool that stamps nanoscale processor designs onto wafers — Prinano's nanoimprint lithography tool uses quartz molds engraved with circuits
    China's Prinano Technology has shipped its first domestically developed semiconductor-grade step-and-repeat nanoimprint lithography system that offers sub-10 nm single-step patterning for applications like memory, photonics, and advanced packaging.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อการคอมไพล์ไม่ใช่แค่รันคำสั่ง: เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้เห็น “เบื้องหลัง” การ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์

    Daniel Hooper นักพัฒนาผู้หลงใหลในการทำงานของระบบปฏิบัติการ ได้สร้างเครื่องมือชื่อว่า “What the Fork” เพื่อช่วยให้เห็นภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ใช้ build system อย่าง make, cargo, gradle, หรือ xcodebuild

    แนวคิดคือ การ build โปรแกรมคือการรันคำสั่งจำนวนมากที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งบางครั้งก็มีขั้นตอนที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน เช่น การเรียก cmake หลายรอบ หรือการไม่ใช้ parallelism ทั้งที่มี CPU หลายคอร์ว่างอยู่

    “What the Fork” จะแสดงผลเป็นกล่อง ๆ บน timeline โดยแต่ละกล่องแทน process ที่ถูกเรียกขึ้นมา พร้อมข้อมูลว่าใช้เวลานานแค่ไหน, รันคำสั่งอะไร, และอยู่ใน directory ไหน ซึ่งช่วยให้เห็นว่า build ใช้ทรัพยากรอย่างไร และตรงไหนที่ควรปรับปรุง

    ที่น่าสนใจคือ เครื่องมือนี้ไม่ได้จำกัดแค่การ build โปรแกรมเท่านั้น เพราะมันใช้การดักฟัง system call อย่าง fork, exec, และ exit ซึ่งหมายความว่าเราสามารถใช้มันวิเคราะห์โปรแกรมใด ๆ ที่เรียก subprocess ได้เช่นกัน

    จุดเด่นของเครื่องมือ What the Fork
    แสดงภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ด้วย UI ที่เข้าใจง่าย
    รองรับทุกภาษาและ build system เช่น make, cargo, gradle, npm, zig, xcodebuild
    ใช้ system call (fork, exec, exit) ในการติดตาม process ที่ถูกเรียก

    วิธีใช้งานเบื้องต้น
    พิมพ์คำสั่ง wtf นำหน้าคำสั่ง build เช่น wtf make หรือ wtf cargo build
    UI จะแสดงกล่องของแต่ละ process ตามลำดับเวลา พร้อมข้อมูลประกอบ

    ตัวอย่างปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง
    cargo ไม่ใช้ parallelism แม้มี CPU หลายคอร์ ทำให้ build ช้ากว่าที่ควร
    cmake เรียกคำสั่งซ้ำซ้อน เช่น ตรวจสอบ path และ OS version หลายสิบครั้ง
    xcodebuild มีช่วง idle หลายนาที ทั้งที่ยังมีงานให้ทำ
    zig build สุ่มลำดับการ build dependency ทำให้บางครั้ง parallelism หายไป

    ประโยชน์ที่เกินกว่าแค่การ build
    สามารถใช้วิเคราะห์โปรแกรมอื่นที่เรียก subprocess ได้ เช่น CI/CD pipeline หรือ server startup
    ช่วยให้ทีม dev เห็นภาพรวมของการทำงาน และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ตรงจุด

    https://danielchasehooper.com/posts/syscall-build-snooping/
    🧠 เมื่อการคอมไพล์ไม่ใช่แค่รันคำสั่ง: เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้เห็น “เบื้องหลัง” การ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ Daniel Hooper นักพัฒนาผู้หลงใหลในการทำงานของระบบปฏิบัติการ ได้สร้างเครื่องมือชื่อว่า “What the Fork” เพื่อช่วยให้เห็นภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ใช้ build system อย่าง make, cargo, gradle, หรือ xcodebuild แนวคิดคือ การ build โปรแกรมคือการรันคำสั่งจำนวนมากที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งบางครั้งก็มีขั้นตอนที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน เช่น การเรียก cmake หลายรอบ หรือการไม่ใช้ parallelism ทั้งที่มี CPU หลายคอร์ว่างอยู่ “What the Fork” จะแสดงผลเป็นกล่อง ๆ บน timeline โดยแต่ละกล่องแทน process ที่ถูกเรียกขึ้นมา พร้อมข้อมูลว่าใช้เวลานานแค่ไหน, รันคำสั่งอะไร, และอยู่ใน directory ไหน ซึ่งช่วยให้เห็นว่า build ใช้ทรัพยากรอย่างไร และตรงไหนที่ควรปรับปรุง ที่น่าสนใจคือ เครื่องมือนี้ไม่ได้จำกัดแค่การ build โปรแกรมเท่านั้น เพราะมันใช้การดักฟัง system call อย่าง fork, exec, และ exit ซึ่งหมายความว่าเราสามารถใช้มันวิเคราะห์โปรแกรมใด ๆ ที่เรียก subprocess ได้เช่นกัน ✅ จุดเด่นของเครื่องมือ What the Fork ➡️ แสดงภาพการ build โปรแกรมแบบเรียลไทม์ด้วย UI ที่เข้าใจง่าย ➡️ รองรับทุกภาษาและ build system เช่น make, cargo, gradle, npm, zig, xcodebuild ➡️ ใช้ system call (fork, exec, exit) ในการติดตาม process ที่ถูกเรียก ✅ วิธีใช้งานเบื้องต้น ➡️ พิมพ์คำสั่ง wtf นำหน้าคำสั่ง build เช่น wtf make หรือ wtf cargo build ➡️ UI จะแสดงกล่องของแต่ละ process ตามลำดับเวลา พร้อมข้อมูลประกอบ ✅ ตัวอย่างปัญหาที่พบจากการใช้งานจริง ➡️ cargo ไม่ใช้ parallelism แม้มี CPU หลายคอร์ ทำให้ build ช้ากว่าที่ควร ➡️ cmake เรียกคำสั่งซ้ำซ้อน เช่น ตรวจสอบ path และ OS version หลายสิบครั้ง ➡️ xcodebuild มีช่วง idle หลายนาที ทั้งที่ยังมีงานให้ทำ ➡️ zig build สุ่มลำดับการ build dependency ทำให้บางครั้ง parallelism หายไป ✅ ประโยชน์ที่เกินกว่าแค่การ build ➡️ สามารถใช้วิเคราะห์โปรแกรมอื่นที่เรียก subprocess ได้ เช่น CI/CD pipeline หรือ server startup ➡️ ช่วยให้ทีม dev เห็นภาพรวมของการทำงาน และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ตรงจุด https://danielchasehooper.com/posts/syscall-build-snooping/
    DANIELCHASEHOOPER.COM
    I Made A Real-Time Build Visualizer
    Sometimes software takes a long time to compile just due to how much code it has, like in the LLVM project. But often a build is slower than it could be for dumb, fixable reasons. I’ve had the suspicion that most builds are doing dumb stuff, but I had no way to see it. So I’ve been working on a cross-platform tool to help visualize builds, and you can try it!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน

    Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance)

    จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป

    หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว

    แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน

    Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ
    ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง
    รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา

    หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน
    ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ
    ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง

    ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที
    ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง
    เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว

    แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
    เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน
    ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

    รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น

    แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง
    น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์
    พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่

    https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance) จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน ✅ Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ ➡️ ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง ➡️ รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา ✅ หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน ➡️ ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ ➡️ ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ✅ ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง ➡️ เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว ✅ แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ➡️ เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน ➡️ ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ✅ รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น ✅ แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง ➡️ น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์ ➡️ พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่ https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • เริ่มธุรกิจใหม่ ไม่ต้องลงทุนแรง! เครื่องปอกเปลือกช่วยคุณประหยัดทั้งเงินและเวลา!
    สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยทุ่นแรง แต่ยังกังวลเรื่องงบประมาณอยู่ใช่ไหมคะ? เครื่องปอกเปลือกแบบใช้น้ำขนาด 10 ลิตร ของเราคือคำตอบ! เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คืนทุนเร็วแน่นอน!

    ทำไมเครื่องนี้ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น?
    ราคาไม่แรง! เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนก้อนแรก

    เพิ่มกำลังผลิตได้ทันที! ไม่ต้องจ้างคนเพิ่ม ไม่ต้องเสียเวลามาปอกมือเองอีกต่อไป เครื่องนี้ช่วยให้คุณผลิตวัตถุดิบได้เร็วขึ้นมาก!

    ประหยัดเวลาและแรงงาน! ปอกหอมแดง หอมแขก หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง หรือกระเทียม ได้มากถึง 5-7 กก. ต่อครั้ง! ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจได้เต็มที่

    คุณภาพดี ทนทาน! แม้ราคาจะเข้าถึงง่าย แต่คุณภาพไม่เป็นรองใคร! ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสทั้งเครื่อง แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน

    ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก! ไม่ต้องมีทักษะเฉพาะทาง แค่เสียบปลั๊ก ใส่ของ กดปุ่ม ก็พร้อมใช้งานได้เลย

    รับประกัน 1 ปี! มั่นใจได้ในบริการหลังการขาย เราพร้อมดูแลธุรกิจของคุณให้ก้าวไปข้างหน้า

    รายละเอียดเครื่อง:
    ขนาด: 50 x 74.5 x 85 ซม.
    มอเตอร์: 1 แรงม้า
    ใช้ไฟบ้าน: 220V
    น้ำหนัก: 58 กก.

    อย่าปล่อยให้การเตรียมวัตถุดิบเป็นอุปสรรคในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ! ลงทุนกับเครื่องปอกเปลือกวันนี้ เพื่ออนาคตที่เติบโต!

    สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย!
    เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการมือใหม่ทุกท่านค่ะ

    เวลาทำการ:
    จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น.
    เสาร์: 8.00 - 16.00 น.

    แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6

    ช่องทางติดต่อสอบถาม:
    Facebook Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp

    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com

    #เครื่องปอกเปลือก #เริ่มต้นธุรกิจ #ลงทุนน้อย #คืนทุนเร็ว #ผู้ประกอบการ #SME #ร้านอาหารเล็กๆ #ธุรกิจอาหาร #ประหยัดต้นทุน #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัว #ทำอาหารขาย #หอมใหญ่ #กระเทียม #มันฝรั่ง #เครื่องทุ่นแรง #yonghahheng #คุ้มค่า #ธุรกิจร้านอาหาร
    🚀 เริ่มธุรกิจใหม่ ไม่ต้องลงทุนแรง! ✨ เครื่องปอกเปลือกช่วยคุณประหยัดทั้งเงินและเวลา! 🧅🥔🧄 สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่กำลังมองหาเครื่องมือช่วยทุ่นแรง แต่ยังกังวลเรื่องงบประมาณอยู่ใช่ไหมคะ? 🎉 เครื่องปอกเปลือกแบบใช้น้ำขนาด 10 ลิตร ของเราคือคำตอบ! เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คืนทุนเร็วแน่นอน! 🔥 ทำไมเครื่องนี้ถึงเหมาะกับธุรกิจเริ่มต้น? 🔥 💰 ราคาไม่แรง! เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนก้อนแรก 📈 เพิ่มกำลังผลิตได้ทันที! ไม่ต้องจ้างคนเพิ่ม ไม่ต้องเสียเวลามาปอกมือเองอีกต่อไป เครื่องนี้ช่วยให้คุณผลิตวัตถุดิบได้เร็วขึ้นมาก! ⏰ ประหยัดเวลาและแรงงาน! ปอกหอมแดง หอมแขก หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง หรือกระเทียม ได้มากถึง 5-7 กก. ต่อครั้ง! ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับส่วนอื่น ๆ ของธุรกิจได้เต็มที่ 💯 คุณภาพดี ทนทาน! แม้ราคาจะเข้าถึงง่าย แต่คุณภาพไม่เป็นรองใคร! ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสทั้งเครื่อง แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน 🛠️ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก! ไม่ต้องมีทักษะเฉพาะทาง แค่เสียบปลั๊ก ใส่ของ กดปุ่ม ก็พร้อมใช้งานได้เลย 🛡️ รับประกัน 1 ปี! มั่นใจได้ในบริการหลังการขาย เราพร้อมดูแลธุรกิจของคุณให้ก้าวไปข้างหน้า รายละเอียดเครื่อง: ขนาด: 50 x 74.5 x 85 ซม. มอเตอร์: 1 แรงม้า ใช้ไฟบ้าน: 220V น้ำหนัก: 58 กก. ✨ อย่าปล่อยให้การเตรียมวัตถุดิบเป็นอุปสรรคในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ! ลงทุนกับเครื่องปอกเปลือกวันนี้ เพื่ออนาคตที่เติบโต! ✨ 📍 สนใจสินค้า? แวะมาดูเครื่องจริงได้เลย! เรายินดีให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ประกอบการมือใหม่ทุกท่านค่ะ 🗓️ เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 17.00 น. เสาร์: 8.00 - 16.00 น. 🗺️ แผนที่ร้าน: https://maps.app.goo.gl/4ppsHfy3NYb1uPPu6 💬 ช่องทางติดต่อสอบถาม: Facebook Messenger: m.me/yonghahheng LINE Official Account: @yonghahheng (มี @ ข้างหน้า) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp 📞 โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 🌐 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com 📧 อีเมล: sales@yoryonghahheng.com, yonghahheng@gmail.com #เครื่องปอกเปลือก #เริ่มต้นธุรกิจ #ลงทุนน้อย #คืนทุนเร็ว #ผู้ประกอบการ #SME #ร้านอาหารเล็กๆ #ธุรกิจอาหาร #ประหยัดต้นทุน #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัว #ทำอาหารขาย #หอมใหญ่ #กระเทียม #มันฝรั่ง #เครื่องทุ่นแรง #yonghahheng #คุ้มค่า #ธุรกิจร้านอาหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เครื่องมือใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ที่ “บอกได้ว่าเราแก่เร็วแค่ไหน”

    นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ University of Otago ได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจากการสแกนสมองด้วย MRI ที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลัง “แก่เร็วแค่ไหน” ทั้งในด้านร่างกายและสมอง แม้จะยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ปรากฏ

    เครื่องมือนี้ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, การทำงานของปอดและไต, สุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ เครื่องมือนี้สามารถใช้คาดการณ์ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชราได้ล่วงหน้าหลายสิบปี ซึ่งอาจช่วยให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่อาการจะปรากฏ

    นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ Otago พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจาก MRI
    ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี

    เครื่องมือนี้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในอนาคต
    เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชรา

    ใช้ตัวชี้วัดสุขภาพหลายด้านประกอบการวิเคราะห์
    เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, ปอด, ไต, เหงือกและฟัน

    ข้อมูลจากการศึกษามากกว่า 50,000 เคสจากหลายประเทศ
    รวมถึงแคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และละตินอเมริกา

    เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสชะลอโรคได้หากรู้ล่วงหน้า
    และช่วยให้คนวัยกลางคนปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

    เครื่องมือนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ใช่เครื่องมือทางคลินิกทั่วไป
    ต้องรอการรับรองและการใช้งานจริงในระบบสาธารณสุข

    การวิเคราะห์อายุชีวภาพไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบแม่นยำ 100%
    เป็นการประเมินความเสี่ยงโดยอิงจากข้อมูลทางสุขภาพและสถิติ

    การรู้ว่า “แก่เร็ว” อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้
    ต้องมีการให้คำปรึกษาและการสื่อสารอย่างเหมาะสม

    การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจยังจำกัดในบางประเทศหรือกลุ่มประชากร
    โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/scientists-develop-tool-to-039tell-how-fast-someone-is-ageing039
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องแล็บ: เครื่องมือใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ที่ “บอกได้ว่าเราแก่เร็วแค่ไหน” นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ University of Otago ได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจากการสแกนสมองด้วย MRI ที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลัง “แก่เร็วแค่ไหน” ทั้งในด้านร่างกายและสมอง แม้จะยังไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ปรากฏ เครื่องมือนี้ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, การทำงานของปอดและไต, สุขภาพเหงือกและฟัน เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่น่าทึ่งคือ เครื่องมือนี้สามารถใช้คาดการณ์ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชราได้ล่วงหน้าหลายสิบปี ซึ่งอาจช่วยให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่อาการจะปรากฏ ✅ นักวิจัยจาก Duke, Harvard และ Otago พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์อายุชีวภาพจาก MRI 👉 ใช้ข้อมูลจากการสแกนสมองของคนอายุ 45 ปี ✅ เครื่องมือนี้สามารถประเมินความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในอนาคต 👉 เช่น โรคสมองเสื่อมและโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยชรา ✅ ใช้ตัวชี้วัดสุขภาพหลายด้านประกอบการวิเคราะห์ 👉 เช่น ความดันโลหิต, BMI, น้ำตาล, คอเลสเตอรอล, ปอด, ไต, เหงือกและฟัน ✅ ข้อมูลจากการศึกษามากกว่า 50,000 เคสจากหลายประเทศ 👉 รวมถึงแคนาดา, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และละตินอเมริกา ✅ เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสชะลอโรคได้หากรู้ล่วงหน้า 👉 และช่วยให้คนวัยกลางคนปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ‼️ เครื่องมือนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและยังไม่ใช่เครื่องมือทางคลินิกทั่วไป 👉 ต้องรอการรับรองและการใช้งานจริงในระบบสาธารณสุข ‼️ การวิเคราะห์อายุชีวภาพไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบแม่นยำ 100% 👉 เป็นการประเมินความเสี่ยงโดยอิงจากข้อมูลทางสุขภาพและสถิติ ‼️ การรู้ว่า “แก่เร็ว” อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ใช้ 👉 ต้องมีการให้คำปรึกษาและการสื่อสารอย่างเหมาะสม ‼️ การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อาจยังจำกัดในบางประเทศหรือกลุ่มประชากร 👉 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมรองรับ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/16/scientists-develop-tool-to-039tell-how-fast-someone-is-ageing039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Scientists develop tool to 'tell how fast someone is ageing'
    Assessing how and why people age differently has long eluded doctors and scientists, particularly when there are no obvious explanations such as illness or history of injury.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์

    Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

    เป้าหมายของการรวมระบบคือ:
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์
    - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์

    Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย

    แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar
    - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability
    - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์
    - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด
    - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ
    - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม
    - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา

    https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย เป้าหมายของการรวมระบบคือ: - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    WCCFTECH.COM
    Google Is Merging Chrome OS With Android To Create One Seamless Platform That Works Across Phones, Laptops, And Tablets - Say Goodbye To Multiple Devices
    Google has confirmed in a conversation recently about its plan to consolidate Chrome OS and Android into a single platform
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI สร้างมัลแวร์หลบหลีก Microsoft Defender ได้ – แค่ฝึกสามเดือนก็แฮกทะลุ

    นักวิจัยจาก Outflank ซึ่งเป็นทีม red team ด้านความปลอดภัย เปิดเผยว่า พวกเขาสามารถฝึกโมเดล Qwen 2.5 (โมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สจาก Alibaba) ให้สร้างมัลแวร์ที่สามารถหลบหลีก Microsoft Defender for Endpoint ได้สำเร็จประมาณ 8% ของกรณี หลังใช้เวลาเพียง 3 เดือนและงบประมาณราว $1,500

    ผลลัพธ์นี้จะถูกนำเสนอในงาน Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยถือเป็น “proof of concept” ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกนำมาใช้สร้างภัยคุกคามไซเบอร์ได้จริง

    เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น:
    - Anthropic’s AI ทำได้ <1%
    - DeepSeek ทำได้ <0.5%
    - Qwen 2.5 จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามากในบริบทนี้

    นักวิจัยยังระบุว่า หากมีทรัพยากร GPU มากกว่านี้ และใช้ reinforcement learning อย่างจริงจัง ประสิทธิภาพของโมเดลอาจเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตของการโจมตีแบบอัตโนมัติ

    แม้ Microsoft Defender จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม แต่การพัฒนา AI ฝั่งรุก (offensive AI) กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ระบบป้องกันต้องปรับตัวอย่างหนักในอนาคต

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจาก Outflank ฝึกโมเดล Qwen 2.5 ให้สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีก Microsoft Defender ได้
    - ใช้เวลา 3 เดือนและงบประมาณ $1,500 ในการฝึกโมเดล
    - ประสิทธิภาพของโมเดลอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่ทดสอบ
    - จะมีการนำเสนอผลการทดลองในงาน Black Hat 2025
    - ใช้เทคนิค reinforcement learning เพื่อปรับปรุงความสามารถของโมเดล
    - ถือเป็น proof of concept ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างภัยไซเบอร์ได้จริง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้ AI สร้างมัลแวร์อาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของแฮกเกอร์ในอนาคต
    - โมเดลโอเพนซอร์สสามารถถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ หากไม่มีการควบคุม
    - Microsoft Defender อาจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก AI
    - การมี GPU และทรัพยากรเพียงพออาจทำให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกโมเดลโจมตีได้
    - การพึ่งพาเครื่องมือป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการฝึกอบรมและวางระบบความปลอดภัยเชิงรุก
    - องค์กรควรเริ่มรวม AI threat modeling เข้าในแผนความปลอดภัยไซเบอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ai-malware-can-now-evade-microsoft-defender-open-source-llm-outsmarts-tool-around-8-percent-of-the-time-after-three-months-of-training
    AI สร้างมัลแวร์หลบหลีก Microsoft Defender ได้ – แค่ฝึกสามเดือนก็แฮกทะลุ นักวิจัยจาก Outflank ซึ่งเป็นทีม red team ด้านความปลอดภัย เปิดเผยว่า พวกเขาสามารถฝึกโมเดล Qwen 2.5 (โมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สจาก Alibaba) ให้สร้างมัลแวร์ที่สามารถหลบหลีก Microsoft Defender for Endpoint ได้สำเร็จประมาณ 8% ของกรณี หลังใช้เวลาเพียง 3 เดือนและงบประมาณราว $1,500 ผลลัพธ์นี้จะถูกนำเสนอในงาน Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยถือเป็น “proof of concept” ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกนำมาใช้สร้างภัยคุกคามไซเบอร์ได้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น: - Anthropic’s AI ทำได้ <1% - DeepSeek ทำได้ <0.5% - Qwen 2.5 จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามากในบริบทนี้ นักวิจัยยังระบุว่า หากมีทรัพยากร GPU มากกว่านี้ และใช้ reinforcement learning อย่างจริงจัง ประสิทธิภาพของโมเดลอาจเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตของการโจมตีแบบอัตโนมัติ แม้ Microsoft Defender จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม แต่การพัฒนา AI ฝั่งรุก (offensive AI) กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ระบบป้องกันต้องปรับตัวอย่างหนักในอนาคต ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจาก Outflank ฝึกโมเดล Qwen 2.5 ให้สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีก Microsoft Defender ได้ - ใช้เวลา 3 เดือนและงบประมาณ $1,500 ในการฝึกโมเดล - ประสิทธิภาพของโมเดลอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่ทดสอบ - จะมีการนำเสนอผลการทดลองในงาน Black Hat 2025 - ใช้เทคนิค reinforcement learning เพื่อปรับปรุงความสามารถของโมเดล - ถือเป็น proof of concept ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างภัยไซเบอร์ได้จริง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้ AI สร้างมัลแวร์อาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของแฮกเกอร์ในอนาคต - โมเดลโอเพนซอร์สสามารถถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ หากไม่มีการควบคุม - Microsoft Defender อาจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก AI - การมี GPU และทรัพยากรเพียงพออาจทำให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกโมเดลโจมตีได้ - การพึ่งพาเครื่องมือป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการฝึกอบรมและวางระบบความปลอดภัยเชิงรุก - องค์กรควรเริ่มรวม AI threat modeling เข้าในแผนความปลอดภัยไซเบอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ai-malware-can-now-evade-microsoft-defender-open-source-llm-outsmarts-tool-around-8-percent-of-the-time-after-three-months-of-training
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AI malware can now evade Microsoft Defender — open-source LLM outsmarts tool around 8% of the time after three months of training
    Researchers plan to show off a model that successfully outsmarts Microsoft's security tooling about 8% of the time at Black Hat 2025.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่

    WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย

    Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว
    - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out)
    - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager
    - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer
    - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร
    - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่
    - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager
    - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก
    - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต
    - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด

    https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่ WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out) - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่ - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Server Update Services (WSUS) is broken, and there is no workaround
    Microsoft has acknowledged a problem in Windows Server Update Services (WSUS) that is causing headaches for IT admins.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่ยังไม่รู้จัก “Gems” — นี่คือฟีเจอร์ที่ให้คุณสร้าง “AI ผู้ช่วยเฉพาะตัว” โดยใส่คำแนะนำพิเศษ (custom instructions) ให้มันเข้าใจบทบาทของตัวเอง เช่น “ช่วยเขียนอีเมลธุรกิจแบบสุภาพกับลูกค้าเก่าในสายสุขภาพ” หรือ “ช่วยสรุปข่าวโดยใช้ภาษาคุ้มค่าเวลา” เป็นต้น

    ก่อนหน้านี้ Gems ต้องเปิดใช้งานผ่านเว็บ Gemini โดยตรง แต่ตอนนี้ Google เริ่ม “ฝังเข้า Workspace เลย” ทำให้คุณสามารถใช้ Gems เหล่านี้แบบ side panel ได้ทันทีในแอปอย่าง Docs, Gmail ฯลฯ → หมายความว่า:
    - เปิด Gmail → ใช้ Gem ที่ชื่อ “ตอบอีเมลตามนโยบาย HR” ได้เลย
    - เปิด Slides → สั่ง Gem ช่วยหาไอเดียสไลด์ขายสินค้ารุ่นใหม่ในธีม “รักษ์โลก”
    - เปิด Drive → ใช้ Gem ค้นไฟล์เก่า ๆ ที่เกี่ยวกับโปรเจกต์ ABC และสรุปเนื้อหาให้อัตโนมัติ

    Google บอกว่ายังมี Gems สำเร็จรูปให้ลองด้วย เช่น:
    - Brainstormer (ระดมไอเดีย)
    - Writing editor
    - Coding partner
    - Learning guide

    ตอนนี้ยังต้องสร้าง Gems ผ่านเว็บ Gemini อยู่ แต่พอสร้างเสร็จก็เรียกใช้ได้จาก Google Workspace ทันที

    Google Workspace เพิ่มความสามารถให้ใช้ Gems ได้โดยตรงผ่าน side panel ของ Docs, Gmail, Slides, Sheets และ Drive  
    • ไม่ต้องสลับไปเปิดเว็บ Gemini เหมือนเดิม  
    • ใช้งานได้ผ่านปุ่ม “Ask Gemini” มุมขวาบน

    Gems คือ AI แบบ custom ที่ผู้ใช้สามารถเขียนคำสั่งเฉพาะสำหรับตัวเองได้  
    • ใช้ช่วยเขียนอีเมล, จัดแผนการสอน, สรุปเอกสาร, แปลงข้อมูล, โค้ด ฯลฯ

    Google มี Gems สำเร็จรูปให้ใช้งานทันที เช่น Brainstormer, Writing editor, Coding partner  
    • ผู้ใช้มือใหม่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

    การใช้งาน Gems ใน Workspace รองรับการเข้าถึงฟีเจอร์ @mention, ไฟล์ Google Drive ฯลฯ แบบบูรณาการ

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่ม rollout แล้วแบบ “Extended rollout” → อาจใช้เวลาถึง 15 วันกว่าจะเปิดให้ทุกคน

    แอดมินไม่ต้องตั้งค่าอะไรเพิ่ม และไม่มี control เฉพาะของฟีเจอร์นี้ในแผงควบคุม Workspace

    https://www.neowin.net/news/google-workspace-now-lets-you-use-custom-ai-gems-directly-in-docs-gmail-and-more/
    ใครที่ยังไม่รู้จัก “Gems” — นี่คือฟีเจอร์ที่ให้คุณสร้าง “AI ผู้ช่วยเฉพาะตัว” โดยใส่คำแนะนำพิเศษ (custom instructions) ให้มันเข้าใจบทบาทของตัวเอง เช่น “ช่วยเขียนอีเมลธุรกิจแบบสุภาพกับลูกค้าเก่าในสายสุขภาพ” หรือ “ช่วยสรุปข่าวโดยใช้ภาษาคุ้มค่าเวลา” เป็นต้น ก่อนหน้านี้ Gems ต้องเปิดใช้งานผ่านเว็บ Gemini โดยตรง แต่ตอนนี้ Google เริ่ม “ฝังเข้า Workspace เลย” ทำให้คุณสามารถใช้ Gems เหล่านี้แบบ side panel ได้ทันทีในแอปอย่าง Docs, Gmail ฯลฯ → หมายความว่า: - เปิด Gmail → ใช้ Gem ที่ชื่อ “ตอบอีเมลตามนโยบาย HR” ได้เลย - เปิด Slides → สั่ง Gem ช่วยหาไอเดียสไลด์ขายสินค้ารุ่นใหม่ในธีม “รักษ์โลก” - เปิด Drive → ใช้ Gem ค้นไฟล์เก่า ๆ ที่เกี่ยวกับโปรเจกต์ ABC และสรุปเนื้อหาให้อัตโนมัติ Google บอกว่ายังมี Gems สำเร็จรูปให้ลองด้วย เช่น: - Brainstormer (ระดมไอเดีย) - Writing editor - Coding partner - Learning guide ตอนนี้ยังต้องสร้าง Gems ผ่านเว็บ Gemini อยู่ แต่พอสร้างเสร็จก็เรียกใช้ได้จาก Google Workspace ทันที ✅ Google Workspace เพิ่มความสามารถให้ใช้ Gems ได้โดยตรงผ่าน side panel ของ Docs, Gmail, Slides, Sheets และ Drive   • ไม่ต้องสลับไปเปิดเว็บ Gemini เหมือนเดิม   • ใช้งานได้ผ่านปุ่ม “Ask Gemini” มุมขวาบน ✅ Gems คือ AI แบบ custom ที่ผู้ใช้สามารถเขียนคำสั่งเฉพาะสำหรับตัวเองได้   • ใช้ช่วยเขียนอีเมล, จัดแผนการสอน, สรุปเอกสาร, แปลงข้อมูล, โค้ด ฯลฯ ✅ Google มี Gems สำเร็จรูปให้ใช้งานทันที เช่น Brainstormer, Writing editor, Coding partner   • ผู้ใช้มือใหม่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ✅ การใช้งาน Gems ใน Workspace รองรับการเข้าถึงฟีเจอร์ @mention, ไฟล์ Google Drive ฯลฯ แบบบูรณาการ ✅ ฟีเจอร์นี้จะเริ่ม rollout แล้วแบบ “Extended rollout” → อาจใช้เวลาถึง 15 วันกว่าจะเปิดให้ทุกคน ✅ แอดมินไม่ต้องตั้งค่าอะไรเพิ่ม และไม่มี control เฉพาะของฟีเจอร์นี้ในแผงควบคุม Workspace https://www.neowin.net/news/google-workspace-now-lets-you-use-custom-ai-gems-directly-in-docs-gmail-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google Workspace now lets you use custom AI Gems directly in Docs, Gmail, and more
    Google Workspace users can now access custom AI Gems from the side panel across Workspace applications like Docs and Slides, reducing friction.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีเมลเคยเป็นราชาแห่งการสื่อสารดิจิทัล
    แต่วันนี้ เรากลับเหนื่อยกับกล่องจดหมายที่ล้น ฟิชชิงลวงตา และการตอบกลับที่ไร้ประโยชน์

    ในยุคที่ทุกอย่างเร็วและฉลาดขึ้น
    Slack, Teams, AI, WhatsApp กำลังเข้ามาแทนที่
    แม้แต่อีเมลก็เริ่มกลายเป็นแค่ “ระบบยืนยันตัวตน” ไม่ใช่ช่องทางหลัก

    การสิ้นสุดยุคอีเมล: บทใหม่ของการสื่อสารในโลกที่หมุนเร็ว
    ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีเมล เคยเป็นเครื่องมือการสื่อสารดิจิทัลที่ทรงพลัง เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ติดต่อกันทั้งในระดับบุคคลและองค์กร มันรวดเร็ว ประหยัด และเก็บบันทึกได้อย่างเป็นระบบ อีเมลช่วยให้โลกใบนี้ใกล้กันขึ้นโดยลบเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ แต่ทุกเทคโนโลยีย่อมมีวาระของมัน และอีเมลก็กำลังเดินทางสู่ช่วงปลายของบทบาทหลักในยุคที่ความต้องการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

    จุดสูงสุดของอีเมล: จากนวัตกรรมสู่โครงสร้างหลัก
    การถือกำเนิดของอีเมลในทศวรรษ 1970 เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วโลก ในทศวรรษ 1990 มันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งในแวดวงธุรกิจ การศึกษา และชีวิตส่วนตัว ความสามารถในการแนบไฟล์ ส่งข้อความได้ทันทีข้ามทวีป และการเก็บบันทึกแบบถาวร ทำให้อีเมลกลายเป็น "ราชาแห่งการสื่อสารแบบอะซิงโครนัส"

    อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ดังกล่าวไม่ได้ปราศจากข้อจำกัด

    เมื่อกำแพงเริ่มแตกร้าว: ข้อบกพร่องที่ไม่อาจมองข้าม
    1️⃣ ความปลอดภัยที่ล้าหลัง
    อีเมลเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของอาชญากรรมไซเบอร์ แม้จะมีการเข้ารหัสขั้นพื้นฐาน แต่รูปแบบการทำงานที่กระจายอำนาจทำให้การควบคุมความปลอดภัยแบบรวมศูนย์แทบเป็นไปไม่ได้ ส่งผลให้ฟิชชิง สแปม และมัลแวร์ยังคงแพร่กระจายได้ง่าย

    2️⃣ ภาระของการจัดการข้อมูล
    การออกแบบที่เรียงตามลำดับเวลาและตามหัวข้อ (thread) ทำให้ข้อความสำคัญถูกฝังอยู่ใต้ชั้นของการตอบกลับและสแปม ผู้ใช้จำนวนมากจึงเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "Email Fatigue" หรือ อาการเหนื่อยล้าจากอีเมล จนกลายเป็นภาระทางจิตใจมากกว่าประโยชน์ทางการสื่อสาร

    3️⃣ ไม่เหมาะกับโลกที่ต้องการความรวดเร็ว
    ในยุคที่ความเร็วในการตอบสนองมีผลต่อความสำเร็จของงาน อีเมลกลับไม่ตอบโจทย์ความต้องการของการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ที่ทีมงานในปัจจุบันต่างคาดหวัง

    🛜 การเปลี่ยนผ่านสู่เครื่องมือสื่อสารใหม่
    การเสื่อมถอยของอีเมลเปิดพื้นที่ให้เครื่องมือใหม่เข้ามาแทนที่:

    Slack, Microsoft Teams, Zoom: ผสานการแชท วิดีโอคอลล์ และการทำงานร่วมกันไว้ในที่เดียว ลดความยุ่งยากจากการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม

    WhatsApp, Telegram, LINE: แอปพลิเคชันที่เข้าถึงง่าย ใช้งานได้บนอุปกรณ์พกพา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นทางการ

    AI Assistant: การนำ AI มาช่วยร่าง ตอบ หรือตั้งเวลาอีเมล ทำให้ความจำเป็นในการเขียนอีเมลด้วยตนเองลดลง

    อีเมลในบทบาทใหม่: ไม่หายไป แต่ถอยห่าง
    แม้การใช้งานจะลดลง แต่อีเมลจะยังคงอยู่ในบางบริบท เช่น:

    - การสื่อสารอย่างเป็นทางการ
    - เอกสารทางกฎหมาย
    - การติดต่อข้ามองค์กรที่ไม่ใช้เครื่องมือร่วมกัน

    ทางเลือกแห่งอนาคต: จากโลกจริงสู่โลกเสมือน
    1️⃣ ระบบสื่อสารที่ใช้บล็อกเชน: ยกระดับความปลอดภัย ปราศจากการควบคุมจากศูนย์กลาง

    2️⃣ ชุด Productivity แบบรวมศูนย์ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365): ฝังการสื่อสารไว้ในบริบทของการทำงานจริง

    3️⃣ Metaverse และ XR (Extended Reality): การประชุมเสมือนแบบ immersive หรือการทำงานร่วมกันในพื้นที่เสมือนอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่

    บทสรุป: การเดินทางของอีเมลจากพระเอกสู่ผู้เบื้องหลัง
    การสิ้นสุดของยุคอีเมลไม่ใช่จุดจบที่เศร้าหมอง แต่มันคือวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเทคโนโลยี อีเมลมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การสื่อสาร และสมควรได้รับการยอมรับในฐานะจุดเปลี่ยนของโลกดิจิทัล แต่ในโลกที่ให้ความสำคัญกับ ความเร็ว ความปลอดภัย และประสบการณ์แบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เครื่องมือใหม่ๆ กำลังเข้ามารับไม้ต่อ

    เราไม่ได้เพียงแค่ปิดกล่องจดหมาย — เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่สื่อสารได้ชาญฉลาดขึ้น เชื่อมโยงลึกขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น

    โลกกำลังก้าวสู่การสื่อสารที่ เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเชื่อมโยงแบบมนุษย์มากขึ้น

    แล้วคุณยังใช้อีเมลเป็นหลักอยู่หรือเปล่า

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    อีเมลเคยเป็นราชาแห่งการสื่อสารดิจิทัล แต่วันนี้ เรากลับเหนื่อยกับกล่องจดหมายที่ล้น ฟิชชิงลวงตา และการตอบกลับที่ไร้ประโยชน์ ในยุคที่ทุกอย่างเร็วและฉลาดขึ้น Slack, Teams, AI, WhatsApp กำลังเข้ามาแทนที่ แม้แต่อีเมลก็เริ่มกลายเป็นแค่ “ระบบยืนยันตัวตน” ไม่ใช่ช่องทางหลัก 📭📭 การสิ้นสุดยุคอีเมล: บทใหม่ของการสื่อสารในโลกที่หมุนเร็ว 🪦🪦 ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีเมล เคยเป็นเครื่องมือการสื่อสารดิจิทัลที่ทรงพลัง เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ติดต่อกันทั้งในระดับบุคคลและองค์กร มันรวดเร็ว ประหยัด และเก็บบันทึกได้อย่างเป็นระบบ อีเมลช่วยให้โลกใบนี้ใกล้กันขึ้นโดยลบเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ แต่ทุกเทคโนโลยีย่อมมีวาระของมัน และอีเมลก็กำลังเดินทางสู่ช่วงปลายของบทบาทหลักในยุคที่ความต้องการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 🔝 จุดสูงสุดของอีเมล: จากนวัตกรรมสู่โครงสร้างหลัก การถือกำเนิดของอีเมลในทศวรรษ 1970 เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วโลก ในทศวรรษ 1990 มันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งในแวดวงธุรกิจ การศึกษา และชีวิตส่วนตัว ความสามารถในการแนบไฟล์ ส่งข้อความได้ทันทีข้ามทวีป และการเก็บบันทึกแบบถาวร ทำให้อีเมลกลายเป็น "ราชาแห่งการสื่อสารแบบอะซิงโครนัส" อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ดังกล่าวไม่ได้ปราศจากข้อจำกัด 🧱🧱 เมื่อกำแพงเริ่มแตกร้าว: ข้อบกพร่องที่ไม่อาจมองข้าม 1️⃣ ความปลอดภัยที่ล้าหลัง อีเมลเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของอาชญากรรมไซเบอร์ แม้จะมีการเข้ารหัสขั้นพื้นฐาน แต่รูปแบบการทำงานที่กระจายอำนาจทำให้การควบคุมความปลอดภัยแบบรวมศูนย์แทบเป็นไปไม่ได้ ส่งผลให้ฟิชชิง สแปม และมัลแวร์ยังคงแพร่กระจายได้ง่าย 2️⃣ ภาระของการจัดการข้อมูล การออกแบบที่เรียงตามลำดับเวลาและตามหัวข้อ (thread) ทำให้ข้อความสำคัญถูกฝังอยู่ใต้ชั้นของการตอบกลับและสแปม ผู้ใช้จำนวนมากจึงเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "Email Fatigue" หรือ อาการเหนื่อยล้าจากอีเมล จนกลายเป็นภาระทางจิตใจมากกว่าประโยชน์ทางการสื่อสาร 3️⃣ ไม่เหมาะกับโลกที่ต้องการความรวดเร็ว ในยุคที่ความเร็วในการตอบสนองมีผลต่อความสำเร็จของงาน อีเมลกลับไม่ตอบโจทย์ความต้องการของการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ที่ทีมงานในปัจจุบันต่างคาดหวัง 📶🛜 การเปลี่ยนผ่านสู่เครื่องมือสื่อสารใหม่ การเสื่อมถอยของอีเมลเปิดพื้นที่ให้เครื่องมือใหม่เข้ามาแทนที่: ✅ Slack, Microsoft Teams, Zoom: ผสานการแชท วิดีโอคอลล์ และการทำงานร่วมกันไว้ในที่เดียว ลดความยุ่งยากจากการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม ✅ WhatsApp, Telegram, LINE: แอปพลิเคชันที่เข้าถึงง่าย ใช้งานได้บนอุปกรณ์พกพา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นทางการ ✅ AI Assistant: การนำ AI มาช่วยร่าง ตอบ หรือตั้งเวลาอีเมล ทำให้ความจำเป็นในการเขียนอีเมลด้วยตนเองลดลง 🎯🎯 อีเมลในบทบาทใหม่: ไม่หายไป แต่ถอยห่าง แม้การใช้งานจะลดลง แต่อีเมลจะยังคงอยู่ในบางบริบท เช่น: - การสื่อสารอย่างเป็นทางการ - เอกสารทางกฎหมาย - การติดต่อข้ามองค์กรที่ไม่ใช้เครื่องมือร่วมกัน 🔮 ทางเลือกแห่งอนาคต: จากโลกจริงสู่โลกเสมือน 1️⃣ ระบบสื่อสารที่ใช้บล็อกเชน: ยกระดับความปลอดภัย ปราศจากการควบคุมจากศูนย์กลาง 2️⃣ ชุด Productivity แบบรวมศูนย์ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365): ฝังการสื่อสารไว้ในบริบทของการทำงานจริง 3️⃣ Metaverse และ XR (Extended Reality): การประชุมเสมือนแบบ immersive หรือการทำงานร่วมกันในพื้นที่เสมือนอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ 🏁🏁 บทสรุป: การเดินทางของอีเมลจากพระเอกสู่ผู้เบื้องหลัง 🏁🏁 การสิ้นสุดของยุคอีเมลไม่ใช่จุดจบที่เศร้าหมอง แต่มันคือวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเทคโนโลยี อีเมลมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การสื่อสาร และสมควรได้รับการยอมรับในฐานะจุดเปลี่ยนของโลกดิจิทัล แต่ในโลกที่ให้ความสำคัญกับ ความเร็ว ความปลอดภัย และประสบการณ์แบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เครื่องมือใหม่ๆ กำลังเข้ามารับไม้ต่อ เราไม่ได้เพียงแค่ปิดกล่องจดหมาย — เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่สื่อสารได้ชาญฉลาดขึ้น เชื่อมโยงลึกขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น 📌 โลกกำลังก้าวสู่การสื่อสารที่ เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเชื่อมโยงแบบมนุษย์มากขึ้น แล้วคุณยังใช้อีเมลเป็นหลักอยู่หรือเปล่า❓❓ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 599 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดินงานบ้านและสวนอยู่ดี ๆ… ก็โดน “ป้ายยา”!
    TPI PU Sealant M613 ยิงปุ๊บ ปาดปั๊บ ซ่อมรอยร้าวแบบไม่ฟุ้ง ทำเองได้ ไม่เลอะเทอะ
    มือใหม่ก็ทำได้ เพราะใช้ง่ายแค่ 3 ขั้นตอน!

    เจอของจริง + ดูสาธิตได้ที่บูธ TPI
    ในงาน บ้านและสวน Shopping Week 2025

    อิมแพ็ค เมืองทองธานี | Hall 11
    วันนี้ – 29 มิ.ย. 2568 | 10:00–21:00 น.

    #TPI #บ้านและสวน2025 #วัสดุก่อสร้าง #ซ่อมรอยร้าว #ซ่อมผนังเอง #PUSealant #M613 #ป้ายยาแล้วต้องซื้อ #ของมันต้องมี #ไอเดียแต่งบ้าน #บ้านสวยด้วยตัวเอง
    📍เดินงานบ้านและสวนอยู่ดี ๆ… ก็โดน “ป้ายยา”! TPI PU Sealant M613 ยิงปุ๊บ ปาดปั๊บ ซ่อมรอยร้าวแบบไม่ฟุ้ง ทำเองได้ ไม่เลอะเทอะ 🛠️✨ มือใหม่ก็ทำได้ เพราะใช้ง่ายแค่ 3 ขั้นตอน! 💚 เจอของจริง + ดูสาธิตได้ที่บูธ TPI ในงาน บ้านและสวน Shopping Week 2025 📍 อิมแพ็ค เมืองทองธานี | Hall 11 📆 วันนี้ – 29 มิ.ย. 2568 | ⏰ 10:00–21:00 น. #TPI #บ้านและสวน2025 #วัสดุก่อสร้าง #ซ่อมรอยร้าว #ซ่อมผนังเอง #PUSealant #M613 #ป้ายยาแล้วต้องซื้อ #ของมันต้องมี #ไอเดียแต่งบ้าน #บ้านสวยด้วยตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเป็นสาย dev ที่ทำงานอยู่ในเทอร์มินัลเป็นหลัก และเบื่อการสลับหน้าจอไปมาเพื่อถาม AI หรือขอคำแนะนำ — ข่าวนี้คือของขวัญครับ

    Gemini CLI คือเครื่องมือใหม่จาก Google ที่เปิดให้ใช้งานฟรี โดยใช้บัญชี Google ส่วนตัวก็สามารถเข้าถึง Gemini 2.5 Pro ได้ทันที พร้อม สิทธิ์ใช้งาน 60 ครั้งต่อนาที และสูงสุด 1,000 ครั้งต่อวัน แบบไม่เสียเงินเลย

    สิ่งที่เจ๋งคือ เราสามารถเรียก Gemini มาช่วยสรุปโค้ด, สร้างสคริปต์, วิเคราะห์ output, หรือแม้แต่ค้นข้อมูลจาก Google Search แบบเรียลไทม์ — ทั้งหมดทำผ่านเทอร์มินัลได้ทันที!

    ติดตั้งง่ายแค่มี Node.js 18 ขึ้นไป แล้วใช้ npx หรือ npm install -g ก็พร้อมใช้แล้วครับ

    Google เปิดตัว Gemini CLI สำหรับใช้งาน AI ผ่านเทอร์มินัลแบบตรง ๆ  
    • รองรับการทำงานร่วมกับ Gemini 2.5 Pro  
    • ให้ใช้ฟรี 1,000 คำสั่ง/วัน โดยใช้บัญชี Google ส่วนตัว

    นักพัฒนาองค์กรสามารถใช้ API Key จาก Google AI Studio หรือ Vertex AI ได้ด้วย  
    • รองรับ billing แบบจ่ายตามการใช้งาน หรือใช้ผ่าน Gemini Code Assist (Standard / Enterprise)

    ความสามารถเด่นของ Gemini CLI:  
    • ค้นเว็บเรียลไทม์ผ่าน Google Search เพื่อเสริมคำตอบ  
    • รองรับการทำ automation แบบ non-interactive ผ่าน script  
    • ต่อขยายได้ผ่าน Model Context Protocol (MCP) และ Extension

    ติดตั้งง่ายด้วย Node.js:  
    • ใช้ npx https://github.com/google-gemini/gemini-cli หรือ npm install -g @google/gemini-cli

    ตัวโค้ดเป็นโอเพ่นซอร์ส บน GitHub ภายใต้ Apache 2.0 License  
    • ใช้เฟรมเวิร์ก Yargs ในการพัฒนา  
    • ตรวจสอบพฤติกรรมได้ และร่วมพัฒนาต่อยอดได้ทันที

    ประสบการณ์เชื่อมโยงกับ Gemini Code Assist IDE plugin  
    • ทำให้ dev ใช้ Gemini ได้ทั้งบน VS Code และ CLI แบบ seamless

    https://www.neowin.net/news/google-releases-gemini-cli-bringing-gemini-to-the-terminal/
    ถ้าคุณเป็นสาย dev ที่ทำงานอยู่ในเทอร์มินัลเป็นหลัก และเบื่อการสลับหน้าจอไปมาเพื่อถาม AI หรือขอคำแนะนำ — ข่าวนี้คือของขวัญครับ Gemini CLI คือเครื่องมือใหม่จาก Google ที่เปิดให้ใช้งานฟรี โดยใช้บัญชี Google ส่วนตัวก็สามารถเข้าถึง Gemini 2.5 Pro ได้ทันที พร้อม สิทธิ์ใช้งาน 60 ครั้งต่อนาที และสูงสุด 1,000 ครั้งต่อวัน แบบไม่เสียเงินเลย สิ่งที่เจ๋งคือ เราสามารถเรียก Gemini มาช่วยสรุปโค้ด, สร้างสคริปต์, วิเคราะห์ output, หรือแม้แต่ค้นข้อมูลจาก Google Search แบบเรียลไทม์ — ทั้งหมดทำผ่านเทอร์มินัลได้ทันที! ติดตั้งง่ายแค่มี Node.js 18 ขึ้นไป แล้วใช้ npx หรือ npm install -g ก็พร้อมใช้แล้วครับ ✅ Google เปิดตัว Gemini CLI สำหรับใช้งาน AI ผ่านเทอร์มินัลแบบตรง ๆ   • รองรับการทำงานร่วมกับ Gemini 2.5 Pro   • ให้ใช้ฟรี 1,000 คำสั่ง/วัน โดยใช้บัญชี Google ส่วนตัว ✅ นักพัฒนาองค์กรสามารถใช้ API Key จาก Google AI Studio หรือ Vertex AI ได้ด้วย   • รองรับ billing แบบจ่ายตามการใช้งาน หรือใช้ผ่าน Gemini Code Assist (Standard / Enterprise) ✅ ความสามารถเด่นของ Gemini CLI:   • ค้นเว็บเรียลไทม์ผ่าน Google Search เพื่อเสริมคำตอบ   • รองรับการทำ automation แบบ non-interactive ผ่าน script   • ต่อขยายได้ผ่าน Model Context Protocol (MCP) และ Extension ✅ ติดตั้งง่ายด้วย Node.js:   • ใช้ npx https://github.com/google-gemini/gemini-cli หรือ npm install -g @google/gemini-cli ✅ ตัวโค้ดเป็นโอเพ่นซอร์ส บน GitHub ภายใต้ Apache 2.0 License   • ใช้เฟรมเวิร์ก Yargs ในการพัฒนา   • ตรวจสอบพฤติกรรมได้ และร่วมพัฒนาต่อยอดได้ทันที ✅ ประสบการณ์เชื่อมโยงกับ Gemini Code Assist IDE plugin   • ทำให้ dev ใช้ Gemini ได้ทั้งบน VS Code และ CLI แบบ seamless https://www.neowin.net/news/google-releases-gemini-cli-bringing-gemini-to-the-terminal/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google releases Gemini CLI, bringing Gemini to the terminal
    Google has finally launched Gemini CLI, its answer to tools like Codex CLI and Claude Code. It brings Gemini to the terminal and offers features like task automation for developers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อน Google หรือ search engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา 6 ครั้ง จะมีคนคลิกเข้ามาสัก 1 ครั้งเพื่ออ่านจริง เหมือนเรายังพอ “มีค่าตอบแทน” จากการเปิดบ้านให้บอทเข้าเก็บข้อมูล

    แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนไปหมด — Google, OpenAI และ Anthropic ใช้ AI มาสรุปเนื้อหาให้คนเลยทันที ผู้ใช้ไม่ต้องคลิก ไม่ต้องเข้าเว็บ แค่แชตหรือดูคำตอบบนหน้าแรกก็จบแล้ว ส่งผลให้สัดส่วน crawler : คนคลิก ลดฮวบลงเหลือระดับ “น่าตกใจ” เช่น:

    - Google: จาก 6:1 → เหลือ 18:1
    - OpenAI: จาก 250:1 → เหลือ 1,500:1
    - Anthropic: จาก 6,000:1 → เหลือ 60,000:1

    ซีอีโอของ Cloudflare มองว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตอาจเข้าสู่ยุค “เว็บผีไร้คนอ่าน” เพราะเจ้าของเว็บไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาอีกแล้ว

    แม้ AI หลายรายเริ่ม “ใส่เครดิต” และลิงก์กลับไปยังต้นทาง แต่ Prince บอกว่า “ไม่มีใครคลิกจริง” เพราะตอนนี้ผู้คนเชื่อใจคำตอบของ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่าอาจกำลังอ่านข้อมูล “ผิดหรือคลาดเคลื่อน”

    เพื่อสู้กับเรื่องนี้ Cloudflare พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AI Labyrinth ซึ่งเป็นระบบดัก crawler ที่ลอบเก็บข้อมูลโดยไม่เคารพ robots.txt หรือกฎเว็บ โดยจะพามัน “หลงในวงกตลิงก์ AI ปลอม ๆ” เพื่อให้มันเสียเวลาและพลังประมวลผลไปกับของไม่มีค่า — เหมือน AI เจอกับ AI นั่นเอง

    AI search และ zero-click result กำลังทำให้เว็บไซต์สูญเสียผู้เข้าชมจำนวนมาก  
    • สัดส่วน bot : คนคลิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  
    • ส่งผลต่อรายได้จากโฆษณาและความอยู่รอดของเว็บไซต์

    Cloudflare เตรียมต่อสู้ด้วยเครื่องมือชื่อ “AI Labyrinth” เพื่อเบี่ยงเบน bot ที่ไม่เคารพกฎ  
    • สร้างลิงก์หลอกและหน้าปลอมให้ bot “เดินหลง”  
    • ใช้ AI สู้กับ AI ด้วยตรรกะแบบป้องกัน

    Google และ OpenAI แม้จะใส่เครดิตในผลลัพธ์ AI แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่คลิกลิงก์  
    • ผู้ใช้ “เชื่อ” คำตอบของ AI มากขึ้น  
    • เพิ่มโอกาสการกระจายข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน

    Cloudflare เตือนว่าถ้าไม่แก้ไข โมเดลรายได้ของเว็บจะล่มสลาย  
    • นักเขียน ครีเอเตอร์ และเว็บคุณภาพอาจเลิกสร้างเนื้อหา  
    • เหลือเพียงอินเทอร์เน็ตที่มีแต่ bot คุยกับ bot

    https://www.techspot.com/news/108399-cloudflare-ceo-warns-ai-crawlers-summaries-eroding-internet.html
    ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อน Google หรือ search engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา 6 ครั้ง จะมีคนคลิกเข้ามาสัก 1 ครั้งเพื่ออ่านจริง เหมือนเรายังพอ “มีค่าตอบแทน” จากการเปิดบ้านให้บอทเข้าเก็บข้อมูล แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนไปหมด — Google, OpenAI และ Anthropic ใช้ AI มาสรุปเนื้อหาให้คนเลยทันที ผู้ใช้ไม่ต้องคลิก ไม่ต้องเข้าเว็บ แค่แชตหรือดูคำตอบบนหน้าแรกก็จบแล้ว ส่งผลให้สัดส่วน crawler : คนคลิก ลดฮวบลงเหลือระดับ “น่าตกใจ” เช่น: - Google: จาก 6:1 → เหลือ 18:1 - OpenAI: จาก 250:1 → เหลือ 1,500:1 - Anthropic: จาก 6,000:1 → เหลือ 60,000:1 ซีอีโอของ Cloudflare มองว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตอาจเข้าสู่ยุค “เว็บผีไร้คนอ่าน” เพราะเจ้าของเว็บไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาอีกแล้ว แม้ AI หลายรายเริ่ม “ใส่เครดิต” และลิงก์กลับไปยังต้นทาง แต่ Prince บอกว่า “ไม่มีใครคลิกจริง” เพราะตอนนี้ผู้คนเชื่อใจคำตอบของ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่าอาจกำลังอ่านข้อมูล “ผิดหรือคลาดเคลื่อน” เพื่อสู้กับเรื่องนี้ Cloudflare พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AI Labyrinth ซึ่งเป็นระบบดัก crawler ที่ลอบเก็บข้อมูลโดยไม่เคารพ robots.txt หรือกฎเว็บ โดยจะพามัน “หลงในวงกตลิงก์ AI ปลอม ๆ” เพื่อให้มันเสียเวลาและพลังประมวลผลไปกับของไม่มีค่า — เหมือน AI เจอกับ AI นั่นเอง ✅ AI search และ zero-click result กำลังทำให้เว็บไซต์สูญเสียผู้เข้าชมจำนวนมาก   • สัดส่วน bot : คนคลิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว   • ส่งผลต่อรายได้จากโฆษณาและความอยู่รอดของเว็บไซต์ ✅ Cloudflare เตรียมต่อสู้ด้วยเครื่องมือชื่อ “AI Labyrinth” เพื่อเบี่ยงเบน bot ที่ไม่เคารพกฎ   • สร้างลิงก์หลอกและหน้าปลอมให้ bot “เดินหลง”   • ใช้ AI สู้กับ AI ด้วยตรรกะแบบป้องกัน ✅ Google และ OpenAI แม้จะใส่เครดิตในผลลัพธ์ AI แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่คลิกลิงก์   • ผู้ใช้ “เชื่อ” คำตอบของ AI มากขึ้น   • เพิ่มโอกาสการกระจายข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน ✅ Cloudflare เตือนว่าถ้าไม่แก้ไข โมเดลรายได้ของเว็บจะล่มสลาย   • นักเขียน ครีเอเตอร์ และเว็บคุณภาพอาจเลิกสร้างเนื้อหา   • เหลือเพียงอินเทอร์เน็ตที่มีแต่ bot คุยกับ bot https://www.techspot.com/news/108399-cloudflare-ceo-warns-ai-crawlers-summaries-eroding-internet.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Cloudflare CEO warns AI crawlers and summaries are eroding the internet's business model
    Speaking at an Axios event in Cannes last week, Prince explained that search engines and chatbots using generative AI to summarize web content have significantly reduced the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอยร้าวเล็ก ๆ อย่ามองข้าม
    เพราะถ้าปล่อยไว้...อาจพังทั้งผนัง!

    แต่เจอ M600 เข้าไป
    ผสมน้ำ
    ปาด
    ทา
    ก็ซ่อมได้เองง่าย ๆ มือใหม่ก็ทำได้!

    บ้านแน่น! ใจไม่ร้าว

    #ร้าวต้องรีบซ่อม #TPIซ่อมเองได้ #M600ตัวช่วยซ่อมบ้าน
    #ของมันต้องมี #รีวิวบ้าน #รอยร้าวไม่ต้องเรียกช่าง
    🏚️ รอยร้าวเล็ก ๆ อย่ามองข้าม ❗ เพราะถ้าปล่อยไว้...อาจพังทั้งผนัง! แต่เจอ M600 เข้าไป 💥 ✅ ผสมน้ำ ✅ ปาด ✅ ทา ก็ซ่อมได้เองง่าย ๆ ✨ มือใหม่ก็ทำได้! บ้านแน่น! ใจไม่ร้าว 💚 #ร้าวต้องรีบซ่อม #TPIซ่อมเองได้ #M600ตัวช่วยซ่อมบ้าน #ของมันต้องมี #รีวิวบ้าน #รอยร้าวไม่ต้องเรียกช่าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • น่าเสียใจที่ประเทศไทยเราไม่มีแพลตฟอร์มแอปขายของเพื่อบริการคนไทยเราจริงๆ,ไม่เอาเปรียบผู้ขาย ไม่เอาเปรียบผู้ซื้อเป็นตัวกลางสื่อกลางทางการตลาดทำสัมมาชีพทำรายได้หารายได้ช่วยคนไทยจริงๆ.
    ..lazadaในที่คลิปนี้ชัดเจนสามารถฆ่าสังหารคนเข้าไปขายมือใหม่จริงๆ,ยิ่งขายไม่ได้ยิ่งถูกบังคับออกจากแพลตฟอร์มหรือต้องอาจขาดทุนเข้าเนื้อไปเลย,เช่นชาวบ้านบางคนมันขายต่ำไม่ได้จริงๆแต่แอปก็สั่งการโปรแกรมต้องทำแบบนี้,เสมือนแอปสร้างเงื่อนกำแพงใครสายปานสั้นอย่าเข้ามา,เหมือนชุมชนนี้คือของกู ชุมชนทุนนิยมหมู่บ้านคนไฮโซสไตล์หรูเงินทุนมากพร้อมลดและยึดครองตลาดทั้งหมดทีหลังโดยเครือข่ายกิจการเดอะแก๊งกูทั้งหมด เป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำกว่าหมื่นกว่าแสนรายการสินค้าและร้านค้าชื่อสมมุติกว่าร้อนร้่นค้าพันร้านค้าเป็นของกูเจ้าของจริงคนเดียวแบบกูทั้งนั้นหรือเป็นของกูทั้งหมด,มรึงคุณลูกค้าไม่ซื้อร้านนี้ที่ราคา59,เสือกไปเห็นร้านค้าอื่นที่ราคา58แล้วไปเห็นอีกร้านค้าหนึ่งออนไลน์ร้านค้าที่ราคา57แล้วเสือกไปเจอต่ออีกร้านที่ราคา56ตัดสินใจซื้อเลย ส่งคำสั่งซื้อ,แต่เหี้ยความจริงคือมันมีเจ้าของจริงคนเดียวกันว่ะมันหลอกดาว555,พอดีตัวโง่มือใหม่เข้าไปเสือกขายราคา55ต่ำกว่ามัน,มันก็บีบออกสาระพัดกลไกนะสิ ปั่นราคาทุบราคาจนคุณๆมือใหม่ขายไม่ออก,ขายต่ำกว่าต้นทุนแต่กำไรรายได้ทั้งหมดไม่มี ,เสร็จแพลตฟอร์มนั้นๆเสมือนจับปลามือเปล่าทำกำไรงามๆ,เดอะแก๊งมันก็ยังวิ่งวนในแอปจักรวาลเนื้อที่มันพื้นที่มันปกติ,ทำรายได้กำไรแหกตาคนซื้อต่อไป,ดูเลยแอปพวกนี้ปกปิดชื่อเจ้าของร้านมั้ยล่ะ ที่อยู่บ้านเลขที่อะไร ตำบลไหน อำเภอมลฑลอะไรบอกชัดเจนห่าอะไร,จริงๆแอปlazadaหรือแอปใดๆต้องจริงใจเป็นสื่อกลางบอกซื่อร้านไม่พอ ต้องบอกชื่อที่อยู่ปัจจถบันคนขายเบอร์โทรติดต่อชัดเจน,มิใช่มารู้ทีหลังเมื่อเห็นในกล่องส่งวัสดุแล้ว,หรือเคลมนั้นล่ะ,แอปพวกนี้จริงๆผิดจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานปกปิดซ่อนเล้นอำพรางศพคนขายก็ว่า,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนซื้อร่วมปกปิดคนขาย เสมือนตบาดมืดของโจร,รัฐบาลผีบ้าในหน่วยงานที่กำกับเสือกไม่ควบคุมดูแลแอปดูแลแพลตฟอร์มต่างๆคุ้มครองคนไทยไปในตัวด้วย,แอปมันทำตามเงื่อนไขเจ้าของประเทศนั้นๆที่จะมาเปิดให้บริการแอปผ่านประเทศไทยเราอยู่แล้ว,เป็นการคุ้มครองขั้นพื้นฐานพื้นๆก็ไร้จิตสำนึกขั้นพื้นฐานคิดอ่านเองคุ้มครองประชาชนตนมิให้ถูกหลอกลวงในชั้นต้นได้,เว็บไซต์ยังดีกว่าด้วยซ้ำ,
    ..จริงๆรัฐบาลสร้างแพลตฟอร์มการตลาดสื่อกลางช่วยการค้าการขายของคนไทยได้,แต่ไม่ทำ,ถ้ามีนายฯวิสัยไกลจะมองเห็น,และตังจะหมุนเวียนในแอปนี้จากคนมาใช้จ่ายทั่วโลกต่อวันอาจร้อยล้านล้านบาทไทยสบายๆ,คนไทยขายของได้มีตลาดกลางสนับสนุมแหล่งขายของมิใช่แค่ตลาดออฟไลน์หน้าบ้านหรือตลาดนัดตลาดเทศบาลอะไรก็ว่าอย่างเดียว,ตังเดินสะพัดหมุนเวียนจริงในชุมชนแอปไทยด้วย.,คิดอ่านคิดอ่านจริงๆสามารถทำได้หากจริงใจทำเพื่อผลประโยชน์ประชาชนผลักดันให้พ้นความไม่มีตังไม่มีรายรับรายได้,ตั้งเป็นกระทรวงตลาดกลางออนไลน์ประจำประเทศไทยก็ได้,จัดโปรจัดอะไรได้หมดล่ะ,คนไทยลงทะเบียนชัดเจนอยู่แล้ว ค้าขายกันระเบิดแน่,จัดหมวดหมู่แผนกฝ่ายประเภทสินค้าให้ชัดเจนแค่นััน,กองทุนร้านค้าชุมชนทั่วประเทศหรือใครองค์กรไหนสามารถเข้ามาตลาดกลางนี้ได้หมด อนาคตใช้แว่วเรียลไทม์ออนไลน์เดินตบาดโลกเสมือนจริงได้ใครจะรู้ อวตารเต็มทั้งเจ้าของร้านทั้งคนมาจับจ่ายซื้อของ,ไอเทมทรงร่างกายการแต่งตัวคงบันเจิดโคตรๆล่ะ.สีสันตรึมแทบไม่อยากออกจากแว่วเรียลก็ได้.

    https://youtu.be/II3FIrvd6BQ?si=5RsWo11vlqzpO4AP
    น่าเสียใจที่ประเทศไทยเราไม่มีแพลตฟอร์มแอปขายของเพื่อบริการคนไทยเราจริงๆ,ไม่เอาเปรียบผู้ขาย ไม่เอาเปรียบผู้ซื้อเป็นตัวกลางสื่อกลางทางการตลาดทำสัมมาชีพทำรายได้หารายได้ช่วยคนไทยจริงๆ. ..lazadaในที่คลิปนี้ชัดเจนสามารถฆ่าสังหารคนเข้าไปขายมือใหม่จริงๆ,ยิ่งขายไม่ได้ยิ่งถูกบังคับออกจากแพลตฟอร์มหรือต้องอาจขาดทุนเข้าเนื้อไปเลย,เช่นชาวบ้านบางคนมันขายต่ำไม่ได้จริงๆแต่แอปก็สั่งการโปรแกรมต้องทำแบบนี้,เสมือนแอปสร้างเงื่อนกำแพงใครสายปานสั้นอย่าเข้ามา,เหมือนชุมชนนี้คือของกู ชุมชนทุนนิยมหมู่บ้านคนไฮโซสไตล์หรูเงินทุนมากพร้อมลดและยึดครองตลาดทั้งหมดทีหลังโดยเครือข่ายกิจการเดอะแก๊งกูทั้งหมด เป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำกว่าหมื่นกว่าแสนรายการสินค้าและร้านค้าชื่อสมมุติกว่าร้อนร้่นค้าพันร้านค้าเป็นของกูเจ้าของจริงคนเดียวแบบกูทั้งนั้นหรือเป็นของกูทั้งหมด,มรึงคุณลูกค้าไม่ซื้อร้านนี้ที่ราคา59,เสือกไปเห็นร้านค้าอื่นที่ราคา58แล้วไปเห็นอีกร้านค้าหนึ่งออนไลน์ร้านค้าที่ราคา57แล้วเสือกไปเจอต่ออีกร้านที่ราคา56ตัดสินใจซื้อเลย ส่งคำสั่งซื้อ,แต่เหี้ยความจริงคือมันมีเจ้าของจริงคนเดียวกันว่ะมันหลอกดาว555,พอดีตัวโง่มือใหม่เข้าไปเสือกขายราคา55ต่ำกว่ามัน,มันก็บีบออกสาระพัดกลไกนะสิ ปั่นราคาทุบราคาจนคุณๆมือใหม่ขายไม่ออก,ขายต่ำกว่าต้นทุนแต่กำไรรายได้ทั้งหมดไม่มี ,เสร็จแพลตฟอร์มนั้นๆเสมือนจับปลามือเปล่าทำกำไรงามๆ,เดอะแก๊งมันก็ยังวิ่งวนในแอปจักรวาลเนื้อที่มันพื้นที่มันปกติ,ทำรายได้กำไรแหกตาคนซื้อต่อไป,ดูเลยแอปพวกนี้ปกปิดชื่อเจ้าของร้านมั้ยล่ะ ที่อยู่บ้านเลขที่อะไร ตำบลไหน อำเภอมลฑลอะไรบอกชัดเจนห่าอะไร,จริงๆแอปlazadaหรือแอปใดๆต้องจริงใจเป็นสื่อกลางบอกซื่อร้านไม่พอ ต้องบอกชื่อที่อยู่ปัจจถบันคนขายเบอร์โทรติดต่อชัดเจน,มิใช่มารู้ทีหลังเมื่อเห็นในกล่องส่งวัสดุแล้ว,หรือเคลมนั้นล่ะ,แอปพวกนี้จริงๆผิดจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานปกปิดซ่อนเล้นอำพรางศพคนขายก็ว่า,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนซื้อร่วมปกปิดคนขาย เสมือนตบาดมืดของโจร,รัฐบาลผีบ้าในหน่วยงานที่กำกับเสือกไม่ควบคุมดูแลแอปดูแลแพลตฟอร์มต่างๆคุ้มครองคนไทยไปในตัวด้วย,แอปมันทำตามเงื่อนไขเจ้าของประเทศนั้นๆที่จะมาเปิดให้บริการแอปผ่านประเทศไทยเราอยู่แล้ว,เป็นการคุ้มครองขั้นพื้นฐานพื้นๆก็ไร้จิตสำนึกขั้นพื้นฐานคิดอ่านเองคุ้มครองประชาชนตนมิให้ถูกหลอกลวงในชั้นต้นได้,เว็บไซต์ยังดีกว่าด้วยซ้ำ, ..จริงๆรัฐบาลสร้างแพลตฟอร์มการตลาดสื่อกลางช่วยการค้าการขายของคนไทยได้,แต่ไม่ทำ,ถ้ามีนายฯวิสัยไกลจะมองเห็น,และตังจะหมุนเวียนในแอปนี้จากคนมาใช้จ่ายทั่วโลกต่อวันอาจร้อยล้านล้านบาทไทยสบายๆ,คนไทยขายของได้มีตลาดกลางสนับสนุมแหล่งขายของมิใช่แค่ตลาดออฟไลน์หน้าบ้านหรือตลาดนัดตลาดเทศบาลอะไรก็ว่าอย่างเดียว,ตังเดินสะพัดหมุนเวียนจริงในชุมชนแอปไทยด้วย.,คิดอ่านคิดอ่านจริงๆสามารถทำได้หากจริงใจทำเพื่อผลประโยชน์ประชาชนผลักดันให้พ้นความไม่มีตังไม่มีรายรับรายได้,ตั้งเป็นกระทรวงตลาดกลางออนไลน์ประจำประเทศไทยก็ได้,จัดโปรจัดอะไรได้หมดล่ะ,คนไทยลงทะเบียนชัดเจนอยู่แล้ว ค้าขายกันระเบิดแน่,จัดหมวดหมู่แผนกฝ่ายประเภทสินค้าให้ชัดเจนแค่นััน,กองทุนร้านค้าชุมชนทั่วประเทศหรือใครองค์กรไหนสามารถเข้ามาตลาดกลางนี้ได้หมด อนาคตใช้แว่วเรียลไทม์ออนไลน์เดินตบาดโลกเสมือนจริงได้ใครจะรู้ อวตารเต็มทั้งเจ้าของร้านทั้งคนมาจับจ่ายซื้อของ,ไอเทมทรงร่างกายการแต่งตัวคงบันเจิดโคตรๆล่ะ.สีสันตรึมแทบไม่อยากออกจากแว่วเรียลก็ได้. https://youtu.be/II3FIrvd6BQ?si=5RsWo11vlqzpO4AP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน
    Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้

    วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ
    มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด
    - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร
    - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร
    - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM

    Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
    - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี
    - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้
    - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา

    มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
    - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน
    Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง
    - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้

    การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น
    - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง

    กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ
    - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง

    แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน
    - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน

    หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง
    - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้

    ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่
    - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    ⚠️ กลโกง Bitcoin ATM: วิธีใหม่ในการหลอกลวงทางการเงิน Bitcoin ATM กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของมิจฉาชีพ โดยใช้ กลยุทธ์หลอกลวงทางโทรศัพท์ เพื่อให้เหยื่อ ถอนเงินสดและฝากเข้า Bitcoin ATM ซึ่งทำให้เงินหายไปโดยไม่สามารถติดตามได้ 🔍 วิธีการหลอกลวงที่พบในสหรัฐฯ ✅ มิจฉาชีพใช้โทรศัพท์หลอกเหยื่อให้ถอนเงินสด - เหยื่อได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก Apple หรือธนาคาร - ถูกข่มขู่ว่าบัญชีของตนมีธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่น การซื้อสื่อลามกอนาจาร - มิจฉาชีพอ้างว่าเงินจะถูกยึดหากไม่รีบถอนและฝากเข้า “บัญชีตัวแทน” ผ่าน Bitcoin ATM ✅ Bitcoin ATM ถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน - เครื่องเหล่านี้ไม่สามารถถอนเงินสดได้ แต่รับเงินสดเพื่อแลกเป็นคริปโตเคอร์เรนซี - เงินที่ฝากเข้าไปจะถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้ - มีการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการ Bitcoin ATM ในหลายรัฐ เช่น นิวเจอร์ซีย์และไอโอวา ✅ มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - จากปี 2020 ถึง 2023 ความเสียหายจากการหลอกลวงผ่าน Bitcoin ATM เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า - ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 🔥 ผลกระทบต่อความปลอดภัยทางการเงิน ‼️ Bitcoin ATM อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินและฉ้อโกง - มิจฉาชีพสามารถใช้เครื่องเหล่านี้เพื่อรับเงินจากเหยื่อโดยไม่สามารถติดตามได้ ‼️ การหลอกลวงทางโทรศัพท์กำลังพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น - การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ (spoofing) ทำให้เหยื่อเชื่อว่ากำลังคุยกับบริษัทจริง ‼️ กฎหมายเกี่ยวกับ Bitcoin ATM ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ - บางรัฐเริ่มพิจารณาห้ามการติดตั้ง Bitcoin ATM เพื่อป้องกันการฉ้อโกง 🚀 แนวทางป้องกันและอนาคตของ Bitcoin ATM ✅ ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน - หากได้รับโทรศัพท์ที่น่าสงสัย ควรติดต่อธนาคารโดยตรงเพื่อยืนยัน ✅ หน่วยงานกำกับดูแลควรเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง - ควรมีระบบตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ ✅ ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายควบคุม Bitcoin ATM หรือไม่ - บางรัฐกำลังพิจารณาห้ามการติดตั้งเครื่องเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/14/she-got-a-phone-call-to-deposit-her-money-the-terrifying-scam-inside-bitcoin-atms-in-the-us
    WWW.THESTAR.COM.MY
    She got a phone call to deposit her money. The terrifying scam inside bitcoin ATMs in the US
    Bitcoin ATMs – generally found at convenience stores, gas stations and other high-traffic areas – have increasingly become the latest tool to separate people from their money.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts