• ฐานทัพแลกภาษีทรัมป์ เรียกแขก-ชักศึกเข้าบ้าน?

    ในที่สุดนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าสหรัฐอเมริกาขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เพราะอยู่ในงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อีกทั้งอยู่ในแผนของกองทัพเรืออยู่แล้ว แต่เป็นคนละเรื่องกับการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ หลังนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ เปิดโปงว่าฝ่ายสหรัฐฯ ได้ต่อรอง 3-4 เรื่อง แลกกับเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ไทยโดนไป 36%

    ได้แก่ การปล่อยตัวนายพอล แชมเบอร์ส อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ชาวอเมริกัน ผู้ต้องหาคดี 112 การเปิดให้ประชาชนคนไทยมีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะมาตรา 112 การห้ามส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนเพื่อที่จะกั๊กจีนเรื่องซินเกียง และการขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เพื่อเลื่อนกองทัพเรือของสหรัฐฯ มาบล็อกช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันไปประเทศจีนด้วย ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รู้อยู่แล้วแต่ไม่กล้าพูด

    ถึงกระนั้น ยังมีการทำสงครามข่าวสาร ด้วยแหล่งข่าวในกองทัพเรือที่ไม่เปิดเผยนาม ระบุว่า ยังไม่เคยมีข้อเสนอว่าจะใช้ฐานทัพเรือพังงาเป็นฐานทัพเรือของสหรัฐฯ แม้มีแผนพัฒนาแต่ติดขัดเรื่องงบประมาณ ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ยืนยันถึงขั้นที่สหรัฐฯ จะมาร่วมพัฒนาหรือสนับสนุนบประมาณ แต้อ้างว่าไม่สามารถทำได้ ถึงกระนั้นตามข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐฯ การส่งกำลังบำรุง สหรัฐฯ สามารถจอดเรือที่ฐานทัพเรือพังงา และรับการส่งกำลังบำรุง เติมน้ำมัน หรือพักเรือได้อยู่แล้วเช่นเดียวกับประเทศอื่น

    รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว The Publisher เตือนว่าไทยต้องอยู่บนหลักว่า ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่ให้ตั้งฐานทัพถาวร และหากมีข้อตกลงใดเกิดขึ้น ต้องผ่านสภาฯ ให้ประชาชนรับรู้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สหรัฐฯ ต้องการยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนที่ลาดตระเวนในพื้นที่เชื่อมโยงกับอินโด-แปซิฟิกในรูปแบบครึ่งวงแหวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งไทยต้องมีข้อเสนอกับจีนควบคู่ไปด้วย เพื่อรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ หากเกิดสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย

    ขณะที่นายกรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร สำนักข่าว The Better ระบุว่า ทีมประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธข้อเสนอจากไทย เพราะต้องการฐานทัพในไทยและให้ไทยซื้ออาวุธเพิ่ม จากที่ให้ไทยแยกตัวจากเศรษฐกิจจีน (Decoupling) จะกลายเป็นการบีบให้ไทยเลือกข้างสหรัฐฯ ในด้านความมั่นคง และกลายเป็นหอกข้างแคร่ เพราะไทยเป็นหลังบ้านที่จะเข้าสู่จีน และสหรัฐฯ ล้มเหลวในการสร้างแนวพันธมิตรอินโด-แปซิฟิกเพื่อล้อมจีน หากปล่อยเช่นนั้นจะชักศึกเข้าบ้านโดยแท้

    #Newskit
    ฐานทัพแลกภาษีทรัมป์ เรียกแขก-ชักศึกเข้าบ้าน? ในที่สุดนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าสหรัฐอเมริกาขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เพราะอยู่ในงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อีกทั้งอยู่ในแผนของกองทัพเรืออยู่แล้ว แต่เป็นคนละเรื่องกับการเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ หลังนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ เปิดโปงว่าฝ่ายสหรัฐฯ ได้ต่อรอง 3-4 เรื่อง แลกกับเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ไทยโดนไป 36% ได้แก่ การปล่อยตัวนายพอล แชมเบอร์ส อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ชาวอเมริกัน ผู้ต้องหาคดี 112 การเปิดให้ประชาชนคนไทยมีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะมาตรา 112 การห้ามส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนเพื่อที่จะกั๊กจีนเรื่องซินเกียง และการขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เพื่อเลื่อนกองทัพเรือของสหรัฐฯ มาบล็อกช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันไปประเทศจีนด้วย ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รู้อยู่แล้วแต่ไม่กล้าพูด ถึงกระนั้น ยังมีการทำสงครามข่าวสาร ด้วยแหล่งข่าวในกองทัพเรือที่ไม่เปิดเผยนาม ระบุว่า ยังไม่เคยมีข้อเสนอว่าจะใช้ฐานทัพเรือพังงาเป็นฐานทัพเรือของสหรัฐฯ แม้มีแผนพัฒนาแต่ติดขัดเรื่องงบประมาณ ฝ่ายรัฐบาลยังไม่ยืนยันถึงขั้นที่สหรัฐฯ จะมาร่วมพัฒนาหรือสนับสนุนบประมาณ แต้อ้างว่าไม่สามารถทำได้ ถึงกระนั้นตามข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐฯ การส่งกำลังบำรุง สหรัฐฯ สามารถจอดเรือที่ฐานทัพเรือพังงา และรับการส่งกำลังบำรุง เติมน้ำมัน หรือพักเรือได้อยู่แล้วเช่นเดียวกับประเทศอื่น รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว The Publisher เตือนว่าไทยต้องอยู่บนหลักว่า ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่ให้ตั้งฐานทัพถาวร และหากมีข้อตกลงใดเกิดขึ้น ต้องผ่านสภาฯ ให้ประชาชนรับรู้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สหรัฐฯ ต้องการยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนที่ลาดตระเวนในพื้นที่เชื่อมโยงกับอินโด-แปซิฟิกในรูปแบบครึ่งวงแหวนเพิ่มขึ้น อีกทั้งไทยต้องมีข้อเสนอกับจีนควบคู่ไปด้วย เพื่อรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ หากเกิดสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย ขณะที่นายกรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร สำนักข่าว The Better ระบุว่า ทีมประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธข้อเสนอจากไทย เพราะต้องการฐานทัพในไทยและให้ไทยซื้ออาวุธเพิ่ม จากที่ให้ไทยแยกตัวจากเศรษฐกิจจีน (Decoupling) จะกลายเป็นการบีบให้ไทยเลือกข้างสหรัฐฯ ในด้านความมั่นคง และกลายเป็นหอกข้างแคร่ เพราะไทยเป็นหลังบ้านที่จะเข้าสู่จีน และสหรัฐฯ ล้มเหลวในการสร้างแนวพันธมิตรอินโด-แปซิฟิกเพื่อล้อมจีน หากปล่อยเช่นนั้นจะชักศึกเข้าบ้านโดยแท้ #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 139 Views 0 Reviews
  • Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน

    เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน:
    - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics
    - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20%
    - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม
    - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด”

    ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก

    ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส

    Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี  
    • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ

    Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน  
    • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี  
    • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน

    งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:  
    • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์  
    • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน

    Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI  
    • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น

    ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน  
    • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด

    มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

    https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน: - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20% - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด” ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส ✅ Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี   • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ ✅ Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน   • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี   • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน ✅ งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:   • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์   • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน ✅ Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI   • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น ✅ ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน   • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด ✅ มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป” https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ford CEO joins list of execs warning AI could eliminate millions of white-collar jobs
    Farley did not elaborate on his views, but he is hardly the only Fortune 500 CEO who believes AI could spell trouble for educated white-collar workers. Leaders...
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จับมือ ปภ. จัดอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถ พร้อมรับมือภัยพิบัติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับมาตรฐานสากล ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท
    .
    วันนี้ (วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก
    เป็นประธานมอบใบวุฒิบัตรให้แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัย ที่สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue) หรือ “USAR" เป็นโครงการฝึกอบรมที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เพื่อฝึกทักษะ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และทบทวนการปฏิบัติภารกิจการค้นหาและกู้ภัยฯ ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมทบทวนข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างต่างๆ การพิจารณาสาเหตุรอยร้าว การตรวจสอบอาคารวิบัติ การเข้าแก้ไขเบื้องต้น ฯลฯ โดยแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติเรียนรู้วิธีลดการพังทลายของโครงสร้างอาคาร การกำหนดสัญลักษณ์การค้นหา ฯลฯ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับภารกิจของสุนัขกู้ภัย (K9) โดยมี นายเกริกเสกข์สัณห์ วาสะสิริ ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการพิเศษค้นหาและกู้ภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญฯ ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม พร้อมด้วยนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นางสาวณัฐกานต์ ขำคม ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม และนางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ร่วมสังเกตการณ์ ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท
    .
    สำหรับการพัฒนาบุคลากรด้านบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพในระดับมาตรฐานสากล จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ Mou Onpimon ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการ เพื่อการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดทีมบรรเทาเข้าโครงการอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ. 2566 และได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาบุคลากรควบคู่กับพัฒนาโครงการ เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จับมือ ปภ. จัดอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถ พร้อมรับมือภัยพิบัติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในระดับมาตรฐานสากล ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท . วันนี้ (วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก เป็นประธานมอบใบวุฒิบัตรให้แก่ทีมบรรเทาสาธารณภัย ที่สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue) หรือ “USAR" เป็นโครงการฝึกอบรมที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เพื่อฝึกทักษะ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และทบทวนการปฏิบัติภารกิจการค้นหาและกู้ภัยฯ ตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมทบทวนข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างต่างๆ การพิจารณาสาเหตุรอยร้าว การตรวจสอบอาคารวิบัติ การเข้าแก้ไขเบื้องต้น ฯลฯ โดยแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติเรียนรู้วิธีลดการพังทลายของโครงสร้างอาคาร การกำหนดสัญลักษณ์การค้นหา ฯลฯ รวมถึงเรียนรู้เกี่ยวกับภารกิจของสุนัขกู้ภัย (K9) โดยมี นายเกริกเสกข์สัณห์ วาสะสิริ ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการพิเศษค้นหาและกู้ภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกสภาวิศวกร พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญฯ ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม พร้อมด้วยนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นางสาวณัฐกานต์ ขำคม ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม และนางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ร่วมสังเกตการณ์ ณ ศูนย์ฝึกอบรมอาสาสมัครป้องกันฝ่ายพลเรือน จังหวัดชัยนาท . สำหรับการพัฒนาบุคลากรด้านบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพในระดับมาตรฐานสากล จึงได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการ เพื่อการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดทีมบรรเทาเข้าโครงการอบรมหลักสูตร "การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (Urban Search And Rescue)" มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ. 2566 และได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิผล โดยเฉพาะเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาบุคลากรควบคู่กับพัฒนาโครงการ เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 Comments 0 Shares 343 Views 0 Reviews
  • เตรียมจัดอย่างใหญ่! “โคราชมาราธอน 2025” สนามวิ่งมาตรฐานโลก สร้างความประทับใจ บนเส้นทางแลนด์มาร์ค เมืองย่าโม 16 พ.ย.นี้ คาดนักวิ่งร่วมกว่า 7,500 คน

    โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี 16 พ.ย.นี้ สนามวิ่งมาราธอนไทยได้มาตรฐานระดับโลก เก็บความประทับใจกับไฮไลท์บนเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองย่าโม ผ่านแลนด์มาร์คสำคัญ พร้อมโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดทาง จากวงดุริยางค์ดีกรีแชมป์โลก ซึ่งเป็นลูกหลานย่าโม ภายใต้แนวคิด เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้จังหวัด คาดการณ์ว่านักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน และเอาใจนักวิ่งสายบุญกับ Charity Set ร่วมสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล

    เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ อีเวนต์ ฮออล์ 2 ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” (KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD) โดยได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, Mr.Benson Ke General Manager of BYD Thailand, คุณปรีชา ลิ้มอั่วผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์โคราช และคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด เข้าร่วมแถลงรายละเอียดของการแข่งขัน

    “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สนามวิ่งมาราธอนไทยมาตรฐานโลก "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" มาราธอนแห่งความประทับใจเมืองย่าโม "The Memorable Marathon" แนวคิดการออกแบบสนามวิ่งมาราธอนที่ตั้งใจให้เป็นสนามแห่งความประทับใจ หลอมรวมความเป็นโคราชไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นทางที่จะพานักวิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญเมืองโคราช โดยมีจุดปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9

    พร้อมการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางของวงดุริยางค์ จากน้องๆ ลูกหลานย่าโม ที่มีดีกรีระดับแชมป์โลก ธีมการออกแบบปีนี้ชูแนวคิดเส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน "Build Your Marathon Dream" เน้นความวิจิตรงดงามของลวดลายผ้าไหมพื้นบนไอคอนแลนด์มาร์คเมืองโคราช นำลวดลายโคราชโมโนแกรม มาใช้ประกอบ สื่อถึงการประยุกต์ความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์วิถีดั้งเดิมมารวมเข้าด้วยกันกับงานวิ่ง

    การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานอีเว้นท์กีฬามวลชนระดับนานาชาติประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเป็นการสร้างงานวิ่งมาตรฐานโลกให้เป็นจุดหมายของนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างมาราธอนที่สุดแสนประทับใจแห่งเมืองย่าโม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน

    นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การแข่งขัน "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานวิ่ง แต่ยังสะท้อนศักยภาพของจังหวัดในการจัดอีเวนต์ระดับโลก ต่อยอดจากความเข้มแข็งของชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวโคราช ผมเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโคราชให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

    พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนงาน"KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ในด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เพื่อให้นักวิ่งทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุด พร้อมทั้งยังสะท้อนบทบาทของกองทัพในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน

    นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานวิ่งมาราธอน Korat Marathon 2025 Presented by BYD จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน’ หรือ ‘Build Your Marathon Dreams’ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BYD ที่สนับสนุนให้ทุกคนไล่ตามความฝันของตัวเอง และ การเข้าร่วมงานวิ่งของ BYD ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง พร้อมเดินตามความฝันในการมีสุขภาพที่ดีให้เป็นจริง

    นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์ โคราช กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย มีความเชื่อมั่นเสมอว่าศูนย์การค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่า และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน สำหรับเดอะมอลล์ โคราช ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพี่น้องชาวโคราช และอยู่เคียงข้างกันชาวโคราชมากว่า 25 ปี และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับชาวโคราช อยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา เนื่องด้วยโคราชเป็นเมืองแห่งกีฬาเป็นศูนย์รวมของคนรักสุขภาพ และมีความพร้อม มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ เดอะมอลล์ โคราช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังผสานการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของภูมิภาค ที่พร้อมสนับสนุนทุกมิติของความสุขอย่างยั่งยืน พิเศษสุด! สำหรับนักวิ่งทุกท่านสามารถเตรียมความพร้อมก่อนวันจริง กับสินค้าและอุปกรณ์วิ่งครบวงจรได้ที่งาน Korat Marathon Sports Fest ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช”

    ด้านคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการจัดกล่าวว่า ไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้คือ The Memorable Marathon มาราธอนแห่งความประทับใจ ถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมแห่งเมืองโคราช รวมทั้ง Point To Point Route ปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ใช้เส้นทาง Run Through Korat City วิ่งผ่านแลนด์มาร์คเมืองโคราช ภายใต้ World Class Race มาตรฐานงานวิ่งระดับโลก และ Scenic Finish Venue เส้นชัยวิวสวย พร้อมกับ World Class Cheering Team สนุกสนานกับกองเชียร์และการแสดงระดับโลก

    สำหรับ “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” แบ่งการแข่งขันเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะมาราธอน 42195. กิโลเมตร, ระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กิโลเมตร., ระยะมินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร. และระยะไมโครมาราธอน 5 กิโลเมตร กำหนดวันรับอุปกรณ์ในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ที่แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช และวันแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 โดยปีนี้พิเศษกว่าเดิม! เสื้อวิ่งดีไซน์สุดปัง มาพร้อมโทนสีใหม่ที่โดดเด่นกว่าเคย สำหรับผู้สนใจร่วมแข่งขันสามารถสมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน

    นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้กับนักวิ่งใจบุญมาทางนี้ กับการสมัคร Charity Set ราคา 2,500 บาท โดยรายได้จากค่าสมัคร 2,000 บาทในครั้งนี้จะเป็นการร่วมทำบุญเพื่อสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งนักวิ่งที่สมัครจะได้รับใบเสร็จรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 บาท พร้อมกับชุด Race Pack สุดพิเศษ สมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025

    ทั้งนี้สามารถดูรายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก : Korat Marathon https://www.facebook.com/koratmarathon2025
    เตรียมจัดอย่างใหญ่! “โคราชมาราธอน 2025” สนามวิ่งมาตรฐานโลก สร้างความประทับใจ บนเส้นทางแลนด์มาร์ค เมืองย่าโม 16 พ.ย.นี้ คาดนักวิ่งร่วมกว่า 7,500 คน โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี 16 พ.ย.นี้ สนามวิ่งมาราธอนไทยได้มาตรฐานระดับโลก เก็บความประทับใจกับไฮไลท์บนเส้นทางประวัติศาสตร์เมืองย่าโม ผ่านแลนด์มาร์คสำคัญ พร้อมโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดทาง จากวงดุริยางค์ดีกรีแชมป์โลก ซึ่งเป็นลูกหลานย่าโม ภายใต้แนวคิด เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน พร้อมกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้จังหวัด คาดการณ์ว่านักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน และเอาใจนักวิ่งสายบุญกับ Charity Set ร่วมสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ณ อีเวนต์ ฮออล์ 2 ชั้น 2 ศูนย์การค้าเดอะมอลล์โคราช จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” (KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD) โดยได้รับเกียรติจาก นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, Mr.Benson Ke General Manager of BYD Thailand, คุณปรีชา ลิ้มอั่วผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์โคราช และคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด เข้าร่วมแถลงรายละเอียดของการแข่งขัน “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สนามวิ่งมาราธอนไทยมาตรฐานโลก "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" มาราธอนแห่งความประทับใจเมืองย่าโม "The Memorable Marathon" แนวคิดการออกแบบสนามวิ่งมาราธอนที่ตั้งใจให้เป็นสนามแห่งความประทับใจ หลอมรวมความเป็นโคราชไว้อย่างครบถ้วน ด้วยเส้นทางที่จะพานักวิ่งผ่านจุดแลนด์มาร์คสำคัญเมืองโคราช โดยมีจุดปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 พร้อมการแสดงโชว์สุดยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางของวงดุริยางค์ จากน้องๆ ลูกหลานย่าโม ที่มีดีกรีระดับแชมป์โลก ธีมการออกแบบปีนี้ชูแนวคิดเส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน "Build Your Marathon Dream" เน้นความวิจิตรงดงามของลวดลายผ้าไหมพื้นบนไอคอนแลนด์มาร์คเมืองโคราช นำลวดลายโคราชโมโนแกรม มาใช้ประกอบ สื่อถึงการประยุกต์ความทันสมัยของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งเอกลักษณ์วิถีดั้งเดิมมารวมเข้าด้วยกันกับงานวิ่ง การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงานอีเว้นท์กีฬามวลชนระดับนานาชาติประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งเป็นการสร้างงานวิ่งมาตรฐานโลกให้เป็นจุดหมายของนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก และสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการสร้างมาราธอนที่สุดแสนประทับใจแห่งเมืองย่าโม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 7,500 คน นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การแข่งขัน "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานวิ่ง แต่ยังสะท้อนศักยภาพของจังหวัดในการจัดอีเวนต์ระดับโลก ต่อยอดจากความเข้มแข็งของชุมชน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวโคราช ผมเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของโคราชให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ พันเอกสาธิต อุ่นกาย รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนงาน"KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ในด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เพื่อให้นักวิ่งทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุด พร้อมทั้งยังสะท้อนบทบาทของกองทัพในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า งานวิ่งมาราธอน Korat Marathon 2025 Presented by BYD จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘เส้นทางมาราธอนแห่งความฝันของทุกคน’ หรือ ‘Build Your Marathon Dreams’ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ BYD ที่สนับสนุนให้ทุกคนไล่ตามความฝันของตัวเอง และ การเข้าร่วมงานวิ่งของ BYD ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายและเข้าร่วมกิจกรรมวิ่ง พร้อมเดินตามความฝันในการมีสุขภาพที่ดีให้เป็นจริง นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ เดอะมอลล์ โคราช กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลและไลฟ์สไตล์ของประเทศไทย มีความเชื่อมั่นเสมอว่าศูนย์การค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างสรรค์กิจกรรมที่มีคุณค่า และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน สำหรับเดอะมอลล์ โคราช ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพี่น้องชาวโคราช และอยู่เคียงข้างกันชาวโคราชมากว่า 25 ปี และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมดีๆ ให้กับชาวโคราช อยู่เสมอ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา เนื่องด้วยโคราชเป็นเมืองแห่งกีฬาเป็นศูนย์รวมของคนรักสุขภาพ และมีความพร้อม มีศักยภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการ เดอะมอลล์ โคราช มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม "KORAT MARATHON 2025 PRESENTED BY BYD" ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังผสานการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้อย่างกลมกลืน ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของภูมิภาค ที่พร้อมสนับสนุนทุกมิติของความสุขอย่างยั่งยืน พิเศษสุด! สำหรับนักวิ่งทุกท่านสามารถเตรียมความพร้อมก่อนวันจริง กับสินค้าและอุปกรณ์วิ่งครบวงจรได้ที่งาน Korat Marathon Sports Fest ในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 14–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช” ด้านคุณอลงกรณ์ เจียมอนุกูลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัท เรซอัพ เวิร์ค จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการจัดกล่าวว่า ไฮไลท์ของการแข่งขันครั้งนี้คือ The Memorable Marathon มาราธอนแห่งความประทับใจ ถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมแห่งเมืองโคราช รวมทั้ง Point To Point Route ปล่อยตัวบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) และเข้าเส้นชัยที่สวนน้ําบุ่งตาหลั่ว เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ใช้เส้นทาง Run Through Korat City วิ่งผ่านแลนด์มาร์คเมืองโคราช ภายใต้ World Class Race มาตรฐานงานวิ่งระดับโลก และ Scenic Finish Venue เส้นชัยวิวสวย พร้อมกับ World Class Cheering Team สนุกสนานกับกองเชียร์และการแสดงระดับโลก สำหรับ “โคราชมาราธอน 2025 พรีเซนต์เต็ดบาย บีวายดี” แบ่งการแข่งขันเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะมาราธอน 42195. กิโลเมตร, ระยะฮาล์ฟ มาราธอน 21.1 กิโลเมตร., ระยะมินิ มาราธอน 10 กิโลเมตร. และระยะไมโครมาราธอน 5 กิโลเมตร กำหนดวันรับอุปกรณ์ในวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 - 18.00 น. ที่แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 1 เดอะมอลล์โคราช และวันแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568 โดยปีนี้พิเศษกว่าเดิม! เสื้อวิ่งดีไซน์สุดปัง มาพร้อมโทนสีใหม่ที่โดดเด่นกว่าเคย สำหรับผู้สนใจร่วมแข่งขันสามารถสมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2568 หรือจนกว่าจะเต็มจำนวน นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้กับนักวิ่งใจบุญมาทางนี้ กับการสมัคร Charity Set ราคา 2,500 บาท โดยรายได้จากค่าสมัคร 2,000 บาทในครั้งนี้จะเป็นการร่วมทำบุญเพื่อสมทบทุนบริจาคให้โรงพยาบาล ซึ่งนักวิ่งที่สมัครจะได้รับใบเสร็จรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีจำนวน 2,000 บาท พร้อมกับชุด Race Pack สุดพิเศษ สมัครได้เลยที่ : https://run.checkrace.com/event/krm2025 ทั้งนี้สามารถดูรายรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก : Korat Marathon https://www.facebook.com/koratmarathon2025
    0 Comments 0 Shares 405 Views 0 Reviews
  • ..พูดอย่างจริงใจ,แบบเปิดอกเลยนะ,
    ...แน่นอนบังเอิญมิใช่บังเอิญ มีใครพูดกระซิบข้างหูมั้ยนะต้องจำเป็นไปชุมนุมสถานที่ซาตานนี้นะ,เคยเตือนว่าอย่าไปเลย,ส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นศูนย์รวมการเก็บเกี่ยวพลังงานจิตเชิงลบหรือบวกได้หมดเลยล่ะ,มันเอาไปขายทั่วจักรวาลทัังเชิงลบเชิงบวกล่ะ,เชิงลบแน่นอนสร้างหายนะได้เพิ่มมากขึ้นในหลายๆช่องทางที่มันมีพลังชั่วแล้ว จะไปทำลายที่ไหนก็ได้,ปกติผู้คนที่จราจรให้มันเก็บเกี่ยวอยู่แล้ว,ประเทศไทยเราสมควรทำลายสถานที่นี้เถอะ,มันชัดเจนขนาดนี้แล้วสัญลักษณ์ชัดๆฝ่ายมืด,ขออย่าเป็นฝ่ายมืดเลย,ที่ครอบงำเดอะแก๊งนี้เดอะคณะนี้,อดีตแกนนำพันธมิตรอาจเปลี่ยนสัญลักษณ์ไปเลยเป็นอันใหม่ก็ดีนะ,เหมือนตาปีศาจอย่างไงมันรู้,เมื่อพันธมิตรทิ้งจบอดีตนั้นแล้ว,ทิ้งโลโก้ไปเลยด้วยเถอะอย่าเสียดาย,เราติดตามสัญลักษณ์พวกซาตานมาเห็นแล้วไม่คอยสบายใจ,ตอนแลกบอกสถานที่จะชุมนุนว่าที่นี้ ก็ไม่เห็นด้วยในตอนต้นอยู่แล้ว,บ้านนี้มีคนอ่านน้อยก็ว่า,เลยไม่มีลำโพงดังไกลนักในการเตือน,เห็นสีรุ่งในเพจข่าวออนไลน์ของที่นี้ก็ยังไม่ค่อยสบายใจ,จนมองว่าเป็นพวกซาตานไปด้วยเลยนะ,มาใช้แอปซาตานคุมหลังฉากมั้ยนะยังคิดเลยthaitimeนี้,ผู้จัดการและทีมงานจะไม่รู้เรื่องdeep stateซาตานแรปทีเลี่ยนagenda2030เบื้องต้นเลยเหรอ,นี้คือตางูตาปีศาจตาสัตว์เลื้อยคลานชัดๆอิลูมินาติก็ว่า,
    ..พวกมันไม่ปะปนในแอปนี้ด้วยนะ ในเพจผู้จัดการออนไลน์ด้วยนะ,
    ..ถ้าthatimeเป็นพวกมันด้วยก็บอกด้วยนะ เปิดเผยให้ชัดเจนแบบพิธานั้นล่ะพรรคก้าวไกลโน้น.,ฝ่ายมืดปัจจุบันนี้ก็ชัดเจนหมดแล้วเช่นกัน เพื่อคัดเลือกคนมาเข้าพวกก็ว่าแบบเปิดเผยได้ ไม่ปิดบังแบบอดีตแล้ว,เพราะพระเจ้าเมื่อเลิกอนุญาตจะหาสมาชิกไปเป็นฝ่ายมารสะดวกๆแบบนี้ไม่ได้อีก,คือฝ่ายแสงก็เลือกคัดคนดึดดูดชาวโลกไปเป็นพวกตนมากๆอย่างเสรีได้เต็มที่เช่นอนุญาตฝ่ายมืดแบบนี้ในยุคนี้,เมื่อโลกระเบิดในอนาคต ฝ่ายมืดก็ดึงวิญญาณนัันๆไปด้วยทั้งหมดทันทีเช่นกันเหมือนสัญญาซาตานที่ลงนามกันไว้นั้นล่ะ,
    ..เคสนี้รูปนี้อธิบายชัดมาก,ตาชัดๆ,ตาเดียวแบบตาปีศาจในหนังเดอะลอร์ดนั้นล่ะ,หอคอยตาปีศาจ,คณะแกนร่วมรวมพลังแผ่นดินไทย หากจะสร้างสัญลักษณ์ตนขึ้นมาใหม่ อย่าไปทางสัญลักษณ์พวกปีศาจซาตานฝ่ายมืดเน้อ,มันจะน่าผิดหวังมาก,พันธมิตรจะสิ้นค่าทันทีเลยของยุคสมันอดีตเรา,เหมือนถูกหลอกไปเป็นเครื่องสังเวยบูชายันต์ให้พวกซาตานมารปีศาจมัน,
    ..ถ้าแฟนพันธ์แท้สายกูรูซาตานจริง เขาชี้ชัดเลยว่าคณะร่วมนี้เป็นฝ่ายมืดด้วย,ไปเพิ่มพลังงานใก้มันเลย ในที่ของๆมันด้วยเต็มๆ.ตาปีศาจชัดเจนมาก,ใครนะบินโดรนถ่ายรูปจนเห็นชัดขนาดนีั.นี้คือมุมมองบริบทด้านสัญลักษณ์ดวงตาปีศาจ,ส่วนในด้านคนไม่สนใจก็คือเพื่อไล่รัฐบาลนั้นล่ะ,ทหารไทยอยู่ฝ่ายตรงข้ามเรานะคุณลุงอังเคิลฮุนเซน อยากได้อะไรเกี๋ยวจัดให้.
    ..พูดอย่างจริงใจ,แบบเปิดอกเลยนะ, ...☝️แน่นอนบังเอิญมิใช่บังเอิญ มีใครพูดกระซิบข้างหูมั้ยนะต้องจำเป็นไปชุมนุมสถานที่ซาตานนี้นะ,เคยเตือนว่าอย่าไปเลย,ส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นศูนย์รวมการเก็บเกี่ยวพลังงานจิตเชิงลบหรือบวกได้หมดเลยล่ะ,มันเอาไปขายทั่วจักรวาลทัังเชิงลบเชิงบวกล่ะ,เชิงลบแน่นอนสร้างหายนะได้เพิ่มมากขึ้นในหลายๆช่องทางที่มันมีพลังชั่วแล้ว จะไปทำลายที่ไหนก็ได้,ปกติผู้คนที่จราจรให้มันเก็บเกี่ยวอยู่แล้ว,ประเทศไทยเราสมควรทำลายสถานที่นี้เถอะ,มันชัดเจนขนาดนี้แล้วสัญลักษณ์ชัดๆฝ่ายมืด,ขออย่าเป็นฝ่ายมืดเลย,ที่ครอบงำเดอะแก๊งนี้เดอะคณะนี้,อดีตแกนนำพันธมิตรอาจเปลี่ยนสัญลักษณ์ไปเลยเป็นอันใหม่ก็ดีนะ,เหมือนตาปีศาจอย่างไงมันรู้,เมื่อพันธมิตรทิ้งจบอดีตนั้นแล้ว,ทิ้งโลโก้ไปเลยด้วยเถอะอย่าเสียดาย,เราติดตามสัญลักษณ์พวกซาตานมาเห็นแล้วไม่คอยสบายใจ,ตอนแลกบอกสถานที่จะชุมนุนว่าที่นี้ ก็ไม่เห็นด้วยในตอนต้นอยู่แล้ว,บ้านนี้มีคนอ่านน้อยก็ว่า,เลยไม่มีลำโพงดังไกลนักในการเตือน,เห็นสีรุ่งในเพจข่าวออนไลน์ของที่นี้ก็ยังไม่ค่อยสบายใจ,จนมองว่าเป็นพวกซาตานไปด้วยเลยนะ,มาใช้แอปซาตานคุมหลังฉากมั้ยนะยังคิดเลยthaitimeนี้,ผู้จัดการและทีมงานจะไม่รู้เรื่องdeep stateซาตานแรปทีเลี่ยนagenda2030เบื้องต้นเลยเหรอ,นี้คือตางูตาปีศาจตาสัตว์เลื้อยคลานชัดๆอิลูมินาติก็ว่า, ..พวกมันไม่ปะปนในแอปนี้ด้วยนะ ในเพจผู้จัดการออนไลน์ด้วยนะ, ..ถ้าthatimeเป็นพวกมันด้วยก็บอกด้วยนะ เปิดเผยให้ชัดเจนแบบพิธานั้นล่ะพรรคก้าวไกลโน้น.,ฝ่ายมืดปัจจุบันนี้ก็ชัดเจนหมดแล้วเช่นกัน เพื่อคัดเลือกคนมาเข้าพวกก็ว่าแบบเปิดเผยได้ ไม่ปิดบังแบบอดีตแล้ว,เพราะพระเจ้าเมื่อเลิกอนุญาตจะหาสมาชิกไปเป็นฝ่ายมารสะดวกๆแบบนี้ไม่ได้อีก,คือฝ่ายแสงก็เลือกคัดคนดึดดูดชาวโลกไปเป็นพวกตนมากๆอย่างเสรีได้เต็มที่เช่นอนุญาตฝ่ายมืดแบบนี้ในยุคนี้,เมื่อโลกระเบิดในอนาคต ฝ่ายมืดก็ดึงวิญญาณนัันๆไปด้วยทั้งหมดทันทีเช่นกันเหมือนสัญญาซาตานที่ลงนามกันไว้นั้นล่ะ, ..เคสนี้รูปนี้อธิบายชัดมาก,ตาชัดๆ,ตาเดียวแบบตาปีศาจในหนังเดอะลอร์ดนั้นล่ะ,หอคอยตาปีศาจ,คณะแกนร่วมรวมพลังแผ่นดินไทย หากจะสร้างสัญลักษณ์ตนขึ้นมาใหม่ อย่าไปทางสัญลักษณ์พวกปีศาจซาตานฝ่ายมืดเน้อ,มันจะน่าผิดหวังมาก,พันธมิตรจะสิ้นค่าทันทีเลยของยุคสมันอดีตเรา,เหมือนถูกหลอกไปเป็นเครื่องสังเวยบูชายันต์ให้พวกซาตานมารปีศาจมัน, ..ถ้าแฟนพันธ์แท้สายกูรูซาตานจริง เขาชี้ชัดเลยว่าคณะร่วมนี้เป็นฝ่ายมืดด้วย,ไปเพิ่มพลังงานใก้มันเลย ในที่ของๆมันด้วยเต็มๆ.ตาปีศาจชัดเจนมาก,ใครนะบินโดรนถ่ายรูปจนเห็นชัดขนาดนีั.นี้คือมุมมองบริบทด้านสัญลักษณ์ดวงตาปีศาจ,ส่วนในด้านคนไม่สนใจก็คือเพื่อไล่รัฐบาลนั้นล่ะ,ทหารไทยอยู่ฝ่ายตรงข้ามเรานะคุณลุงอังเคิลฮุนเซน อยากได้อะไรเกี๋ยวจัดให้.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • ถ้าตามข่าว Intel ช่วงนี้จะรู้เลยว่า “กำลังปรับองค์กรแบบยกเครื่อง” — ตั้งแต่สายการผลิต Fab ยันหน่วยพัฒนาชิป AI แต่คราวนี้แรงสุดคือการเลย์ออฟพนักงาน “เชิงเทคนิค” ที่เดิมทีถือเป็นหัวใจของบริษัท

    มีการยืนยันว่า Intel จะไล่พนักงานออกในหลายตำแหน่งสำคัญ เช่น:
    - วิศวกรออกแบบวงจร (Physical Design Engineers)
    - ผู้จัดการสายวิศวกรรม
    - สถาปนิกซอฟต์แวร์ Cloud
    - ผู้นำด้านกลยุทธ์ไอที และรองประธานฝ่ายไอที

    และยิ่งไปกว่านั้นคือการ ปิดหน่วยพัฒนาชิปสำหรับรถยนต์ ที่เคยตั้งอยู่ในเยอรมนี — ซึ่งมีภารกิจสร้างระบบสำหรับ “รถยนต์ขับเองได้” (software-defined vehicles) และเคยเป็นแผนกที่มีอิสระสูงมาก

    สิ่งที่ Tan กล่าวในจดหมายภายในคือ “ต่อไปนี้ ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่มีลูกทีมเยอะ — แต่คือต้องทำให้ได้มากที่สุดด้วยทีมที่เล็กที่สุด” พร้อมประกาศว่า จะเลย์ออฟ 15–20% ของทั้งบริษัทในปีนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเร่งการตัดสินใจในองค์กร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-lays-off-hundreds-of-engineers-in-california-including-chip-design-engineers-automotive-chip-division-also-axed
    ถ้าตามข่าว Intel ช่วงนี้จะรู้เลยว่า “กำลังปรับองค์กรแบบยกเครื่อง” — ตั้งแต่สายการผลิต Fab ยันหน่วยพัฒนาชิป AI แต่คราวนี้แรงสุดคือการเลย์ออฟพนักงาน “เชิงเทคนิค” ที่เดิมทีถือเป็นหัวใจของบริษัท มีการยืนยันว่า Intel จะไล่พนักงานออกในหลายตำแหน่งสำคัญ เช่น: - วิศวกรออกแบบวงจร (Physical Design Engineers) - ผู้จัดการสายวิศวกรรม - สถาปนิกซอฟต์แวร์ Cloud - ผู้นำด้านกลยุทธ์ไอที และรองประธานฝ่ายไอที และยิ่งไปกว่านั้นคือการ ปิดหน่วยพัฒนาชิปสำหรับรถยนต์ ที่เคยตั้งอยู่ในเยอรมนี — ซึ่งมีภารกิจสร้างระบบสำหรับ “รถยนต์ขับเองได้” (software-defined vehicles) และเคยเป็นแผนกที่มีอิสระสูงมาก สิ่งที่ Tan กล่าวในจดหมายภายในคือ “ต่อไปนี้ ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่มีลูกทีมเยอะ — แต่คือต้องทำให้ได้มากที่สุดด้วยทีมที่เล็กที่สุด” พร้อมประกาศว่า จะเลย์ออฟ 15–20% ของทั้งบริษัทในปีนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเร่งการตัดสินใจในองค์กร https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-lays-off-hundreds-of-engineers-in-california-including-chip-design-engineers-automotive-chip-division-also-axed
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 5 แสนบาท ขยายโอกาส สร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างเท่าเทียม แก่ชาวขอนแก่นต่อเนื่อง
    มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และมอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี
    .
    วานนี้ (วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง โดยมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ จำนวน 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 397,610 บาท เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครออกหน่วยให้บริการประชาชนในพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ จำนวน 2 ชุด (4 ชิ้น) ในโครงการ “สนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์” ให้แก่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา เพื่อใช้ในหลักสูตรฝึกอบรมทักษะอาชีพดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้ง มอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการ จำนวน 10 ราย และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวม 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวขอนแก่นในครั้งนี้ทั้งสิ้น 596,362 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันสามร้อยหกสิบสองบาทถ้วน) โดยมี ผศ.ดร.พนธ์พันธ์ เลิศจันทรางกูร ที่ปรึกษาอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พร้อมด้วย นายสงวน สุธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 5 นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ และอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น
    .
    นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก ในการคัดกรองผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม เสริมทักษะอาชีพ โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 5 แสนบาท ขยายโอกาส สร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างเท่าเทียม แก่ชาวขอนแก่นต่อเนื่อง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และมอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรี . วานนี้ (วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง โดยมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ จำนวน 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 397,610 บาท เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครออกหน่วยให้บริการประชาชนในพื้นที่ฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบหุ่นจำลองช่วยฟื้นคืนชีพผู้ใหญ่และเครื่องช่วยสาธิตกระตุกไฟฟ้าหัวใจ จำนวน 2 ชุด (4 ชิ้น) ในโครงการ “สนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์” ให้แก่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา เพื่อใช้ในหลักสูตรฝึกอบรมทักษะอาชีพดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้ง มอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการ จำนวน 10 ราย และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวม 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวขอนแก่นในครั้งนี้ทั้งสิ้น 596,362 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันสามร้อยหกสิบสองบาทถ้วน) โดยมี ผศ.ดร.พนธ์พันธ์ เลิศจันทรางกูร ที่ปรึกษาอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พร้อมด้วย นายสงวน สุธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 5 นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ และอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จังหวัดขอนแก่น . นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก ในการคัดกรองผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม เสริมทักษะอาชีพ โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 Comments 0 Shares 418 Views 0 Reviews
  • ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน

    เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท

    คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ”



    นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร

    โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา

    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง

    ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่

    นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์

    เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก"

    https://sondhitalk.com/photo-gallery/9680000059229?fbclid=IwQ0xDSwLHDOBleHRuA2FlbQIxMQABHjn6VGI0tuOTxS9x_CkwyfHJV-yBaFUZuPKiJhpkpFj61C6LFET_1vKF_qsn_aem_sKwXdW8qRXGV0NWL3DHNAQ
    ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ” นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์ เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก" https://sondhitalk.com/photo-gallery/9680000059229?fbclid=IwQ0xDSwLHDOBleHRuA2FlbQIxMQABHjn6VGI0tuOTxS9x_CkwyfHJV-yBaFUZuPKiJhpkpFj61C6LFET_1vKF_qsn_aem_sKwXdW8qRXGV0NWL3DHNAQ
    SONDHITALK.COM
    Photo Gallery ศาลอาญายกฟ้อง "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พูดพาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต
    Photo Gallery ศาลอาญายกฟ้อง บิ๊กอ็อด ฟ้องหมิ่น สนธิ ลิ้มทองกุล พาดพิงในรายการสนธิทอร์ค ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้าบรรเทาทุกข์จากสภาวะอากาศร้อนแก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร รุดส่งมอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น พร้อมค่าพาหนะ ค่าติดตั้งพัดลม แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนเพิ่มอีก 5 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท
    .
    ระหว่างวันที่ 13 -19 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก พร้อมด้วย นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ในโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร ครั้งที่ 2 ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วยจังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ระยอง ตราด และสระแก้ว รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดนักเรียน ให้แก่นักเรียนทั้ง 25 โรงเรียน รวม 750 ชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 987,050 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพันห้าสิบบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนได้คลายร้อนและมีสมาธิในการเรียนการสอน โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี
    .
    โครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายให้คณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เร่งดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร นำร่องเมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมอบชุดพัดลมแก่สถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน และได้ขยายพื้นที่บรรเทาทุกข์ต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2568 รวมการดำเนินการโครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดารแล้ว 10 จังหวัด 50 โรงเรียน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ** มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต **
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้าบรรเทาทุกข์จากสภาวะอากาศร้อนแก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร รุดส่งมอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น พร้อมค่าพาหนะ ค่าติดตั้งพัดลม แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนเพิ่มอีก 5 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท . ระหว่างวันที่ 13 -19 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก พร้อมด้วย นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ในโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร ครั้งที่ 2 ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วยจังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ระยอง ตราด และสระแก้ว รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดนักเรียน ให้แก่นักเรียนทั้ง 25 โรงเรียน รวม 750 ชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 987,050 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพันห้าสิบบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนได้คลายร้อนและมีสมาธิในการเรียนการสอน โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี . โครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายให้คณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เร่งดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร นำร่องเมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมอบชุดพัดลมแก่สถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน และได้ขยายพื้นที่บรรเทาทุกข์ต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2568 รวมการดำเนินการโครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดารแล้ว 10 จังหวัด 50 โรงเรียน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ** มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต **
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • ตอนนี้หลายคนเริ่มใช้ AI แบบจริงจังในการทำงาน เช่น ใช้ ChatGPT ทำสรุปรายงาน หรือ Copilot เขียนสไลด์ รายงานจาก Gallup พบว่าในปี 2025 พนักงานในสหรัฐฯ ที่ใช้ AI “อย่างน้อยไม่กี่ครั้งต่อปี” พุ่งจาก 21% → 40% ภายใน 2 ปี ส่วนคนที่ใช้ “ทุกสัปดาห์” เพิ่มเป็น 19% และใช้งาน “ทุกวัน” ก็ถึง 8% แล้ว

    พนักงานสายคอขาวอย่างเทคโนโลยี การเงิน และผู้บริหารนี่แหละที่ใช้มากสุด โดยเฉพาะผู้จัดการระดับสูงถึง 1 ใน 3 ใช้ AI หลายครั้งต่อสัปดาห์ แต่ที่น่าคิดคือ... มีแค่ 22% เท่านั้นที่บอกว่าองค์กรของตัวเอง “มีแผน AI ที่ชัดเจน” อีก 30% พอมีนโยบายบ้าง แต่เกือบครึ่ง "มึน" ว่าจะใช้ยังไงดี

    และปัญหาใหญ่ที่พนักงานเจอคือ AI ในที่ทำงาน “ไม่มีประโยชน์ชัดเจน” หลายคนโดนบังคับให้ใช้โดยไม่รู้ว่าได้อะไรกลับมา บางคนบอกตรง ๆ ว่า “เครื่องมือมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”...

    ด้าน Salesforce ก็มองจากมุมเทคโนโลยี พบว่า AI agent (พวกที่สั่งแล้วทำงานให้ เช่นจัดข้อมูล ตอบอีเมล) แม้จะเก่งขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดเยอะ—โดยเฉพาะ งานที่มีหลายขั้นตอนหรือมีบริบทซับซ้อน เช่น ต้องถามกลับลูกค้า หรือเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง

    ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า AI Agent ส่วนใหญ่ “ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลลับ” ถ้าเราไม่สั่งให้ปฏิเสธแบบชัดเจน มันอาจเปิดเผยข้อมูลได้ทันที ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร

    การใช้งาน AI ในที่ทำงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  
    • คนใช้ AI อย่างน้อยปีละไม่กี่ครั้ง: เพิ่มจาก 21% (2023) → 40% (2025)  
    • พนักงานระดับผู้จัดการ ใช้งานบ่อยกว่าระดับปฏิบัติการเกือบเท่าตัว

    องค์กรยังขาดแนวทาง AI ที่ชัดเจน  
    • มีเพียง 22% เท่านั้นที่บอกว่า “องค์กรมีแผนเกี่ยวกับ AI”  
    • 70% ของพนักงานยังไม่มีนโยบายชัดเจนหรือการฝึกอบรมเรื่อง AI

    ความเชื่อมั่นต่อ AI สูงขึ้นในกลุ่มที่ได้ใช้งานจริง  
    • คนที่ใช้ AI ตอบลูกค้าโดยตรง เชื่อว่ามันช่วย 68%  
    • คนที่ไม่เคยใช้ กลับเห็นด้วยแค่ 13% ว่า AI มีประโยชน์

    จากฝั่งเทคโนโลยี: AI agent ทำงานเดี่ยว ๆ ได้ดี แต่ยังล้มเหลวกับงานซับซ้อน  
    • งานขั้นเดียว: สำเร็จเฉลี่ย 58%  
    • งานหลายขั้น เช่นถาม–ตอบต่อเนื่อง: สำเร็จเพียง 35%

    การใส่ prompt ให้ AI ระวังข้อมูลลับได้ผล แต่ลดความแม่นในการทำงาน  
    • ระบบจะลังเลหรือยอมปฏิเสธมากเกินไปเมื่อเจอข้อมูลอ่อนไหว

    AI ที่มีความสามารถด้านเหตุผลและกล้าถามเพื่อความเข้าใจ จะมีความแม่นยำมากกว่า  
    • โดยเฉพาะในงานที่ต้องวิเคราะห์ บริบท หรือวางแผนหลายขั้น

    องค์กรที่ผลักดัน AI โดยไม่มี “เป้าหมาย” จะทำให้พนักงานสับสนและต่อต้าน  
    • ความล้มเหลวของการใช้งาน AI มักมาจากขาดการสื่อสารจากผู้นำ

    เครื่องมือ AI ที่ไม่มีประโยชน์ชัดเจน อาจกลายเป็นภาระมากกว่าความช่วยเหลือ  
    • ผู้ใช้จะรู้สึกว่า “ถูกรบกวน” มากกว่า “ได้รับการสนับสนุน”

    AI agent ปัจจุบันยังไม่ปลอดภัยเรื่องข้อมูลอ่อนไหว หากไม่มี prompt ป้องกันเฉพาะ  
    • อาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลที่ควรเป็นความลับ

    AI ที่สื่อสารด้วยคำสั่งหลายขั้น มักพลาดหากไม่มี context หรือการถามกลับ  
    • มีความเสี่ยงที่ให้คำตอบผิด หรือทำงานไม่ตรงวัตถุประสงค์

    องค์กรไม่ควรมอง AI เป็นของเล่น แต่ต้องสื่อสาร-ฝึกอบรมให้ใช้อย่างมีเป้าหมาย  
    • โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ได้อยู่สายเทคโนโลยี

    https://www.techspot.com/news/108350-more-workers-using-ai-but-businesses-struggle-make.html
    ตอนนี้หลายคนเริ่มใช้ AI แบบจริงจังในการทำงาน เช่น ใช้ ChatGPT ทำสรุปรายงาน หรือ Copilot เขียนสไลด์ รายงานจาก Gallup พบว่าในปี 2025 พนักงานในสหรัฐฯ ที่ใช้ AI “อย่างน้อยไม่กี่ครั้งต่อปี” พุ่งจาก 21% → 40% ภายใน 2 ปี ส่วนคนที่ใช้ “ทุกสัปดาห์” เพิ่มเป็น 19% และใช้งาน “ทุกวัน” ก็ถึง 8% แล้ว พนักงานสายคอขาวอย่างเทคโนโลยี การเงิน และผู้บริหารนี่แหละที่ใช้มากสุด โดยเฉพาะผู้จัดการระดับสูงถึง 1 ใน 3 ใช้ AI หลายครั้งต่อสัปดาห์ แต่ที่น่าคิดคือ... มีแค่ 22% เท่านั้นที่บอกว่าองค์กรของตัวเอง “มีแผน AI ที่ชัดเจน” อีก 30% พอมีนโยบายบ้าง แต่เกือบครึ่ง "มึน" ว่าจะใช้ยังไงดี และปัญหาใหญ่ที่พนักงานเจอคือ AI ในที่ทำงาน “ไม่มีประโยชน์ชัดเจน” หลายคนโดนบังคับให้ใช้โดยไม่รู้ว่าได้อะไรกลับมา บางคนบอกตรง ๆ ว่า “เครื่องมือมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”... ด้าน Salesforce ก็มองจากมุมเทคโนโลยี พบว่า AI agent (พวกที่สั่งแล้วทำงานให้ เช่นจัดข้อมูล ตอบอีเมล) แม้จะเก่งขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดเยอะ—โดยเฉพาะ งานที่มีหลายขั้นตอนหรือมีบริบทซับซ้อน เช่น ต้องถามกลับลูกค้า หรือเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า AI Agent ส่วนใหญ่ “ไม่เข้าใจเรื่องข้อมูลลับ” ถ้าเราไม่สั่งให้ปฏิเสธแบบชัดเจน มันอาจเปิดเผยข้อมูลได้ทันที ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ขององค์กร ✅ การใช้งาน AI ในที่ทำงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง   • คนใช้ AI อย่างน้อยปีละไม่กี่ครั้ง: เพิ่มจาก 21% (2023) → 40% (2025)   • พนักงานระดับผู้จัดการ ใช้งานบ่อยกว่าระดับปฏิบัติการเกือบเท่าตัว ✅ องค์กรยังขาดแนวทาง AI ที่ชัดเจน   • มีเพียง 22% เท่านั้นที่บอกว่า “องค์กรมีแผนเกี่ยวกับ AI”   • 70% ของพนักงานยังไม่มีนโยบายชัดเจนหรือการฝึกอบรมเรื่อง AI ✅ ความเชื่อมั่นต่อ AI สูงขึ้นในกลุ่มที่ได้ใช้งานจริง   • คนที่ใช้ AI ตอบลูกค้าโดยตรง เชื่อว่ามันช่วย 68%   • คนที่ไม่เคยใช้ กลับเห็นด้วยแค่ 13% ว่า AI มีประโยชน์ ✅ จากฝั่งเทคโนโลยี: AI agent ทำงานเดี่ยว ๆ ได้ดี แต่ยังล้มเหลวกับงานซับซ้อน   • งานขั้นเดียว: สำเร็จเฉลี่ย 58%   • งานหลายขั้น เช่นถาม–ตอบต่อเนื่อง: สำเร็จเพียง 35% ✅ การใส่ prompt ให้ AI ระวังข้อมูลลับได้ผล แต่ลดความแม่นในการทำงาน   • ระบบจะลังเลหรือยอมปฏิเสธมากเกินไปเมื่อเจอข้อมูลอ่อนไหว ✅ AI ที่มีความสามารถด้านเหตุผลและกล้าถามเพื่อความเข้าใจ จะมีความแม่นยำมากกว่า   • โดยเฉพาะในงานที่ต้องวิเคราะห์ บริบท หรือวางแผนหลายขั้น ‼️ องค์กรที่ผลักดัน AI โดยไม่มี “เป้าหมาย” จะทำให้พนักงานสับสนและต่อต้าน   • ความล้มเหลวของการใช้งาน AI มักมาจากขาดการสื่อสารจากผู้นำ ‼️ เครื่องมือ AI ที่ไม่มีประโยชน์ชัดเจน อาจกลายเป็นภาระมากกว่าความช่วยเหลือ   • ผู้ใช้จะรู้สึกว่า “ถูกรบกวน” มากกว่า “ได้รับการสนับสนุน” ‼️ AI agent ปัจจุบันยังไม่ปลอดภัยเรื่องข้อมูลอ่อนไหว หากไม่มี prompt ป้องกันเฉพาะ   • อาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลที่ควรเป็นความลับ ‼️ AI ที่สื่อสารด้วยคำสั่งหลายขั้น มักพลาดหากไม่มี context หรือการถามกลับ   • มีความเสี่ยงที่ให้คำตอบผิด หรือทำงานไม่ตรงวัตถุประสงค์ ‼️ องค์กรไม่ควรมอง AI เป็นของเล่น แต่ต้องสื่อสาร-ฝึกอบรมให้ใช้อย่างมีเป้าหมาย   • โดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ได้อยู่สายเทคโนโลยี https://www.techspot.com/news/108350-more-workers-using-ai-but-businesses-struggle-make.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    More workers are using AI, but businesses still struggle to make it useful
    Gallup's latest research finds that the use of AI among US employees has nearly doubled over the past two years. In 2023, just 21 percent of workers...
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • อุ๊งอิ๊งค์-ฮุน เซน กินในที่ลับไขในที่แจ้ง

    ท่าทีของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต เพื่อนรักเพื่อนสนิท ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังไทยเสียท่ากับกัมพูชา จากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กัมพูชาปล่อยข่าวมีการหารือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทำคนไทยทั้งประเทศเดือดดาลมาแล้ว ซ้ำด้วยการยื่นคำขาดของ ฮุน เซน ให้ไทยเปิดด่าน ไม่งั้นจะปิดด่านกลับ ไม่มีอะไรใหม่นอกจากทำตัวเป็นนางเอก อ้างว่าปล่อยข่าวแบบนี้ไม่เป็นผลดีทั้งสองประเทศ

    แพทองธารอ้างว่าคุยกันหลังไมค์มีแน่นอน แต่ที่กัมพูชาสื่อสารผ่านโซเชียลฯ ที่นอกกรอบ พูดไทยคำอังกฤษคำ ไม่เป็นโปรเฟสชันแนล เกิดผลลบทั้งสองประเทศ แต่ก็ทำได้แค่ส่งข้อความไปหา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลูกชาย ฮุน เซน ให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระดับกองทัพไปเลยไหม และว่าเคยตกลงกันแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะต้องคุยกันก่อนว่าเอาอย่างไร เพราะคนหน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารคนละคนกัน

    แต่ที่แพทองธารพูดให้คนกัมพูชาที่สนับสนุน ฮุน เซน ด่ากลับ คือ วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก เพราะทุกวันนี้ชาวเขมรพยายามท้าทาย หาเรื่องไทยให้ขึ้นศาลโลก กรณีพื้นที่ 3 ปราสาท 1 ดินแดนที่ไทยจะเสียดินแดน ขณะที่ ฮุน เซน ข่มหลานสาวเพื่อนรักทักษิณแบบเรียบๆ เข้าใจสถานการณ์ในไทย นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีอำนาจเปิด-ปิดด่านชายแดน แต่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มที่ ตั้งแต่รัฐสภาและวุฒิสภา ไปจนถึงฝ่ายบริหารทุกระดับและกองทัพ

    แพทองธารตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมสายบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี สร้าง "ทีมไทยแลนด์" มอนิเตอร์ข่าวสารทั้งหมดและดำเนินการต่างๆ และย้ำว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่คนไทยมากกว่าครึ่งหวาดระแวงรัฐบาล จากความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลฮุนของกัมพูชา และตระกูลชินวัตรของประเทศไทย มีแต่คนไว้ใจกองทัพแต่ไม่ไว้ใจรัฐบาล ไม่เชื่อว่าจะรักษาดินแดนอธิปไตยไว้ได้

    ที่น่าสนใจคือ กรณีที่ ฮุน เซน ตอบโต้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ปรากฎว่าพ่วงด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำเสื้อแดงในลักษณะทวงบุญคุณ เคยให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี การส่งสัญญาณของ ฮุน เซน แสดงให้เห็นว่าทำไมช่วงนี้เพื่อนรักที่ชื่อทักษิณ บิดานายกฯ แพทองธาร ไม่กล้าขยับปากเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อย ฮุน เซน กำความลับของทักษิณเอาไว้ หากวันใดสัมพันธ์ขาดสะบั้น พร้อมส่งสัญญาณ "ไขในที่แจ้ง" ตลอดเวลา

    #Newskit
    อุ๊งอิ๊งค์-ฮุน เซน กินในที่ลับไขในที่แจ้ง ท่าทีของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต เพื่อนรักเพื่อนสนิท ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หลังไทยเสียท่ากับกัมพูชา จากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กัมพูชาปล่อยข่าวมีการหารือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทำคนไทยทั้งประเทศเดือดดาลมาแล้ว ซ้ำด้วยการยื่นคำขาดของ ฮุน เซน ให้ไทยเปิดด่าน ไม่งั้นจะปิดด่านกลับ ไม่มีอะไรใหม่นอกจากทำตัวเป็นนางเอก อ้างว่าปล่อยข่าวแบบนี้ไม่เป็นผลดีทั้งสองประเทศ แพทองธารอ้างว่าคุยกันหลังไมค์มีแน่นอน แต่ที่กัมพูชาสื่อสารผ่านโซเชียลฯ ที่นอกกรอบ พูดไทยคำอังกฤษคำ ไม่เป็นโปรเฟสชันแนล เกิดผลลบทั้งสองประเทศ แต่ก็ทำได้แค่ส่งข้อความไปหา ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลูกชาย ฮุน เซน ให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระดับกองทัพไปเลยไหม และว่าเคยตกลงกันแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะต้องคุยกันก่อนว่าเอาอย่างไร เพราะคนหน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารคนละคนกัน แต่ที่แพทองธารพูดให้คนกัมพูชาที่สนับสนุน ฮุน เซน ด่ากลับ คือ วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก เพราะทุกวันนี้ชาวเขมรพยายามท้าทาย หาเรื่องไทยให้ขึ้นศาลโลก กรณีพื้นที่ 3 ปราสาท 1 ดินแดนที่ไทยจะเสียดินแดน ขณะที่ ฮุน เซน ข่มหลานสาวเพื่อนรักทักษิณแบบเรียบๆ เข้าใจสถานการณ์ในไทย นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีอำนาจเปิด-ปิดด่านชายแดน แต่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มที่ ตั้งแต่รัฐสภาและวุฒิสภา ไปจนถึงฝ่ายบริหารทุกระดับและกองทัพ แพทองธารตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมสายบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี สร้าง "ทีมไทยแลนด์" มอนิเตอร์ข่าวสารทั้งหมดและดำเนินการต่างๆ และย้ำว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่คนไทยมากกว่าครึ่งหวาดระแวงรัฐบาล จากความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลฮุนของกัมพูชา และตระกูลชินวัตรของประเทศไทย มีแต่คนไว้ใจกองทัพแต่ไม่ไว้ใจรัฐบาล ไม่เชื่อว่าจะรักษาดินแดนอธิปไตยไว้ได้ ที่น่าสนใจคือ กรณีที่ ฮุน เซน ตอบโต้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ปรากฎว่าพ่วงด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำเสื้อแดงในลักษณะทวงบุญคุณ เคยให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี การส่งสัญญาณของ ฮุน เซน แสดงให้เห็นว่าทำไมช่วงนี้เพื่อนรักที่ชื่อทักษิณ บิดานายกฯ แพทองธาร ไม่กล้าขยับปากเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อย ฮุน เซน กำความลับของทักษิณเอาไว้ หากวันใดสัมพันธ์ขาดสะบั้น พร้อมส่งสัญญาณ "ไขในที่แจ้ง" ตลอดเวลา #Newskit
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 441 Views 0 Reviews
  • นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ เตือนนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายทักษิณ ชินวัตร ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย หากไม่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม จะให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา อย่าประมาทประชาชน เราไม่รับอำนาจศาลโลก ไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่คนไทยและทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา ถึงเวลาต้องปกป้องอธิปไตยไทย จะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง

    -หนุนกองทัพกำราบเครือญาติ
    -ใช้ความจริงใจคุยกัมพูชา
    -"หมอแอร์"ซื้อยา 80 ล้านบาท
    -เห็นทางรอดคดีชั้น 14
    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ เตือนนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายทักษิณ ชินวัตร ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย หากไม่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นรูปธรรม จะให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกเพื่อจัดการกับกัมพูชา อย่าประมาทประชาชน เราไม่รับอำนาจศาลโลก ไม่ได้คลั่งชาติจะไปรบกับใคร แต่คนไทยและทหารไทยไม่กลัวทหารกัมพูชา ถึงเวลาต้องปกป้องอธิปไตยไทย จะลงถนนก็ไม่ขัดข้อง -หนุนกองทัพกำราบเครือญาติ -ใช้ความจริงใจคุยกัมพูชา -"หมอแอร์"ซื้อยา 80 ล้านบาท -เห็นทางรอดคดีชั้น 14
    Like
    Love
    Wow
    10
    0 Comments 1 Shares 473 Views 26 1 Reviews
  • จากปีนังไปกัวลาลัมเปอร์ รถไฟเร็วกว่าเครื่องบิน?

    การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย เปิดตัวห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจ (Business Class) ที่ชื่อว่า รูบี้ เลาจน์ (Ruby Lounge) ที่สถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของบริการรถไฟ ETS พักคอยแยกจากห้องโถงผู้โดยสารรวม รองรับได้ 40 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งตู้กดน้ำดื่ม เครื่องดื่มร้อน ห้องน้ำแยกเฉพาะ ช่องปลั๊กไฟ โดยจะเปิดให้ผู้โดยสารชั้นธุรกิจเข้าใช้บริการก่อนเวลารถไฟออก 1 ชั่วโมง นับเป็นแห่งที่สองต่อจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์

    บริการถไฟ ETS ชั้นธุรกิจ (Business Class) ขบวน Platinum (EP) และ Express (EX) ไปยังปลายทางกรุงกัวลาลัมเปอร์ และสถานีเซกามัต รัฐยะโฮร์ แต่ละขบวนจะมีที่นั่งชั้นธุรกิจ 36 ที่นั่ง นอกจากผู้โดยสารจะได้ใช้บริการ Ruby Lounge แล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งที่นั่งกว้างขึ้น ไฟอ่านหนังสือ ช่องเสียบปลั๊กและยูเอสบี หน้าจอส่วนตัว โดยจ่ายในราคาที่สูงกว่าที่นั่งปกติ แต่ระหว่างการเดินทางมีอาหารและของว่างให้บริการตลอดการเดินทาง ปัจจุบันค่าโดยสารชั้นธุรกิจระหว่างบัตเตอร์เวิร์ธ ถึง KL Sentral ราคาเริ่มต้นที่ 167-176 ริงกิตต่อเที่ยว (1,286-1,355 บาท)

    ที่ผ่านมามีผู้โดยสารจากปีนังส่วนหนึ่งนิยมใช้บริการรถไฟ ETS แทนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะเมื่อเทียบกับการเดินทางไปสนามบินปีนัง การรอเที่ยวบินและพบปัญหาเที่ยวบินล่าช้า และการเดินทางจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KUL) หรือสนามบินซูบัง (SZB) ไปยังใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์นั้นยุ่งยากและเสียเวลาพอกัน เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยรถไฟใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเศษเท่านั้น นอกจากนี้ยังนั่งสบายกว่าเครื่องบิน ผู้โดยสารส่วนมากเป็นบุคคลวีไอพีและนักธุรกิจ

    นูรูล อัซฮา โมคมิน (Nurul Azha Mokmin) ผู้จัดการทั่วไปแผนกบริการ ETS และ Intercity ของ KTMB กล่าวกับสำนักข่าวเบอร์นามา ว่าจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟ ETS เพิ่มขึ้น 10% ต่อปี และยังคงมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโครงการรถไฟทางคู่เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู กำลังจะแล้วเสร็จ ก่อนหน้านี้ KTMB ได้รับมอบขบวนรถไฟ ETS ใหม่จำนวน 2 ชุด จากทั้งหมด 10 ชุด มูลค่า 400 ล้านริงกิต เพื่อยกระดับคุณภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ขณะนี้อยู่ในระหว่างทดสอบการให้บริการ คาดว่าจะเริ่มให้บริการเส้นทางเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bharu) ตั้งแต่ปี 2569 หลังจากนั้นจะเปิดเส้นทางใหม่ ยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวิร์ธ และยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์อีกด้วย

    #Newskit
    จากปีนังไปกัวลาลัมเปอร์ รถไฟเร็วกว่าเครื่องบิน? การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ประเทศมาเลเซีย เปิดตัวห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจ (Business Class) ที่ชื่อว่า รูบี้ เลาจน์ (Ruby Lounge) ที่สถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารชั้นธุรกิจของบริการรถไฟ ETS พักคอยแยกจากห้องโถงผู้โดยสารรวม รองรับได้ 40 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งตู้กดน้ำดื่ม เครื่องดื่มร้อน ห้องน้ำแยกเฉพาะ ช่องปลั๊กไฟ โดยจะเปิดให้ผู้โดยสารชั้นธุรกิจเข้าใช้บริการก่อนเวลารถไฟออก 1 ชั่วโมง นับเป็นแห่งที่สองต่อจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ บริการถไฟ ETS ชั้นธุรกิจ (Business Class) ขบวน Platinum (EP) และ Express (EX) ไปยังปลายทางกรุงกัวลาลัมเปอร์ และสถานีเซกามัต รัฐยะโฮร์ แต่ละขบวนจะมีที่นั่งชั้นธุรกิจ 36 ที่นั่ง นอกจากผู้โดยสารจะได้ใช้บริการ Ruby Lounge แล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งที่นั่งกว้างขึ้น ไฟอ่านหนังสือ ช่องเสียบปลั๊กและยูเอสบี หน้าจอส่วนตัว โดยจ่ายในราคาที่สูงกว่าที่นั่งปกติ แต่ระหว่างการเดินทางมีอาหารและของว่างให้บริการตลอดการเดินทาง ปัจจุบันค่าโดยสารชั้นธุรกิจระหว่างบัตเตอร์เวิร์ธ ถึง KL Sentral ราคาเริ่มต้นที่ 167-176 ริงกิตต่อเที่ยว (1,286-1,355 บาท) ที่ผ่านมามีผู้โดยสารจากปีนังส่วนหนึ่งนิยมใช้บริการรถไฟ ETS แทนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะเมื่อเทียบกับการเดินทางไปสนามบินปีนัง การรอเที่ยวบินและพบปัญหาเที่ยวบินล่าช้า และการเดินทางจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ (KUL) หรือสนามบินซูบัง (SZB) ไปยังใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์นั้นยุ่งยากและเสียเวลาพอกัน เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยรถไฟใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเศษเท่านั้น นอกจากนี้ยังนั่งสบายกว่าเครื่องบิน ผู้โดยสารส่วนมากเป็นบุคคลวีไอพีและนักธุรกิจ นูรูล อัซฮา โมคมิน (Nurul Azha Mokmin) ผู้จัดการทั่วไปแผนกบริการ ETS และ Intercity ของ KTMB กล่าวกับสำนักข่าวเบอร์นามา ว่าจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟ ETS เพิ่มขึ้น 10% ต่อปี และยังคงมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโครงการรถไฟทางคู่เกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู กำลังจะแล้วเสร็จ ก่อนหน้านี้ KTMB ได้รับมอบขบวนรถไฟ ETS ใหม่จำนวน 2 ชุด จากทั้งหมด 10 ชุด มูลค่า 400 ล้านริงกิต เพื่อยกระดับคุณภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ขณะนี้อยู่ในระหว่างทดสอบการให้บริการ คาดว่าจะเริ่มให้บริการเส้นทางเกอมัส-ยะโฮร์บาห์รู (Gemas-Johor Bharu) ตั้งแต่ปี 2569 หลังจากนั้นจะเปิดเส้นทางใหม่ ยะโฮร์บาห์รู-บัตเตอร์เวิร์ธ และยะโฮร์บาห์รู-ปาดังเบซาร์อีกด้วย #Newskit
    0 Comments 0 Shares 330 Views 0 Reviews
  • AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต
    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ

    แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น

    Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี

    OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี
    - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน
    - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล
    - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด
    - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย
    - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง
    - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร

    AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    🤖 AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    WWW.NEOWIN.NET
    Sam Altman says AI could soon help with discovering new knowledge
    OpenAI CEO Sam Altman looks pretty optimistic about AI's capability to help humans discover new knowledge.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดทีมสาธารณภัย-หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลุยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยธรรมชาติภาคเหนือ อีสาน และกลาง แจกจ่ายน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท
    .
    วานนี้ (วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย แผนกบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมัน น้ำปลา และปลากระป๋อง บรรจุถุงผ้ามูลนิธิฯ ให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวม 600 ชุด พร้อมจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมี นางสาวชลธิชา วงษ์อุตสาห์ นายอำเภอเลาขวัญ พร้อมด้วยคณะอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณวัดศรีพนมเทียน (ห้วยรวก) ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
    .
    โดยระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยประชาชนหลังประเทศเกิดภัยธรรมชาติในหลากหลายพื้นที่ จึงมอบหมายให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย คุณศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย แผนกบรรเทาสาธารณภัย และแผนกอาสาสมัคร จัดทีมพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคอีสาน และ ภาคกลาง ประกอบด้วย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ราชบุรี และ กาญจนบุรี รวม 29 จังหวัด 20,200 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,110,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งสมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัคร ออกหน่วยมให้บริการประชาชนฟรีในหลากหลายพื้นที่ ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนให้ความสนใจและเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    #แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418
    #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดทีมสาธารณภัย-หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลุยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยธรรมชาติภาคเหนือ อีสาน และกลาง แจกจ่ายน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่ากว่า 11 ล้านบาท . วานนี้ (วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย แผนกบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมัน น้ำปลา และปลากระป๋อง บรรจุถุงผ้ามูลนิธิฯ ให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวม 600 ชุด พร้อมจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมี นางสาวชลธิชา วงษ์อุตสาห์ นายอำเภอเลาขวัญ พร้อมด้วยคณะอาสาสมัครเฉพาะกิจมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณวัดศรีพนมเทียน (ห้วยรวก) ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี . โดยระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2568 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยประชาชนหลังประเทศเกิดภัยธรรมชาติในหลากหลายพื้นที่ จึงมอบหมายให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย คุณศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมเจ้าหน้าที่แผนกสาธารณภัย แผนกบรรเทาสาธารณภัย และแผนกอาสาสมัคร จัดทีมพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติ ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคอีสาน และ ภาคกลาง ประกอบด้วย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ราชบุรี และ กาญจนบุรี รวม 29 จังหวัด 20,200 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 11,110,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งสมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัคร ออกหน่วยมให้บริการประชาชนฟรีในหลากหลายพื้นที่ ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนให้ความสนใจและเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” #แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 Comments 0 Shares 562 Views 0 Reviews
  • AI กำลังกลายเป็นอาวุธลับของพนักงาน
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการทำงาน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร อย่างไรก็ตาม มีพนักงานจำนวนมากที่เลือกใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้บริหารทราบ

    จากการสำรวจของ Ivanti พบว่า หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ โดยมีเหตุผลหลักสองประการ:

    1) 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน
    2) 30% กังวลว่าการเปิดเผยการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน

    นอกจากนี้ 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ในการทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว และในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ตัวเลขนี้สูงถึง 74%

    ข้อมูลจากข่าว
    - หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ
    - 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน
    - 30% กังวลว่าการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน
    - 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว
    - 74% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI อย่างลับ ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - องค์กรอาจสูญเสียการควบคุมข้อมูลสำคัญ หากพนักงานใช้ AI โดยไม่มีมาตรการป้องกัน
    - 52% ของพนักงานเชื่อว่าการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหมายถึงการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน
    - องค์กรต้องพัฒนาแนวทางการใช้ AI ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและจริยธรรม

    AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร แต่หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร องค์กรควร ส่งเสริมการใช้ AI อย่างโปร่งใสและมีมาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/03/ai-is-becoming-a-secret-weapon-for-workers
    🤖 AI กำลังกลายเป็นอาวุธลับของพนักงาน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตการทำงาน โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร อย่างไรก็ตาม มีพนักงานจำนวนมากที่เลือกใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้บริหารทราบ จากการสำรวจของ Ivanti พบว่า หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ โดยมีเหตุผลหลักสองประการ: 1) 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน 2) 30% กังวลว่าการเปิดเผยการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน นอกจากนี้ 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ในการทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว และในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ตัวเลขนี้สูงถึง 74% ✅ ข้อมูลจากข่าว - หนึ่งในสามของพนักงานใช้ AI โดยไม่แจ้งให้ผู้จัดการทราบ - 36% ใช้ AI เพื่อให้ได้เปรียบเหนือเพื่อนร่วมงาน - 30% กังวลว่าการใช้ AI อาจทำให้พวกเขาสูญเสียงาน - 42% ของพนักงานออฟฟิศใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 16% จากปีที่แล้ว - 74% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ใช้ AI ในการทำงาน เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI อย่างลับ ๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - องค์กรอาจสูญเสียการควบคุมข้อมูลสำคัญ หากพนักงานใช้ AI โดยไม่มีมาตรการป้องกัน - 52% ของพนักงานเชื่อว่าการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหมายถึงการทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน - องค์กรต้องพัฒนาแนวทางการใช้ AI ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและจริยธรรม AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานขององค์กร แต่หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร องค์กรควร ส่งเสริมการใช้ AI อย่างโปร่งใสและมีมาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/03/ai-is-becoming-a-secret-weapon-for-workers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI is becoming a secret weapon for workers
    Artificial intelligence is gradually becoming part of everyday working life, promising productivity gains and a transformation of working methods. Between enthusiasm and caution, companies are trying to harness this revolutionary technology and integrate it into their processes.
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • "ศิริชัย" หนุ่มใหญ่นักธุรกิจลพบุรี
    แสดงความ
    ยินดีเปิดร้าน
    "the winner ผับ"
    แนวเพลงยุค 90
    /////////////////////

    ศิริชัย อัมพร นักธุรกิจหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านสกายเวย์ ขายอะไหล่รถจักรยานยนต์รายใหญ่จังหวัดลพบุรี ไปแสดงความยินดีและอวยพรเปิดร้าน
    the winner ผับ
    แนวเพลงยุค 90
    สามารถ ทองสกุล บริหารงานร้านthe winner ผับ

    เมื่อเวลา 11.00 น ในวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายศิริชัย อัมพร เจ้าของร้านสกายเวย์ ร้านจำหน่ายอะไหล่รายใหญ่ในจังหวัดลพบุรี
    เดินทาง มอบของที่ระลึก แสดงความยินดีให้แก่ นายสามารถ ทองสกุล บริษัทสามารถ-ศักดิ์สิริ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด เปิดร้าน
    the winner ผับ
    แนวเพลงยุค 90
    ในโอกาสเปิดร้านใหม่ ใจกลางเมืองลพบุรี เป็นแหล่งบันเทิงแหล่งใหม่ของจังหวัดลพบุรียางค่ำคืนสไตล์เพลงยุค 90 ตกแต่งภายในร้านเรียบง่ายแต่หรูหรา
    บรรยากาศ ช่วงเพลได้มีการเลี้ยงพระ ณ ร้านthe winner ผับ ไปร้านกลางคืน แนวเพลงยุค 90 ร้านตั้งอยู่ที่ ตำบลป่าตาล อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เส้นทางสะพาน 33 มาเส้นทางสะพาน 8 อยู่ขวามือ
    ด้าน นายสามารถ ทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท
    สามารถ-ศักดิ์สิริ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้าน the winner ผับ เปิดใจกับผู้สื่อข่าวตอนหนึ่งว่า ขอเชิญคนลพบุรี ที่ชอบแนวเพลงยุค 80-90 ทาง
    the winner ลพบุรี พร้อมบริการ ด้านดนตรี
    เพลงเก่า เพลงคลาสสิค ที่หาฟังยากในยุคปัจจุบัน เชิญได้ที่ร้านthe winner ลพบุรี
    เรามีรูปการจัดร้าน และ จะไม่มีเหมือนใคร แฟนคลับแฟนเพลง
    ที่เพลงยุคเก่าๆ
    ทั้งเพลงไทยเพลงสากล เชิญที่นี่ร้าน the winner ลพบุรี ยินดีต้อนรับทุกท่านเมื่อครอบครัวของเรา
    เปิดบริการตั้งแต่ 5 โมงเช้า ภาคเช้าเราบริการขายสเต็ก และกาแฟเย็นและกาแฟร้อน ขอเชิญชวนมาชิมสเต็ก ของเรานั้นอร่อยเนื้อนุ่ม สดมาจากฟาร์ม ภาคกลางคืนมีดนตรีสด เราเล่นตั้งแต่ 20:00 น เป็นต้นไป มีดนตรีโฟล์คซอง วงทรีซันเต็มวง ทั้งเพลงไทยเพลงสากล ยุค80-90 ท่านที่ไหนไม่ได้ต้องที่ร้านthe winner ผับลพบุรี เท่านั้น
    ขอขอเชิญชวนคนลพบุรีมาสัมผัส ท่านจะคิดถึงยุคเก่าๆอย่างแน่นอน
    นายสามารถ ทองสกุล เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า
    ทางร้านthe winner ผับ ลพบุรี ในวันที่ 31 พฤษภาคม ศกนี้
    ฉลองเปิดร้าน The winner pub
    ศิลปินนักร้องชื่อดัง เสือ ธนพล ยุค 90 ราคาค่าโต๊ะ 2,500 บาท นั่งหน้า 4 ท่าน เสริมเก้าอี้ 500 บาท จองโต๊ะรับ
    Sing แสงโสม 1 + โอ๊ก 1 - โซดา 3 - น้ำเปล่า 1 + น้ำแข็ง 1+ 1 ถั่ว จาน สอบถามเพิ่มเติม
    081-852-7176 คุณก้อย, 083-415-8789 คุณเกษ, 095-616-0446 คุณพลอย
    "ศิริชัย" หนุ่มใหญ่นักธุรกิจลพบุรี แสดงความ ยินดีเปิดร้าน "the winner ผับ" แนวเพลงยุค 90 ///////////////////// ศิริชัย อัมพร นักธุรกิจหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านสกายเวย์ ขายอะไหล่รถจักรยานยนต์รายใหญ่จังหวัดลพบุรี ไปแสดงความยินดีและอวยพรเปิดร้าน the winner ผับ แนวเพลงยุค 90 สามารถ ทองสกุล บริหารงานร้านthe winner ผับ เมื่อเวลา 11.00 น ในวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายศิริชัย อัมพร เจ้าของร้านสกายเวย์ ร้านจำหน่ายอะไหล่รายใหญ่ในจังหวัดลพบุรี เดินทาง มอบของที่ระลึก แสดงความยินดีให้แก่ นายสามารถ ทองสกุล บริษัทสามารถ-ศักดิ์สิริ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด เปิดร้าน the winner ผับ แนวเพลงยุค 90 ในโอกาสเปิดร้านใหม่ ใจกลางเมืองลพบุรี เป็นแหล่งบันเทิงแหล่งใหม่ของจังหวัดลพบุรียางค่ำคืนสไตล์เพลงยุค 90 ตกแต่งภายในร้านเรียบง่ายแต่หรูหรา บรรยากาศ ช่วงเพลได้มีการเลี้ยงพระ ณ ร้านthe winner ผับ ไปร้านกลางคืน แนวเพลงยุค 90 ร้านตั้งอยู่ที่ ตำบลป่าตาล อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เส้นทางสะพาน 33 มาเส้นทางสะพาน 8 อยู่ขวามือ ด้าน นายสามารถ ทองสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท สามารถ-ศักดิ์สิริ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้าน the winner ผับ เปิดใจกับผู้สื่อข่าวตอนหนึ่งว่า ขอเชิญคนลพบุรี ที่ชอบแนวเพลงยุค 80-90 ทาง the winner ลพบุรี พร้อมบริการ ด้านดนตรี เพลงเก่า เพลงคลาสสิค ที่หาฟังยากในยุคปัจจุบัน เชิญได้ที่ร้านthe winner ลพบุรี เรามีรูปการจัดร้าน และ จะไม่มีเหมือนใคร แฟนคลับแฟนเพลง ที่เพลงยุคเก่าๆ ทั้งเพลงไทยเพลงสากล เชิญที่นี่ร้าน the winner ลพบุรี ยินดีต้อนรับทุกท่านเมื่อครอบครัวของเรา เปิดบริการตั้งแต่ 5 โมงเช้า ภาคเช้าเราบริการขายสเต็ก และกาแฟเย็นและกาแฟร้อน ขอเชิญชวนมาชิมสเต็ก ของเรานั้นอร่อยเนื้อนุ่ม สดมาจากฟาร์ม ภาคกลางคืนมีดนตรีสด เราเล่นตั้งแต่ 20:00 น เป็นต้นไป มีดนตรีโฟล์คซอง วงทรีซันเต็มวง ทั้งเพลงไทยเพลงสากล ยุค80-90 ท่านที่ไหนไม่ได้ต้องที่ร้านthe winner ผับลพบุรี เท่านั้น ขอขอเชิญชวนคนลพบุรีมาสัมผัส ท่านจะคิดถึงยุคเก่าๆอย่างแน่นอน นายสามารถ ทองสกุล เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ทางร้านthe winner ผับ ลพบุรี ในวันที่ 31 พฤษภาคม ศกนี้ ฉลองเปิดร้าน The winner pub ศิลปินนักร้องชื่อดัง เสือ ธนพล ยุค 90 ราคาค่าโต๊ะ 2,500 บาท นั่งหน้า 4 ท่าน เสริมเก้าอี้ 500 บาท จองโต๊ะรับ Sing แสงโสม 1 + โอ๊ก 1 - โซดา 3 - น้ำเปล่า 1 + น้ำแข็ง 1+ 1 ถั่ว จาน สอบถามเพิ่มเติม 081-852-7176 คุณก้อย, 083-415-8789 คุณเกษ, 095-616-0446 คุณพลอย
    0 Comments 0 Shares 391 Views 2 0 Reviews
  • มทร.อีสาน จัดประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE
    .
    วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมแคนา 1 ชั้น 3 อาคารสำนักงานอธิการบดี (อาคาร 19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา มทร.อีสาน จัดการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดยมี รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวต้อนรับ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานการประชุมฯ, นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) พร้อมคณะ, นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน พร้อมคณะ, นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด พร้อมคณะ, คุณธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, นายบุญส่ง สุทธิโตคร ผู้อำนวยการสำนักช่าง สำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา, ดร.ธีรพงศ์ คณาศักดิ์ รองประธานฝ่ายบริหารและสื่อสารองค์กร หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณไพสิทธิ์ ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, คุณอาทิตย์ ชามขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด, นายจำนงค์ แสงเงิน หัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2, คุณบัญชา กันหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา, คุณขจร ศิวรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมระบบราง, คุณวัฒนา สมานจิตร อุปนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย, ดร.สุรวุฒิ เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัยคอร์ปอเรชั่น จำกัด
    .
    โดยในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.อภิชิต คำภาหล้า คณบดีคณะระบบรางและการขนส่ง ได้ร่วมกัน นำเสนอจุดประสงค์ของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ และนำเสนอศูนย์ความร่วมมือทางวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE และทางด้าน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) โดย นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) ได้นำเสนอจุดเด่นทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ระบบขนส่ง DRT และรถไฟฟ้ารางเบา รวมถึงแนวคิดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของขบวนรถไฟ จากนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ได้กล่าวถึง ภาพรวมของสถาบัน NIRT จุดแข็งของหลักสูตร และแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัยระบบรางจีน–ไทย (NIRT สาขาต่างประเทศ) โดย นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน ทั้งนี้ นอกจากจะร่วมประชุมหารือด้านความร่วมมือระหว่างกันแล้วยังได้มี การการหารือการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) และ แผนรถไฟฟ้ารางเบาในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดย นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด ยังได้นำเสนอ เรื่อง การวางแผนผลักดันจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นจังหวัดหลักด้านอุตสาหกรรมระบบราง โดยอาศัยโอกาสความร่วมมือจากทั้ง 4 ฝ่าย และการดำเนินโครงการระบบ DRT สำหรับมหกรรมพืชสวนโลกอีกด้วย
    .
    นอกจากนี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ยังได้ให้เกียรติเป็นประธานมอบป้ายสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE แก่ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC), สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT), บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด
    .
    ภายหลังการประชุม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “ในนามของจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้การนำของ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า ก่อให้เกิดแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในระดับประเทศและนานาชาติ ทั้งยังได้ริเริ่มสานสัมพันธ์อันดีระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา พันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยีและระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง จนได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในด้านระบบคมนาคมขนส่ง การมีสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบรางในพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของจังหวัดและภูมิภาค ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
    .
    ด้าน รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้เปิดเผยว่า "สำหรับการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการ และพิธีส่งมอบป้ายการจัดตั้ง สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ต้องขอขอบคุณจังหวัดนครราชสีมาที่ได้ให้ความสำคัญกับ มทร.อีสาน เสมอมา ในความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาควิจัย ทั้งในและต่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านระบบรางให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล"
    .
    "ทั้งนี้ การที่ มทร.อีสาน ได้พันธมิตรในการร่วมพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EV เช่น บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ด้านการขนส่งทางราง เช่น บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. หรือ CRRC เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางราง และเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์รถไฟของจีน และสถาบันที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีและการจัดการระบบราง เช่น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองและมีระดับการพัฒนาระบบรถไฟสูงที่สุดในประเทศจีน ดังนั้น การจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE” แห่งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติต่อไป" รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวเพิ่มเติม
    มทร.อีสาน จัดประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE . วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมแคนา 1 ชั้น 3 อาคารสำนักงานอธิการบดี (อาคาร 19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา มทร.อีสาน จัดการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดยมี รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวต้อนรับ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานการประชุมฯ, นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) พร้อมคณะ, นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน พร้อมคณะ, นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด พร้อมคณะ, คุณธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, นายบุญส่ง สุทธิโตคร ผู้อำนวยการสำนักช่าง สำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา, ดร.ธีรพงศ์ คณาศักดิ์ รองประธานฝ่ายบริหารและสื่อสารองค์กร หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณไพสิทธิ์ ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, คุณอาทิตย์ ชามขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด, นายจำนงค์ แสงเงิน หัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2, คุณบัญชา กันหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา, คุณขจร ศิวรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมระบบราง, คุณวัฒนา สมานจิตร อุปนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย, ดร.สุรวุฒิ เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัยคอร์ปอเรชั่น จำกัด . โดยในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.อภิชิต คำภาหล้า คณบดีคณะระบบรางและการขนส่ง ได้ร่วมกัน นำเสนอจุดประสงค์ของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ และนำเสนอศูนย์ความร่วมมือทางวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE และทางด้าน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) โดย นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) ได้นำเสนอจุดเด่นทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ระบบขนส่ง DRT และรถไฟฟ้ารางเบา รวมถึงแนวคิดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของขบวนรถไฟ จากนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ได้กล่าวถึง ภาพรวมของสถาบัน NIRT จุดแข็งของหลักสูตร และแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัยระบบรางจีน–ไทย (NIRT สาขาต่างประเทศ) โดย นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน ทั้งนี้ นอกจากจะร่วมประชุมหารือด้านความร่วมมือระหว่างกันแล้วยังได้มี การการหารือการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) และ แผนรถไฟฟ้ารางเบาในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดย นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด ยังได้นำเสนอ เรื่อง การวางแผนผลักดันจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นจังหวัดหลักด้านอุตสาหกรรมระบบราง โดยอาศัยโอกาสความร่วมมือจากทั้ง 4 ฝ่าย และการดำเนินโครงการระบบ DRT สำหรับมหกรรมพืชสวนโลกอีกด้วย . นอกจากนี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ยังได้ให้เกียรติเป็นประธานมอบป้ายสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE แก่ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC), สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT), บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด . ภายหลังการประชุม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “ในนามของจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้การนำของ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า ก่อให้เกิดแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในระดับประเทศและนานาชาติ ทั้งยังได้ริเริ่มสานสัมพันธ์อันดีระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา พันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยีและระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง จนได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในด้านระบบคมนาคมขนส่ง การมีสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบรางในพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของจังหวัดและภูมิภาค ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” . ด้าน รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้เปิดเผยว่า "สำหรับการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการ และพิธีส่งมอบป้ายการจัดตั้ง สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ต้องขอขอบคุณจังหวัดนครราชสีมาที่ได้ให้ความสำคัญกับ มทร.อีสาน เสมอมา ในความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาควิจัย ทั้งในและต่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านระบบรางให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล" . "ทั้งนี้ การที่ มทร.อีสาน ได้พันธมิตรในการร่วมพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EV เช่น บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ด้านการขนส่งทางราง เช่น บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. หรือ CRRC เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางราง และเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์รถไฟของจีน และสถาบันที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีและการจัดการระบบราง เช่น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองและมีระดับการพัฒนาระบบรถไฟสูงที่สุดในประเทศจีน ดังนั้น การจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE” แห่งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติต่อไป" รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวเพิ่มเติม
    0 Comments 0 Shares 631 Views 0 Reviews
  • “ดอนเมืองโทลล์เวย์”แจ้งตลาดฯ ยื่นอนุญาโตตุลาการฟ้องกรมทางหลวง ชดเชย ผลกระทบโควิดช่วงปี 63-65 เป็นเงิน 2.3 พันล้านบาท “สุริยะ”ยันต้องดำเนินการภายใต้ผลประโยชน์ของรัฐมากที่สุด

    รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงนามโดยนายศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เรื่องการยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อใช้สิทธิและปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง – ดอนเมือง (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) (‘สัญญาสัมปทาน”) ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัทฯ เพื่อให้กรมทางหลวง แก้ไขผลเสียต่อฐานะทางการของบริษัทฯ โดยยื่นคำเสนอข้อพิพาทวันที่ 27 พฤษภาคม 2568

    โดยระบุว่า บริษัทฯ เป็นผู้รับสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) จากกรมทางหลวง รวม 2 ตอน ได้แก่ สัมปทานทางหลวงตอนดินแดง – ดอนเมือง และสัมปทาน ทางหลวงตอนดอนเมือง – อนุสรณ์สถาน โดยระหว่างอายุสัญญาสัมปทานในปี 2563 ถึงปี 2565 ปรากฎการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาสัมปทาน ส่งผลให้ปริมาณการจราจรที่ใช้ทางหลวงสัมปทานทางหลวงเดิมและทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาสัมปทานโดยแจ้งเหตุสุดวิสัยให้กรมทางหลวงทราบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000050355

    #MGROnline #ดอนเมืองโทลล์เวย์ #ทางยกระดับดอนเมือง
    “ดอนเมืองโทลล์เวย์”แจ้งตลาดฯ ยื่นอนุญาโตตุลาการฟ้องกรมทางหลวง ชดเชย ผลกระทบโควิดช่วงปี 63-65 เป็นเงิน 2.3 พันล้านบาท “สุริยะ”ยันต้องดำเนินการภายใต้ผลประโยชน์ของรัฐมากที่สุด • รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) (DMT) หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงนามโดยนายศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เรื่องการยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อใช้สิทธิและปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง – ดอนเมือง (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) (‘สัญญาสัมปทาน”) ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัทฯ เพื่อให้กรมทางหลวง แก้ไขผลเสียต่อฐานะทางการของบริษัทฯ โดยยื่นคำเสนอข้อพิพาทวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 • โดยระบุว่า บริษัทฯ เป็นผู้รับสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) จากกรมทางหลวง รวม 2 ตอน ได้แก่ สัมปทานทางหลวงตอนดินแดง – ดอนเมือง และสัมปทาน ทางหลวงตอนดอนเมือง – อนุสรณ์สถาน โดยระหว่างอายุสัญญาสัมปทานในปี 2563 ถึงปี 2565 ปรากฎการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาสัมปทาน ส่งผลให้ปริมาณการจราจรที่ใช้ทางหลวงสัมปทานทางหลวงเดิมและทางหลวงสัมปทานตอนต่อขยายทางด้านทิศเหนือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาสัมปทานโดยแจ้งเหตุสุดวิสัยให้กรมทางหลวงทราบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/business/detail/9680000050355 • #MGROnline #ดอนเมืองโทลล์เวย์ #ทางยกระดับดอนเมือง
    0 Comments 0 Shares 375 Views 0 Reviews
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพมูลค่ากว่า 3 แสนบาท แก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
    .
    วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร รวม 2 แห่ง 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 393,570 บาท (สามแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยมี นางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว (ผู้แทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ นางสาวพรมณี พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง นางอภิรดี สุสุทธิ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี
    .
    นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ “ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว” มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    #ป่อเต็กตึ๊งช่วยชีวิตรักษาชีวิตสร้างชีวิต
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
    #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพมูลค่ากว่า 3 แสนบาท แก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร . วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร รวม 2 แห่ง 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 393,570 บาท (สามแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยมี นางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว (ผู้แทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ นางสาวพรมณี พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง นางอภิรดี สุสุทธิ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี . นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ “ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว” มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . #ป่อเต็กตึ๊งช่วยชีวิตรักษาชีวิตสร้างชีวิต #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 Comments 0 Shares 582 Views 0 Reviews
  • นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา เผยถึงภาพนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการกอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ชัดเจนว่ามาร่วมกันทำงานให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้พุ่งตรงรัฐบาล แต่พุ่งตรงต่อปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองที่นักการเมืองทุกพรรคแก้ไขไม่ได้ ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามโชว์ว่าตัวเองมีบทบาท แม้จะมีคดีชั้น 14 โดยจะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติดในวันที่ 27 พ.ค. นี้ รัฐมนตรีที่เชิญนายทักษิณต้องอ่านรัฐธรรมนูญ ม.160 ว่าจะผิดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ทั้งที่ใช้กำปั้นสังหารไปกว่า 2,000 ศพ แล้วเชิญคนอย่างนี้มาบรรยายการแก้ปัญหายาเสพติด สะท้อนจิตสำนึกของรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หากนายทักษิณไม่เดินทางไปศาล สิ่งที่ศาลจะดำเนินการคือออกหมายจับ

    -พวกเราแค่หายใจแรงก็ผิด
    -ส่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหาคดีนอมินี
    -นายกต้องออกคำสั่ง
    -สหรัฐต้องการรถถัง-เอไอ
    นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา เผยถึงภาพนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการกอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ชัดเจนว่ามาร่วมกันทำงานให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ได้พุ่งตรงรัฐบาล แต่พุ่งตรงต่อปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองที่นักการเมืองทุกพรรคแก้ไขไม่ได้ ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามโชว์ว่าตัวเองมีบทบาท แม้จะมีคดีชั้น 14 โดยจะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติดในวันที่ 27 พ.ค. นี้ รัฐมนตรีที่เชิญนายทักษิณต้องอ่านรัฐธรรมนูญ ม.160 ว่าจะผิดมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ทั้งที่ใช้กำปั้นสังหารไปกว่า 2,000 ศพ แล้วเชิญคนอย่างนี้มาบรรยายการแก้ปัญหายาเสพติด สะท้อนจิตสำนึกของรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 13 มิ.ย.นี้ หากนายทักษิณไม่เดินทางไปศาล สิ่งที่ศาลจะดำเนินการคือออกหมายจับ -พวกเราแค่หายใจแรงก็ผิด -ส่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหาคดีนอมินี -นายกต้องออกคำสั่ง -สหรัฐต้องการรถถัง-เอไอ
    Like
    Love
    7
    0 Comments 0 Shares 656 Views 32 0 Reviews
  • "สนธิ" กอด "จตุพร" ไม่สำคัญแค่คนใจตรงกัน : [THE MESSAGE]
    นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล เผยกรณีภาพนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ กอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน รับเป็นน้องชาย เพราะยอมรับว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนเลว ทั้งสองคนมีทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว จึงไม่อยากวิจารณ์ พวกเราแค่หายใจแรงก็ผิดแล้ว เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ ต่อให้ไม่กอดกันก็รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนที่ว่าจากคนที่เป็นฝ่ายเดียวกันต้องมาอยู่ตรงข้ามกัน คนที่พอใจกันก็อยู่ด้วยกันได้ ส่วนคนที่ติดค้างในใจหลายเรื่อง เมื่อมาขอแล้วไม่ได้อะไรบางอย่าง ก็กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องปกติ มีหลายคู่หลายคน ส่วนที่ว่ารวมตัวเพื่อ ประโยชน์ของประเทศชาติ ขออย่าทำให้การเมืองกลับไปเป็นเหมือนในอดีต เกิดความแตกแยก ชุมนุมประท้วง ก่อปัญหามากมาย
    พร้อมยืนยันไม่กังวลศาลนัดไต่สวนนายทักษิณ วันที่ 13 มิ.ย.นี้ มั่นใจกระบวนการถูกต้อง
    "สนธิ" กอด "จตุพร" ไม่สำคัญแค่คนใจตรงกัน : [THE MESSAGE] นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล เผยกรณีภาพนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ กอดกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน รับเป็นน้องชาย เพราะยอมรับว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนเลว ทั้งสองคนมีทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว จึงไม่อยากวิจารณ์ พวกเราแค่หายใจแรงก็ผิดแล้ว เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ ต่อให้ไม่กอดกันก็รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนที่ว่าจากคนที่เป็นฝ่ายเดียวกันต้องมาอยู่ตรงข้ามกัน คนที่พอใจกันก็อยู่ด้วยกันได้ ส่วนคนที่ติดค้างในใจหลายเรื่อง เมื่อมาขอแล้วไม่ได้อะไรบางอย่าง ก็กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องปกติ มีหลายคู่หลายคน ส่วนที่ว่ารวมตัวเพื่อ ประโยชน์ของประเทศชาติ ขออย่าทำให้การเมืองกลับไปเป็นเหมือนในอดีต เกิดความแตกแยก ชุมนุมประท้วง ก่อปัญหามากมาย พร้อมยืนยันไม่กังวลศาลนัดไต่สวนนายทักษิณ วันที่ 13 มิ.ย.นี้ มั่นใจกระบวนการถูกต้อง
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 585 Views 25 0 Reviews
  • นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ประกาศกลางเวที"ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568" ถึงการช่วยเหลือประชาชนที่โดนอำนาจรัฐรังแกไม่ได้รับความยุติธรรม ไร้ที่พึ่ง ผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจข่มขู่โดยไม่มีทางต่อสู้ โดยได้ตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขับเคลื่อนการให้ความ ช่วยเหลือ เป็นมูลนิธิที่ทำเพื่อสังคม พร้อมช่วยเหลือทุกกระบวนการที่อยุติธรรมขององค์กรรัฐที่เบียดเบียนประชาชน ขอหยัดยืนเคียงข้างประชาชน เป็นอนุสรณ์ที่ทุกคนจะจดจำ ประเทศไทยไม่ได้บอบช้ำอย่างเดียว แต่ไม่มีที่จะอยู่แล้ว

    -หาความจริงบิดเบือนยุติธรรม
    -ถกป.ป.ช.รับคดีฮั้วตึกสตง.
    -รักษาฟรีอาจไม่มีให้ใช้
    -โลกร้อนระเบิดฝน
    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ประกาศกลางเวที"ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568" ถึงการช่วยเหลือประชาชนที่โดนอำนาจรัฐรังแกไม่ได้รับความยุติธรรม ไร้ที่พึ่ง ผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจข่มขู่โดยไม่มีทางต่อสู้ โดยได้ตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขับเคลื่อนการให้ความ ช่วยเหลือ เป็นมูลนิธิที่ทำเพื่อสังคม พร้อมช่วยเหลือทุกกระบวนการที่อยุติธรรมขององค์กรรัฐที่เบียดเบียนประชาชน ขอหยัดยืนเคียงข้างประชาชน เป็นอนุสรณ์ที่ทุกคนจะจดจำ ประเทศไทยไม่ได้บอบช้ำอย่างเดียว แต่ไม่มีที่จะอยู่แล้ว -หาความจริงบิดเบือนยุติธรรม -ถกป.ป.ช.รับคดีฮั้วตึกสตง. -รักษาฟรีอาจไม่มีให้ใช้ -โลกร้อนระเบิดฝน
    Like
    Love
    11
    0 Comments 1 Shares 736 Views 71 0 Reviews
  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มเบื่อกับการต้องเพิ่ม AI ในทุกโปรเจกต์

    ผลสำรวจล่าสุดจาก Gartner พบว่า สามในสี่ของนักพัฒนามองว่าการผสาน AI เข้ากับแอปพลิเคชันเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ว่าผู้บริหารระดับสูงจะให้ความสนใจอย่างมากกับ Agentic AI และ Generative AI ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรม

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้ม AI ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
    นักพัฒนาส่วนใหญ่รู้สึกว่าการรวม AI เป็นภาระมากกว่าประโยชน์
    - แม้ว่าผู้บริหารจะผลักดัน แต่การนำ AI มาใช้จริงยังคงมีความท้าทาย

    ตลาดแพลตฟอร์มพัฒนา AI อาจมีมูลค่าถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028
    - แสดงให้เห็นว่า AI ยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    AI กำลังช่วยให้นักพัฒนามีเวลามากขึ้นสำหรับงานสร้างสรรค์
    - โดยใช้ AI Agents ในการจัดการงานที่ซ้ำซาก

    AI กำลังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์เข้าสู่อุตสาหกรรม
    - Gartner คาดว่า ภายในปี 2028 ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ 40% จะมีสมาชิกจากสายงานที่ไม่ใช่เทคนิค

    อนาคตของการพัฒนาแอปพลิเคชันจะเป็นแบบทีมผสม (Fusion Teams)
    - ประกอบด้วย วิศวกรซอฟต์แวร์, นักออกแบบ UX, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้จัดการผลิตภัณฑ์

    https://www.techradar.com/pro/developers-arent-thrilled-about-having-to-add-ai-into-everything-they-build-study-shows
    นักพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มเบื่อกับการต้องเพิ่ม AI ในทุกโปรเจกต์ ผลสำรวจล่าสุดจาก Gartner พบว่า สามในสี่ของนักพัฒนามองว่าการผสาน AI เข้ากับแอปพลิเคชันเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ว่าผู้บริหารระดับสูงจะให้ความสนใจอย่างมากกับ Agentic AI และ Generative AI ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรม 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้ม AI ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ✅ นักพัฒนาส่วนใหญ่รู้สึกว่าการรวม AI เป็นภาระมากกว่าประโยชน์ - แม้ว่าผู้บริหารจะผลักดัน แต่การนำ AI มาใช้จริงยังคงมีความท้าทาย ✅ ตลาดแพลตฟอร์มพัฒนา AI อาจมีมูลค่าถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 - แสดงให้เห็นว่า AI ยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ✅ AI กำลังช่วยให้นักพัฒนามีเวลามากขึ้นสำหรับงานสร้างสรรค์ - โดยใช้ AI Agents ในการจัดการงานที่ซ้ำซาก ✅ AI กำลังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์เข้าสู่อุตสาหกรรม - Gartner คาดว่า ภายในปี 2028 ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ 40% จะมีสมาชิกจากสายงานที่ไม่ใช่เทคนิค ✅ อนาคตของการพัฒนาแอปพลิเคชันจะเป็นแบบทีมผสม (Fusion Teams) - ประกอบด้วย วิศวกรซอฟต์แวร์, นักออกแบบ UX, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้จัดการผลิตภัณฑ์ https://www.techradar.com/pro/developers-arent-thrilled-about-having-to-add-ai-into-everything-they-build-study-shows
    0 Comments 0 Shares 228 Views 0 Reviews
  • “ศาลฎีกา” พิพากษายกฟ้อง คดีตลาดสุรนารี ครอบครัว “สุวรรณชาติ”
    .
    วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ ตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ สุรนคร) อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะทายาทสุวรรณชาติ ได้จัดเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ดินตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ ตลาดสุรนคร) ซึ่งฟ้องร้องต่อเนื่องยาวนานนับเกือบ 40 ปี โดยให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่งผลให้ครอบครัว “สุวรรณชาติ” เจ้าของที่ดินเดิม ได้รับคืนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

    ในการแถลงข่าว ณ ตลาดสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด และนายไพโรจน์ สุวรรณชาติ ตัวแทนครอบครัวผู้ถือสิทธิในมรดก เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายสนิท และนางประกอบ สุวรรณชาติ ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด

    คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ทั้งสองให้บุคคลหนึ่งเช่าที่ดินไปบริหารตลาด แต่กลับถูกละเมิดสัญญาโดยไม่จ่ายค่าเช่านานถึง 30 ปี ขณะเดียวกันยังพยายามครอบครองที่ดินดังกล่าวในภายหลัง แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนสิทธิ์มาตลอด

    ในระหว่างการต่อสู้คดี ยังมีการหลอกลวงโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาอาสาช่วยติดตามสิทธิในมรดก ก่อนจะใช้กลอุบายทำให้ทายาทรายหนึ่งคือ นายปรีชา สุวรรณชาติ มอบอำนาจดำเนินเรื่อง จนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 452 ล้านบาท
    ภายหลังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าว ฝ่ายโจทก์พยายามยึดที่ดินผ่านการบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่ในที่สุด ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคืนความยุติธรรมให้กับทายาทโดยธรรมทั้ง 9 ราย รวมถึงผู้จัดการมรดกทั้ง 6 ราย
    นายไพโรจน์ยังฝากข้อคิดผ่านกรณีนี้ว่า

    “ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม อย่าหลงเชื่อผู้ที่มาหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพหรือท่าทีน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินและมรดกซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้”

    คดีตลาดสุรนารีนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดลงด้วยความยุติธรรมหลังการรอคอยนานเกือบสี่ทศวรรษ
    “ศาลฎีกา” พิพากษายกฟ้อง คดีตลาดสุรนารี ครอบครัว “สุวรรณชาติ” . วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ ตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ สุรนคร) อ.เมือง จ.นครราชสีมา คณะทายาทสุวรรณชาติ ได้จัดเเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ดินตลาดสุรนารี (เดิมชื่อ ตลาดสุรนคร) ซึ่งฟ้องร้องต่อเนื่องยาวนานนับเกือบ 40 ปี โดยให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่งผลให้ครอบครัว “สุวรรณชาติ” เจ้าของที่ดินเดิม ได้รับคืนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในการแถลงข่าว ณ ตลาดสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด และนายไพโรจน์ สุวรรณชาติ ตัวแทนครอบครัวผู้ถือสิทธิในมรดก เปิดเผยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์เดิมของนายสนิท และนางประกอบ สุวรรณชาติ ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ทั้งสองให้บุคคลหนึ่งเช่าที่ดินไปบริหารตลาด แต่กลับถูกละเมิดสัญญาโดยไม่จ่ายค่าเช่านานถึง 30 ปี ขณะเดียวกันยังพยายามครอบครองที่ดินดังกล่าวในภายหลัง แม้เจ้าของที่ดินจะพยายามดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนสิทธิ์มาตลอด ในระหว่างการต่อสู้คดี ยังมีการหลอกลวงโดยบุคคลที่แฝงตัวเข้ามาอาสาช่วยติดตามสิทธิในมรดก ก่อนจะใช้กลอุบายทำให้ทายาทรายหนึ่งคือ นายปรีชา สุวรรณชาติ มอบอำนาจดำเนินเรื่อง จนถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 452 ล้านบาท ภายหลังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ชดใช้เงินดังกล่าว ฝ่ายโจทก์พยายามยึดที่ดินผ่านการบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่ในที่สุด ศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยให้เหตุผลว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคืนความยุติธรรมให้กับทายาทโดยธรรมทั้ง 9 ราย รวมถึงผู้จัดการมรดกทั้ง 6 ราย นายไพโรจน์ยังฝากข้อคิดผ่านกรณีนี้ว่า “ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม อย่าหลงเชื่อผู้ที่มาหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสุภาพหรือท่าทีน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเรื่องทรัพย์สินและมรดกซึ่งอาจนำมาสู่ความเสียหายใหญ่หลวงได้” คดีตลาดสุรนารีนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความยืดเยื้อในกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดลงด้วยความยุติธรรมหลังการรอคอยนานเกือบสี่ทศวรรษ
    0 Comments 0 Shares 473 Views 0 Reviews
More Results