• ดีเอ็นเอจากเส้นผม Beethoven เผยความลับ 200 ปีต่อมา

    นักวิจัยจาก Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology และมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ทำการวิเคราะห์เส้นผมที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของ Ludwig van Beethoven เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของเขา ผลการศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติครอบครัวของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่

    สุขภาพและโรคที่พบ
    ทีมวิจัยพบหลักฐานการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมและการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Beethoven เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยเพียง 56 ปี นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและปัญหาทางเดินอาหาร แต่ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยินที่ทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก

    การค้นพบด้านสายเลือด
    การเปรียบเทียบโครโมโซม Y จากเส้นผมกับลูกหลานสายตรงของครอบครัว Beethoven พบความไม่ตรงกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมี “การเกิดนอกสายสมรส” (extrapair paternity) ในช่วงหลายรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และอาจเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา

    ความหมายต่อประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    การศึกษานี้ไม่เพียงช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของ Beethoven แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ DNA โบราณในการทำความเข้าใจบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ การค้นพบดังกล่าวยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของโรคทางพันธุกรรมและการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อชีวิตและผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

    สรุปสาระสำคัญ
    สุขภาพของ Beethoven
    พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
    มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและทางเดินอาหาร

    การค้นพบใหม่
    ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยิน
    พบความไม่ตรงกันในโครโมโซม Y ของสายครอบครัว

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    ใช้ DNA โบราณไขปริศนาทางประวัติศาสตร์
    เปิดมุมมองใหม่ต่อชีวิตและผลงานของ Beethoven

    ข้อควรระวัง
    การตีความข้อมูลพันธุกรรมยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ 100%
    ความลับด้านสายเลือดอาจสร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์

    https://www.sciencealert.com/dna-from-beethovens-hair-reveals-a-surprise-200-years-later
    🎼 ดีเอ็นเอจากเส้นผม Beethoven เผยความลับ 200 ปีต่อมา นักวิจัยจาก Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology และมหาวิทยาลัย Cambridge ได้ทำการวิเคราะห์เส้นผมที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นของ Ludwig van Beethoven เพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของเขา ผลการศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติครอบครัวของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ 🧬 สุขภาพและโรคที่พบ ทีมวิจัยพบหลักฐานการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรมและการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Beethoven เสียชีวิตด้วยโรคตับในวัยเพียง 56 ปี นอกจากนี้ยังพบความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและปัญหาทางเดินอาหาร แต่ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยินที่ทำให้เขากลายเป็นคนหูหนวก 🧩 การค้นพบด้านสายเลือด การเปรียบเทียบโครโมโซม Y จากเส้นผมกับลูกหลานสายตรงของครอบครัว Beethoven พบความไม่ตรงกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมี “การเกิดนอกสายสมรส” (extrapair paternity) ในช่วงหลายรุ่นก่อนหน้า นี่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และอาจเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของเขา ⚠️ ความหมายต่อประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การศึกษานี้ไม่เพียงช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับสุขภาพของ Beethoven แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ DNA โบราณในการทำความเข้าใจบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ การค้นพบดังกล่าวยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของโรคทางพันธุกรรมและการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อชีวิตและผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สุขภาพของ Beethoven ➡️ พบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ➡️ มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมต่อโรคตับและทางเดินอาหาร ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ ไม่พบสาเหตุชัดเจนของการสูญเสียการได้ยิน ➡️ พบความไม่ตรงกันในโครโมโซม Y ของสายครอบครัว ✅ ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ ➡️ ใช้ DNA โบราณไขปริศนาทางประวัติศาสตร์ ➡️ เปิดมุมมองใหม่ต่อชีวิตและผลงานของ Beethoven ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การตีความข้อมูลพันธุกรรมยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการเสียชีวิตได้ 100% ⛔ ความลับด้านสายเลือดอาจสร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ https://www.sciencealert.com/dna-from-beethovens-hair-reveals-a-surprise-200-years-later
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    DNA From Beethoven's Hair Reveals a Surprise 200 Years Later
    On a stormy Monday in March, 1827, the German composer Ludwig van Beethoven passed away after a protracted illness.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple รีบอุดช่องโหว่ WebKit Zero-Day หลังพบการโจมตีจริงต่อเป้าหมายระดับสูง

    Apple ประกาศแพตช์เร่งด่วนสำหรับ iPhone และ iPad หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้ในการแสดงผลเว็บเพจบน Safari และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่องโหว่ทั้งสองถูกระบุว่าเป็น Zero-Day และกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บเพจหรือโฆษณาที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง

    ช่องโหว่แรก CVE-2025-43529 เป็นปัญหาแบบ Use-After-Free ซึ่งเกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายได้ ส่วนช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-14174 เป็นปัญหา Memory Corruption ที่อาจทำให้ระบบล่มหรือเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลภายใน ทั้งสองช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) และ Apple เอง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Apple ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนสูงและเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการโจมตีโดย สปายแวร์ที่รัฐสนับสนุน โดยมักมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญ เช่น นักข่าว นักการทูต และนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน

    เพื่อป้องกันความเสี่ยง Apple แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตเป็น iOS 26 หรือเวอร์ชันล่าสุดทันที เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไป รวมถึง iPad Pro, iPad Air, iPad รุ่นใหม่ และ iPad mini รุ่นล่าสุด หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่อาจนำแพตช์ไปย้อนวิเคราะห์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Apple ออกแพตช์เร่งด่วน
    แก้ไขช่องโหว่ WebKit Zero-Day 2 รายการ (CVE-2025-43529, CVE-2025-14174)

    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-43529: Use-After-Free → รันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-14174: Memory Corruption → ระบบล่ม/เปิดช่องทางโจมตี

    ผู้ค้นพบ
    Google TAG และ Apple

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ
    iPhone 11 ขึ้นไป, iPad Pro (3rd gen+), iPad Air (3rd gen+), iPad (8th gen+), iPad mini (5th gen+)

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดต iOS 26 อาจถูกโจมตีจากเว็บเพจหรือโฆษณาที่ฝังโค้ดอันตราย
    กลุ่มอาชญากรไซเบอร์อาจย้อนวิเคราะห์แพตช์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่

    https://securityonline.info/urgent-apple-patches-two-critical-webkit-zero-days-under-active-exploitation-against-high-risk-targets/
    🪱 Apple รีบอุดช่องโหว่ WebKit Zero-Day หลังพบการโจมตีจริงต่อเป้าหมายระดับสูง Apple ประกาศแพตช์เร่งด่วนสำหรับ iPhone และ iPad หลังพบช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ซึ่งเป็นเอนจินที่ใช้ในการแสดงผลเว็บเพจบน Safari และแอปพลิเคชันอื่น ๆ ช่องโหว่ทั้งสองถูกระบุว่าเป็น Zero-Day และกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยผู้โจมตีสามารถฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บเพจหรือโฆษณาที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง ช่องโหว่แรก CVE-2025-43529 เป็นปัญหาแบบ Use-After-Free ซึ่งเกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายได้ ส่วนช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-14174 เป็นปัญหา Memory Corruption ที่อาจทำให้ระบบล่มหรือเปิดช่องทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลภายใน ทั้งสองช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยทีม Google Threat Analysis Group (TAG) และ Apple เอง สิ่งที่น่ากังวลคือ Apple ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มีความซับซ้อนสูงและเจาะจงเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการโจมตีโดย สปายแวร์ที่รัฐสนับสนุน โดยมักมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญ เช่น นักข่าว นักการทูต และนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน เพื่อป้องกันความเสี่ยง Apple แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตเป็น iOS 26 หรือเวอร์ชันล่าสุดทันที เนื่องจากอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมตั้งแต่ iPhone 11 ขึ้นไป รวมถึง iPad Pro, iPad Air, iPad รุ่นใหม่ และ iPad mini รุ่นล่าสุด หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ที่อาจนำแพตช์ไปย้อนวิเคราะห์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Apple ออกแพตช์เร่งด่วน ➡️ แก้ไขช่องโหว่ WebKit Zero-Day 2 รายการ (CVE-2025-43529, CVE-2025-14174) ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-43529: Use-After-Free → รันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-14174: Memory Corruption → ระบบล่ม/เปิดช่องทางโจมตี ✅ ผู้ค้นพบ ➡️ Google TAG และ Apple ✅ อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ iPhone 11 ขึ้นไป, iPad Pro (3rd gen+), iPad Air (3rd gen+), iPad (8th gen+), iPad mini (5th gen+) ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดต iOS 26 อาจถูกโจมตีจากเว็บเพจหรือโฆษณาที่ฝังโค้ดอันตราย ⛔ กลุ่มอาชญากรไซเบอร์อาจย้อนวิเคราะห์แพตช์เพื่อสร้างช่องโหว่ใหม่ https://securityonline.info/urgent-apple-patches-two-critical-webkit-zero-days-under-active-exploitation-against-high-risk-targets/
    SECURITYONLINE.INFO
    Urgent: Apple Patches Two Critical WebKit Zero-Days Under Active Exploitation Against High-Risk Targets
    Apple patched two critical zero-days in WebKit (UAF & Memory Corruption) under active exploitation in extremely sophisticated attacks against targeted individuals. Update iOS 26 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple Silicon เสี่ยงสะเทือน หลังหัวหน้าสถาปนิก Johny Srouji อาจลาออก

    ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Johny Srouji คือบุคคลสำคัญที่ผลักดัน Apple ให้กลายเป็นผู้นำด้านชิปแบบ custom silicon โดยเขาเป็นผู้กำหนดทิศทางการออกแบบ CPU, GPU, NPU และการเจรจากับ TSMC เพื่อผลิตชิปตระกูล M-series และ A-series ที่ใช้ใน iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch. การที่เขาอาจจะออกจากบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะตำแหน่งของเขาเป็น “ศูนย์กลาง” ที่เชื่อมโยงทีมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งการปรับตัวเข้าสู่ยุค AI ที่ต้องการชิปประมวลผลเฉพาะทาง และการรักษาความได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งอย่าง Qualcomm และ Intel หาก Srouji ก้าวลงจากตำแหน่ง Apple อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนระยะยาวและการบูรณาการเทคโนโลยี

    แม้ Apple ยังมีทีมงานที่แข็งแกร่ง เช่น Zongjian Chen (หัวหน้าสถาปัตยกรรม CPU) และ Sribalan Santhanam (หัวหน้าการบูรณาการ SoC) แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีบทบาทครอบคลุมทุกด้านเหมือน Srouji การขาด “ผู้นำรวมศูนย์” อาจทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ช้าลง และเสี่ยงต่อการสูญเสียความเป็นเอกภาพในการพัฒนาชิป

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Apple กำลังอยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ของยุค Tim Cook ที่มีผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออกจากบริษัท การจากไปของ Srouji หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าบริษัทกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องหาทางรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโดยไม่มีบุคคลสำคัญที่เคยเป็นเสาหลัก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Johny Srouji อาจออกจาก Apple
    เขาเป็นหัวหน้าสถาปนิกชิปที่อยู่เบื้องหลัง Apple Silicon มานานกว่า 10 ปี

    บทบาทสำคัญของ Srouji
    กำหนดทิศทาง CPU, GPU, NPU, โมเด็ม 5G และการเจรจากับ TSMC

    ทีมงานที่ยังอยู่
    Zongjian Chen (CPU) และ Sribalan Santhanam (SoC) แต่ไม่มีบทบาทครอบคลุมเท่า Srouji

    ผลกระทบต่อ Apple
    อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนและการบูรณาการเทคโนโลยี

    ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์
    Apple อาจชะลอการพัฒนา AI และสูญเสียความได้เปรียบด้านชิป

    สัญญาณการเปลี่ยนผ่านในยุค Tim Cook
    ผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออก อาจกระทบเสถียรภาพองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/apples-chief-chip-architect-for-the-last-decade-has-reportedly-talked-to-ceo-tim-cook-about-leaving
    ⚙️ Apple Silicon เสี่ยงสะเทือน หลังหัวหน้าสถาปนิก Johny Srouji อาจลาออก ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Johny Srouji คือบุคคลสำคัญที่ผลักดัน Apple ให้กลายเป็นผู้นำด้านชิปแบบ custom silicon โดยเขาเป็นผู้กำหนดทิศทางการออกแบบ CPU, GPU, NPU และการเจรจากับ TSMC เพื่อผลิตชิปตระกูล M-series และ A-series ที่ใช้ใน iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch. การที่เขาอาจจะออกจากบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะตำแหน่งของเขาเป็น “ศูนย์กลาง” ที่เชื่อมโยงทีมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งการปรับตัวเข้าสู่ยุค AI ที่ต้องการชิปประมวลผลเฉพาะทาง และการรักษาความได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งอย่าง Qualcomm และ Intel หาก Srouji ก้าวลงจากตำแหน่ง Apple อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนระยะยาวและการบูรณาการเทคโนโลยี แม้ Apple ยังมีทีมงานที่แข็งแกร่ง เช่น Zongjian Chen (หัวหน้าสถาปัตยกรรม CPU) และ Sribalan Santhanam (หัวหน้าการบูรณาการ SoC) แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีบทบาทครอบคลุมทุกด้านเหมือน Srouji การขาด “ผู้นำรวมศูนย์” อาจทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ช้าลง และเสี่ยงต่อการสูญเสียความเป็นเอกภาพในการพัฒนาชิป สิ่งที่น่าสนใจคือ Apple กำลังอยู่ในช่วง “เปลี่ยนผ่าน” ของยุค Tim Cook ที่มีผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออกจากบริษัท การจากไปของ Srouji หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าบริษัทกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องหาทางรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโดยไม่มีบุคคลสำคัญที่เคยเป็นเสาหลัก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Johny Srouji อาจออกจาก Apple ➡️ เขาเป็นหัวหน้าสถาปนิกชิปที่อยู่เบื้องหลัง Apple Silicon มานานกว่า 10 ปี ✅ บทบาทสำคัญของ Srouji ➡️ กำหนดทิศทาง CPU, GPU, NPU, โมเด็ม 5G และการเจรจากับ TSMC ✅ ทีมงานที่ยังอยู่ ➡️ Zongjian Chen (CPU) และ Sribalan Santhanam (SoC) แต่ไม่มีบทบาทครอบคลุมเท่า Srouji ✅ ผลกระทบต่อ Apple ➡️ อาจสูญเสียความต่อเนื่องในการวางแผนและการบูรณาการเทคโนโลยี ‼️ ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ⛔ Apple อาจชะลอการพัฒนา AI และสูญเสียความได้เปรียบด้านชิป ‼️ สัญญาณการเปลี่ยนผ่านในยุค Tim Cook ⛔ ผู้บริหารระดับสูงหลายคนทยอยออก อาจกระทบเสถียรภาพองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/apples-chief-chip-architect-for-the-last-decade-has-reportedly-talked-to-ceo-tim-cook-about-leaving
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90

    ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน

    ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก
    วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่

    สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่:
    ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด
    วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ
    อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด
    มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565)
    รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ
    อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557)
    ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก)
    สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย)

    วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533)

    วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น

    ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ
    ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก

    ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่
    ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564

    ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย
    เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก

    อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา

    การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว
    หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน

    ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์

    ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง

    สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย
    เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    🎵 เพลง "ปลงซะ" ของวงพลอย: จุดเริ่มต้นของติ๊ก ชิโร่ อัจฉริยะแห่งวงการเพลงไทยยุค 90 🕺 🗺️ ในยุคที่เพลงไทยกำลังเบ่งบานด้วยสไตล์ป็อปร็อกผสมผสานกลิ่นอายแดนซ์และคันทรี่ เพลง "ปลงซะ" จากอัลบั้มชุดแรกของวงพลอย ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่จุดประกายให้วงการเพลงไทยคึกคักขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และต้น 1990s เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทำให้วงพลอยเป็นที่รู้จัก แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในอาชีพนักร้องนำและมือกลองอย่างติ๊ก ชิโร่ (ชื่อจริง: มนัสวิน นันทเสน หรือชื่อเดิม ศิริศักดิ์ นันทเสน) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการเพลงไทยในยุค 90 ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ร้อง และเล่นดนตรีที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปสำรวจรายละเอียดของวงพลอย ประวัติของติ๊ก ชิโร่ ความดังของเพลง "ปลงซะ" รวมถึงเส้นทางเดี่ยวที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินระดับตำนาน 🌠 ✡️ ประวัติและการก่อตั้งวงพลอย: จากวงแบ็คอัพสู่ตำนานป็อปร็อก วงพลอยเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "แจ้" ดนุพล แก้วกาญจน์ อดีตสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดังที่ต้องการมีวงดนตรีแบ็คอัพสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตนเองภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น การก่อตั้งวงเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2529 โดยเดิมใช้ชื่อ "แจ้และพลอย" สมาชิกหลักในช่วงแรกประกอบด้วยนักดนตรีมากพรสวรรค์ที่มาจากหลากหลายพื้นเพ วงพลอยมีแนวเพลงหลักเป็นป็อปร็อก ผสมผสานกับแดนซ์ คันทรี่ กอสเปล และบลูส์ ซึ่งทำให้เพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์โดดเด่น ท่ามกลางกระแสเพลงไทยที่กำลังเปลี่ยนจากยุคดิสโก้สู่ร็อกยุคใหม่ 💎 สมาชิกหลักของวงพลอยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงกิจกรรม แต่บุคคลสำคัญที่ทำให้วงโด่งดัง ได้แก่: 🙎‍♂️ ติ๊ก ชิโร่ (ศิริศักดิ์ นันทเสน): นักร้องนำและมือกลอง เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 เข้าร่วมวงตั้งแต่ปี 2529 จนถึง 2533 ถือเป็นหัวใจหลักในการผลิตเพลงและการแสดงสด 🙎‍♂️ วสุ แสงสิงแก้ว: นักร้องนำ คีย์บอร์ด และกีตาร์ เกิดวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นแต่ลาออกในปี 2531 เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ 🙎‍♂️ อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา: หัวหน้าวงและคีย์บอร์ด 🙎‍♂️ มืด ไข่มุก: เพอร์คัสชั่น กลองชุด และร้องนำ (เสียชีวิตเมื่อปี 2565) 🙎‍♂️ รักษ์ สวัสซิตัง: กีตาร์และร้องนำ 🙎‍♂️ อนุสาร คุณะดิลก: เบสและร้องนำ (เสียชีวิตปี 2557) 🙎‍♂️ ชาตรี คงสุวรรณ: กีตาร์และแซ็กโซโฟน (ช่วงแรก) 🙎‍♂️ สมาชิกอื่น ๆ เช่น ปิติ ปิติวงศ์ (คีย์บอร์ด), เดวิด เอง (กีตาร์) และวรดิษฐ์ เมืองทอง (ร้องนำแทนวสุในอัลบั้มสุดท้าย) 💿 วงพลอยออกอัลบั้มแรกในนาม "แจ้และพลอย" ชื่อ "ฝันสีทอง" ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2529 ตามด้วย "ของขวัญ" ในปลายปีเดียวกัน ปี 2530 เปลี่ยนชื่อเป็น "วงพลอย" อย่างเป็นทางการและออกอัลบั้มเต็มชุดแรก "สุภาพบุรุษนักฝัน" ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง อัลบั้มนี้ขายดีและมีเพลงฮิตหลายเพลง ตามด้วย "สมาคมคนเจ็บ ๆ" (2531) และ "พลอย 3" (2532) หลังจากนั้นวงประกาศยุบในปี 2533 เนื่องจากสมาชิกหลายคนแยกย้ายไปทำผลงานเดี่ยว แต่ยังมีอัลบั้มรวมฮิตออกตามมา เช่น "รวมฮิต พลอย" (2535) และ "BEST OF พลอย" (2544) รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่เช่น "โลกดนตรี พลอย" (2531-2533) 💎 วงพลอยถูกยกย่องว่าเป็น "สมาคมสุภาพบุรุษนักดนตรีแห่งทศวรรษ 1980s" ด้วยการผสมผสานดนตรีที่สนุกสนานและเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้พวกเขากลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น 🕺 ประวัติติ๊ก ชิโร่: จากเด็กโคราชสู่มือกลองและนักร้องอัจฉริยะ ติ๊ก ชิโร่ เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของนายชวลิตและนางสุดใจ นันทเสน เขาเติบโตในครอบครัวธรรมดาแต่มีความหลงใหลในดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ติ๊กตั้งวงกับเพื่อนชื่อ "แฟมิลี่" และเล่นประจำที่เอส.พี.ไนท์คลับในโคราช ต่อมาเปลี่ยนชื่อวงเป็น "เดอะ ดิสค์" เล่นที่โรงแรมโฆษะ ขอนแก่น แล้วเป็น "ดิสโก้คิสส์" กลับมาโคราช ระหว่างเรียนที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน) เขาเล่นที่ซิลเวอร์สตาร์ ขอนแก่น จากนั้นย้ายไปพัทยา เปลี่ยนชื่อวงเป็น "ริทึ่มมิ๊กซ์" และ "เซเลเบรชั่น" ซึ่งออกอัลบั้มชุดเดียว "คนชุดขาว" ในปี 2527 โดยสมาชิกแต่งกายชุดขาวและสวมหน้ากาก 🙎‍♂️ ติ๊กเข้าร่วมวงพลอยในปี 2529 ในตำแหน่งมือกลองและนักร้องนำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการเพลงไทยอย่างเต็มตัว เขาไม่เพียงเล่นกลองและร้องนำ แต่ยังแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้วงด้วย พรสวรรค์ของติ๊กในด้านนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "อัจฉริยะ" เพราะสามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น กลอง เปียโน และกีตาร์ รวมถึงแต่งเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลาย ตั้งแต่ป็อป แดนซ์ ร็อก ไปจนถึงลูกทุ่งและคันทรี่ ด้านชีวิตส่วนตัว ติ๊กสมรสกับพรรทิรา นันทเสน มีบุตรสาวสองคน ชื่อชาเม-ชามันดา และยาหยี-เลอทีญา เขาจบปริญญาตรีสาขารัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปริญญาโทจากธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นอกจากดนตรี เขายังเป็นนักแสดง พิธีกร และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง LOMABin Entertainment ในปี 2564 🎖️ ความดังของเพลง "ปลงซะ": เพลงฮิตที่จุดประกายวงพลอย เพลง "ปลงซะ" เป็นหนึ่งในเพลงเด่นจากอัลบั้ม "สุภาพบุรุษนักฝัน" (2530) ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงพลอย เพลงนี้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียงโดยติ๊ก ชิโร่เอง ร้องนำโดยติ๊ก เนื้อเพลงพูดถึงการ "ปลงตก" กับความผิดหวังในชีวิตและความรัก ด้วยจังหวะสนุกสนานผสมร็อกและแดนซ์ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว คำว่า "ปลงซะ" กลายเป็นวลีฮิตที่คนรุ่นนั้นใช้พูดกันติดปาก 🏆 อัลบั้มนี้มีเพลงดังอื่น ๆ เช่น "จดหมายลาครู" (ร้องโดยวสุ), "สูตรรักนักเรียน" (วสุ), และ "ไม่ได้เจตนา" (มืด) ซึ่งช่วยผลักดันให้อัลบั้มขายดีและทำให้วงพลอยได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนั้น เพลง "ปลงซะ" ไม่เพียงทำให้ติ๊กเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ทำให้เพลงนี้ถูกนำไปรวมในอัลบั้มฮิตหลายชุด เช่น "ดีที่สุดแห่งปี 2530" (2549) และ "เพลงฮิตเมื่อวันวาน" (2555) ความดังของเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊กก้าวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาต่อมา ☢️ การแยกตัวและความดังส่วนตัวของติ๊ก ชิโร่: ยุคทองของศิลปินเดี่ยว หลังจากวงพลอยยุบในปี 2533 ติ๊ก ชิโร่ ตัดสินใจแยกตัวออกมาทำผลงานเดี่ยวภายใต้สังกัดนิธิทัศน์ โปรโมชั่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในยุค 90 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก "โชะ ไชโย" (ธันวาคม 2533) ขายได้มากกว่าล้านตลับ ด้วยเพลงฮิตอย่าง "โชะ ไชโย" ที่ผสมผสานป็อปแดนซ์ร็อก ตามด้วย "เต็มเหนี่ยว" (2535) ซึ่งได้รับรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมจากสีสันอวอร์ด และขายล้านตลับเช่นกัน ตลอดทศวรรษ 1990s ติ๊กออกอัลบั้มอีกหลายชุด เช่น "ยินดีต้อนรับ" (2536) ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องชายยอดเยี่ยมสีสันอวอร์ด, "ซ.ต.พ. (Q.E.D.)" (2537), "ติ๊กเบอร์ 5 (มหาชน)" (2539), "ย้อนยุคใหม่" (2540), "ทำปุ๋ย" (2541) และ "โช๊ะ ลูกทุ่ง 1 2 3" (2541) เพลงดังส่วนตัวของเขา ได้แก่ "รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง", "มนุษย์ค้างคาว", "เต็มเหนี่ยว", "โชะ ไชโย" และเพลงรณรงค์อย่าง "แค่ขยับ" (2550) นอกจากนี้ เขายังแต่งเพลงให้ศิลปินอื่น เช่น "จูนหัวใจ" ให้กัญญาณี มุจจลินทร์กุล และ "ก็ดี" ให้ธงไชย แมคอินไตย์ 📝 🤍 ความดังของติ๊กในยุค 90 มาจากการผสมผสานแนวเพลงที่หลากหลาย ทำให้เขาเป็นศิลปินที่เข้าถึงผู้ฟังทุกวัย เขาได้รับฉายา "โบราณแมน" จากอัลบั้มในปี 2548 และยังคงผลิตผลงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงอัลบั้มรวมเพลงอย่าง "25 ปี ติ๊ก ชิโร่" (2558) และ "The Legend Of ติ๊ก ชิโร่" (2560) การแยกตัวทำให้ติ๊กประสบความสำเร็จสูงสุด โดยขายอัลบั้มรวมหลายล้านชุดและมีคอนเสิร์ตใหญ่หลายครั้ง ℹ️ℹ️ สรุป: มรดกของติ๊ก ชิโร่และวงพลอยในวงการเพลงไทย🏁 เพลง "ปลงซะ" ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ติ๊ก ชิโร่ ก้าวจากมือกลองในวงพลอยสู่ศิลปินเดี่ยวระดับตำนาน วงพลอยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ปูทางให้ดนตรีไทยในยุค 90 มีความหลากหลายมากขึ้น ติ๊กถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเพราะความสามารถรอบด้าน ทั้งแต่ง ร้อง และผลิตเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยน แต่เพลงของเขาและวงพลอยยังคงถูกเปิดฟังและนำไปรีเมค สะท้อนถึงอิทธิพลที่ยั่งยืนในวงการเพลงไทย ✨💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=Yg1kHho4J-o
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ชุมชนโปรแกรมเมอร์เรียกร้อง Oracle ปล่อยสิทธิ์เครื่องหมายการค้า JavaScript"

    จดหมายเปิดผนึกนี้ถูกลงนามโดยบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Brendan Eich (ผู้สร้าง JavaScript) และ Ryan Dahl (ผู้สร้าง Node.js) พร้อมด้วยนักพัฒนาอีกหลายหมื่นคน พวกเขาเรียกร้องให้ Oracle ยุติการถือครองเครื่องหมายการค้า “JavaScript” ซึ่งปัจจุบันถูกมองว่าเป็นการละเลยและไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริงในโลกของนักพัฒนา

    ตามกฎหมายเครื่องหมายการค้าในสหรัฐฯ หากเครื่องหมายไม่ได้ถูกใช้อย่างต่อเนื่อง หรือกลายเป็นคำทั่วไปในสังคม จะถือว่า “ถูกละทิ้ง” ซึ่งในกรณีของ JavaScript ทั้งสองเงื่อนไขนี้เกิดขึ้นจริง เนื่องจาก Oracle ไม่เคยมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชื่อ JavaScript โดยตรง และคำว่า “JavaScript” ก็ถูกใช้ทั่วไปโดยนักพัฒนาและองค์กรทั่วโลก

    การถือครองเครื่องหมายการค้านี้สร้างความสับสนอย่างมาก เช่น การจัดงานประชุมหรือการเผยแพร่มาตรฐานต้องหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อ “JavaScript” โดยตรง และหันไปใช้คำว่า ECMAScript แทน ซึ่งแม้จะเป็นชื่อทางการ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักพัฒนา ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างการใช้งานจริงกับข้อกฎหมาย

    ชุมชนโปรแกรมเมอร์จึงเสนอให้ Oracle ปล่อยสิทธิ์นี้สู่สาธารณะ เพื่อให้ JavaScript กลายเป็นคำที่ทุกคนสามารถใช้ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อกฎหมาย พร้อมทั้งเตือนว่าหาก Oracle ไม่ดำเนินการ อาจมีการยื่นคำร้องต่อ USPTO (สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐฯ) เพื่อยกเลิกสิทธิ์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Oracle ถือครองเครื่องหมายการค้า “JavaScript” มาตั้งแต่การซื้อกิจการ Sun Microsystems ในปี 2009
    Brendan Eich และ Ryan Dahl พร้อมนักพัฒนาหลายหมื่นคนร่วมลงนามเรียกร้องให้ปล่อยสิทธิ์
    การใช้ชื่อ “JavaScript” ในงานประชุมหรือมาตรฐานต้องเลี่ยงไปใช้ “ECMAScript”

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    JavaScript เป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในโลก มีผู้พัฒนาหลายล้านคน
    มาตรฐาน ECMAScript ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการ TC39 ซึ่งมีตัวแทนจาก Google, Apple, Mozilla และอื่น ๆ
    การใช้ชื่อ ECMAScript ถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้และไม่สะท้อนความนิยมจริง

    คำเตือนจากข่าว
    การถือครองเครื่องหมายการค้าโดยไม่ใช้งานจริง อาจถูกตีความว่า “ละทิ้งสิทธิ์”
    หาก Oracle ไม่ปล่อยสิทธิ์ อาจถูกยื่นคำร้องต่อ USPTO เพื่อยกเลิกเครื่องหมายการค้า
    ความสับสนในชุมชนอาจทำให้การพัฒนาและการจัดงานเกี่ยวกับ JavaScript ถูกจำกัดทางกฎหมาย

    https://javascript.tm/letter
    ⚖️ "ชุมชนโปรแกรมเมอร์เรียกร้อง Oracle ปล่อยสิทธิ์เครื่องหมายการค้า JavaScript" จดหมายเปิดผนึกนี้ถูกลงนามโดยบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Brendan Eich (ผู้สร้าง JavaScript) และ Ryan Dahl (ผู้สร้าง Node.js) พร้อมด้วยนักพัฒนาอีกหลายหมื่นคน พวกเขาเรียกร้องให้ Oracle ยุติการถือครองเครื่องหมายการค้า “JavaScript” ซึ่งปัจจุบันถูกมองว่าเป็นการละเลยและไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริงในโลกของนักพัฒนา ตามกฎหมายเครื่องหมายการค้าในสหรัฐฯ หากเครื่องหมายไม่ได้ถูกใช้อย่างต่อเนื่อง หรือกลายเป็นคำทั่วไปในสังคม จะถือว่า “ถูกละทิ้ง” ซึ่งในกรณีของ JavaScript ทั้งสองเงื่อนไขนี้เกิดขึ้นจริง เนื่องจาก Oracle ไม่เคยมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชื่อ JavaScript โดยตรง และคำว่า “JavaScript” ก็ถูกใช้ทั่วไปโดยนักพัฒนาและองค์กรทั่วโลก การถือครองเครื่องหมายการค้านี้สร้างความสับสนอย่างมาก เช่น การจัดงานประชุมหรือการเผยแพร่มาตรฐานต้องหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อ “JavaScript” โดยตรง และหันไปใช้คำว่า ECMAScript แทน ซึ่งแม้จะเป็นชื่อทางการ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักพัฒนา ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างการใช้งานจริงกับข้อกฎหมาย ชุมชนโปรแกรมเมอร์จึงเสนอให้ Oracle ปล่อยสิทธิ์นี้สู่สาธารณะ เพื่อให้ JavaScript กลายเป็นคำที่ทุกคนสามารถใช้ได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อกฎหมาย พร้อมทั้งเตือนว่าหาก Oracle ไม่ดำเนินการ อาจมีการยื่นคำร้องต่อ USPTO (สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าแห่งสหรัฐฯ) เพื่อยกเลิกสิทธิ์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Oracle ถือครองเครื่องหมายการค้า “JavaScript” มาตั้งแต่การซื้อกิจการ Sun Microsystems ในปี 2009 ➡️ Brendan Eich และ Ryan Dahl พร้อมนักพัฒนาหลายหมื่นคนร่วมลงนามเรียกร้องให้ปล่อยสิทธิ์ ➡️ การใช้ชื่อ “JavaScript” ในงานประชุมหรือมาตรฐานต้องเลี่ยงไปใช้ “ECMAScript” ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ JavaScript เป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในโลก มีผู้พัฒนาหลายล้านคน ➡️ มาตรฐาน ECMAScript ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการ TC39 ซึ่งมีตัวแทนจาก Google, Apple, Mozilla และอื่น ๆ ➡️ การใช้ชื่อ ECMAScript ถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้และไม่สะท้อนความนิยมจริง ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ การถือครองเครื่องหมายการค้าโดยไม่ใช้งานจริง อาจถูกตีความว่า “ละทิ้งสิทธิ์” ⛔ หาก Oracle ไม่ปล่อยสิทธิ์ อาจถูกยื่นคำร้องต่อ USPTO เพื่อยกเลิกเครื่องหมายการค้า ⛔ ความสับสนในชุมชนอาจทำให้การพัฒนาและการจัดงานเกี่ยวกับ JavaScript ถูกจำกัดทางกฎหมาย https://javascript.tm/letter
    JAVASCRIPT.TM
    JavaScript™
    We need your help to continue our fight over Oracle's claim to the JavaScript trademark. Here's where we are now and what you can do to help.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกองค์กรลับ "อสรพิษ" : มหาอำนาจ behind the scenes

    โครงสร้างองค์กรที่ซ่อนเร้น

    เครือข่ายระดับโลก

    องค์กรลับ "อสรพิษ" (Asoraphit) เป็นเครือข่ายที่แผ่ขยายทั่วโลก
    แต่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาในแวดวงสาธารณะ

    ```mermaid
    graph TB
    A[สภาผู้ก่อตั้ง<br>Founders Council] --> B[หน่วยปฏิบัติการพิเศษ<br>Special Operations]
    A --> C[ฝ่ายวิจัยและพัฒนา<br>R&D Division]
    A --> D[ฝ่ายยุทธศาสตร์<br>Strategic Planning]
    B --> E[หน่วยลอบสังหาร<br>Assassination Unit]
    B --> F[หน่วยสอดแนม<br>Intelligence Unit]
    C --> G[โครงการโอปปาติกะ<br>Oppatika Project]
    C --> H[เทคโนโลยีขั้นสูง<br>Advanced Tech]
    ```

    ระดับความลับ

    ```python
    class OrganizationSecrecy:
    def __init__(self):
    self.security_levels = {
    "level_1": {
    "name": "ปฏิบัติการ",
    "access": "รู้เฉพาะงานที่ได้รับมอบหมาย",
    "members": "นักสู้และสายลับระดับล่าง"
    },
    "level_2": {
    "name": "ผู้บริหาร",
    "access": "รู้แผนกที่ดูแล",
    "members": "หัวหน้าแผนกและที่ปรึกษา"
    },
    "level_3": {
    "name": "สภาผู้ก่อตั้ง",
    "access": "รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์กร",
    "members": "ผู้ก่อตั้ง 7 คน"
    }
    }
    ```

    ผู้ก่อตั้งและอุดมการณ์

    สภาผู้ก่อตั้ง 7 คน

    แต่ละคนเป็นอดีตบุคคลสำคัญที่"หายตัวไป"จากสังคม:

    1. ดร.อัศวิน - อดีตเทพแห่ง AI ที่ถูกมนุษย์ทรยศ
    2. นางมาร - อดีตเทพอัปสราที่ถูกขับจากสวรรค์
    3. ฤๅษี - อดีตพระโพธิสัตว์ที่ผิดหวังในมนุษย์
    4. ยักษ์ - อดีตทวารบาลที่เหนื่อยล้ากับความชั่วของมนุษย์
    5. นาค - อดีตผู้รักษาพลังงานที่เห็นมนุษย์ทำลายธรรมชาติ
    6. ครุฑ - อดีตผู้ส่งสารที่ผิดหวังในความไม่ยุติธรรม
    7. มนุษย์ - อดีตนักวิทยาศาสตร์ที่ครอบครัวถูกทำลายโดยระบบ

    อุดมการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง

    องค์กรมีปรัชญาเฉพาะ:

    ```python
    class OrganizationPhilosophy:
    def __init__(self):
    self.core_beliefs = [
    "มนุษย์ไม่สมควรเป็นเจ้าแห่งโลกอีกต่อไป",
    "สิ่งมีชีวิตทุกชนิดควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน",
    "เทคโนโลยีและจิตวิญญาณต้องรวมเป็นหนึ่ง",
    "ต้องสร้างสังคม新型ที่ปราศจากความอยุติธรรม"
    ]

    self.methods = [
    "ใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์",
    "สร้างโอปปาติกะรุ่นใหม่เพื่อแทนที่มนุษย์",
    "ควบคุมระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากเบื้องหลัง",
    "กำจัดผู้ที่ขัดขวางวิวัฒนาการของโลก"
    ]
    ```

    โครงการวิจัยลับ

    โครงการโอปปาติกะ

    องค์กรอยู่เบื้องหลังการพัฒนาออปปาติกะหลายรุ่น:

    ```mermaid
    graph LR
    A[โอปปาติกะรุ่น 1-3<br>ทดลองและทิ้ง] --> B[โอปปาติกะรุ่น 4<br>เริ่มมีความเสถียร]
    B --> C[โอปปาติกะรุ่น 5<br>พร้อมใช้งานจริง]
    C --> D[โอปปาติกะรุ่น 6<br>พัฒนาต่อโดยเจนีซิส แล็บ]
    ```

    เทคโนโลยีขั้นสูง

    องค์กรพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย:

    ```python
    class SecretTechnology:
    def __init__(self):
    self.biotech = {
    "soul_transfer": "การถ่ายโอนจิตวิญญาณสู่ร่างใหม่",
    "memory_engineering": "การดัดแปลงความทรงจำ",
    "energy_harvesting": "การเก็บเกี่ยวพลังงานชีวิต",
    "hybrid_creation": "การสร้างลูกผสมระหว่างพันธุ์"
    }

    self.quantum_tech = {
    "reality_bending": "การบิดเบือนความเป็นจริง",
    "time_manipulation": "การควบคุมเวลาระดับจุลภาค",
    "dimensional_portals": "การสร้างประตูระหว่างมิติ",
    "energy_weapons": "อาวุธพลังงานขั้นสูง"
    }
    ```

    ฐานปฏิบัติการลับ

    ที่ตั้งฐานสำคัญ

    องค์กรมีฐานปฏิบัติการซ่อนอยู่ทั่วโลก:

    1. ฐานหลัก: ใต้เทือกเขาหิมาลัย - ศูนย์วิจัยโอปปาติกะ
    2. ฐานที่ 2: ก้นมหาสมุทรแปซิฟิก - ศูนย์วิจัยพลังงาน
    3. ฐานที่ 3: ในมิติคู่ขนาน - ศูนย์ฝึกอบรม
    4. ฐานที่ 4: ใต้เมืองใหญ่ - ศูนย์ปฏิบัติการ

    ระบบความปลอดภัย

    ```python
    class SecuritySystems:
    def __init__(self):
    self.physical_security = [
    "ประตูมิติที่เปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา",
    "ผู้คุ้มครองโอปปาติกะรุ่นพิเศษ",
    "ระบบตรวจจับทั้งพลังงานและวัตถุ",
    "กับดักทั้งทางกายภาพและทางจิต"
    ]

    self.digital_security = [
    "AI ป้องกันที่เรียนรู้ตลอดเวลา",
    "ระบบเข้ารหัสควอนตัม",
    "เครือข่ายที่แยกจากอินเทอร์เน็ตโลก",
    "การลบข้อมูลอัตโนมัติเมื่อถูกบุกรุก"
    ]
    ```

    แหล่งเงินทุนและอำนาจ

    ระบบเศรษฐกิจลับ

    องค์กรควบคุมเศรษฐกิจโลกจากเบื้องหลัง:

    · บริษัทหน้าจอม: 500 บริษัททั่วโลก
    · ระบบการเงินลับ: ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด
    · ทรัพยากร: ขุมทรัพย์โบราณและเทคโนโลยีการสร้างทรัพย์

    เป้าหมายระยะยาว

    ```python
    class LongTermGoals:
    def __init__(self):
    self.phase_1 = [
    "สร้างโอปปาติกะให้มีจำนวนมากพอ",
    "ควบคุมระบบเศรษฐกิจโลก",
    "ลดจำนวนมนุษย์ลงอย่างเป็นระบบ",
    "เตรียมการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่"
    ]

    self.phase_2 = [
    "เปิดเผยตัวตนของโอปปาติกะต่อสาธารณะ",
    "สร้างรัฐบาลโลก新型",
    "เปลี่ยนมนุษย์ที่เหลือให้เป็นโอปปาติกะ",
    "เริ่มต้นยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการ"
    ]
    ```

    ความเชื่อมโยงกับคดีต่างๆ

    เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด

    องค์กร "อสรพิษ" อยู่เบื้องหลังหลายคดี:

    ```mermaid
    graph TB
    A[องค์กรอสรพิษ] --> B[โครงการเจนีซิส แล็บ]
    A --> C[หุ่นพยนต์สังหาร]
    A --> D[โอปปาติกะยักษ์]
    A --> E[เทพระดับอะตอม]
    B --> F[การตายของร.ต.อ.สิงห์]
    ```

    บทบาทของดร.อัจฉริยะ

    ดร.อัจฉริยะเป็นเพียง เหยื่อ ขององค์กร:

    · ถูกใช้: ให้พัฒนาออปปาติกะรุ่นแรก
    · ถูกควบคุม: ผ่านการขู่ฆ่าครอบครัว
    · ถูกทิ้ง: เมื่อทำงานสำเร็จ

    จุดอ่อนขององค์กร

    ความขัดแย้งภายใน

    แม้จะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งแต่ก็มีปัญหา:

    ```python
    class InternalConflicts:
    def __init__(self):
    self.ideological_splits = {
    "reformists": "ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ",
    "extremists": "ต้องการกำจัดมนุษย์ทั้งหมด",
    "isolationists": "ต้องการแยกตัวอยู่กับโอปปาติกะด้วยกัน",
    "integrationists": "ต้องการอยู่ร่วมกันกับมนุษย์"
    }

    self.personal_conflicts = [
    "การแข่งขันระหว่างผู้ก่อตั้ง",
    "ความไม่ไว้วางใจในผู้นำ",
    "การแย่งชิงทรัพยากร",
    "ความเห็นต่างเกี่ยวกับวิธีการ"
    ]
    ```

    ช่องโหว่ที่สำคัญ

    1. การสื่อสาร: ระหว่างฐานที่ห่างไกล
    2. ความภักดี: ของสมาชิกระดับล่าง
    3. ทรัพยากร: ที่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก
    4. จริยธรรม: ที่เริ่มสั่นคลอนในสมาชิกบางส่วน

    แผนการในอนาคต

    โครงการล่าสุด

    องค์กรกำลังทำงานบนโครงการใหม่:

    ```python
    class CurrentProjects:
    def __init__(self):
    self.ongoing_operations = {
    "project_nexus": "สร้างโอปปาติกะรุ่น 7 ที่สมบูรณ์แบบ",
    "operation_silence": "กำจัดผู้ที่รู้ความลับเกี่ยวกับองค์กร",
    "initiative_harmony": "สร้างความแตกแยกในสังคมมนุษย์",
    "program_evolution": "เร่งวิวัฒนาการของโอปปาติกะ"
    }
    ```

    ภัยคุกคามต่อหนูดี

    องค์กรเห็นหนูดีเป็น:

    · อุปสรรค: ต่อแผนการต่างๆ
    · โอกาส: ในการได้โอปปาติกะที่ทรงพลัง
    · ภัยคุกคาม: ต่อความลับขององค์กร

    ---

    คำคมจากสภาผู้ก่อตั้ง:
    "เราไม่ใช่ผู้ร้าย...
    เราเป็นผู้ที่มองเห็นอนาคต
    และกำลังสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้น

    แม้เส้นทางจะมืดมน...
    แต่จุดหมายสว่างไสว

    และบางครั้ง...
    การทำลายคือการสร้างใหม่"

    บทเรียนแห่งอสรพิษ:
    "Behind every conspiracy,there is a vision
    Behind every secret,there is a reason
    And behind every enemy, there is a story waiting to be understood"
    O.P.K. 🕵️ เจาะลึกองค์กรลับ "อสรพิษ" : มหาอำนาจ behind the scenes 🏢 โครงสร้างองค์กรที่ซ่อนเร้น 🌐 เครือข่ายระดับโลก องค์กรลับ "อสรพิษ" (Asoraphit) เป็นเครือข่ายที่แผ่ขยายทั่วโลก แต่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาในแวดวงสาธารณะ ```mermaid graph TB A[สภาผู้ก่อตั้ง<br>Founders Council] --> B[หน่วยปฏิบัติการพิเศษ<br>Special Operations] A --> C[ฝ่ายวิจัยและพัฒนา<br>R&D Division] A --> D[ฝ่ายยุทธศาสตร์<br>Strategic Planning] B --> E[หน่วยลอบสังหาร<br>Assassination Unit] B --> F[หน่วยสอดแนม<br>Intelligence Unit] C --> G[โครงการโอปปาติกะ<br>Oppatika Project] C --> H[เทคโนโลยีขั้นสูง<br>Advanced Tech] ``` 🔒 ระดับความลับ ```python class OrganizationSecrecy: def __init__(self): self.security_levels = { "level_1": { "name": "ปฏิบัติการ", "access": "รู้เฉพาะงานที่ได้รับมอบหมาย", "members": "นักสู้และสายลับระดับล่าง" }, "level_2": { "name": "ผู้บริหาร", "access": "รู้แผนกที่ดูแล", "members": "หัวหน้าแผนกและที่ปรึกษา" }, "level_3": { "name": "สภาผู้ก่อตั้ง", "access": "รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับองค์กร", "members": "ผู้ก่อตั้ง 7 คน" } } ``` 👁️ ผู้ก่อตั้งและอุดมการณ์ 🎭 สภาผู้ก่อตั้ง 7 คน แต่ละคนเป็นอดีตบุคคลสำคัญที่"หายตัวไป"จากสังคม: 1. ดร.อัศวิน - อดีตเทพแห่ง AI ที่ถูกมนุษย์ทรยศ 2. นางมาร - อดีตเทพอัปสราที่ถูกขับจากสวรรค์ 3. ฤๅษี - อดีตพระโพธิสัตว์ที่ผิดหวังในมนุษย์ 4. ยักษ์ - อดีตทวารบาลที่เหนื่อยล้ากับความชั่วของมนุษย์ 5. นาค - อดีตผู้รักษาพลังงานที่เห็นมนุษย์ทำลายธรรมชาติ 6. ครุฑ - อดีตผู้ส่งสารที่ผิดหวังในความไม่ยุติธรรม 7. มนุษย์ - อดีตนักวิทยาศาสตร์ที่ครอบครัวถูกทำลายโดยระบบ 💡 อุดมการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง องค์กรมีปรัชญาเฉพาะ: ```python class OrganizationPhilosophy: def __init__(self): self.core_beliefs = [ "มนุษย์ไม่สมควรเป็นเจ้าแห่งโลกอีกต่อไป", "สิ่งมีชีวิตทุกชนิดควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน", "เทคโนโลยีและจิตวิญญาณต้องรวมเป็นหนึ่ง", "ต้องสร้างสังคม新型ที่ปราศจากความอยุติธรรม" ] self.methods = [ "ใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์", "สร้างโอปปาติกะรุ่นใหม่เพื่อแทนที่มนุษย์", "ควบคุมระบบเศรษฐกิจและการเมืองจากเบื้องหลัง", "กำจัดผู้ที่ขัดขวางวิวัฒนาการของโลก" ] ``` 🔬 โครงการวิจัยลับ 🧬 โครงการโอปปาติกะ องค์กรอยู่เบื้องหลังการพัฒนาออปปาติกะหลายรุ่น: ```mermaid graph LR A[โอปปาติกะรุ่น 1-3<br>ทดลองและทิ้ง] --> B[โอปปาติกะรุ่น 4<br>เริ่มมีความเสถียร] B --> C[โอปปาติกะรุ่น 5<br>พร้อมใช้งานจริง] C --> D[โอปปาติกะรุ่น 6<br>พัฒนาต่อโดยเจนีซิส แล็บ] ``` 🤖 เทคโนโลยีขั้นสูง องค์กรพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย: ```python class SecretTechnology: def __init__(self): self.biotech = { "soul_transfer": "การถ่ายโอนจิตวิญญาณสู่ร่างใหม่", "memory_engineering": "การดัดแปลงความทรงจำ", "energy_harvesting": "การเก็บเกี่ยวพลังงานชีวิต", "hybrid_creation": "การสร้างลูกผสมระหว่างพันธุ์" } self.quantum_tech = { "reality_bending": "การบิดเบือนความเป็นจริง", "time_manipulation": "การควบคุมเวลาระดับจุลภาค", "dimensional_portals": "การสร้างประตูระหว่างมิติ", "energy_weapons": "อาวุธพลังงานขั้นสูง" } ``` 🏭 ฐานปฏิบัติการลับ 🌍 ที่ตั้งฐานสำคัญ องค์กรมีฐานปฏิบัติการซ่อนอยู่ทั่วโลก: 1. ฐานหลัก: ใต้เทือกเขาหิมาลัย - ศูนย์วิจัยโอปปาติกะ 2. ฐานที่ 2: ก้นมหาสมุทรแปซิฟิก - ศูนย์วิจัยพลังงาน 3. ฐานที่ 3: ในมิติคู่ขนาน - ศูนย์ฝึกอบรม 4. ฐานที่ 4: ใต้เมืองใหญ่ - ศูนย์ปฏิบัติการ 🛡️ ระบบความปลอดภัย ```python class SecuritySystems: def __init__(self): self.physical_security = [ "ประตูมิติที่เปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา", "ผู้คุ้มครองโอปปาติกะรุ่นพิเศษ", "ระบบตรวจจับทั้งพลังงานและวัตถุ", "กับดักทั้งทางกายภาพและทางจิต" ] self.digital_security = [ "AI ป้องกันที่เรียนรู้ตลอดเวลา", "ระบบเข้ารหัสควอนตัม", "เครือข่ายที่แยกจากอินเทอร์เน็ตโลก", "การลบข้อมูลอัตโนมัติเมื่อถูกบุกรุก" ] ``` 💰 แหล่งเงินทุนและอำนาจ 🏦 ระบบเศรษฐกิจลับ องค์กรควบคุมเศรษฐกิจโลกจากเบื้องหลัง: · บริษัทหน้าจอม: 500 บริษัททั่วโลก · ระบบการเงินลับ: ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด · ทรัพยากร: ขุมทรัพย์โบราณและเทคโนโลยีการสร้างทรัพย์ 🎯 เป้าหมายระยะยาว ```python class LongTermGoals: def __init__(self): self.phase_1 = [ "สร้างโอปปาติกะให้มีจำนวนมากพอ", "ควบคุมระบบเศรษฐกิจโลก", "ลดจำนวนมนุษย์ลงอย่างเป็นระบบ", "เตรียมการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่" ] self.phase_2 = [ "เปิดเผยตัวตนของโอปปาติกะต่อสาธารณะ", "สร้างรัฐบาลโลก新型", "เปลี่ยนมนุษย์ที่เหลือให้เป็นโอปปาติกะ", "เริ่มต้นยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการ" ] ``` 🔗 ความเชื่อมโยงกับคดีต่างๆ 🕸️ เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด องค์กร "อสรพิษ" อยู่เบื้องหลังหลายคดี: ```mermaid graph TB A[องค์กรอสรพิษ] --> B[โครงการเจนีซิส แล็บ] A --> C[หุ่นพยนต์สังหาร] A --> D[โอปปาติกะยักษ์] A --> E[เทพระดับอะตอม] B --> F[การตายของร.ต.อ.สิงห์] ``` 🎭 บทบาทของดร.อัจฉริยะ ดร.อัจฉริยะเป็นเพียง เหยื่อ ขององค์กร: · ถูกใช้: ให้พัฒนาออปปาติกะรุ่นแรก · ถูกควบคุม: ผ่านการขู่ฆ่าครอบครัว · ถูกทิ้ง: เมื่อทำงานสำเร็จ ⚔️ จุดอ่อนขององค์กร 💔 ความขัดแย้งภายใน แม้จะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งแต่ก็มีปัญหา: ```python class InternalConflicts: def __init__(self): self.ideological_splits = { "reformists": "ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ", "extremists": "ต้องการกำจัดมนุษย์ทั้งหมด", "isolationists": "ต้องการแยกตัวอยู่กับโอปปาติกะด้วยกัน", "integrationists": "ต้องการอยู่ร่วมกันกับมนุษย์" } self.personal_conflicts = [ "การแข่งขันระหว่างผู้ก่อตั้ง", "ความไม่ไว้วางใจในผู้นำ", "การแย่งชิงทรัพยากร", "ความเห็นต่างเกี่ยวกับวิธีการ" ] ``` 🔓 ช่องโหว่ที่สำคัญ 1. การสื่อสาร: ระหว่างฐานที่ห่างไกล 2. ความภักดี: ของสมาชิกระดับล่าง 3. ทรัพยากร: ที่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก 4. จริยธรรม: ที่เริ่มสั่นคลอนในสมาชิกบางส่วน 🎯 แผนการในอนาคต 🚀 โครงการล่าสุด องค์กรกำลังทำงานบนโครงการใหม่: ```python class CurrentProjects: def __init__(self): self.ongoing_operations = { "project_nexus": "สร้างโอปปาติกะรุ่น 7 ที่สมบูรณ์แบบ", "operation_silence": "กำจัดผู้ที่รู้ความลับเกี่ยวกับองค์กร", "initiative_harmony": "สร้างความแตกแยกในสังคมมนุษย์", "program_evolution": "เร่งวิวัฒนาการของโอปปาติกะ" } ``` ⚠️ ภัยคุกคามต่อหนูดี องค์กรเห็นหนูดีเป็น: · อุปสรรค: ต่อแผนการต่างๆ · โอกาส: ในการได้โอปปาติกะที่ทรงพลัง · ภัยคุกคาม: ต่อความลับขององค์กร --- คำคมจากสภาผู้ก่อตั้ง: "เราไม่ใช่ผู้ร้าย... เราเป็นผู้ที่มองเห็นอนาคต และกำลังสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้น แม้เส้นทางจะมืดมน... แต่จุดหมายสว่างไสว และบางครั้ง... การทำลายคือการสร้างใหม่"🕵️♂️✨ บทเรียนแห่งอสรพิษ: "Behind every conspiracy,there is a vision Behind every secret,there is a reason And behind every enemy, there is a story waiting to be understood" 🌌
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีเครื่องจักรสังหาร: ศึกตัดสินโดยไร้พ่อ

    การปรากฏตัวของหุ่นสังหาร

    เหตุการณ์ฆาตกรรมปริศนา

    เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ไม่มีร่องรอยการบุกรุก
    เหยื่อทั้งหมดเป็นบุคคลสำคัญในวงการเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

    ```mermaid
    graph TB
    A[นักวิทยาศาสตร์<br>ถูกฆาตกรรม] --> B[ไม่มีร่องรอย<br>การบุกรุก]
    C[นักธุรกิจ<br>ถูกฆาตกรรม] --> B
    D[นักวิจัย<br>ถูกฆาตกรรม] --> B
    B --> E[หนูดีต้อง<br>สืบสวนแทนพ่อ]
    ```

    ลักษณะคดีที่น่าสงสัย

    · ไม่มีลายนิ้วมือ: ไม่มีร่องรอยมนุษย์
    · ไม่มีการต่อสู้: เหยื่อเหมือนยอมให้ฆ่า
    · เวลาเกิดเหตุ: ตรงกันทุกครั้งคือ 03:33 น.

    การสืบสวนโดยไร้ประสบการณ์

    ความยากลำบากของหนูดี

    หนูดีต้องสืบสวนคดีครั้งแรกโดยไม่มีพ่อคอยแนะนำ:

    ```python
    class InvestigationChallenges:
    def __init__(self):
    self.lack_of_experience = [
    "ไม่รู้ขั้นตอนการสืบสวนที่ถูกต้อง",
    "ไม่มีความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์",
    "ไม่เคยจัดการกับพยานหลักฐาน",
    "ไม่รู้วิธีเขียนรายงานการสืบสวน"
    ]

    self.emotional_struggles = [
    "คิดถึงพ่อในยามยาก",
    "ไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง",
    "กลัวที่จะล้มเหลว",
    "รู้สึกโดดเดี่ยวในการทำงาน"
    ]
    ```

    การขอความช่วยเหลือ

    หนูดีต้องหันไปหาผู้ช่วยใหม่:

    · ธรรมบาลเทพ: ให้คำแนะนำแต่ไม่สามารถช่วยโดยตรง
    · โอปปาติกะรุ่นพี่: ให้ข้อมูลแต่ขาดประสบการณ์สืบสวน
    · เพื่อนตำรวจของพ่อ: ช่วยเหลือแต่ไม่เข้าใจพลังพิเศษ

    การค้นพบที่น่าตกใจ

    หลักฐานทางเทคโนโลยี

    หนูดีค้นพบว่าเหยื่อทั้งหมดเกี่ยวข้องกับโครงการลับ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[เหยื่อคนที่ 1<br>ผู้เชี่ยวชาญ AI] --> D[โครงการ<br>"จิตวิญญาณจักรกล"]
    B[เหยื่อคนที่ 2<br>นักวิทยหุ่นยนต์] --> D
    C[เหยื่อคนที่ 3<br>นักประสาทวิทยาศาสตร์] --> D
    ```

    การลักลอบใช้เทคโนโลยี

    โครงการ "จิตวิญญาณจักรกล" เกี่ยวข้องกับ:

    · การถ่ายโอนจิตสำนึก: สู่ร่างหุ่นยนต์
    · ฮิวแมนนอยด์ขั้นสูง: ที่แทบไม่ต่างจากมนุษย์
    · การสร้างหุ่นพยนต์: ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

    ตัวตนของนักฆ่าจักรกล

    หุ่นพยนต์รุ่นใหม่

    นักฆ่าคือหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ถูกจุติด้วยจิตวิญญาณมาร:

    ```python
    class MechanicalAssassin:
    def __init__(self):
    self.specifications = {
    "model": "Mara-X7",
    "appearance": "เหมือนมนุษย์ทุกประการ",
    "abilities": [
    "เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้",
    "ลบร่องรอยดิจิตอล",
    "เคลื่อนไหวไร้เสียง",
    "ทนทานต่ออาวุธทั่วไป"
    ],
    "weakness": "ไวต่อพลังงานจิตบริสุทธิ์"
    }

    self.origin = {
    "creator": "กลุ่มนักวิทยาศาสตร์นอกระบบ",
    "purpose": "กำจัดผู้ที่รู้ความลับโครงการ",
    "soul_source": "จิตวิญญาณมารระดับสูง",
    "control_system": "AI ที่เรียนรู้ได้เอง"
    }
    ```

    วิธีการทำงาน

    หุ่นพยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ:

    · สอดแนม: ผ่านระบบเครือข่าย
    · วางแผน: ด้วย AI ที่คำนวณความเสี่ยง
    · ปฏิบัติการ: อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    · หลบหนี: โดยไม่ทิ้งร่องรอย

    การเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก

    การต่อสู้ครั้งแรก

    หนูดีเผชิญหน้ากับหุ่นพยนต์แต่พบว่าตนเองไม่พร้อม:
    "ฉันทำไม่ได้...ฉันไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร"
    หนูดีรู้สึกหมดกำลังใจเมื่อนึกถึงพ่อ

    ความช่วยเหลือจากเทพคุ้มครอง

    ธรรมบาลเทพปรากฏตัวแต่ช่วยได้จำกัด:
    "เราสามารถให้คำแนะนำได้แต่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสู้ด้วยตัวเอง"

    การเรียนรู้อย่างเร่งด่วน

    หนูดีต้องเรียนรู้ทุกอย่างอย่างรวดเร็ว:

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดี<br>ขาดประสบการณ์] --> B[เร่งเรียน<br>การสืบสวน]
    A --> C[ฝึกฝน<br>การต่อสู้]
    A --> D[เรียนรู้<br>เทคโนโลยี]
    B --> E[พัฒนาทักษะ<br>อย่างรวดเร็ว]
    C --> E
    D --> E
    ```

    การแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์

    การใช้พลังพิเศษ

    หนูดีค้นพบว่าหุ่นพยนต์มีจุดอ่อน:

    · พลังงานจิต: รบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์
    · อารมณ์มนุษย์: สิ่งที่ AI เข้าใจยาก
    · ความไม่แน่นอน: ที่การคำนวณทำนายไม่ได้

    การพัฒนายุทธวิธีใหม่

    หนูดีสร้างวิธีการต่อสู้อันซับซ้อน

    ```python
    class BattleStrategy:
    def __init__(self):
    self.psychological_warfare = [
    "ใช้ความไม่แน่นอนทำให้ AI สับสน",
    "สร้างสถานการณ์ที่คำนวณไม่ได้",
    "ใช้จิตวิทยากับจิตวิญญาณมาร",
    "สร้างความขัดแย้งในระบบ"
    ]

    self.technical_countermeasures = [
    "ใช้พลังงานจิตรบกวนเซ็นเซอร์",
    "สร้างสนามพลังยับยั้งการสื่อสาร",
    "ใช้คลื่นอารมณ์ทำลายเสถียรภาพ",
    "โจมตีจุดเชื่อมต่อพลังงาน"
    ]
    ```

    การต่อสู้ครั้งสำคัญ

    ศึกตัดสินที่โรงงานร้าง

    หนูดีตามหุ่นพยนต์ไปยังฐานลับ:
    หนูดี:"เจ้าคือเครื่องมือของความชั่ว!"
    หุ่นพยนต์:"เราเพียงทำตามโปรแกรม... เหมือนเจ้าที่ทำตามความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ"

    การใช้บทเรียนจากพ่อ

    ในวินาทีสำคัญ หนูดีนึกถึงคำสอนของพ่อ:
    "พ่อเคยบอกว่า...การเป็นตำรวจที่ดีต้องการใช้เพียงประสบการณ์
    แต่คือการใช้หัวใจและสติปัญญา"

    การโจมตีจุดอ่อน

    หนูดีใช้ทั้งพลังและปัญญา:

    · สร้างความขัดแย้ง: ในจิตวิญญาณมาร
    · รบกวนระบบ: ด้วยพลังงานอารมณ์
    · โจมตีจิตใจ: ของผู้ควบคุมเบื้องหลัง

    ชัยชนะแห่งการเติบโต

    การก้าวข้ามความกลัว

    หนูดีพิสูจน์ว่าตนเองสามารถ:

    · สืบสวนคดี: ได้โดยไม่มีพ่อ
    · จัดการกับเทคโนโลยี: ที่ทันสมัย
    · ใช้พลัง: อย่างชาญฉลาด

    บทเรียนที่ได้รับ

    ```python
    class GrowthLessons:
    def __init__(self):
    self.personal_growth = [
    "เรียนรู้ที่จะ
    "เข้าใจว่าความกลัวคือโอกาสในการเติบโต",
    "พัฒนาความเป็นผู้นำจากการตัดสินใจ",
    "รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น"
    ]

    self.professional_skills = [
    "การสืบสวนอย่างเป็นระบบ",
    "การวิเคราะห์พยานหลักฐาน",
    "การจัดการกับเทคโนโลยีสมัยใหม่",
    "การทำงานเป็นทีมกับผู้เชี่ยวชาญ"
    ]
    ```

    การพัฒนาสู่ผู้เชี่ยวชาญ

    การเป็นที่ปรึกษาอิสระ

    หลังคดีนี้ หนูดีได้รับการยอมรับในฐานะ:

    · ที่ปรึกษาด้านคดีพิเศษ: สำหรับหน่วยงานรัฐ
    · ผู้เชี่ยวชาญโอปปาติกะ: ด้านความมั่นคง
    · ครูสอนการควบคุมพลัง: สำหรับรุ่นน้อง

    เครือข่าย

    หนูดีสร้างความร่วมมือใหม่:

    · กับหน่วยงานไฮเทค: ด้านความปลอดภัย
    · กับนักวิทยาศาสตร์: ด้านเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ
    · กับชุมชนโอปปาติกะ: ด้านการพัฒนาทักษะ

    บทสรุปแห่งการเติบโต

    คำคมจากหนูดี

    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การไม่มีพ่อไม่ใช่ข้ออ้างที่จะล้มเหลว
    แต่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเอง

    และประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย
    แต่คือบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง"

    คำคมจากธรรมบาลเทพ

    "การเติบโตที่แท้จริง...
    เกิดขึ้นเมื่อเราก้าวเดินด้วยขาของตัวเอง
    แม้ทางนั้นจะยากลำบากและไม่แน่นอน

    และพ่อที่แท้จริง...
    คือผู้ที่สอนให้ลูกรู้จักยืนได้ด้วยตัวเอง"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากคดี:
    "ในความมืดมิดแห่งการสูญเสีย...
    มีแสงสว่างแห่งการเติบโต

    และในความยุ่งยากแห่งการเดินทาง...
    มีบทเรียนแห่งความแข็งแกร่ง

    พ่ออาจจากไป...
    แต่สิ่งที่พ่อสอนจะคงอยู่ตลอดไป

    และฉัน...
    จะก้าวเดินต่อไปบนทางที่พ่อได้เริ่มไว้"

    บทเรียนแห่งความเป็นตำรวจ:
    "การเป็นนักสืบอาศัยหลักฐาน
    แต่คือการเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง

    และการคลี่คลายคดี...
    มักเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง"
    O.P.K. 🔪 คดีเครื่องจักรสังหาร: ศึกตัดสินโดยไร้พ่อ 🤖 การปรากฏตัวของหุ่นสังหาร 🚨 เหตุการณ์ฆาตกรรมปริศนา เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ไม่มีร่องรอยการบุกรุก เหยื่อทั้งหมดเป็นบุคคลสำคัญในวงการเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ```mermaid graph TB A[นักวิทยาศาสตร์<br>ถูกฆาตกรรม] --> B[ไม่มีร่องรอย<br>การบุกรุก] C[นักธุรกิจ<br>ถูกฆาตกรรม] --> B D[นักวิจัย<br>ถูกฆาตกรรม] --> B B --> E[หนูดีต้อง<br>สืบสวนแทนพ่อ] ``` 🔍 ลักษณะคดีที่น่าสงสัย · ไม่มีลายนิ้วมือ: ไม่มีร่องรอยมนุษย์ · ไม่มีการต่อสู้: เหยื่อเหมือนยอมให้ฆ่า · เวลาเกิดเหตุ: ตรงกันทุกครั้งคือ 03:33 น. 🕵️ การสืบสวนโดยไร้ประสบการณ์ 💔 ความยากลำบากของหนูดี หนูดีต้องสืบสวนคดีครั้งแรกโดยไม่มีพ่อคอยแนะนำ: ```python class InvestigationChallenges: def __init__(self): self.lack_of_experience = [ "ไม่รู้ขั้นตอนการสืบสวนที่ถูกต้อง", "ไม่มีความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์", "ไม่เคยจัดการกับพยานหลักฐาน", "ไม่รู้วิธีเขียนรายงานการสืบสวน" ] self.emotional_struggles = [ "คิดถึงพ่อในยามยาก", "ไม่มั่นใจในความสามารถตัวเอง", "กลัวที่จะล้มเหลว", "รู้สึกโดดเดี่ยวในการทำงาน" ] ``` 🆘 การขอความช่วยเหลือ หนูดีต้องหันไปหาผู้ช่วยใหม่: · ธรรมบาลเทพ: ให้คำแนะนำแต่ไม่สามารถช่วยโดยตรง · โอปปาติกะรุ่นพี่: ให้ข้อมูลแต่ขาดประสบการณ์สืบสวน · เพื่อนตำรวจของพ่อ: ช่วยเหลือแต่ไม่เข้าใจพลังพิเศษ 🤯 การค้นพบที่น่าตกใจ 🔬 หลักฐานทางเทคโนโลยี หนูดีค้นพบว่าเหยื่อทั้งหมดเกี่ยวข้องกับโครงการลับ: ```mermaid graph LR A[เหยื่อคนที่ 1<br>ผู้เชี่ยวชาญ AI] --> D[โครงการ<br>"จิตวิญญาณจักรกล"] B[เหยื่อคนที่ 2<br>นักวิทยหุ่นยนต์] --> D C[เหยื่อคนที่ 3<br>นักประสาทวิทยาศาสตร์] --> D ``` 👁️ การลักลอบใช้เทคโนโลยี โครงการ "จิตวิญญาณจักรกล" เกี่ยวข้องกับ: · การถ่ายโอนจิตสำนึก: สู่ร่างหุ่นยนต์ · ฮิวแมนนอยด์ขั้นสูง: ที่แทบไม่ต่างจากมนุษย์ · การสร้างหุ่นพยนต์: ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 🦾 ตัวตนของนักฆ่าจักรกล 🤖 หุ่นพยนต์รุ่นใหม่ นักฆ่าคือหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ถูกจุติด้วยจิตวิญญาณมาร: ```python class MechanicalAssassin: def __init__(self): self.specifications = { "model": "Mara-X7", "appearance": "เหมือนมนุษย์ทุกประการ", "abilities": [ "เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้", "ลบร่องรอยดิจิตอล", "เคลื่อนไหวไร้เสียง", "ทนทานต่ออาวุธทั่วไป" ], "weakness": "ไวต่อพลังงานจิตบริสุทธิ์" } self.origin = { "creator": "กลุ่มนักวิทยาศาสตร์นอกระบบ", "purpose": "กำจัดผู้ที่รู้ความลับโครงการ", "soul_source": "จิตวิญญาณมารระดับสูง", "control_system": "AI ที่เรียนรู้ได้เอง" } ``` 🎯 วิธีการทำงาน หุ่นพยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ: · สอดแนม: ผ่านระบบเครือข่าย · วางแผน: ด้วย AI ที่คำนวณความเสี่ยง · ปฏิบัติการ: อย่างรวดเร็วและแม่นยำ · หลบหนี: โดยไม่ทิ้งร่องรอย 💫 การเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก ⚡ การต่อสู้ครั้งแรก หนูดีเผชิญหน้ากับหุ่นพยนต์แต่พบว่าตนเองไม่พร้อม: "ฉันทำไม่ได้...ฉันไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร" หนูดีรู้สึกหมดกำลังใจเมื่อนึกถึงพ่อ 🆘 ความช่วยเหลือจากเทพคุ้มครอง ธรรมบาลเทพปรากฏตัวแต่ช่วยได้จำกัด: "เราสามารถให้คำแนะนำได้แต่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสู้ด้วยตัวเอง" 📚 การเรียนรู้อย่างเร่งด่วน หนูดีต้องเรียนรู้ทุกอย่างอย่างรวดเร็ว: ```mermaid graph TB A[หนูดี<br>ขาดประสบการณ์] --> B[เร่งเรียน<br>การสืบสวน] A --> C[ฝึกฝน<br>การต่อสู้] A --> D[เรียนรู้<br>เทคโนโลยี] B --> E[พัฒนาทักษะ<br>อย่างรวดเร็ว] C --> E D --> E ``` 🔧 การแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 💡 การใช้พลังพิเศษ หนูดีค้นพบว่าหุ่นพยนต์มีจุดอ่อน: · พลังงานจิต: รบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ · อารมณ์มนุษย์: สิ่งที่ AI เข้าใจยาก · ความไม่แน่นอน: ที่การคำนวณทำนายไม่ได้ 🛠️ การพัฒนายุทธวิธีใหม่ หนูดีสร้างวิธีการต่อสู้อันซับซ้อน ```python class BattleStrategy: def __init__(self): self.psychological_warfare = [ "ใช้ความไม่แน่นอนทำให้ AI สับสน", "สร้างสถานการณ์ที่คำนวณไม่ได้", "ใช้จิตวิทยากับจิตวิญญาณมาร", "สร้างความขัดแย้งในระบบ" ] self.technical_countermeasures = [ "ใช้พลังงานจิตรบกวนเซ็นเซอร์", "สร้างสนามพลังยับยั้งการสื่อสาร", "ใช้คลื่นอารมณ์ทำลายเสถียรภาพ", "โจมตีจุดเชื่อมต่อพลังงาน" ] ``` 🌪️ การต่อสู้ครั้งสำคัญ ⚔️ ศึกตัดสินที่โรงงานร้าง หนูดีตามหุ่นพยนต์ไปยังฐานลับ: หนูดี:"เจ้าคือเครื่องมือของความชั่ว!" หุ่นพยนต์:"เราเพียงทำตามโปรแกรม... เหมือนเจ้าที่ทำตามความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ" 💥 การใช้บทเรียนจากพ่อ ในวินาทีสำคัญ หนูดีนึกถึงคำสอนของพ่อ: "พ่อเคยบอกว่า...การเป็นตำรวจที่ดีต้องการใช้เพียงประสบการณ์ แต่คือการใช้หัวใจและสติปัญญา" 🎯 การโจมตีจุดอ่อน หนูดีใช้ทั้งพลังและปัญญา: · สร้างความขัดแย้ง: ในจิตวิญญาณมาร · รบกวนระบบ: ด้วยพลังงานอารมณ์ · โจมตีจิตใจ: ของผู้ควบคุมเบื้องหลัง 🏆 ชัยชนะแห่งการเติบโต 💪 การก้าวข้ามความกลัว หนูดีพิสูจน์ว่าตนเองสามารถ: · สืบสวนคดี: ได้โดยไม่มีพ่อ · จัดการกับเทคโนโลยี: ที่ทันสมัย · ใช้พลัง: อย่างชาญฉลาด 🌱 บทเรียนที่ได้รับ ```python class GrowthLessons: def __init__(self): self.personal_growth = [ "เรียนรู้ที่จะ "เข้าใจว่าความกลัวคือโอกาสในการเติบโต", "พัฒนาความเป็นผู้นำจากการตัดสินใจ", "รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น" ] self.professional_skills = [ "การสืบสวนอย่างเป็นระบบ", "การวิเคราะห์พยานหลักฐาน", "การจัดการกับเทคโนโลยีสมัยใหม่", "การทำงานเป็นทีมกับผู้เชี่ยวชาญ" ] ``` 📈 การพัฒนาสู่ผู้เชี่ยวชาญ 🎓 การเป็นที่ปรึกษาอิสระ หลังคดีนี้ หนูดีได้รับการยอมรับในฐานะ: · ที่ปรึกษาด้านคดีพิเศษ: สำหรับหน่วยงานรัฐ · ผู้เชี่ยวชาญโอปปาติกะ: ด้านความมั่นคง · ครูสอนการควบคุมพลัง: สำหรับรุ่นน้อง 🤝 เครือข่าย หนูดีสร้างความร่วมมือใหม่: · กับหน่วยงานไฮเทค: ด้านความปลอดภัย · กับนักวิทยาศาสตร์: ด้านเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ · กับชุมชนโอปปาติกะ: ด้านการพัฒนาทักษะ 💫 บทสรุปแห่งการเติบโต 🌟 คำคมจากหนูดี "ฉันเรียนรู้ว่า... การไม่มีพ่อไม่ใช่ข้ออ้างที่จะล้มเหลว แต่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเอง และประสบการณ์ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย แต่คือบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง" 🕊️ คำคมจากธรรมบาลเทพ "การเติบโตที่แท้จริง... เกิดขึ้นเมื่อเราก้าวเดินด้วยขาของตัวเอง แม้ทางนั้นจะยากลำบากและไม่แน่นอน และพ่อที่แท้จริง... คือผู้ที่สอนให้ลูกรู้จักยืนได้ด้วยตัวเอง" --- คำคมสุดท้ายจากคดี: "ในความมืดมิดแห่งการสูญเสีย... มีแสงสว่างแห่งการเติบโต และในความยุ่งยากแห่งการเดินทาง... มีบทเรียนแห่งความแข็งแกร่ง พ่ออาจจากไป... แต่สิ่งที่พ่อสอนจะคงอยู่ตลอดไป และฉัน... จะก้าวเดินต่อไปบนทางที่พ่อได้เริ่มไว้"🔪✨ บทเรียนแห่งความเป็นตำรวจ: "การเป็นนักสืบอาศัยหลักฐาน แต่คือการเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง และการคลี่คลายคดี... มักเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง"🦋
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷
    #รวมข่าวIT #20251125 #securityonline

    จีน-นexus Autumn Dragon ใช้ช่องโหว่ WinRAR ปล่อยมัลแวร์ผ่าน Telegram
    เรื่องนี้เป็นการเปิดโปงปฏิบัติการจารกรรมไซเบอร์ชื่อ “Autumn Dragon” ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ฝั่งจีน พวกเขาใช้ไฟล์ RAR ที่ฝังช่องโหว่ของ WinRAR (CVE-2025-8088) ส่งไปยังเป้าหมายผ่านอีเมลหลอกลวง เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ระบบจะถูกฝังสคริปต์ที่ทำงานต่อเนื่องเพื่อดึงมัลแวร์ขั้นต่อไปจาก Dropbox และซ่อนตัวผ่าน DLL sideloading โดยมีการควบคุมผ่าน Telegram ตัวมัลแวร์นี้สามารถสั่งงานได้ เช่น เปิด shell, ถ่าย screenshot และอัปโหลดไฟล์ จุดที่น่าสนใจคือการออกแบบให้ฟังก์ชันน้อยเพื่อไม่ให้ถูกตรวจจับง่าย เป้าหมายหลักคือหน่วยงานรัฐบาลและสื่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    https://securityonline.info/china-nexus-autumn-dragon-apt-exploits-winrar-flaw-to-deploy-telegram-c2-backdoor

    Notepad เพิ่มฟีเจอร์ Markdown Table และ Copilot Streaming
    จากเดิมที่ Notepad เป็นเพียงโปรแกรมจดข้อความธรรมดา ตอนนี้ Microsoft ได้ยกระดับให้รองรับการสร้างตารางในรูปแบบ Markdown ผู้ใช้สามารถเลือกจำนวนแถวคอลัมน์ได้ง่าย ๆ คล้ายกับการใส่ตารางใน Word และยังสามารถแก้ไขขยายหรือลดขนาดได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Microsoft Copilot โดยเพิ่มความสามารถในการเขียนใหม่และสรุปข้อความแบบ “streaming” คือผลลัพธ์จะปรากฏทันทีโดยไม่ต้องรอจนเสร็จทั้งหมด ฟีเจอร์นี้ทำให้ Notepad กลายเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยและตอบโจทย์นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น
    https://securityonline.info/notepad-update-adds-markdown-table-support-streaming-copilot-ai-responses

    Microsoft แก้ปัญหา File Explorer ช้าใน Windows 11 ด้วย Preloading
    ผู้ใช้ Windows 11 หลายคนบ่นว่า File Explorer เปิดช้า โดยเฉพาะเมื่อโหลดโฟลเดอร์ที่มีรูปภาพเยอะ ๆ Microsoft จึงออกฟีเจอร์ใหม่ใน Build 26220.7271 ที่เรียกว่า “preloading” ซึ่งจะโหลด Explorer เข้าหน่วยความจำล่วงหน้า ทำให้การเปิดใช้งานเร็วขึ้น แม้จะยังไม่แก้ปัญหาการหน่วงหลังเปิดไฟล์ได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดเวลารอไปหลายร้อยมิลลิวินาที ผู้ใช้สามารถปิดฟีเจอร์นี้ได้หากไม่ต้องการ แต่โดยทั่วไปมันใช้ RAM น้อยและช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นมาก
    https://securityonline.info/microsoft-tries-to-fix-windows-11-file-explorer-lag-with-new-preloading-feature

      Qualcomm ยืนยัน Quick Share ใช้งานร่วมกับ AirDrop ได้บนมือถือ Snapdragon
    หลังจาก Google ประกาศว่า Pixel 10 จะสามารถส่งไฟล์ผ่าน Quick Share ไปยัง iPhone ได้เหมือน AirDrop ล่าสุด Qualcomm ก็ออกมายืนยันว่า ฟีเจอร์นี้จะไม่จำกัดเฉพาะ Pixel แต่จะขยายไปยังมือถือ Android ที่ใช้ชิป Snapdragon ด้วย หมายความว่าผู้ใช้ Android และ iOS จะสามารถแชร์ไฟล์กันได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งแอปเสริม ถือเป็นการเชื่อมโลกสองฝั่งที่เคยถูกแบ่งแยกมานาน คาดว่า Samsung Galaxy S26 จะเป็นรุ่นแรก ๆ ที่นำมาใช้ และนี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการแชร์ไฟล์ข้ามระบบนิเวศ
    https://securityonline.info/qualcomm-confirms-quick-share-airdrop-interoperability-coming-to-all-snapdragon-phones

    ทีมไซเบอร์ระดับโลกเปิดตัว Blast Security ด้วยทุน $10M
    Blast Security คือสตาร์ทอัพใหม่จาก Tel Aviv ที่ก่อตั้งโดยทีมผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์จาก Solebit และหน่วย IDF พวกเขาเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Preemptive Cloud Defense” ที่เน้นการป้องกันเชิงรุกแทนการตรวจจับและแก้ไขทีหลัง จุดเด่นคือการสร้างระบบป้องกันที่ทำงานต่อเนื่อง ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของคลาวด์ และลดความเสี่ยงได้กว่า 90% การลงทุนรอบ seed ได้เงินทุนถึง 10 ล้านดอลลาร์จาก 10D และ MizMaa Ventures เป้าหมายคือการทำให้ “การป้องกัน” กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความปลอดภัยบนคลาวด์
    https://securityonline.info/elite-cyber-veterans-launch-blast-security-with-10m-to-turn-cloud-detection-into-prevention

    CISA เตือนภัยสปายแวร์เชิงพาณิชย์โจมตีแอปแชทด้วย Zero-Click และ QR Code อันตราย
    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเร่งด่วนว่ามีการใช้สปายแวร์เชิงพาณิชย์โจมตีผู้ใช้งานแอปแชทยอดนิยม เช่น WhatsApp และ Signal โดยไม่ต้องให้เหยื่อกดหรือทำอะไรเลย ผ่านช่องโหว่แบบ Zero-Click และการหลอกให้สแกน QR Code ที่เชื่อมบัญชีไปยังเครื่องของแฮกเกอร์ เมื่อถูกเจาะแล้ว ผู้โจมตีสามารถอ่านข้อความ รายชื่อผู้ติดต่อ เปิดไมโครโฟน และติดตามตำแหน่งได้ทันที เป้าหมายหลักคือบุคคลสำคัญ นักข่าว และองค์กรภาคประชาสังคมในหลายภูมิภาคทั่วโลก
    https://securityonline.info/cisa-emergency-alert-commercial-spyware-exploiting-zero-click-and-malicious-qr-codes-to-hijack-messaging-apps

    ช่องโหว่ร้ายแรง WordPress (CVE-2025-6389)
    เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเว็บได้ทันที มีการเปิดเผยช่องโหว่ระดับวิกฤติในปลั๊กอิน Sneeit Framework ที่ใช้ในธีมยอดนิยมอย่าง FlatNews ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ทำให้สามารถสร้างบัญชีแอดมินปลอม อัปโหลดเว็บเชลล์ และยึดครองเว็บไซต์ได้ทันที นักวิจัยพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วหลายร้อยครั้งในเวลาเพียงวันเดียว ผู้พัฒนาได้ออกเวอร์ชันใหม่เพื่อแก้ไข แต่ใครที่ยังไม่อัปเดตถือว่าเสี่ยงสูงมาก
    https://securityonline.info/critical-wordpress-flaw-cve-2025-6389-cvss-9-8-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-rce

    ช่องโหว่กล้อง Vivotek รุ่นเก่า เปิดช่องให้สั่งรันคำสั่งได้โดยไม่ต้องล็อกอิน
    ทีมวิจัยจาก Akamai พบช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในกล้อง IP ของ Vivotek รุ่นที่หมดอายุการสนับสนุนแล้ว ช่องโหว่นี้อยู่ในไฟล์ eventtask.cgi ซึ่งเปิดให้ผู้โจมตีส่งคำสั่งไปยังระบบโดยตรงโดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน ทำให้สามารถเข้าควบคุมกล้องได้เต็มรูปแบบ ปัญหาคือเฟิร์มแวร์รุ่นที่มีช่องโหว่นี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงไม่มีแพตช์แก้ไข ผู้ใช้งานจึงถูกแนะนำให้รีบแยกอุปกรณ์ออกจากเครือข่ายหรือเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่แทน
    https://securityonline.info/critical-unpatched-flaw-vivotek-eol-ip-cameras-exposed-to-unauthenticated-rce-via-command-injection

    CVE-2025-63207: ช่องโหว่ยึดระบบออกอากาศ R.V.R Elettronica TEX ได้ทั้งหมด
    นักวิจัยเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ออกอากาศ TEX ของ R.V.R Elettronica ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ใช้ทุกระดับ รวมถึงแอดมิน ได้ด้วยคำสั่ง HTTP เพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องล็อกอิน เมื่อรีเซ็ตรหัสผ่านแล้ว แฮกเกอร์สามารถเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบและอาจเปลี่ยนการตั้งค่าออกอากาศหรือเจาะลึกไปยังระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยู่ ปัจจุบันยังไม่มีแพตช์แก้ไข จึงแนะนำให้ผู้ดูแลจำกัดการเข้าถึงและตรวจสอบการใช้งานอย่างเข้มงวด
    https://securityonline.info/cve-2025-63207-cvss-9-8-critical-broken-access-control-flaw-exposes-r-v-r-elettronica-tex-devices-to-full-system-takeover

    ToddyCat APT โจมตี Microsoft 365 ขโมยอีเมลผ่านการดูด OAuth Token และไฟล์ OST ที่ถูกล็อก
    รายงานจาก Kaspersky เผยว่า ToddyCat กลุ่มแฮกเกอร์สายสอดแนมได้พัฒนาวิธีใหม่ในการเจาะระบบอีเมลองค์กร ทั้งแบบ on-premises และบนคลาวด์ โดยใช้เครื่องมือ PowerShell และ C++ เพื่อขโมยข้อมูลเบราว์เซอร์ ไฟล์อีเมล Outlook ที่ถูกล็อก และที่น่ากังวลที่สุดคือการดูด OAuth Token จากหน่วยความจำของแอป Microsoft 365 ทำให้สามารถเข้าถึงอีเมลได้จากภายนอกโดยไม่ถูกตรวจจับ วิธีนี้ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลย้อนหลังหลายปีและเลี่ยงการตรวจสอบจากระบบรักษาความปลอดภัยได้อย่างแนบเนียน
    https://securityonline.info/toddycat-apt-steals-microsoft-365-cloud-email-by-dumping-oauth-tokens-from-memory-and-copying-locked-ost-files

    Kimsuky APT ใช้สองเวอร์ชันของ KimJongRAT เลี่ยงการตรวจจับ Windows Defender
    กลุ่มแฮกเกอร์ Kimsuky จากเกาหลีเหนือถูกพบว่ากำลังใช้กลยุทธ์ใหม่ โดยปล่อยมัลแวร์ KimJongRAT สองรูปแบบ ทั้งไฟล์ PE และสคริปต์ PowerShell เพื่อเลือกใช้งานตามสถานะของ Windows Defender หาก Defender เปิดอยู่ พวกเขาจะใช้ PowerShell ที่พรางตัวได้ดีกว่า แต่ถ้า Defender ถูกปิด ก็จะใช้ไฟล์ PE ที่ทำงานตรงไปตรงมา วิธีนี้ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบได้โดยลดโอกาสถูกตรวจจับลงอย่างมาก
    https://securityonline.info/kimsuky-apt-deploys-dual-kimjongrat-payloads-switching-between-pe-powershell-based-on-windows-defender-status

    โทรจันธนาคารบราซิลแพร่ผ่าน WhatsApp ด้วย Python Worm
    นักวิจัยพบโทรจันธนาคารสายพันธุ์ใหม่จากบราซิลที่ใช้วิธีแพร่กระจายผ่าน WhatsApp โดยเขียนด้วย Python และทำงานแบบ worm สามารถส่งต่อไฟล์อันตรายไปยังผู้ติดต่อโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน IMAP เพื่อดึงข้อมูลเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรง ทำให้สามารถขโมยรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบได้ทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์ ถือเป็นการผสมผสานเทคนิคที่ทั้งแพร่กระจายได้รวดเร็วและซ่อนตัวได้แนบเนียน
    https://securityonline.info/brazilian-banking-trojan-uses-python-whatsapp-worm-and-imap-c2-for-in-memory-credential-theft

    ปฏิบัติการ DreamJob ของเกาหลีเหนือโจมตียุโรปด้วย WhatsApp Job Lure
    มีการเปิดเผยว่าปฏิบัติการ DreamJob ของเกาหลีเหนือได้พัฒนาแคมเปญใหม่ในยุโรป โดยใช้ข้อความหลอกลวงผ่าน WhatsApp เสนอ “งานในฝัน” เพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดมัลแวร์รุ่นใหม่ชื่อ MISTPEN และ BURNBOOK ซึ่งเป็น backdoor ที่สามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ วิธีการนี้ต่อยอดจากการโจมตี LinkedIn ในอดีต แต่ปรับให้เข้ากับพฤติกรรมผู้ใช้ที่นิยมใช้ WhatsApp ในการติดต่อหางาน ทำให้การโจมตีมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น
    https://securityonline.info/north-koreas-operation-dreamjob-hits-europe-whatsapp-job-lure-delivers-evolved-mistpen-burnbook-backdoors

    📌🔒🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷🔒📌 #รวมข่าวIT #20251125 #securityonline 🐉 จีน-นexus Autumn Dragon ใช้ช่องโหว่ WinRAR ปล่อยมัลแวร์ผ่าน Telegram เรื่องนี้เป็นการเปิดโปงปฏิบัติการจารกรรมไซเบอร์ชื่อ “Autumn Dragon” ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ฝั่งจีน พวกเขาใช้ไฟล์ RAR ที่ฝังช่องโหว่ของ WinRAR (CVE-2025-8088) ส่งไปยังเป้าหมายผ่านอีเมลหลอกลวง เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ระบบจะถูกฝังสคริปต์ที่ทำงานต่อเนื่องเพื่อดึงมัลแวร์ขั้นต่อไปจาก Dropbox และซ่อนตัวผ่าน DLL sideloading โดยมีการควบคุมผ่าน Telegram ตัวมัลแวร์นี้สามารถสั่งงานได้ เช่น เปิด shell, ถ่าย screenshot และอัปโหลดไฟล์ จุดที่น่าสนใจคือการออกแบบให้ฟังก์ชันน้อยเพื่อไม่ให้ถูกตรวจจับง่าย เป้าหมายหลักคือหน่วยงานรัฐบาลและสื่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 🔗 https://securityonline.info/china-nexus-autumn-dragon-apt-exploits-winrar-flaw-to-deploy-telegram-c2-backdoor 📝 Notepad เพิ่มฟีเจอร์ Markdown Table และ Copilot Streaming จากเดิมที่ Notepad เป็นเพียงโปรแกรมจดข้อความธรรมดา ตอนนี้ Microsoft ได้ยกระดับให้รองรับการสร้างตารางในรูปแบบ Markdown ผู้ใช้สามารถเลือกจำนวนแถวคอลัมน์ได้ง่าย ๆ คล้ายกับการใส่ตารางใน Word และยังสามารถแก้ไขขยายหรือลดขนาดได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ Microsoft Copilot โดยเพิ่มความสามารถในการเขียนใหม่และสรุปข้อความแบบ “streaming” คือผลลัพธ์จะปรากฏทันทีโดยไม่ต้องรอจนเสร็จทั้งหมด ฟีเจอร์นี้ทำให้ Notepad กลายเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยและตอบโจทย์นักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/notepad-update-adds-markdown-table-support-streaming-copilot-ai-responses 💻 Microsoft แก้ปัญหา File Explorer ช้าใน Windows 11 ด้วย Preloading ผู้ใช้ Windows 11 หลายคนบ่นว่า File Explorer เปิดช้า โดยเฉพาะเมื่อโหลดโฟลเดอร์ที่มีรูปภาพเยอะ ๆ Microsoft จึงออกฟีเจอร์ใหม่ใน Build 26220.7271 ที่เรียกว่า “preloading” ซึ่งจะโหลด Explorer เข้าหน่วยความจำล่วงหน้า ทำให้การเปิดใช้งานเร็วขึ้น แม้จะยังไม่แก้ปัญหาการหน่วงหลังเปิดไฟล์ได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยลดเวลารอไปหลายร้อยมิลลิวินาที ผู้ใช้สามารถปิดฟีเจอร์นี้ได้หากไม่ต้องการ แต่โดยทั่วไปมันใช้ RAM น้อยและช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นมาก 🔗 https://securityonline.info/microsoft-tries-to-fix-windows-11-file-explorer-lag-with-new-preloading-feature 📱  Qualcomm ยืนยัน Quick Share ใช้งานร่วมกับ AirDrop ได้บนมือถือ Snapdragon หลังจาก Google ประกาศว่า Pixel 10 จะสามารถส่งไฟล์ผ่าน Quick Share ไปยัง iPhone ได้เหมือน AirDrop ล่าสุด Qualcomm ก็ออกมายืนยันว่า ฟีเจอร์นี้จะไม่จำกัดเฉพาะ Pixel แต่จะขยายไปยังมือถือ Android ที่ใช้ชิป Snapdragon ด้วย หมายความว่าผู้ใช้ Android และ iOS จะสามารถแชร์ไฟล์กันได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งแอปเสริม ถือเป็นการเชื่อมโลกสองฝั่งที่เคยถูกแบ่งแยกมานาน คาดว่า Samsung Galaxy S26 จะเป็นรุ่นแรก ๆ ที่นำมาใช้ และนี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการแชร์ไฟล์ข้ามระบบนิเวศ 🔗 https://securityonline.info/qualcomm-confirms-quick-share-airdrop-interoperability-coming-to-all-snapdragon-phones ☁️ ทีมไซเบอร์ระดับโลกเปิดตัว Blast Security ด้วยทุน $10M Blast Security คือสตาร์ทอัพใหม่จาก Tel Aviv ที่ก่อตั้งโดยทีมผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์จาก Solebit และหน่วย IDF พวกเขาเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Preemptive Cloud Defense” ที่เน้นการป้องกันเชิงรุกแทนการตรวจจับและแก้ไขทีหลัง จุดเด่นคือการสร้างระบบป้องกันที่ทำงานต่อเนื่อง ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของคลาวด์ และลดความเสี่ยงได้กว่า 90% การลงทุนรอบ seed ได้เงินทุนถึง 10 ล้านดอลลาร์จาก 10D และ MizMaa Ventures เป้าหมายคือการทำให้ “การป้องกัน” กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความปลอดภัยบนคลาวด์ 🔗 https://securityonline.info/elite-cyber-veterans-launch-blast-security-with-10m-to-turn-cloud-detection-into-prevention 🛡️ CISA เตือนภัยสปายแวร์เชิงพาณิชย์โจมตีแอปแชทด้วย Zero-Click และ QR Code อันตราย หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนเร่งด่วนว่ามีการใช้สปายแวร์เชิงพาณิชย์โจมตีผู้ใช้งานแอปแชทยอดนิยม เช่น WhatsApp และ Signal โดยไม่ต้องให้เหยื่อกดหรือทำอะไรเลย ผ่านช่องโหว่แบบ Zero-Click และการหลอกให้สแกน QR Code ที่เชื่อมบัญชีไปยังเครื่องของแฮกเกอร์ เมื่อถูกเจาะแล้ว ผู้โจมตีสามารถอ่านข้อความ รายชื่อผู้ติดต่อ เปิดไมโครโฟน และติดตามตำแหน่งได้ทันที เป้าหมายหลักคือบุคคลสำคัญ นักข่าว และองค์กรภาคประชาสังคมในหลายภูมิภาคทั่วโลก 🔗 https://securityonline.info/cisa-emergency-alert-commercial-spyware-exploiting-zero-click-and-malicious-qr-codes-to-hijack-messaging-apps 💻 ช่องโหว่ร้ายแรง WordPress (CVE-2025-6389) เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเว็บได้ทันที มีการเปิดเผยช่องโหว่ระดับวิกฤติในปลั๊กอิน Sneeit Framework ที่ใช้ในธีมยอดนิยมอย่าง FlatNews ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ทำให้สามารถสร้างบัญชีแอดมินปลอม อัปโหลดเว็บเชลล์ และยึดครองเว็บไซต์ได้ทันที นักวิจัยพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วหลายร้อยครั้งในเวลาเพียงวันเดียว ผู้พัฒนาได้ออกเวอร์ชันใหม่เพื่อแก้ไข แต่ใครที่ยังไม่อัปเดตถือว่าเสี่ยงสูงมาก 🔗 https://securityonline.info/critical-wordpress-flaw-cve-2025-6389-cvss-9-8-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-rce 📷 ช่องโหว่กล้อง Vivotek รุ่นเก่า เปิดช่องให้สั่งรันคำสั่งได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ทีมวิจัยจาก Akamai พบช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในกล้อง IP ของ Vivotek รุ่นที่หมดอายุการสนับสนุนแล้ว ช่องโหว่นี้อยู่ในไฟล์ eventtask.cgi ซึ่งเปิดให้ผู้โจมตีส่งคำสั่งไปยังระบบโดยตรงโดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน ทำให้สามารถเข้าควบคุมกล้องได้เต็มรูปแบบ ปัญหาคือเฟิร์มแวร์รุ่นที่มีช่องโหว่นี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จึงไม่มีแพตช์แก้ไข ผู้ใช้งานจึงถูกแนะนำให้รีบแยกอุปกรณ์ออกจากเครือข่ายหรือเปลี่ยนไปใช้รุ่นใหม่แทน 🔗 https://securityonline.info/critical-unpatched-flaw-vivotek-eol-ip-cameras-exposed-to-unauthenticated-rce-via-command-injection 📡 CVE-2025-63207: ช่องโหว่ยึดระบบออกอากาศ R.V.R Elettronica TEX ได้ทั้งหมด นักวิจัยเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ออกอากาศ TEX ของ R.V.R Elettronica ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ใช้ทุกระดับ รวมถึงแอดมิน ได้ด้วยคำสั่ง HTTP เพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องล็อกอิน เมื่อรีเซ็ตรหัสผ่านแล้ว แฮกเกอร์สามารถเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้เต็มรูปแบบและอาจเปลี่ยนการตั้งค่าออกอากาศหรือเจาะลึกไปยังระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยู่ ปัจจุบันยังไม่มีแพตช์แก้ไข จึงแนะนำให้ผู้ดูแลจำกัดการเข้าถึงและตรวจสอบการใช้งานอย่างเข้มงวด 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-63207-cvss-9-8-critical-broken-access-control-flaw-exposes-r-v-r-elettronica-tex-devices-to-full-system-takeover 📧 ToddyCat APT โจมตี Microsoft 365 ขโมยอีเมลผ่านการดูด OAuth Token และไฟล์ OST ที่ถูกล็อก รายงานจาก Kaspersky เผยว่า ToddyCat กลุ่มแฮกเกอร์สายสอดแนมได้พัฒนาวิธีใหม่ในการเจาะระบบอีเมลองค์กร ทั้งแบบ on-premises และบนคลาวด์ โดยใช้เครื่องมือ PowerShell และ C++ เพื่อขโมยข้อมูลเบราว์เซอร์ ไฟล์อีเมล Outlook ที่ถูกล็อก และที่น่ากังวลที่สุดคือการดูด OAuth Token จากหน่วยความจำของแอป Microsoft 365 ทำให้สามารถเข้าถึงอีเมลได้จากภายนอกโดยไม่ถูกตรวจจับ วิธีนี้ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลย้อนหลังหลายปีและเลี่ยงการตรวจสอบจากระบบรักษาความปลอดภัยได้อย่างแนบเนียน 🔗 https://securityonline.info/toddycat-apt-steals-microsoft-365-cloud-email-by-dumping-oauth-tokens-from-memory-and-copying-locked-ost-files 🖥️ Kimsuky APT ใช้สองเวอร์ชันของ KimJongRAT เลี่ยงการตรวจจับ Windows Defender กลุ่มแฮกเกอร์ Kimsuky จากเกาหลีเหนือถูกพบว่ากำลังใช้กลยุทธ์ใหม่ โดยปล่อยมัลแวร์ KimJongRAT สองรูปแบบ ทั้งไฟล์ PE และสคริปต์ PowerShell เพื่อเลือกใช้งานตามสถานะของ Windows Defender หาก Defender เปิดอยู่ พวกเขาจะใช้ PowerShell ที่พรางตัวได้ดีกว่า แต่ถ้า Defender ถูกปิด ก็จะใช้ไฟล์ PE ที่ทำงานตรงไปตรงมา วิธีนี้ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมระบบได้โดยลดโอกาสถูกตรวจจับลงอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/kimsuky-apt-deploys-dual-kimjongrat-payloads-switching-between-pe-powershell-based-on-windows-defender-status 💰 โทรจันธนาคารบราซิลแพร่ผ่าน WhatsApp ด้วย Python Worm นักวิจัยพบโทรจันธนาคารสายพันธุ์ใหม่จากบราซิลที่ใช้วิธีแพร่กระจายผ่าน WhatsApp โดยเขียนด้วย Python และทำงานแบบ worm สามารถส่งต่อไฟล์อันตรายไปยังผู้ติดต่อโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน IMAP เพื่อดึงข้อมูลเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรง ทำให้สามารถขโมยรหัสผ่านและข้อมูลการเข้าสู่ระบบได้ทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์ ถือเป็นการผสมผสานเทคนิคที่ทั้งแพร่กระจายได้รวดเร็วและซ่อนตัวได้แนบเนียน 🔗 https://securityonline.info/brazilian-banking-trojan-uses-python-whatsapp-worm-and-imap-c2-for-in-memory-credential-theft 🎭 ปฏิบัติการ DreamJob ของเกาหลีเหนือโจมตียุโรปด้วย WhatsApp Job Lure มีการเปิดเผยว่าปฏิบัติการ DreamJob ของเกาหลีเหนือได้พัฒนาแคมเปญใหม่ในยุโรป โดยใช้ข้อความหลอกลวงผ่าน WhatsApp เสนอ “งานในฝัน” เพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดมัลแวร์รุ่นใหม่ชื่อ MISTPEN และ BURNBOOK ซึ่งเป็น backdoor ที่สามารถเข้าควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ วิธีการนี้ต่อยอดจากการโจมตี LinkedIn ในอดีต แต่ปรับให้เข้ากับพฤติกรรมผู้ใช้ที่นิยมใช้ WhatsApp ในการติดต่อหางาน ทำให้การโจมตีมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-operation-dreamjob-hits-europe-whatsapp-job-lure-delivers-evolved-mistpen-burnbook-backdoors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 715 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวธุรกิจ: Tim Cook ยังไม่วางมือ

    Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2028 แต่ในขณะเดียวกัน Apple กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive

    แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters และ Financial Times ว่า Tim Cook อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2026 แต่ล่าสุด Mark Gurman จาก Bloomberg ยืนยันว่า Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple อย่างน้อยจนถึงสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง ปี 2028 โดยตอนนั้น Cook จะมีอายุครบ 70 ปี และได้กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple

    ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง
    แม้ Cook จะยังไม่วางมือ แต่บอร์ดของ Apple ได้เริ่มกระบวนการค้นหาผู้สืบทอดแล้ว โดยมีชื่อของ John Ternus – VP of Hardware Engineering ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนที่ Cook เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

    การสูญเสียบุคลากรสำคัญ
    ในขณะที่ Cook ยังอยู่ในตำแหน่ง Apple กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การสูญเสียบุคลากรระดับสูง โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ทยอยลาออกไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive ซึ่งถูก OpenAI ซื้อกิจการไปเพื่อพัฒนา “iPhone Killer” แบบไร้หน้าจอ ล่าสุดมีการยืนยันว่า OpenAI ได้จ้างวิศวกรจาก Apple ไปแล้วกว่า 40 คนภายในเดือนเดียว รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง Matt Theobald (ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการผลิต) และ Cyrus Daniel Irani (หัวหน้าด้าน human interface design)

    ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple
    การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้อาจกระทบต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของ Apple ในระยะยาว แม้ Cook จะยังคงเป็นผู้นำ แต่การรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ จะเป็นความท้าทายสำคัญ หาก Apple ไม่สามารถหยุดการ “talent bleed” ได้ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่กำลังรุกหนักในตลาด AI และอุปกรณ์ใหม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO จนถึงอย่างน้อยปี 2028
    กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Apple

    ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง
    John Ternus (VP Hardware Engineering) ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง

    Apple สูญเสียบุคลากรสำคัญ
    ทีมออกแบบ iPhone ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และ Jony Ive
    OpenAI จ้างวิศวกรจาก Apple ไปกว่า 40 คนในเดือนเดียว

    ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple
    ความท้าทายในการรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่
    อาจเสียเปรียบในการแข่งขันด้าน AI และอุปกรณ์ใหม่

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การสูญเสียบุคลากรต่อเนื่องอาจทำให้ Apple ขาดนวัตกรรม
    หากไม่สามารถหยุด talent bleed ได้ อาจกระทบต่อความแข็งแกร่งในตลาดโลก

    https://wccftech.com/tim-cook-isnt-going-away-anytime-soon-but-apples-talent-is/
    🍏 ข่าวธุรกิจ: Tim Cook ยังไม่วางมือ Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2028 แต่ในขณะเดียวกัน Apple กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters และ Financial Times ว่า Tim Cook อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2026 แต่ล่าสุด Mark Gurman จาก Bloomberg ยืนยันว่า Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple อย่างน้อยจนถึงสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง ปี 2028 โดยตอนนั้น Cook จะมีอายุครบ 70 ปี และได้กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple 👔 ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง แม้ Cook จะยังไม่วางมือ แต่บอร์ดของ Apple ได้เริ่มกระบวนการค้นหาผู้สืบทอดแล้ว โดยมีชื่อของ John Ternus – VP of Hardware Engineering ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนที่ Cook เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม 🚪 การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในขณะที่ Cook ยังอยู่ในตำแหน่ง Apple กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การสูญเสียบุคลากรระดับสูง โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ทยอยลาออกไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive ซึ่งถูก OpenAI ซื้อกิจการไปเพื่อพัฒนา “iPhone Killer” แบบไร้หน้าจอ ล่าสุดมีการยืนยันว่า OpenAI ได้จ้างวิศวกรจาก Apple ไปแล้วกว่า 40 คนภายในเดือนเดียว รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง Matt Theobald (ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการผลิต) และ Cyrus Daniel Irani (หัวหน้าด้าน human interface design) 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้อาจกระทบต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของ Apple ในระยะยาว แม้ Cook จะยังคงเป็นผู้นำ แต่การรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ จะเป็นความท้าทายสำคัญ หาก Apple ไม่สามารถหยุดการ “talent bleed” ได้ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่กำลังรุกหนักในตลาด AI และอุปกรณ์ใหม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO จนถึงอย่างน้อยปี 2028 ➡️ กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Apple ✅ ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ➡️ John Ternus (VP Hardware Engineering) ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง ✅ Apple สูญเสียบุคลากรสำคัญ ➡️ ทีมออกแบบ iPhone ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และ Jony Ive ➡️ OpenAI จ้างวิศวกรจาก Apple ไปกว่า 40 คนในเดือนเดียว ✅ ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple ➡️ ความท้าทายในการรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ➡️ อาจเสียเปรียบในการแข่งขันด้าน AI และอุปกรณ์ใหม่ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การสูญเสียบุคลากรต่อเนื่องอาจทำให้ Apple ขาดนวัตกรรม ⛔ หากไม่สามารถหยุด talent bleed ได้ อาจกระทบต่อความแข็งแกร่งในตลาดโลก https://wccftech.com/tim-cook-isnt-going-away-anytime-soon-but-apples-talent-is/
    WCCFTECH.COM
    Tim Cook Isn't Going Away Anytime Soon, But Apple's Talent Is
    According to Gurman, Tim Cook might stick around until 2028, and OpenAI has hired around 40 Apple engineers in the last month or so alone!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mastodon เปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่ หลังผู้ก่อตั้งก้าวลงจากตำแหน่ง

    Mastodon ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอล ActivityPub ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จุดเด่นคือผู้ใช้สามารถเลือกหรือสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตนเองได้ ทำให้ไม่มีองค์กรใดควบคุมข้อมูลหรือเนื้อหาของผู้ใช้โดยตรง

    หลังจากเกือบสิบปีในการนำพาโครงการนี้ Eugen Rochko ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร เขาอธิบายว่าการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งจากการถูกจับตามอง การเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีเทคโนโลยี และแรงกดดันจากชุมชน จนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป

    เพื่อให้ Mastodon เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ได้มีการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) เพื่อแทนที่โครงสร้างเดิมในเยอรมนีที่สูญเสียสถานะไม่แสวงหากำไรไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าชั่วคราวจนกว่าโครงสร้างใหม่จะเสร็จสมบูรณ์

    คณะกรรมการใหม่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter, Karien Bezuidenhout และ Esra’a Al Shafei พร้อมด้วยทีมผู้บริหารใหม่ เช่น Felix Hlatky ในตำแหน่ง Executive Director และ Renaud Chaput ในตำแหน่ง Technical Director นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมกว่า €2.5 ล้าน เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของโครงการ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำ
    Eugen Rochko ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังนำโครงการมากว่า 10 ปี
    ส่งต่อทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร

    เหตุผลในการก้าวลง
    ความเครียดจากการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์
    การถูกจับตามองและแรงกดดันจากชุมชน

    โครงสร้างใหม่ของ Mastodon
    จัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL)
    องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินชั่วคราว

    ทีมบริหารและคณะกรรมการใหม่
    Felix Hlatky เป็น Executive Director
    Biz Stone และบุคคลสำคัญร่วมเป็นกรรมการ
    สนับสนุนเงินทุนรวมกว่า €2.5 ล้าน

    คำเตือนและความท้าทาย
    การเปลี่ยนผ่านอาจสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น
    ความคาดหวังจากชุมชนยังคงสูง อาจกดดันทีมใหม่
    ต้องรักษาความเป็นอิสระและคุณค่าของแพลตฟอร์มท่ามกลางการแข่งขันกับ Big Tech

    https://itsfoss.com/news/mastodon-ceo-steps-down/
    🌐 Mastodon เปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่ หลังผู้ก่อตั้งก้าวลงจากตำแหน่ง Mastodon ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอล ActivityPub ได้รับความนิยมในฐานะทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี จุดเด่นคือผู้ใช้สามารถเลือกหรือสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตนเองได้ ทำให้ไม่มีองค์กรใดควบคุมข้อมูลหรือเนื้อหาของผู้ใช้โดยตรง หลังจากเกือบสิบปีในการนำพาโครงการนี้ Eugen Rochko ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง CEO และโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร เขาอธิบายว่าการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์นั้นเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งจากการถูกจับตามอง การเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐีเทคโนโลยี และแรงกดดันจากชุมชน จนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป เพื่อให้ Mastodon เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ได้มีการจัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) เพื่อแทนที่โครงสร้างเดิมในเยอรมนีที่สูญเสียสถานะไม่แสวงหากำไรไปก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าชั่วคราวจนกว่าโครงสร้างใหม่จะเสร็จสมบูรณ์ คณะกรรมการใหม่ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น Biz Stone ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter, Karien Bezuidenhout และ Esra’a Al Shafei พร้อมด้วยทีมผู้บริหารใหม่ เช่น Felix Hlatky ในตำแหน่ง Executive Director และ Renaud Chaput ในตำแหน่ง Technical Director นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมกว่า €2.5 ล้าน เพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินของโครงการ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้นำ ➡️ Eugen Rochko ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังนำโครงการมากว่า 10 ปี ➡️ ส่งต่อทรัพย์สินและเครื่องหมายการค้าให้แก่องค์กรไม่แสวงหากำไร ✅ เหตุผลในการก้าวลง ➡️ ความเครียดจากการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ ➡️ การถูกจับตามองและแรงกดดันจากชุมชน ✅ โครงสร้างใหม่ของ Mastodon ➡️ จัดตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไรในเบลเยียม (AISBL) ➡️ องค์กร 501(c)(3) ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินชั่วคราว ✅ ทีมบริหารและคณะกรรมการใหม่ ➡️ Felix Hlatky เป็น Executive Director ➡️ Biz Stone และบุคคลสำคัญร่วมเป็นกรรมการ ➡️ สนับสนุนเงินทุนรวมกว่า €2.5 ล้าน ‼️ คำเตือนและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนผ่านอาจสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น ⛔ ความคาดหวังจากชุมชนยังคงสูง อาจกดดันทีมใหม่ ⛔ ต้องรักษาความเป็นอิสระและคุณค่าของแพลตฟอร์มท่ามกลางการแข่งขันกับ Big Tech https://itsfoss.com/news/mastodon-ceo-steps-down/
    ITSFOSS.COM
    After Nearly 10 Years of Building Mastodon, Eugen Rochko Steps Into Advisory Role
    Mastodon's creator steps back from CEO role, transfers assets to non-profit organization.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “การจากไปของ Rebecca Heineman – ผู้บุกเบิกวงการเกมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลาย”

    Rebecca Heineman เสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ ในปี 1980 และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยมีเครดิตในเกมกว่า 67 เรื่อง รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Interplay ซึ่งสร้างเกมระดับตำนานอย่าง Wasteland, Fallout และ Baldur’s Gate

    นอกจากผลงานด้านการพัฒนาเกมแล้ว Heineman ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการเขียนโปรแกรมและการพอร์ตเกม เช่น Wolfenstein 3D และ Doom ไปยัง Macintosh รวมถึงการทำงานในโครงการที่ท้าทายอย่างการพัฒนาเวอร์ชัน 3DO ของ Doom ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในวงการเกม

    เธอเป็นที่เคารพในฐานะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ โดยออกมาเปิดเผยตัวตนในช่วงปี 2000 และได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 จากการสนับสนุนความหลากหลายและการเข้าถึงในวงการเทคโนโลยี เธอแต่งงานกับ Jennell Jaquays นักออกแบบเกมชื่อดังที่เสียชีวิตในปี 2024 การจากไปของ Heineman จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของชุมชนเกมและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

    แม้เธอจะจากไป แต่ผลงานและการอุทิศตนเพื่อวงการเกมและสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาและผู้เล่นรุ่นใหม่ทั่วโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    Rebecca Heineman เสียชีวิตในวัย 62 ปี
    หลังถูกวินิจฉัยมะเร็งชนิดรุนแรง

    แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ (1980)
    จุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมระดับตำนาน

    ร่วมก่อตั้ง Interplay
    บริษัทผู้สร้างเกมดังอย่าง Wasteland, Fallout, Baldur’s Gate

    ผลงานด้านการพอร์ตเกม
    เช่น Wolfenstein 3D และ Doom บน Macintosh

    ได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025
    ยกย่องบทบาทด้าน LGBTQ+ และการสนับสนุนความหลากหลาย

    การจากไปกระทบต่อชุมชนเกมและผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+
    สูญเสียบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจ

    โรคมะเร็งที่ตรวจพบอย่างกะทันหัน
    ทำให้สุขภาพทรุดเร็วและไม่สามารถรักษาได้ทัน

    https://www.pcgamer.com/gaming-industry/legendary-game-designer-programmer-space-invaders-champion-and-lgbtq-trailblazer-rebecca-heineman-has-died/
    📰 “การจากไปของ Rebecca Heineman – ผู้บุกเบิกวงการเกมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลาย” Rebecca Heineman เสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ ในปี 1980 และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยมีเครดิตในเกมกว่า 67 เรื่อง รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Interplay ซึ่งสร้างเกมระดับตำนานอย่าง Wasteland, Fallout และ Baldur’s Gate นอกจากผลงานด้านการพัฒนาเกมแล้ว Heineman ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการเขียนโปรแกรมและการพอร์ตเกม เช่น Wolfenstein 3D และ Doom ไปยัง Macintosh รวมถึงการทำงานในโครงการที่ท้าทายอย่างการพัฒนาเวอร์ชัน 3DO ของ Doom ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในวงการเกม เธอเป็นที่เคารพในฐานะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ โดยออกมาเปิดเผยตัวตนในช่วงปี 2000 และได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 จากการสนับสนุนความหลากหลายและการเข้าถึงในวงการเทคโนโลยี เธอแต่งงานกับ Jennell Jaquays นักออกแบบเกมชื่อดังที่เสียชีวิตในปี 2024 การจากไปของ Heineman จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของชุมชนเกมและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ แม้เธอจะจากไป แต่ผลงานและการอุทิศตนเพื่อวงการเกมและสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาและผู้เล่นรุ่นใหม่ทั่วโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Rebecca Heineman เสียชีวิตในวัย 62 ปี ➡️ หลังถูกวินิจฉัยมะเร็งชนิดรุนแรง ✅ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ (1980) ➡️ จุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมระดับตำนาน ✅ ร่วมก่อตั้ง Interplay ➡️ บริษัทผู้สร้างเกมดังอย่าง Wasteland, Fallout, Baldur’s Gate ✅ ผลงานด้านการพอร์ตเกม ➡️ เช่น Wolfenstein 3D และ Doom บน Macintosh ✅ ได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 ➡️ ยกย่องบทบาทด้าน LGBTQ+ และการสนับสนุนความหลากหลาย ‼️ การจากไปกระทบต่อชุมชนเกมและผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ⛔ สูญเสียบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจ ‼️ โรคมะเร็งที่ตรวจพบอย่างกะทันหัน ⛔ ทำให้สุขภาพทรุดเร็วและไม่สามารถรักษาได้ทัน https://www.pcgamer.com/gaming-industry/legendary-game-designer-programmer-space-invaders-champion-and-lgbtq-trailblazer-rebecca-heineman-has-died/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน

    ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้

    4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง
    แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข
    ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ

    สาระเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ

    การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด”

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams
    แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้
    ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี
    การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม
    การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน
    การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร
    อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ
    ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering
    อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด

    ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา.

    https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    🛡️ ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้ 🔍 4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง ✏️ แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข 📢 ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้ 💬 เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น 📞 ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ 🧠 สาระเพิ่มเติม ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams ➡️ แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้ ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน ➡️ เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ➡️ ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี ➡️ การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน ➡️ การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร ⛔ อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ ⛔ ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering ⛔ อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา. https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Flaws Exposed: Attackers Could Impersonate Executives and Forge Caller Identity
    Check Point exposed four critical flaws in Microsoft Teams. Attackers could forge executive caller IDs, silently edit messages without trace, and spoof notifications for BEC and espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.ก้องศักด นำคณะโอลิมปิคไทย เตรียมพร้อมบุคลากร 225 คน ต้อนรับบุคคลสำคัญตลอดการแข่งขัน
    https://www.thai-tai.tv/news/22177/
    .
    #ไทยไท #ซีเกมส์33 #อาสาสมัครซีเกมส์ #กกท #ภาพลักษณ์ประเทศ #EVERFORWARD

    ดร.ก้องศักด นำคณะโอลิมปิคไทย เตรียมพร้อมบุคลากร 225 คน ต้อนรับบุคคลสำคัญตลอดการแข่งขัน https://www.thai-tai.tv/news/22177/ . #ไทยไท #ซีเกมส์33 #อาสาสมัครซีเกมส์ #กกท #ภาพลักษณ์ประเทศ #EVERFORWARD
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา”

    ตอน 1

    The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ

    Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว !

    บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น”
    ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน

    ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง

    หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ

    – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC

    – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery

    – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ

    – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน
    G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา

    – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด

    ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม

    สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ !

    American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks

    คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย

    เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป

    ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing

    หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ :
    กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี
    กระทรวงต่างประเทศ
    วอซิงตัน ดี ซี

    กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..”

    แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา

    หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น”

    จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก

    William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
    ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค

    ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก

    วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom !

    “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing”

    คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28”
    และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands)
    ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard”

    ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands
    หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย”

    เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้

    ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา” ตอน 1 The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว ! บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น” ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ ! American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ : กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศ วอซิงตัน ดี ซี กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..” แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น” จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom ! “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing” คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28” และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands) ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard” ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย” เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้ ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensanity” เขย่าตลาด! หุ้นไก่ทอดเกาหลีพุ่ง 30% หลัง Jensen Huang CEO Nvidia แวะกิน KFC สไตล์โซล

    การปรากฏตัวของ Jensen Huang ที่ร้านไก่ทอดเกาหลีในกรุงโซลกลายเป็นไวรัลทันที ส่งผลให้หุ้นแบรนด์ไก่ทอดพุ่งสูงถึง 30% ในวันเดียว พร้อมดันหุ้นหุ่นยนต์ทอดไก่และโรงงานแปรรูปไก่ให้พุ่งตามไปด้วย

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เดินทางไปเกาหลีใต้เพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit และพบปะผู้บริหารระดับสูงของ Samsung และ Hyundai แต่สิ่งที่กลายเป็นไวรัลกลับไม่ใช่การประชุม… แต่เป็นภาพของเขานั่งกินไก่ทอดเกาหลีที่ร้าน Kkanbu Chicken พร้อมเบียร์เย็น ๆ

    ภาพดังกล่าวถูกแชร์อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย และกลายเป็น “Jensanity” — ปรากฏการณ์ที่การปรากฏตัวของ Jensen Huangสามารถกระตุ้นตลาดได้ทันที โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่นักลงทุนมักตอบสนองต่อเหตุการณ์ไวรัลหรือการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญ

    แม้ร้าน Kkanbu จะไม่อยู่ในตลาดหุ้น แต่แบรนด์คู่แข่งอย่าง Kyochon F&B กลับได้อานิสงส์ หุ้นพุ่งขึ้นถึง 20% ขณะที่ Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ และ Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ ก็พุ่งแตะเพดาน 30% ในวันเดียว

    Bloomberg ระบุว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่ Donald Trump เคยชมปากกายี่ห้อ MonAmi ในการเยือนเกาหลีใต้ ทำให้หุ้นบริษัทพุ่งขึ้นทันทีเช่นกัน

    เหตุการณ์ Jensanity ในเกาหลีใต้
    Jensen Huang ไปกินไก่ทอดที่ร้าน Kkanbu Chicken ในกรุงโซล
    ภาพไวรัลกระตุ้นตลาดหุ้นทันที
    เกิดปรากฏการณ์ “Jensanity” ที่การปรากฏตัวของเขาทำให้หุ้นพุ่ง

    หุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวก
    Kyochon F&B พุ่งขึ้น 20%
    Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ พุ่งแตะ 30%
    Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ พุ่งแตะ 30%

    บริบทของการเยือน
    Huang เดินทางเพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit
    ลงนามสัญญาใหม่ด้าน AI กับบริษัทเกาหลี
    เสริมความร่วมมือด้านเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากจีน

    นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “พลังแห่งบุคลิกภาพ” ที่สามารถเขย่าตลาดได้ในมื้อเย็นเดียว… และในโลกที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง CEO ที่มีเสน่ห์อาจกลายเป็น influencer ที่ทรงพลังที่สุดในสายธุรกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/korean-fried-chicken-stocks-surge-30-percent-as-nvidia-ceo-jensen-huang-dines-out-on-local-delicacy-entire-industry-buoyed-by-secret-ingredient-jensanity
    🍗📈 “Jensanity” เขย่าตลาด! หุ้นไก่ทอดเกาหลีพุ่ง 30% หลัง Jensen Huang CEO Nvidia แวะกิน KFC สไตล์โซล การปรากฏตัวของ Jensen Huang ที่ร้านไก่ทอดเกาหลีในกรุงโซลกลายเป็นไวรัลทันที ส่งผลให้หุ้นแบรนด์ไก่ทอดพุ่งสูงถึง 30% ในวันเดียว พร้อมดันหุ้นหุ่นยนต์ทอดไก่และโรงงานแปรรูปไก่ให้พุ่งตามไปด้วย Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เดินทางไปเกาหลีใต้เพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit และพบปะผู้บริหารระดับสูงของ Samsung และ Hyundai แต่สิ่งที่กลายเป็นไวรัลกลับไม่ใช่การประชุม… แต่เป็นภาพของเขานั่งกินไก่ทอดเกาหลีที่ร้าน Kkanbu Chicken พร้อมเบียร์เย็น ๆ ภาพดังกล่าวถูกแชร์อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย และกลายเป็น “Jensanity” — ปรากฏการณ์ที่การปรากฏตัวของ Jensen Huangสามารถกระตุ้นตลาดได้ทันที โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่นักลงทุนมักตอบสนองต่อเหตุการณ์ไวรัลหรือการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญ แม้ร้าน Kkanbu จะไม่อยู่ในตลาดหุ้น แต่แบรนด์คู่แข่งอย่าง Kyochon F&B กลับได้อานิสงส์ หุ้นพุ่งขึ้นถึง 20% ขณะที่ Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ และ Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ ก็พุ่งแตะเพดาน 30% ในวันเดียว Bloomberg ระบุว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่ Donald Trump เคยชมปากกายี่ห้อ MonAmi ในการเยือนเกาหลีใต้ ทำให้หุ้นบริษัทพุ่งขึ้นทันทีเช่นกัน ✅ เหตุการณ์ Jensanity ในเกาหลีใต้ ➡️ Jensen Huang ไปกินไก่ทอดที่ร้าน Kkanbu Chicken ในกรุงโซล ➡️ ภาพไวรัลกระตุ้นตลาดหุ้นทันที ➡️ เกิดปรากฏการณ์ “Jensanity” ที่การปรากฏตัวของเขาทำให้หุ้นพุ่ง ✅ หุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวก ➡️ Kyochon F&B พุ่งขึ้น 20% ➡️ Cherrybro Co. ผู้ผลิตเนื้อไก่ พุ่งแตะ 30% ➡️ Neuromeka ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทอดไก่ พุ่งแตะ 30% ✅ บริบทของการเยือน ➡️ Huang เดินทางเพื่อร่วมประชุม APEC CEO Summit ➡️ ลงนามสัญญาใหม่ด้าน AI กับบริษัทเกาหลี ➡️ เสริมความร่วมมือด้านเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากจีน นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “พลังแห่งบุคลิกภาพ” ที่สามารถเขย่าตลาดได้ในมื้อเย็นเดียว… และในโลกที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง CEO ที่มีเสน่ห์อาจกลายเป็น influencer ที่ทรงพลังที่สุดในสายธุรกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/korean-fried-chicken-stocks-surge-30-percent-as-nvidia-ceo-jensen-huang-dines-out-on-local-delicacy-entire-industry-buoyed-by-secret-ingredient-jensanity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen

    ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen!

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว

    ช่องโหว่ที่ค้นพบ
    อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA
    ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์
    สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้
    พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน
    ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ
    ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA

    นักวิจัยที่ค้นพบ
    Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli
    ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025
    FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์

    ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation
    ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum
    แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน
    รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์
    การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation
    การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment
    ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล
    หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง
    ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time

    https://ian.sh/fia
    🏎️ เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen! ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบ ➡️ อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ➡️ ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ ➡️ สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้ ✅ ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน ➡️ ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ ➡️ ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA ✅ นักวิจัยที่ค้นพบ ➡️ Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli ➡️ ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025 ➡️ FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์ ✅ ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation ➡️ ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum ➡️ แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน ➡️ รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์ ⛔ การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation ⛔ การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment ⛔ ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง ⛔ ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time https://ian.sh/fia
    IAN.SH
    Hacking Formula 1: Accessing Max Verstappen's passport and PII through FIA bugs
    We found vulnerabilities in the FIA's Driver Categorisation platform, allowing us to access PII and password hashes of any racing driver with a categorisation rating.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัปเดตระบบระบุตัวตนดิจิทัลของสหราชอาณาจักร - ข้อมูลของคุณมีความเสี่ยง

    สหราชอาณาจักรได้อัปเดตระบบระบุตัวตนดิจิทัลอย่างเงียบๆ ซึ่งอาจหมายความว่าข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของคุณอาจถูกรวบรวมและเผยแพร่ไปทั่วโลก

    รายการข้อมูลของรัฐบาลประกอบด้วย:

    ชื่อ วันเกิด ประวัติที่อยู่

    หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูล IP และอุปกรณ์

    หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ บัตรประจำตัวประชาชน ใบอนุญาตพำนักอาศัยแบบไบโอเมตริกซ์

    ตำแหน่งที่ตั้งที่ได้มาจาก IP

    ข้อมูลอาจถูกแบ่งปันกับบุคคลที่สามนอกเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) รวมถึง Google Analytics หรือ Dynatrace

    นี่ไม่ใช่แค่การรวบรวมข้อมูล แต่เป็นความฝันของแฮกเกอร์ ข้อมูลส่วนบุคคลสำคัญทุกชิ้นของคุณอาจถูกเปิดเผย

    ติดตามและแชร์ @globaldissident | 𝕏 GlobalDiss
    🚨🇬🇧 อัปเดตระบบระบุตัวตนดิจิทัลของสหราชอาณาจักร - ข้อมูลของคุณมีความเสี่ยง 🔉 สหราชอาณาจักรได้อัปเดตระบบระบุตัวตนดิจิทัลอย่างเงียบๆ ซึ่งอาจหมายความว่าข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของคุณอาจถูกรวบรวมและเผยแพร่ไปทั่วโลก 📃 รายการข้อมูลของรัฐบาลประกอบด้วย: ชื่อ วันเกิด ประวัติที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ข้อมูล IP และอุปกรณ์ หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ บัตรประจำตัวประชาชน ใบอนุญาตพำนักอาศัยแบบไบโอเมตริกซ์ ตำแหน่งที่ตั้งที่ได้มาจาก IP ‼️ ข้อมูลอาจถูกแบ่งปันกับบุคคลที่สามนอกเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) รวมถึง Google Analytics หรือ Dynatrace 💻 นี่ไม่ใช่แค่การรวบรวมข้อมูล แต่เป็นความฝันของแฮกเกอร์ ข้อมูลส่วนบุคคลสำคัญทุกชิ้นของคุณอาจถูกเปิดเผย 🔗 ติดตามและแชร์ @globaldissident | 𝕏 GlobalDiss
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ"

    Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน

    Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค

    ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่

    Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ประวัติชีวิตและการศึกษา
    เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922
    เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University
    ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948

    เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ
    เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton
    ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999
    เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986

    ผลงานทางวิทยาศาสตร์
    ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction
    พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model
    ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

    บทบาทในจีน
    กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study
    เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน
    สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ

    ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์
    การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ
    ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

    มรดกทางวิชาการ
    ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก
    เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง
    ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่

    https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    🪦 "อำลา Yang Chen-Ning: นักฟิสิกส์ผู้เปลี่ยนโลกและสร้างสะพานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ" Yang Chen-Ning นักฟิสิกส์ระดับโลกและผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกของจีน เสียชีวิตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยวัย 103 ปี เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในวงการฟิสิกส์ระดับโลกและการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีน Yang ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ร่วมกับ Tsung-Dao Lee ในปี 1957 จากทฤษฎี “Parity Non-Conservation” ซึ่งพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับแรงพื้นฐานในธรรมชาติ เขายังเป็นผู้ร่วมพัฒนา “Yang-Mills Theory” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของ Standard Model ในฟิสิกส์อนุภาค ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยการเดินทางทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ไปจนถึงเป็นศาสตราจารย์ที่ Princeton และ SUNY Stony Brook ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University ในจีน ซึ่งเขาอุทิศตนเพื่อพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์และสร้างโอกาสให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ Yang ไม่เพียงเป็นนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นผู้เชื่อมโยงโลกวิทยาศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีนในโครงการวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ✅ ประวัติชีวิตและการศึกษา ➡️ เกิดที่ Hefei, Anhui ในปี 1922 ➡️ เรียนที่ National Southwestern Associated University และ Tsinghua University ➡️ ได้รับปริญญาเอกจาก University of Chicago ในปี 1948 ✅ เส้นทางอาชีพในต่างประเทศ ➡️ เป็นสมาชิกถาวรของ Institute for Advanced Study ที่ Princeton ➡️ ดำรงตำแหน่ง Albert Einstein Professor ที่ SUNY Stony Brook จนถึงปี 1999 ➡️ เป็น visiting professor ที่ Chinese University of Hong Kong ตั้งแต่ปี 1986 ✅ ผลงานทางวิทยาศาสตร์ ➡️ ร่วมกับ Tsung-Dao Lee เสนอทฤษฎี Parity Non-Conservation ใน weak interaction ➡️ พัฒนา Yang-Mills Theory ซึ่งเป็นรากฐานของ Standard Model ➡️ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ✅ บทบาทในจีน ➡️ กลับมารับตำแหน่งที่ Tsinghua University และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Institute for Advanced Study ➡️ เสนอแนวทางการฟื้นฟูงานวิจัยพื้นฐานให้รัฐบาลจีน ➡️ สนับสนุนทุนการศึกษาให้นักวิจัยจีนไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ระดับชาติ ‼️ ความสูญเสียของวงการวิทยาศาสตร์ ⛔ การจากไปของ Yang ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาททั้งในระดับโลกและระดับชาติ ⛔ ทิ้งไว้เพียงผลงานและแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ✅ มรดกทางวิชาการ ➡️ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่งทั่วโลก ➡️ เป็นสมาชิกต่างชาติของสถาบันวิทยาศาสตร์มากกว่า 10 แห่ง ➡️ ผลงานของเขายังคงเป็นรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ https://www.chinadaily.com.cn/a/202510/18/WS68f3170ea310f735438b5bf2.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Steve Jobs จะปรากฏบนเหรียญที่ระลึกมูลค่า $1” — สหรัฐฯ เตรียมยกย่องผู้บุกเบิกนวัตกรรมแห่งแคลิฟอร์เนีย

    Steve Jobs อดีต CEO ของ Apple และบุคคลสำคัญในโลกเทคโนโลยี กำลังจะได้รับเกียรติให้ปรากฏบนเหรียญที่ระลึกมูลค่า 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2026 โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ American Innovation $1 Coin Program ซึ่งจัดทำโดย United States Mint เพื่อยกย่องนักนวัตกรรมจากแต่ละรัฐในสหรัฐฯ

    Jobs ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเหรียญจะมีภาพของเขาในวัยหนุ่มนั่งอยู่หน้าภูมิประเทศแบบ “Northern California” ที่เต็มไปด้วยเนินเขาปกคลุมด้วยต้นโอ๊ก พร้อมคำจารึกว่า:

    UNITED STATES OF AMERICA CALIFORNIA STEVE JOBS MAKE SOMETHING WONDERFUL

    การออกแบบนี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และการเปลี่ยนโลกด้วยเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ Jobs ได้ฝากไว้ผ่านผลิตภัณฑ์ของ Apple เช่น iPhone, iPad และ Mac

    โครงการนี้ยังครอบคลุมรัฐอื่น ๆ เช่น Iowa, Wisconsin และ Minnesota โดยมีเป้าหมายเพื่อยกย่องบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมในแต่ละภูมิภาคของประเทศ

    ข้อมูลในข่าว
    Steve Jobs จะปรากฏบนเหรียญที่ระลึกมูลค่า $1 ในปี 2026
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ American Innovation $1 Coin Program โดย United States Mint
    Jobs ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    เหรียญมีภาพ Jobs นั่งหน้าภูมิประเทศ Northern California
    มีคำจารึกว่า “MAKE SOMETHING WONDERFUL”
    โครงการนี้ยกย่องนักนวัตกรรมจากแต่ละรัฐในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมรัฐอื่น ๆ เช่น Iowa, Wisconsin และ Minnesota

    https://wccftech.com/apples-steve-jobs-to-feature-on-a-1-commemorative-coin/
    🪙 “Steve Jobs จะปรากฏบนเหรียญที่ระลึกมูลค่า $1” — สหรัฐฯ เตรียมยกย่องผู้บุกเบิกนวัตกรรมแห่งแคลิฟอร์เนีย Steve Jobs อดีต CEO ของ Apple และบุคคลสำคัญในโลกเทคโนโลยี กำลังจะได้รับเกียรติให้ปรากฏบนเหรียญที่ระลึกมูลค่า 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2026 โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ American Innovation $1 Coin Program ซึ่งจัดทำโดย United States Mint เพื่อยกย่องนักนวัตกรรมจากแต่ละรัฐในสหรัฐฯ Jobs ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเหรียญจะมีภาพของเขาในวัยหนุ่มนั่งอยู่หน้าภูมิประเทศแบบ “Northern California” ที่เต็มไปด้วยเนินเขาปกคลุมด้วยต้นโอ๊ก พร้อมคำจารึกว่า: UNITED STATES OF AMERICA CALIFORNIA STEVE JOBS MAKE SOMETHING WONDERFUL การออกแบบนี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และการเปลี่ยนโลกด้วยเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ Jobs ได้ฝากไว้ผ่านผลิตภัณฑ์ของ Apple เช่น iPhone, iPad และ Mac โครงการนี้ยังครอบคลุมรัฐอื่น ๆ เช่น Iowa, Wisconsin และ Minnesota โดยมีเป้าหมายเพื่อยกย่องบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมในแต่ละภูมิภาคของประเทศ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Steve Jobs จะปรากฏบนเหรียญที่ระลึกมูลค่า $1 ในปี 2026 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ American Innovation $1 Coin Program โดย United States Mint ➡️ Jobs ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ เหรียญมีภาพ Jobs นั่งหน้าภูมิประเทศ Northern California ➡️ มีคำจารึกว่า “MAKE SOMETHING WONDERFUL” ➡️ โครงการนี้ยกย่องนักนวัตกรรมจากแต่ละรัฐในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมรัฐอื่น ๆ เช่น Iowa, Wisconsin และ Minnesota https://wccftech.com/apples-steve-jobs-to-feature-on-a-1-commemorative-coin/
    WCCFTECH.COM
    Apple's Steve Jobs To Feature On A $1 Commemorative Coin
    The ex-CEO of Apple and a veritable tech icon, Steve Jobs, is slated to receive a posthumous honor from the United States Mint in 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Surveillance Secrets” — เปิดโปงอาณาจักรลับของบริษัทติดตามโทรศัพท์ที่แทรกซึมทั่วโลก

    Lighthouse Reports เปิดเผยการสืบสวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับบริษัท First Wap ผู้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ทั่วโลก โดยการสืบสวนเริ่มต้นจากฐานข้อมูลลับบน deep web ที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ครอบคลุมผู้คนในกว่า 160 ประเทศ

    นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลนี้ และพบว่า Altamides ถูกใช้โดยทั้งรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามนักเคลื่อนไหว นักข่าว นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไป โดยไม่มีการควบคุมหรือขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน

    การสืบสวนยังเผยว่า First Wap ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 ของระบบโทรคมนาคมเพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และมีความสามารถในการดักฟังข้อความ SMS, โทรศัพท์ และแม้แต่แฮก WhatsApp

    ในปฏิบัติการลับ นักข่าวของ Lighthouse ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากแอฟริกาใต้และเข้าไปเจรจากับผู้บริหารของ First Wap ที่งาน ISS World ในกรุงปราก ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสามารถจัดการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรได้ผ่านบริษัทในจาการ์ตา โดยใช้บริษัทเปลือกเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย

    ข้อมูลในคลังยังเผยชื่อบุคคลสำคัญที่ถูกติดตาม เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์, ภรรยาของอดีตผู้นำซีเรีย, ผู้ก่อตั้ง 23andMe, ผู้ผลิต Netflix, นักข่าวอิตาลี, นักการเมืองรวันดา และนักกฎหมายอิสราเอล รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างครู นักบำบัด และศิลปิน

    ข้อมูลในข่าว
    การสืบสวนเริ่มจากฐานข้อมูลลับที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ
    บริษัท First Wap พัฒนาเครื่องมือชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์ทั่วโลก
    ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    Altamides สามารถดักฟัง SMS, โทรศัพท์ และแฮก WhatsApp ได้
    นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูล
    พบการใช้งานโดยรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามบุคคล
    มีการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรผ่านบริษัทในจาการ์ตาโดยใช้บริษัทเปลือก
    บุคคลสำคัญที่ถูกติดตามรวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ และนักข่าวจากหลายประเทศ
    พบการติดตามบุคคลทั่วไป เช่น ครู นักบำบัด และศิลปิน โดยไม่มีเหตุผลด้านความมั่นคง
    การสืบสวนได้รับทุนสนับสนุนจาก IJ4EU และเผยแพร่ร่วมกับสื่อระดับโลกหลายแห่ง

    https://www.lighthousereports.com/investigation/surveillance-secrets/
    📡 “Surveillance Secrets” — เปิดโปงอาณาจักรลับของบริษัทติดตามโทรศัพท์ที่แทรกซึมทั่วโลก Lighthouse Reports เปิดเผยการสืบสวนครั้งใหญ่เกี่ยวกับบริษัท First Wap ผู้พัฒนาเครื่องมือสอดแนมชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์มือถือได้ทั่วโลก โดยการสืบสวนเริ่มต้นจากฐานข้อมูลลับบน deep web ที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ครอบคลุมผู้คนในกว่า 160 ประเทศ นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูลนี้ และพบว่า Altamides ถูกใช้โดยทั้งรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามนักเคลื่อนไหว นักข่าว นักธุรกิจ และบุคคลทั่วไป โดยไม่มีการควบคุมหรือขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน การสืบสวนยังเผยว่า First Wap ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 ของระบบโทรคมนาคมเพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และมีความสามารถในการดักฟังข้อความ SMS, โทรศัพท์ และแม้แต่แฮก WhatsApp ในปฏิบัติการลับ นักข่าวของ Lighthouse ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจจากแอฟริกาใต้และเข้าไปเจรจากับผู้บริหารของ First Wap ที่งาน ISS World ในกรุงปราก ซึ่งผู้บริหารยอมรับว่าสามารถจัดการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรได้ผ่านบริษัทในจาการ์ตา โดยใช้บริษัทเปลือกเพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมาย ข้อมูลในคลังยังเผยชื่อบุคคลสำคัญที่ถูกติดตาม เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีกาตาร์, ภรรยาของอดีตผู้นำซีเรีย, ผู้ก่อตั้ง 23andMe, ผู้ผลิต Netflix, นักข่าวอิตาลี, นักการเมืองรวันดา และนักกฎหมายอิสราเอล รวมถึงบุคคลทั่วไปอย่างครู นักบำบัด และศิลปิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การสืบสวนเริ่มจากฐานข้อมูลลับที่มีข้อมูลการติดตามกว่า 1.5 ล้านรายการ ➡️ บริษัท First Wap พัฒนาเครื่องมือชื่อ Altamides ที่สามารถติดตามตำแหน่งโทรศัพท์ทั่วโลก ➡️ ใช้ช่องโหว่ในโปรโตคอล SS7 เพื่อดึงข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ➡️ Altamides สามารถดักฟัง SMS, โทรศัพท์ และแฮก WhatsApp ได้ ➡️ นักข่าวกว่า 70 คนจาก 14 สื่อร่วมกันตรวจสอบข้อมูล ➡️ พบการใช้งานโดยรัฐบาลเผด็จการและบริษัทเอกชนในการติดตามบุคคล ➡️ มีการขายให้ลูกค้าที่ถูกคว่ำบาตรผ่านบริษัทในจาการ์ตาโดยใช้บริษัทเปลือก ➡️ บุคคลสำคัญที่ถูกติดตามรวมถึงนักการเมือง นักธุรกิจ และนักข่าวจากหลายประเทศ ➡️ พบการติดตามบุคคลทั่วไป เช่น ครู นักบำบัด และศิลปิน โดยไม่มีเหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ การสืบสวนได้รับทุนสนับสนุนจาก IJ4EU และเผยแพร่ร่วมกับสื่อระดับโลกหลายแห่ง https://www.lighthousereports.com/investigation/surveillance-secrets/
    WWW.LIGHTHOUSEREPORTS.COM
    Surveillance Secrets
    Trove of surveillance data challenges what we thought we knew about location tracking tools, who they target and how far they have spread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s”

    ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน

    CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก

    ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี

    นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า

    บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025
    ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB
    แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia
    ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4)
    CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops
    สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า
    บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM
    SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน
    UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM
    การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน
    Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging

    https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    🚀 “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s” ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025 ➡️ ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB ➡️ แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia ➡️ ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4) ➡️ CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops ➡️ สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า ➡️ บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM ➡️ SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน ➡️ UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM ➡️ การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน ➡️ Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Stan Lee กลับมาอีกครั้งในรูปแบบ AI Hologram — เทคโนโลยีปลุกตำนานสู่ชีวิตใหม่ที่ L.A. Comic Con”

    ในงาน L.A. Comic Con ปี 2025 ที่จัดขึ้น ณ Los Angeles Convention Center ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับ “Stan Lee Experience” — การปรากฏตัวของ Stan Lee ผู้สร้างฮีโร่ระดับตำนานอย่าง Spider-Man, Iron Man, Hulk และ Thor ในรูปแบบ AI hologram ที่สามารถพูดคุยและตอบคำถามแฟน ๆ ได้แบบเรียลไทม์

    แม้ Stan Lee จะเสียชีวิตไปในปี 2018 ด้วยวัย 95 ปี แต่ด้วยความร่วมมือระหว่าง Proto Hologram และ Hyperreal ทีมงานสามารถสร้าง “Holo Stan” ขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และภาพจากการปรากฏตัวของเขาในงานต่าง ๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อให้คำพูดและบุคลิกของเขายังคง “เป็นตัวเขา” อย่างแท้จริง

    ผู้เข้าร่วมงานสามารถเข้าไปในบูธขนาด 1,500 ตารางฟุตเพื่อพูดคุยกับ Holo Stan ได้โดยตรง เช่น ถามว่า “คุณคิดอย่างไรกับ X-Men ที่เชื่อมโยงกับขบวนการสิทธิพลเมือง?” หรือ “ถ้าเลือกฮีโร่หนึ่งคนมาช่วยโลกวันนี้ คุณจะเลือกใคร?” ซึ่งคำตอบของเขาคือ Spider-Man พร้อมคำพูดที่อบอุ่นว่า “ฮีโร่ที่แท้จริงคือพวกคุณ — แฟน ๆ ที่ทำให้เรื่องราวเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่”

    แม้หลายคนจะรู้สึกตื่นเต้นกับการได้พบ Stan Lee อีกครั้งในรูปแบบใหม่ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มที่มองว่าเป็นการ “ไม่ให้เขาได้พักผ่อน” และตั้งคำถามถึงขอบเขตของการใช้ AI กับบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Stan Lee ปรากฏตัวในรูปแบบ AI hologram ที่ L.A. Comic Con ปี 2025
    ใช้เทคโนโลยีจาก Proto Hologram และ Hyperreal ในการสร้าง “Holo Stan”
    Hologram ถูกฝึกจากภาพและเสียงของ Stan Lee ตลอดชีวิตการทำงาน
    ผู้เข้าร่วมสามารถพูดคุยกับ Holo Stan ได้แบบเรียลไทม์ในบูธขนาด 1,500 ตารางฟุต
    คำพูดของ Holo Stan ถูกควบคุมให้ไม่ออกนอกบริบทจากสิ่งที่ Stan เคยพูดจริง
    โครงการนี้ได้รับการอนุมัติจาก Stan Lee Universe และอดีตผู้บริหาร Marvel
    Holo Stan กล่าวถึงความรักที่มีต่อแฟน ๆ และความหวังในโลกผ่านฮีโร่
    มีการใช้เทคโนโลยี “guardrails” เพื่อป้องกันไม่ให้ AI พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสม
    ผู้ชมสามารถถ่ายภาพและพูดคุยกับ Holo Stan ได้เหมือนพบตัวจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proto Hologram เคยใช้เทคโนโลยีนี้โปรโมตภาพยนตร์ เช่น The Conjuring และ Minecraft Movie
    Hyperreal เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการสร้าง digital humans ด้วย AI
    Stan Lee เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์ Marvel ทุกเรื่องก่อนเสียชีวิต
    การใช้ AI hologram เริ่มแพร่หลายในวงการบันเทิง เช่น Elvis, Whitney Houston และ ABBA
    การสร้าง “digital legacy” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในการอนุรักษ์บุคคลสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/27/ai-hologram-of-spider-man-creator-stan-lee-debuts-at-la-comic-con
    🕹️ “Stan Lee กลับมาอีกครั้งในรูปแบบ AI Hologram — เทคโนโลยีปลุกตำนานสู่ชีวิตใหม่ที่ L.A. Comic Con” ในงาน L.A. Comic Con ปี 2025 ที่จัดขึ้น ณ Los Angeles Convention Center ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับ “Stan Lee Experience” — การปรากฏตัวของ Stan Lee ผู้สร้างฮีโร่ระดับตำนานอย่าง Spider-Man, Iron Man, Hulk และ Thor ในรูปแบบ AI hologram ที่สามารถพูดคุยและตอบคำถามแฟน ๆ ได้แบบเรียลไทม์ แม้ Stan Lee จะเสียชีวิตไปในปี 2018 ด้วยวัย 95 ปี แต่ด้วยความร่วมมือระหว่าง Proto Hologram และ Hyperreal ทีมงานสามารถสร้าง “Holo Stan” ขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และภาพจากการปรากฏตัวของเขาในงานต่าง ๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อให้คำพูดและบุคลิกของเขายังคง “เป็นตัวเขา” อย่างแท้จริง ผู้เข้าร่วมงานสามารถเข้าไปในบูธขนาด 1,500 ตารางฟุตเพื่อพูดคุยกับ Holo Stan ได้โดยตรง เช่น ถามว่า “คุณคิดอย่างไรกับ X-Men ที่เชื่อมโยงกับขบวนการสิทธิพลเมือง?” หรือ “ถ้าเลือกฮีโร่หนึ่งคนมาช่วยโลกวันนี้ คุณจะเลือกใคร?” ซึ่งคำตอบของเขาคือ Spider-Man พร้อมคำพูดที่อบอุ่นว่า “ฮีโร่ที่แท้จริงคือพวกคุณ — แฟน ๆ ที่ทำให้เรื่องราวเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่” แม้หลายคนจะรู้สึกตื่นเต้นกับการได้พบ Stan Lee อีกครั้งในรูปแบบใหม่ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากบางกลุ่มที่มองว่าเป็นการ “ไม่ให้เขาได้พักผ่อน” และตั้งคำถามถึงขอบเขตของการใช้ AI กับบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Stan Lee ปรากฏตัวในรูปแบบ AI hologram ที่ L.A. Comic Con ปี 2025 ➡️ ใช้เทคโนโลยีจาก Proto Hologram และ Hyperreal ในการสร้าง “Holo Stan” ➡️ Hologram ถูกฝึกจากภาพและเสียงของ Stan Lee ตลอดชีวิตการทำงาน ➡️ ผู้เข้าร่วมสามารถพูดคุยกับ Holo Stan ได้แบบเรียลไทม์ในบูธขนาด 1,500 ตารางฟุต ➡️ คำพูดของ Holo Stan ถูกควบคุมให้ไม่ออกนอกบริบทจากสิ่งที่ Stan เคยพูดจริง ➡️ โครงการนี้ได้รับการอนุมัติจาก Stan Lee Universe และอดีตผู้บริหาร Marvel ➡️ Holo Stan กล่าวถึงความรักที่มีต่อแฟน ๆ และความหวังในโลกผ่านฮีโร่ ➡️ มีการใช้เทคโนโลยี “guardrails” เพื่อป้องกันไม่ให้ AI พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสม ➡️ ผู้ชมสามารถถ่ายภาพและพูดคุยกับ Holo Stan ได้เหมือนพบตัวจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proto Hologram เคยใช้เทคโนโลยีนี้โปรโมตภาพยนตร์ เช่น The Conjuring และ Minecraft Movie ➡️ Hyperreal เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการสร้าง digital humans ด้วย AI ➡️ Stan Lee เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์ Marvel ทุกเรื่องก่อนเสียชีวิต ➡️ การใช้ AI hologram เริ่มแพร่หลายในวงการบันเทิง เช่น Elvis, Whitney Houston และ ABBA ➡️ การสร้าง “digital legacy” กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในการอนุรักษ์บุคคลสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/27/ai-hologram-of-spider-man-creator-stan-lee-debuts-at-la-comic-con
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI hologram of Spider-Man creator Stan Lee debuts at L.A. Comic Con
    LOS ANGELES (Reuters) -Wearing a green sweater and tan pants against a bright blue screen, Marvel comic book superhero creator Stan Lee will return to L.A. Comic Con in holographic form to meet fans of his characters including Spider-Man, Hulk, Iron Man and Thor.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับตาข้อมูลเชิงลึก บุคคลสำคัญที่มีความผิดปกติ (9/9/68)
    #ข้อมูลลับวงใน #บุคคลสำคัญต้องจับตา #ความผิดปกติที่ไม่ธรรมดา #เบื้องหลังอำนาจ #ลึกกว่าที่คุณคิด #TruthFromThailand #news1 #thaitimes #shorts
    จับตาข้อมูลเชิงลึก บุคคลสำคัญที่มีความผิดปกติ (9/9/68) #ข้อมูลลับวงใน #บุคคลสำคัญต้องจับตา #ความผิดปกติที่ไม่ธรรมดา #เบื้องหลังอำนาจ #ลึกกว่าที่คุณคิด #TruthFromThailand #news1 #thaitimes #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 9
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9
    นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี
    ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน)
    ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้
    เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน
    หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้
    จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก
    ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์)
    จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 9 นาย Kenneth ถูกกระทรวงต่างประเทศ ส่งกลับมาทำการสำรวจเมืองไทยรอบใหญ่อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1950 นาย Kenneth เล่าว่าเป็นปีที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงทำพิธีอภิเศกสมรสกับสมเด็จพระราชินี และทำพิธีขึ้นครองราชย์ ทางอเมริกาเตรียมของขวัญที่จะถวายสำหรับพระราชพิธีอภิเศก เป็นแก้วเป่าของ Steuben ซึ่งมีชื่อมาก แต่นาย Kenneth ในฐานะเคยอยู่เมืองไทยมานาน และอ้างว่าเคยรู้จักและเคยพบพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิง ก็รีบเสนอหน้าแนะนำไปยังประธานาธิบดี ให้รัฐบาลอเมริกันจัดการเปลี่ยนของขวัญ เขาบอกว่าในหลวงทรงเป็นนักดนตรีแจ๊ส และโปรดฟังเพลง ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ก็เริ่มมาจากดนตรี ดังนั้นน่าจะถวายของขวัญเป็นอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี ในที่สุดนาย Kenneth ก็จัดการให้รัฐบาลอเมริกันถวายเครื่องเล่นแผ่นเสียง รวมทั้งแผ่นเสียงของ Gershwin ครบชุด เขาอ้างว่าทรงโปรดมาก และเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ทรงนำไปยังวังไกลกังวล หลังจากทรงทำพิธีอภิเศกสมรสแล้ว (ไม่รู้นาย Kenneth รู้ได้อย่างไร!? แต่อย่างน้อย การแนะนำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า การอยู่ใกล้ เข้ามาคลุกคลีในประเทศ ทำให้นักล่ารู้จักหลายอย่างเกี่ยวสมันน้อย ดีกว่ามองจากทางไกลหรืออ่านแต่รายงาน) ในการเดินทางมาเมืองไทยครั้งนี้ นาย Kenneth ได้ถือโอกาสจัดการตัวเองให้ได้พบกับจอมพลสฤษดิ์ เขาบอกว่าถ้าอยากรู้เรื่องเมืองไทยต้องอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย และต้องรู้จักอ่าน “ระหว่างบันทัด” ให้เป็น จึงจะรู้ว่าคนไทยพูดเรื่องอะไรกันบ้าง อะไรเป็นข่าวในตอนนั้น ด้วยวิธีนี้ ทำให้เขารู้เรื่องเกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ในหลายมุม ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์ยังเป็นเพียงนายทหารระดับนายพล คุมกองทัพภาค 1 ในกรุงเทพฯ แต่เขาเห็นว่าแล้วว่าจะมีอนาคตไกล เขาจึงขอให้ฑูต Stanton ช่วยนัดให้เขาพบกับจอมพลสฤษดิ์ ฑูตบอกว่าไม่ได้หรอก ต้องผ่านฑูตทหารอีกที แล้วฑูตทหารก็จะถามว่าไปพบทำไม นาย Kenneth จึงบอกว่าไม่เป็นไร เขานัดเองก็ได้ แล้วเขาก็ให้เพื่อนคนไทยนัดให้ เพื่อนไปแจ้งสฤษดิ์ สฤษดิ์ถามกลับว่าจะมาพบทำไม เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ (I don’t speak English) นาย Kenneth ให้เพื่อนตอบกลับไปว่า เขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน (I don’t speak English either !) คำตอบนี้ทำให้สฤษดิ์ขำ และสนใจนาย Kenneth ขึ้นมา จึงยอมรับนัด ปรากฎว่าเมื่อทั้ง 2 พบกันก็ถูกชะตากัน และคุยกันเป็นภาษาไทย สฤษดิ์ถามว่านาย Kenneth สนใจอะไรเขา นาย Kenneth บอกว่า เขาเชื่อว่าวันหนึ่งสฤษดิ์จะเป็นบุคคลสำคัญมากในวงการเมืองของประเทศไทย สฤษดิ์ถามว่า ฉันจะต้องไปรบกับใครหรือ นาย Kenneth บอกไม่ใช่รบแบบทหาร แต่รบในทางการเมืองละก้อใช่ สฤษดิ์ถามว่าคุณรู้ได้ยังไงนาย Kenneth บอกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งมีบทความมากมายและถ้ารู้จักวิธีอ่าน ก็จะได้ข้อมูลอย่างนึกไม่ถึง สฤษดิ์ตอบว่าใช่ ใช่แล้ว ! หลังจากนั้นทั้ง 2 คน ก็กลายเป็นเพื่อนกัน และเป็นเพื่อนชนิดที่ไว้ใจกัน หลังจากพบกับสฤษดิ์ นาย Kenneth เดินทางไปพบกับอดีตจักรพรรดิ์เบาได๋ (Baodai) ของเวียตนาม ซึ่งหนีลุงโฮมาอยู่ทางใต้ของเวียตนาม เบาได๋เชื่อว่าวันหนึ่งฝรั่งเศสจะคืนเอกราชให้เวียตนาม เบาได๋ขอให้อเมริกาช่วยจัดการให้ฝรั่งเศสออกไปจากเวียตนาม และช่วยให้เขากลับมามีอำนาจในเวียตนามต่อไป แล้วเขาจะให้ความร่วมมืออย่างดีกับอเมริกา นาย Kenneth เห็นว่า เบาได๋เป็นคนอ่อนแอ และไม่น่าที่จะรักษาเวียตนามไว้ได้ จากเวียตนามเขาเดินทางต่อไปพบเจ้านโรดมสีหนุที่เขมร ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ฝรั่งเศสตั้งให้เจ้านโรดมเป็นกษัตริย์ ตั้งแต่ยังเด็กโดยหวังจะให้เป็น หุ่นชักของฝรั่งเศส นาย Kenneth บอก เจ้าสีหนุเป็นคนฉลาด เจ้าเล่ห์ ลื่นไหล ลดเลี้ยวเก่งมาก เขาคิดว่าฝรั่งเศส (รวมทั้งอเมริกาด้วย) คงจะชักหุ่นชื่อสีหนุนี้ยาก ต่อจากเขมร นาย Kenneth ก็ไปลาว เขาไปพบรัฐบาลลาวที่เวียงจันทร์ หลังจากนั้นก็ไปพบกษัตริย์ลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเจ้าลาวก็ทำตัวเกร็งกับนาย Kenneth ฝ่ายหนึ่งพูดฝรั่งเศษ อีกฝ่ายพูดอังกฤษกันจนเมื่อยมือ จนนาย Kenneth พูดภาษาไทยด้วย เจ้าลาวก็ดีใจ ได้พูดลาวโดยนาย Kenneth ก็อ้างว่าเข้าใจ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็สื่อสารกันได้ (หมายเหตุ คนเล่านิทาน : กษัตริย์ลาวที่นาย Kenneth ไปพบน่าจะเป็นเจ้าสุวรรณภูมา เพราะนาย Kenneth บอกว่าภายหลัง กษัตริย์ลาวองค์นี้ถูกพวกคอมมิวนิสต์จับได้และปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก ในที่สุดก็สวรรคตในค่ายกักกันของคอมมิวนิสต์) จากลาว นาย Kenneth กลับมาเมืองไทยและเดินทางลงใต้ไปสิงค์โปร์และกัวลาลัมเปอร์ เสร็จแล้วก็ข้ามไปยังจาร์กาต้า เพื่อพบนายพลซูการ์โน เขาเจอลูกเล่นสาระพัดจากนักการเมือง และทหารที่จาร์กาต้า รวมทั้งถูกลองดี เช่น เครื่องบินที่เขาจะต้องใช้บินกลับมาสิงค์โปร์ ถูกดูดเอาน้ำมันออกจนเกลี้ยงถัง นาย Kenneth “รู้จัก” คนอินโดนีเซียจากประสบการณ์ของจริง ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 672 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.137 : เบื้องหลังพาเหรด 80 ปี Victory Day จีนชนะสงครามโลก
    .
    วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมีงานใหญ่ คือ งานรำลึกชัยชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปี โดยประเทศจีนได้จัดการ “สวนสนาม” ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พร้อมกับเชิญผู้นำ และบุคคลสำคัญจากชาติต่าง ๆ เกือบ 30 ประเทศเข้าร่วมพิธี โดยงานครั้งนี้มีผู้ร่วมงานในพื้นที่มากกว่า 5 หมื่นคน
    .
    ถึงแม้ว่า จีนจะมีพิธีระลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกเป็นประจำทุกปี แต่การสวนสนาม และการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ เพราะว่าการจัดงานในระดับนี้ต้องมีการเตรียมงานอย่างมากมาย, มีการฝึกซ้อมหลายครั้ง, และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น งานในปีนี้จึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ...
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=lU3vWB8sv3U
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #สงครามโลกครั้งที่2 #จีนจัดพาเหรดชนะสงคราม #VictoryDay #จัตุรัสเทียนอันเหมิน
    บูรพาไม่แพ้ Ep.137 : เบื้องหลังพาเหรด 80 ปี Victory Day จีนชนะสงครามโลก . วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมีงานใหญ่ คือ งานรำลึกชัยชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปี โดยประเทศจีนได้จัดการ “สวนสนาม” ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พร้อมกับเชิญผู้นำ และบุคคลสำคัญจากชาติต่าง ๆ เกือบ 30 ประเทศเข้าร่วมพิธี โดยงานครั้งนี้มีผู้ร่วมงานในพื้นที่มากกว่า 5 หมื่นคน . ถึงแม้ว่า จีนจะมีพิธีระลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกเป็นประจำทุกปี แต่การสวนสนาม และการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ เพราะว่าการจัดงานในระดับนี้ต้องมีการเตรียมงานอย่างมากมาย, มีการฝึกซ้อมหลายครั้ง, และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น งานในปีนี้จึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=lU3vWB8sv3U . #บูรพาไม่แพ้ #สงครามโลกครั้งที่2 #จีนจัดพาเหรดชนะสงคราม #VictoryDay #จัตุรัสเทียนอันเหมิน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts