• “BluSmart ล่มสลายสะท้อนวิกฤต EV มือสอง — เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคาเร็วที่สุดในโลก” — จากความหวังสู่ความเสี่ยง: ตลาด EV มือสองกำลังสั่นคลอนทั่วโลก

    บทความจาก Rest of World เปิดเผยว่า BluSmart บริษัทเรียกรถไฟฟ้าชั้นนำของอินเดียล้มละลายกลางปี 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาทางการเงิน และทิ้งไว้เบื้องหลังคือรถ EV หลายพันคันที่เคยมีมูลค่ากว่า $12,000 แต่กลับถูกขายทอดตลาดในราคาเพียง $3,000

    เหตุการณ์นี้สะท้อนวิกฤตที่ใหญ่กว่าคือ “การเสื่อมราคาของรถ EV มือสอง” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มรถเช่า, รถโลจิสติกส์ และฟลีทรถบริษัท ที่ต้องคำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ การเสื่อมราคาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของธุรกิจ

    ตัวอย่างเช่น Hertz บริษัทเช่ารถในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ Tesla 100,000 คันในปี 2021 ต้องขาดทุนกว่า $2.9 พันล้านในปี 2024 และขายรถ EV ที่ซื้อมาในราคาต่ำกว่าครึ่ง

    ปัญหาหลักคือ “ไม่มีใครรู้ว่ารถ EV มือสองควรมีมูลค่าเท่าไร” เพราะมูลค่าของรถผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานไม่แน่นอน ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมินจากระยะทางและการซ่อมบำรุง

    แม้ Tesla จะยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีนอย่าง BYD, Nio หรือ XPeng แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดที่ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่และการชาร์จ

    ในบางประเทศ เช่น จีน, นอร์เวย์ และคอสตาริกา ตลาด EV มือสองยังแข็งแรง เพราะผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากกว่า แต่ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ความสงสัยยังสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องขับรถไกลหรือมีสภาพอากาศสุดขั้ว

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่จากบริษัท Recurrent พบว่าแบตเตอรี่ EV เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี และรถที่ผลิตหลังปี 2016 มีอัตราการเปลี่ยนแบตต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อมือสอง

    BluSmart ล้มละลายกลางปี 2025 และขายรถ EV ในราคาต่ำกว่าทุน
    จาก $12,000 เหลือเพียง $3,000 ต่อคัน

    รถ EV มือสองเสื่อมราคามากกว่ารถน้ำมัน
    เช่น Tesla Model Y ปี 2023 เสื่อมถึง 42% ใน 2 ปี

    Hertz ขาดทุน $2.9 พันล้านจากการลงทุนในรถ EV
    ขายรถที่ซื้อมา $40,000 ในราคาต่ำกว่า $20,000

    มูลค่ารถ EV ผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่แน่นอน
    ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมิน

    Tesla ยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีน
    เช่น BYD, Nio, XPeng และ Omoda

    ตลาด EV มือสองแข็งแรงในประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี
    เช่น จีน, นอร์เวย์, คอสตาริกา

    ข้อมูลจาก Recurrent ชี้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี
    รถหลังปี 2016 มีอัตราเปลี่ยนแบตต่ำมาก

    โมเดล Battery-as-a-Service ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน
    ให้ผู้ประกอบการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น

    https://restofworld.org/2025/ev-depreciation-blusmart-collapse/
    🚗 “BluSmart ล่มสลายสะท้อนวิกฤต EV มือสอง — เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคาเร็วที่สุดในโลก” — จากความหวังสู่ความเสี่ยง: ตลาด EV มือสองกำลังสั่นคลอนทั่วโลก บทความจาก Rest of World เปิดเผยว่า BluSmart บริษัทเรียกรถไฟฟ้าชั้นนำของอินเดียล้มละลายกลางปี 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาทางการเงิน และทิ้งไว้เบื้องหลังคือรถ EV หลายพันคันที่เคยมีมูลค่ากว่า $12,000 แต่กลับถูกขายทอดตลาดในราคาเพียง $3,000 เหตุการณ์นี้สะท้อนวิกฤตที่ใหญ่กว่าคือ “การเสื่อมราคาของรถ EV มือสอง” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มรถเช่า, รถโลจิสติกส์ และฟลีทรถบริษัท ที่ต้องคำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ การเสื่อมราคาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Hertz บริษัทเช่ารถในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ Tesla 100,000 คันในปี 2021 ต้องขาดทุนกว่า $2.9 พันล้านในปี 2024 และขายรถ EV ที่ซื้อมาในราคาต่ำกว่าครึ่ง ปัญหาหลักคือ “ไม่มีใครรู้ว่ารถ EV มือสองควรมีมูลค่าเท่าไร” เพราะมูลค่าของรถผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานไม่แน่นอน ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมินจากระยะทางและการซ่อมบำรุง แม้ Tesla จะยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีนอย่าง BYD, Nio หรือ XPeng แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดที่ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่และการชาร์จ ในบางประเทศ เช่น จีน, นอร์เวย์ และคอสตาริกา ตลาด EV มือสองยังแข็งแรง เพราะผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากกว่า แต่ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ความสงสัยยังสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องขับรถไกลหรือมีสภาพอากาศสุดขั้ว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่จากบริษัท Recurrent พบว่าแบตเตอรี่ EV เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี และรถที่ผลิตหลังปี 2016 มีอัตราการเปลี่ยนแบตต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อมือสอง ✅ BluSmart ล้มละลายกลางปี 2025 และขายรถ EV ในราคาต่ำกว่าทุน ➡️ จาก $12,000 เหลือเพียง $3,000 ต่อคัน ✅ รถ EV มือสองเสื่อมราคามากกว่ารถน้ำมัน ➡️ เช่น Tesla Model Y ปี 2023 เสื่อมถึง 42% ใน 2 ปี ✅ Hertz ขาดทุน $2.9 พันล้านจากการลงทุนในรถ EV ➡️ ขายรถที่ซื้อมา $40,000 ในราคาต่ำกว่า $20,000 ✅ มูลค่ารถ EV ผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่แน่นอน ➡️ ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมิน ✅ Tesla ยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีน ➡️ เช่น BYD, Nio, XPeng และ Omoda ✅ ตลาด EV มือสองแข็งแรงในประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี ➡️ เช่น จีน, นอร์เวย์, คอสตาริกา ✅ ข้อมูลจาก Recurrent ชี้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี ➡️ รถหลังปี 2016 มีอัตราเปลี่ยนแบตต่ำมาก ✅ โมเดล Battery-as-a-Service ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน ➡️ ให้ผู้ประกอบการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น https://restofworld.org/2025/ev-depreciation-blusmart-collapse/
    RESTOFWORLD.ORG
    EVs are depreciating much faster than gas-powered cars
    Plummeting resale values are threatening to derail the world's transition to electric transportation.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 1

    เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2014 Deutsche Welle (DW) สื่อดังเยอรมัน และสื่อต่างชาติอีกหลายสำนักล งข่าวพร้อมเพียงกัน เหมือนข่าวแจกว่า ทางการทหารสวีเดน แจ้งเมื่อวันเสาร์ (ที่13) ว่า เครื่องบินรบของรัสเซีย เกือบชนกับเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ ซึ่งขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงโคเปนฮาเกนของ Denmark ข่าวอ้างว่า นาย Peter Hultqvist รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน พูดทางสถานีวิทยุสวีเดน ว่ามันเป็นเครื่องบินจารกรรมของรัสเซีย !

    ส่วนนายพลตรี Michael Byden Airforce Chief ของสวีเดน แจงเพิ่มว่า ” เครื่องบินรบรัสเซียปิดเครื่องเรดาร์ (transpondor) ทำให้ไม่มีสัญญานขึ้นบนจอของเครื่องบินพาณิชย์ นี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และเป็นเรื่องอันตราย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ เมื่อเดือนมีนาคมยิ่งกว่านี้อีก ระยะห่างกันแค่ 100 เมตร (300 ฟิต) เอง ระหว่างเครื่องบินรบของรัสเซีย กับเครื่องบินพาณิชย์ Scandinavian Airlines (SAS) ซึ่งเพิ่งบินขึ้นจากสนามบินโคเปนฮาเกน รัสเซียปิดเครื่อง transpondor อีกแหล่ะ ดีว่า นักบินที่ขับเครื่องพาณิชย์ เขาสายตาดี ( good visibility) และมีความตื่นตัว ”

    ( SAS เป็นสายการบินระหว่างชาติ โดยการร่วมทุนระหว่าง นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก)

    นอกจากนี้ Dagens Nyheter (DN) สื่อใหญ่ของสวีเดน ซึ่งวิเคราะห์จากการติดต่อทางวิทยุระหว่าง ศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศของฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนของสวีเดนกับนักบินบอกว่า เครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งกำลังบินขึ้นจากสนามบิน Castrup ใน กรุงโคเปนฮาเกน ได้รับอนุญาตให้บินไต่ระดับสูงที่ 25,000 ฟิต แต่ 3 นาทีหลังจากนั้น ถูกสั่งให้คงระดับที่ 22,000 ฟิต เนื่องจากศูนย์ควบคุมฝ่ายทหาร ติดต่อไปทางศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนว่า มีเครื่องบินที่ไม่เปิดเผยตัวตน กำลังบินในเส้นทางที่จะทำให้เกิดการชนกันได้ ให้ศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนรีบแจ้งทางเครื่องบินพาณิชย์ให้ดำเนินการแก้ไขด่วน จึงสั่งให้เครื่องบินพาณิชย์ เลี้ยวออกจากเส้นทางเดิม
    ฝ่าย SAS เอง ตอนแรกปฏิเสธ ว่า SAS ไม่เกี่ยวด้วย แต่คงถูกใครถีบให้ออกมา นาย Knut Morton Johansen ผู้จัดการชาวนอร์เวย์ การด้านการสื่อสาร เลยออกมาให้ข่าวมั่งว่า สำหรับกรณีที่กำลังเป็นข่าวนั้น….ไม่มีการทำผิดกฎด้านความมั่นคงเกิดขึ้นแต่อย่างใด และที่สำคัญ สำหรับ SAS ไม่มีใครตกอยู่ในอันตราย ฝ่ายนักบิน และฝ่ายควบคุม traffic ของเรา ควบคุมสถานะการณ์ได้ ส่วนเรื่องระยะความใกล้ระหว่าง 2 เครื่องนั้น นาย Johansen บอกว่า พวกเขาไม่เคยเข้ามาใกล้กว่า 900 เมตร (3,000 ฟิต) เลยนะ SAS มีความเห็นว่า เครื่องบินรัสเซียได้บินรักษาระยะความห่างอย่างปลอดภัยแล้ว (พวกคุณ สื่อ) อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เกินจริงกันนัก!

    อ้าว พวกกันเอง ทำไมให้ข่าวแบบแตกลาย แถมฝ่ายที่น่าจะเป็นผู้เสียหาย คือ SAS

    ทำไมพูดไม่เต็มปาก ไม่เต็มเสียง ไม่หนักแน่นเหมือนลูกพี่เลย ที่น่างง คือ ตัวเลขระยะห่างระหว่าง 2 เครื่องบิน ลูกพี่บอก 300 ฟิต ลูกน้องบอก ไม่เคยใกล้กว่า 3,000 ฟิตเลย สงสัย ลูกพี่คงจะลืมแว่นตาไว้ที่บ้าน ตอนออกสื่อ เลยอ่านตัวเลข เกินไปหนึ่งศูนย์ ฮาจริง

    แล้วรัสเซียว่าอย่างไร กะบินเฉี่ยวหัวเขาจริงหรือเปล่า หรือถูกพวกจัดฉากร้องเพลงประสานเสียงตามใบสั่ง

    รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ออกมาชี้แจงวันรุ่งขึ้นบอกว่า เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่สวีเดนออกข่าวเลย เขายืนยันว่า เครื่องบินทั้ง 2 ลำ บินห่างกันไม่เคยน้อยกว่าระยะ 70 กิโลเมตร (42 ไมล์) ทั้ง 2 ครั้ง และเครื่องบินของรัสเซีย ก็ปฏิบัติตามกฏของการบินนานาชาติอย่างถูกต้อง และทำการบินในระยะที่ปลอดภัยกับเครื่องบินพลเรือนเสมอ นี่ก็ตัวเลขคนละทางเหมือนกัน คนเขียนนิทานก็ชักจะมึน อย่าเว่อกันนักนะครับ เดี๋ยวเขาจะว่าผมเข้าเต็มตัว ไม่ใช่แค่เข้าข้าง!

    แต่ดูเหมือนคำชี้ แจงของทั้งรัสเซียและ ของ SAS เอง จะไม่มีน้ำหนักพอ เขาว่าวันต่อมาทูตรัสเซีย ประจำเดนมาร์กและสวีเดน ถูกเรียกเรียกไปฟังเทศน์ต่อเรื่องความไม่ปลอดภัย ที่เกือบจะเกิดขึ้น ก็เทปม้วนเดิมนั่นแหละ

    หลังจากนั้นก็เป็นคิวของเดนมาร์กและนอร์เวย์ แถมด้วยลูกหาบเช่น ลัตเวีย ต่างออกมาส่งเสียงด้วยประโยคเดิม เครื่องเล่นเทปร้อนจัด เดี๋ยวจะน้อยหน้าสวีเดน แบบนี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง รายการคิดบัญชีกันหรือไง !?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ธค. 2557
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 1 เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2014 Deutsche Welle (DW) สื่อดังเยอรมัน และสื่อต่างชาติอีกหลายสำนักล งข่าวพร้อมเพียงกัน เหมือนข่าวแจกว่า ทางการทหารสวีเดน แจ้งเมื่อวันเสาร์ (ที่13) ว่า เครื่องบินรบของรัสเซีย เกือบชนกับเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ ซึ่งขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงโคเปนฮาเกนของ Denmark ข่าวอ้างว่า นาย Peter Hultqvist รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน พูดทางสถานีวิทยุสวีเดน ว่ามันเป็นเครื่องบินจารกรรมของรัสเซีย ! ส่วนนายพลตรี Michael Byden Airforce Chief ของสวีเดน แจงเพิ่มว่า ” เครื่องบินรบรัสเซียปิดเครื่องเรดาร์ (transpondor) ทำให้ไม่มีสัญญานขึ้นบนจอของเครื่องบินพาณิชย์ นี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และเป็นเรื่องอันตราย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ เมื่อเดือนมีนาคมยิ่งกว่านี้อีก ระยะห่างกันแค่ 100 เมตร (300 ฟิต) เอง ระหว่างเครื่องบินรบของรัสเซีย กับเครื่องบินพาณิชย์ Scandinavian Airlines (SAS) ซึ่งเพิ่งบินขึ้นจากสนามบินโคเปนฮาเกน รัสเซียปิดเครื่อง transpondor อีกแหล่ะ ดีว่า นักบินที่ขับเครื่องพาณิชย์ เขาสายตาดี ( good visibility) และมีความตื่นตัว ” ( SAS เป็นสายการบินระหว่างชาติ โดยการร่วมทุนระหว่าง นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก) นอกจากนี้ Dagens Nyheter (DN) สื่อใหญ่ของสวีเดน ซึ่งวิเคราะห์จากการติดต่อทางวิทยุระหว่าง ศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศของฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนของสวีเดนกับนักบินบอกว่า เครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งกำลังบินขึ้นจากสนามบิน Castrup ใน กรุงโคเปนฮาเกน ได้รับอนุญาตให้บินไต่ระดับสูงที่ 25,000 ฟิต แต่ 3 นาทีหลังจากนั้น ถูกสั่งให้คงระดับที่ 22,000 ฟิต เนื่องจากศูนย์ควบคุมฝ่ายทหาร ติดต่อไปทางศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนว่า มีเครื่องบินที่ไม่เปิดเผยตัวตน กำลังบินในเส้นทางที่จะทำให้เกิดการชนกันได้ ให้ศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนรีบแจ้งทางเครื่องบินพาณิชย์ให้ดำเนินการแก้ไขด่วน จึงสั่งให้เครื่องบินพาณิชย์ เลี้ยวออกจากเส้นทางเดิม ฝ่าย SAS เอง ตอนแรกปฏิเสธ ว่า SAS ไม่เกี่ยวด้วย แต่คงถูกใครถีบให้ออกมา นาย Knut Morton Johansen ผู้จัดการชาวนอร์เวย์ การด้านการสื่อสาร เลยออกมาให้ข่าวมั่งว่า สำหรับกรณีที่กำลังเป็นข่าวนั้น….ไม่มีการทำผิดกฎด้านความมั่นคงเกิดขึ้นแต่อย่างใด และที่สำคัญ สำหรับ SAS ไม่มีใครตกอยู่ในอันตราย ฝ่ายนักบิน และฝ่ายควบคุม traffic ของเรา ควบคุมสถานะการณ์ได้ ส่วนเรื่องระยะความใกล้ระหว่าง 2 เครื่องนั้น นาย Johansen บอกว่า พวกเขาไม่เคยเข้ามาใกล้กว่า 900 เมตร (3,000 ฟิต) เลยนะ SAS มีความเห็นว่า เครื่องบินรัสเซียได้บินรักษาระยะความห่างอย่างปลอดภัยแล้ว (พวกคุณ สื่อ) อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เกินจริงกันนัก! อ้าว พวกกันเอง ทำไมให้ข่าวแบบแตกลาย แถมฝ่ายที่น่าจะเป็นผู้เสียหาย คือ SAS ทำไมพูดไม่เต็มปาก ไม่เต็มเสียง ไม่หนักแน่นเหมือนลูกพี่เลย ที่น่างง คือ ตัวเลขระยะห่างระหว่าง 2 เครื่องบิน ลูกพี่บอก 300 ฟิต ลูกน้องบอก ไม่เคยใกล้กว่า 3,000 ฟิตเลย สงสัย ลูกพี่คงจะลืมแว่นตาไว้ที่บ้าน ตอนออกสื่อ เลยอ่านตัวเลข เกินไปหนึ่งศูนย์ ฮาจริง แล้วรัสเซียว่าอย่างไร กะบินเฉี่ยวหัวเขาจริงหรือเปล่า หรือถูกพวกจัดฉากร้องเพลงประสานเสียงตามใบสั่ง รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ออกมาชี้แจงวันรุ่งขึ้นบอกว่า เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่สวีเดนออกข่าวเลย เขายืนยันว่า เครื่องบินทั้ง 2 ลำ บินห่างกันไม่เคยน้อยกว่าระยะ 70 กิโลเมตร (42 ไมล์) ทั้ง 2 ครั้ง และเครื่องบินของรัสเซีย ก็ปฏิบัติตามกฏของการบินนานาชาติอย่างถูกต้อง และทำการบินในระยะที่ปลอดภัยกับเครื่องบินพลเรือนเสมอ นี่ก็ตัวเลขคนละทางเหมือนกัน คนเขียนนิทานก็ชักจะมึน อย่าเว่อกันนักนะครับ เดี๋ยวเขาจะว่าผมเข้าเต็มตัว ไม่ใช่แค่เข้าข้าง! แต่ดูเหมือนคำชี้ แจงของทั้งรัสเซียและ ของ SAS เอง จะไม่มีน้ำหนักพอ เขาว่าวันต่อมาทูตรัสเซีย ประจำเดนมาร์กและสวีเดน ถูกเรียกเรียกไปฟังเทศน์ต่อเรื่องความไม่ปลอดภัย ที่เกือบจะเกิดขึ้น ก็เทปม้วนเดิมนั่นแหละ หลังจากนั้นก็เป็นคิวของเดนมาร์กและนอร์เวย์ แถมด้วยลูกหาบเช่น ลัตเวีย ต่างออกมาส่งเสียงด้วยประโยคเดิม เครื่องเล่นเทปร้อนจัด เดี๋ยวจะน้อยหน้าสวีเดน แบบนี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง รายการคิดบัญชีกันหรือไง !? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 6

    ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป

    Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ

    – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป

    – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017

    – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย

    สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ

    – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ !

    – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา
    นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan

    ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

    – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว

    เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน

    เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย

    แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช
    ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา

    เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน

    สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า

    ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง !

    Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด

    สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย
    ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2
    แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร

    ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย

    มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO

    รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว

    เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน

    ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 6 ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ ! – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง ! Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2 แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • 7 วัน 6 คืนแห่งความประทับใจ! ชมอุทยานฟยอร์ด สะพานมหัศจรรย์ แสงเหนือ และเมืองสีสันนอร์เวย์ บนเรือ Havila พร้อมที่พัก และอาหารบนเรือทุกมื้อ

    🛳 แพ็คเกจล่องเรือสำราญ Havila Adventure in Norway 7 วัน 6 คืน

    เดินทาง ต.ค. 68 - ธ.ค. 69

    เส้นทางสแกนดิเนเวีย เบอร์เกน - เคิร์กเคเนส แวะจอด 34 ports

    ราคาเริ่มต้น : EUR 815

    ห้องพักบนเรือ พักคู่ รวม 6คืน (พักสองท่านต่อห้อง)
    อาหารทุกมื้อบนเรือ(ยกเว้นห้องอาหารพิเศษ)
    การแสดง และกิจกรรมสันทนาการ (บางรายการ)
    ภาษีท่าเรือ

    รหัสโปรแกรม : HAVP-7D6N-BGO-KKN-2612291
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e51c

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #HavilaAdventure #Norway #Scandinavia #Trondheim #Havoysund #Tromso #แสงเหนือ #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    💥 7 วัน 6 คืนแห่งความประทับใจ! ชมอุทยานฟยอร์ด สะพานมหัศจรรย์ แสงเหนือ และเมืองสีสันนอร์เวย์ บนเรือ Havila พร้อมที่พัก และอาหารบนเรือทุกมื้อ ✨ 🛳 แพ็คเกจล่องเรือสำราญ Havila Adventure in Norway 7 วัน 6 คืน 📅 เดินทาง ต.ค. 68 - ธ.ค. 69 📍 เส้นทางสแกนดิเนเวีย เบอร์เกน - เคิร์กเคเนส แวะจอด 34 ports 💳 ราคาเริ่มต้น : EUR 815 ✅ ห้องพักบนเรือ พักคู่ รวม 6คืน (พักสองท่านต่อห้อง) ✅ อาหารทุกมื้อบนเรือ(ยกเว้นห้องอาหารพิเศษ) ✅ การแสดง และกิจกรรมสันทนาการ (บางรายการ) ✅ ภาษีท่าเรือ 🅿️ รหัสโปรแกรม : HAVP-7D6N-BGO-KKN-2612291 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e51c 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #HavilaAdventure #Norway #Scandinavia #Trondheim #Havoysund #Tromso #แสงเหนือ #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • “Yantar: เรือสอดแนมรัสเซียที่กำลัง ‘เดินสาย’ ใต้ทะเลยุโรป — เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของสงครามเงียบ”

    รายงานล่าสุดจาก Financial Times และหน่วยงานความมั่นคงยุโรปเปิดเผยว่า เรือ Yantar ของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “เรือสอดแนมทางทหาร” ได้ถูกติดตามขณะเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมโยงประเทศ NATO ทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ทำแผนที่” และอาจ “สกัดกั้น” การสื่อสารที่สำคัญของพันธมิตร NATO

    Yantar ถูกระบุว่าออกเดินทางจากคาบสมุทร Kola ของรัสเซียตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยปลอมตัวเป็นเรือพลเรือน แต่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น ระบบเรดาร์, แขนกลใต้น้ำ, และยานดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งสามารถเข้าถึงสายเคเบิลที่อยู่ลึกถึง 6,000 เมตร

    เรือถูกพบในหลายจุดสำคัญ เช่น ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับหมู่เกาะ Svalbard ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอาร์กติก โดยมีการเคลื่อนไหวที่พยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ส่งสัญญาณตำแหน่ง และเคลื่อนที่ช้าเหนือสายเคเบิลโดยตรง

    ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA แสดงให้เห็นว่า Yantar เคลื่อนตัวอย่างมีเป้าหมาย และมีการหยุดตามจุดที่ตรงกับตำแหน่งสายเคเบิลพลังงาน, อินเทอร์เน็ต, และระบบสื่อสารทางทหาร เช่น Integrated Undersea Surveillance System ที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากรัสเซียต้องการโจมตีแบบ “สงครามลูกผสม” การตัดสายเคเบิลเหล่านี้อาจทำให้ประเทศตะวันตก “มืดสนิท” ทั้งในด้านพลังงาน, การเงิน, และการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดกับยูเครนและ NATO ยังคงสูงขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เรือ Yantar ของรัสเซียถูกติดตามขณะเคลื่อนที่ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำของ NATO
    เรือถูกระบุว่าเป็นเรือสอดแนมทางทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ
    จุดที่พบเรือ ได้แก่ ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับ Svalbard
    ใช้ดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA ในการติดตามตำแหน่งเรือ
    เรือสามารถปล่อยยานใต้น้ำและแขนกลเพื่อเข้าถึงสายเคเบิลลึกถึง 6,000 เมตร
    เป้าหมายคือการทำแผนที่และอาจสกัดกั้นการสื่อสารของ NATO
    สายเคเบิลที่ถูกติดตามรวมถึงระบบติดตามเรือดำน้ำ Integrated Undersea Surveillance System
    รัฐบาลอังกฤษและ NATO เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีป้องกัน เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำและโดรนตรวจการณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของการสื่อสารทั่วโลก และรองรับธุรกรรมการเงินกว่า $10 ล้านล้านต่อวัน
    รัสเซียมีหน่วยงานลับชื่อ GUGI ที่ดูแลเรือ Yantar และยานใต้น้ำกว่า 50 ลำ
    การตัดสายเคเบิลเคยเกิดขึ้นจริง เช่น กรณีสายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และสวีเดนถูกตัดในปี 2024
    สายเคเบิลบางเส้นมีความลับสูง เช่น เส้นที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู
    ประเทศในยุโรปเริ่มใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบและป้องกันการโจมตีใต้น้ำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/moscow-military-spy-ship-tracked-mapping-and-surveilling-nato-undersea-cables-shes-following-cable-lines-and-pipelines-making-stops-we-are-monitoring-her-very-closely
    🌊 “Yantar: เรือสอดแนมรัสเซียที่กำลัง ‘เดินสาย’ ใต้ทะเลยุโรป — เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของสงครามเงียบ” รายงานล่าสุดจาก Financial Times และหน่วยงานความมั่นคงยุโรปเปิดเผยว่า เรือ Yantar ของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “เรือสอดแนมทางทหาร” ได้ถูกติดตามขณะเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมโยงประเทศ NATO ทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ทำแผนที่” และอาจ “สกัดกั้น” การสื่อสารที่สำคัญของพันธมิตร NATO Yantar ถูกระบุว่าออกเดินทางจากคาบสมุทร Kola ของรัสเซียตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยปลอมตัวเป็นเรือพลเรือน แต่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น ระบบเรดาร์, แขนกลใต้น้ำ, และยานดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งสามารถเข้าถึงสายเคเบิลที่อยู่ลึกถึง 6,000 เมตร เรือถูกพบในหลายจุดสำคัญ เช่น ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับหมู่เกาะ Svalbard ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอาร์กติก โดยมีการเคลื่อนไหวที่พยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ส่งสัญญาณตำแหน่ง และเคลื่อนที่ช้าเหนือสายเคเบิลโดยตรง ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA แสดงให้เห็นว่า Yantar เคลื่อนตัวอย่างมีเป้าหมาย และมีการหยุดตามจุดที่ตรงกับตำแหน่งสายเคเบิลพลังงาน, อินเทอร์เน็ต, และระบบสื่อสารทางทหาร เช่น Integrated Undersea Surveillance System ที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากรัสเซียต้องการโจมตีแบบ “สงครามลูกผสม” การตัดสายเคเบิลเหล่านี้อาจทำให้ประเทศตะวันตก “มืดสนิท” ทั้งในด้านพลังงาน, การเงิน, และการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดกับยูเครนและ NATO ยังคงสูงขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เรือ Yantar ของรัสเซียถูกติดตามขณะเคลื่อนที่ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำของ NATO ➡️ เรือถูกระบุว่าเป็นเรือสอดแนมทางทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ ➡️ จุดที่พบเรือ ได้แก่ ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับ Svalbard ➡️ ใช้ดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA ในการติดตามตำแหน่งเรือ ➡️ เรือสามารถปล่อยยานใต้น้ำและแขนกลเพื่อเข้าถึงสายเคเบิลลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ เป้าหมายคือการทำแผนที่และอาจสกัดกั้นการสื่อสารของ NATO ➡️ สายเคเบิลที่ถูกติดตามรวมถึงระบบติดตามเรือดำน้ำ Integrated Undersea Surveillance System ➡️ รัฐบาลอังกฤษและ NATO เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีป้องกัน เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำและโดรนตรวจการณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของการสื่อสารทั่วโลก และรองรับธุรกรรมการเงินกว่า $10 ล้านล้านต่อวัน ➡️ รัสเซียมีหน่วยงานลับชื่อ GUGI ที่ดูแลเรือ Yantar และยานใต้น้ำกว่า 50 ลำ ➡️ การตัดสายเคเบิลเคยเกิดขึ้นจริง เช่น กรณีสายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และสวีเดนถูกตัดในปี 2024 ➡️ สายเคเบิลบางเส้นมีความลับสูง เช่น เส้นที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู ➡️ ประเทศในยุโรปเริ่มใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบและป้องกันการโจมตีใต้น้ำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/moscow-military-spy-ship-tracked-mapping-and-surveilling-nato-undersea-cables-shes-following-cable-lines-and-pipelines-making-stops-we-are-monitoring-her-very-closely
    0 Comments 0 Shares 313 Views 0 Reviews
  • “TradingView Premium ปลอมระบาดผ่าน Google Ads และ YouTube — แฝงโทรจันขโมยข้อมูลและควบคุมเครื่องเหยื่อ”

    Bitdefender Labs ได้เปิดเผยแคมเปญโฆษณาอันตรายที่กำลังระบาดหนักในปี 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้ชื่อ “TradingView Premium” เป็นเหยื่อล่อผ่าน Google Ads และ YouTube เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์โทรจันชื่อว่า Trojan.Agent.GOSL ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล ขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที2

    แคมเปญนี้เริ่มจากการยึดบัญชีโฆษณาของบริษัทดีไซน์ในนอร์เวย์ และช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน (verified) จากนั้นแฮกเกอร์ลบเนื้อหาเดิมทั้งหมด แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนช่องทางการของ TradingView ทั้งโลโก้ แบนเนอร์ และเพลย์ลิสต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือสูงสุด

    วิดีโอที่ใช้หลอกลวงจะถูกตั้งเป็น “unlisted” เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube และจะถูกโปรโมตผ่านโฆษณาเท่านั้น เช่นคลิปชื่อ “Free TradingView Premium – Secret Method They Don’t Want You to Know” ที่มียอดวิวทะลุ 182,000 ภายในไม่กี่วัน แม้จะไม่มีเนื้อหาจริงจาก TradingView เลย

    เมื่อเหยื่อคลิกดาวน์โหลดจากลิงก์ใต้คลิป จะได้ไฟล์ .exe ที่เป็นมัลแวร์เต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ โปรแกรมเทรด และกระเป๋าคริปโต รวมถึงควบคุมเครื่องเพื่อขุดเหรียญโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แฮกเกอร์ใช้ชื่อ TradingView Premium หลอกผู้ใช้ผ่าน Google Ads และ YouTube
    ยึดบัญชีโฆษณาและช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนของจริง
    ใช้วิดีโอแบบ unlisted เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube
    วิดีโอปลอมมีชื่อเช่น “Free TradingView Premium – Secret Method…” และมียอดวิวสูงผิดปกติ
    ลิงก์ใต้คลิปนำไปสู่ไฟล์มัลแวร์ Trojan.Agent.GOSL ที่สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อได้
    มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที
    Bitdefender ติดตามแคมเปญนี้มานานกว่า 1 ปี และพบว่ามีการใช้โดเมนปลอมกว่า 500 แห่ง
    แคมเปญนี้เคยระบาดผ่าน Facebook Ads มาก่อน และขยายมาสู่ Google และ YouTube1

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TradingView Premium เป็นบริการวิเคราะห์กราฟเทรดที่มีค่าใช้จ่ายจริง ไม่แจกฟรี
    การใช้ช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยันเป็นช่องทางหลอกลวงกำลังเพิ่มขึ้น
    วิดีโอแบบ unlisted มักใช้ในแคมเปญหลอกลวง เพราะไม่ถูกค้นเจอหรือรายงานง่าย
    Trojan.Agent.GOSL เป็นมัลแวร์ที่สามารถฝังตัวในระบบโดยไม่ทิ้งไฟล์ให้ตรวจจับ
    การขุดคริปโตแบบลับ ๆ ทำให้เครื่องช้า ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

    คำเตือนและข้อจำกัด
    วิดีโอที่มีคำว่า “ฟรี” หรือ “วิธีลับ” มักเป็นกลลวงที่แฝงมัลแวร์
    ช่อง YouTube ที่ดูเหมือนของจริง อาจถูกยึดและใช้หลอกลวงโดยแฮกเกอร์
    การดาวน์โหลดไฟล์จากลิงก์ใต้คลิปที่ไม่ใช่ช่องทางทางการมีความเสี่ยงสูง
    Trojan.Agent.GOSL สามารถควบคุมเครื่องและขโมยข้อมูลโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว
    การคลิกโฆษณาโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา อาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ทันที

    https://hackread.com/tradingview-scam-expands-to-google-youtube/
    🛑 “TradingView Premium ปลอมระบาดผ่าน Google Ads และ YouTube — แฝงโทรจันขโมยข้อมูลและควบคุมเครื่องเหยื่อ” Bitdefender Labs ได้เปิดเผยแคมเปญโฆษณาอันตรายที่กำลังระบาดหนักในปี 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้ชื่อ “TradingView Premium” เป็นเหยื่อล่อผ่าน Google Ads และ YouTube เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์โทรจันชื่อว่า Trojan.Agent.GOSL ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล ขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที2 แคมเปญนี้เริ่มจากการยึดบัญชีโฆษณาของบริษัทดีไซน์ในนอร์เวย์ และช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน (verified) จากนั้นแฮกเกอร์ลบเนื้อหาเดิมทั้งหมด แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนช่องทางการของ TradingView ทั้งโลโก้ แบนเนอร์ และเพลย์ลิสต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือสูงสุด วิดีโอที่ใช้หลอกลวงจะถูกตั้งเป็น “unlisted” เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube และจะถูกโปรโมตผ่านโฆษณาเท่านั้น เช่นคลิปชื่อ “Free TradingView Premium – Secret Method They Don’t Want You to Know” ที่มียอดวิวทะลุ 182,000 ภายในไม่กี่วัน แม้จะไม่มีเนื้อหาจริงจาก TradingView เลย เมื่อเหยื่อคลิกดาวน์โหลดจากลิงก์ใต้คลิป จะได้ไฟล์ .exe ที่เป็นมัลแวร์เต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ โปรแกรมเทรด และกระเป๋าคริปโต รวมถึงควบคุมเครื่องเพื่อขุดเหรียญโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แฮกเกอร์ใช้ชื่อ TradingView Premium หลอกผู้ใช้ผ่าน Google Ads และ YouTube ➡️ ยึดบัญชีโฆษณาและช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนของจริง ➡️ ใช้วิดีโอแบบ unlisted เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube ➡️ วิดีโอปลอมมีชื่อเช่น “Free TradingView Premium – Secret Method…” และมียอดวิวสูงผิดปกติ ➡️ ลิงก์ใต้คลิปนำไปสู่ไฟล์มัลแวร์ Trojan.Agent.GOSL ที่สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อได้ ➡️ มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที ➡️ Bitdefender ติดตามแคมเปญนี้มานานกว่า 1 ปี และพบว่ามีการใช้โดเมนปลอมกว่า 500 แห่ง ➡️ แคมเปญนี้เคยระบาดผ่าน Facebook Ads มาก่อน และขยายมาสู่ Google และ YouTube1 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TradingView Premium เป็นบริการวิเคราะห์กราฟเทรดที่มีค่าใช้จ่ายจริง ไม่แจกฟรี ➡️ การใช้ช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยันเป็นช่องทางหลอกลวงกำลังเพิ่มขึ้น ➡️ วิดีโอแบบ unlisted มักใช้ในแคมเปญหลอกลวง เพราะไม่ถูกค้นเจอหรือรายงานง่าย ➡️ Trojan.Agent.GOSL เป็นมัลแวร์ที่สามารถฝังตัวในระบบโดยไม่ทิ้งไฟล์ให้ตรวจจับ ➡️ การขุดคริปโตแบบลับ ๆ ทำให้เครื่องช้า ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ วิดีโอที่มีคำว่า “ฟรี” หรือ “วิธีลับ” มักเป็นกลลวงที่แฝงมัลแวร์ ⛔ ช่อง YouTube ที่ดูเหมือนของจริง อาจถูกยึดและใช้หลอกลวงโดยแฮกเกอร์ ⛔ การดาวน์โหลดไฟล์จากลิงก์ใต้คลิปที่ไม่ใช่ช่องทางทางการมีความเสี่ยงสูง ⛔ Trojan.Agent.GOSL สามารถควบคุมเครื่องและขโมยข้อมูลโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว ⛔ การคลิกโฆษณาโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา อาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ทันที https://hackread.com/tradingview-scam-expands-to-google-youtube/
    HACKREAD.COM
    Google Ads Used to Spread Trojan Disguised as TradingView Premium
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามชาติใดก็สามารถฟ้องดำเนินคดีมันได้จึงสมควรที่สุด.

    ..ศาลอาญาระหว่างประเทศ

    ศาลซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 เพื่อดำเนินคดีบุคคลในข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มีประเทศสมาชิก 125 ประเทศที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568

    ศาลอาญาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Criminal Court; ย่อ: ICC) เป็นศาลระหว่างประเทศซึ่งมีที่ทำการอยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีเขตอำนาจดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐาน คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน ก่อตั้งขึ้นโดยประสงค์จะให้เป็นส่วนเสริมของระบบยุติธรรมที่แต่ละประเทศมีอยู่ จึงมีเขตอำนาจเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้น เช่น เมื่อศาลระดับประเทศไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแล้ว หรือเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือรัฐหนึ่ง ๆ เสนอคดีมาให้พิจารณา ศาลนี้เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมเริ่มใช้บังคับ ธรรมนูญดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีซึ่งวางรากฐานและกำหนดการบริหารจัดการของศาล รัฐที่เข้าเป็นภาคีแห่งธรรมนูญจะนับเป็นรัฐสมาชิกของศาล ปัจจุบันมีรัฐภาคี 125 รัฐ

    องค์กรหลักของศาลมี 4 องค์กร คือ คณะประธาน แผนกตุลาการ สำนักงานอัยการ และสำนักงานทะเบียน ประธานศาลเป็นตุลาการที่ได้รับเลือกมาจากตุลาการคนอื่นในแผนกตุลาการ สำนักงานอัยการมีอัยการเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่สืบสวนคดีและส่งฟ้องต่อแผนกตุลาการ ส่วนสำนักงานทะเบียนมีนายทะเบียนเป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานธุรการทั้งปวงของศาล ซึ่งรวมถึงการบริหารสำนักงานใหญ่ของศาล หน่วยขัง และสำนักงานทนายจำเลย


    ประเทศที่เป็นสมาชิกของ ICC

    ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีประเทศต่างๆ 137 ประเทศลงนามในธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วม ในขณะที่ 125 ประเทศได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นรัฐสมาชิกเต็มตัวของ ICC

    ประเทศต่างๆ ที่ได้ลงนามหรือให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมแสดงอยู่ในแผนที่ด้านล่าง


    ปี1999
    ฟิจิ กานา อิตาลี ซานมารีโน เซเนกัล ตรินิแดดและโตเบโก

    2000
    ออสเตรีย เบลเยียม บอตสวานา แคนาดา ฝรั่งเศส กาบอง เยอรมนี ไอซ์แลนด์ เลโซโท ลักเซมเบิร์ก มาลี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เซียร์ราลีโอน แอฟริกาใต้ สเปน ทาจิกิสถาน เวเนซุเอลา

    2001
    อันดอร์รา แอนติกาและบาร์บูดา อาร์เจนตินา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คอสตาริกา โครเอเชีย เดนมาร์ก โดมินิกา ฮังการี ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย เปรู โปแลนด์ เซอร์เบีย สโลวีเนีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร

    2002
    บาร์เบโดส, เบนิน, โบลิเวีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บราซิล, บัลแกเรีย, กัมพูชา, โคลอมเบีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, จิบูตี, เอกวาดอร์, เอสโตเนีย, แกมเบีย, กรีซ, ฮอนดูรัส, ไอร์แลนด์, จอร์แดน, ลัตเวีย, มาลาวี, มอลตา, มอริเชียส, มองโกเลีย, นามิเบีย, ไนเจอร์, มาซิโดเนียเหนือ, ปานามา, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเกาหลี, โรมาเนีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, ซามัว, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แทนซาเนีย, ติมอร์-เลสเต, ยูกันดา, อุรุกวัย, แซมเบีย

    2003
    อัฟกานิสถาน, แอลเบเนีย, จอร์เจีย, กินี, ลิทัวเนีย

    2004
    บูร์กินาฟาโซ กายอานา ไลบีเรีย สาธารณรัฐคองโก

    2005
    สาธารณรัฐโดมินิกัน เคนยา เม็กซิโก

    ปี 2549
    คอโมโรส มอนเตเนโกร เซนต์คิตส์และเนวิส

    2007
    ชาด ประเทศญี่ปุ่น

    2008
    หมู่เกาะคุก มาดากัสการ์ ซูรินาม

    ปี 2009
    ชิลี สาธารณรัฐเช็ก

    2010
    บังกลาเทศ มอลโดวา เซนต์ลูเซีย เซเชลส์

    ปี 2011
    กาบูเวร์ดี, เกรเนดา, มัลดีฟส์, ตูนิเซีย

    2012
    กัวเตมาลา วานูอาตู

    ปี 2013
    ไอวอรีโคสต์

    ปี 2558
    ปาเลสไตน์

    ปี 2559
    เอลซัลวาดอร์

    ปี 2019
    คิริบาติ

    2023
    อาร์เมเนีย

    2024
    ยูเครน




    #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามชาติใดก็สามารถฟ้องดำเนินคดีมันได้จึงสมควรที่สุด. ..ศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 เพื่อดำเนินคดีบุคคลในข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มีประเทศสมาชิก 125 ประเทศที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ศาลอาญาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Criminal Court; ย่อ: ICC) เป็นศาลระหว่างประเทศซึ่งมีที่ทำการอยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีเขตอำนาจดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐาน คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน ก่อตั้งขึ้นโดยประสงค์จะให้เป็นส่วนเสริมของระบบยุติธรรมที่แต่ละประเทศมีอยู่ จึงมีเขตอำนาจเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้น เช่น เมื่อศาลระดับประเทศไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแล้ว หรือเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือรัฐหนึ่ง ๆ เสนอคดีมาให้พิจารณา ศาลนี้เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมเริ่มใช้บังคับ ธรรมนูญดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีซึ่งวางรากฐานและกำหนดการบริหารจัดการของศาล รัฐที่เข้าเป็นภาคีแห่งธรรมนูญจะนับเป็นรัฐสมาชิกของศาล ปัจจุบันมีรัฐภาคี 125 รัฐ องค์กรหลักของศาลมี 4 องค์กร คือ คณะประธาน แผนกตุลาการ สำนักงานอัยการ และสำนักงานทะเบียน ประธานศาลเป็นตุลาการที่ได้รับเลือกมาจากตุลาการคนอื่นในแผนกตุลาการ สำนักงานอัยการมีอัยการเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่สืบสวนคดีและส่งฟ้องต่อแผนกตุลาการ ส่วนสำนักงานทะเบียนมีนายทะเบียนเป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานธุรการทั้งปวงของศาล ซึ่งรวมถึงการบริหารสำนักงานใหญ่ของศาล หน่วยขัง และสำนักงานทนายจำเลย ประเทศที่เป็นสมาชิกของ ICC ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีประเทศต่างๆ 137 ประเทศลงนามในธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วม ในขณะที่ 125 ประเทศได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นรัฐสมาชิกเต็มตัวของ ICC ประเทศต่างๆ ที่ได้ลงนามหรือให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมแสดงอยู่ในแผนที่ด้านล่าง ปี1999 ฟิจิ กานา อิตาลี ซานมารีโน เซเนกัล ตรินิแดดและโตเบโก 2000 ออสเตรีย เบลเยียม บอตสวานา แคนาดา ฝรั่งเศส กาบอง เยอรมนี ไอซ์แลนด์ เลโซโท ลักเซมเบิร์ก มาลี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เซียร์ราลีโอน แอฟริกาใต้ สเปน ทาจิกิสถาน เวเนซุเอลา 2001 อันดอร์รา แอนติกาและบาร์บูดา อาร์เจนตินา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คอสตาริกา โครเอเชีย เดนมาร์ก โดมินิกา ฮังการี ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย เปรู โปแลนด์ เซอร์เบีย สโลวีเนีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร 2002 บาร์เบโดส, เบนิน, โบลิเวีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บราซิล, บัลแกเรีย, กัมพูชา, โคลอมเบีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, จิบูตี, เอกวาดอร์, เอสโตเนีย, แกมเบีย, กรีซ, ฮอนดูรัส, ไอร์แลนด์, จอร์แดน, ลัตเวีย, มาลาวี, มอลตา, มอริเชียส, มองโกเลีย, นามิเบีย, ไนเจอร์, มาซิโดเนียเหนือ, ปานามา, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเกาหลี, โรมาเนีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, ซามัว, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แทนซาเนีย, ติมอร์-เลสเต, ยูกันดา, อุรุกวัย, แซมเบีย 2003 อัฟกานิสถาน, แอลเบเนีย, จอร์เจีย, กินี, ลิทัวเนีย 2004 บูร์กินาฟาโซ กายอานา ไลบีเรีย สาธารณรัฐคองโก 2005 สาธารณรัฐโดมินิกัน เคนยา เม็กซิโก ปี 2549 คอโมโรส มอนเตเนโกร เซนต์คิตส์และเนวิส 2007 ชาด ประเทศญี่ปุ่น 2008 หมู่เกาะคุก มาดากัสการ์ ซูรินาม ปี 2009 ชิลี สาธารณรัฐเช็ก 2010 บังกลาเทศ มอลโดวา เซนต์ลูเซีย เซเชลส์ ปี 2011 กาบูเวร์ดี, เกรเนดา, มัลดีฟส์, ตูนิเซีย 2012 กัวเตมาลา วานูอาตู ปี 2013 ไอวอรีโคสต์ ปี 2558 ปาเลสไตน์ ปี 2559 เอลซัลวาดอร์ ปี 2019 คิริบาติ 2023 อาร์เมเนีย 2024 ยูเครน
    0 Comments 0 Shares 463 Views 0 Reviews
  • Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์

    Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia
    เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร
    ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน

    สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton
    เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027
    รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW

    เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads
    OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว
    ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร
    สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell
    เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก

    ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
    สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง
    สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ

    https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    📰 Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์ ✅ Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia ➡️ เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ➡️ ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน ✅ สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton ➡️ เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 ➡️ รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW ✅ เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads ➡️ OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ ✅ Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร ➡️ สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell ➡️ เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก ✅ ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ➡️ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง ➡️ สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    0 Comments 0 Shares 265 Views 0 Reviews
  • “ญี่ปุ่นอุดหนุนเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC — ป้องกันความมั่นคงจากภัยไซเบอร์และการก่อวินาศกรรมในทะเลลึก”

    รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศอุดหนุนเงินสูงสุดถึงครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้กับบริษัท NEC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ หลังเกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้งทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา

    NEC เคยติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำมากกว่า 400,000 กิโลเมตรทั่วโลก แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และบริษัทญี่ปุ่น เช่น NTT และ KDDI ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะในน่านน้ำภูมิภาค ไม่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า

    การอุดหนุนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลายครั้ง เช่น สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์–สวีเดนถูกตัดในเดือนพฤศจิกายน 2024 และสายเคเบิลระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันถูกสงสัยว่าถูกเรือจีนทำให้เสียหายในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างรุนแรง

    รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการไม่มีเรือเป็นของตัวเองคือ “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” และการพึ่งพาบริษัทต่างชาติอาจเปิดช่องให้เกิดการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ซึ่งการทำลายไม่ถือเป็นการประกาศสงครามโดยตรง

    แม้ NEC จะยอมรับว่าการมีเรือเป็นของตัวเองคือ “ต้นทุนคงที่มหาศาล” แต่ในช่วงที่ตลาดเคเบิลใต้น้ำกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนนี้อาจคุ้มค่าในระยะยาว และช่วยให้ญี่ปุ่นมีความสามารถในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนสูงสุดครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC
    เรือแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์
    NEC เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง
    ปัจจุบัน NEC เช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และญี่ปุ่น ซึ่งจำกัดการใช้งานเฉพาะในภูมิภาค

    เหตุผลด้านความมั่นคง
    เกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์–สวีเดน และสหรัฐฯ–ไต้หวัน
    สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ทำให้การทำลายไม่ถือเป็นสงคราม
    การไม่มีเรือเป็นของตัวเองทำให้ NEC ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า
    รัฐบาลมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับชาติ”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คู่แข่งของ NEC เช่น SubCom (สหรัฐฯ), Alcatel Submarine Networks (ฝรั่งเศส), และ HMN Tech (จีน) ต่างมีเรือเป็นของตัวเอง
    จีนวางสายเคเบิลใต้น้ำหลายหมื่นกิโลเมตรทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    NEC เชี่ยวชาญด้านสายเคเบิลหุ้มเกราะที่ทนต่อการก่อวินาศกรรม
    ตลาดเคเบิลใต้น้ำในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/networking/japan-to-subsidize-undersea-cable-vessels-over-very-serious-national-security-concerns-will-front-up-to-half-the-cost-for-usd300-million-vessels-bought-by-nec
    🌊 “ญี่ปุ่นอุดหนุนเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC — ป้องกันความมั่นคงจากภัยไซเบอร์และการก่อวินาศกรรมในทะเลลึก” รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศอุดหนุนเงินสูงสุดถึงครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้กับบริษัท NEC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ หลังเกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้งทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา NEC เคยติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำมากกว่า 400,000 กิโลเมตรทั่วโลก แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และบริษัทญี่ปุ่น เช่น NTT และ KDDI ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะในน่านน้ำภูมิภาค ไม่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า การอุดหนุนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลายครั้ง เช่น สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์–สวีเดนถูกตัดในเดือนพฤศจิกายน 2024 และสายเคเบิลระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันถูกสงสัยว่าถูกเรือจีนทำให้เสียหายในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างรุนแรง รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการไม่มีเรือเป็นของตัวเองคือ “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” และการพึ่งพาบริษัทต่างชาติอาจเปิดช่องให้เกิดการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ซึ่งการทำลายไม่ถือเป็นการประกาศสงครามโดยตรง แม้ NEC จะยอมรับว่าการมีเรือเป็นของตัวเองคือ “ต้นทุนคงที่มหาศาล” แต่ในช่วงที่ตลาดเคเบิลใต้น้ำกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนนี้อาจคุ้มค่าในระยะยาว และช่วยให้ญี่ปุ่นมีความสามารถในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนสูงสุดครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC ➡️ เรือแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ ➡️ NEC เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ➡️ ปัจจุบัน NEC เช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และญี่ปุ่น ซึ่งจำกัดการใช้งานเฉพาะในภูมิภาค ✅ เหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ เกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์–สวีเดน และสหรัฐฯ–ไต้หวัน ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ทำให้การทำลายไม่ถือเป็นสงคราม ➡️ การไม่มีเรือเป็นของตัวเองทำให้ NEC ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า ➡️ รัฐบาลมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับชาติ” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คู่แข่งของ NEC เช่น SubCom (สหรัฐฯ), Alcatel Submarine Networks (ฝรั่งเศส), และ HMN Tech (จีน) ต่างมีเรือเป็นของตัวเอง ➡️ จีนวางสายเคเบิลใต้น้ำหลายหมื่นกิโลเมตรทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ NEC เชี่ยวชาญด้านสายเคเบิลหุ้มเกราะที่ทนต่อการก่อวินาศกรรม ➡️ ตลาดเคเบิลใต้น้ำในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/networking/japan-to-subsidize-undersea-cable-vessels-over-very-serious-national-security-concerns-will-front-up-to-half-the-cost-for-usd300-million-vessels-bought-by-nec
    0 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์

    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน

    เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม

    หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025
    DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์
    เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim
    เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก

    รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ
    ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง
    ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน
    เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์
    เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
    MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่
    Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ
    การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก

    https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    🕵️‍♂️ “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025 ➡️ DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ ➡️ เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ➡️ เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก ✅ รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ ➡️ ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง ➡️ ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน ➡️ เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ ➡️ เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ ➡️ การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    HACKREAD.COM
    Ukrainian Fugitive Added to EU Most Wanted List for LockerGoga Ransomware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware

    หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ

    ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว
    สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk
    ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim
    สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก
    หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์

    รายละเอียดการโจมตี
    MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ
    LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก
    Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น
    ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork”
    Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป
    การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง
    คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม
    การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก
    บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่
    การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    🕵️‍♂️ “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว ➡️ สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk ➡️ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ➡️ สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก ➡️ หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ ➡️ LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก ➡️ Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น ➡️ ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork” ➡️ Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป ➡️ การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง ➡️ คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม ⛔ การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก ⛔ บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่ ⛔ การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    U.S. places $11 million bounty on Ukrainian ransomware mastermind — Tymoshchuk allegedly stole $18 billion from large companies over 3 years
    Volodymyr Tymoshchuk is accused of masterminding ransomware that disrupted 250 companies in the United States alone.
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท

    แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย

    Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC

    แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel
    หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด
    มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี
    Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ
    ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น
    Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์
    ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน
    Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง
    Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    🎙️ Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel ➡️ หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด ➡️ มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี ➡️ Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ ➡️ ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น ➡️ Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน ➡️ Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง ➡️ Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์ ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    WCCFTECH.COM
    Hassett Thinks Intel Will "Get Its Act Together" With Cash Inflow, But Morgan Stanley Contends There's No "Quick Fix"
    Morgan Stanley's Joseph Moore believes that Intel's turnaround would be a lengthy affair, with no simple remedies available.
    0 Comments 0 Shares 307 Views 0 Reviews
  • ไทยเรียกร้องนอร์เวย์ ให้ประเมินใหม่ต่อกรณีมอบเงินสนับสนุนแก่โครงการกำจัดกับระเบิดของกัมพูชา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการลักลอบวางกับระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทบ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวสแกนด์เอเชีย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000080784

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ไทยเรียกร้องนอร์เวย์ ให้ประเมินใหม่ต่อกรณีมอบเงินสนับสนุนแก่โครงการกำจัดกับระเบิดของกัมพูชา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการลักลอบวางกับระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทบ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวสแกนด์เอเชีย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000080784 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 410 Views 0 Reviews
  • Yesterday Once More: เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา

    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข

    วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane

    จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

    แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี

    ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต

    แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา

    ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    Yesterday Once More: 🎵 เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา ⌛ 🎵 ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข 📻 วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ 🎹🥁 พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus 🌟 ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม 🎸 เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ 📈 มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น 💔 หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More 🌹 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    0 Comments 0 Shares 646 Views 0 Reviews
  • น้ำที่ไม่ปลอดภัย – เมื่อไซเบอร์สงครามเริ่มจากก๊อกน้ำ

    ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดเหตุการณ์สองครั้งที่สะท้อนถึงภัยคุกคามไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในยุโรป ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนรัสเซีย

    เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ เมื่อมีผู้เจาะระบบควบคุมและเปิดวาล์วปล่อยน้ำเป็นเวลาราว 4 ชั่วโมง แม้จะไม่มีความเสียหาย แต่แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบจริงได้ โดยมีวิดีโอเผยแพร่บน Telegram ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่ม Z-Pentest Alliance ที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัสเซีย

    เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในโปแลนด์ เมื่อรองนายกรัฐมนตรี Krzysztof Gawkowski เปิดเผยว่ามีความพยายามโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ถูกสกัดไว้ได้ทันเวลา เขาเปรียบเทียบว่า “รัสเซียอาจไม่ส่งรถถัง แต่ส่งมัลแวร์แทน”

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การโจมตีลักษณะนี้เป็น “การหยั่งเชิง” ที่อาจนำไปสู่การโจมตีขนาดใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะระบบน้ำที่มักขาดงบประมาณและบุคลากรด้านไซเบอร์

    แม้ผู้โจมตีจะดูเหมือนมือสมัครเล่น แต่การควบคุมระบบจริงได้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก และการใช้ช่องโหว่ เช่น รหัสผ่านอ่อนแอ หรือ HMI ที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นจุดอ่อนที่พบได้ทั่วไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เกิดเหตุโจมตีไซเบอร์ที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ โดยเปิดวาล์วปล่อยน้ำ 4 ชั่วโมง
    โปแลนด์สกัดการโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่ได้ทันเวลา
    กลุ่ม Z-Pentest Alliance ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีในนอร์เวย์
    วิดีโอการโจมตีถูกเผยแพร่บน Telegram พร้อมเพลงรัสเซีย
    ผู้โจมตีใช้ HMI ที่เปิดผ่านอินเทอร์เน็ตและรหัสผ่านอ่อนแอ
    ไม่มีความเสียหายทางกายภาพ แต่มีการควบคุมระบบจริง
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป็นการ “หยั่งเชิง” ก่อนการโจมตีใหญ่
    ระบบน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญแต่ขาดการป้องกัน
    สหรัฐฯ และยุโรปควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือน
    โครงการ Cyber Peace Initiative และ DEF CON Franklin เสนอความช่วยเหลือฟรีแก่ระบบน้ำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โปแลนด์เผชิญการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียวันละ 300 ครั้ง
    ในปี 2024 รัสเซียเคยโจมตีระบบน้ำในเท็กซัสจนถังน้ำล้น
    ระบบน้ำในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจสอบไซเบอร์เต็มรูปแบบ
    การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) มักใช้กลุ่มแฮกเกอร์มือสมัครเล่นเป็นตัวแทน
    การโจมตีระบบน้ำสามารถสร้างความหวาดกลัวและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน
    การควบคุมวาล์วแบบเรียลไทม์แสดงถึงความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการที่ร้ายแรง

    https://www.csoonline.com/article/4042449/russia-linked-european-attacks-renew-concerns-over-water-cybersecurity.html
    🕵️‍♂️ น้ำที่ไม่ปลอดภัย – เมื่อไซเบอร์สงครามเริ่มจากก๊อกน้ำ ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดเหตุการณ์สองครั้งที่สะท้อนถึงภัยคุกคามไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในยุโรป ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนรัสเซีย เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ เมื่อมีผู้เจาะระบบควบคุมและเปิดวาล์วปล่อยน้ำเป็นเวลาราว 4 ชั่วโมง แม้จะไม่มีความเสียหาย แต่แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบจริงได้ โดยมีวิดีโอเผยแพร่บน Telegram ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่ม Z-Pentest Alliance ที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัสเซีย เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในโปแลนด์ เมื่อรองนายกรัฐมนตรี Krzysztof Gawkowski เปิดเผยว่ามีความพยายามโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ถูกสกัดไว้ได้ทันเวลา เขาเปรียบเทียบว่า “รัสเซียอาจไม่ส่งรถถัง แต่ส่งมัลแวร์แทน” ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การโจมตีลักษณะนี้เป็น “การหยั่งเชิง” ที่อาจนำไปสู่การโจมตีขนาดใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะระบบน้ำที่มักขาดงบประมาณและบุคลากรด้านไซเบอร์ แม้ผู้โจมตีจะดูเหมือนมือสมัครเล่น แต่การควบคุมระบบจริงได้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก และการใช้ช่องโหว่ เช่น รหัสผ่านอ่อนแอ หรือ HMI ที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นจุดอ่อนที่พบได้ทั่วไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เกิดเหตุโจมตีไซเบอร์ที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ โดยเปิดวาล์วปล่อยน้ำ 4 ชั่วโมง ➡️ โปแลนด์สกัดการโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่ได้ทันเวลา ➡️ กลุ่ม Z-Pentest Alliance ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีในนอร์เวย์ ➡️ วิดีโอการโจมตีถูกเผยแพร่บน Telegram พร้อมเพลงรัสเซีย ➡️ ผู้โจมตีใช้ HMI ที่เปิดผ่านอินเทอร์เน็ตและรหัสผ่านอ่อนแอ ➡️ ไม่มีความเสียหายทางกายภาพ แต่มีการควบคุมระบบจริง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป็นการ “หยั่งเชิง” ก่อนการโจมตีใหญ่ ➡️ ระบบน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญแต่ขาดการป้องกัน ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือน ➡️ โครงการ Cyber Peace Initiative และ DEF CON Franklin เสนอความช่วยเหลือฟรีแก่ระบบน้ำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โปแลนด์เผชิญการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียวันละ 300 ครั้ง ➡️ ในปี 2024 รัสเซียเคยโจมตีระบบน้ำในเท็กซัสจนถังน้ำล้น ➡️ ระบบน้ำในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจสอบไซเบอร์เต็มรูปแบบ ➡️ การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) มักใช้กลุ่มแฮกเกอร์มือสมัครเล่นเป็นตัวแทน ➡️ การโจมตีระบบน้ำสามารถสร้างความหวาดกลัวและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ➡️ การควบคุมวาล์วแบบเรียลไทม์แสดงถึงความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการที่ร้ายแรง https://www.csoonline.com/article/4042449/russia-linked-european-attacks-renew-concerns-over-water-cybersecurity.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Russia-linked European attacks renew concerns over water cybersecurity
    Suspected sabotage in Norway and a foiled cyberattack in Poland highlight the growing risk to under-protected water utilities, experts warn.
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • สาวไทยในนอร์เวย์ เปิดคลิปเขมรป่วน ยืนประท้วงอย่างไร้ค่าในญี่ปุ่น (7/8/68)
    Thai woman in Norway exposes Khmer chaos—shows their meaningless protest in Japan.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #ไทยในนอร์เวย์
    #เขมรป่วน
    #ประท้วงญี่ปุ่น
    #ข่าวต่างประเทศ
    #ข่าววันนี้
    #shorts
    #news1
    #thaitimes
    #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    สาวไทยในนอร์เวย์ เปิดคลิปเขมรป่วน ยืนประท้วงอย่างไร้ค่าในญี่ปุ่น (7/8/68) Thai woman in Norway exposes Khmer chaos—shows their meaningless protest in Japan. #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #ไทยในนอร์เวย์ #เขมรป่วน #ประท้วงญี่ปุ่น #ข่าวต่างประเทศ #ข่าววันนี้ #shorts #news1 #thaitimes #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    0 Comments 0 Shares 499 Views 0 0 Reviews
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 Comments 0 Shares 734 Views 0 Reviews
  • เยอรมนี นอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สวีเดน อังกฤษ แคนาดา และฟินแลนด์ ตกลงตามแผนของทรัมป์ในการจัดหาอาวุธให้กับยูเครน

    -Wall Street Journal รายงาน
    เยอรมนี นอร์เวย์ เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สวีเดน อังกฤษ แคนาดา และฟินแลนด์ ตกลงตามแผนของทรัมป์ในการจัดหาอาวุธให้กับยูเครน -Wall Street Journal รายงาน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน

    DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ

    แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล

    รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น:
    - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
    - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ
    - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม

    ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม

    ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท

    ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์
    - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025
    - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน
    - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล
    - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว
    - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ
    - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล
    - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ
    - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    DeepSeek ถูกแบนในเช็ก – เพราะอาจส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังเปิดตัวแอปบน iOS และ Android ในเดือนมกราคม 2025 โดยสามารถแซง ChatGPT ขึ้นอันดับหนึ่งใน App Store ได้ในหลายประเทศ แต่ความนิยมนี้กลับมาพร้อมกับความกังวลด้านความมั่นคง เมื่อหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของเช็ก (NÚKIB) ออกรายงานเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ระบุว่า DeepSeek และบริษัทแม่ High-Flyer มี “ความเชื่อมโยงลึก” กับรัฐบาลจีน และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจารกรรมข้อมูล รายงานอ้างถึงกฎหมายจีนหลายฉบับ เช่น: - กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ - กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ - กฎหมายต่อต้านการจารกรรม ซึ่งทั้งหมดบังคับให้บริษัทจีนต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล ไม่ว่าผู้ใช้นั้นจะอยู่ประเทศใดก็ตาม ผลคือ Czechia ประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek ในเกือบทุกกรณี ยกเว้นสำหรับนักวิจัยด้านความปลอดภัย และการใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ประเทศอื่น ๆ ที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ (รวมถึงกองทัพเรือและ NASA), แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน NÚKIB ระบุว่า “ความกังวลต่อ DeepSeek ไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมร่วมกันหรือภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นกลาง” และคาดว่าประเทศอื่น ๆ จะออกมาตรการเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - รัฐบาลเช็กประกาศแบนการใช้งาน DeepSeek เนื่องจากความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ - DeepSeek เป็นบริษัท AI จากจีนที่เปิดตัวในปี 2023 และได้รับความนิยมในปี 2025 - หน่วยงาน NÚKIB ระบุว่า DeepSeek มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน - อ้างถึงกฎหมายจีนที่บังคับให้บริษัทต้องให้ข้อมูลผู้ใช้แก่รัฐบาล - การแบนครอบคลุมทุกกรณี ยกเว้นนักวิจัยและการใช้งานแบบ self-host ที่ไม่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - ประเทศอื่นที่ออกมาตรการคล้ายกัน ได้แก่ สหรัฐฯ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อิตาลี, เดนมาร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ผู้ใช้ DeepSeek อาจเสี่ยงต่อการถูกเก็บข้อมูลและส่งต่อให้รัฐบาลจีนโดยไม่รู้ตัว - กฎหมายจีนมีอำนาจเหนือบริษัทจีนแม้จะให้บริการในต่างประเทศ - การใช้งานโมเดล AI ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จีนอาจเปิดช่องให้เกิดการจารกรรมข้อมูล - องค์กรควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลต่างชาติในงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญ - การใช้งานโมเดลโอเพนซอร์สควรทำแบบ self-host เพื่อป้องกันการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/czechia-warns-that-deepseek-can-share-all-user-information-with-the-chinese-government
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Czechia warns that DeepSeek can share all user information with the Chinese government
    U.S. lawmakers issued similar warnings after the China-based AI company released its eponymous chatbot.
    0 Comments 0 Shares 594 Views 0 Reviews
  • สแกนดิเนเวีย 10 วัน 8 คืน
    โคเปนเฮเกน – ออสโล – ฟลอม – เบอร์เกน – ฟลัม – สต๊อคโฮล์ม – เฮลซิงกิ
    โดยสายการบินฟินน์แอร์ (บินเช้า–ถึงค่ำ / ขากลับบินตรง)
    รวมค่าวีซ่า + น้ำดื่มบริการบนรถโค้ชทุกวัน

    เหลือ 5 ที่สุดท้ายเท่านั้น!
    เดินทาง 6–15 ส.ค. 68
    ราคาเพียง 124,900.-

    พร้อมพาเที่ยวแบบสบาย ๆ พักก่อนลุย
    เช็คอินจุดไฮไลท์ทั่วสแกนฯ ไปกับเรา

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #สแกนดิเนเวีย #สวีเดน #นอร์เวย์ #ฟินแลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #ทัวร์ยุโรป #เฮลซิงกิ #โคเปนเฮเกน #สต๊อกโฮล์ม #ทัวร์ดีมีคุณภาพ #ทัวร์ยุโรปราคาดี #ฟินน์แอร์ #ทัวร์ออกแน่นอน #เที่ยวหน้าร้อน #ยุโรปร้อนนี้ต้องไป
    🇸🇪🇳🇴🇫🇮 สแกนดิเนเวีย 10 วัน 8 คืน 📍โคเปนเฮเกน – ออสโล – ฟลอม – เบอร์เกน – ฟลัม – สต๊อคโฮล์ม – เฮลซิงกิ ✈️ โดยสายการบินฟินน์แอร์ (บินเช้า–ถึงค่ำ / ขากลับบินตรง) 🧳 รวมค่าวีซ่า + น้ำดื่มบริการบนรถโค้ชทุกวัน 🔥 เหลือ 5 ที่สุดท้ายเท่านั้น! 📅 เดินทาง 6–15 ส.ค. 68 💸 ราคาเพียง 124,900.- พร้อมพาเที่ยวแบบสบาย ๆ พักก่อนลุย 🏞️ เช็คอินจุดไฮไลท์ทั่วสแกนฯ ไปกับเรา 💙 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #สแกนดิเนเวีย #สวีเดน #นอร์เวย์ #ฟินแลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #ทัวร์ยุโรป #เฮลซิงกิ #โคเปนเฮเกน #สต๊อกโฮล์ม #ทัวร์ดีมีคุณภาพ #ทัวร์ยุโรปราคาดี #ฟินน์แอร์ #ทัวร์ออกแน่นอน #เที่ยวหน้าร้อน #ยุโรปร้อนนี้ต้องไป
    0 Comments 0 Shares 600 Views 0 Reviews
  • Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล!

    ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น

    รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค

    เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น

    Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป  
    • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก  
    • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี

    คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม  
    • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ

    ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง  
    • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม

    ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก  
    • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030  
    • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035

    Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI  
    • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล

    หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร  
    • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre

    การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน  
    • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น

    หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล  
    • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว

    ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์  
    • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    Data centre คือหัวใจของยุค AI เพราะใช้เก็บและประมวลผลข้อมูลจากทั้งแอปฯ แชต, รูป, โมเดลปัญญาประดิษฐ์ยักษ์ ๆ อย่าง GPT, Gemini และ Llama — และมันกินไฟมหาศาล! ทุกวันนี้ศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของยุโรปกระจุกอยู่ใน 5 เมืองหลัก: แฟรงก์เฟิร์ต, ลอนดอน, อัมสเตอร์ดัม, ปารีส และดับลิน แต่ปัญหาคือ... จะเชื่อมศูนย์ข้อมูลใหม่เข้ากับระบบไฟฟ้าในเมืองเหล่านี้ ต้องใช้เวลา 7–13 ปี! ทำให้ผู้พัฒนาจำนวนมากหันไปหาประเทศที่วางแผนโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่า เช่น อิตาลี เชื่อมไฟได้ภายใน 3 ปีเท่านั้น รายงานเตือนว่า ถ้าแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2035 มีโอกาสสูงที่ศูนย์ข้อมูล ครึ่งหนึ่ง ของยุโรปจะย้ายไปอยู่นอกฮับหลักเดิมเลย — นี่หมายถึงการสูญเสียการลงทุนระดับพันล้านยูโรต่อประเทศ และตำแหน่งงานจำนวนมาก เช่นในเยอรมนี ปี 2024 ศูนย์ข้อมูลสร้าง GDP ได้กว่า €10.4B และคาดว่าจะมากกว่าสองเท่าในปี 2029 หากไม่มีอุปสรรค เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นที่ยังรักษาเสถียรภาพได้ เพราะระบบสายส่งไฟยังไม่ติดคอขวดมากเท่าประเทศอื่น ✅ Ember ชี้การวางแผนระบบไฟฟ้าช้า กระทบการกระจายศูนย์ข้อมูลในยุโรป   • การเชื่อม Data Centre เข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าใช้เวลานาน 7–13 ปีในฮับหลัก   • ทำให้นักลงทุนเบนเข็มไปยังประเทศที่เชื่อมได้เร็ว เช่น อิตาลี ใช้แค่ 3 ปี ✅ คาดว่าภายในปี 2035 ครึ่งหนึ่งของศูนย์ข้อมูลยุโรปจะอยู่นอกฮับหลักเดิม   • อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศอย่างเยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ ✅ ฝรั่งเศสอาจเป็นประเทศเดียวที่รักษาการลงทุนไว้ได้อย่างต่อเนื่อง   • เพราะระบบไฟฟ้าไม่ติดปัญหาขัดข้องเหมือนชาติอื่นในกลุ่ม ✅ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในยุโรปเหนือและตะวันออก   • เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก: คาดว่า demand จะ เพิ่ม 3 เท่าภายในปี 2030   • ออสเตรีย, กรีซ, ฟินแลนด์, ฮังการี, อิตาลี, โปรตุเกส, สโลวาเกีย: คาดว่า ไฟที่ใช้กับ data centre จะเพิ่ม 3–5 เท่าในปี 2035 ✅ Ember ระบุว่า “โครงข่ายไฟ” คือเครื่องมือดึงดูดการลงทุนระดับชาติในยุค AI   • ไม่ใช่แค่ data centre — อุตสาหกรรมทุกชนิดที่ต้องการใช้พลังงานสูงจะได้รับผล ‼️ หากประเทศไม่เร่งลงทุนในโครงข่ายไฟและระบบอนุมัติ จะสูญเสียโอกาสหลายพันล้านยูโร   • ประเทศที่การเชื่อมไฟฟ้าช้า อาจถูกมองข้ามโดยผู้พัฒนา AI/data centre ‼️ การกระจุกตัวของ data centre ในไม่กี่เมืองกำลังถึงทางตัน   • เกิดปัญหาคอขวด การใช้ไฟฟ้าเกินพิกัด และต้นทุนที่สูงขึ้น ‼️ หากปล่อยให้ผู้พัฒนาเลือกที่ตั้งตามความสะดวกเรื่องไฟ โดยไม่มีแผนระดับภูมิภาค อาจเกิดการกระจายตัวแบบไม่สมดุล   • กระทบภาระด้านพลังงาน–สิ่งแวดล้อม และแผนเมืองในระยะยาว ‼️ ศูนย์ข้อมูลต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมั่นคง หากไม่มีแผนสำรองอาจกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์   • โดยเฉพาะเมื่อระบบ cloud และ AI เข้าไปอยู่ในทุกธุรกิจภาครัฐและการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/poor-grid-planning-could-shift-europe039s-data-centre-geography-report-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Poor grid planning could shift Europe's data centre geography, report says
    PARIS (Reuters) -Europe's leading data centre hubs face a major shift as developers will go wherever connection times are shortest, unless there is more proactive electricity grid planning, a report on Thursday by energy think-tank Ember showed.
    0 Comments 0 Shares 597 Views 0 Reviews
  • สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์

    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย!

    ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    สหรัฐประณามมาตการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลของอังกฤษและพันธมิตร พร้อมเน้นย้ำจุดยืนไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามการคว่ำบาตรของอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ ในกรณีที่คว่ำบาตรรัฐมนตรีขวาจัดของอิสราเอล เบน-กวีร์ และสโมทริช กรณียุยงให้เกิดความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว "ไร้ประโยชน์" ต่อความพยายามหยุดยิงในฉนวนกาซา พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวด้วย! ทางด้านไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับ BBC ตอกย้ำจะไม่มี “รัฐปาเลสไตน์” เกิดขึ้น! หรือหากต้องการอยากให้เกิดขึ้น ชาติมุสลิมจะต้องแบ่งดินแดนของประเทศตนเองเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นเอง
    0 Comments 0 Shares 477 Views 0 Reviews
  • ดาวเทียมของนาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามก่อวินาศกรรมฐานทัพอากาศ Olenya ของรัสเซียที่ยูเครนก่อเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามทั่วไปแล้ว ดาวเทียมเหล่านี้ยังส่งข้อมูลช่วยหน่วยข่าวกรองยูเครน (SBU) ในการโจมตี รวมถึงวางแผนเป้าหมายอีกด้วย

    ดาวเทียมทางทหาร TOPAZ ของอเมริกาจับภาพคาบสมุทรโกลาได้ 102 ภาพ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นภาพความละเอียดสูงถึงขนาดระบุตำแหน่งของวัตถุได้ในระยะเพียงไม่กี่เมตร

    ภาพ 24 ภาพกำหนดเป้าหมายไปที่คลังอาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เชิงยุทธศาสตร์ที่ Bolshoye Ramozero

    ภาพ 20 ภาพถูกถ่ายที่ Olenya เอง

    ฐานทัพเรือที่ Nerpichya (17 ภาพ) และ Gadzhiyevo (มี 16 ภาพ) ยังถูกเฝ้าติดตามอย่างเข้มงวดอีกด้วย

    นอกจากนี้ยังมีอีก 11 เที่ยวบินสอดแนมที่มุ่งเป้าไปที่สนามบิน Kilpyavr และอุปกรณ์ใกล้ ภูมิภาค Murmansk

    ขณะที่เครื่องบินลาดตระเวนและเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำของสหรัฐฯ นอร์เวย์ และสวีเดน ได้แก่ เครื่องบิน P-8A และเครื่องบินเจ็ต Gulfstream IV SIGINT ออกบินปฏิบัติภารกิจใกล้พื้นที่ดังกล่าวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม

    แม้ว่าการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ไม่ถึงกับล้มเหลว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ รัสเซียควรใช้บทเรียนที่ได้รับนี้ ซึ่งก็คือการใช้ดาวเทียมและกิจกรรม ISR ที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายตะวันตกเป็นสิ่งที่ต้องเตือนตัวเอง และรัสเซียต้องดำเนินการอะไรบางอย่างก่อนที่ภารกิจ "เฝ้าติดตาม" เหล่านี้จะกลายเป็นการโจมตีโดยตรง
    ดาวเทียมของนาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามก่อวินาศกรรมฐานทัพอากาศ Olenya ของรัสเซียที่ยูเครนก่อเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามทั่วไปแล้ว ดาวเทียมเหล่านี้ยังส่งข้อมูลช่วยหน่วยข่าวกรองยูเครน (SBU) ในการโจมตี รวมถึงวางแผนเป้าหมายอีกด้วย ดาวเทียมทางทหาร TOPAZ ของอเมริกาจับภาพคาบสมุทรโกลาได้ 102 ภาพ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นภาพความละเอียดสูงถึงขนาดระบุตำแหน่งของวัตถุได้ในระยะเพียงไม่กี่เมตร 🔸ภาพ 24 ภาพกำหนดเป้าหมายไปที่คลังอาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เชิงยุทธศาสตร์ที่ Bolshoye Ramozero 🔸ภาพ 20 ภาพถูกถ่ายที่ Olenya เอง 🔸ฐานทัพเรือที่ Nerpichya (17 ภาพ) และ Gadzhiyevo (มี 16 ภาพ) ยังถูกเฝ้าติดตามอย่างเข้มงวดอีกด้วย 🔸นอกจากนี้ยังมีอีก 11 เที่ยวบินสอดแนมที่มุ่งเป้าไปที่สนามบิน Kilpyavr และอุปกรณ์ใกล้ ภูมิภาค Murmansk ✈️ ขณะที่เครื่องบินลาดตระเวนและเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำของสหรัฐฯ นอร์เวย์ และสวีเดน ได้แก่ เครื่องบิน P-8A และเครื่องบินเจ็ต Gulfstream IV SIGINT ออกบินปฏิบัติภารกิจใกล้พื้นที่ดังกล่าวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 👉แม้ว่าการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ไม่ถึงกับล้มเหลว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ รัสเซียควรใช้บทเรียนที่ได้รับนี้ ซึ่งก็คือการใช้ดาวเทียมและกิจกรรม ISR ที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายตะวันตกเป็นสิ่งที่ต้องเตือนตัวเอง และรัสเซียต้องดำเนินการอะไรบางอย่างก่อนที่ภารกิจ "เฝ้าติดตาม" เหล่านี้จะกลายเป็นการโจมตีโดยตรง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 541 Views 0 Reviews
  • ภาพเหตุการณ์ช่วงเวลาที่กองกำลังอิสราเอลยิงใส่ผู้แทนจากยุโรป ที่กำลังตรวจสอบเมืองเจนิน ในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งประกอบไปตัวแทนจากจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สเปน นอร์เวย์ อิตาลี และแคนาดา

    นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากประเทศอาหรับบางประเทศรวมอยู่ในคณะผู้แทนนี้ด้วยเช่นกัน

    กองกำลังอิสราเอลอ้างว่าคณะผู้แทนทางการทูตของยุโรปพยายามออกนอกเส้นทางที่อิสราเอลกำหนดไว้และเข้าไปในพื้นที่ที่ห้ามเข้าตามคำสั่งของอิสราเอล

    รายงานล่าสุด อิตาลีและสเปนประณามอิสราเอลที่ยิงใส่เจ้าหน้าที่แล้ว
    ภาพเหตุการณ์ช่วงเวลาที่กองกำลังอิสราเอลยิงใส่ผู้แทนจากยุโรป ที่กำลังตรวจสอบเมืองเจนิน ในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งประกอบไปตัวแทนจากจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สเปน นอร์เวย์ อิตาลี และแคนาดา นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากประเทศอาหรับบางประเทศรวมอยู่ในคณะผู้แทนนี้ด้วยเช่นกัน กองกำลังอิสราเอลอ้างว่าคณะผู้แทนทางการทูตของยุโรปพยายามออกนอกเส้นทางที่อิสราเอลกำหนดไว้และเข้าไปในพื้นที่ที่ห้ามเข้าตามคำสั่งของอิสราเอล รายงานล่าสุด อิตาลีและสเปนประณามอิสราเอลที่ยิงใส่เจ้าหน้าที่แล้ว
    0 Comments 0 Shares 404 Views 27 0 Reviews
  • การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก:

    ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด**
    - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต
    - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ

    ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น**
    - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท
    - ตัวอย่างเช่น:
    - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley**
    - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย

    ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก**
    - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด
    - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ:
    - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป)
    - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม**
    - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์**

    ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน**
    - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft)
    - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**)
    - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship)
    - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu)
    - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing)

    ### สรุป
    แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    การพัฒนาควอนตัมคอมพิพิวติ้ง (Quantum Computing) เป็นหนึ่งในความท้าทายทางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน และสภาพอากาศที่หนาวเย็นอาจมีบทบาทในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เนื่องจาก: ### 1. **ความต้องการสภาพแวดล้อมที่เย็นจัด** - ควอนตัมคอมพิวเตอร์บางประเภท โดยเฉพาะ **ซูเปอร์คอนดักติ้งควอนตัมบิต (Superconducting Qubits)** จำเป็นต้องทำงานที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (−273.15°C หรือ 0 เคลวิน) เพื่อลดสัญญาณรบกวนทางความร้อน (Thermal Noise) ที่อาจรบกวนสถานะควอนตัม (Quantum State) ของคิวบิต - ประเทศที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นโดยธรรมชาติอาจช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบทำความเย็น (Cryogenic Systems) ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ### 2. **ประเทศที่มีศักยภาพจากสภาพอากาศหนาวเย็น** - **แคนาดา, รัสเซีย, สแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์, สวีเดน, ฟินแลนด์), ไอซ์แลนด์** และบางส่วนของ **สหรัฐอเมริกา (อลาสกา)** มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการทดลองควอนตัมบางประเภท - ตัวอย่างเช่น: - **แคนาดา** มีบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำด้านควอนตัม เช่น **D-Wave Systems** (บริษัทแรกของโลกที่ขายควอนตัมคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์) และ **University of Waterloo** ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ **Quantum Valley** - **สวีเดนและฟินแลนด์** มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย ### 3. **แต่...สภาพอากาศหนาวไม่ใช่ปัจจัยหลัก** - เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งยังต้องพึ่งพา **ระบบทำความเย็นขั้นสูง** (เช่น Dilution Refrigerators) อยู่ดี แม้ในประเทศที่หนาวเย็น ดังนั้น ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอาจมีจำกัด - ปัจจัยที่สำคัญกว่าคือ: - **การลงทุนในวิจัยและพัฒนา** (เช่น จีน, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป) - **ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรม** - **โครงสร้างพื้นฐานด้านวิศวกรรมและวัสดุศาสตร์** ### 4. **ประเทศที่นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้งในปัจจุบัน** - **สหรัฐอเมริกา** (Google, IBM, Microsoft) - **จีน** (ความก้าวหน้าด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์เช่น **Jiuzhang** และ **Zuchongzhi**) - **สหภาพยุโรป** (โปรแกรม Quantum Flagship) - **แคนาดา** (D-Wave, Xanadu) - **ออสเตรเลีย** (Silicon Quantum Computing) ### สรุป แม้สภาพอากาศหนาวเย็นอาจช่วยในบางแง่มุม (เช่น ลดพลังงานในการทำความเย็น) แต่ความสำเร็จของควอนตัมคอมพิวติ้งขึ้นอยู่กับ **ความสามารถทางวิศวกรรม, การลงทุน, และการพัฒนาอัลกอริธึมควอนตัม** มากกว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวอาจได้เปรียบในบางกรณี แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้ควอนตัมคอมพิวติ้งประสบความสำเร็จในระดับโลก
    0 Comments 0 Shares 576 Views 0 Reviews
More Results