• DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei

    DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน

    แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ

    สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง

    แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง

    DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2
    เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
    ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ

    ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C
    มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า
    ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA
    ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ

    การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA
    ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2
    ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน
    เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้

    ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า
    การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด
    ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
    รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    🧠 DeepSeek R2: โมเดล AI ที่สะดุดเพราะชิป Huawei DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีนที่เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนา R2 ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะใช้ชิป Ascend 910C ของ Huawei ในการฝึกโมเดล เพื่อสนับสนุนแนวทาง “พึ่งพาตนเอง” ของรัฐบาลจีน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามแผน แม้ Huawei จะส่งทีมวิศวกรไปช่วย DeepSeek โดยตรง แต่ชิป Ascend กลับมีปัญหาหลายด้าน เช่น ความร้อนสูง, การเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า, และซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถฝึกโมเดล R2 ได้สำเร็จ สุดท้าย DeepSeek ต้องหันกลับมาใช้ชิป NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล และใช้ชิป Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เท่านั้น ซึ่งเป็นการประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพและนโยบายรัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า เช่น การติดป้ายข้อมูล (data labeling) ที่ใช้เวลานานกว่าคาด และความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป NVIDIA ที่อาจมีระบบติดตามตำแหน่ง ทำให้รัฐบาลจีนลังเลที่จะอนุมัติการใช้งานในวงกว้าง แม้ DeepSeek จะยังไม่ประกาศวันเปิดตัวใหม่อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าโมเดล R2 จะเปิดตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยต้องแข่งกับคู่แข่งอย่าง Qwen3 จาก Alibaba ที่กำลังมาแรง ✅ DeepSeek ล่าช้าในการเปิดตัวโมเดล R2 ➡️ เดิมตั้งใจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม แต่เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ➡️ ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพ ✅ ปัญหาจากการใช้ชิป Huawei Ascend 910C ➡️ มีปัญหาความร้อนสูงและการเชื่อมต่อระหว่างชิปที่ช้า ➡️ ซอฟต์แวร์ CANN ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ NVIDIA ➡️ ไม่สามารถฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ ✅ การเปลี่ยนกลับมาใช้ชิป NVIDIA ➡️ ใช้ NVIDIA H20 ในการฝึกโมเดล R2 ➡️ ใช้ Huawei เฉพาะในขั้นตอน inference เพื่อประหยัดต้นทุน ➡️ เป็นแนวทางแบบ hybrid ที่หลายบริษัทจีนเริ่มนำมาใช้ ✅ ปัจจัยอื่นที่ทำให้ R2 ล่าช้า ➡️ การติดป้ายข้อมูลใช้เวลานานกว่าคาด ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับความก้าวหน้า และต้องการคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง ➡️ รัฐบาลจีนยังลังเลเรื่องการอนุมัติชิป NVIDIA เพราะข้อกังวลด้านความปลอดภัย https://wccftech.com/deepseek-r2-ai-model-is-reportedly-delayed-after-chinese-authorities-encouraged-the-firm-to-use-huawei-ai-chips/
    WCCFTECH.COM
    DeepSeek's R2 AI Model Is Reportedly Delayed After Chinese Authorities Encouraged the Firm to Use Huawei's AI Chips; Beijing Is Still in Need of NVIDIA's Alternatives
    Well, relying on Huawei's AI chips didn't go well for DeepSeek, as the AI firm has failed to train the R2 model on Chinese chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไอที: จากเงินเดือนแสนห้า สู่การสมัครงานที่ Chipotle

    ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ถ้าคุณเรียนจบด้านคอมพิวเตอร์ วิทยาการข้อมูล หรือวิศวกรรมซอฟต์แวร์ คุณแทบจะเลือกได้เลยว่าจะทำงานที่ไหน เงินเดือนเริ่มต้นทะลุ $100,000 พร้อมโบนัสและหุ้นอีกหลายหมื่นดอลลาร์ หลายคนจึงมุ่งหน้าเข้าสู่สายนี้ด้วยความหวังว่าจะได้งานดี เงินดี และชีวิตมั่นคง

    แต่ในปี 2025 ภาพนั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

    นักศึกษาจบใหม่อย่าง Manasi Mishra จากมหาวิทยาลัย Purdue เล่าว่าเธอเรียนเขียนโค้ดมาตั้งแต่เด็ก ทำเว็บไซต์ตั้งแต่ประถม และตั้งใจเรียนสายคอมเต็มที่ แต่หลังจากจบการศึกษา เธอกลับไม่ได้รับข้อเสนอจากบริษัทเทคโนโลยีเลย มีเพียง Chipotle ร้านอาหารที่เรียกเธอไปสัมภาษณ์

    เหตุผลหลักคือบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Amazon, Microsoft, Meta และ Intel ต่างลดจำนวนพนักงาน และหันไปใช้เครื่องมือ AI ที่สามารถเขียนโค้ดได้เอง เช่น GitHub Copilot, CodeRabbit หรือ Devin จาก Cognition AI ซึ่งสามารถเขียนและดีบักโค้ดได้จากคำสั่งภาษาธรรมชาติ

    ผลคือ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นที่เคยเปิดรับนักศึกษาจบใหม่ ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ และทำให้คนรุ่นใหม่ต้องหางานนอกสายที่เรียนมา บางคนสมัครงานที่ McDonald’s แต่ยังถูกปฏิเสธเพราะ “ไม่มีประสบการณ์”

    แม้จะมีความหวังว่า AI จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ แต่ในระยะสั้น นักศึกษาจบใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรง การคัดกรองด้วยระบบอัตโนมัติ และความรู้สึกว่าถูก “หลอก” ให้เรียนในสายที่ไม่มีงานรองรับ

    ความเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานสายเทคโนโลยี
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ลดจำนวนพนักงานและหันไปใช้ AI coding tools
    ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นถูกลดลงอย่างมาก ทำให้นักศึกษาจบใหม่หางานยาก

    ความคาดหวังในอดีตที่ไม่เป็นจริง
    นักศึกษาถูกกระตุ้นให้เรียนเขียนโค้ดด้วยสัญญาว่าจะได้งานเงินเดือนสูง
    จำนวนผู้เรียนสายคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดและคัดกรองผู้สมัคร
    เครื่องมืออย่าง GitHub Copilot, CodeRabbit, Devin สามารถเขียนโค้ดได้จากคำสั่งภาษา
    บริษัทใช้ AI คัดกรองใบสมัคร ทำให้ผู้สมัครถูกปฏิเสธโดยไม่มีโอกาสแสดงความสามารถ

    ความพยายามปรับตัวของนักศึกษาจบใหม่
    บางคนหันไปเน้นทักษะมนุษย์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้โดดเด่น
    บางคนเปลี่ยนสายงาน เช่น Mishra ที่หันไปทำงานด้านการขายเทคโนโลยี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/goodbye-us165000-tech-jobs-student-coders-seek-work-at-chipotle
    🎙️เรื่องเล่าจากโลกไอที: จากเงินเดือนแสนห้า สู่การสมัครงานที่ Chipotle ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ถ้าคุณเรียนจบด้านคอมพิวเตอร์ วิทยาการข้อมูล หรือวิศวกรรมซอฟต์แวร์ คุณแทบจะเลือกได้เลยว่าจะทำงานที่ไหน เงินเดือนเริ่มต้นทะลุ $100,000 พร้อมโบนัสและหุ้นอีกหลายหมื่นดอลลาร์ หลายคนจึงมุ่งหน้าเข้าสู่สายนี้ด้วยความหวังว่าจะได้งานดี เงินดี และชีวิตมั่นคง แต่ในปี 2025 ภาพนั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นักศึกษาจบใหม่อย่าง Manasi Mishra จากมหาวิทยาลัย Purdue เล่าว่าเธอเรียนเขียนโค้ดมาตั้งแต่เด็ก ทำเว็บไซต์ตั้งแต่ประถม และตั้งใจเรียนสายคอมเต็มที่ แต่หลังจากจบการศึกษา เธอกลับไม่ได้รับข้อเสนอจากบริษัทเทคโนโลยีเลย มีเพียง Chipotle ร้านอาหารที่เรียกเธอไปสัมภาษณ์ เหตุผลหลักคือบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Amazon, Microsoft, Meta และ Intel ต่างลดจำนวนพนักงาน และหันไปใช้เครื่องมือ AI ที่สามารถเขียนโค้ดได้เอง เช่น GitHub Copilot, CodeRabbit หรือ Devin จาก Cognition AI ซึ่งสามารถเขียนและดีบักโค้ดได้จากคำสั่งภาษาธรรมชาติ ผลคือ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นที่เคยเปิดรับนักศึกษาจบใหม่ ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ และทำให้คนรุ่นใหม่ต้องหางานนอกสายที่เรียนมา บางคนสมัครงานที่ McDonald’s แต่ยังถูกปฏิเสธเพราะ “ไม่มีประสบการณ์” แม้จะมีความหวังว่า AI จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ แต่ในระยะสั้น นักศึกษาจบใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรง การคัดกรองด้วยระบบอัตโนมัติ และความรู้สึกว่าถูก “หลอก” ให้เรียนในสายที่ไม่มีงานรองรับ ✅ ความเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานสายเทคโนโลยี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ลดจำนวนพนักงานและหันไปใช้ AI coding tools ➡️ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นถูกลดลงอย่างมาก ทำให้นักศึกษาจบใหม่หางานยาก ✅ ความคาดหวังในอดีตที่ไม่เป็นจริง ➡️ นักศึกษาถูกกระตุ้นให้เรียนเขียนโค้ดด้วยสัญญาว่าจะได้งานเงินเดือนสูง ➡️ จำนวนผู้เรียนสายคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ✅ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดและคัดกรองผู้สมัคร ➡️ เครื่องมืออย่าง GitHub Copilot, CodeRabbit, Devin สามารถเขียนโค้ดได้จากคำสั่งภาษา ➡️ บริษัทใช้ AI คัดกรองใบสมัคร ทำให้ผู้สมัครถูกปฏิเสธโดยไม่มีโอกาสแสดงความสามารถ ✅ ความพยายามปรับตัวของนักศึกษาจบใหม่ ➡️ บางคนหันไปเน้นทักษะมนุษย์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้โดดเด่น ➡️ บางคนเปลี่ยนสายงาน เช่น Mishra ที่หันไปทำงานด้านการขายเทคโนโลยี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/goodbye-us165000-tech-jobs-student-coders-seek-work-at-chipotle
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Goodbye, US$165,000 tech jobs. Student coders seek work at Chipotle.
    As companies like Amazon and Microsoft lay off workers and embrace A.I. coding tools, computer science graduates say they're struggling to land tech jobs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” — เมื่อชิปกลายเป็นเรื่องของความมั่นคงชาติ

    Intel กำลังผลักดันแคมเปญใหม่ชื่อว่า “USAI” (United States Artificial Intelligence) เพื่อแสดงจุดยืนว่าเป็นบริษัทเดียวที่ผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา โดยเน้นความรักชาติ ความมั่นคง และความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในภาคพลเรือนและทหาร

    แคมเปญนี้เกิดขึ้นหลังจากซีอีโอคนใหม่ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคง Intel จึงต้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคที่ TSMC และ Samsung ครองตลาดชิปขั้นสูง

    Intel ยังประกาศความร่วมมือกับ EdgeRunner AI เพื่อพัฒนา “AI agents” สำหรับกองทัพสหรัฐฯ โดยใช้ชิปที่ทำงานแบบ air-gapped (ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

    แม้จะมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ แต่ Intel ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการล้าหลังด้านเทคโนโลยี การสูญเสียบุคลากรสำคัญ และความไม่มั่นใจจากพนักงานภายในองค์กร

    Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ
    เน้นการผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา

    ซีอีโอ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน
    พบกับประธานาธิบดี Trump เพื่อเคลียร์ข้อสงสัย

    Intel ร่วมมือกับ EdgeRunner AI พัฒนา AI agents สำหรับกองทัพ
    ใช้ชิปแบบ air-gapped เพื่อความปลอดภัย

    Intel ระบุว่าเป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตชิปขั้นสูงเอง
    ต่างจากบริษัทอื่นที่พึ่งพาโรงงานในต่างประเทศ

    แคมเปญ USAI มุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่หลังถูก TSMC แซงหน้า
    หวังดึงความเชื่อมั่นจากรัฐบาลและตลาด

    https://wccftech.com/intel-unveils-usai-narrative-emphasizing-its-patriotic-mission/
    🇺🇸🔧 เล่าให้ฟังใหม่: Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” — เมื่อชิปกลายเป็นเรื่องของความมั่นคงชาติ Intel กำลังผลักดันแคมเปญใหม่ชื่อว่า “USAI” (United States Artificial Intelligence) เพื่อแสดงจุดยืนว่าเป็นบริษัทเดียวที่ผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา โดยเน้นความรักชาติ ความมั่นคง และความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในภาคพลเรือนและทหาร แคมเปญนี้เกิดขึ้นหลังจากซีอีโอคนใหม่ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคง Intel จึงต้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคที่ TSMC และ Samsung ครองตลาดชิปขั้นสูง Intel ยังประกาศความร่วมมือกับ EdgeRunner AI เพื่อพัฒนา “AI agents” สำหรับกองทัพสหรัฐฯ โดยใช้ชิปที่ทำงานแบบ air-gapped (ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด แม้จะมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ แต่ Intel ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการล้าหลังด้านเทคโนโลยี การสูญเสียบุคลากรสำคัญ และความไม่มั่นใจจากพนักงานภายในองค์กร ✅ Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ ➡️ เน้นการผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา ✅ ซีอีโอ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ➡️ พบกับประธานาธิบดี Trump เพื่อเคลียร์ข้อสงสัย ✅ Intel ร่วมมือกับ EdgeRunner AI พัฒนา AI agents สำหรับกองทัพ ➡️ ใช้ชิปแบบ air-gapped เพื่อความปลอดภัย ✅ Intel ระบุว่าเป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตชิปขั้นสูงเอง ➡️ ต่างจากบริษัทอื่นที่พึ่งพาโรงงานในต่างประเทศ ✅ แคมเปญ USAI มุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่หลังถูก TSMC แซงหน้า ➡️ หวังดึงความเชื่อมั่นจากรัฐบาลและตลาด https://wccftech.com/intel-unveils-usai-narrative-emphasizing-its-patriotic-mission/
    WCCFTECH.COM
    Intel Unveils ‘USAI’ Narrative, Emphasizing Its Patriotic Mission and Positioning Team Blue as America’s Sole Option for Advanced Chip Manufacturing
    Intel is now in the pursuit of showcasing its commitment to US manufacturing, especially after the recent political situation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: เมื่อชิปไม่ใช่แค่ซิลิคอน — Thermodynamic Computing กำลังเปลี่ยนเกม AI ด้วยพลังของฟิสิกส์

    Normal Computing ได้ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป CN101 ซึ่งเป็นชิป thermodynamic computing ตัวแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อการฝึก AI และงาน HPC โดยเฉพาะ จุดเด่นของชิปนี้คือการใช้หลักการทางฟิสิกส์ เช่น ความร้อน ความไม่แน่นอน และความสุ่ม มาเป็นกลไกในการคำนวณ แทนที่จะพยายามกำจัด “noise” แบบที่ชิปทั่วไปทำ

    แนวคิดนี้คล้ายกับการคำนวณแบบควอนตัมหรือ probabilistic computing โดยชิปจะเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วปล่อยให้ระบบเข้าสู่สมดุล จากนั้นอ่านค่าผลลัพธ์จากสถานะสมดุลนั้น ซึ่งเหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบแน่นอน เช่น การสร้างภาพด้วย AI หรือการแก้สมการเชิงเส้น

    CN101 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา linear algebra และ matrix operations ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่ต้องการรวม CPU, GPU, ASIC แบบ thermodynamic และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด

    แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ thermodynamic computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีความท้าทายด้านการใช้งานจริง เช่น การออกแบบระบบที่สามารถควบคุมความสุ่มได้อย่างแม่นยำ และการประยุกต์ใช้ในงานที่ไม่ใช่ AI

    Normal Computing ประกาศ tape-out ชิป thermodynamic computing ตัวแรกชื่อ CN101
    ใช้หลักการฟิสิกส์ เช่น ความร้อนและความสุ่มในการคำนวณ

    CN101 ออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ
    เช่น การฝึกโมเดล AI และการแก้สมการเชิงเส้น

    ชิปเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วเข้าสู่สมดุลเพื่อหาคำตอบ
    เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบ deterministic

    CN101 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน
    เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างมหาศาล

    เป้าหมายคือรวม CPU, GPU, thermodynamic ASIC และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียว
    เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด

    Roadmap ของ CN101 มีแผนขยายในปี 2026 และ 2028
    รองรับโมเดล AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น diffusion models

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/worlds-first-thermodynamic-computing-chip-reaches-tape-out-normal-computings-physics-based-asic-changes-lanes-to-train-more-ai
    🧪⚙️ เล่าให้ฟังใหม่: เมื่อชิปไม่ใช่แค่ซิลิคอน — Thermodynamic Computing กำลังเปลี่ยนเกม AI ด้วยพลังของฟิสิกส์ Normal Computing ได้ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป CN101 ซึ่งเป็นชิป thermodynamic computing ตัวแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อการฝึก AI และงาน HPC โดยเฉพาะ จุดเด่นของชิปนี้คือการใช้หลักการทางฟิสิกส์ เช่น ความร้อน ความไม่แน่นอน และความสุ่ม มาเป็นกลไกในการคำนวณ แทนที่จะพยายามกำจัด “noise” แบบที่ชิปทั่วไปทำ แนวคิดนี้คล้ายกับการคำนวณแบบควอนตัมหรือ probabilistic computing โดยชิปจะเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วปล่อยให้ระบบเข้าสู่สมดุล จากนั้นอ่านค่าผลลัพธ์จากสถานะสมดุลนั้น ซึ่งเหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบแน่นอน เช่น การสร้างภาพด้วย AI หรือการแก้สมการเชิงเส้น CN101 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา linear algebra และ matrix operations ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่ต้องการรวม CPU, GPU, ASIC แบบ thermodynamic และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ thermodynamic computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีความท้าทายด้านการใช้งานจริง เช่น การออกแบบระบบที่สามารถควบคุมความสุ่มได้อย่างแม่นยำ และการประยุกต์ใช้ในงานที่ไม่ใช่ AI ✅ Normal Computing ประกาศ tape-out ชิป thermodynamic computing ตัวแรกชื่อ CN101 ➡️ ใช้หลักการฟิสิกส์ เช่น ความร้อนและความสุ่มในการคำนวณ ✅ CN101 ออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI และการแก้สมการเชิงเส้น ✅ ชิปเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วเข้าสู่สมดุลเพื่อหาคำตอบ ➡️ เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบ deterministic ✅ CN101 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างมหาศาล ✅ เป้าหมายคือรวม CPU, GPU, thermodynamic ASIC และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียว ➡️ เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด ✅ Roadmap ของ CN101 มีแผนขยายในปี 2026 และ 2028 ➡️ รองรับโมเดล AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น diffusion models https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/worlds-first-thermodynamic-computing-chip-reaches-tape-out-normal-computings-physics-based-asic-changes-lanes-to-train-more-ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: เทคโนโลยีไม่ใช่ศัตรูของสมองผู้สูงวัยอีกต่อไป — กลับกลายเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง

    หลายสิบปีที่ผ่านมา เรามักได้ยินคำเตือนว่าเทคโนโลยี โดยเฉพาะหน้าจอและอุปกรณ์ดิจิทัล อาจทำลายสมองของเรา เกิดภาวะ “digital dementia” โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น แต่เมื่อกลุ่มผู้สูงวัยยุคแรกที่เติบโตมากับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้าสู่วัยที่ความจำเริ่มถดถอย นักวิจัยกลับพบสิ่งที่ตรงกันข้าม

    การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต หรือคอมพิวเตอร์ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมและความบกพร่องทางความคิดในผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญ จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 411,000 คน พบว่าเกือบ 90% ของงานวิจัยชี้ว่าเทคโนโลยีมีผลเชิงบวกต่อสมอง

    เหตุผลหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีต้องอาศัยการเรียนรู้ใหม่ การปรับตัว และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นสมองอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้ผู้สูงวัยเชื่อมโยงกับสังคม ลดความโดดเดี่ยว และใช้แอปต่าง ๆ เพื่อชดเชยความจำที่ลดลง เช่น การตั้งเตือน การจัดการการเงิน หรือการสื่อสารกับครอบครัว

    แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่าเทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบทั้งหมด และยังมีความเสี่ยง เช่น การหลอกลวงออนไลน์ การเสพติดหน้าจอ หรือการแทนที่กิจกรรมที่ดีต่อสมอง เช่น การออกกำลังกาย

    การใช้เทคโนโลยีในผู้สูงวัยช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
    พบจากการวิเคราะห์ 57 งานวิจัย รวมกว่า 411,000 คน

    ผู้ใช้เทคโนโลยีมีผลการทดสอบความคิดดีกว่าผู้ที่หลีกเลี่ยง
    แม้ควบคุมปัจจัยด้านสุขภาพ การศึกษา และรายได้แล้ว

    การใช้เทคโนโลยีเป็นการฝึกสมองผ่านความท้าทายใหม่ ๆ
    เช่น การเรียนรู้ระบบใหม่ การแก้ปัญหา และการปรับตัว

    เทคโนโลยีช่วยสร้าง “technological reserve” คล้ายกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต
    เป็นปัจจัยป้องกันสมองเสื่อมแบบใหม่

    แอปและอุปกรณ์ช่วยชดเชยความจำ เช่น การตั้งเตือนหรือจัดการการเงิน
    ส่งผลให้ผู้สูงวัยยังคงความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน

    การเชื่อมโยงกับสังคมผ่านเทคโนโลยีช่วยลดความโดดเดี่ยว
    ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันภาวะสมองเสื่อม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/how-older-people-are-reaping-brain-benefits-from-new-tech
    🧠📱 เล่าให้ฟังใหม่: เทคโนโลยีไม่ใช่ศัตรูของสมองผู้สูงวัยอีกต่อไป — กลับกลายเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง หลายสิบปีที่ผ่านมา เรามักได้ยินคำเตือนว่าเทคโนโลยี โดยเฉพาะหน้าจอและอุปกรณ์ดิจิทัล อาจทำลายสมองของเรา เกิดภาวะ “digital dementia” โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น แต่เมื่อกลุ่มผู้สูงวัยยุคแรกที่เติบโตมากับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้าสู่วัยที่ความจำเริ่มถดถอย นักวิจัยกลับพบสิ่งที่ตรงกันข้าม การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต หรือคอมพิวเตอร์ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมและความบกพร่องทางความคิดในผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญ จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 411,000 คน พบว่าเกือบ 90% ของงานวิจัยชี้ว่าเทคโนโลยีมีผลเชิงบวกต่อสมอง เหตุผลหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีต้องอาศัยการเรียนรู้ใหม่ การปรับตัว และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นสมองอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้ผู้สูงวัยเชื่อมโยงกับสังคม ลดความโดดเดี่ยว และใช้แอปต่าง ๆ เพื่อชดเชยความจำที่ลดลง เช่น การตั้งเตือน การจัดการการเงิน หรือการสื่อสารกับครอบครัว แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่าเทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบทั้งหมด และยังมีความเสี่ยง เช่น การหลอกลวงออนไลน์ การเสพติดหน้าจอ หรือการแทนที่กิจกรรมที่ดีต่อสมอง เช่น การออกกำลังกาย ✅ การใช้เทคโนโลยีในผู้สูงวัยช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม ➡️ พบจากการวิเคราะห์ 57 งานวิจัย รวมกว่า 411,000 คน ✅ ผู้ใช้เทคโนโลยีมีผลการทดสอบความคิดดีกว่าผู้ที่หลีกเลี่ยง ➡️ แม้ควบคุมปัจจัยด้านสุขภาพ การศึกษา และรายได้แล้ว ✅ การใช้เทคโนโลยีเป็นการฝึกสมองผ่านความท้าทายใหม่ ๆ ➡️ เช่น การเรียนรู้ระบบใหม่ การแก้ปัญหา และการปรับตัว ✅ เทคโนโลยีช่วยสร้าง “technological reserve” คล้ายกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ➡️ เป็นปัจจัยป้องกันสมองเสื่อมแบบใหม่ ✅ แอปและอุปกรณ์ช่วยชดเชยความจำ เช่น การตั้งเตือนหรือจัดการการเงิน ➡️ ส่งผลให้ผู้สูงวัยยังคงความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน ✅ การเชื่อมโยงกับสังคมผ่านเทคโนโลยีช่วยลดความโดดเดี่ยว ➡️ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันภาวะสมองเสื่อม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/14/how-older-people-are-reaping-brain-benefits-from-new-tech
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How older people are reaping brain benefits from new tech
    Overuse of digital gadgets harms teenagers, research suggests. But ubiquitous technology may be helping older Americans stay sharp.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากความตั้งใจล้วน ๆ: สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ใน 2 เดือน ด้วย embedding 3 พันล้านรายการ

    Wilson Lin นักพัฒนาสายเดี่ยวตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยโปรเจกต์สุดโหด—สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายในเวลาแค่ 2 เดือน โดยไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีทีม และไม่มีประสบการณ์ด้าน search engine มาก่อน จุดเริ่มต้นของเขาคือความไม่พอใจต่อเสิร์ชเอนจินปัจจุบันที่เต็มไปด้วย SEO spam และผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับความต้องการจริง

    เขาเลือกใช้โมเดล SBERT เพื่อสร้าง neural embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ โดยใช้ GPU ถึง 200 ตัว และสร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า ด้วยระบบ crawler ที่สามารถดึงข้อมูลได้ถึง 50,000 หน้า/วินาที

    ระบบ backend ใช้ RocksDB และ HNSW ที่ถูกแบ่ง shard บน 200 คอร์, RAM 4 TB และ SSD 82 TB โดยมี latency เฉลี่ยต่อคำค้นอยู่ที่ประมาณ 500 มิลลิวินาที

    เขายังออกแบบระบบให้รองรับ query ที่ซับซ้อน เช่น “ฉันอยากใช้ S3 แทน Postgres แต่ต้องการ tag คอมเมนต์กับไฟล์ในอีก column” ซึ่ง search engine ทั่วไปไม่สามารถตอบได้ แต่ระบบของเขาสามารถเข้าใจบริบทและตอบได้อย่างแม่นยำ

    Wilson Lin สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายใน 2 เดือน
    ใช้ GPU 200 ตัวสร้าง SBERT embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ

    ระบบ crawler ดึงข้อมูลได้ 50,000 หน้า/วินาที
    สร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า

    ใช้ RocksDB และ HNSW บน 200 คอร์, RAM 4 TB, SSD 82 TB
    latency เฉลี่ยต่อ query อยู่ที่ 500 มิลลิวินาที

    รองรับ query ซับซ้อนที่ search engine ทั่วไปไม่เข้าใจ
    เช่นคำถามที่มีบริบทหลายชั้นและความหมายแฝง

    มีระบบ semantic context และ statement chaining เพื่อเข้าใจความหมาย
    ช่วยให้ผลลัพธ์ตรงกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น

    เปิดให้ทดลองใช้งานผ่าน live demo
    เป็นตัวอย่างของ search engine ที่ไม่พึ่ง keyword matching

    Semantic search ใช้ vector embeddings เพื่อเข้าใจความหมายของข้อความ
    ต่างจาก keyword search ที่จับคำตรงตัว

    การสร้าง search engine ต้องใช้ความรู้หลายด้าน
    เช่น NLP, ML, distributed systems, performance engineering

    ระบบ semantic search สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคำ
    เช่น “dog” กับ “puppy” หรือ “laptop” กับ “computer”

    การสร้าง golden dataset สำหรับ training เป็นความท้าทายใหญ่
    เพราะต้องมีข้อมูลที่สะท้อนความหมายจริงของคำค้น

    https://blog.wilsonl.in/search-engine/
    🔍🧠 เรื่องเล่าจากความตั้งใจล้วน ๆ: สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ใน 2 เดือน ด้วย embedding 3 พันล้านรายการ Wilson Lin นักพัฒนาสายเดี่ยวตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยโปรเจกต์สุดโหด—สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายในเวลาแค่ 2 เดือน โดยไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีทีม และไม่มีประสบการณ์ด้าน search engine มาก่อน จุดเริ่มต้นของเขาคือความไม่พอใจต่อเสิร์ชเอนจินปัจจุบันที่เต็มไปด้วย SEO spam และผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับความต้องการจริง เขาเลือกใช้โมเดล SBERT เพื่อสร้าง neural embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ โดยใช้ GPU ถึง 200 ตัว และสร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า ด้วยระบบ crawler ที่สามารถดึงข้อมูลได้ถึง 50,000 หน้า/วินาที ระบบ backend ใช้ RocksDB และ HNSW ที่ถูกแบ่ง shard บน 200 คอร์, RAM 4 TB และ SSD 82 TB โดยมี latency เฉลี่ยต่อคำค้นอยู่ที่ประมาณ 500 มิลลิวินาที เขายังออกแบบระบบให้รองรับ query ที่ซับซ้อน เช่น “ฉันอยากใช้ S3 แทน Postgres แต่ต้องการ tag คอมเมนต์กับไฟล์ในอีก column” ซึ่ง search engine ทั่วไปไม่สามารถตอบได้ แต่ระบบของเขาสามารถเข้าใจบริบทและตอบได้อย่างแม่นยำ ✅ Wilson Lin สร้างเว็บเสิร์ชเอนจินจากศูนย์ภายใน 2 เดือน ➡️ ใช้ GPU 200 ตัวสร้าง SBERT embeddings กว่า 3 พันล้านรายการ ✅ ระบบ crawler ดึงข้อมูลได้ 50,000 หน้า/วินาที ➡️ สร้าง index จากหน้าเว็บกว่า 280 ล้านหน้า ✅ ใช้ RocksDB และ HNSW บน 200 คอร์, RAM 4 TB, SSD 82 TB ➡️ latency เฉลี่ยต่อ query อยู่ที่ 500 มิลลิวินาที ✅ รองรับ query ซับซ้อนที่ search engine ทั่วไปไม่เข้าใจ ➡️ เช่นคำถามที่มีบริบทหลายชั้นและความหมายแฝง ✅ มีระบบ semantic context และ statement chaining เพื่อเข้าใจความหมาย ➡️ ช่วยให้ผลลัพธ์ตรงกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น ✅ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่าน live demo ➡️ เป็นตัวอย่างของ search engine ที่ไม่พึ่ง keyword matching ✅ Semantic search ใช้ vector embeddings เพื่อเข้าใจความหมายของข้อความ ➡️ ต่างจาก keyword search ที่จับคำตรงตัว ✅ การสร้าง search engine ต้องใช้ความรู้หลายด้าน ➡️ เช่น NLP, ML, distributed systems, performance engineering ✅ ระบบ semantic search สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคำ ➡️ เช่น “dog” กับ “puppy” หรือ “laptop” กับ “computer” ✅ การสร้าง golden dataset สำหรับ training เป็นความท้าทายใหญ่ ➡️ เพราะต้องมีข้อมูลที่สะท้อนความหมายจริงของคำค้น https://blog.wilsonl.in/search-engine/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน บอกกับผู้นำบราซิล ทั้ง 2 ชาติสามารถเป็นต้นแบบของ "การพึ่งพาตนเอง" สำหรับมหาอำนาจเศรษฐกิจเกิดใหม่ ท่ามกลางความท้าทายด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ความเคลื่อนไหวซึ่งมีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เลื่อนรีดภาษีปักกิ่งออกไป 90 วัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000076630

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน บอกกับผู้นำบราซิล ทั้ง 2 ชาติสามารถเป็นต้นแบบของ "การพึ่งพาตนเอง" สำหรับมหาอำนาจเศรษฐกิจเกิดใหม่ ท่ามกลางความท้าทายด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ความเคลื่อนไหวซึ่งมีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ เลื่อนรีดภาษีปักกิ่งออกไป 90 วัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000076630 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 486 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Huawei เปิดซอร์ส CANN: ยุทธศาสตร์ใหม่ท้าชน CUDA เพื่ออิสรภาพด้าน AI ของจีน

    ลองนึกภาพว่าโลกของ AI ที่เคยถูกครอบงำโดย CUDA ของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจาก Huawei ที่ตัดสินใจเปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ของตัวเอง

    CUDA ครองตลาดมากว่า 20 ปี ด้วยการผูกขาดนักพัฒนาให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เท่านั้น การเปิดซอร์ส CANN จึงไม่ใช่แค่การปล่อยโค้ด แต่เป็นการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเจ้าของเทคโนโลยี

    Huawei เริ่มพูดคุยกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัท AI ชั้นนำในจีน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดสำหรับ Ascend ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กใหม่ที่รองรับงาน AI ได้หลากหลายมากขึ้น

    แม้จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ในแง่ของความเสถียรและการสนับสนุน แต่ Huawei ก็เริ่มไล่ตามในด้านประสิทธิภาพ โดยบางรุ่นของ Ascend มีผลทดสอบที่เหนือกว่า Nvidia ในบางสถานการณ์

    การเปิดซอร์ส CANN ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปให้กับ Huawei การสร้างซอฟต์แวร์พื้นฐานของตัวเองจึงเป็นก้าวสำคัญ

    Huawei เปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับชิป Ascend
    เพื่อท้าทายการผูกขาดของ CUDA จาก Nvidia

    CUDA เป็นระบบปิดที่ผูกนักพัฒนาไว้กับฮาร์ดแวร์ Nvidia
    ทำให้การพัฒนา AI ต้องอยู่ในระบบของ Nvidia เท่านั้น

    CANN มีโครงสร้างแบบหลายชั้น รองรับทั้งงานทั่วไปและงานประสิทธิภาพสูง
    เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักพัฒนา AI

    Huawei เริ่มสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ในจีน
    เพื่อเร่งสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กสำหรับ Ascend

    มีรายงานว่า Ascend บางรุ่นมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia ในบางกรณี
    เช่น DeepSeek R1 บน CloudMatrix 384

    การเปิดซอร์ส CANN เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เทคโนโลยีอิสระของจีน
    ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกท่ามกลางข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/pro/brave-or-foolhardy-huawei-takes-the-fight-to-nvidia-cuda-by-making-its-ascend-ai-gpu-software-open-source
    🚀🇨🇳 เมื่อ Huawei เปิดซอร์ส CANN: ยุทธศาสตร์ใหม่ท้าชน CUDA เพื่ออิสรภาพด้าน AI ของจีน ลองนึกภาพว่าโลกของ AI ที่เคยถูกครอบงำโดย CUDA ของ Nvidia กำลังถูกท้าทายอย่างจริงจังจาก Huawei ที่ตัดสินใจเปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ของตัวเอง CUDA ครองตลาดมากว่า 20 ปี ด้วยการผูกขาดนักพัฒนาให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เท่านั้น การเปิดซอร์ส CANN จึงไม่ใช่แค่การปล่อยโค้ด แต่เป็นการเปิดประตูสู่ระบบนิเวศใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเจ้าของเทคโนโลยี Huawei เริ่มพูดคุยกับมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัท AI ชั้นนำในจีน เพื่อร่วมกันสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดสำหรับ Ascend ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กใหม่ที่รองรับงาน AI ได้หลากหลายมากขึ้น แม้จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ในแง่ของความเสถียรและการสนับสนุน แต่ Huawei ก็เริ่มไล่ตามในด้านประสิทธิภาพ โดยบางรุ่นของ Ascend มีผลทดสอบที่เหนือกว่า Nvidia ในบางสถานการณ์ การเปิดซอร์ส CANN ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปให้กับ Huawei การสร้างซอฟต์แวร์พื้นฐานของตัวเองจึงเป็นก้าวสำคัญ ✅ Huawei เปิดซอร์ส CANN ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับชิป Ascend ➡️ เพื่อท้าทายการผูกขาดของ CUDA จาก Nvidia ✅ CUDA เป็นระบบปิดที่ผูกนักพัฒนาไว้กับฮาร์ดแวร์ Nvidia ➡️ ทำให้การพัฒนา AI ต้องอยู่ในระบบของ Nvidia เท่านั้น ✅ CANN มีโครงสร้างแบบหลายชั้น รองรับทั้งงานทั่วไปและงานประสิทธิภาพสูง ➡️ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักพัฒนา AI ✅ Huawei เริ่มสร้างชุมชนพัฒนาแบบเปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ในจีน ➡️ เพื่อเร่งสร้างเครื่องมือ ไลบรารี และเฟรมเวิร์กสำหรับ Ascend ✅ มีรายงานว่า Ascend บางรุ่นมีประสิทธิภาพสูงกว่า Nvidia ในบางกรณี ➡️ เช่น DeepSeek R1 บน CloudMatrix 384 ✅ การเปิดซอร์ส CANN เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เทคโนโลยีอิสระของจีน ➡️ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกท่ามกลางข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ https://www.techradar.com/pro/brave-or-foolhardy-huawei-takes-the-fight-to-nvidia-cuda-by-making-its-ascend-ai-gpu-software-open-source
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งของพม่าประกาศว่าจะขัดขวางการเลือกตั้งในพื้นที่ที่ตนควบคุม โดยปฏิเสธการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารประกาศไว้ว่าเป็นหนทางในการยุติสงครามกลางเมืองของประเทศ

    กองทัพอาระกัน (AA) กลายเป็นผู้ท้าทายรายสำคัญต่อนายพลที่ปกครองพม่านับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2564 ที่ก่อให้เกิดสงคราม และปัจจุบันควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ

    นอกจากกองทัพอาระกันแล้ว กองทัพของรัฐบาลทหารยังต้องต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ อีกมากมายที่ต่อต้านการปกครองจากส่วนกลางมายาวนาน และมีหน่วยกองโจรสนับสนุนประชาธิปไตยกลุ่มใหม่ๆ เข้าร่วมในแนวหน้า

    ปลายเดือนที่แล้ว รัฐบาลทหารได้ยุติการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ ที่ประกาศใช้ระหว่างการรัฐประหาร และระบุว่าจะจัดกรเลือกตั้งในเดือนธ.ค.

    กลุ่มฝ่ายค้าน ที่รวมถึงสมาชิกรัฐสภาที่ถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหารกำลังคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติระบุว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเรื่องฉ้อโกงที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองต่อเนื่องของรัฐบาลทหาร

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000076206

    #MGROnline #กองทัพอาระกัน #กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ #พม่า
    กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งของพม่าประกาศว่าจะขัดขวางการเลือกตั้งในพื้นที่ที่ตนควบคุม โดยปฏิเสธการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารประกาศไว้ว่าเป็นหนทางในการยุติสงครามกลางเมืองของประเทศ • กองทัพอาระกัน (AA) กลายเป็นผู้ท้าทายรายสำคัญต่อนายพลที่ปกครองพม่านับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2564 ที่ก่อให้เกิดสงคราม และปัจจุบันควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของรัฐยะไข่ ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ • นอกจากกองทัพอาระกันแล้ว กองทัพของรัฐบาลทหารยังต้องต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อื่นๆ อีกมากมายที่ต่อต้านการปกครองจากส่วนกลางมายาวนาน และมีหน่วยกองโจรสนับสนุนประชาธิปไตยกลุ่มใหม่ๆ เข้าร่วมในแนวหน้า • ปลายเดือนที่แล้ว รัฐบาลทหารได้ยุติการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ ที่ประกาศใช้ระหว่างการรัฐประหาร และระบุว่าจะจัดกรเลือกตั้งในเดือนธ.ค. • กลุ่มฝ่ายค้าน ที่รวมถึงสมาชิกรัฐสภาที่ถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหารกำลังคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติระบุว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเรื่องฉ้อโกงที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองต่อเนื่องของรัฐบาลทหาร • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000076206 • #MGROnline #กองทัพอาระกัน #กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ #พม่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณอ่านหนังสือพิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
    คุณจำได้ไหมว่าเคยซื้อหนังสือพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?
    ที่บ้านของคุณเคยรับหนังสือพิมพ์ส่งถึงบ้านทุกเช้าบ้างไหม?

    รูปโปร์ไฟล์ที่เราเปลี่ยน เราแค่อยากให้คุณรำลึกว่า ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์เคยมีบทบาท ต่อการรับรู้ข่าวสารในชีวิตประจำวัน แม้ในวันนี้สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่สื่อดั้งเดิมก็ตาม

    Newskit ยังคงตั้งใจใช้ข้อจำกัดบางแพลตฟอร์ม (อย่าง Instagram ที่จำกัดเนื้อหาเพียงแค่ 2,200 ตัวอักษร) สื่อสารเรื่องราวในรูปแบบ ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ ในยามเช้าตราบที่เป็นไปได้

    เพราะทุกข้อจำกัด ยังมีสิ่งที่ท้าทายและสนุกสนานรออยู่.
    คุณอ่านหนังสือพิมพ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? คุณจำได้ไหมว่าเคยซื้อหนังสือพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่? ที่บ้านของคุณเคยรับหนังสือพิมพ์ส่งถึงบ้านทุกเช้าบ้างไหม? รูปโปร์ไฟล์ที่เราเปลี่ยน เราแค่อยากให้คุณรำลึกว่า ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์เคยมีบทบาท ต่อการรับรู้ข่าวสารในชีวิตประจำวัน แม้ในวันนี้สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่สื่อดั้งเดิมก็ตาม Newskit ยังคงตั้งใจใช้ข้อจำกัดบางแพลตฟอร์ม (อย่าง Instagram ที่จำกัดเนื้อหาเพียงแค่ 2,200 ตัวอักษร) สื่อสารเรื่องราวในรูปแบบ ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์ ในยามเช้าตราบที่เป็นไปได้ เพราะทุกข้อจำกัด ยังมีสิ่งที่ท้าทายและสนุกสนานรออยู่.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร

    Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน

    แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้

    เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง

    แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม

    ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่

    แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production

    Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง
    เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก

    ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน
    แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy

    PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง
    หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย

    ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส
    ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent

    เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย
    สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม

    ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight
    เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    🎮✨ เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้ เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่ แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production ✅ Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง ➡️ เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก ✅ ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน ➡️ แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy ✅ PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง ➡️ หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย ✅ ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส ➡️ ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent ✅ เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย ➡️ สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม ✅ ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight ➡️ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ラブ・ストーリーは突然に… บทเพลงที่พาเรากลับไปยุค 90s

    ลุงจำได้ดีว่าช่วงนั้นเป็นปลายยุค 90s บ้านเรายังมีละครญี่ปุ่นเข้ามาฉายทางทีวีอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ Tokyo Love Story หรือที่พวกเรารู้จักกันในชื่อ “หยุดหัวใจไว้ที่เธอ” ตอนนั้นนั่งดูทีวีอยู่กับครอบครัว ทุกครั้งที่ละครเริ่ม ท่อนกีตาร์อินโทรของเพลง ラブ・ストーリーは突然に ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่สดใส เร่งเร้า และติดหูจนลุงเผลอฮัมตามได้อย่างรวดเร็ว

    เนื้อเรื่องของละครว่าด้วยความรักซับซ้อน ของหนุ่มสาวสี่คนท่ามกลางมหานครโตเกียวในยุคที่ญี่ปุ่นกำลังพีคสุด ๆ ทางเศรษฐกิจ บรรยากาศในจอเต็มไปด้วยเสื้อผ้าแฟชั่น รถสวย ๆ และคาเฟ่เก๋ ๆ ที่ทำให้ลุงมองโตเกียวเหมือนอีกโลกหนึ่ง ริกะ ตัวนางเอกสดใส กล้าแสดงออก เปรียบเหมือนพลังงานของยุคฟองสบู่ ส่วนคันจิ พระเอกหนุ่มจากต่างจังหวัดก็มีความลังเลและยึดติดกับอดีต ความต่างของทั้งคู่เหมือนภาพสะท้อนของสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเปลี่ยนแปลง

    ลุงยังจำได้ว่าตอนใกล้จบ ละครออกอากาศตอนสุดท้าย ครอบครัวใหญ่ของลุงรวมตัวกันเต็มบ้าน ทั้งพี่น้อง ป้า น้า อา ต่างพากันมานั่งล้อมทีวีจอแก้วกลางบ้าน เสียงหัวเราะคุยกันคึกคัก ก่อนละครเริ่ม และทันทีที่อินโทรกีตาร์ดังขึ้น ทุกคนก็เงียบกริบ จ้องไปที่หน้าจอเหมือนถูกสะกด ภาพนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำ — เพราะมันไม่ใช่แค่ละคร แต่เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้ใช้ร่วมกันอย่างอบอุ่น

    เพลง ラブ・ストーリーは突然に เองก็มีตำนานไม่แพ้ละคร โอดะ คาซุมาสะ แต่งเพลงนี้จากความท้าทายที่โปรดิวเซอร์ให้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เพื่อสร้างเพลงที่ “ปฏิเสธไม่ได้” และเขาก็ทำสำเร็จ เพลงนี้ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต Oricon ยาวนานเกือบปี ขายได้กว่า 2.7 ล้านแผ่น จนกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลขายดีที่สุดตลอดกาลของญี่ปุ่น

    ทุกวันนี้ เวลาลุงได้ยินท่อนอินโทรกีตาร์นั้น มันพาลุงย้อนกลับไปในค่ำคืนที่ทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงดูทีวีด้วยกัน ภาพโตเกียวที่เต็มไปด้วยไฟนีออน ความฝันของวัยรุ่น และรอยยิ้มของริกะกับคันจิในฉากฝนพรำ ถึงแม้เรื่องราวในละครจะไม่ได้จบอย่างสุขสมหวัง แต่ในความทรงจำของลุง มันคือหนึ่งในเพลงรักที่งดงามที่สุด และเป็นบันทึกชิ้นหนึ่งของยุครุ่งเรืองญี่ปุ่นก่อนเข้าสู่ความถดถอยทางเศรษฐกิจ — บทเพลงที่ทำให้ลุงเชื่อว่า “บางครั้งความรักก็เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว” จริง ๆ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/tDDX4v8kP2M
    ラブ・ストーリーは突然に… บทเพลงที่พาเรากลับไปยุค 90s 🎶✨ ลุงจำได้ดีว่าช่วงนั้นเป็นปลายยุค 90s 📺 บ้านเรายังมีละครญี่ปุ่นเข้ามาฉายทางทีวีอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ Tokyo Love Story หรือที่พวกเรารู้จักกันในชื่อ “หยุดหัวใจไว้ที่เธอ” ❤️ ตอนนั้นนั่งดูทีวีอยู่กับครอบครัว ทุกครั้งที่ละครเริ่ม ท่อนกีตาร์อินโทรของเพลง ラブ・ストーリーは突然に 🎸 ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่สดใส เร่งเร้า และติดหูจนลุงเผลอฮัมตามได้อย่างรวดเร็ว เนื้อเรื่องของละครว่าด้วยความรักซับซ้อน 💔 ของหนุ่มสาวสี่คนท่ามกลางมหานครโตเกียวในยุคที่ญี่ปุ่นกำลังพีคสุด ๆ ทางเศรษฐกิจ 💹 บรรยากาศในจอเต็มไปด้วยเสื้อผ้าแฟชั่น 👔 รถสวย ๆ 🚗 และคาเฟ่เก๋ ๆ ☕ ที่ทำให้ลุงมองโตเกียวเหมือนอีกโลกหนึ่ง ริกะ ตัวนางเอกสดใส กล้าแสดงออก เปรียบเหมือนพลังงานของยุคฟองสบู่ ส่วนคันจิ พระเอกหนุ่มจากต่างจังหวัดก็มีความลังเลและยึดติดกับอดีต ความต่างของทั้งคู่เหมือนภาพสะท้อนของสังคมญี่ปุ่นที่กำลังเปลี่ยนแปลง ลุงยังจำได้ว่าตอนใกล้จบ ละครออกอากาศตอนสุดท้าย ครอบครัวใหญ่ของลุงรวมตัวกันเต็มบ้าน 🏠 ทั้งพี่น้อง ป้า น้า อา ต่างพากันมานั่งล้อมทีวีจอแก้วกลางบ้าน เสียงหัวเราะคุยกันคึกคัก 😂 ก่อนละครเริ่ม และทันทีที่อินโทรกีตาร์ดังขึ้น ทุกคนก็เงียบกริบ จ้องไปที่หน้าจอเหมือนถูกสะกด ภาพนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำ — เพราะมันไม่ใช่แค่ละคร แต่เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้ใช้ร่วมกันอย่างอบอุ่น 🤗 เพลง ラブ・ストーリーは突然に เองก็มีตำนานไม่แพ้ละคร 🎤 โอดะ คาซุมาสะ แต่งเพลงนี้จากความท้าทายที่โปรดิวเซอร์ให้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เพื่อสร้างเพลงที่ “ปฏิเสธไม่ได้” และเขาก็ทำสำเร็จ เพลงนี้ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ต Oricon 🏆 ยาวนานเกือบปี ขายได้กว่า 2.7 ล้านแผ่น 💿 จนกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลขายดีที่สุดตลอดกาลของญี่ปุ่น ทุกวันนี้ เวลาลุงได้ยินท่อนอินโทรกีตาร์นั้น 🎶 มันพาลุงย้อนกลับไปในค่ำคืนที่ทุกคนในครอบครัวนั่งล้อมวงดูทีวีด้วยกัน ภาพโตเกียวที่เต็มไปด้วยไฟนีออน 🌆 ความฝันของวัยรุ่น และรอยยิ้มของริกะกับคันจิในฉากฝนพรำ 🌧️ ถึงแม้เรื่องราวในละครจะไม่ได้จบอย่างสุขสมหวัง แต่ในความทรงจำของลุง มันคือหนึ่งในเพลงรักที่งดงามที่สุด 💖 และเป็นบันทึกชิ้นหนึ่งของยุครุ่งเรืองญี่ปุ่นก่อนเข้าสู่ความถดถอยทางเศรษฐกิจ — บทเพลงที่ทำให้ลุงเชื่อว่า “บางครั้งความรักก็เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว” จริง ๆ ✨ #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/tDDX4v8kP2M
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยอดผู้ติดเชื้อเอชไอวีมาเลย์ฯ 64% จากโฮโม-ไบเซ็กชวล

    อีกหนึ่งความท้าทายด้านสาธารณสุขของประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายดซุลเกฟลี อาหมัด รมว.สาธารณสุขมาเลเซีย ตอบคำถามสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย กรณีที่นายตัน ก๊ก ไว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมืองเชรัส รัฐสลังงอร์ ถามถึงสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประเทศมาเลเซีย ระบุว่า ในปี 2567 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 96% เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ โดยเกิดขึ้นจากพฤติกรรมรักร่วมเพศแบบไบเซ็กชวล (ชายก็ได้ หญิงก็ได้) 64% และแบบโฮโมเซ็กชวล (ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง) 32%

    โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่รวม 3,185 ราย คิดเป็น 9.4 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเพศชาย คิดเป็น 90% ส่วนอีก 10% อยู่ในกลุ่มเพศหญิง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากทศวรรษ 1990 ซึ่งผู้ติดเชื้อเพศหญิงคิดเป็นเพียง 1% ของผู้ป่วย และเพศชายคิดเป็น 99% เกี่ยวข้องกับช่วงอายุระหว่าง 20 ถึง 39 ปี การติดเชื้อรายใหม่ในมาเลเซียโดยทั่วไปลดลง 50% ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2552 กระทั่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ถึงปัจจุบัน ลดลงเพียง 27% เท่านั้น

    ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.พ. นายดซุลเกฟลี กล่าวว่า การติดเชื้อเอชไอวีมากกว่า 60% เมื่อปีที่แล้วติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันและไบเซ็กชวล ปัจจัยสำคัญคือการไม่ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง อีกทั้งความท้าทายของผู้ติดเชื้อรายใหม่ซับซ้อนมากขึ้น จากการใช้ยาเสพติดและสารผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น นำไปสู่พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

    ดร.โมฮัมหมัด มูจาฮีด ฮัสซัน อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา คณะนิเวศวิทยามนุษย์ มหาวิทยาลัยปุตรา มาเลเซีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเบอร์นามาเมื่อเดือน ก.ค.ว่า ปัจจัยสำคัญมาจากวิถีชีวิตที่เสรี แรงกดดันทางสังคม การมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงานกลายเป็นเรื่องปกติ การมีเซ็กซ์กับเพศเดียวกันโดยไม่ป้องกัน อีกทั้งเกิดจากความอยากรู้และขาดการศึกษาสุขภาพทางเพศ บางคนยังใช้แอปพลิเคชันหาคู่ นำไปสู่การมีเซ็กซ์แบบไม่ผูกมัด โดยไม่ได้ป้องกันอย่างเหมาะสม และยังได้รับสื่อลามกและเนื้อหาทางเพศที่ไม่ผ่านการกรองมากขึ้น โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย

    ส่วนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเอชไอวียังคงใช้วิธีการแบบเดิมๆ ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงรู้สึกแปลกแยก กังวลว่าจะถูกตัดสินหรือยอมรับจากเพื่อนหรืออาจารย์ จึงแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น เป็นมิตรกับเยาวชน ปราศจากการตีตรา โดยให้การศึกษาเรื่องเพศศึกษาแบบครอบคลุมและไม่ตัดสิน การเข้าถึงถุงยางอนามัย การให้คำปรึกษา และการตรวจหาเชื้อเอชไอวีแบบสมัครใจและเป็นความลับ

    #Newskit

    (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ลงใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 2568)
    ยอดผู้ติดเชื้อเอชไอวีมาเลย์ฯ 64% จากโฮโม-ไบเซ็กชวล อีกหนึ่งความท้าทายด้านสาธารณสุขของประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายดซุลเกฟลี อาหมัด รมว.สาธารณสุขมาเลเซีย ตอบคำถามสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย กรณีที่นายตัน ก๊ก ไว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมืองเชรัส รัฐสลังงอร์ ถามถึงสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในประเทศมาเลเซีย ระบุว่า ในปี 2567 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 96% เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ โดยเกิดขึ้นจากพฤติกรรมรักร่วมเพศแบบไบเซ็กชวล (ชายก็ได้ หญิงก็ได้) 64% และแบบโฮโมเซ็กชวล (ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง) 32% โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่รวม 3,185 ราย คิดเป็น 9.4 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเพศชาย คิดเป็น 90% ส่วนอีก 10% อยู่ในกลุ่มเพศหญิง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากทศวรรษ 1990 ซึ่งผู้ติดเชื้อเพศหญิงคิดเป็นเพียง 1% ของผู้ป่วย และเพศชายคิดเป็น 99% เกี่ยวข้องกับช่วงอายุระหว่าง 20 ถึง 39 ปี การติดเชื้อรายใหม่ในมาเลเซียโดยทั่วไปลดลง 50% ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2552 กระทั่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ถึงปัจจุบัน ลดลงเพียง 27% เท่านั้น ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.พ. นายดซุลเกฟลี กล่าวว่า การติดเชื้อเอชไอวีมากกว่า 60% เมื่อปีที่แล้วติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันและไบเซ็กชวล ปัจจัยสำคัญคือการไม่ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง อีกทั้งความท้าทายของผู้ติดเชื้อรายใหม่ซับซ้อนมากขึ้น จากการใช้ยาเสพติดและสารผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น นำไปสู่พฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ดร.โมฮัมหมัด มูจาฮีด ฮัสซัน อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศาสตร์และการพัฒนา คณะนิเวศวิทยามนุษย์ มหาวิทยาลัยปุตรา มาเลเซีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเบอร์นามาเมื่อเดือน ก.ค.ว่า ปัจจัยสำคัญมาจากวิถีชีวิตที่เสรี แรงกดดันทางสังคม การมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงานกลายเป็นเรื่องปกติ การมีเซ็กซ์กับเพศเดียวกันโดยไม่ป้องกัน อีกทั้งเกิดจากความอยากรู้และขาดการศึกษาสุขภาพทางเพศ บางคนยังใช้แอปพลิเคชันหาคู่ นำไปสู่การมีเซ็กซ์แบบไม่ผูกมัด โดยไม่ได้ป้องกันอย่างเหมาะสม และยังได้รับสื่อลามกและเนื้อหาทางเพศที่ไม่ผ่านการกรองมากขึ้น โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ส่วนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเอชไอวียังคงใช้วิธีการแบบเดิมๆ ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงรู้สึกแปลกแยก กังวลว่าจะถูกตัดสินหรือยอมรับจากเพื่อนหรืออาจารย์ จึงแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น เป็นมิตรกับเยาวชน ปราศจากการตีตรา โดยให้การศึกษาเรื่องเพศศึกษาแบบครอบคลุมและไม่ตัดสิน การเข้าถึงถุงยางอนามัย การให้คำปรึกษา และการตรวจหาเชื้อเอชไอวีแบบสมัครใจและเป็นความลับ #Newskit (ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะตีพิมพ์ลงใน Facebook และ Instagram วันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 2568)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกควอนตัม: เมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมสร้าง “ความสุ่มที่พิสูจน์ได้” เป็นครั้งแรก

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมนักวิจัยจาก JPMorganChase, Quantinuum, Argonne และ Oak Ridge National Laboratory รวมถึงมหาวิทยาลัย Texas at Austin ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาด 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่ไม่เพียงแค่ “ดูเหมือนสุ่ม” แต่สามารถพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ว่า “สุ่มจริง” ด้วยการตรวจสอบจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกที่มีพลังประมวลผลระดับ 1.1 ExaFLOPS

    ความสำเร็จนี้เรียกว่า “certified randomness” ซึ่งหมายถึงตัวเลขที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่สามารถสร้างซ้ำได้ และไม่สามารถปลอมแปลงได้แม้จะมีการแทรกแซงจากภายนอก โดยใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) ที่ท้าทายให้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเลือกคำตอบแบบสุ่มจากชุดคำถามที่สร้างจาก seed เล็ก ๆ แล้วให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ตรวจสอบผลลัพธ์ว่าเป็นความสุ่มจริง

    แนวคิดนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดย Scott Aaronson ในปี 2018 และวันนี้มันได้กลายเป็นจริง พร้อมเปิดประตูสู่การใช้งานในโลกจริง เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การสร้างระบบที่ยุติธรรม และการปกป้องความเป็นส่วนตัว

    ทีมนักวิจัยใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัม 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่พิสูจน์ได้
    ใช้ Quantinuum System Model H2-1 ผ่านอินเทอร์เน็ต

    ใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) เพื่อสร้างความสุ่ม
    เป็นกระบวนการที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกไม่สามารถจำลองได้

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกถูกใช้ตรวจสอบความสุ่ม
    มีพลังประมวลผลรวม 1.1 ExaFLOPS เพื่อรับรอง 71,313 bits ของ entropy

    แนวคิด “certified randomness” ถูกเสนอโดย Scott Aaronson
    เป็นการพิสูจน์ว่าความสุ่มนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้

    ผลลัพธ์นี้มีประโยชน์ต่อการเข้ารหัส ความเป็นส่วนตัว และความยุติธรรม
    เป็นก้าวแรกสู่การใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ในงานจริงที่คลาสสิกทำไม่ได้

    ความสุ่มที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการเข้ารหัสแบบ unhackable
    ป้องกันการคาดเดาหรือย้อนรอยจากผู้ไม่หวังดี

    คอมพิวเตอร์คลาสสิกใช้ pseudo-random generators ที่สามารถถูกควบคุมได้
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง

    Quantum supremacy เคยเป็นแค่แนวคิด แต่วันนี้กลายเป็นการใช้งานจริง
    แสดงให้เห็นว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาที่คลาสสิกทำไม่ได้

    Certified randomness สามารถใช้ในระบบเลือกตั้งดิจิทัล หรือการจับฉลากที่โปร่งใส
    เพิ่มความน่าเชื่อถือในระบบที่ต้องการความยุติธรรม

    https://www.neowin.net/news/quantum-computer-does-something-for-first-time-creates-certified-truly-random-numbers/
    🎲🔐 เรื่องเล่าจากโลกควอนตัม: เมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมสร้าง “ความสุ่มที่พิสูจน์ได้” เป็นครั้งแรก ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมนักวิจัยจาก JPMorganChase, Quantinuum, Argonne และ Oak Ridge National Laboratory รวมถึงมหาวิทยาลัย Texas at Austin ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการควอนตัมคอมพิวติ้ง พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมขนาด 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่ไม่เพียงแค่ “ดูเหมือนสุ่ม” แต่สามารถพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ว่า “สุ่มจริง” ด้วยการตรวจสอบจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกที่มีพลังประมวลผลระดับ 1.1 ExaFLOPS ความสำเร็จนี้เรียกว่า “certified randomness” ซึ่งหมายถึงตัวเลขที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่สามารถสร้างซ้ำได้ และไม่สามารถปลอมแปลงได้แม้จะมีการแทรกแซงจากภายนอก โดยใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) ที่ท้าทายให้คอมพิวเตอร์ควอนตัมเลือกคำตอบแบบสุ่มจากชุดคำถามที่สร้างจาก seed เล็ก ๆ แล้วให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ตรวจสอบผลลัพธ์ว่าเป็นความสุ่มจริง แนวคิดนี้ถูกเสนอครั้งแรกโดย Scott Aaronson ในปี 2018 และวันนี้มันได้กลายเป็นจริง พร้อมเปิดประตูสู่การใช้งานในโลกจริง เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การสร้างระบบที่ยุติธรรม และการปกป้องความเป็นส่วนตัว ✅ ทีมนักวิจัยใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัม 56 qubit สร้างตัวเลขสุ่มที่พิสูจน์ได้ ➡️ ใช้ Quantinuum System Model H2-1 ผ่านอินเทอร์เน็ต ✅ ใช้เทคนิค random circuit sampling (RCS) เพื่อสร้างความสุ่ม ➡️ เป็นกระบวนการที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกไม่สามารถจำลองได้ ✅ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลาสสิกถูกใช้ตรวจสอบความสุ่ม ➡️ มีพลังประมวลผลรวม 1.1 ExaFLOPS เพื่อรับรอง 71,313 bits ของ entropy ✅ แนวคิด “certified randomness” ถูกเสนอโดย Scott Aaronson ➡️ เป็นการพิสูจน์ว่าความสุ่มนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้ ✅ ผลลัพธ์นี้มีประโยชน์ต่อการเข้ารหัส ความเป็นส่วนตัว และความยุติธรรม ➡️ เป็นก้าวแรกสู่การใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ในงานจริงที่คลาสสิกทำไม่ได้ ✅ ความสุ่มที่พิสูจน์ได้มีความสำคัญต่อการเข้ารหัสแบบ unhackable ➡️ ป้องกันการคาดเดาหรือย้อนรอยจากผู้ไม่หวังดี ✅ คอมพิวเตอร์คลาสสิกใช้ pseudo-random generators ที่สามารถถูกควบคุมได้ ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ✅ Quantum supremacy เคยเป็นแค่แนวคิด แต่วันนี้กลายเป็นการใช้งานจริง ➡️ แสดงให้เห็นว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาที่คลาสสิกทำไม่ได้ ✅ Certified randomness สามารถใช้ในระบบเลือกตั้งดิจิทัล หรือการจับฉลากที่โปร่งใส ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือในระบบที่ต้องการความยุติธรรม https://www.neowin.net/news/quantum-computer-does-something-for-first-time-creates-certified-truly-random-numbers/
    WWW.NEOWIN.NET
    Quantum computer does something for first time, creates "certified truly random" numbers
    Researchers achieve a breakthrough using quantum computing to generate and certify randomness, solving a problem classical computers can't tackle alone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศใต้

    เดือนนี้ ทำธุรกิจค้าขายต้องรัดกุม จะถูกท้าทายอำนาจให้ตำแหน่งหยุดอยู่นิ่งกับที่ไม่ก้าวหน้า ธุรกิจอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ไอที ค้าแรงงาน จะเกิดอุปสรรคปัญหาให้ผิดพลาด ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบกับภาระหนัก เพราะขาดสภาวะการเป็นผู้นำ คนที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจแต่กลับไม่ซื่อสัตย์ ปล่อยเงินกู้จะเสียหายทำให้ผิดใจกัน มอบหมายงานสำคัญจำเป็นจะต้องคอยทวงถาม ลูกน้องและบริวารจะทรยศหักหลัง เพราะลูกหลานดื้อรั้น ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้ใหญ่ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ลูกชายจะอกตัญญูก้าวร้าวต่อพ่อแม่และผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุลูกชายคนโตจะเจ็บป่วย มีปัญหาที่ปอด กระดูก ศีรษะ ระบบเลือด หัวใจ และดวงตา ระวังมีเกณฑ์ ขโมยจะขึ้นบ้านลักทรัพย์สินเงินทองควรหาวิธีป้องกัน

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศใต้ เดือนนี้ ทำธุรกิจค้าขายต้องรัดกุม จะถูกท้าทายอำนาจให้ตำแหน่งหยุดอยู่นิ่งกับที่ไม่ก้าวหน้า ธุรกิจอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ไอที ค้าแรงงาน จะเกิดอุปสรรคปัญหาให้ผิดพลาด ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบกับภาระหนัก เพราะขาดสภาวะการเป็นผู้นำ คนที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจแต่กลับไม่ซื่อสัตย์ ปล่อยเงินกู้จะเสียหายทำให้ผิดใจกัน มอบหมายงานสำคัญจำเป็นจะต้องคอยทวงถาม ลูกน้องและบริวารจะทรยศหักหลัง เพราะลูกหลานดื้อรั้น ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้ใหญ่ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ลูกชายจะอกตัญญูก้าวร้าวต่อพ่อแม่และผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุลูกชายคนโตจะเจ็บป่วย มีปัญหาที่ปอด กระดูก ศีรษะ ระบบเลือด หัวใจ และดวงตา ระวังมีเกณฑ์ ขโมยจะขึ้นบ้านลักทรัพย์สินเงินทองควรหาวิธีป้องกัน ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AI วิดีโอ: Grok Imagine กับโหมด “Spicy” ที่ทั้งสร้างสรรค์และสั่นสะเทือน

    Elon Musk และทีม xAI ได้เปิดตัว Grok Imagine เครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI สำหรับผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) โดยผู้ใช้ที่สมัครสมาชิกระดับ SuperGrok ($30/เดือน) หรือ Premium+ ($35/เดือน) จะสามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ผ่านแอป Grok ได้ทันที

    Grok Imagine สามารถสร้างวิดีโอสั้นความยาว 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบแบบซิงก์ ซึ่งทำให้มันโดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่าง Sora, Veo 3 หรือ Runway ที่ยังไม่มีระบบเสียงในตัว

    แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกระแสคือ “Spicy Mode” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง แม้จะมีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง แต่ก็มีผู้ใช้บางรายพยายามทดสอบขอบเขตของระบบอย่างหนัก เช่นการสร้างภาพนางฟ้าในชุดวาบหวิวที่ Musk เองโพสต์ลง X

    แม้ xAI จะยืนยันว่ามีระบบกรองและตรวจสอบ แต่หลายฝ่ายก็ยังตั้งคำถามถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อ Grok เคยมีประวัติเกี่ยวกับการแสดงความเห็นสุดโต่งในอดีต

    Grok Imagine เปิดให้ผู้ใช้ SuperGrok และ Premium+ ใช้งาน
    สร้างวิดีโอ 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบ

    Elon Musk เปรียบ Grok Imagine ว่าเป็น “AI Vine”
    เน้นวิดีโอสั้นที่แชร์ง่ายและสร้างได้เร็ว

    Spicy Mode เปิดให้สร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์
    มีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง

    ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพนิ่งเพื่อแปลงเป็นวิดีโอวนลูป
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการสร้างคอนเทนต์

    Grok Imagine มีระบบอัปเดตทุกไม่กี่วัน
    เพื่อปรับปรุงคุณภาพและความสามารถของโมเดล

    Grok Imagine ใช้สถาปัตยกรรม Aurora และ GPU กว่า 100,000 ตัว
    เพื่อรองรับการประมวลผลวิดีโอแบบเรียลไทม์

    วิดีโอที่สร้างสามารถดาวน์โหลด แชร์ หรือจัดเก็บเป็นคอลเลกชัน
    ทำให้เหมาะกับการใช้งานเชิงธุรกิจและการเรียนการสอน

    มีการเปรียบเทียบกับ Sora และ Veo 3 ว่า Grok เน้นความเร็วและความกล้า
    โดยเฉพาะในด้านเนื้อหาที่ท้าทายขอบเขต

    Elon Musk เคยกล่าวว่า Grok จะ “ดีขึ้นทุกวัน”
    สะท้อนแนวคิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องและเปิดรับฟีดแบ็ก

    มีผู้ใช้บางรายเริ่มใช้ Grok Imagine สร้างวิดีโอโฆษณาและเนื้อหา TikTok
    ทำให้เกิดกระแส “AI creator economy” ใหม่

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/grok-rolls-out-ai-video-creator-for-x-with-bonus-spicy-mode
    🎬🔥 เรื่องเล่าจากโลก AI วิดีโอ: Grok Imagine กับโหมด “Spicy” ที่ทั้งสร้างสรรค์และสั่นสะเทือน Elon Musk และทีม xAI ได้เปิดตัว Grok Imagine เครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI สำหรับผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) โดยผู้ใช้ที่สมัครสมาชิกระดับ SuperGrok ($30/เดือน) หรือ Premium+ ($35/เดือน) จะสามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ผ่านแอป Grok ได้ทันที Grok Imagine สามารถสร้างวิดีโอสั้นความยาว 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบแบบซิงก์ ซึ่งทำให้มันโดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่าง Sora, Veo 3 หรือ Runway ที่ยังไม่มีระบบเสียงในตัว แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกระแสคือ “Spicy Mode” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง แม้จะมีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง แต่ก็มีผู้ใช้บางรายพยายามทดสอบขอบเขตของระบบอย่างหนัก เช่นการสร้างภาพนางฟ้าในชุดวาบหวิวที่ Musk เองโพสต์ลง X แม้ xAI จะยืนยันว่ามีระบบกรองและตรวจสอบ แต่หลายฝ่ายก็ยังตั้งคำถามถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อ Grok เคยมีประวัติเกี่ยวกับการแสดงความเห็นสุดโต่งในอดีต ✅ Grok Imagine เปิดให้ผู้ใช้ SuperGrok และ Premium+ ใช้งาน ➡️ สร้างวิดีโอ 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบ ✅ Elon Musk เปรียบ Grok Imagine ว่าเป็น “AI Vine” ➡️ เน้นวิดีโอสั้นที่แชร์ง่ายและสร้างได้เร็ว ✅ Spicy Mode เปิดให้สร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ ➡️ มีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง ✅ ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพนิ่งเพื่อแปลงเป็นวิดีโอวนลูป ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการสร้างคอนเทนต์ ✅ Grok Imagine มีระบบอัปเดตทุกไม่กี่วัน ➡️ เพื่อปรับปรุงคุณภาพและความสามารถของโมเดล ✅ Grok Imagine ใช้สถาปัตยกรรม Aurora และ GPU กว่า 100,000 ตัว ➡️ เพื่อรองรับการประมวลผลวิดีโอแบบเรียลไทม์ ✅ วิดีโอที่สร้างสามารถดาวน์โหลด แชร์ หรือจัดเก็บเป็นคอลเลกชัน ➡️ ทำให้เหมาะกับการใช้งานเชิงธุรกิจและการเรียนการสอน ✅ มีการเปรียบเทียบกับ Sora และ Veo 3 ว่า Grok เน้นความเร็วและความกล้า ➡️ โดยเฉพาะในด้านเนื้อหาที่ท้าทายขอบเขต ✅ Elon Musk เคยกล่าวว่า Grok จะ “ดีขึ้นทุกวัน” ➡️ สะท้อนแนวคิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องและเปิดรับฟีดแบ็ก ✅ มีผู้ใช้บางรายเริ่มใช้ Grok Imagine สร้างวิดีโอโฆษณาและเนื้อหา TikTok ➡️ ทำให้เกิดกระแส “AI creator economy” ใหม่ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/grok-rolls-out-ai-video-creator-for-x-with-bonus-spicy-mode
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกอินเตอร์เฟซ: PCIe 8.0 กับความเร็วระดับ 1TB/s ที่พร้อมป้อนข้อมูลให้ AI และดาต้าเซ็นเตอร์

    PCI-SIG กลุ่มพันธมิตรผู้กำหนดมาตรฐาน PCI Express ได้ประกาศสเปกของ PCIe 8.0 อย่างเป็นทางการ โดยยังคงรักษาธรรมเนียม “เพิ่มความเร็วเป็นสองเท่าทุกสามปี” ซึ่งในเวอร์ชันใหม่นี้จะมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 256 GT/s ต่อเลน และสามารถให้แบนด์วิดธ์แบบสองทิศทางได้ถึง 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16

    แม้จะยังไม่ใช่สเปกที่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป (คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิกในปี 2028) แต่เป้าหมายของ PCIe 8.0 ชัดเจนมาก: รองรับงานที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูง เช่น AI, machine learning, quantum computing, edge computing, และระบบในอุตสาหกรรมยานยนต์หรือการทหาร

    เทคโนโลยีที่ใช้ยังคงเป็น PAM4 พร้อม Flit Mode encoding และ forward error correction (FEC) เหมือนใน PCIe 6.0 และ 7.0 แต่การผลักดันความเร็วถึง 256 GT/s ต่อเลนบนสายทองแดงนั้นเป็นความท้าทายอย่างมาก ทำให้ PCI-SIG เริ่มพิจารณาการใช้ optical interconnects และ advanced packaging เช่น co-packaged optics หรือ chiplets

    PCIe 8.0 จะมีอัตราการส่งข้อมูล 256 GT/s ต่อเลน
    ให้แบนด์วิดธ์สูงสุด 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16

    ใช้เทคโนโลยี PAM4, FEC และ Flit Mode encoding
    เหมือนกับ PCIe 6.0 และ 7.0

    ยังคงรองรับการใช้งานร่วมกับเวอร์ชันก่อนหน้า
    เพื่อความสะดวกในการอัปเกรดระบบ

    เป้าหมายหลักคือรองรับงาน AI, HPC, quantum computing และ edge computing
    รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์, ดาต้าเซ็นเตอร์ และการทหาร

    PCIe 8.0 คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิก PCI-SIG ในปี 2028
    การใช้งานในตลาดทั่วไปอาจต้องรอถึงช่วงปี 2030

    PCIe 5.0 มีความเร็วสูงสุด 32 GT/s ต่อเลน
    PCIe 8.0 เร็วกว่า 8 เท่าในแง่ raw bit rate

    PAM4 ช่วยเพิ่ม bit rate โดยไม่ต้องเพิ่ม clock speed
    แต่ต้องใช้วงจรที่ซับซ้อนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด

    PCIe 7.0 เริ่มใช้ optical-aware retimers เพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์
    แนวโน้มนี้จะขยายไปยัง PCIe 8.0

    การใช้ chiplets และ co-packaged optics ช่วยลดระยะทางสัญญาณ
    เพิ่มความเสถียรในการส่งข้อมูลความเร็วสูง

    การส่งข้อมูล 256 GT/s บนสายทองแดงยังไม่มีมาตรฐานที่รองรับ
    อาจเกิดปัญหา signal loss และความไม่เสถียร

    การพัฒนา PCIe 8.0 ต้องใช้วัสดุและเทคนิคการผลิตที่แม่นยำสูง
    เพิ่มต้นทุนและความซับซ้อนในการออกแบบ

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สัมผัส PCIe 8.0 จนถึงช่วงปี 2030
    เพราะเป้าหมายหลักคือระบบระดับองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์

    การใช้ PAM ระดับสูงกว่านี้ (เช่น PAM8) ยังไม่เหมาะสมในเชิงต้นทุน
    เพราะความแตกต่างของระดับสัญญาณเล็กลงและเสี่ยงต่อการเกิด error

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pci-sig-announces-pcie-8-0-spec-with-twice-the-bandwidth-1tb-s-of-peak-bandwidth-256-gt-s-per-lane-and-a-possible-new-connector
    🚀🔌 เรื่องเล่าจากโลกอินเตอร์เฟซ: PCIe 8.0 กับความเร็วระดับ 1TB/s ที่พร้อมป้อนข้อมูลให้ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ PCI-SIG กลุ่มพันธมิตรผู้กำหนดมาตรฐาน PCI Express ได้ประกาศสเปกของ PCIe 8.0 อย่างเป็นทางการ โดยยังคงรักษาธรรมเนียม “เพิ่มความเร็วเป็นสองเท่าทุกสามปี” ซึ่งในเวอร์ชันใหม่นี้จะมีอัตราการส่งข้อมูลสูงถึง 256 GT/s ต่อเลน และสามารถให้แบนด์วิดธ์แบบสองทิศทางได้ถึง 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16 แม้จะยังไม่ใช่สเปกที่พร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป (คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิกในปี 2028) แต่เป้าหมายของ PCIe 8.0 ชัดเจนมาก: รองรับงานที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูง เช่น AI, machine learning, quantum computing, edge computing, และระบบในอุตสาหกรรมยานยนต์หรือการทหาร เทคโนโลยีที่ใช้ยังคงเป็น PAM4 พร้อม Flit Mode encoding และ forward error correction (FEC) เหมือนใน PCIe 6.0 และ 7.0 แต่การผลักดันความเร็วถึง 256 GT/s ต่อเลนบนสายทองแดงนั้นเป็นความท้าทายอย่างมาก ทำให้ PCI-SIG เริ่มพิจารณาการใช้ optical interconnects และ advanced packaging เช่น co-packaged optics หรือ chiplets ✅ PCIe 8.0 จะมีอัตราการส่งข้อมูล 256 GT/s ต่อเลน ➡️ ให้แบนด์วิดธ์สูงสุด 1TB/s บนการเชื่อมต่อแบบ x16 ✅ ใช้เทคโนโลยี PAM4, FEC และ Flit Mode encoding ➡️ เหมือนกับ PCIe 6.0 และ 7.0 ✅ ยังคงรองรับการใช้งานร่วมกับเวอร์ชันก่อนหน้า ➡️ เพื่อความสะดวกในการอัปเกรดระบบ ✅ เป้าหมายหลักคือรองรับงาน AI, HPC, quantum computing และ edge computing ➡️ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์, ดาต้าเซ็นเตอร์ และการทหาร ✅ PCIe 8.0 คาดว่าจะปล่อยให้สมาชิก PCI-SIG ในปี 2028 ➡️ การใช้งานในตลาดทั่วไปอาจต้องรอถึงช่วงปี 2030 ✅ PCIe 5.0 มีความเร็วสูงสุด 32 GT/s ต่อเลน ➡️ PCIe 8.0 เร็วกว่า 8 เท่าในแง่ raw bit rate ✅ PAM4 ช่วยเพิ่ม bit rate โดยไม่ต้องเพิ่ม clock speed ➡️ แต่ต้องใช้วงจรที่ซับซ้อนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ✅ PCIe 7.0 เริ่มใช้ optical-aware retimers เพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์ ➡️ แนวโน้มนี้จะขยายไปยัง PCIe 8.0 ✅ การใช้ chiplets และ co-packaged optics ช่วยลดระยะทางสัญญาณ ➡️ เพิ่มความเสถียรในการส่งข้อมูลความเร็วสูง ‼️ การส่งข้อมูล 256 GT/s บนสายทองแดงยังไม่มีมาตรฐานที่รองรับ ⛔ อาจเกิดปัญหา signal loss และความไม่เสถียร ‼️ การพัฒนา PCIe 8.0 ต้องใช้วัสดุและเทคนิคการผลิตที่แม่นยำสูง ⛔ เพิ่มต้นทุนและความซับซ้อนในการออกแบบ ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สัมผัส PCIe 8.0 จนถึงช่วงปี 2030 ⛔ เพราะเป้าหมายหลักคือระบบระดับองค์กรและดาต้าเซ็นเตอร์ ‼️ การใช้ PAM ระดับสูงกว่านี้ (เช่น PAM8) ยังไม่เหมาะสมในเชิงต้นทุน ⛔ เพราะความแตกต่างของระดับสัญญาณเล็กลงและเสี่ยงต่อการเกิด error https://www.tomshardware.com/tech-industry/pci-sig-announces-pcie-8-0-spec-with-twice-the-bandwidth-1tb-s-of-peak-bandwidth-256-gt-s-per-lane-and-a-possible-new-connector
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AI: Huawei เปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา GPU เพื่อท้าชน Nvidia

    ในโลกของการประมวลผล AI ที่ Nvidia ครองตลาดมานานด้วยแพลตฟอร์ม CUDA ที่ปิดซอร์สและผูกขาด Huawei กำลังเดินเกมใหม่เพื่อท้าทายอำนาจนั้น ด้วยการประกาศเปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา CANN (Compute Architecture for Neural Networks) สำหรับชิป Ascend AI GPU ของตนเอง

    CANN เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ได้ง่ายขึ้น โดยมีอินเทอร์เฟซหลายระดับคล้ายกับ CUDA ของ Nvidia แต่ต่างกันตรงที่ Huawei เลือกเปิดซอร์ส เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถเข้าถึง ปรับแต่ง และขยายความสามารถได้อย่างอิสระ

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่หน่วยงาน CAC ของจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia จากข้อกังวลด้านความปลอดภัย

    Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัย บริษัท AI ชั้นนำ และพันธมิตรธุรกิจในจีน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend โดยหวังว่าจะเร่งการพัฒนาและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ

    แม้ CANN จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี แต่การเปิดซอร์สครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว

    Huawei ประกาศเปิดซอร์สชุดเครื่องมือ CANN สำหรับชิป Ascend AI GPU
    เพื่อแข่งขันกับ CUDA ของ Nvidia ที่เป็นระบบปิด

    CANN เป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ heterogeneous
    มีอินเทอร์เฟซหลายระดับสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI

    Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ชั้นนำในจีน
    เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend

    การเปิดซอร์ส CANN เกิดขึ้นหลังจากจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia
    จากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการติดตามข้อมูล

    Huawei หวังว่า CANN จะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มการใช้งานในประเทศ
    โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและองค์กรที่ต้องการทางเลือกจาก CUDA

    CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ผูกขาดกับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia
    นักพัฒนาต้องใช้ GPU ของ Nvidia เท่านั้น

    Huawei Ascend 910C เป็นชิปที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Nvidia
    โดยเฉพาะในงาน inference และการประมวลผลแบบเรียลไทม์

    การเปิดซอร์สช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือได้เอง
    เพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาบริษัทเดียว

    รัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ
    เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-is-making-its-ascend-ai-gpu-software-toolkit-open-source-to-better-compete-against-cuda
    🧠💻 เรื่องเล่าจากโลก AI: Huawei เปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา GPU เพื่อท้าชน Nvidia ในโลกของการประมวลผล AI ที่ Nvidia ครองตลาดมานานด้วยแพลตฟอร์ม CUDA ที่ปิดซอร์สและผูกขาด Huawei กำลังเดินเกมใหม่เพื่อท้าทายอำนาจนั้น ด้วยการประกาศเปิดซอร์สเครื่องมือพัฒนา CANN (Compute Architecture for Neural Networks) สำหรับชิป Ascend AI GPU ของตนเอง CANN เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชัน AI บนชิป Ascend ได้ง่ายขึ้น โดยมีอินเทอร์เฟซหลายระดับคล้ายกับ CUDA ของ Nvidia แต่ต่างกันตรงที่ Huawei เลือกเปิดซอร์ส เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาสามารถเข้าถึง ปรับแต่ง และขยายความสามารถได้อย่างอิสระ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ต้องการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่หน่วยงาน CAC ของจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia จากข้อกังวลด้านความปลอดภัย Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัย บริษัท AI ชั้นนำ และพันธมิตรธุรกิจในจีน เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend โดยหวังว่าจะเร่งการพัฒนาและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ แม้ CANN จะยังไม่เทียบเท่า CUDA ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี แต่การเปิดซอร์สครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว ✅ Huawei ประกาศเปิดซอร์สชุดเครื่องมือ CANN สำหรับชิป Ascend AI GPU ➡️ เพื่อแข่งขันกับ CUDA ของ Nvidia ที่เป็นระบบปิด ✅ CANN เป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ heterogeneous ➡️ มีอินเทอร์เฟซหลายระดับสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ✅ Huawei ได้หารือกับมหาวิทยาลัยและบริษัท AI ชั้นนำในจีน ➡️ เพื่อสร้างระบบนิเวศแบบเปิดรอบชิป Ascend ✅ การเปิดซอร์ส CANN เกิดขึ้นหลังจากจีนเริ่มสอบสวนชิป H20 ของ Nvidia ➡️ จากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการติดตามข้อมูล ✅ Huawei หวังว่า CANN จะช่วยเร่งนวัตกรรมและเพิ่มการใช้งานในประเทศ ➡️ โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและองค์กรที่ต้องการทางเลือกจาก CUDA ✅ CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ผูกขาดกับฮาร์ดแวร์ของ Nvidia ➡️ นักพัฒนาต้องใช้ GPU ของ Nvidia เท่านั้น ✅ Huawei Ascend 910C เป็นชิปที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Nvidia ➡️ โดยเฉพาะในงาน inference และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ✅ การเปิดซอร์สช่วยให้ชุมชนสามารถพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือได้เอง ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาบริษัทเดียว ✅ รัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ ➡️ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/huawei-is-making-its-ascend-ai-gpu-software-toolkit-open-source-to-better-compete-against-cuda
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Huawei is making its Ascend AI GPU software toolkit open-source to better compete against CUDA
    Huawei is getting better at making AI GPUs. Now it wants to increase adoption of its technology on the software side
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • กัมพูชา-สหรัฐฯ ความท้าทายของไทย : [NEWS UPDATE]
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงวาระสำคัญของรัฐบาล "ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน" ระบุ ไทยก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญ 2 ประการ ที่ท้าทายส่งผลต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ เราเผชิญความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 รัฐบาลอดทนต่อการยั่วยุ แต่เมื่อสูญเสียประชาชน ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลต้องตอบโต้ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงินเยียวยาให้ครอบครัวทหารและข้าราชการที่เสียชีวิต รายละ 10 ล้านบาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รายละ 8 ล้านบาท ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ป้องกันข่าวปลอม สถานการณ์สำคัญอีกประการคือ ภาษีการค้าสหรัฐฯ ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 19 ทุกประเทศต้องปรับตัว รัฐบาลตั้งงบประมาณสนับสนุนผู้ประกอบการไทย สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร เพื่อให้ทุกคนรับมือการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน


    เดินหน้าหารือหยุดยิง

    ไทม์ไลน์รัฐสภาโต้กัมพูชา

    ไฟเขียวซื้อกริพเพน

    กองทัพต้องอยู่ใต้รัฐพลเรือน
    กัมพูชา-สหรัฐฯ ความท้าทายของไทย : [NEWS UPDATE] นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงวาระสำคัญของรัฐบาล "ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน" ระบุ ไทยก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญ 2 ประการ ที่ท้าทายส่งผลต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ เราเผชิญความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 รัฐบาลอดทนต่อการยั่วยุ แต่เมื่อสูญเสียประชาชน ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลต้องตอบโต้ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงินเยียวยาให้ครอบครัวทหารและข้าราชการที่เสียชีวิต รายละ 10 ล้านบาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รายละ 8 ล้านบาท ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ ป้องกันข่าวปลอม สถานการณ์สำคัญอีกประการคือ ภาษีการค้าสหรัฐฯ ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 19 ทุกประเทศต้องปรับตัว รัฐบาลตั้งงบประมาณสนับสนุนผู้ประกอบการไทย สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร เพื่อให้ทุกคนรับมือการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน เดินหน้าหารือหยุดยิง ไทม์ไลน์รัฐสภาโต้กัมพูชา ไฟเขียวซื้อกริพเพน กองทัพต้องอยู่ใต้รัฐพลเรือน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เยียวยาผู้เสียชีวิต เหตุชายแดน 8-10 ล้าน : [THE MESSAGE]
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงวาระสำคัญของรัฐบาล "ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน" ระบุ ไทยก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญ 2 ประการ ที่ท้าทายส่งผลต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ เราเผชิญความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 รัฐบาลอดทนต่อการยั่วยุ แต่เมื่อสูญเสียประชาชน ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลต้องตอบโต้ ขณะนี้การปะทะสิ้นสุด เข้าสู่การเจรจาผ่านการประชุม GBC ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงินเยียวยาให้ครอบครัวทหารและข้าราชการที่เสียชีวิต รายละ 10 ล้านบาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รายละ 8 ล้านบาท ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ วิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายต่อความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน สถานการณ์สำคัญอีกประการคือ ภาษีการค้าจากสหรัฐฯ ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 19 ทุกประเทศต้องปรับตัว รัฐบาลจึงตั้งงบประมาณสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร เพื่อให้ทุกคนรับมือการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง
    เยียวยาผู้เสียชีวิต เหตุชายแดน 8-10 ล้าน : [THE MESSAGE] นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงวาระสำคัญของรัฐบาล "ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน" ระบุ ไทยก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญ 2 ประการ ที่ท้าทายส่งผลต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ เราเผชิญความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2568 รัฐบาลอดทนต่อการยั่วยุ แต่เมื่อสูญเสียประชาชน ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลต้องตอบโต้ ขณะนี้การปะทะสิ้นสุด เข้าสู่การเจรจาผ่านการประชุม GBC ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงินเยียวยาให้ครอบครัวทหารและข้าราชการที่เสียชีวิต รายละ 10 ล้านบาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รายละ 8 ล้านบาท ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ วิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายต่อความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน สถานการณ์สำคัญอีกประการคือ ภาษีการค้าจากสหรัฐฯ ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 19 ทุกประเทศต้องปรับตัว รัฐบาลจึงตั้งงบประมาณสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร เพื่อให้ทุกคนรับมือการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน”

    ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU

    เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C

    แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม

    Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม
    ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4
    ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ

    ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม
    กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU
    อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที

    ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง
    สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้
    มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง

    เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002
    มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024)
    Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้

    โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง
    เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ
    แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ

    กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค
    ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร
    อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ

    ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก
    การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
    ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง

    ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก
    ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่
    ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน

    การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU
    อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้
    ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ

    https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Coffeematic PC – คอมพิวเตอร์ที่ชงกาแฟ และใช้กาแฟร้อนในการ “ระบายความร้อน” ในฤดูหนาวปี 2024 Doug MacDowell ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ได้หยิบเครื่องชงกาแฟ GE Coffeematic รุ่นปี 1980 จากร้านของมือสอง แล้วดัดแปลงให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เล่นเกมที่สามารถชงกาแฟได้จริง และใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนของ CPU เขาใช้ชิ้นส่วนเก่าจากยุค 2000 เช่น เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM, CPU AMD Athlon II X4, RAM DDR2 และ SSD 240GB ติดตั้งลงบนตัวเครื่องชงกาแฟ พร้อมระบบท่อและปั๊มที่หมุนเวียนกาแฟร้อน (~90°C) ผ่านหม้อน้ำสองตัว ก่อนส่งไปยัง CPU เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ที่ประมาณ 33°C แม้จะฟังดู “เกือบทำลายตัวเอง” แต่ Coffeematic PC กลับทำงานได้จริงทั้งในส่วนของคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟ แม้จะไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน และกาแฟที่ได้ก็ไม่ควรดื่มก็ตาม ✅ Coffeematic PC คือการรวมเครื่องชงกาแฟ GE รุ่นปี 1980 กับคอมพิวเตอร์เล่นเกม ➡️ ใช้เมนบอร์ด ASUS M2NPV-VM และ CPU AMD Athlon II X4 ➡️ ติดตั้งบนตัวเครื่องด้วยแผ่นสแตนเลสและซีลกันน้ำ ✅ ระบบระบายความร้อนใช้กาแฟร้อนแทนน้ำหรือพัดลม ➡️ กาแฟร้อน (~90°C) ถูกปั๊มผ่านหม้อน้ำก่อนถึง CPU ➡️ อุณหภูมิ CPU คงที่ที่ ~33°C หลังหมุนเวียน 75 นาที ✅ ทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องชงกาแฟทำงานได้จริง ➡️ สามารถชงกาแฟและเปิดระบบปฏิบัติการ Linux Mint ได้ ➡️ มีปั๊มแยกสำหรับจ่ายกาแฟให้ผู้ใช้โดยตรง ✅ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ “coffee maker PC” ที่มีมาตั้งแต่ปี 2002 ➡️ มีรุ่นก่อนหน้าเช่น The Caffeine Machine (2002), Zotac Mekspresso (2018), Mr. Coffee PC (2019), Nerdforge (2024) ➡️ Coffeematic PC เป็นรุ่นที่ 5 ในสายงานนี้ ✅ โครงการนี้เน้นความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการใช้งานจริง ➡️ เป็นงานศิลปะเชิงเทคนิคที่ท้าทายขอบเขตของการออกแบบ ➡️ แสดงในนิทรรศการ Sparklines พร้อมกราฟข้อมูลที่เขียนด้วยมือ ‼️ กาแฟที่ใช้ในระบบไม่เหมาะสำหรับการบริโภค ⛔ ท่อและปั๊มไม่ใช่อุปกรณ์สำหรับอาหาร ⛔ อาจเกิดเชื้อราและสิ่งสกปรกสะสมในระบบ ‼️ ระบบเปิดเผยสายไฟและชิ้นส่วนทั้งหมด อาจเกิดอันตรายจากน้ำหก ⛔ การเติมน้ำผิดพลาดอาจทำให้ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ไม่มีการป้องกันจากการสัมผัสโดยตรง ‼️ ไม่เหมาะกับการใช้งานทุกวันหรือเป็นคอมพิวเตอร์หลัก ⛔ ใช้ชิ้นส่วนเก่าที่ไม่รองรับซอฟต์แวร์ใหม่ ⛔ ประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน ‼️ การใช้กาแฟร้อนในการระบายความร้อนอาจเสี่ยงต่อความเสียหายของ CPU ⛔ อุณหภูมิเริ่มต้นสูงเกินกว่าที่ CPU ควรรับได้ ⛔ ต้องพึ่งพาหม้อน้ำและการควบคุมที่แม่นยำ https://www.dougmacdowell.com/coffeematic-pc.html
    WWW.DOUGMACDOWELL.COM
    Coffeematic PC – Coffee Maker Computer by Doug MacDowell
    A 1980s GE coffee maker converted into a working computer. Part art, part absurd machine, fully functional.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อแสงอาทิตย์ถูก “ขาย” หลังพระอาทิตย์ตก

    Reflect Orbital วางแผนส่งดาวเทียม 57 ดวงขึ้นสู่วงโคจรต่ำ (600 กม.) โดยแต่ละดวงจะกางแผ่นฟิล์ม Mylar ขนาด 33x33 ฟุต ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน และสะท้อนแสงได้ดี จุดประสงค์คือสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังฟาร์มโซลาร์หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืน

    ผู้ใช้งานสามารถระบุพิกัดเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ และระบบจะปรับทิศทางของกระจกให้สะท้อนแสงไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูง เช่น reaction wheels เพื่อให้แสงตกกระทบอย่างแม่นยำ

    แม้แนวคิดนี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การปรับตำแหน่งให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และการหมุนของโลก รวมถึงผลกระทบจากเมฆและการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ

    Reflect Orbital พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมพร้อมกระจก Mylar เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในเวลากลางคืน
    ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ ทำให้ต้นทุนการส่งต่ำ
    กระจก Mylar ขนาด 33x33 ฟุต มีคุณสมบัติสะท้อนแสงสูงและน้ำหนักเบา

    ระบบสามารถปรับทิศทางแสงได้ตามพิกัดที่ผู้ใช้ระบุผ่านเว็บไซต์
    ใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูงเพื่อติดตามดวงอาทิตย์และเป้าหมายบนโลก
    แสงจะตกกระทบเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในแนวแคบ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ

    มีการทดสอบเบื้องต้นด้วยบอลลูนและกระจกขนาดเล็ก
    ผลการทดลองสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 500 วัตต์ต่อตารางเมตร
    ประมาณครึ่งหนึ่งของความสว่างจากดวงอาทิตย์จริง

    บริษัทวางแผนปฏิบัติตามกฎการกำจัดขยะอวกาศอย่างเคร่งครัด
    ดาวเทียมต้องถูกนำออกจากวงโคจรภายใน 25 ปีหลังสิ้นสุดภารกิจ
    ลดความเสี่ยงในการเพิ่มขยะอวกาศในระยะยาว

    โครงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก
    มีผู้ลงทะเบียน “ขอแสง” ผ่านเว็บไซต์แล้วหลายหมื่นราย
    เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดแบบต่อเนื่อง

    การสะท้อนแสงจากอวกาศอาจเพิ่มปัญหา “มลภาวะทางแสง” ในเวลากลางคืน
    ส่งผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์
    อาจรบกวนพฤติกรรมของสัตว์กลางคืนและวงจรชีวภาพของมนุษย์

    ความแม่นยำในการเล็งแสงต้องใช้เทคโนโลยีควบคุมระดับสูง
    การเบี่ยงเบนเล็กน้อยอาจทำให้แสงไม่ตกตรงเป้าหมาย
    เมฆและชั้นบรรยากาศอาจลดประสิทธิภาพของแสงสะท้อน

    การเพิ่มจำนวนดาวเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อขยะอวกาศ
    หากไม่มีการกำจัดอย่างเหมาะสม อาจรบกวนดาวเทียมอื่น
    ต้องมีระบบติดตามและควบคุมการเคลื่อนที่อย่างเข้มงวด

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ระหว่างการประเมิน
    อาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่พึ่งพาวงจรแสงธรรมชาติ
    ต้องมีการร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก่อนการใช้งานเต็มรูปแบบ

    https://www.techspot.com/news/108849-startup-aims-beam-sunlight-space-using-mirrors.html
    ☀️ เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อแสงอาทิตย์ถูก “ขาย” หลังพระอาทิตย์ตก Reflect Orbital วางแผนส่งดาวเทียม 57 ดวงขึ้นสู่วงโคจรต่ำ (600 กม.) โดยแต่ละดวงจะกางแผ่นฟิล์ม Mylar ขนาด 33x33 ฟุต ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน และสะท้อนแสงได้ดี จุดประสงค์คือสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังฟาร์มโซลาร์หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืน ผู้ใช้งานสามารถระบุพิกัดเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ และระบบจะปรับทิศทางของกระจกให้สะท้อนแสงไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูง เช่น reaction wheels เพื่อให้แสงตกกระทบอย่างแม่นยำ แม้แนวคิดนี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การปรับตำแหน่งให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และการหมุนของโลก รวมถึงผลกระทบจากเมฆและการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ ✅ Reflect Orbital พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมพร้อมกระจก Mylar เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในเวลากลางคืน ➡️ ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ ทำให้ต้นทุนการส่งต่ำ ➡️ กระจก Mylar ขนาด 33x33 ฟุต มีคุณสมบัติสะท้อนแสงสูงและน้ำหนักเบา ✅ ระบบสามารถปรับทิศทางแสงได้ตามพิกัดที่ผู้ใช้ระบุผ่านเว็บไซต์ ➡️ ใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูงเพื่อติดตามดวงอาทิตย์และเป้าหมายบนโลก ➡️ แสงจะตกกระทบเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในแนวแคบ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ ✅ มีการทดสอบเบื้องต้นด้วยบอลลูนและกระจกขนาดเล็ก ➡️ ผลการทดลองสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 500 วัตต์ต่อตารางเมตร ➡️ ประมาณครึ่งหนึ่งของความสว่างจากดวงอาทิตย์จริง ✅ บริษัทวางแผนปฏิบัติตามกฎการกำจัดขยะอวกาศอย่างเคร่งครัด ➡️ ดาวเทียมต้องถูกนำออกจากวงโคจรภายใน 25 ปีหลังสิ้นสุดภารกิจ ➡️ ลดความเสี่ยงในการเพิ่มขยะอวกาศในระยะยาว ✅ โครงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก ➡️ มีผู้ลงทะเบียน “ขอแสง” ผ่านเว็บไซต์แล้วหลายหมื่นราย ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดแบบต่อเนื่อง ‼️ การสะท้อนแสงจากอวกาศอาจเพิ่มปัญหา “มลภาวะทางแสง” ในเวลากลางคืน ⛔ ส่งผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ⛔ อาจรบกวนพฤติกรรมของสัตว์กลางคืนและวงจรชีวภาพของมนุษย์ ‼️ ความแม่นยำในการเล็งแสงต้องใช้เทคโนโลยีควบคุมระดับสูง ⛔ การเบี่ยงเบนเล็กน้อยอาจทำให้แสงไม่ตกตรงเป้าหมาย ⛔ เมฆและชั้นบรรยากาศอาจลดประสิทธิภาพของแสงสะท้อน ‼️ การเพิ่มจำนวนดาวเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อขยะอวกาศ ⛔ หากไม่มีการกำจัดอย่างเหมาะสม อาจรบกวนดาวเทียมอื่น ⛔ ต้องมีระบบติดตามและควบคุมการเคลื่อนที่อย่างเข้มงวด ‼️ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ระหว่างการประเมิน ⛔ อาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่พึ่งพาวงจรแสงธรรมชาติ ⛔ ต้องมีการร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก่อนการใช้งานเต็มรูปแบบ https://www.techspot.com/news/108849-startup-aims-beam-sunlight-space-using-mirrors.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Startup aims to beam sunlight from space using mirrors
    At the heart of Reflect Orbital's project are its Mylar mirrors. Each satellite will unfurl a 33-by-33-foot sheet of lightweight polyester film known for its durability and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ไม่รู้คนพูดในคลิปอยู่ลาวมั้ย อาจอยู่อเมริกาจึงพูดเสรีได้,
    ..น่าจะอัดไปอีกดอกว่า ยิงตกใส่ลาวด้วย ลาวทำไมไม่ร่วมกับไทยยึดเขมรเลย ลาวขอดินแดนเขมรออกสู่ทะเลเพื่อลืมตาอ้าปากได้ก็พอ,ลาวจะไปขออาสาชวนเวียดนามมาร่วมรบด้วยเลยเพื่อมาแบ่งเขมรร่วมกันให้สุดซอย,มาจัดการพื้นที่แถวๆเรากันใหม่ พร้อมกำลังสลายให้พ้นสถานะการเป็นประเทศนี้ด้วยเลย,คนชนะสามารถกำหนดกติกาได้ให้มรึงอยู่สร้างฮับสาระพัดเลวชั่วอีกมั้ยคืนดินแดนไทยที่ฝรั่งเศสปล้นไปจากไทยในอดีตให้ไทยทั้งหมดแล้วส่วนที่เหลือลาวกับเวียดนามจะตกลงแบ่งพื้นที่กันเองทั้งรับเอาคนเขมรทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การปกครองของลาวและเวียดนามแทน , ไทยคงไม่รับเอาคนเขมรไปเป็นพลเมืองเขาหรอก,คลิปนี้น่าจะอัดพูดตรงประเด็นนี้ด้วยคงดี,ยิ่งถ้าอยู่ต่างประเทศคงค.ว.ย.พูดได้อิสระ,เขมรท้าทายลาวไปยึดมันอยู่แล้วนี้.

    https://youtube.com/shorts/pmWVzy5zZzg?si=jdx0JljUr4vnIOvx
    ..ไม่รู้คนพูดในคลิปอยู่ลาวมั้ย อาจอยู่อเมริกาจึงพูดเสรีได้, ..น่าจะอัดไปอีกดอกว่า ยิงตกใส่ลาวด้วย ลาวทำไมไม่ร่วมกับไทยยึดเขมรเลย ลาวขอดินแดนเขมรออกสู่ทะเลเพื่อลืมตาอ้าปากได้ก็พอ,ลาวจะไปขออาสาชวนเวียดนามมาร่วมรบด้วยเลยเพื่อมาแบ่งเขมรร่วมกันให้สุดซอย,มาจัดการพื้นที่แถวๆเรากันใหม่ พร้อมกำลังสลายให้พ้นสถานะการเป็นประเทศนี้ด้วยเลย,คนชนะสามารถกำหนดกติกาได้ให้มรึงอยู่สร้างฮับสาระพัดเลวชั่วอีกมั้ยคืนดินแดนไทยที่ฝรั่งเศสปล้นไปจากไทยในอดีตให้ไทยทั้งหมดแล้วส่วนที่เหลือลาวกับเวียดนามจะตกลงแบ่งพื้นที่กันเองทั้งรับเอาคนเขมรทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การปกครองของลาวและเวียดนามแทน , ไทยคงไม่รับเอาคนเขมรไปเป็นพลเมืองเขาหรอก,คลิปนี้น่าจะอัดพูดตรงประเด็นนี้ด้วยคงดี,ยิ่งถ้าอยู่ต่างประเทศคงค.ว.ย.พูดได้อิสระ,เขมรท้าทายลาวไปยึดมันอยู่แล้วนี้. https://youtube.com/shorts/pmWVzy5zZzg?si=jdx0JljUr4vnIOvx
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ

    ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน

    ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

    อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

    ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค

    เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย

    อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌐 การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ 🌏 ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📞 จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน 🧭 ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ⚠️ อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล 💡 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ 📺 ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ 🚧 แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค 🛰️ เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย 🔭 อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด 📌 สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts