• Flock และ Cyble ใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” เป็นอาวุธเพื่อปิดปากนักวิจารณ์

    ในเหตุการณ์ที่สะท้อนปัญหาความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยี Cyble Inc. ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ “Disrupt Cybercrime” ได้ยื่นรายงานเท็จต่อ Cloudflare เพื่อให้ลบเว็บไซต์ HaveIBeenFlocked ออกจากอินเทอร์เน็ต โดยอ้างว่ามีการ “ฟิชชิง” และ “ละเมิดเครื่องหมายการค้า” ทั้งที่เนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นเพียงการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวังของ Flock

    รายงานที่ Cyble ส่งไปเต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดเจน ตั้งแต่การกล่าวหาว่าเว็บไซต์เป็นของปลอม ไปจนถึงการอ้างว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลที่ “ได้มาจาก Flock” ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นบันทึกสาธารณะอยู่แล้ว ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่าการกล่าวหาแบบหว่านแหเช่นนี้อาจเป็นความพยายามปิดปากผู้วิจารณ์มากกว่าจะเป็นการป้องกันภัยไซเบอร์จริงๆ

    Cloudflare เองตอบกลับด้วยคำขอให้แสดงหลักฐานว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสาธารณะหรือได้รับความยินยอม ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิงเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายเว็บไซต์ได้ย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare และยังคงเผยแพร่ข้อมูลต่อไป โดยผู้เขียนย้ำว่าจะไม่ยอมให้การคุกคามเช่นนี้หยุดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบริษัทเอกชน

    เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก: บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบเฝ้าระวังพยายามใช้กฎหมายไซเบอร์หรือข้อกล่าวหาเท็จเพื่อปิดกั้นการตรวจสอบสาธารณะ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรตรวจสอบหลายแห่งจับตามองอย่างใกล้ชิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Cyble ส่งรายงานเท็จเพื่อให้ลบเว็บไซต์ออกจากอินเทอร์เน็ต
    กล่าวหาว่าเว็บไซต์ฟิชชิงและละเมิดเครื่องหมายการค้า
    ข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกับเนื้อหาจริงบนเว็บไซต์

    เป้าหมายคือการปิดปากผู้วิจารณ์ Flock
    เว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวัง
    การกล่าวหาอาจเป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากการตรวจสอบ

    Cloudflare ขอหลักฐานเพิ่มเติมแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง
    คำถามของ Cloudflare ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิง
    เว็บไซต์จึงย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare

    ความเสี่ยงต่อเสรีภาพในการตรวจสอบอำนาจรัฐและบริษัทเทคโนโลยี
    การใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” แบบผิดๆ อาจกลายเป็นเครื่องมือปิดปากสาธารณะ
    แนวโน้มนี้อาจขยายไปสู่การคุกคามผู้สื่อข่าว นักวิจัย และนักสิทธิมนุษยชน

    ผลกระทบต่อความโปร่งใสของระบบเฝ้าระวัง
    หากบริษัทสามารถปิดกั้นข้อมูลได้ง่าย ความรับผิดชอบต่อสังคมจะลดลง
    สังคมอาจไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของรัฐหรือเอกชนได้

    https://haveibeenflocked.com/news/cyble-downtime
    🛡️ Flock และ Cyble ใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” เป็นอาวุธเพื่อปิดปากนักวิจารณ์ ในเหตุการณ์ที่สะท้อนปัญหาความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยี Cyble Inc. ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ “Disrupt Cybercrime” ได้ยื่นรายงานเท็จต่อ Cloudflare เพื่อให้ลบเว็บไซต์ HaveIBeenFlocked ออกจากอินเทอร์เน็ต โดยอ้างว่ามีการ “ฟิชชิง” และ “ละเมิดเครื่องหมายการค้า” ทั้งที่เนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นเพียงการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวังของ Flock รายงานที่ Cyble ส่งไปเต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดเจน ตั้งแต่การกล่าวหาว่าเว็บไซต์เป็นของปลอม ไปจนถึงการอ้างว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลที่ “ได้มาจาก Flock” ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นบันทึกสาธารณะอยู่แล้ว ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่าการกล่าวหาแบบหว่านแหเช่นนี้อาจเป็นความพยายามปิดปากผู้วิจารณ์มากกว่าจะเป็นการป้องกันภัยไซเบอร์จริงๆ Cloudflare เองตอบกลับด้วยคำขอให้แสดงหลักฐานว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสาธารณะหรือได้รับความยินยอม ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิงเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายเว็บไซต์ได้ย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare และยังคงเผยแพร่ข้อมูลต่อไป โดยผู้เขียนย้ำว่าจะไม่ยอมให้การคุกคามเช่นนี้หยุดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบริษัทเอกชน เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก: บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบเฝ้าระวังพยายามใช้กฎหมายไซเบอร์หรือข้อกล่าวหาเท็จเพื่อปิดกั้นการตรวจสอบสาธารณะ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรตรวจสอบหลายแห่งจับตามองอย่างใกล้ชิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Cyble ส่งรายงานเท็จเพื่อให้ลบเว็บไซต์ออกจากอินเทอร์เน็ต ➡️ กล่าวหาว่าเว็บไซต์ฟิชชิงและละเมิดเครื่องหมายการค้า ➡️ ข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกับเนื้อหาจริงบนเว็บไซต์ ✅ เป้าหมายคือการปิดปากผู้วิจารณ์ Flock ➡️ เว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการใช้งานระบบเฝ้าระวัง ➡️ การกล่าวหาอาจเป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากการตรวจสอบ ✅ Cloudflare ขอหลักฐานเพิ่มเติมแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง ➡️ คำถามของ Cloudflare ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเรื่องฟิชชิง ➡️ เว็บไซต์จึงย้ายออกจากโครงสร้างพื้นฐานของ Cloudflare ‼️ ความเสี่ยงต่อเสรีภาพในการตรวจสอบอำนาจรัฐและบริษัทเทคโนโลยี ⛔ การใช้ข้อกล่าวหา “Cybercrime” แบบผิดๆ อาจกลายเป็นเครื่องมือปิดปากสาธารณะ ⛔ แนวโน้มนี้อาจขยายไปสู่การคุกคามผู้สื่อข่าว นักวิจัย และนักสิทธิมนุษยชน ‼️ ผลกระทบต่อความโปร่งใสของระบบเฝ้าระวัง ⛔ หากบริษัทสามารถปิดกั้นข้อมูลได้ง่าย ความรับผิดชอบต่อสังคมจะลดลง ⛔ สังคมอาจไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของรัฐหรือเอกชนได้ https://haveibeenflocked.com/news/cyble-downtime
    HAVEIBEENFLOCKED.COM
    Have I Been Flocked? - License Plate Privacy Check
    Check if your license plate has been searched in the Flock mass surveillance database
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฉ!!..ฮั้วเลือก สว. มวยล้มต้มคนดู : คนเคาะข่าว 05-03-68

    ร่วมสนทนา สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    #ฮั้วเลือกสว #มวยล้มต้มคนดู #เลือกตั้งสว #การเมืองไทย #คนเคาะข่าว #สมชายแสวงการ #วุฒิสภา #ประชาธิปไตยไทย #วิเคราะห์การเมือง #ข่าวการเมือง #เลือกตั้ง2568 #ThaiTimes #ตรวจสอบอำนาจ #Transparency #รัฐสภาไทย
    แฉ!!..ฮั้วเลือก สว. มวยล้มต้มคนดู : คนเคาะข่าว 05-03-68 ร่วมสนทนา สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ #ฮั้วเลือกสว #มวยล้มต้มคนดู #เลือกตั้งสว #การเมืองไทย #คนเคาะข่าว #สมชายแสวงการ #วุฒิสภา #ประชาธิปไตยไทย #วิเคราะห์การเมือง #ข่าวการเมือง #เลือกตั้ง2568 #ThaiTimes #ตรวจสอบอำนาจ #Transparency #รัฐสภาไทย
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1542 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • 5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ

    วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498

    ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม

    ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙
    สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม

    ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน

    บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม

    🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism)
    นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ
    เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม
    ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ

    ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน
    รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
    ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ
    ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

    สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
    นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม
    กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา
    เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน

    เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน
    นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่
    ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น
    ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ

    สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
    สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย
    หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว
    นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง

    ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน
    AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว
    เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น
    แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน)

    ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake
    ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
    เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน
    นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด

    รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง
    หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google
    นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media)

    🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน
    นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ
    สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด

    แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย
    ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล
    ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม
    ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร
    ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล

    "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย
    นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม
    พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ
    ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
    อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย

    "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568

    #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    5 มีนาคม “วันนักข่าว” กับบทบาทสื่อมวลชนในยุค AI เผยความจริง สิ่งลวงตา และการถ่วงดุลอำนาจ 📅 วันที่ 5 มีนาคมของทุกปี ถือเป็น "วันนักข่าว" หรือ "วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ" ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากวันสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498 ปัจจุบัน บทบาทของนักข่าวและสื่อมวลชน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ที่ไร้พรมแดน ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งข้อเท็จจริงและข่าวลวง (Fake News) บทบาทของสื่อ จึงไม่ใช่เพียงรายงานข่าวเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่คัดกรอง ตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้อ งและเป็นธรรม 📖 ความเป็นมาของวันนักข่าว จุดกำเนิดของวันนักข่าวในไทย 🎙 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นโดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก 15 คน ที่รวมตัวกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมี นายชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม 🔹 ในอดีต หนังสือพิมพ์ไทยยึดถือธรรมเนียมว่า วันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะเป็นวันหยุดงานของนักข่าว และจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีความต้องการบริโภคข่าวสารมากขึ้น ทำให้ต้องยุติธรรมเนียมนี้ไป 🔹 ต่อมา ในปี พ.ศ. 2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้รวมตัวกับ สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าว อย่างเป็นทางการจนถึงปัจจุบัน 🎥 บทบาทสำคัญของนักข่าวในสังคมไทย นักข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้รายงานข่าว แต่ยังมีบทบาทสำคัญในหลายมิติของสังคม ตั้งแต่การเฝ้าระวังอำนาจ การเปิดโปงความจริง ไปจนถึงการสร้างความตระหนักรู้ และขับเคลื่อนสังคม 🏛 เฝ้าระวังและตรวจสอบอำนาจ (Watchdog Journalism) ✅ นักข่าวทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ ✅ เปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชัน และความไม่ชอบมาพากลในสังคม ✅ ปกป้องประชาชน จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ 📰 ให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของประชาชน ✅ รายงานข่าวสารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ✅ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล การเลือกตั้ง และภัยพิบัติ ✅ ช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานของข้อมูลที่น่าเชื่อถือ 🚨 สร้างกระแส และกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ✅ นำเสนอปัญหาสำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ✅ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการแก้ไขปัญหา ✅ เป็นช่องทางในการเรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับประชาชน 🎤 เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน ✅ นำเสนอเรื่องราวของผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่ถูกกดขี่ ✅ ให้พื้นที่แก่ประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น ✅ ช่วยให้เสียงของประชาชน ถูกได้ยินในเวทีสาธารณะ 🔓 สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ✅ สื่อมวลชนเป็นหัวใจของ ประชาธิปไตย ✅ หากปราศจากเสรีภาพทางสื่อ สังคมอาจถูกควบคุมโดยข้อมูลฝ่ายเดียว ✅ นักข่าวต้องกล้าหาญ และยืนหยัดในการรายงานความจริง 🌍 ยุค AI กับความท้าทายของสื่อมวลชน 🤖 AI และอัลกอริทึมเปลี่ยนโฉมวงการข่าว 🔹 เทคโนโลยี AI ช่วยให้ ข่าวถูกสร้าง และกระจายได้รวดเร็วขึ้น 🔹 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ใช้อัลกอริทึมในการเลือกนำเสนอข่าว ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ แต่ อาจทำให้ข่าวสารถูกบิดเบือ นและเกิด Echo Chamber (ห้องเสียงสะท้อน) 🚨 ข่าวปลอม (Fake News) และ Deepfake 🔹 ข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจาย ในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว 🔹 เทคโนโลยี Deepfake ทำให้เกิดวิดีโอปลอม ที่เลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน 🔹 นักข่าวต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล อย่างเข้มงวด 💰 รายได้จากโฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลง 🔹 หนังสือพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์สูญเสียรายได้ ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Facebook, Google 🔹 นักข่าวต้องปรับตัวไปสู่การสร้างรายได้ ผ่านช่องทางออนไลน์ และการสมัครสมาชิก (Subscription-Based Media) 🏛 แรงกดดันจากอำนาจรัฐและกลุ่มทุน 🔹 นักข่าวบางคนอาจถูกคุกคาม หากรายงานข่าวที่กระทบต่อผู้มีอำนาจ 🔹 สื่อบางสำนัก อาจถูกควบคุมโดยกลุ่มทุน ทำให้เสรีภาพทางข่าวสารถูกจำกัด ✅ แนวทางในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนไทย ✔ สร้างมาตรฐานทางจริยธรรม นักข่าวต้องรักษาความเป็นกลาง และความถูกต้องของข้อมูล ✔ ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม ✔ ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ เช่น AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ✔ พัฒนาทักษะนักข่าวให้ทันสมัย ให้สามารถปรับตัวเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัล 🎯 "นักข่าว" อาชีพที่ขับเคลื่อนความจริงและสังคมไทย 👥 นักข่าวเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม 📢 พวกเขาทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบอำนาจ 🌍 ในยุค AI สื่อมวลชนต้องเผชิญกับ Fake News การคุกคามจากอำนาจรัฐ และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 📌 อย่างไรก็ตาม จริยธรรม ความกล้าหาญ และการยึดมั่นในความจริง จะทำให้สื่อมวลชน ยังคงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตย 💡 "เพราะข่าวที่ดี ไม่ใช่แค่ข่าวที่เร็ว แต่ต้องเป็นข่าวที่ถูกต้อง" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 051127 มี.ค. 2568 🔖 #วันนักข่าว #นักข่าวไทย #สื่อมวลชน #FreedomOfPress #AIกับสื่อ #ข่าวปลอม #FakeNews #Deepfake #PressFreedom #MediaEthics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2029 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์

    ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

    ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา

    การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534
    เหตุการณ์สำคัญ
    วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
    วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย

    รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์
    1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท
    2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช
    3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา
    4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ
    5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์
    6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์
    7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง
    8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ
    9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร
    นายไพศาล กุมาลย์วิสัย

    แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก

    คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์
    ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ

    “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ”

    “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง”

    จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
    เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช.

    เหตุการณ์สำคัญ:
    เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี
    17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง
    พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก

    พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536
    หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

    วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า
    คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา

    ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน

    บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย
    3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
    1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม

    2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง

    3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง

    34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย
    การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ
    แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
    ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568

    #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์ 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ 🚨 ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา 🔍 การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534 📅 เหตุการณ์สำคัญ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย 🏛️ รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์ 1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท 2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช 3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา 4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ 5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ 6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์ 7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง 8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ 9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร 🔟 นายไพศาล กุมาลย์วิสัย 💬 แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก 🏛️ คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์ 📌 ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ 🗣️ “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ” 🗣️ “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ⚖️ จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 🔥 เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช. 📌 เหตุการณ์สำคัญ: เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี 17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก 🎤 พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ⚖️ ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536 📌 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ⚖️ วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า ✅ คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ✅ ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา 📌 ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน 🔎 บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย 📢 3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ 1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม 2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง 3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง 📌 34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย 📍 การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ 📍 แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน 📍 ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568 🔗 #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1884 มุมมอง 0 รีวิว