• “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์”

    ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก

    เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก

    แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้
    กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี
    การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์
    Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี
    โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี
    Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025
    ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้
    Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014
    การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์
    การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก
    Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้

    https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    🖥️ “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์” ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ ➡️ กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี ➡️ การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ ➡️ Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี ➡️ โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี ➡️ Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014 ➡️ การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์ ➡️ การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ➡️ Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้ https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hundreds of businesses beg Microsoft not to kill off free Windows 10 updates
    533 signatories ask Microsoft to reconsider Windows 10’s EOL
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’”

    ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?”

    Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน

    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี

    แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030
    โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน
    ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่”
    รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน
    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี
    รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง
    Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025
    โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    🏗️ “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’” ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?” Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ➡️ โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน ➡️ ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่” ➡️ รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน ➡️ Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง ➡️ Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025 ➡️ โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 4”
    ก่อนที่พวกกบฎอาหรับจะเริ่มปฏิบัติการ และก่อนที่ Sharif Hussein จะได้สร้างอาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่ McMahon ทำสัญญาหลอกให้ sharif Hussein มารบมาตายแทนอังกฤษ อังกฤษกับฝรั่งเศส มีแผนอื่นที่ตกลงกันไปเรียบร้อย แล้ว ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1915 – ค.ศ. 1916 นักการทูต 2 นาย คือ Sir Mark Sykes ของอังกฤษกับ Francois Georges–Picot ของฝรั่งเศส ได้แอบหารือกันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมาน หลังการล่มสลาย ! หวังว่าคงจำกันได้ อังกฤษได้วางแผนให้ฝรั่งเศสมาร่วมรายการสลายออตโตมาน ขยี้เยอรมันด้วยกัน (อยู่ในตอนแถมของนิทาน “ลูกครึ่งหรือนกสองตัว”) เพราะฉะนั้นก็จำเป็นต้องมีสัญญาแบ่งเค้ก แบ่งรางวัลที่จะได้มาจากการปล้นเมืองเขากัน
    สัญญานี้ต่อมาเรียกว่า Sykes-Picot Agreement อังกฤษกับฝรั่งเศส ตกลงที่จะแบ่งโลกอาหรับระหว่างพวกเขากันเอง อังกฤษบอกว่าเราจะเอาบริเวณ ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรัค คูเวต และจอร์แดน ส่วนฝรั่งเศสบอก งั้นเราเอาส่วนที่ทันสมัยหน่อย คือ ซีเรีย เลบาบอน และทางใต้ของตุรกี ส่วนสถานะของปาเลสไตน์ ยังไม่ตกลงกันเอาไว้ว่ากันที่หลัง เพราะจะต้องถามพวกยิวก่อน แต่ส่วนดินแดนที่ควรจะเป็นอาณาจักรอาหรับในความฝันของ Sharif Hussein ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศส อืม ! รบเกือบตาย ได้แต่ความฝัน ! สมันน้อยมีเรื่องให้เรียนรู้แยะนะ !
    สัญญา Sykes-Picot นี้ อังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด สำหรับการแบ่งขนมเค้กชิ้นที่เรี ยกว่าตะวันออกกลาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ขึ้นชื่อว่าความลับ ยังไงก็ต้องมีรั่ว ไม่เคยปิดมิดหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปมีเลยความลับ เปิดซะให้หมดนะครับ เปิดเองดีกว่าให้คนอื่นมาเปิด นี่ผมบอกกับตัวเองนะ ใครอย่าเหมาว่าผมบอกใบ้ใครก็แล้วกัน
    สัญญาลับนี่เกิดรั่วมาถึงสาธารณะ เมื่อปี ค.ศ 1917 เมื่อหลังสงครามโลก หลังรัสเซียเกิดปฏิวัติ รัฐบาล
บอลเชวิกนำสัญญาแบ่งเค้กมาเปิดเผย เพราะอยากจะหักหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส มันขัดกับสัญญาที่อังกฤษทำให้ไว้กับ Sharif Hussein และก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงระหว่างชาวอาหรับกับอังกฤษ แต่สัญญานี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้ง ฉบับเดียวที่อังกฤษสร้างไว้ให้แก่ชาวอาหรับ
    อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับดินแดนในตะวันออกกลาง คือกลุ่มสนับสนุนชาวยิว Zionism เป็นขบวนการทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปาเลสไตน์ มันเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 กว่า ขบวนการนี้พยายามจะหาที่ลงให้แก่ชาวยิว ที่หนีหรือถูกไล่ออกมาจากยุโรป ซึ่งส่วนมากเคยอาศัยอยู่ในเยอรมัน โปแลนด์ และรัสเซีย (เบื้องหลังของการที่พวกยิวถูกให้ออกมาจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียนั้น ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธนะครับ)
    ในที่สุดพวกนิยมชาวยิว Zionist ก็ กดดันรัฐบาลอังกฤษระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ให้ยินยอมให้พวกเขา ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ เมื่อสงครามจบสิ้น ด้านรัฐบาลอังกฤษเอง ก็มีพวกที่เห็นใจชาวยิว เช่น นาย Arthur Balfour รมว.ต่างประเทศของอังกฤษเอง ซึ่งถึงกับเขียนจดหมายลงวันที่ 2 พ.ย 1912 ไปหา หัวหน้ายิวตัวใหญ่ คือ Baron Rothschild (ตัวแสบ) แจ้งว่ารัฐบาลอังกฤษ ยินดีสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ ชาวยิวได้มีสถานที่ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ โดยจะพยายามผลักดันเต็มความสามารถ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ้งชัดว่า การสนับสนุนนี้ ย่อมไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิอันเสมอภาคของประชาชน และสิทธิทางศาสนาที่มีอยู่ของชุมชนที่มิใช่ชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ ในขณะเดียวกัน สิทธิของชาวยิวหรือสถานะทางการเมืองของชาวยิว ที่มีอยู่ในประเทศอื่น ก็ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยเช่นเดียวกัน
    จดหมายนี้ประวัติศาสตร์ เรียกว่า The Balfour Declaration ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นการฑูตแบบตวัดลิ้นของอังกฤษได้ชัดเจนดี
    ขณะนั้นนาย Woodlow Wilson ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริการอบ 2 ประกาศว่า มนุษย์ควรมีสิทธิเลือกระบบการปกครองของตนเอง พัฒนาตนเองโดยไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการข่มขู่ และไม่ต้องมีความเกรงกลัว นักประวัติศาสตร์ฝรั่งบันทึกว่า ในขณะที่ประกาศ ประธานาธิบดี Wilson ไม่รู้เลยว่าสัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot Agreement นั้น เกิดขึ้นแล้ว แต่อังกฤษก็ร้อนท้อง ไม่อยากให้มิตรใหม่มองเห็นความตะกละของตนชัดแจ้งนัก จึงรีบเดินหน้าเรื่องข้อตกลง Balfour กับยิว (เป็นการเปิดตัวแสดงของอเมริกา ผู้พิทักษ์ที่สวยหรูมาก ควรจะมีไฟส่องและเพลงชาติอเมริกันประกอบ จะดูเนียนมาก)
    เมื่อประธานาธิบดี Wilson เดินทางมาถึงปารีส เมื่อต้นปี ค.ศ. 1919 เพื่อเข้าร่วมเจรจากับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และหัวหน้าของฝ่ายฝรั่งเศส Clemenceau เขาได้เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังยื้อแย่งเค้กอาหรับกัน อย่างตะกระตะกราม ฝรั่งเศสยืนยันว่าตนเองควรได้ปกครองเลบานอน และดินแดนที่ยึดไปถึงแม่น้ำ Tigris ซึ่งปัจจุบันคือซีเรีย ตามที่สัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot กำหนดไว้
    อังกฤษขณะนั้น เพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันมหึมาแถวเมโสโปเตเมีย (หรืออิรัคในปัจจุบัน) จึงรีบเปลี่ยนบทเป็นคัดค้าน อ้างว่าถ้ายก Syria ให้ฝรั่งเศส แล้วเราจะไปตอบกับพวกอาหรับที่มาช่วยรบได้อย่างไร แล้วอันที่จริงเราอังกฤษน่ะ เป็นผู้ลงทุนลงแรงเกือบทั้งหมดในการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ใช้ทหารไปเกือบล้านคน ตายเจ็บไป 125,000 คน ดังนั้น ถ้าซีเรียจะเป็นของใครอื่นนอกจากชาวอาหรับแล้ว ก็ควรเป็น ของอังกฤษมากกว่า โอโห ! บทนี้มันอังกฤษของแท้ ตอแหลบิดเบือนได้อย่างยากที่ใครจะเลียนแบบ ขนมเค้กทำให้คู่หูเริ่มแตกคอกัดกันเอง
    ประธานาธิบดี Wilson เสนอทางออกว่า วิธีที่จะรู้ว่าชาวซีเรียยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสหรือไม่ และปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมีย จะรับการปกครองของอังกฤษหรือไม่นั้น ไม่ยากเลยเพื่อน ก็แค่ไปทำการสำรวจถามชาวบ้านแถวนั้นเขาดูว่า เขาต้องการอย่างไร เอ๊ะ ! ฉลาด เป็นกลาง หรือมีแผนซ้อน ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 4” ก่อนที่พวกกบฎอาหรับจะเริ่มปฏิบัติการ และก่อนที่ Sharif Hussein จะได้สร้างอาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่ McMahon ทำสัญญาหลอกให้ sharif Hussein มารบมาตายแทนอังกฤษ อังกฤษกับฝรั่งเศส มีแผนอื่นที่ตกลงกันไปเรียบร้อย แล้ว ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1915 – ค.ศ. 1916 นักการทูต 2 นาย คือ Sir Mark Sykes ของอังกฤษกับ Francois Georges–Picot ของฝรั่งเศส ได้แอบหารือกันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมาน หลังการล่มสลาย ! หวังว่าคงจำกันได้ อังกฤษได้วางแผนให้ฝรั่งเศสมาร่วมรายการสลายออตโตมาน ขยี้เยอรมันด้วยกัน (อยู่ในตอนแถมของนิทาน “ลูกครึ่งหรือนกสองตัว”) เพราะฉะนั้นก็จำเป็นต้องมีสัญญาแบ่งเค้ก แบ่งรางวัลที่จะได้มาจากการปล้นเมืองเขากัน สัญญานี้ต่อมาเรียกว่า Sykes-Picot Agreement อังกฤษกับฝรั่งเศส ตกลงที่จะแบ่งโลกอาหรับระหว่างพวกเขากันเอง อังกฤษบอกว่าเราจะเอาบริเวณ ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรัค คูเวต และจอร์แดน ส่วนฝรั่งเศสบอก งั้นเราเอาส่วนที่ทันสมัยหน่อย คือ ซีเรีย เลบาบอน และทางใต้ของตุรกี ส่วนสถานะของปาเลสไตน์ ยังไม่ตกลงกันเอาไว้ว่ากันที่หลัง เพราะจะต้องถามพวกยิวก่อน แต่ส่วนดินแดนที่ควรจะเป็นอาณาจักรอาหรับในความฝันของ Sharif Hussein ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศส อืม ! รบเกือบตาย ได้แต่ความฝัน ! สมันน้อยมีเรื่องให้เรียนรู้แยะนะ ! สัญญา Sykes-Picot นี้ อังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด สำหรับการแบ่งขนมเค้กชิ้นที่เรี ยกว่าตะวันออกกลาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ขึ้นชื่อว่าความลับ ยังไงก็ต้องมีรั่ว ไม่เคยปิดมิดหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปมีเลยความลับ เปิดซะให้หมดนะครับ เปิดเองดีกว่าให้คนอื่นมาเปิด นี่ผมบอกกับตัวเองนะ ใครอย่าเหมาว่าผมบอกใบ้ใครก็แล้วกัน สัญญาลับนี่เกิดรั่วมาถึงสาธารณะ เมื่อปี ค.ศ 1917 เมื่อหลังสงครามโลก หลังรัสเซียเกิดปฏิวัติ รัฐบาล
บอลเชวิกนำสัญญาแบ่งเค้กมาเปิดเผย เพราะอยากจะหักหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส มันขัดกับสัญญาที่อังกฤษทำให้ไว้กับ Sharif Hussein และก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงระหว่างชาวอาหรับกับอังกฤษ แต่สัญญานี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้ง ฉบับเดียวที่อังกฤษสร้างไว้ให้แก่ชาวอาหรับ อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับดินแดนในตะวันออกกลาง คือกลุ่มสนับสนุนชาวยิว Zionism เป็นขบวนการทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปาเลสไตน์ มันเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 กว่า ขบวนการนี้พยายามจะหาที่ลงให้แก่ชาวยิว ที่หนีหรือถูกไล่ออกมาจากยุโรป ซึ่งส่วนมากเคยอาศัยอยู่ในเยอรมัน โปแลนด์ และรัสเซีย (เบื้องหลังของการที่พวกยิวถูกให้ออกมาจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียนั้น ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธนะครับ) ในที่สุดพวกนิยมชาวยิว Zionist ก็ กดดันรัฐบาลอังกฤษระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ให้ยินยอมให้พวกเขา ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ เมื่อสงครามจบสิ้น ด้านรัฐบาลอังกฤษเอง ก็มีพวกที่เห็นใจชาวยิว เช่น นาย Arthur Balfour รมว.ต่างประเทศของอังกฤษเอง ซึ่งถึงกับเขียนจดหมายลงวันที่ 2 พ.ย 1912 ไปหา หัวหน้ายิวตัวใหญ่ คือ Baron Rothschild (ตัวแสบ) แจ้งว่ารัฐบาลอังกฤษ ยินดีสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ ชาวยิวได้มีสถานที่ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ โดยจะพยายามผลักดันเต็มความสามารถ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ้งชัดว่า การสนับสนุนนี้ ย่อมไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิอันเสมอภาคของประชาชน และสิทธิทางศาสนาที่มีอยู่ของชุมชนที่มิใช่ชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ ในขณะเดียวกัน สิทธิของชาวยิวหรือสถานะทางการเมืองของชาวยิว ที่มีอยู่ในประเทศอื่น ก็ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยเช่นเดียวกัน จดหมายนี้ประวัติศาสตร์ เรียกว่า The Balfour Declaration ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นการฑูตแบบตวัดลิ้นของอังกฤษได้ชัดเจนดี ขณะนั้นนาย Woodlow Wilson ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริการอบ 2 ประกาศว่า มนุษย์ควรมีสิทธิเลือกระบบการปกครองของตนเอง พัฒนาตนเองโดยไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการข่มขู่ และไม่ต้องมีความเกรงกลัว นักประวัติศาสตร์ฝรั่งบันทึกว่า ในขณะที่ประกาศ ประธานาธิบดี Wilson ไม่รู้เลยว่าสัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot Agreement นั้น เกิดขึ้นแล้ว แต่อังกฤษก็ร้อนท้อง ไม่อยากให้มิตรใหม่มองเห็นความตะกละของตนชัดแจ้งนัก จึงรีบเดินหน้าเรื่องข้อตกลง Balfour กับยิว (เป็นการเปิดตัวแสดงของอเมริกา ผู้พิทักษ์ที่สวยหรูมาก ควรจะมีไฟส่องและเพลงชาติอเมริกันประกอบ จะดูเนียนมาก) เมื่อประธานาธิบดี Wilson เดินทางมาถึงปารีส เมื่อต้นปี ค.ศ. 1919 เพื่อเข้าร่วมเจรจากับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และหัวหน้าของฝ่ายฝรั่งเศส Clemenceau เขาได้เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังยื้อแย่งเค้กอาหรับกัน อย่างตะกระตะกราม ฝรั่งเศสยืนยันว่าตนเองควรได้ปกครองเลบานอน และดินแดนที่ยึดไปถึงแม่น้ำ Tigris ซึ่งปัจจุบันคือซีเรีย ตามที่สัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot กำหนดไว้ อังกฤษขณะนั้น เพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันมหึมาแถวเมโสโปเตเมีย (หรืออิรัคในปัจจุบัน) จึงรีบเปลี่ยนบทเป็นคัดค้าน อ้างว่าถ้ายก Syria ให้ฝรั่งเศส แล้วเราจะไปตอบกับพวกอาหรับที่มาช่วยรบได้อย่างไร แล้วอันที่จริงเราอังกฤษน่ะ เป็นผู้ลงทุนลงแรงเกือบทั้งหมดในการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ใช้ทหารไปเกือบล้านคน ตายเจ็บไป 125,000 คน ดังนั้น ถ้าซีเรียจะเป็นของใครอื่นนอกจากชาวอาหรับแล้ว ก็ควรเป็น ของอังกฤษมากกว่า โอโห ! บทนี้มันอังกฤษของแท้ ตอแหลบิดเบือนได้อย่างยากที่ใครจะเลียนแบบ ขนมเค้กทำให้คู่หูเริ่มแตกคอกัดกันเอง ประธานาธิบดี Wilson เสนอทางออกว่า วิธีที่จะรู้ว่าชาวซีเรียยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสหรือไม่ และปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมีย จะรับการปกครองของอังกฤษหรือไม่นั้น ไม่ยากเลยเพื่อน ก็แค่ไปทำการสำรวจถามชาวบ้านแถวนั้นเขาดูว่า เขาต้องการอย่างไร เอ๊ะ ! ฉลาด เป็นกลาง หรือมีแผนซ้อน ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”

    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 3”

    Hussein Bin Ali, Sharif of Hejaz และของ Mecca นครศักดิ์สิทธิ ท่าน Sharif และลูกชาย 2 คน Faisal และ Abduellah กำลังเบื่อหน่ายเต็มทีกับการปกครองของพวกออตโตมาน มีความฝันที่จะสร้างรัฐอาหรับยาวจากภูเขา Taurus ทางภาคใต้ของตุรกี ไปจนถึงทะเลแดง และจากเมดิเตอริเรเนียน ไปจนถึงเขตแดนของอิหร่าน Sir Henry McMahon ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ ได้เริ่มติดต่อกับ Sharif ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา และเป็นที่รู้จักกันในนาม McMahon Hussein Correspondence

    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915 McMahon เขียนจดหมายไปหา Hussein บอกว่าเดินหน้าได้เลย อังกฤษรับรู้และพร้อมที่จะสนับสนุนการมีอิสรภาพของเหล่าอาหรับ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัดบางประการ และมีอาณาเขตตามที่ Sharif of Mecca ได้เสนอไป

    พวกอาหรับรักษาคำมั่นของพวกเขา มีนาคม 1916 Sharif Hussein เริ่มปฏิบัติการเป็นหัวหน้านำกลุ่ม ชนเผ่าพื้นเมืองติดอาวุธ (Bedouin) ประกาศตัวต่อต้าน ออตโตมาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชาวอาหรับที่แสดงการขัดขืนต่อต้านออตโตมาน ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปตามเมืองต่าง ๆ ในแดน Hejaz รวมทั้งใน Jeddah และ Makkah โดยการช่วยเหลือของกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษ นอกจากนั้นอังกฤษยังส่ง นาย Thomas Edward Lawrence ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ประจำอยู่ฝ่ายปฏิบัติการ (จารกรรม) ของอังกฤษ ให้ไปฝั่งตัวอยู่ในกลุ่มพวกอาหรับอีกด้วย

    อังกฤษในตอนแรก แม้ว่าจะได้ตกลงกับ Hussein ไปแล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกอาหรับจะสามารถทำอะไรได้จริง แต่จดหมายจากนาย Lawrence ส่งถึงเจ้านายเมื่อประมาณ ต้นปี ค.ศ. 1916 บอกอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้อังกฤษ ปรับแนวคิดเกี่ยวกับพวกอาหรับ นาย Lawrence บอกว่า “พวกอาหรับจะเดินตามแนวทางที่เราต้องการ และจะสามารถ “ทลาย” กลุ่มอิสลามที่ผนึกตัวกันได้ และจะสามารถเอาชนะ และทำให้ออตโตมานปั่นป่วนได้ แต่อังกฤษอย่าได้คิดเลยว่า ความฝันของ Hussein ที่จะรวมตัวพวกอาหรับเข้าด้วยกันได้ จะเป็นความจริง และถ้ารัฐอาหรับของ Sharif สามารถตั้งขึ้นได้เพื่อเอาชนะออตโตมานจริง ก็จะเป็นอันตรายกับทางอังกฤษต่อไป พวกอาหรับอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่อยู่กับร่องกับรอย ยิ่งกว่าพวกเตอร์กเสียอีก แต่ถ้าเราดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐอาหรับนี้จะกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ยากแก่การรวมตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาลต่อไป (เหมือนเราวางไม้เสี้ยมถาวรไว้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พวกเขาทะเลาะกันเอง ! น่าสนใจนะ สมันน้อย)

    เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแถมซักหน่อยว่า ไอ้หมอนี่ผู้แนะนำให้อังกฤษ วางไม้เสี้ยมถาวรไว้ คือคนที่เรารู้จักกันในนามของ Lawrence of Arabia หนังใหญ่ยาว 4 ชม.กว่า แสดงโดย Peter O’Toole ออกฉายเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บางท่านที่เกิดทันอาจจะร้อง อ๋อ ถ้าจะให้ดี ลองไปเอาหนังเรื่องนี้มาดู จะเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น แต่หนังก็คือหนัง มันไม่ได้บอกอะไรหมด แถมใส่สีใส่บทเพิ่มเติมกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญมันผิดความเป็นจริงอย่างยิ่ง อยู่หลายส่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับบทบาทของนาย Lawrence และแผนซ้อนของอังกฤษ แต่กระนั้นก็น่าเอามาดูกันครับ จะได้ซึ้งกับความเป็น Hollywood สื่อฟอกย้อมชิ้นสำคัญของนักล่า !

    เมื่อสงครามโลกยึดเยื้อไปถึงปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1918 กลุ่มกบฏอาหรับยึดได้เมืองสำคัญหลายเมืองของออตโตมาน ส่วนอังกฤษก็รุกเข้าไปถึง ปาเลสไตน์ และอิรัค ยึดเมือง เยรูซาเร็ม และแบกแดดได้ กลุ่มกบฎอาหรับช่วยให้กองทัพอังกฤษยึดเมืองอัมมานและดามัสคัสได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฎอาหรับนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นพ้องจากกลุ่มอาหรับส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงขบวนการของกลุ่มข้างน้อย ซึ่งมีหัวหน้าไม่กี่คน พวกอาหรับส่วนใหญ่ยังแยกตัวเอง ออกจากความขัดแย้ง และไม่สนับสนุนพวกกบฎหรือทางออตโตมาน แม้จะมีคนสนับสนุนไม่มาก แต่ความฝันของ Sharif Hussein ก็ชัดเจนว่า เขาอยากจะให้มีอาณาจักรอาหรับและมาถึงตอนนี้ ความฝันก็ดูใกล้ที่จะเป็นจริง ถ้าอังกฤษจะไม่ได้หักหลัง โดยไปมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น กับใครอื่นเสียก่อนแล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    18 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 3” Hussein Bin Ali, Sharif of Hejaz และของ Mecca นครศักดิ์สิทธิ ท่าน Sharif และลูกชาย 2 คน Faisal และ Abduellah กำลังเบื่อหน่ายเต็มทีกับการปกครองของพวกออตโตมาน มีความฝันที่จะสร้างรัฐอาหรับยาวจากภูเขา Taurus ทางภาคใต้ของตุรกี ไปจนถึงทะเลแดง และจากเมดิเตอริเรเนียน ไปจนถึงเขตแดนของอิหร่าน Sir Henry McMahon ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ ได้เริ่มติดต่อกับ Sharif ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา และเป็นที่รู้จักกันในนาม McMahon Hussein Correspondence เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915 McMahon เขียนจดหมายไปหา Hussein บอกว่าเดินหน้าได้เลย อังกฤษรับรู้และพร้อมที่จะสนับสนุนการมีอิสรภาพของเหล่าอาหรับ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัดบางประการ และมีอาณาเขตตามที่ Sharif of Mecca ได้เสนอไป พวกอาหรับรักษาคำมั่นของพวกเขา มีนาคม 1916 Sharif Hussein เริ่มปฏิบัติการเป็นหัวหน้านำกลุ่ม ชนเผ่าพื้นเมืองติดอาวุธ (Bedouin) ประกาศตัวต่อต้าน ออตโตมาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชาวอาหรับที่แสดงการขัดขืนต่อต้านออตโตมาน ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปตามเมืองต่าง ๆ ในแดน Hejaz รวมทั้งใน Jeddah และ Makkah โดยการช่วยเหลือของกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษ นอกจากนั้นอังกฤษยังส่ง นาย Thomas Edward Lawrence ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ประจำอยู่ฝ่ายปฏิบัติการ (จารกรรม) ของอังกฤษ ให้ไปฝั่งตัวอยู่ในกลุ่มพวกอาหรับอีกด้วย อังกฤษในตอนแรก แม้ว่าจะได้ตกลงกับ Hussein ไปแล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกอาหรับจะสามารถทำอะไรได้จริง แต่จดหมายจากนาย Lawrence ส่งถึงเจ้านายเมื่อประมาณ ต้นปี ค.ศ. 1916 บอกอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้อังกฤษ ปรับแนวคิดเกี่ยวกับพวกอาหรับ นาย Lawrence บอกว่า “พวกอาหรับจะเดินตามแนวทางที่เราต้องการ และจะสามารถ “ทลาย” กลุ่มอิสลามที่ผนึกตัวกันได้ และจะสามารถเอาชนะ และทำให้ออตโตมานปั่นป่วนได้ แต่อังกฤษอย่าได้คิดเลยว่า ความฝันของ Hussein ที่จะรวมตัวพวกอาหรับเข้าด้วยกันได้ จะเป็นความจริง และถ้ารัฐอาหรับของ Sharif สามารถตั้งขึ้นได้เพื่อเอาชนะออตโตมานจริง ก็จะเป็นอันตรายกับทางอังกฤษต่อไป พวกอาหรับอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่อยู่กับร่องกับรอย ยิ่งกว่าพวกเตอร์กเสียอีก แต่ถ้าเราดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐอาหรับนี้จะกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ยากแก่การรวมตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาลต่อไป (เหมือนเราวางไม้เสี้ยมถาวรไว้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พวกเขาทะเลาะกันเอง ! น่าสนใจนะ สมันน้อย) เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแถมซักหน่อยว่า ไอ้หมอนี่ผู้แนะนำให้อังกฤษ วางไม้เสี้ยมถาวรไว้ คือคนที่เรารู้จักกันในนามของ Lawrence of Arabia หนังใหญ่ยาว 4 ชม.กว่า แสดงโดย Peter O’Toole ออกฉายเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บางท่านที่เกิดทันอาจจะร้อง อ๋อ ถ้าจะให้ดี ลองไปเอาหนังเรื่องนี้มาดู จะเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น แต่หนังก็คือหนัง มันไม่ได้บอกอะไรหมด แถมใส่สีใส่บทเพิ่มเติมกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญมันผิดความเป็นจริงอย่างยิ่ง อยู่หลายส่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับบทบาทของนาย Lawrence และแผนซ้อนของอังกฤษ แต่กระนั้นก็น่าเอามาดูกันครับ จะได้ซึ้งกับความเป็น Hollywood สื่อฟอกย้อมชิ้นสำคัญของนักล่า ! เมื่อสงครามโลกยึดเยื้อไปถึงปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1918 กลุ่มกบฏอาหรับยึดได้เมืองสำคัญหลายเมืองของออตโตมาน ส่วนอังกฤษก็รุกเข้าไปถึง ปาเลสไตน์ และอิรัค ยึดเมือง เยรูซาเร็ม และแบกแดดได้ กลุ่มกบฎอาหรับช่วยให้กองทัพอังกฤษยึดเมืองอัมมานและดามัสคัสได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฎอาหรับนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นพ้องจากกลุ่มอาหรับส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงขบวนการของกลุ่มข้างน้อย ซึ่งมีหัวหน้าไม่กี่คน พวกอาหรับส่วนใหญ่ยังแยกตัวเอง ออกจากความขัดแย้ง และไม่สนับสนุนพวกกบฎหรือทางออตโตมาน แม้จะมีคนสนับสนุนไม่มาก แต่ความฝันของ Sharif Hussein ก็ชัดเจนว่า เขาอยากจะให้มีอาณาจักรอาหรับและมาถึงตอนนี้ ความฝันก็ดูใกล้ที่จะเป็นจริง ถ้าอังกฤษจะไม่ได้หักหลัง โดยไปมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น กับใครอื่นเสียก่อนแล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 18 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 8 “โรงเรียน”
    จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ)
    นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย
    นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ
    Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้
    อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997)
    สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย
    ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง
    Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว
    เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 8 “โรงเรียน” จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้ เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ) นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้ อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997) สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ”

    Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

    สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว

    อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน

    เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต

    แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS
    ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล
    ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล
    เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต
    แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว
    ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต
    iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้
    Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้
    แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย
    การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร
    Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน

    https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    📬 “Proton Mail ปรับโฉมแอปมือถือใหม่หมด — เร็วขึ้น ลื่นขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม พร้อมโหมดออฟไลน์เต็มรูปแบบ” Proton Mail ผู้ให้บริการอีเมลที่เน้นความเป็นส่วนตัวจากสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้งบน Android และ iOS โดยปรับปรุงตั้งแต่โครงสร้างภายในจนถึงหน้าตา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่เร็วขึ้น ลื่นไหลขึ้น และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม สิ่งแรกที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้คือ “ความเร็ว” — การเปิดข้อความ การเลื่อนดูอีเมล และการจัดการกล่องจดหมายเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า การออกแบบใหม่ยังเน้นความเรียบง่าย โดยย้ายปุ่มสำคัญอย่าง “เขียนอีเมล” ไปไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ด้านล่างของหน้าจอ เพื่อรองรับการใช้งานมือเดียว อีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นคือ “โหมดออฟไลน์” ที่ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และจัดการอีเมลได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต โดยระบบจะซิงก์ข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อกลับมาออนไลน์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรืออยู่ในพื้นที่สัญญาณอ่อน เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือการรวมโค้ดของแอปทั้งสองแพลตฟอร์มให้เหมือนกันถึง 80% ทำให้การพัฒนาเร็วขึ้น ลดบั๊ก และสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทั้ง Android และ iOS ได้ในอนาคต แม้ในขณะที่ iOS ได้รับอัปเดตแล้วทันที แต่ฝั่ง Android ยังอยู่ระหว่างการทยอยปล่อยผ่าน Play Store ซึ่ง Proton ยืนยันว่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Proton Mail เปิดตัวแอปมือถือเวอร์ชันใหม่ทั้ง Android และ iOS ➡️ ความเร็วในการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า เช่น การเปิดข้อความและเลื่อนดูอีเมล ➡️ ปรับดีไซน์ใหม่ให้เรียบง่ายและใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะปุ่มเขียนอีเมล ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ “โหมดออฟไลน์” สำหรับอ่าน เขียน และจัดการอีเมลโดยไม่ต้องต่อเน็ต ➡️ แอปทั้งสองแพลตฟอร์มมีโค้ดร่วมกันถึง 80% เพื่อการพัฒนาและอัปเดตที่รวดเร็ว ➡️ ฟีเจอร์ใหม่จะปล่อยพร้อมกันทั้ง Android และ iOS ในอนาคต ➡️ iOS ได้รับอัปเดตแล้ว ส่วน Android จะทยอยปล่อยเร็ว ๆ นี้ ➡️ Proton ยืนยันว่าไม่ใช้โมเดลโฆษณา และเน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เป็นหลัก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Proton Mail ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และไม่มีการติดตามผู้ใช้ ➡️ แอปเวอร์ชันใหม่ช่วยลดการพึ่งพา Gmail หรือ Outlook สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ โหมดออฟไลน์เป็นฟีเจอร์ที่หาได้ยากในแอปอีเมลที่เน้นความปลอดภัย ➡️ การรวมโค้ดช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องดูแลแยกสองระบบ ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเสถียร ➡️ Proton ยังมีบริการอื่น เช่น Proton Calendar และ Proton Drive ที่กำลังพัฒนาให้มี UX ใกล้เคียงกัน https://news.itsfoss.com/proton-mail-android-ios-app-revamp/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Proton Mail on Android and iOS is Now Faster and More Beautiful
    Proton has revamped the Android and iOS apps for Proton Mail.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 6 – จมูกคนอื่น
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 6 “จมูกคนอื่น”
    เมื่อตุรกีออกประกาศเชิญชวนให้บรรดา พวกนักสร้างระบบเครื่องมือรบ ให้มายื่นประมูลเครื่องมือป้องกันตนเอง ที่เรียกว่า Long Range Air and Missle Defense System ใครจะยิงจรวดแบบไหน มาจากทางไหน เครื่องมือนี้จับได้ทำลายหมด ตุรกีบอกฉันควรมีของใช้ส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ตะบี้ตะบันไปตลอดชาติ ถ้ามันจมูกบี้ไป แล้วตูจะหายใจยังไงวะ เออ ! อันนี้มีเหตุผล ฟังขึ้น แม้ดูจะออกลูกกะล่อนนิด ๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
    โครงการนี้ยาวนาน ตุรกีคิดมานานแล้ว และทำอย่างเปิดเผย ตอนแรกอเมริกา NATO และ EU ต่างก็หน้างอ ทำไมตุรกีไม่ปรึกษา ทำไมตุรกีไม่ขออนุญาต ตุรกีบอกขอโทษ ตุรกีคิดว่ายังมีอธิปไตยเหนือบ้านเมืองตนเองอยู่นะ แม้กระผมจะยอมนายท่านไปหลายเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องหายใจด้วยจมูกของผม นี่มันเรื่องส่วนตัวจริง ๆ
    หลังจากสุมหัวคิดกันดูแล้ว อเมริกาและ EU ก็บอกว่าเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราก็ยื่นประมูลสร้างไอ้เครื่องป้องกันบ้าบอนี้เข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปบีบคอมันให้มันเลือกเรา มันจะยากเย็นอะไร
    ตุรกีออกประกาศเชิญชวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เกือบ 4 ปีแล้ว พิจารณาอะไร มันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น มันควรจะประกาศได้แล้วว่าใครชนะประมูล- แต่ตุรกีก็ไม่ประกาศ อะไรมันปิดปากค้ำคออยู่ หรือตุรกีรอดูอะไร หรือตุรกีกำลังเล่นบท “ตุรกี” ให้ดูอยู่
    ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับ เรื่องกระทืบซีเรีย เรื่องเส้นทางเดินท่อแก๊ส เรื่องการเลือกตั้ง เรื่องคอรับชั่นในประเทศ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ตุรกีกลับใช้ช่วงเวลานั้นประกาศเสียงเรียบ ๆ ว่า ขณะนี้เราได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เบื้องต้นผู้ที่เราน่าจะเลือกให้มาทำเครื่องหายใจของเราเอง น่าจะเป็นบริษัทของประเทศจีน !
    เขาว่าวันนั้น ขนาดเสียงจิ้งจกไต่ผ่านเพดานห้องทำงานรูปไข่ของนาย Obama (หมายถึง Oval Room ครับ ลุงนิทานไม่ได้ทะลึ่ง) ทหารรักษาการณ์ข้างนอกประตูหน้า White House ยังได้ยินเลย ทุกอย่างเงียบสงบ ลมไม่กล้าพัด เจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ เกรงว่าแม้ลมหายใจ ก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือนได้ อาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะที่ White House หรอก เขาว่าห้องทำงานของท่านนายพลใหญ่ หัวหน้าใหญ่ของ NATO ก็เป็นเหมือนกัน
    ในคำแถลงของตุรกีบอกว่า จีนโดยบริษัท CPMIEC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ยินดีที่จะรับเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมือ ที่เรียกว่า Long Range Air and Missile Defense System (T-LORAMIDS) ตามคำเชิญชวนของตุรกี เมื่อ ค.ศ. 2009 ที่ให้บุคคลภายนอกเสนอการทำงานแบบ off-the-shelf vesion ของ (T-LORAMIDS) ในระบบที่สามารถเข้ากับอุปกรณ์การทำงานทั้งปวงของตุรกีได้ ในราคาประมาณ 3.4 พันล้านเหรียญ (เท่านั้นเอง) เป็นการสร้างจมูกส่วนตัวของตุรกี ที่ว่าไปแล้วในราคาไม่แพงเลย ฮา
    นาย Murad Bayer เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การจัดซื้อจัดจ้างของตุรกี แถลงเพิ่มเติมว่าข้อเสนอของ CPMIEC ดีกว่าผู้เข้าแข่งประมูลทั้งหมด รวมทั้ง Raytheon/Lockheed-Martin ของอเมริกา กลุ่ม Italian/French และของรัสเซีย นาย Bayer บอกว่า เขาจะเจรจารายละเอียดขั้นสุดท้ายและสรุปผลกับ CPMIEC ให้เสร็จสิ้นก่อนครั้งแรกของปี ค.ศ. 2014
    จิ้งจกแมงสาบเริ่มออกเดินต่อ หลังจากตัวชากันไปพักใหญ่ วุฒิสมาชิกอเมริกัน ส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2013 ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry และรัฐมนตรีกลาโหม Chuck Hagel ดำเนินการทุกวิถีทาง ทางการฑูต เพื่อกดดันไม่ให้ตุรกีตกลงกับ CPMIEC ทำจมูกให้ตุรกี และแจ้ง NATO ถึงจุดยืนของอเมริกาว่า ต้องยืนยันว่าระบบที่ CPMIEC ทำนั้น ไม่มีวันจะใช้ร่วมกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้นของ NATO ได้ และดูว่าจมูกที่จีนเสนอมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมพวกเราถึงสร้างจมูกอย่างเขาไม่ได้ ทำไม่ตุรกีไม่ชอบจมูกฝรั่ง แต่ไปชอบจมูกจีน ! ไปหาคำตอบกันมาให้ได้
    4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังทูตอเมริกา ประจำตุรกี ว่าในกรณีที่ตุรกียังยืนยันจะใช้จมูกจีน แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของจีนจะต้องมาเดินขวักไขว่ เข้านอกออกในอยู่ในทุกสถานที่และองค์กรต่าง ๆ ของตุรกี ในด้านความมั่นคงจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร
    นอกจากการเข้ากันไม่ได้ของระบบที่จีนจะทำ กับระบบของอเมริกาและ NATO แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่จีนจะเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบของตุรกี ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับอเมริกาและ NATO ได้อีกด้วย จีนบอก อั๊วทำจมูกให้ตุรกี แต่อั๊วได้กลิ่นอเมริกา กับยุโรปหมดเลย ฮ่า ฮ่า เอิ้ก
    คำถามสำคัญที่ทุกคนคิดในใจดัง ๆ คือ ตุรกีกำลังคิดอะไร อเมริกาลงทุนกับตุรกีไปขนาดไหน ตุรกีย่อมรู้อยู่แก่ใจ และตุรกีก็คงตอบอยู่ในใจเช่นกันว่า อเมริกาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน ว่าตุรกีทำอะไร เพื่ออเมริกาบ้าง
    นับเป็นโจทก์ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ตุรกีทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นว่าตุรกีนั้น เป็นสมาชิกของ NATOแต่จะใช้จีน ซึ่งอยู่นอก NATO มาสร้างระบบที่เชื่อมถึง NATO ได้ และที่สำคัญ CPMIEC เป็นบริษัทที่อยู่ในข่ายการคว่ำ บาตรของอเมริกา ตามกฎหมาย Iran, North Korea and Syria Nonproliferation Act (P.L 106-178 as amended) ตุรกีสมกับเป็นลูกครึ่ง ลูกกลม ลูกกลิ้ง จริง ๆ เอ๊ะ ! หรือนี่คือบทของ นกสองหัว !
    อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Gul ได้ออกมาแถลงว่า เรื่องทำจมูกโดยจีนนี้ ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปนะ เราเพียงแค่คัดรายชื่อผู้เสนอทำงานให้เหลือน้อยลง เรารู้ดีเรื่องความเป็นห่วงของ NATO เรารู้ดีเรื่องการเป็นคู่แข่งกันระหว่างตะวันตกกับจีน เราก็เป็น 1 ใน NATO นะ เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ก่อน
    ในรายงานของ CRS ฉบับวันที่ 27 มี.ค ค.ศ. 2014 ได้มีพูดถึงเรื่องการทำจมูกตุรกี โดยจีนนี้ อย่างยืดยาว ตอนหนึ่งในรายงานระบุว่า แม้แต่ทางกองทัพของตุรกีเอง ก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าจะได้จมูกเก่าที่ใช้แล้ว และไม่เหมาะที่จะนำไปสู่รบกับอะไร ได้ “second – hand, not battle-tested and cheap Chinese missiles” อืม เจ็บมากนะ เด็ก ๆ ของอาเฮียอ่านแล้ว แจ้งให้เจ้านายทราบด้วย
    แล้วประมาณกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 รัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งครอบครัว และนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Erdogan รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา ถูกจับข้อหารับสินบน จากนั้นการเมืองภายในประเทศของตุรกีก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ตัวนายกรัฐมนตรี Erdogan เอง ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการโกง สื่อตีข่าวทุกวัน ขนาดมีการปล่อยเสียงการคุยกันระหว่าง นาย Erdogan กับลูกชาย ชื่อ Bilal ถึงการโอนเงินจำนวนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามอง
    นาย Erdogan ให้ข่าวว่า ข้อกล่าวหาตัวเขาและลูกชาย เกี่ยวกับเรื่องการโกงนี้ เป็นการกำกับและจัดฉากของนาย Fethullah Gulen ซึ่งสมคบและเลี้ยงดูโดยอเมริกา สนุกจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนิยายรักแล้ว แต่เป็นนิยายชีวิต เข้ม ข้น โหด มัน ฮา (ยังไม่รู้ใครจะได้ฮา)
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 6 – จมูกคนอื่น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 6 “จมูกคนอื่น” เมื่อตุรกีออกประกาศเชิญชวนให้บรรดา พวกนักสร้างระบบเครื่องมือรบ ให้มายื่นประมูลเครื่องมือป้องกันตนเอง ที่เรียกว่า Long Range Air and Missle Defense System ใครจะยิงจรวดแบบไหน มาจากทางไหน เครื่องมือนี้จับได้ทำลายหมด ตุรกีบอกฉันควรมีของใช้ส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ ตะบี้ตะบันไปตลอดชาติ ถ้ามันจมูกบี้ไป แล้วตูจะหายใจยังไงวะ เออ ! อันนี้มีเหตุผล ฟังขึ้น แม้ดูจะออกลูกกะล่อนนิด ๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ โครงการนี้ยาวนาน ตุรกีคิดมานานแล้ว และทำอย่างเปิดเผย ตอนแรกอเมริกา NATO และ EU ต่างก็หน้างอ ทำไมตุรกีไม่ปรึกษา ทำไมตุรกีไม่ขออนุญาต ตุรกีบอกขอโทษ ตุรกีคิดว่ายังมีอธิปไตยเหนือบ้านเมืองตนเองอยู่นะ แม้กระผมจะยอมนายท่านไปหลายเรื่องก็เถอะ แต่เรื่องหายใจด้วยจมูกของผม นี่มันเรื่องส่วนตัวจริง ๆ หลังจากสุมหัวคิดกันดูแล้ว อเมริกาและ EU ก็บอกว่าเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราก็ยื่นประมูลสร้างไอ้เครื่องป้องกันบ้าบอนี้เข้าไปด้วย แล้วเราก็ไปบีบคอมันให้มันเลือกเรา มันจะยากเย็นอะไร ตุรกีออกประกาศเชิญชวนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เกือบ 4 ปีแล้ว พิจารณาอะไร มันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น มันควรจะประกาศได้แล้วว่าใครชนะประมูล- แต่ตุรกีก็ไม่ประกาศ อะไรมันปิดปากค้ำคออยู่ หรือตุรกีรอดูอะไร หรือตุรกีกำลังเล่นบท “ตุรกี” ให้ดูอยู่ ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับ เรื่องกระทืบซีเรีย เรื่องเส้นทางเดินท่อแก๊ส เรื่องการเลือกตั้ง เรื่องคอรับชั่นในประเทศ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ตุรกีกลับใช้ช่วงเวลานั้นประกาศเสียงเรียบ ๆ ว่า ขณะนี้เราได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า เบื้องต้นผู้ที่เราน่าจะเลือกให้มาทำเครื่องหายใจของเราเอง น่าจะเป็นบริษัทของประเทศจีน ! เขาว่าวันนั้น ขนาดเสียงจิ้งจกไต่ผ่านเพดานห้องทำงานรูปไข่ของนาย Obama (หมายถึง Oval Room ครับ ลุงนิทานไม่ได้ทะลึ่ง) ทหารรักษาการณ์ข้างนอกประตูหน้า White House ยังได้ยินเลย ทุกอย่างเงียบสงบ ลมไม่กล้าพัด เจ้าหน้าที่ต้องกลั้นหายใจ เกรงว่าแม้ลมหายใจ ก็จะทำให้เกิดแรงสะเทือนได้ อาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะที่ White House หรอก เขาว่าห้องทำงานของท่านนายพลใหญ่ หัวหน้าใหญ่ของ NATO ก็เป็นเหมือนกัน ในคำแถลงของตุรกีบอกว่า จีนโดยบริษัท CPMIEC ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ยินดีที่จะรับเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมือ ที่เรียกว่า Long Range Air and Missile Defense System (T-LORAMIDS) ตามคำเชิญชวนของตุรกี เมื่อ ค.ศ. 2009 ที่ให้บุคคลภายนอกเสนอการทำงานแบบ off-the-shelf vesion ของ (T-LORAMIDS) ในระบบที่สามารถเข้ากับอุปกรณ์การทำงานทั้งปวงของตุรกีได้ ในราคาประมาณ 3.4 พันล้านเหรียญ (เท่านั้นเอง) เป็นการสร้างจมูกส่วนตัวของตุรกี ที่ว่าไปแล้วในราคาไม่แพงเลย ฮา นาย Murad Bayer เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การจัดซื้อจัดจ้างของตุรกี แถลงเพิ่มเติมว่าข้อเสนอของ CPMIEC ดีกว่าผู้เข้าแข่งประมูลทั้งหมด รวมทั้ง Raytheon/Lockheed-Martin ของอเมริกา กลุ่ม Italian/French และของรัสเซีย นาย Bayer บอกว่า เขาจะเจรจารายละเอียดขั้นสุดท้ายและสรุปผลกับ CPMIEC ให้เสร็จสิ้นก่อนครั้งแรกของปี ค.ศ. 2014 จิ้งจกแมงสาบเริ่มออกเดินต่อ หลังจากตัวชากันไปพักใหญ่ วุฒิสมาชิกอเมริกัน ส่งหนังสือลงวันที่ 11 ตุลาคม 2013 ขอให้รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry และรัฐมนตรีกลาโหม Chuck Hagel ดำเนินการทุกวิถีทาง ทางการฑูต เพื่อกดดันไม่ให้ตุรกีตกลงกับ CPMIEC ทำจมูกให้ตุรกี และแจ้ง NATO ถึงจุดยืนของอเมริกาว่า ต้องยืนยันว่าระบบที่ CPMIEC ทำนั้น ไม่มีวันจะใช้ร่วมกับระบบใด ๆ ทั้งสิ้นของ NATO ได้ และดูว่าจมูกที่จีนเสนอมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมพวกเราถึงสร้างจมูกอย่างเขาไม่ได้ ทำไม่ตุรกีไม่ชอบจมูกฝรั่ง แต่ไปชอบจมูกจีน ! ไปหาคำตอบกันมาให้ได้ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จดหมายอีกฉบับถูกส่งไปยังทูตอเมริกา ประจำตุรกี ว่าในกรณีที่ตุรกียังยืนยันจะใช้จมูกจีน แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ของจีนจะต้องมาเดินขวักไขว่ เข้านอกออกในอยู่ในทุกสถานที่และองค์กรต่าง ๆ ของตุรกี ในด้านความมั่นคงจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร นอกจากการเข้ากันไม่ได้ของระบบที่จีนจะทำ กับระบบของอเมริกาและ NATO แล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือการที่จีนจะเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ในระบบของตุรกี ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงกับอเมริกาและ NATO ได้อีกด้วย จีนบอก อั๊วทำจมูกให้ตุรกี แต่อั๊วได้กลิ่นอเมริกา กับยุโรปหมดเลย ฮ่า ฮ่า เอิ้ก คำถามสำคัญที่ทุกคนคิดในใจดัง ๆ คือ ตุรกีกำลังคิดอะไร อเมริกาลงทุนกับตุรกีไปขนาดไหน ตุรกีย่อมรู้อยู่แก่ใจ และตุรกีก็คงตอบอยู่ในใจเช่นกันว่า อเมริกาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน ว่าตุรกีทำอะไร เพื่ออเมริกาบ้าง นับเป็นโจทก์ที่น่าคิดอย่างยิ่ง ตุรกีทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นว่าตุรกีนั้น เป็นสมาชิกของ NATOแต่จะใช้จีน ซึ่งอยู่นอก NATO มาสร้างระบบที่เชื่อมถึง NATO ได้ และที่สำคัญ CPMIEC เป็นบริษัทที่อยู่ในข่ายการคว่ำ บาตรของอเมริกา ตามกฎหมาย Iran, North Korea and Syria Nonproliferation Act (P.L 106-178 as amended) ตุรกีสมกับเป็นลูกครึ่ง ลูกกลม ลูกกลิ้ง จริง ๆ เอ๊ะ ! หรือนี่คือบทของ นกสองหัว ! อย่างไรก็ตามประธานาธิบดี Gul ได้ออกมาแถลงว่า เรื่องทำจมูกโดยจีนนี้ ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปนะ เราเพียงแค่คัดรายชื่อผู้เสนอทำงานให้เหลือน้อยลง เรารู้ดีเรื่องความเป็นห่วงของ NATO เรารู้ดีเรื่องการเป็นคู่แข่งกันระหว่างตะวันตกกับจีน เราก็เป็น 1 ใน NATO นะ เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ก่อน ในรายงานของ CRS ฉบับวันที่ 27 มี.ค ค.ศ. 2014 ได้มีพูดถึงเรื่องการทำจมูกตุรกี โดยจีนนี้ อย่างยืดยาว ตอนหนึ่งในรายงานระบุว่า แม้แต่ทางกองทัพของตุรกีเอง ก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาล ด้วยเกรงว่าจะได้จมูกเก่าที่ใช้แล้ว และไม่เหมาะที่จะนำไปสู่รบกับอะไร ได้ “second – hand, not battle-tested and cheap Chinese missiles” อืม เจ็บมากนะ เด็ก ๆ ของอาเฮียอ่านแล้ว แจ้งให้เจ้านายทราบด้วย แล้วประมาณกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 รัฐมนตรีหลายคน รวมทั้งครอบครัว และนักธุรกิจที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี Erdogan รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ก็ถูกตั้งข้อกล่าวหา ถูกจับข้อหารับสินบน จากนั้นการเมืองภายในประเทศของตุรกีก็เริ่มร้อนขึ้น แม้ตัวนายกรัฐมนตรี Erdogan เอง ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการโกง สื่อตีข่าวทุกวัน ขนาดมีการปล่อยเสียงการคุยกันระหว่าง นาย Erdogan กับลูกชาย ชื่อ Bilal ถึงการโอนเงินจำนวนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับตามอง นาย Erdogan ให้ข่าวว่า ข้อกล่าวหาตัวเขาและลูกชาย เกี่ยวกับเรื่องการโกงนี้ เป็นการกำกับและจัดฉากของนาย Fethullah Gulen ซึ่งสมคบและเลี้ยงดูโดยอเมริกา สนุกจริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนิยายรักแล้ว แต่เป็นนิยายชีวิต เข้ม ข้น โหด มัน ฮา (ยังไม่รู้ใครจะได้ฮา) สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 กค. 2557
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • วิธีสมัครใช้งาน ThaiTimes (App / Web) อยากเริ่มต้นแชร์เรื่องราว เข้าร่วมชุมชน และติดตามข่าวสารบน ThaiTimes มาดูขั้นตอนสมัครง่าย ๆ กันครับ

    ลำดับที่ 1
    เข้าใช้งานได้ทั้ง App และ Web
    - ถ้ามีบัญชีแล้ว → กดเข้าสู่ระบบ
    - ถ้ายังไม่เคยสมัคร → คลิก “สมัครสมาชิก”

    ลำดับที่ 2
    - กรอกข้อมูลการสมัคร
    - เลือกสมัครด้วย เบอร์โทร หรือ Email
    - กรอกข้อมูลให้ครบ (ห้ามเว้นวรรค)
    - ติ๊กยอมรับเงื่อนไข แล้วคลิก “สมัครสมาชิก”

    ลำดับที่ 3
    - ยืนยันตัวตนด้วย OTP
    - ถ้าสมัครด้วย เบอร์โทร → รอรับรหัส OTP ทาง SMS แล้วนำมากรอก
    - ถ้าสมัครด้วย Email → เปิดเช็คกล่องจดหมาย (รวมถึง Junk/Spam) แล้วนำ OTP มากรอก
    เสร็จแล้วคลิก “ยืนยัน”

    ลำดับที่ 4
    - เพิ่มรูปโปรไฟล์ (เลือกกรอกหรือข้ามได้)
    เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป”
    - กรอกข้อมูลโปรไฟล์เพิ่มเติม ข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ อายุ วันเกิด (เลือกกรอกหรือข้ามได้)
    เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป”

    ลำดับที่ 5
    - เลือกเพจหรือคอนเทนต์ที่สนใจติดตาม แล้วกด “เสร็จสิ้น”

    ลำดับที่ 6
    - เมื่อเข้าสู่หน้าหลัก ถือว่าสมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้ว
    - สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ บน ThaiTimes ได้ทันที

    ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ทาง LINE: @sondhitalk เรายินดีช่วยเหลือครับ
    📲 วิธีสมัครใช้งาน ThaiTimes (App / Web) อยากเริ่มต้นแชร์เรื่องราว เข้าร่วมชุมชน และติดตามข่าวสารบน ThaiTimes มาดูขั้นตอนสมัครง่าย ๆ กันครับ • ลำดับที่ 1 เข้าใช้งานได้ทั้ง App และ Web - ถ้ามีบัญชีแล้ว → กดเข้าสู่ระบบ - ถ้ายังไม่เคยสมัคร → คลิก “สมัครสมาชิก” • ลำดับที่ 2 - กรอกข้อมูลการสมัคร - เลือกสมัครด้วย เบอร์โทร หรือ Email - กรอกข้อมูลให้ครบ (ห้ามเว้นวรรค) - ติ๊กยอมรับเงื่อนไข แล้วคลิก “สมัครสมาชิก” • ลำดับที่ 3 - ยืนยันตัวตนด้วย OTP - ถ้าสมัครด้วย เบอร์โทร → รอรับรหัส OTP ทาง SMS แล้วนำมากรอก - ถ้าสมัครด้วย Email → เปิดเช็คกล่องจดหมาย (รวมถึง Junk/Spam) แล้วนำ OTP มากรอก เสร็จแล้วคลิก “ยืนยัน” • ลำดับที่ 4 - เพิ่มรูปโปรไฟล์ (เลือกกรอกหรือข้ามได้) เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป” - กรอกข้อมูลโปรไฟล์เพิ่มเติม ข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ อายุ วันเกิด (เลือกกรอกหรือข้ามได้) เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป” • ลำดับที่ 5 - เลือกเพจหรือคอนเทนต์ที่สนใจติดตาม แล้วกด “เสร็จสิ้น” • ลำดับที่ 6 - เมื่อเข้าสู่หน้าหลัก ถือว่าสมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้ว - สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ บน ThaiTimes ได้ทันที • ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ทาง LINE: @sondhitalk เรายินดีช่วยเหลือครับ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • วิธีสมัครใช้งาน ThaiTimes (App / Web) อยากเริ่มต้นแชร์เรื่องราว เข้าร่วมชุมชน และติดตามข่าวสารบน ThaiTimes มาดูขั้นตอนสมัครง่าย ๆ กันครับ

    ลำดับที่ 1
    เข้าใช้งานได้ทั้ง App และ Web
    - ถ้ามีบัญชีแล้ว → กดเข้าสู่ระบบ
    - ถ้ายังไม่เคยสมัคร → คลิก “สมัครสมาชิก”

    ลำดับที่ 2
    - กรอกข้อมูลการสมัคร
    - เลือกสมัครด้วย เบอร์โทร หรือ Email
    - กรอกข้อมูลให้ครบ (ห้ามเว้นวรรค)
    - ติ๊กยอมรับเงื่อนไข แล้วคลิก “สมัครสมาชิก”

    ลำดับที่ 3
    - ยืนยันตัวตนด้วย OTP
    - ถ้าสมัครด้วย เบอร์โทร → รอรับรหัส OTP ทาง SMS แล้วนำมากรอก
    - ถ้าสมัครด้วย Email → เปิดเช็คกล่องจดหมาย (รวมถึง Junk/Spam) แล้วนำ OTP มากรอก
    เสร็จแล้วคลิก “ยืนยัน”

    ลำดับที่ 4
    - เพิ่มรูปโปรไฟล์ (เลือกกรอกหรือข้ามได้)
    เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป”
    - กรอกข้อมูลโปรไฟล์เพิ่มเติม ข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ อายุ วันเกิด (เลือกกรอกหรือข้ามได้)
    เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป”

    ลำดับที่ 5
    - เลือกเพจหรือคอนเทนต์ที่สนใจติดตาม แล้วกด “เสร็จสิ้น”

    ลำดับที่ 6
    - เมื่อเข้าสู่หน้าหลัก ถือว่าสมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้ว
    - สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ บน ThaiTimes ได้ทันที

    ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ทาง LINE: @sondhitalk เรายินดีช่วยเหลือครับ

    📲 วิธีสมัครใช้งาน ThaiTimes (App / Web) อยากเริ่มต้นแชร์เรื่องราว เข้าร่วมชุมชน และติดตามข่าวสารบน ThaiTimes มาดูขั้นตอนสมัครง่าย ๆ กันครับ • ลำดับที่ 1 เข้าใช้งานได้ทั้ง App และ Web - ถ้ามีบัญชีแล้ว → กดเข้าสู่ระบบ - ถ้ายังไม่เคยสมัคร → คลิก “สมัครสมาชิก” • ลำดับที่ 2 - กรอกข้อมูลการสมัคร - เลือกสมัครด้วย เบอร์โทร หรือ Email - กรอกข้อมูลให้ครบ (ห้ามเว้นวรรค) - ติ๊กยอมรับเงื่อนไข แล้วคลิก “สมัครสมาชิก” • ลำดับที่ 3 - ยืนยันตัวตนด้วย OTP - ถ้าสมัครด้วย เบอร์โทร → รอรับรหัส OTP ทาง SMS แล้วนำมากรอก - ถ้าสมัครด้วย Email → เปิดเช็คกล่องจดหมาย (รวมถึง Junk/Spam) แล้วนำ OTP มากรอก เสร็จแล้วคลิก “ยืนยัน” • ลำดับที่ 4 - เพิ่มรูปโปรไฟล์ (เลือกกรอกหรือข้ามได้) เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป” - กรอกข้อมูลโปรไฟล์เพิ่มเติม ข้อมูลส่วนตัว เช่น เพศ อายุ วันเกิด (เลือกกรอกหรือข้ามได้) เสร็จแล้วคลิก “ขั้นตอนถัดไป” • ลำดับที่ 5 - เลือกเพจหรือคอนเทนต์ที่สนใจติดตาม แล้วกด “เสร็จสิ้น” • ลำดับที่ 6 - เมื่อเข้าสู่หน้าหลัก ถือว่าสมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้ว - สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ บน ThaiTimes ได้ทันที • ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ทาง LINE: @sondhitalk เรายินดีช่วยเหลือครับ
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 692 Views 0 Reviews
  • “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน”

    สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร

    ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป

    ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา:
    เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล
    เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ
    พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ

    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล

    แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง

    ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้
    ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส
    ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ
    ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก
    หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU
    ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน
    กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น
    มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก
    การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน
    การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว
    การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก
    บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้

    https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    🕵️ “ChatControl: กฎหมายใหม่ของ EU ที่จะสแกนทุกข้อความส่วนตัว — เมื่อการปกป้องเด็กกลายเป็นข้ออ้างในการสอดแนมประชาชน” สหภาพยุโรปกำลังผลักดันกฎหมายใหม่ที่ชื่อว่า “ChatControl” หรือชื่อเต็มคือ CSAR (Child Sexual Abuse Regulation) ซึ่งมีเป้าหมายในการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศเด็กในโลกออนไลน์ แต่เบื้องหลังของเจตนาดีนี้ กลับมีข้อเสนอที่อาจเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนยุโรปกว่า 450 ล้านคนอย่างถาวร ChatControl จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มที่มีการสื่อสารระหว่างบุคคล — ไม่ว่าจะเป็นแอปแชตอย่าง Signal, WhatsApp, Telegram ไปจนถึงอีเมล, เกม, โซเชียลมีเดีย, แอปหาคู่, และแม้แต่บริการฝากไฟล์ — ต้องติดตั้งระบบ “Client-Side Scanning” ที่จะสแกนข้อความและภาพก่อนถูกเข้ารหัส ส่งผลให้แม้แต่แอปที่ใช้การเข้ารหัสแบบ End-to-End ก็ไม่สามารถปกป้องข้อมูลได้อีกต่อไป ระบบนี้จะตรวจจับ 3 ประเภทของเนื้อหา: 🔖 เนื้อหาที่ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในฐานข้อมูล 🔖 เนื้อหาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพ 🔖 พฤติกรรมการล่อลวงเด็กโดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การแจ้งความผิดพลาดจำนวนมหาศาล แม้จะมีข้ออ้างเรื่องการปกป้องเด็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 600 คนจาก 35 ประเทศได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกคัดค้านกฎหมายนี้ โดยชี้ว่าการสแกนฝั่งผู้ใช้เป็นการทำลายหลักการของการเข้ารหัส และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ กฎหมายนี้ยังมีข้อยกเว้นให้กับบัญชีของรัฐบาลในกรณี “ความมั่นคงแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่าประชาชนจะถูกสอดแนม แต่รัฐบาลจะไม่ถูกตรวจสอบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatControl คือกฎหมายใหม่ของ EU ที่จะบังคับให้ทุกแพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความและภาพของผู้ใช้ ➡️ ใช้ระบบ Client-Side Scanning ที่ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเข้ารหัส ➡️ ครอบคลุมทุกบริการที่มีการสื่อสาร ไม่ใช่แค่แอปแชต แต่รวมถึงอีเมล, เกม, โซเชียล, ฝากไฟล์ ฯลฯ ➡️ ตรวจจับเนื้อหา 3 ประเภท: เนื้อหาผิดกฎหมาย, เนื้อหาที่อาจผิดกฎหมาย, และพฤติกรรมล่อลวงเด็ก ➡️ หากพบสิ่งต้องสงสัย ระบบจะรายงานอัตโนมัติไปยังศูนย์กลางของ EU ➡️ ไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ก่อนส่งรายงาน ➡️ กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก EU โดยไม่มีข้อยกเว้น ➡️ มีข้อยกเว้นให้กับบัญชีรัฐบาลในกรณีความมั่นคง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนร่วมลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการทำลายความปลอดภัยของระบบเข้ารหัส ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสแกนฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Scanning) เป็นเทคนิคที่บริษัทอย่าง Apple เคยเสนอ แต่ถูกวิจารณ์จนต้องยกเลิก ➡️ การสแกนก่อนเข้ารหัสถือเป็นการ “เลี่ยง” การเข้ารหัส ไม่ใช่การ “ทำลาย” โดยตรง แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน ➡️ การใช้ AI วิเคราะห์ภาพและข้อความมีอัตราความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะกับเนื้อหาทางการแพทย์หรือครอบครัว ➡️ การสอดแนมแบบนี้อาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก ➡️ บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสแกน เช่น Thorn และ Microsoft PhotoDNA มีผลประโยชน์โดยตรงจากกฎหมายนี้ https://metalhearf.fr/posts/chatcontrol-wants-your-private-messages/
    METALHEARF.FR
    ChatControl wants to scan all your private messages
    The EU is pushing legislation that would scan all our private messages, even in encrypted apps.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • กัมพูชาตอบจดหมายไทย ปมรื้อถอนบ้าน–คูสนาม ยอมทำตามบางข้อ เสนอให้ JBC พิจารณากรณีบ้านประชาชน 2 หลังในพื้นที่พิพาท ย้ำความร่วมมือชายแดนยังยึดสันติวิธี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000091820

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กัมพูชาตอบจดหมายไทย ปมรื้อถอนบ้าน–คูสนาม ยอมทำตามบางข้อ เสนอให้ JBC พิจารณากรณีบ้านประชาชน 2 หลังในพื้นที่พิพาท ย้ำความร่วมมือชายแดนยังยึดสันติวิธี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000091820 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
  • “Perplexity เปิดตัว Email Assistant — ผู้ช่วย AI สำหรับกล่องจดหมาย แต่ค่าบริการแรงถึง $200 ต่อเดือน”

    Perplexity บริษัทด้าน AI ที่กำลังมาแรง ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ “Email Assistant” ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถจัดการกล่องจดหมายของคุณได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสรุปอีเมล, เขียนตอบกลับในสไตล์ของคุณ, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน หรือแม้แต่จัดหมวดหมู่อีเมลด้วย smart labels — ทั้งหมดนี้ทำงานได้ทั้งใน Gmail และ Outlook2

    ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะจะเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกระดับสูงสุด “Perplexity Max” ซึ่งมีค่าบริการถึง $200 ต่อเดือน โดยรวมฟีเจอร์ Email Assistant เข้าไปในแพ็กเกจที่มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลขั้นสูง, Labs ไม่จำกัด และฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร

    ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Email Assistant ได้ง่าย ๆ เพียงส่งอีเมลไปที่ assistant@perplexity.com หรือ CC เข้าไปในเธรดที่ต้องการให้ช่วยจัดการ ระบบจะรู้ทันทีว่าเป็นคุณ และเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบปฏิทิน, เสนอเวลานัดหมาย, ส่งคำเชิญประชุม หรือสรุปเนื้อหาอีเมลให้เข้าใจง่าย

    แม้ราคาจะสูง แต่ Perplexity เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง โดยระบบรองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสแบบ enterprise-grade และยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Perplexity เปิดตัว Email Assistant สำหรับ Gmail และ Outlook
    ฟีเจอร์รวมถึงการเขียนตอบอีเมล, สรุปเนื้อหา, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน
    ใช้งานผ่านการส่งอีเมลหรือ CC ไปที่ assistant@perplexity.com
    รองรับ smart labels เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลแบบอัตโนมัติ
    ใช้ได้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Perplexity Max ที่มีค่าบริการ $200/เดือน
    รองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสระดับองค์กร
    ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity Max ยังรวมฟีเจอร์ Comet browser และ Labs ไม่จำกัด
    Google Gemini และ Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์คล้ายกันใน Gmail และ Outlook
    ตลาด productivity software มีมูลค่ากว่า $50 พันล้าน และกำลังแข่งขันสูง
    AI agent แบบนี้สามารถลดเวลาทำงานของผู้ช่วยและฝ่ายบุคคลได้หลายชั่วโมงต่อวัน
    การจัดการอีเมลอัตโนมัติเป็นเทรนด์ใหม่ในองค์กรยุค AI

    https://www.techradar.com/pro/perplexity-launches-an-ai-assistant-for-your-inbox-but-you-wont-believe-how-much-it-costs
    📨 “Perplexity เปิดตัว Email Assistant — ผู้ช่วย AI สำหรับกล่องจดหมาย แต่ค่าบริการแรงถึง $200 ต่อเดือน” Perplexity บริษัทด้าน AI ที่กำลังมาแรง ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ “Email Assistant” ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถจัดการกล่องจดหมายของคุณได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสรุปอีเมล, เขียนตอบกลับในสไตล์ของคุณ, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน หรือแม้แต่จัดหมวดหมู่อีเมลด้วย smart labels — ทั้งหมดนี้ทำงานได้ทั้งใน Gmail และ Outlook2 ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะจะเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกระดับสูงสุด “Perplexity Max” ซึ่งมีค่าบริการถึง $200 ต่อเดือน โดยรวมฟีเจอร์ Email Assistant เข้าไปในแพ็กเกจที่มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลขั้นสูง, Labs ไม่จำกัด และฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Email Assistant ได้ง่าย ๆ เพียงส่งอีเมลไปที่ assistant@perplexity.com หรือ CC เข้าไปในเธรดที่ต้องการให้ช่วยจัดการ ระบบจะรู้ทันทีว่าเป็นคุณ และเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบปฏิทิน, เสนอเวลานัดหมาย, ส่งคำเชิญประชุม หรือสรุปเนื้อหาอีเมลให้เข้าใจง่าย แม้ราคาจะสูง แต่ Perplexity เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง โดยระบบรองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสแบบ enterprise-grade และยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Perplexity เปิดตัว Email Assistant สำหรับ Gmail และ Outlook ➡️ ฟีเจอร์รวมถึงการเขียนตอบอีเมล, สรุปเนื้อหา, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน ➡️ ใช้งานผ่านการส่งอีเมลหรือ CC ไปที่ assistant@perplexity.com ➡️ รองรับ smart labels เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลแบบอัตโนมัติ ➡️ ใช้ได้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Perplexity Max ที่มีค่าบริการ $200/เดือน ➡️ รองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสระดับองค์กร ➡️ ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity Max ยังรวมฟีเจอร์ Comet browser และ Labs ไม่จำกัด ➡️ Google Gemini และ Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์คล้ายกันใน Gmail และ Outlook ➡️ ตลาด productivity software มีมูลค่ากว่า $50 พันล้าน และกำลังแข่งขันสูง ➡️ AI agent แบบนี้สามารถลดเวลาทำงานของผู้ช่วยและฝ่ายบุคคลได้หลายชั่วโมงต่อวัน ➡️ การจัดการอีเมลอัตโนมัติเป็นเทรนด์ใหม่ในองค์กรยุค AI https://www.techradar.com/pro/perplexity-launches-an-ai-assistant-for-your-inbox-but-you-wont-believe-how-much-it-costs
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI”

    ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

    Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

    การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust
    Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล
    DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม
    การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ
    Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา
    DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing
    BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ
    VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย
    การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์
    การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร

    https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    📧 “DigiCert ซื้อกิจการ Valimail เสริมแกร่งระบบยืนยันอีเมล — สร้างเกราะป้องกันฟิชชิ่งระดับโลกด้วย DMARC และ BIMI” ในยุคที่อีเมลกลายเป็นช่องทางหลักของการโจมตีทางไซเบอร์ DigiCert ผู้ให้บริการด้าน digital trust ระดับโลก ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ Valimail บริษัทผู้นำด้านการยืนยันตัวตนของอีเมลแบบ zero trust เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์ม DigiCert ONE และรับมือกับภัยฟิชชิ่งและการปลอมแปลงอีเมลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก Valimail เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี DMARC (Domain-based Message Authentication, Reporting and Conformance) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบว่าอีเมลที่ส่งออกมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ และป้องกันการปลอมแปลงชื่อโดเมน โดย Valimail ยังเป็นผู้ให้บริการ DMARC รายเดียวที่ได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ การรวมตัวครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ DigiCert ขยายการใช้งาน Verified Mark Certificates (VMCs) และ BIMI (Brand Indicators for Message Identification) ซึ่งช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยันในกล่องจดหมายของผู้รับ เพิ่มความน่าเชื่อถือและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่ง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DigiCert เข้าซื้อกิจการ Valimail เพื่อเสริมระบบยืนยันอีเมลแบบ zero trust ➡️ Valimail เป็นผู้นำด้าน DMARC และได้รับการรับรอง FedRAMP สำหรับการใช้งานในหน่วยงานรัฐบาล ➡️ DigiCert ONE จะรวมเทคโนโลยีของ Valimail เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม digital trust ที่ครอบคลุม ➡️ การรวม VMCs และ BIMI ช่วยให้อีเมลแสดงโลโก้ที่ได้รับการยืนยัน เพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ Valimail มีลูกค้ากว่า 92,000 รายทั่วโลก และเติบโต 70% ในปีที่ผ่านมา ➡️ DigiCert ตั้งเป้าครองตลาด DMARC มูลค่ากว่า $4 พันล้าน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DMARC ช่วยป้องกันการปลอมแปลงอีเมลและการโจมตีแบบ spoofing ➡️ BIMI ช่วยให้ผู้รับเห็นโลโก้ของแบรนด์ในอีเมล เพิ่มความไว้วางใจ ➡️ VMCs ต้องใช้ร่วมกับ DMARC เพื่อให้โลโก้แสดงผลในกล่องจดหมาย ➡️ การยืนยันอีเมลแบบ zero trust เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันภัยไซเบอร์ ➡️ การรวมระบบ DNS, PKI และ certificate lifecycle management ช่วยให้ DigiCert ONE เป็นแพลตฟอร์มที่ครบวงจร https://www.techradar.com/pro/digicert-buys-valimail-to-boost-email-security-and-mitigate-growing-global-phishing-threats-using-dmarc
    WWW.TECHRADAR.COM
    DigiCert grabs Valimail to lock down email while attackers circle for their next big strike
    Email hosting services could benefit from scaled DMARC adoption globally
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • ThaiTimes , ลืมรหัสผ่าน ทำอย่างไร?

    1. ให้คลิก "ลืมรหัสผ่าน?" ใต้ช่องรหัสผ่าน  

    2. ใส่อีเมลของคุณ หรือ เบอร์โทร ที่สมัครไว้ แล้วคลิก "ต่อเนื่อง" หรือ Continue

    3. เช็คอีเมล หรือ เบอร์โทร ที่สมัครไว้ เพื่อรับ รหัสยืนยัน (OTP)  

    4. ใส่รหัส OTP ในช่องที่ระบบให้มา  

    5. ตั้งรหัสผ่านใหม่ 6 หลักขึ้นไป เหมือนกัน ทั้งสองช่อง และคลิก“ต่อเนื่อง” หรือ “Continue”

    6. เมื่อเสร็จแล้ว คลิก "กลับไปที่เข้าสู่ระบบ"

    7. เมื่อกลับสู่หน้าหลัก ให้ใส่ Email หรือ เบอร์ ที่ใช้งาน แล้วใส่ รหัสผ่านใหม่ เข้าสู่ระบบได้เลย! (คลิก จดจำรหัสผ่าน ก่อนเข้าสู่ระบบ)

    หมายเหตุ :  ถ้าเคยสมัครไว้ด้วย Email ระบบจะส่งรหัส OTP ไปที่อีเมลของคุณ (ถ้าไม่เจอในกล่องข้อความ ให้ดูใน Spam หรือ ข้อความจดหมายขยะ) / หรือถ้าเคยสมัครไว้ด้วยเบอร์ ระบบจะส่งรหัส OTP ไปที่เป็นรูปแบบ SMS ที่เบอร์ของคุณครับ

    ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ทาง LINE: @sondhitalk เรายินดีช่วยเหลือครับ
    ThaiTimes , ลืมรหัสผ่าน ทำอย่างไร? • 1. ให้คลิก "ลืมรหัสผ่าน?" ใต้ช่องรหัสผ่าน   • 2. ใส่อีเมลของคุณ หรือ เบอร์โทร ที่สมัครไว้ แล้วคลิก "ต่อเนื่อง" หรือ Continue • 3. เช็คอีเมล หรือ เบอร์โทร ที่สมัครไว้ เพื่อรับ รหัสยืนยัน (OTP)   • 4. ใส่รหัส OTP ในช่องที่ระบบให้มา   • 5. ตั้งรหัสผ่านใหม่ 6 หลักขึ้นไป เหมือนกัน ทั้งสองช่อง และคลิก“ต่อเนื่อง” หรือ “Continue” • 6. เมื่อเสร็จแล้ว คลิก "กลับไปที่เข้าสู่ระบบ" • 7. เมื่อกลับสู่หน้าหลัก ให้ใส่ Email หรือ เบอร์ ที่ใช้งาน แล้วใส่ รหัสผ่านใหม่ เข้าสู่ระบบได้เลย! (คลิก จดจำรหัสผ่าน ก่อนเข้าสู่ระบบ) • หมายเหตุ :  ถ้าเคยสมัครไว้ด้วย Email ระบบจะส่งรหัส OTP ไปที่อีเมลของคุณ (ถ้าไม่เจอในกล่องข้อความ ให้ดูใน Spam หรือ ข้อความจดหมายขยะ) / หรือถ้าเคยสมัครไว้ด้วยเบอร์ ระบบจะส่งรหัส OTP ไปที่เป็นรูปแบบ SMS ที่เบอร์ของคุณครับ • ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมงานได้ทาง LINE: @sondhitalk เรายินดีช่วยเหลือครับ
    Like
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 732 Views 0 Reviews
  • มากกว่า 100 ปีหลังจากคำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) และ 77 ปีหลังจากการก่อตั้งอิสราเอลบนดินแดนปาเลสไตน์ของอังกฤษ

    เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศของของอังกฤษ ท่ามกลางการประณามอย่างรุนแรงจากอิสราเอลว่าเป็น "การให้รางวัลแก่การก่อการร้าย"
    .
    ข้อมูลจาก ChatGPT:
    คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration)
    คือเอกสารเชิงการเมืองที่ออกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึง ลอร์ด รอทชิลด์ (Lord Rothschild) ผู้นำชาวยิวในอังกฤษ เพื่อให้ส่งต่อไปยังสมาคมไซออนนิสต์ (Zionist Federation)

    เนื้อหาหลักของคำประกาศ
    รัฐบาลอังกฤษ “เห็นด้วย” ต่อการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติของชาวยิว” (National Home for the Jewish People) ในดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน) แต่มีเงื่อนไขว่า

    - ต้องไม่กระทบสิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์
    - ต้องไม่กระทบสถานะทางการเมืองและสิทธิของชาวยิวในประเทศอื่น ๆ

    ความสำคัญ:
    เป็นครั้งแรกที่มหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อแนวคิดไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่งมุ่งหวังให้มีรัฐยิวในปาเลสไตน์

    เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงที่อังกฤษได้รับ “อาณัติบริหารปาเลสไตน์” จากสันนิบาตชาติ

    กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งสมัยใหม่ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    มากกว่า 100 ปีหลังจากคำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) และ 77 ปีหลังจากการก่อตั้งอิสราเอลบนดินแดนปาเลสไตน์ของอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายต่างประเทศของของอังกฤษ ท่ามกลางการประณามอย่างรุนแรงจากอิสราเอลว่าเป็น "การให้รางวัลแก่การก่อการร้าย" . ข้อมูลจาก ChatGPT: 👉คำประกาศบัลโฟร์ (Balfour Declaration) คือเอกสารเชิงการเมืองที่ออกเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรผ่าน อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึง ลอร์ด รอทชิลด์ (Lord Rothschild) ผู้นำชาวยิวในอังกฤษ เพื่อให้ส่งต่อไปยังสมาคมไซออนนิสต์ (Zionist Federation) 👉เนื้อหาหลักของคำประกาศ รัฐบาลอังกฤษ “เห็นด้วย” ต่อการจัดตั้ง “บ้านแห่งชาติของชาวยิว” (National Home for the Jewish People) ในดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน) แต่มีเงื่อนไขว่า - ต้องไม่กระทบสิทธิพลเมืองและสิทธิทางศาสนาของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในปาเลสไตน์ - ต้องไม่กระทบสถานะทางการเมืองและสิทธิของชาวยิวในประเทศอื่น ๆ 👉ความสำคัญ: เป็นครั้งแรกที่มหาอำนาจตะวันตกให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อแนวคิดไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่งมุ่งหวังให้มีรัฐยิวในปาเลสไตน์ เป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงที่อังกฤษได้รับ “อาณัติบริหารปาเลสไตน์” จากสันนิบาตชาติ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งสมัยใหม่ระหว่างชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • “ฮุน มาเนต” ส่งจดหมายถึงผู้นำอาเซียน ตลอดจนผูันำโลก ทั้ง โดนัลด์ ทรัมป์-สี จิ้นผิง เลขาฯ ยูเอ็น อ้างไทยขยายพื้นที่ขัดแย้ง ขับไล่คนเขมรออกจากหมู่บ้านและที่ดินทำกินโดยใช้แผนที่เขียนขึ้นฝ่ายเดียว แถมอ้างไทยจะยึดดินแดนเขมรอีก 17 จุด เรียกร้องนานาชาติช่วยกันกดดันให้ไทยทำตามข้อตกลงหยุดยิง ห้ามไล่คนเขมรออกจากพื้นที่พิพาท และปล่อยทหารเขมร 18 นายที่โดนควบคุมตัว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000089230

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    “ฮุน มาเนต” ส่งจดหมายถึงผู้นำอาเซียน ตลอดจนผูันำโลก ทั้ง โดนัลด์ ทรัมป์-สี จิ้นผิง เลขาฯ ยูเอ็น อ้างไทยขยายพื้นที่ขัดแย้ง ขับไล่คนเขมรออกจากหมู่บ้านและที่ดินทำกินโดยใช้แผนที่เขียนขึ้นฝ่ายเดียว แถมอ้างไทยจะยึดดินแดนเขมรอีก 17 จุด เรียกร้องนานาชาติช่วยกันกดดันให้ไทยทำตามข้อตกลงหยุดยิง ห้ามไล่คนเขมรออกจากพื้นที่พิพาท และปล่อยทหารเขมร 18 นายที่โดนควบคุมตัว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000089230 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 400 Views 0 Reviews
  • Futurewei แชร์อาคารกับ Nvidia นานนับสิบปี — สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหา “จารกรรมเทคโนโลยี” จากจีน

    เรื่องนี้เริ่มต้นจากจดหมายของสองสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้แก่ John Moolenaar (รีพับลิกัน) และ Raja Krishnamoorthi (เดโมแครต) จากคณะกรรมการ Select Committee on China ที่ส่งถึงบริษัท Futurewei ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯ แต่ถูกระบุว่าเป็น “บริษัทย่อยของ Huawei” ตามเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Futurewei ได้แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ก่อนที่ Nvidia จะเข้าครอบครองเต็มรูปแบบในปี 2024 ซึ่งนักการเมืองสหรัฐฯ มองว่า การอยู่ใกล้กันเช่นนี้อาจเปิดช่องให้ Futurewei เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และ AI ขั้นสูงของสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจาะระบบ

    นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2018 ที่พนักงานของ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อแอบเข้าร่วมงานประชุมของ Facebook ที่ Huawei ถูกแบน ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า Futurewei อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมทางเทคโนโลยี

    แม้ Nvidia จะออกมายืนยันว่า “แม้จะมีเพื่อนบ้าน แต่เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังคงเรียกร้องให้ Futurewei ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ Huawei และเหตุผลในการเลือกสถานที่ตั้งสำนักงานดังกล่าวภายในวันที่ 28 กันยายนนี้

    Futurewei ถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทย่อยของ Huawei
    อ้างอิงจากเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025
    มีพนักงานประมาณ 400 คน ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย

    แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia นานกว่า 10 ปี
    Futurewei ถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง
    Nvidia เข้าครอบครองพื้นที่เต็มรูปแบบในปี 2024

    สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหาการจารกรรมเทคโนโลยี
    ส่งจดหมายเรียกร้องเอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ Huawei
    ขอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia

    เหตุการณ์ในปี 2018 เพิ่มความสงสัย
    พนักงาน Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อเข้าร่วมงาน Facebook Summit
    Huawei ถูกแบนจากงานดังกล่าวในขณะนั้น

    Nvidia ยืนยันความปลอดภัยของพื้นที่ทำงาน
    ระบุว่า “เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น”
    ไม่ได้มีการแชร์ระบบหรือข้อมูลร่วมกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/nvidia-and-a-huawei-subsidiary-shared-a-building-now-its-being-probed-for-chinese-espionage
    📰 Futurewei แชร์อาคารกับ Nvidia นานนับสิบปี — สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหา “จารกรรมเทคโนโลยี” จากจีน เรื่องนี้เริ่มต้นจากจดหมายของสองสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้แก่ John Moolenaar (รีพับลิกัน) และ Raja Krishnamoorthi (เดโมแครต) จากคณะกรรมการ Select Committee on China ที่ส่งถึงบริษัท Futurewei ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาในสหรัฐฯ แต่ถูกระบุว่าเป็น “บริษัทย่อยของ Huawei” ตามเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025 สิ่งที่น่ากังวลคือ Futurewei ได้แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ก่อนที่ Nvidia จะเข้าครอบครองเต็มรูปแบบในปี 2024 ซึ่งนักการเมืองสหรัฐฯ มองว่า การอยู่ใกล้กันเช่นนี้อาจเปิดช่องให้ Futurewei เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์และ AI ขั้นสูงของสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจาะระบบ นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2018 ที่พนักงานของ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อแอบเข้าร่วมงานประชุมของ Facebook ที่ Huawei ถูกแบน ซึ่งยิ่งเพิ่มความสงสัยว่า Futurewei อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมทางเทคโนโลยี แม้ Nvidia จะออกมายืนยันว่า “แม้จะมีเพื่อนบ้าน แต่เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังคงเรียกร้องให้ Futurewei ส่งเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับ Huawei และเหตุผลในการเลือกสถานที่ตั้งสำนักงานดังกล่าวภายในวันที่ 28 กันยายนนี้ ✅ Futurewei ถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทย่อยของ Huawei ➡️ อ้างอิงจากเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ มีพนักงานประมาณ 400 คน ตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ✅ แชร์พื้นที่สำนักงานกับ Nvidia นานกว่า 10 ปี ➡️ Futurewei ถือสัญญาเช่าหลักในอาคาร 3 หลัง ➡️ Nvidia เข้าครอบครองพื้นที่เต็มรูปแบบในปี 2024 ✅ สภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดสอบข้อกล่าวหาการจารกรรมเทคโนโลยี ➡️ ส่งจดหมายเรียกร้องเอกสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ Huawei ➡️ ขอข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสถานที่ตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Nvidia ✅ เหตุการณ์ในปี 2018 เพิ่มความสงสัย ➡️ พนักงาน Futurewei ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อบริษัทปลอมเพื่อเข้าร่วมงาน Facebook Summit ➡️ Huawei ถูกแบนจากงานดังกล่าวในขณะนั้น ✅ Nvidia ยืนยันความปลอดภัยของพื้นที่ทำงาน ➡️ ระบุว่า “เราดำเนินงานในพื้นที่เฉพาะของ Nvidia เท่านั้น” ➡️ ไม่ได้มีการแชร์ระบบหรือข้อมูลร่วมกัน https://www.techradar.com/pro/security/nvidia-and-a-huawei-subsidiary-shared-a-building-now-its-being-probed-for-chinese-espionage
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • “NASA ผนึกกำลัง Google เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลก — ใช้ภาพดาวเทียมและ AI คาดการณ์ภัยพิบัติก่อนเกิด”

    หลังจากสงครามรัสเซีย–ยูเครนเริ่มต้นขึ้นในปี 2022 นักวิทยาศาสตร์ด้านพืชผล Inbal Becker-Reshef จาก NASA ได้รับจดหมายจากรัฐบาลยูเครน ขอให้ช่วยประเมินความเสียหายของผลผลิตข้าวสาลีและธัญพืชที่สูญหายไปจากการรุกรานของกองทัพรัสเซีย นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและการประมวลผลด้วย AI เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อการเกษตรในพื้นที่สงคราม

    ในปี 2025 Becker-Reshef และทีมงานกว่า 20 คนได้เปิดตัว “สายด่วนวิกฤตอาหารโลก” ซึ่งเป็นศูนย์ประเมินผลผลิตพืชผลแบบเร่งด่วนระดับโลก โดยได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google.org, Microsoft AI for Good Lab, Planet Labs, NASA และองค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) จุดประสงค์คือให้รัฐบาล หน่วยงานช่วยเหลือ และสมาคมเกษตรสามารถส่งคำขอวิเคราะห์พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือความขัดแย้ง เพื่อรับข้อมูลล่วงหน้าในการเตรียมรับมือ

    ระบบนี้ใช้ภาพจากดาวเทียมที่ถูกวิเคราะห์ด้วยโมเดล AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารในอนาคต เช่น การสูญเสียผลผลิตจากน้ำท่วม, ภัยแล้ง, ไฟป่า หรือสงคราม ซึ่งในปีเดียวกันนี้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น น้ำท่วมในปากีสถานที่ทำให้ประชาชนกว่า 4 ล้านคนต้องอพยพ และผลผลิตข้าวกับอ้อยถูกทำลาย

    แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NASA Harvest ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้ข้อมูลจากอวกาศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลภาคพื้นดินได้ เช่น เขตสงครามหรือพื้นที่ที่มีภัยพิบัติรุนแรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NASA เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลกโดยใช้ภาพดาวเทียมและ AI วิเคราะห์
    ได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google, Microsoft, Planet Labs และ FAO
    ใช้ภาพจากอวกาศเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารล่วงหน้า
    ศูนย์นี้สามารถรับคำขอจากรัฐบาลและหน่วยงานช่วยเหลือทั่วโลก

    จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจ
    เริ่มต้นจากคำขอของรัฐบาลยูเครนให้ช่วยประเมินผลผลิตที่สูญหายจากสงคราม
    Becker-Reshef เป็นหัวหน้าทีม NASA Harvest และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส
    ทีมงานมีนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คนที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและการวิเคราะห์ภาพดาวเทียม
    ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมแทนการเก็บข้อมูลภาคพื้นดินในพื้นที่อันตราย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NASA Harvest เป็นโครงการที่ใช้ข้อมูลอวกาศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร
    ภาพดาวเทียมสามารถช่วยวิเคราะห์ผลผลิต, การหมุนเวียนพืช, และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
    บริษัทเอกชนอย่าง John Deere และ CNH Industrial เริ่มลงทุนในเทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อการเกษตร
    การใช้ AI ร่วมกับภาพดาวเทียมช่วยให้การตอบสนองต่อวิกฤตเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/nasa-scientist-starts-food-crisis-hotline-with-tech-giant-funding
    🌍 “NASA ผนึกกำลัง Google เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลก — ใช้ภาพดาวเทียมและ AI คาดการณ์ภัยพิบัติก่อนเกิด” หลังจากสงครามรัสเซีย–ยูเครนเริ่มต้นขึ้นในปี 2022 นักวิทยาศาสตร์ด้านพืชผล Inbal Becker-Reshef จาก NASA ได้รับจดหมายจากรัฐบาลยูเครน ขอให้ช่วยประเมินความเสียหายของผลผลิตข้าวสาลีและธัญพืชที่สูญหายไปจากการรุกรานของกองทัพรัสเซีย นั่นคือจุดเริ่มต้นของการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและการประมวลผลด้วย AI เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อการเกษตรในพื้นที่สงคราม ในปี 2025 Becker-Reshef และทีมงานกว่า 20 คนได้เปิดตัว “สายด่วนวิกฤตอาหารโลก” ซึ่งเป็นศูนย์ประเมินผลผลิตพืชผลแบบเร่งด่วนระดับโลก โดยได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google.org, Microsoft AI for Good Lab, Planet Labs, NASA และองค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) จุดประสงค์คือให้รัฐบาล หน่วยงานช่วยเหลือ และสมาคมเกษตรสามารถส่งคำขอวิเคราะห์พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือความขัดแย้ง เพื่อรับข้อมูลล่วงหน้าในการเตรียมรับมือ ระบบนี้ใช้ภาพจากดาวเทียมที่ถูกวิเคราะห์ด้วยโมเดล AI เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารในอนาคต เช่น การสูญเสียผลผลิตจากน้ำท่วม, ภัยแล้ง, ไฟป่า หรือสงคราม ซึ่งในปีเดียวกันนี้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น น้ำท่วมในปากีสถานที่ทำให้ประชาชนกว่า 4 ล้านคนต้องอพยพ และผลผลิตข้าวกับอ้อยถูกทำลาย แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NASA Harvest ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้ข้อมูลจากอวกาศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลภาคพื้นดินได้ เช่น เขตสงครามหรือพื้นที่ที่มีภัยพิบัติรุนแรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NASA เปิดสายด่วนวิกฤตอาหารโลกโดยใช้ภาพดาวเทียมและ AI วิเคราะห์ ➡️ ได้รับเงินทุนเริ่มต้นกว่า 7.7 ล้านดอลลาร์จาก Google, Microsoft, Planet Labs และ FAO ➡️ ใช้ภาพจากอวกาศเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงด้านอาหารล่วงหน้า ➡️ ศูนย์นี้สามารถรับคำขอจากรัฐบาลและหน่วยงานช่วยเหลือทั่วโลก ✅ จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจ ➡️ เริ่มต้นจากคำขอของรัฐบาลยูเครนให้ช่วยประเมินผลผลิตที่สูญหายจากสงคราม ➡️ Becker-Reshef เป็นหัวหน้าทีม NASA Harvest และอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส ➡️ ทีมงานมีนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คนที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรและการวิเคราะห์ภาพดาวเทียม ➡️ ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมแทนการเก็บข้อมูลภาคพื้นดินในพื้นที่อันตราย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NASA Harvest เป็นโครงการที่ใช้ข้อมูลอวกาศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร ➡️ ภาพดาวเทียมสามารถช่วยวิเคราะห์ผลผลิต, การหมุนเวียนพืช, และความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ➡️ บริษัทเอกชนอย่าง John Deere และ CNH Industrial เริ่มลงทุนในเทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อการเกษตร ➡️ การใช้ AI ร่วมกับภาพดาวเทียมช่วยให้การตอบสนองต่อวิกฤตเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/17/nasa-scientist-starts-food-crisis-hotline-with-tech-giant-funding
    WWW.THESTAR.COM.MY
    NASA scientist starts food crisis hotline with tech giant funding
    Right after Russia's full-scale invasion of Ukraine, crop scientist Inbal Becker-Reshef got a letter from officials in Kyiv. They wanted to figure out how much wheat and other grains were lost to Vladimir Putin's occupying forces.
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • “Scattered Spider ประกาศ ‘เกษียณ’ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ? — เมื่อจอมโจรไซเบอร์เลือกหายตัวในวันที่โลกยังไม่ปลอดภัย”

    กลางเดือนกันยายน 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว Scattered Spider พร้อมพันธมิตรอีกกว่า 14 กลุ่ม ได้โพสต์จดหมายลาออกจากวงการไซเบอร์บน BreachForums และ Telegram โดยประกาศว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรปและสหรัฐฯ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กลับมองว่า นี่อาจเป็นเพียง “กลยุทธ์ลวงตา” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและเตรียมรีแบรนด์ใหม่

    จดหมายดังกล่าวถูกเขียนอย่างประณีต มีการกล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงก่อนโพสต์เพื่อ “พูดคุยกับครอบครัวและยืนยันแผนสำรอง” แต่เนื้อหากลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เช่น การอวดว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike พร้อมระบุว่า “ขณะคุณกำลังถูกเบี่ยงเบน เรากำลังเปิดใช้งานแผนสำรอง”

    ผู้เชี่ยวชาญเช่น Brijesh Singh และ Sunil Varkey ต่างตั้งข้อสงสัยว่า การรวมกลุ่มของแฮกเกอร์กว่า 15 กลุ่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนประกาศเกษียณนั้น “ไม่สมเหตุสมผล” และไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริงในอดีต

    แม้จะมีการจับกุมสมาชิก 8 คนในยุโรปตั้งแต่ปี 2024 แต่ส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง เช่น ผู้ฟอกเงินหรือแอดมินแชต ขณะที่หัวหน้าทีมและนักพัฒนายังลอยนวลอยู่ การประกาศลาออกจึงอาจเป็นเพียงการ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงแรงกดดันจากหน่วยงานรัฐ และเปิดทางให้กลุ่มใหม่ที่ใช้เทคนิคเดิมกลับมาโจมตีอีกครั้ง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ Scattered Spider จะหายไป แต่เทคนิคที่พวกเขาใช้ เช่น การโจมตีด้วย OAuth token, deepfake voice phishing และ ransomware บน hypervisor ยังคงแพร่กระจาย และถูกนำไปใช้โดยกลุ่มใหม่ที่เงียบกว่าแต่ร้ายกว่า

    ข้อมูลจากข่าวการประกาศลาออก
    Scattered Spider และพันธมิตร 14 กลุ่มโพสต์จดหมายลาออกบน BreachForums และ Telegram
    อ้างว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรป
    กล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงเพื่อเตรียมแผนสำรอง
    ระบุว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike

    ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ
    กลุ่มแฮกเกอร์เหล่านี้เพิ่งรวมตัวกันในเดือนสิงหาคม 2025 — การลาออกในเดือนกันยายนจึงน่าสงสัย
    ไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริง
    การจับกุมส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง — หัวหน้าทีมยังไม่ถูกจับ
    การประกาศลาออกอาจเป็นกลยุทธ์ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคนิคที่ Scattered Spider ใช้ เช่น OAuth abuse และ deepfake vishing กำลังแพร่หลาย
    Hypervisor ransomware ที่เคยเป็นของกลุ่มนี้ถูกปล่อยสู่สาธารณะ
    กลุ่มใหม่เริ่มใช้เทคนิคเดิมและดึงสมาชิกเก่ากลับมา
    การประกาศลาออกคล้ายกับกรณีของกลุ่มแฮกเกอร์อื่นในอดีต เช่น REvil และ DarkSide

    https://www.csoonline.com/article/4057074/scattered-spiders-retirement-announcement-genuine-exit-or-elaborate-smokescreen.html
    🕸️ “Scattered Spider ประกาศ ‘เกษียณ’ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ? — เมื่อจอมโจรไซเบอร์เลือกหายตัวในวันที่โลกยังไม่ปลอดภัย” กลางเดือนกันยายน 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว Scattered Spider พร้อมพันธมิตรอีกกว่า 14 กลุ่ม ได้โพสต์จดหมายลาออกจากวงการไซเบอร์บน BreachForums และ Telegram โดยประกาศว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรปและสหรัฐฯ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กลับมองว่า นี่อาจเป็นเพียง “กลยุทธ์ลวงตา” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและเตรียมรีแบรนด์ใหม่ จดหมายดังกล่าวถูกเขียนอย่างประณีต มีการกล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงก่อนโพสต์เพื่อ “พูดคุยกับครอบครัวและยืนยันแผนสำรอง” แต่เนื้อหากลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เช่น การอวดว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike พร้อมระบุว่า “ขณะคุณกำลังถูกเบี่ยงเบน เรากำลังเปิดใช้งานแผนสำรอง” ผู้เชี่ยวชาญเช่น Brijesh Singh และ Sunil Varkey ต่างตั้งข้อสงสัยว่า การรวมกลุ่มของแฮกเกอร์กว่า 15 กลุ่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนประกาศเกษียณนั้น “ไม่สมเหตุสมผล” และไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริงในอดีต แม้จะมีการจับกุมสมาชิก 8 คนในยุโรปตั้งแต่ปี 2024 แต่ส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง เช่น ผู้ฟอกเงินหรือแอดมินแชต ขณะที่หัวหน้าทีมและนักพัฒนายังลอยนวลอยู่ การประกาศลาออกจึงอาจเป็นเพียงการ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงแรงกดดันจากหน่วยงานรัฐ และเปิดทางให้กลุ่มใหม่ที่ใช้เทคนิคเดิมกลับมาโจมตีอีกครั้ง สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ Scattered Spider จะหายไป แต่เทคนิคที่พวกเขาใช้ เช่น การโจมตีด้วย OAuth token, deepfake voice phishing และ ransomware บน hypervisor ยังคงแพร่กระจาย และถูกนำไปใช้โดยกลุ่มใหม่ที่เงียบกว่าแต่ร้ายกว่า ✅ ข้อมูลจากข่าวการประกาศลาออก ➡️ Scattered Spider และพันธมิตร 14 กลุ่มโพสต์จดหมายลาออกบน BreachForums และ Telegram ➡️ อ้างว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรป ➡️ กล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงเพื่อเตรียมแผนสำรอง ➡️ ระบุว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike ✅ ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์เหล่านี้เพิ่งรวมตัวกันในเดือนสิงหาคม 2025 — การลาออกในเดือนกันยายนจึงน่าสงสัย ➡️ ไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริง ➡️ การจับกุมส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง — หัวหน้าทีมยังไม่ถูกจับ ➡️ การประกาศลาออกอาจเป็นกลยุทธ์ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคนิคที่ Scattered Spider ใช้ เช่น OAuth abuse และ deepfake vishing กำลังแพร่หลาย ➡️ Hypervisor ransomware ที่เคยเป็นของกลุ่มนี้ถูกปล่อยสู่สาธารณะ ➡️ กลุ่มใหม่เริ่มใช้เทคนิคเดิมและดึงสมาชิกเก่ากลับมา ➡️ การประกาศลาออกคล้ายกับกรณีของกลุ่มแฮกเกอร์อื่นในอดีต เช่น REvil และ DarkSide https://www.csoonline.com/article/4057074/scattered-spiders-retirement-announcement-genuine-exit-or-elaborate-smokescreen.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Scattered Spider’s ‘retirement’ announcement: genuine exit or elaborate smokescreen?
    The cybercrime collective and 14 allied groups claim they’re ‘going dark’ in a dramatic farewell letter, but experts question authenticity.
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • “AI กินไม่หยุด — ตลาด HDD และ SSD ขาดแคลนทั่วโลก หลังความต้องการเก็บข้อมูลพุ่งทะลุเพดาน”

    ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของ AI โดยเฉพาะด้าน GPU ที่เป็นหัวใจของการประมวลผล แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ “พื้นที่จัดเก็บข้อมูล” ที่กำลังถูก AI กลืนกินอย่างเงียบ ๆ ทั้ง HDD และ SSD กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่ม nearline HDD ที่ใช้เก็บข้อมูลแบบ “อุ่น” — ไม่ต้องเข้าถึงตลอดเวลา แต่ก็ต้องพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น

    Western Digital ส่งจดหมายแจ้งลูกค้าว่าความต้องการ HDD ทุกขนาดพุ่งสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ทันที เพื่อ “รองรับการเติบโต” ซึ่งแน่นอนว่าก็ช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทไปด้วยในตัว

    TrendForce รายงานว่าเวลารอสินค้าสำหรับ nearline HDD ตอนนี้ยาวถึง 52 สัปดาห์ — เกินหนึ่งปีเต็ม ซึ่งสะท้อนว่าผู้ผลิตไม่ได้เพิ่มกำลังการผลิตมานานนับทศวรรษ ขณะที่ AI โดยเฉพาะ generative AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์จากโมเดล แต่รวมถึงชุดข้อมูลสำหรับเทรน, checkpoint, log, และข้อมูลย้อนหลังที่ต้องเก็บไว้เพื่อการตรวจสอบและปรับปรุงโมเดลในอนาคต

    เมื่อ HDD ไม่พอใช้ ผู้ให้บริการคลาวด์ (CSPs) จึงหันไปใช้ SSD โดยเฉพาะ QLC SSD สำหรับงาน cold data แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า HDD ถึง 4–5 เท่า แต่ก็มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD ยังต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด และอาจทำให้ราคาของ SSD โดยเฉพาะรุ่นสำหรับองค์กรพุ่งขึ้นอีก 5–10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ความต้องการ HDD และ SSD พุ่งสูงจากการเติบโตของ AI โดยเฉพาะ generative AI
    Western Digital แจ้งลูกค้าเรื่องการขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD
    เวลารอ nearline HDD ยาวถึง 52 สัปดาห์ — สะท้อนปัญหากำลังการผลิต
    AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ทั้งผลลัพธ์และข้อมูลเบื้องหลัง

    การเปลี่ยนแปลงในตลาดและผลกระทบ
    CSPs หันไปใช้ QLC SSD สำหรับ cold data แทน HDD ที่ขาดแคลน
    SSD มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานต่ำ
    การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด
    ราคาของ SSD สำหรับองค์กรอาจเพิ่มขึ้น 5–10% ในไตรมาส 4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    QLC SSD มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่าฮาร์ดดิสก์ประมาณ 30%
    HDD ยังเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ cold storage เพราะราคาต่อ GB ต่ำกว่า SSD
    การขาดแคลน HDD เกิดจากการลดกำลังผลิตในปี 2023 เพื่อควบคุมราคาตลาด
    จอภาพ 1000Hz ยังไม่รองรับการใช้งานเฟรมเรตสูงจากการประมวลผล AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/expect-hdd-ssd-shortages-as-ai-rewrites-the-rules-of-storage-hierarchy-multiple-companies-announce-price-hikes-too
    📦 “AI กินไม่หยุด — ตลาด HDD และ SSD ขาดแคลนทั่วโลก หลังความต้องการเก็บข้อมูลพุ่งทะลุเพดาน” ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของ AI โดยเฉพาะด้าน GPU ที่เป็นหัวใจของการประมวลผล แต่สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามคือ “พื้นที่จัดเก็บข้อมูล” ที่กำลังถูก AI กลืนกินอย่างเงียบ ๆ ทั้ง HDD และ SSD กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่ม nearline HDD ที่ใช้เก็บข้อมูลแบบ “อุ่น” — ไม่ต้องเข้าถึงตลอดเวลา แต่ก็ต้องพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น Western Digital ส่งจดหมายแจ้งลูกค้าว่าความต้องการ HDD ทุกขนาดพุ่งสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประกาศขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ทันที เพื่อ “รองรับการเติบโต” ซึ่งแน่นอนว่าก็ช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทไปด้วยในตัว TrendForce รายงานว่าเวลารอสินค้าสำหรับ nearline HDD ตอนนี้ยาวถึง 52 สัปดาห์ — เกินหนึ่งปีเต็ม ซึ่งสะท้อนว่าผู้ผลิตไม่ได้เพิ่มกำลังการผลิตมานานนับทศวรรษ ขณะที่ AI โดยเฉพาะ generative AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์จากโมเดล แต่รวมถึงชุดข้อมูลสำหรับเทรน, checkpoint, log, และข้อมูลย้อนหลังที่ต้องเก็บไว้เพื่อการตรวจสอบและปรับปรุงโมเดลในอนาคต เมื่อ HDD ไม่พอใช้ ผู้ให้บริการคลาวด์ (CSPs) จึงหันไปใช้ SSD โดยเฉพาะ QLC SSD สำหรับงาน cold data แม้จะมีต้นทุนสูงกว่า HDD ถึง 4–5 เท่า แต่ก็มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ SSD ยังต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด และอาจทำให้ราคาของ SSD โดยเฉพาะรุ่นสำหรับองค์กรพุ่งขึ้นอีก 5–10% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ความต้องการ HDD และ SSD พุ่งสูงจากการเติบโตของ AI โดยเฉพาะ generative AI ➡️ Western Digital แจ้งลูกค้าเรื่องการขึ้นราคาทุกผลิตภัณฑ์ HDD ➡️ เวลารอ nearline HDD ยาวถึง 52 สัปดาห์ — สะท้อนปัญหากำลังการผลิต ➡️ AI ต้องใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมหาศาล ทั้งผลลัพธ์และข้อมูลเบื้องหลัง ✅ การเปลี่ยนแปลงในตลาดและผลกระทบ ➡️ CSPs หันไปใช้ QLC SSD สำหรับ cold data แทน HDD ที่ขาดแคลน ➡️ SSD มีข้อดีเรื่องความเร็ว ความหนาแน่น และการใช้พลังงานต่ำ ➡️ การเปลี่ยนไปใช้ SSD ต้องปรับระบบจัดการข้อมูลใหม่ทั้งหมด ➡️ ราคาของ SSD สำหรับองค์กรอาจเพิ่มขึ้น 5–10% ในไตรมาส 4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ QLC SSD มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่าฮาร์ดดิสก์ประมาณ 30% ➡️ HDD ยังเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ cold storage เพราะราคาต่อ GB ต่ำกว่า SSD ➡️ การขาดแคลน HDD เกิดจากการลดกำลังผลิตในปี 2023 เพื่อควบคุมราคาตลาด ➡️ จอภาพ 1000Hz ยังไม่รองรับการใช้งานเฟรมเรตสูงจากการประมวลผล AI https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/expect-hdd-ssd-shortages-as-ai-rewrites-the-rules-of-storage-hierarchy-multiple-companies-announce-price-hikes-too
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Expect HDD, SSD shortages as AI rewrites the rules of storage hierarchy — multiple companies announce price hikes, too
    AI isn't just consuming the GPU market. It's eating storage, too — and the shockwaves are likely to hit both HDD and SSD markets
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • “ทำไมเราถึง ‘วนลูป’ ความคิดลบ — เมื่อคำพูดธรรมดาอาจกระตุ้นคำถามใหญ่ในใจ และเปลี่ยนชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว”

    Gregory M. Walton นักจิตวิทยาจาก Stanford ได้เขียนบทความใน Behavioral Scientist เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่หลายคนเคยเจอแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร — การ “วนลูป” ความคิดลบที่เริ่มจากเหตุการณ์เล็ก ๆ แล้วขยายกลายเป็นความรู้สึกด้อยค่า ความไม่มั่นใจ และการกระทำที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่ตั้งใจ

    เขายกตัวอย่างง่าย ๆ: ถ้าคุณเป็นพนักงานอาวุโสแล้วเข้าสายในการประชุม Zoom คำพูดประชดจากเพื่อนอาจฟังดูขำ ๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานใหม่ คำพูดเดียวกันจากหัวหน้าอาจกระตุ้นคำถามในใจว่า “ฉันเหมาะกับที่นี่ไหม?” “เขาไม่ชอบฉันหรือเปล่า?” แล้วความคิดเหล่านั้นก็เริ่มหมุนวนไม่หยุด

    Walton เรียกกระบวนการนี้ว่า “สาม C” ของการวนลูป ได้แก่:

    1️⃣Core Questions — คำถามพื้นฐานในชีวิต เช่น ฉันมีคุณค่าไหม? ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า?

    2️⃣ Construal — การตีความโลกผ่านเลนส์ของคำถามนั้น เช่น ถ้าเรากังวลว่าไม่เป็นที่ยอมรับ เราอาจมองทุกการกระทำของคนอื่นว่าเป็นการปฏิเสธ

    3️⃣ Calcification — เมื่อความคิดลบฝังแน่นจากการกระทำของเราเอง เช่น เราตอบกลับข้อความด้วยความประชด แล้วคนที่ส่งมาก็เริ่มตีตัวออกห่าง

    Walton เสนอว่าเราสามารถ “หยุดลูป” ได้ ด้วยการเข้าใจว่าคำถามในใจเราคืออะไร และหาวิธีตอบมันอย่างมีสติ เช่น การใช้ “wise interventions” — การแทรกแซงทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ที่มีผลระยะยาว เช่น จดหมายให้กำลังใจ, การสะท้อนความรู้สึก, หรือแม้แต่การเข้าใจว่า “ทุกคนก็เคยรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับ” ก็ช่วยให้เราหยุดลูปได้

    กระบวนการวนลูปทางจิตใจ
    เริ่มจากคำถามพื้นฐานในใจ เช่น “ฉันมีคุณค่าไหม?” “ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า?”
    เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่นคำพูดประชด อาจกระตุ้นคำถามนั้นให้ลุกขึ้นมา
    เราตีความสิ่งรอบตัวผ่านเลนส์ของคำถามนั้น — เห็นหลักฐานยืนยันความคิดลบ
    เราเริ่มกระทำตามความคิดนั้น เช่น ตอบกลับประชด หรือแยกตัวออกจากคนอื่น

    แนวทางหยุดลูปและสร้างลูปบวก
    เข้าใจว่า “core question” ของเราคืออะไร และมันกำลังทำงานอยู่หรือไม่
    ใช้ “wise interventions” เช่น การสะท้อนความรู้สึก หรือการให้ข้อมูลที่เปลี่ยนมุมมอง
    ตัวอย่างเช่น จดหมายให้กำลังใจสามารถลดอัตราการกลับไปกระทำผิดของเยาวชน
    การสะท้อนเรื่อง “ความเป็นส่วนหนึ่ง” ในปีแรกของมหาวิทยาลัย ส่งผลต่อความสุขและความสำเร็จในระยะยาว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Confirmation bias” คือแนวโน้มที่เราจะมองหาหลักฐานที่ยืนยันความเชื่อเดิม
    “Tifbit” คือคำที่ Walton ใช้เรียก “tiny fact, big theory” — เหตุการณ์เล็กที่กระตุ้นความคิดใหญ่
    การเข้าใจว่าเราทุกคนมีคำถามในใจเหมือนกัน ช่วยให้เรามีเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น
    การสร้างลูปบวกเริ่มจากการให้คำตอบที่ดีต่อคำถามในใจ — ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง

    https://behavioralscientist.org/why-we-spiral/
    🌀 “ทำไมเราถึง ‘วนลูป’ ความคิดลบ — เมื่อคำพูดธรรมดาอาจกระตุ้นคำถามใหญ่ในใจ และเปลี่ยนชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว” Gregory M. Walton นักจิตวิทยาจาก Stanford ได้เขียนบทความใน Behavioral Scientist เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่หลายคนเคยเจอแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร — การ “วนลูป” ความคิดลบที่เริ่มจากเหตุการณ์เล็ก ๆ แล้วขยายกลายเป็นความรู้สึกด้อยค่า ความไม่มั่นใจ และการกระทำที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่ตั้งใจ เขายกตัวอย่างง่าย ๆ: ถ้าคุณเป็นพนักงานอาวุโสแล้วเข้าสายในการประชุม Zoom คำพูดประชดจากเพื่อนอาจฟังดูขำ ๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานใหม่ คำพูดเดียวกันจากหัวหน้าอาจกระตุ้นคำถามในใจว่า “ฉันเหมาะกับที่นี่ไหม?” “เขาไม่ชอบฉันหรือเปล่า?” แล้วความคิดเหล่านั้นก็เริ่มหมุนวนไม่หยุด Walton เรียกกระบวนการนี้ว่า “สาม C” ของการวนลูป ได้แก่: 1️⃣Core Questions — คำถามพื้นฐานในชีวิต เช่น ฉันมีคุณค่าไหม? ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า? 2️⃣ Construal — การตีความโลกผ่านเลนส์ของคำถามนั้น เช่น ถ้าเรากังวลว่าไม่เป็นที่ยอมรับ เราอาจมองทุกการกระทำของคนอื่นว่าเป็นการปฏิเสธ 3️⃣ Calcification — เมื่อความคิดลบฝังแน่นจากการกระทำของเราเอง เช่น เราตอบกลับข้อความด้วยความประชด แล้วคนที่ส่งมาก็เริ่มตีตัวออกห่าง Walton เสนอว่าเราสามารถ “หยุดลูป” ได้ ด้วยการเข้าใจว่าคำถามในใจเราคืออะไร และหาวิธีตอบมันอย่างมีสติ เช่น การใช้ “wise interventions” — การแทรกแซงทางจิตวิทยาเล็ก ๆ ที่มีผลระยะยาว เช่น จดหมายให้กำลังใจ, การสะท้อนความรู้สึก, หรือแม้แต่การเข้าใจว่า “ทุกคนก็เคยรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับ” ก็ช่วยให้เราหยุดลูปได้ ✅ กระบวนการวนลูปทางจิตใจ ➡️ เริ่มจากคำถามพื้นฐานในใจ เช่น “ฉันมีคุณค่าไหม?” “ฉันเป็นที่ยอมรับหรือเปล่า?” ➡️ เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่นคำพูดประชด อาจกระตุ้นคำถามนั้นให้ลุกขึ้นมา ➡️ เราตีความสิ่งรอบตัวผ่านเลนส์ของคำถามนั้น — เห็นหลักฐานยืนยันความคิดลบ ➡️ เราเริ่มกระทำตามความคิดนั้น เช่น ตอบกลับประชด หรือแยกตัวออกจากคนอื่น ✅ แนวทางหยุดลูปและสร้างลูปบวก ➡️ เข้าใจว่า “core question” ของเราคืออะไร และมันกำลังทำงานอยู่หรือไม่ ➡️ ใช้ “wise interventions” เช่น การสะท้อนความรู้สึก หรือการให้ข้อมูลที่เปลี่ยนมุมมอง ➡️ ตัวอย่างเช่น จดหมายให้กำลังใจสามารถลดอัตราการกลับไปกระทำผิดของเยาวชน ➡️ การสะท้อนเรื่อง “ความเป็นส่วนหนึ่ง” ในปีแรกของมหาวิทยาลัย ส่งผลต่อความสุขและความสำเร็จในระยะยาว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Confirmation bias” คือแนวโน้มที่เราจะมองหาหลักฐานที่ยืนยันความเชื่อเดิม ➡️ “Tifbit” คือคำที่ Walton ใช้เรียก “tiny fact, big theory” — เหตุการณ์เล็กที่กระตุ้นความคิดใหญ่ ➡️ การเข้าใจว่าเราทุกคนมีคำถามในใจเหมือนกัน ช่วยให้เรามีเมตตาต่อตัวเองและผู้อื่น ➡️ การสร้างลูปบวกเริ่มจากการให้คำตอบที่ดีต่อคำถามในใจ — ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง https://behavioralscientist.org/why-we-spiral/
    BEHAVIORALSCIENTIST.ORG
    Why We Spiral - by Gregory M. Walton - Behavioral Scientist
    Questions of who we are or what we’re worth can send us into a tailspin. But the very same processes that pull us down can propel us up, too.
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • “ญี่ปุ่นทำสถิติใหม่! ผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีเกือบแสนคน — เบื้องหลังความยืนยาวที่โลกต้องเรียนรู้”

    รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศตัวเลขล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ว่ามีประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไปถึง 99,763 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 55 ติดต่อกัน โดยในจำนวนนี้ ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มอายุขัยที่ยืนยาวของผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

    ผู้สูงวัยที่อายุมากที่สุดในประเทศคือคุณ Shigeko Kagawa อายุ 114 ปี จากเมือง Nara ส่วนผู้ชายที่อายุมากที่สุดคือคุณ Kiyotaka Mizuno อายุ 111 ปี จากเมือง Iwata ซึ่งกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่เก็บเรื่องต่าง ๆ มาใส่ใจ” หรือในภาษาญี่ปุ่นคือ “ไม่ kuyokuyo” หมายถึงไม่วิตกกังวลเกินเหตุ

    เบื้องหลังความยืนยาวของชาวญี่ปุ่นมีหลายปัจจัย ทั้งอาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่มีมาตั้งแต่ปี 1928 และการใช้ชีวิตที่มีจังหวะช้าแต่มั่นคง เช่น การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว

    นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรม “hara hachi bu” หรือการกินแค่ 80% ของความอิ่ม และ “ikigai” หรือการมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ Blue Zone อย่าง Okinawa ที่มีอัตราผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก

    อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากการตรวจสอบในปี 2010 พบว่ามีผู้ที่ถูกระบุว่าอายุเกิน 100 ปีแต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 230,000 คน ซึ่งเกิดจากการบันทึกข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และบางกรณีมีการปกปิดการเสียชีวิตเพื่อรับเงินบำนาญ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ญี่ปุ่นมีผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีถึง 99,763 คนในปี 2025
    ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% ของผู้สูงวัยทั้งหมด
    ผู้ที่อายุมากที่สุดคือ Shigeko Kagawa (114 ปี) และ Kiyotaka Mizuno (111 ปี)
    มีการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติในวันที่ 15 กันยายน พร้อมมอบถ้วยเงินและจดหมายแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรี

    ปัจจัยที่ส่งเสริมอายุยืน
    อาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง ลดอัตราโรคหัวใจและมะเร็ง
    การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่ออกอากาศทุกวัน
    วัฒนธรรม “hara hachi bu” และ “ikigai” ที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย
    การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Okinawa เป็นหนึ่งใน Blue Zone ที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก
    ผู้หญิงทั่วโลกมีแนวโน้มอายุยืนกว่าผู้ชายจากปัจจัยทางชีวภาพและพฤติกรรม
    ญี่ปุ่นมีอัตราโรคอ้วนต่ำ โดยเฉพาะในผู้หญิง
    การลดการบริโภคเกลือและน้ำตาลเป็นผลจากนโยบายสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ

    https://www.bbc.com/news/articles/cd07nljlyv0o
    🎉 “ญี่ปุ่นทำสถิติใหม่! ผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีเกือบแสนคน — เบื้องหลังความยืนยาวที่โลกต้องเรียนรู้” รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศตัวเลขล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ว่ามีประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไปถึง 99,763 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 55 ติดต่อกัน โดยในจำนวนนี้ ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มอายุขัยที่ยืนยาวของผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ผู้สูงวัยที่อายุมากที่สุดในประเทศคือคุณ Shigeko Kagawa อายุ 114 ปี จากเมือง Nara ส่วนผู้ชายที่อายุมากที่สุดคือคุณ Kiyotaka Mizuno อายุ 111 ปี จากเมือง Iwata ซึ่งกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่เก็บเรื่องต่าง ๆ มาใส่ใจ” หรือในภาษาญี่ปุ่นคือ “ไม่ kuyokuyo” หมายถึงไม่วิตกกังวลเกินเหตุ เบื้องหลังความยืนยาวของชาวญี่ปุ่นมีหลายปัจจัย ทั้งอาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่มีมาตั้งแต่ปี 1928 และการใช้ชีวิตที่มีจังหวะช้าแต่มั่นคง เช่น การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรม “hara hachi bu” หรือการกินแค่ 80% ของความอิ่ม และ “ikigai” หรือการมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ Blue Zone อย่าง Okinawa ที่มีอัตราผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากการตรวจสอบในปี 2010 พบว่ามีผู้ที่ถูกระบุว่าอายุเกิน 100 ปีแต่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 230,000 คน ซึ่งเกิดจากการบันทึกข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และบางกรณีมีการปกปิดการเสียชีวิตเพื่อรับเงินบำนาญ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ญี่ปุ่นมีผู้สูงวัยอายุเกิน 100 ปีถึง 99,763 คนในปี 2025 ➡️ ผู้หญิงมีสัดส่วนถึง 88% ของผู้สูงวัยทั้งหมด ➡️ ผู้ที่อายุมากที่สุดคือ Shigeko Kagawa (114 ปี) และ Kiyotaka Mizuno (111 ปี) ➡️ มีการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติในวันที่ 15 กันยายน พร้อมมอบถ้วยเงินและจดหมายแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรี ✅ ปัจจัยที่ส่งเสริมอายุยืน ➡️ อาหารที่เน้นปลา ผัก และลดเนื้อแดง ลดอัตราโรคหัวใจและมะเร็ง ➡️ การออกกำลังกายแบบกลุ่ม เช่น Radio Taiso ที่ออกอากาศทุกวัน ➡️ วัฒนธรรม “hara hachi bu” และ “ikigai” ที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย ➡️ การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Okinawa เป็นหนึ่งใน Blue Zone ที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก ➡️ ผู้หญิงทั่วโลกมีแนวโน้มอายุยืนกว่าผู้ชายจากปัจจัยทางชีวภาพและพฤติกรรม ➡️ ญี่ปุ่นมีอัตราโรคอ้วนต่ำ โดยเฉพาะในผู้หญิง ➡️ การลดการบริโภคเกลือและน้ำตาลเป็นผลจากนโยบายสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ https://www.bbc.com/news/articles/cd07nljlyv0o
    WWW.BBC.COM
    Japan sets new record with nearly 100,000 people aged over 100
    The number of Japanese centenarians rose to 99,763 in September, with women making up 88% of the total.
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Bing ถึง Kerberoasting: เมื่อการคลิกเดียวกลายเป็นจุดเริ่มต้นของภัยไซเบอร์ระดับประเทศ

    Senator Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC เรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีการละเลยด้านความปลอดภัยที่นำไปสู่การโจมตี ransomware ครั้งใหญ่ในระบบสุขภาพของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณี Ascension Health ที่ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมยในปี 2024

    การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ contractor ของ Ascension ใช้ Bing ค้นหาข้อมูล แล้วคลิกบนลิงก์อันตรายที่นำไปสู่การติดมัลแวร์ในแล็ปท็อปเครื่องเดียว แต่เนื่องจากการตั้งค่าความปลอดภัยเริ่มต้นของ Microsoft Active Directory ยังรองรับ RC4 encryption ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าจากยุค 1980 ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เทคนิค Kerberoasting เพื่อขยายการโจมตีไปทั่วเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว

    Wyden วิจารณ์ว่า Microsoft สร้างธุรกิจด้านความปลอดภัยมูลค่ากว่า $20 พันล้าน จากการขายฟีเจอร์เสริมที่ควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลัก เช่น advanced logging และการป้องกันรหัสผ่านที่แข็งแรง โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนคนจุดไฟแล้วขายบริการดับเพลิงให้เหยื่อของตัวเอง”

    แม้ Microsoft จะเคยสัญญาว่าจะออกอัปเดตเพื่อปิดการใช้งาน RC4 ตั้งแต่ตุลาคม 2024 แต่จนถึงกันยายน 2025 ยังไม่มีการปล่อยอัปเดตนั้น และคำแนะนำที่ออกมาก็ถูกฝังไว้ในบล็อกเทคนิคที่ไม่เข้าถึงง่าย ทำให้หลายองค์กรยังไม่รู้ว่าตัวเองเสี่ยงอยู่

    เหตุการณ์โจมตี Ascension Health
    เริ่มจาก contractor คลิกลิงก์อันตรายจาก Bing
    มัลแวร์แพร่กระจายผ่านเครือข่ายโดยใช้ Kerberoasting
    ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์

    ช่องโหว่ RC4 และ Kerberoasting
    RC4 เป็น encryption จากยุค 1980 ที่ไม่ปลอดภัย
    Microsoft ยังรองรับ RC4 โดยค่าเริ่มต้นใน Active Directory
    Kerberoasting ใช้ RC4 เพื่อขโมยรหัสผ่านของบัญชีผู้ดูแลระบบ

    การตอบสนองของ Microsoft
    สัญญาจะออกอัปเดตปิด RC4 ตั้งแต่ตุลาคม 2024 แต่ยังไม่ปล่อย
    เผยแพร่คำแนะนำในบล็อกเทคนิคที่ไม่เข้าถึงง่าย
    อ้างว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดโดยค่าเริ่มต้น

    การวิจารณ์จาก Ron Wyden
    กล่าวหาว่า Microsoft มีวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ละเลย
    เปรียบเทียบว่า “จุดไฟแล้วขายบริการดับเพลิง”
    เรียกร้องให้ FTC สอบสวนและกำหนดมาตรการควบคุม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    CISO หลายองค์กรเริ่มปิด RC4 ด้วยตนเอง
    เริ่มใช้สัญญาจัดซื้อเพื่อบังคับให้ Microsoft ปรับการตั้งค่า
    อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบซอฟต์แวร์ทั้งอุตสาหกรรม

    https://www.csoonline.com/article/4055697/microsoft-under-fire-senator-demands-ftc-investigation-into-arsonist-selling-firefighting-services.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Bing ถึง Kerberoasting: เมื่อการคลิกเดียวกลายเป็นจุดเริ่มต้นของภัยไซเบอร์ระดับประเทศ Senator Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC เรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีการละเลยด้านความปลอดภัยที่นำไปสู่การโจมตี ransomware ครั้งใหญ่ในระบบสุขภาพของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณี Ascension Health ที่ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมยในปี 2024 การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ contractor ของ Ascension ใช้ Bing ค้นหาข้อมูล แล้วคลิกบนลิงก์อันตรายที่นำไปสู่การติดมัลแวร์ในแล็ปท็อปเครื่องเดียว แต่เนื่องจากการตั้งค่าความปลอดภัยเริ่มต้นของ Microsoft Active Directory ยังรองรับ RC4 encryption ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าจากยุค 1980 ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เทคนิค Kerberoasting เพื่อขยายการโจมตีไปทั่วเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว Wyden วิจารณ์ว่า Microsoft สร้างธุรกิจด้านความปลอดภัยมูลค่ากว่า $20 พันล้าน จากการขายฟีเจอร์เสริมที่ควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลัก เช่น advanced logging และการป้องกันรหัสผ่านที่แข็งแรง โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนคนจุดไฟแล้วขายบริการดับเพลิงให้เหยื่อของตัวเอง” แม้ Microsoft จะเคยสัญญาว่าจะออกอัปเดตเพื่อปิดการใช้งาน RC4 ตั้งแต่ตุลาคม 2024 แต่จนถึงกันยายน 2025 ยังไม่มีการปล่อยอัปเดตนั้น และคำแนะนำที่ออกมาก็ถูกฝังไว้ในบล็อกเทคนิคที่ไม่เข้าถึงง่าย ทำให้หลายองค์กรยังไม่รู้ว่าตัวเองเสี่ยงอยู่ ✅ เหตุการณ์โจมตี Ascension Health ➡️ เริ่มจาก contractor คลิกลิงก์อันตรายจาก Bing ➡️ มัลแวร์แพร่กระจายผ่านเครือข่ายโดยใช้ Kerberoasting ➡️ ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์ ✅ ช่องโหว่ RC4 และ Kerberoasting ➡️ RC4 เป็น encryption จากยุค 1980 ที่ไม่ปลอดภัย ➡️ Microsoft ยังรองรับ RC4 โดยค่าเริ่มต้นใน Active Directory ➡️ Kerberoasting ใช้ RC4 เพื่อขโมยรหัสผ่านของบัญชีผู้ดูแลระบบ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ สัญญาจะออกอัปเดตปิด RC4 ตั้งแต่ตุลาคม 2024 แต่ยังไม่ปล่อย ➡️ เผยแพร่คำแนะนำในบล็อกเทคนิคที่ไม่เข้าถึงง่าย ➡️ อ้างว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดโดยค่าเริ่มต้น ✅ การวิจารณ์จาก Ron Wyden ➡️ กล่าวหาว่า Microsoft มีวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ละเลย ➡️ เปรียบเทียบว่า “จุดไฟแล้วขายบริการดับเพลิง” ➡️ เรียกร้องให้ FTC สอบสวนและกำหนดมาตรการควบคุม ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ CISO หลายองค์กรเริ่มปิด RC4 ด้วยตนเอง ➡️ เริ่มใช้สัญญาจัดซื้อเพื่อบังคับให้ Microsoft ปรับการตั้งค่า ➡️ อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบซอฟต์แวร์ทั้งอุตสาหกรรม https://www.csoonline.com/article/4055697/microsoft-under-fire-senator-demands-ftc-investigation-into-arsonist-selling-firefighting-services.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Microsoft under fire: Senator demands FTC investigation into ‘arsonist selling firefighting services’
    US Senator Ron Wyden has called for accountability after healthcare ransomware attacks exposed Windows vulnerabilities that Microsoft had known about for over a decade.
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง”

    ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด

    แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น

    แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน

    การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

    ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control
    สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025
    ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส
    บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน
    หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025

    ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน
    ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์
    ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์
    เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้”
    ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10%
    การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ”
    การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ
    การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    🔐 “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง” ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control ➡️ สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025 ➡️ ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส ➡️ บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน ➡️ หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน ➡️ ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์ ➡️ ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ ➡️ เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้” ➡️ ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10% ➡️ การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ” ➡️ การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ ➡️ การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    WWW.TECHRADAR.COM
    Chat Control: The list of countries opposing the law grows, but support remains strong
    Germany and Luxembourg joined the opposition on the eve of the crucial September 12 meeting
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • “Senator Wyden จี้ FTC สอบ Microsoft หลังมัลแวร์โจมตีโรงพยาบาล Ascension — เมื่อซอฟต์แวร์ที่ ‘ผ่านการรับรอง’ กลายเป็นช่องโหว่ระดับชาติ”

    วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC (คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 เพื่อเรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีซอฟต์แวร์ของบริษัทมีส่วนทำให้เกิดการโจมตีแบบ ransomware ครั้งใหญ่ต่อเครือข่ายโรงพยาบาล Ascension ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขไม่แสวงกำไรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบไอทีของโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายสัปดาห์

    การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ผู้รับเหมาของ Ascension คลิกลิงก์อันตรายจากการค้นหาบน Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ส่งผลให้มัลแวร์แฝงตัวเข้าสู่ระบบ จากนั้นผู้โจมตีใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Kerberoasting” เพื่อเจาะระบบ Active Directory โดยอาศัยช่องโหว่จากการใช้การเข้ารหัสแบบ RC4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ยุค 1980 ที่ยังคงเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ของ Microsoft

    Wyden ระบุว่า Microsoft ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 แต่ใช้เวลาถึงเดือนตุลาคมจึงเผยแพร่บล็อกโพสต์ทางเทคนิค และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว Wyden เปรียบเทียบ Microsoft ว่าเป็น “นักวางเพลิงที่ขายบริการดับไฟให้เหยื่อของตัวเอง” และชี้ว่าการผูกขาดของ Microsoft ทำให้หลายองค์กรไม่มีทางเลือกอื่นในการใช้งานซอฟต์แวร์

    รายละเอียดเหตุการณ์โจมตี Ascension
    เกิดจากผู้รับเหมาคลิกลิงก์อันตรายจาก Bing บนแล็ปท็อปของ Ascension
    มัลแวร์เข้าระบบและใช้ Kerberoasting เจาะ Active Directory
    ใช้การเข้ารหัส RC4 ซึ่งยังเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows
    ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์

    การตอบสนองของ Microsoft
    ได้รับการแจ้งเตือนจากทีม Wyden ตั้งแต่กรกฎาคม 2024
    เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์
    ระบุว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดการใช้งานโดยค่าเริ่มต้น
    วางแผนจะปิด RC4 ใน Windows Server 2025 และ Windows 11 24H2

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RC4 ถูกห้ามใช้ใน TLS มาตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากมีช่องโหว่ร้ายแรง
    Kerberoasting เป็นเทคนิคที่ใช้เจาะรหัสผ่านจาก service tickets ใน Active Directory
    กลุ่ม Black Basta ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี Ascension
    Microsoft มีรายได้จากธุรกิจความปลอดภัยกว่า $20 พันล้านต่อปี แต่ฟีเจอร์สำคัญบางส่วนอยู่หลัง paywall

    https://hackread.com/senator-ftc-probe-microsoft-ascension-ransomware-attack/
    🧯 “Senator Wyden จี้ FTC สอบ Microsoft หลังมัลแวร์โจมตีโรงพยาบาล Ascension — เมื่อซอฟต์แวร์ที่ ‘ผ่านการรับรอง’ กลายเป็นช่องโหว่ระดับชาติ” วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden ได้ส่งจดหมายถึง FTC (คณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 เพื่อเรียกร้องให้สอบสวน Microsoft กรณีซอฟต์แวร์ของบริษัทมีส่วนทำให้เกิดการโจมตีแบบ ransomware ครั้งใหญ่ต่อเครือข่ายโรงพยาบาล Ascension ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบสาธารณสุขไม่แสวงกำไรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบไอทีของโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเป็นเวลาหลายสัปดาห์ การโจมตีเริ่มต้นจากการที่ผู้รับเหมาของ Ascension คลิกลิงก์อันตรายจากการค้นหาบน Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ส่งผลให้มัลแวร์แฝงตัวเข้าสู่ระบบ จากนั้นผู้โจมตีใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Kerberoasting” เพื่อเจาะระบบ Active Directory โดยอาศัยช่องโหว่จากการใช้การเข้ารหัสแบบ RC4 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าตั้งแต่ยุค 1980 ที่ยังคงเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ของ Microsoft Wyden ระบุว่า Microsoft ได้รับการแจ้งเตือนเรื่องช่องโหว่นี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2024 แต่ใช้เวลาถึงเดือนตุลาคมจึงเผยแพร่บล็อกโพสต์ทางเทคนิค และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว Wyden เปรียบเทียบ Microsoft ว่าเป็น “นักวางเพลิงที่ขายบริการดับไฟให้เหยื่อของตัวเอง” และชี้ว่าการผูกขาดของ Microsoft ทำให้หลายองค์กรไม่มีทางเลือกอื่นในการใช้งานซอฟต์แวร์ ✅ รายละเอียดเหตุการณ์โจมตี Ascension ➡️ เกิดจากผู้รับเหมาคลิกลิงก์อันตรายจาก Bing บนแล็ปท็อปของ Ascension ➡️ มัลแวร์เข้าระบบและใช้ Kerberoasting เจาะ Active Directory ➡️ ใช้การเข้ารหัส RC4 ซึ่งยังเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นใน Windows ➡️ ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 5.6 ล้านรายถูกขโมย และระบบโรงพยาบาลล่มหลายสัปดาห์ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ได้รับการแจ้งเตือนจากทีม Wyden ตั้งแต่กรกฎาคม 2024 ➡️ เผยแพร่บล็อกโพสต์ในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์ ➡️ ระบุว่า RC4 ใช้งานน้อยกว่า 0.1% แต่ยังไม่ปิดการใช้งานโดยค่าเริ่มต้น ➡️ วางแผนจะปิด RC4 ใน Windows Server 2025 และ Windows 11 24H2 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RC4 ถูกห้ามใช้ใน TLS มาตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากมีช่องโหว่ร้ายแรง ➡️ Kerberoasting เป็นเทคนิคที่ใช้เจาะรหัสผ่านจาก service tickets ใน Active Directory ➡️ กลุ่ม Black Basta ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี Ascension ➡️ Microsoft มีรายได้จากธุรกิจความปลอดภัยกว่า $20 พันล้านต่อปี แต่ฟีเจอร์สำคัญบางส่วนอยู่หลัง paywall https://hackread.com/senator-ftc-probe-microsoft-ascension-ransomware-attack/
    HACKREAD.COM
    Senator Urges FTC Probe Into Microsoft After Ascension Ransomware Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
More Results