• ผลตรวจผ้าผกก.โจ้ ไม่พบดีเอ็นเอคนอื่น : [NEWS UPDATE]
    พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เผยผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์คดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ ออกแล้ว ซึ่งจะส่งผลทั้งหมดให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อ
    ทั้งนี้ มีรายงานว่ามีการพิสูจน์หลักฐาน 2 ชิ้น คือ ผ้าขนหนูที่ใช้ผูกคอ จากการตรวจดีเอ็นเอไม่พบความผิดปกติ ไม่พบดีเอ็นเอบุคคลอื่น โดยผ้าขนหนูผืนนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของอดีตผู้กำกับโจ้ ที่ใช้ตั้งแต่อยู่แดน 7 และเชื่อว่านำมาใช้ต่อเนื่อง ส่วนรอยหยดเลือดที่ปรากฏบนพื้นห้องขัง เชื่อว่าเป็นเลือดของอดีตผู้กำกับโจ้ เป็นบาดแผลคล้ายรอยสัตว์กัด


    หา รมต. วิญญูชนยาก

    ดักคออย่าขวางอภิปราย

    ห่วงเด็กจมน้ำช่วงปิดเทอม

    สงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจ
    ผลตรวจผ้าผกก.โจ้ ไม่พบดีเอ็นเอคนอื่น : [NEWS UPDATE] พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เผยผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์คดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ ออกแล้ว ซึ่งจะส่งผลทั้งหมดให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อ ทั้งนี้ มีรายงานว่ามีการพิสูจน์หลักฐาน 2 ชิ้น คือ ผ้าขนหนูที่ใช้ผูกคอ จากการตรวจดีเอ็นเอไม่พบความผิดปกติ ไม่พบดีเอ็นเอบุคคลอื่น โดยผ้าขนหนูผืนนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของอดีตผู้กำกับโจ้ ที่ใช้ตั้งแต่อยู่แดน 7 และเชื่อว่านำมาใช้ต่อเนื่อง ส่วนรอยหยดเลือดที่ปรากฏบนพื้นห้องขัง เชื่อว่าเป็นเลือดของอดีตผู้กำกับโจ้ เป็นบาดแผลคล้ายรอยสัตว์กัด หา รมต. วิญญูชนยาก ดักคออย่าขวางอภิปราย ห่วงเด็กจมน้ำช่วงปิดเทอม สงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • ผู้บัญชาการทหารสูงสุดยกคณะลงพื้นที่ชายแดนแม่สอด ส่องปฏิบัติการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์-มาตรการตัดเน็ต-ไฟฟ้า-น้ำมัน ก่อนรายงาน สมช.21 มีนาฯ นี้ สั่งย้ำสกัดคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย หลังพบอ้างเป็นนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่เพิ่มผิดปกติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024301
    ผู้บัญชาการทหารสูงสุดยกคณะลงพื้นที่ชายแดนแม่สอด ส่องปฏิบัติการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์-มาตรการตัดเน็ต-ไฟฟ้า-น้ำมัน ก่อนรายงาน สมช.21 มีนาฯ นี้ สั่งย้ำสกัดคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย หลังพบอ้างเป็นนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่เพิ่มผิดปกติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024301
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีแนวโน้มว่าปูตินจะตอบว่า "ไม่" ในข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่สหรัฐและยูเครนเห็นชอบร่วมกัน เนื่องจากบุคคลใกล้ชิดปูติน ไม่มีใครเอ่ยถึงข้อตกลงนี้เลย

    👉เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการพอดแคสต์ของ Mario Nawfal ไม่มีการพูดถึงข้อตกลงหยุดยิงแต่อย่างใด

    👉ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุเพียงให้รอฟังจากปูตินเท่านั้น

    ประธานาธิบดีปูติน ในระหว่างการประชุมสถานการณ์ที่เคิร์ส ใส่ชุดลายพรางของกองทัพรัสเซีย และไม่พูดถึงเรื่องข้อตกลง👉หยุดยิง โดยพูดถึงแต่การบดขยี้กองกำลังยูเครนในเคิร์สก์ และให้สร้างเขตปลอดภัยตามแนวชายแดนเท่านั้น
    มีแนวโน้มว่าปูตินจะตอบว่า "ไม่" ในข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่สหรัฐและยูเครนเห็นชอบร่วมกัน เนื่องจากบุคคลใกล้ชิดปูติน ไม่มีใครเอ่ยถึงข้อตกลงนี้เลย 👉เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการพอดแคสต์ของ Mario Nawfal ไม่มีการพูดถึงข้อตกลงหยุดยิงแต่อย่างใด 👉ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุเพียงให้รอฟังจากปูตินเท่านั้น ประธานาธิบดีปูติน ในระหว่างการประชุมสถานการณ์ที่เคิร์ส ใส่ชุดลายพรางของกองทัพรัสเซีย และไม่พูดถึงเรื่องข้อตกลง👉หยุดยิง โดยพูดถึงแต่การบดขยี้กองกำลังยูเครนในเคิร์สก์ และให้สร้างเขตปลอดภัยตามแนวชายแดนเท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค

    ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง

    เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨

    ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️

    👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย

    ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉

    ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷

    - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น
    - Southampton Technical College
    - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton
    - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷

    ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️

    เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄

    ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸

    ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️

    ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟

    ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞

    ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼
    - บริษัท CTO. Lines
    - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล
    - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน
    - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์
    - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป

    💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

    ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568

    #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨ ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️ 👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉 ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷 - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น - Southampton Technical College - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️ เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄 ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸 ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️ ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟 ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞 ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼 - บริษัท CTO. Lines - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์ - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป 💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568 #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทิศทางภูมิภาคเคอร์ซอน (Kherson) ของยูเครน

    ภาพการโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดร่อน FAB-500 ของรัสเซีย การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้กำลังพลจากกองพลนาวิกโยธินแยกที่ 39 แห่งกองทัพยูเครนเสียชีวิตมากถึง 30 ราย รวมทั้งยานพาหนะในโรงเก็บเครื่องบิน 5 คัน
    ทิศทางภูมิภาคเคอร์ซอน (Kherson) ของยูเครน ภาพการโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดร่อน FAB-500 ของรัสเซีย การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้กำลังพลจากกองพลนาวิกโยธินแยกที่ 39 แห่งกองทัพยูเครนเสียชีวิตมากถึง 30 ราย รวมทั้งยานพาหนะในโรงเก็บเครื่องบิน 5 คัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • เปิดตัว Edge AI Mini-PC จากบริษัท Sapphire ซึ่งมาพร้อมกับ APU (Accelerated Processing Unit) รุ่นใหม่ของ AMD อย่าง Ryzen AI 300 หรือชื่อรหัสว่า "Krackan Point" การออกแบบ Mini-PC นี้เน้นที่ความกะทัดรัดและการพกพาสะดวก แต่ยังคงประสิทธิภาพที่เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องการการประมวลผลสูงและการใช้งาน AI

    คุณสมบัติที่โดดเด่นของ Edge AI Mini-PC:
    1) ขนาดเล็กพิเศษ: ด้วยขนาดเพียง 117 x 111 x 30 มม. ทำให้สามารถพกพาได้ง่ายและไม่เปลืองพื้นที่จัดวาง

    2) ฮาร์ดแวร์ทรงพลัง: มีตัวเลือกโปรเซสเซอร์ Ryzen AI 7 350 หรือ Ryzen AI 5 340 ที่มีมากถึง 8 คอร์และ 16 เธรด พร้อมกับกราฟิก RDNA 3.5 แบบในตัวที่รองรับงานกราฟิกแบบเบาถึงกลาง

    3) หน่วยความจำและการจัดเก็บ:
    - รุ่น Ryzen AI 7 350 มาพร้อม RAM ขนาด 32GB
    - รุ่น Ryzen AI 5 340 มี RAM 16GB
    - รองรับ SSD สูงสุด 2 ตัว (ผ่านสล็อต M.2 2280 และ 2242)

    4) การเชื่อมต่อที่ครบครัน: มีพอร์ต USB 4.0, HDMI, DisplayPort และพอร์ต LAN ความเร็ว 2.5 GbE รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth

    5) การออกแบบที่ทันสมัย: ตัวเคสมาพร้อมฝาแม่เหล็กที่สามารถเปิดได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ

    Edge AI Mini-PC เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), และการเล่นเกมที่ไม่ต้องการกราฟิกหนัก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นโซลูชันสำหรับผู้ที่มองหาคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพื้นที่และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    Sapphire วางแผนที่จะเปิดตัว Mini-PC รุ่นนี้ในเดือนเมษายน โดยราคาที่คาดการณ์จะอยู่ต่ำกว่า $1,000 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและนักพัฒนา

    https://wccftech.com/sapphire-edge-ai-mini-pcs-amd-ryzen-ai-300-krackan-point/
    เปิดตัว Edge AI Mini-PC จากบริษัท Sapphire ซึ่งมาพร้อมกับ APU (Accelerated Processing Unit) รุ่นใหม่ของ AMD อย่าง Ryzen AI 300 หรือชื่อรหัสว่า "Krackan Point" การออกแบบ Mini-PC นี้เน้นที่ความกะทัดรัดและการพกพาสะดวก แต่ยังคงประสิทธิภาพที่เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องการการประมวลผลสูงและการใช้งาน AI คุณสมบัติที่โดดเด่นของ Edge AI Mini-PC: 1) ขนาดเล็กพิเศษ: ด้วยขนาดเพียง 117 x 111 x 30 มม. ทำให้สามารถพกพาได้ง่ายและไม่เปลืองพื้นที่จัดวาง 2) ฮาร์ดแวร์ทรงพลัง: มีตัวเลือกโปรเซสเซอร์ Ryzen AI 7 350 หรือ Ryzen AI 5 340 ที่มีมากถึง 8 คอร์และ 16 เธรด พร้อมกับกราฟิก RDNA 3.5 แบบในตัวที่รองรับงานกราฟิกแบบเบาถึงกลาง 3) หน่วยความจำและการจัดเก็บ: - รุ่น Ryzen AI 7 350 มาพร้อม RAM ขนาด 32GB - รุ่น Ryzen AI 5 340 มี RAM 16GB - รองรับ SSD สูงสุด 2 ตัว (ผ่านสล็อต M.2 2280 และ 2242) 4) การเชื่อมต่อที่ครบครัน: มีพอร์ต USB 4.0, HDMI, DisplayPort และพอร์ต LAN ความเร็ว 2.5 GbE รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth 5) การออกแบบที่ทันสมัย: ตัวเคสมาพร้อมฝาแม่เหล็กที่สามารถเปิดได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ Edge AI Mini-PC เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data), และการเล่นเกมที่ไม่ต้องการกราฟิกหนัก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นโซลูชันสำหรับผู้ที่มองหาคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพื้นที่และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ Sapphire วางแผนที่จะเปิดตัว Mini-PC รุ่นนี้ในเดือนเมษายน โดยราคาที่คาดการณ์จะอยู่ต่ำกว่า $1,000 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและนักพัฒนา https://wccftech.com/sapphire-edge-ai-mini-pcs-amd-ryzen-ai-300-krackan-point/
    WCCFTECH.COM
    Sapphire Intros Edge AI Mini-PCs Powered By AMD "Ryzen AI 300" Krackan Point APUs; Feature Ultra-Compact Form Factor
    Sapphire's new mini PCs lineup introduces AMD's recently launched Ryzen AI 300 APUs and is super-compact for better portability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • Congatec เปิดตัว ท่อความร้อนแบบใช้สารอะซิโตน (Acetone-based heat pipe) สำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณขั้วโลกหรือที่สูงที่เย็นจัด

    ทำไมต้องใช้อะซิโตนแทนน้ำ? ท่อความร้อนทั่วไปมักใช้ "น้ำ" เป็นของเหลวที่ดูดซับและถ่ายเทความร้อน เนื่องจากน้ำมีคุณสมบัติดูดความร้อนได้ดีเยี่ยม แต่ในอุณหภูมิติดลบ น้ำจะแข็งตัวและอาจทำลายระบบระบายความร้อน ในขณะที่อะซิโตนมีจุดเยือกแข็งต่ำมาก ทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมหนาวจัดโดยไม่เกิดการแช่แข็ง

    คุณสมบัติที่สำคัญ:
    - ระบบระบายความร้อนด้วยอะซิโตนสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ -40°C ถึง 85°C
    - ช่วยลดความจำเป็นในการออกแบบระบบที่ซับซ้อนและแพง เพราะสามารถติดตั้งกับโมดูลคอมพิวเตอร์แบบสำเร็จรูป (COM) ของ Congatec เช่น COM-HPC และ COM-HPC mini

    เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพสูงสำหรับการใช้งานในสถานที่ที่มีความหนาวเย็น เช่น การวิจัยในขั้วโลก หรือในโกดังแช่เย็น นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรับใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำและความเสถียรในอุณหภูมิติดลบ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/congatec-shows-off-acetone-based-heat-pipe-cooling-solution-for-extremely-cold-environments
    Congatec เปิดตัว ท่อความร้อนแบบใช้สารอะซิโตน (Acetone-based heat pipe) สำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณขั้วโลกหรือที่สูงที่เย็นจัด ทำไมต้องใช้อะซิโตนแทนน้ำ? ท่อความร้อนทั่วไปมักใช้ "น้ำ" เป็นของเหลวที่ดูดซับและถ่ายเทความร้อน เนื่องจากน้ำมีคุณสมบัติดูดความร้อนได้ดีเยี่ยม แต่ในอุณหภูมิติดลบ น้ำจะแข็งตัวและอาจทำลายระบบระบายความร้อน ในขณะที่อะซิโตนมีจุดเยือกแข็งต่ำมาก ทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมหนาวจัดโดยไม่เกิดการแช่แข็ง คุณสมบัติที่สำคัญ: - ระบบระบายความร้อนด้วยอะซิโตนสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ -40°C ถึง 85°C - ช่วยลดความจำเป็นในการออกแบบระบบที่ซับซ้อนและแพง เพราะสามารถติดตั้งกับโมดูลคอมพิวเตอร์แบบสำเร็จรูป (COM) ของ Congatec เช่น COM-HPC และ COM-HPC mini เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพสูงสำหรับการใช้งานในสถานที่ที่มีความหนาวเย็น เช่น การวิจัยในขั้วโลก หรือในโกดังแช่เย็น นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรับใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำและความเสถียรในอุณหภูมิติดลบ https://www.tomshardware.com/pc-components/cooling/congatec-shows-off-acetone-based-heat-pipe-cooling-solution-for-extremely-cold-environments
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่ได้พัฒนา ทรานซิสเตอร์ GAAFET แบบ 2 มิติที่ไม่ใช้ซิลิคอน เป็นครั้งแรกในโลก โดยใช้วัสดุ บิสมัทออกซีซีลีไนด์ (Bi₂O₂Se) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญมากในยุคโพสต์ซิลิคอนและการพัฒนาเทคโนโลยีระดับแองสตรอม

    ทรานซิสเตอร์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีการออกแบบแบบ Gate-All-Around Field-Effect Transistor (GAAFET) ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่เหนือกว่าเทคโนโลยี MOSFET และ FINFET โดยโครงสร้างแบบนี้ช่วยให้การควบคุมการสื่อสารระหว่าง source และ gate มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก และการเปลี่ยนมาใช้วัสดุ 2 มิติอย่าง Bi₂O₂Se ยังช่วยแก้ปัญหาความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ลดลงเมื่อเข้าสู่ระดับนาโนเมตร

    ทีมวิจัยระบุว่าทรานซิสเตอร์นี้เป็นการเปลี่ยนแนวทางอย่างสิ้นเชิง (หรือที่เรียกว่าการ "เปลี่ยนเลน") จากการพัฒนาเทคโนโลยีเดิม ๆ ที่ใช้ซิลิคอน โดยพวกเขาได้ทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ และพบว่าสามารถทำงานได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์จาก Intel, TSMC และ Samsung ในเงื่อนไขการทำงานเดียวกัน

    ความก้าวหน้านี้มีความสำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศจีน ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับข้อจำกัดทางเทคโนโลยีจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เนื่องจากถูกตัดขาดจากเครื่องมือผลิตที่สำคัญ เช่น ระบบ EUV lithography ทีมวิจัยจึงมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้จีนก้าวข้ามอุปสรรคในปัจจุบันไปยังจุดที่เหนือกว่าด้วยทรานซิสเตอร์แบบ 2 มิติที่มีศักยภาพมากขึ้น

    การพัฒนานี้อาจเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติในวงการเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะสำหรับชิปที่มีระดับการผลิตต่ำกว่า 1 นาโนเมตร ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจนำมาประยุกต์ใช้ในอุปกรณ์ขั้นสูง เช่น AI และ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในการใช้พลังงาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-university-designed-worlds-first-silicon-free-2d-gaafet-transistor-new-bismuth-based-tech-is-both-the-fastest-and-lowest-power-transistor-yet
    ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่ได้พัฒนา ทรานซิสเตอร์ GAAFET แบบ 2 มิติที่ไม่ใช้ซิลิคอน เป็นครั้งแรกในโลก โดยใช้วัสดุ บิสมัทออกซีซีลีไนด์ (Bi₂O₂Se) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญมากในยุคโพสต์ซิลิคอนและการพัฒนาเทคโนโลยีระดับแองสตรอม ทรานซิสเตอร์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีการออกแบบแบบ Gate-All-Around Field-Effect Transistor (GAAFET) ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่เหนือกว่าเทคโนโลยี MOSFET และ FINFET โดยโครงสร้างแบบนี้ช่วยให้การควบคุมการสื่อสารระหว่าง source และ gate มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก และการเปลี่ยนมาใช้วัสดุ 2 มิติอย่าง Bi₂O₂Se ยังช่วยแก้ปัญหาความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ลดลงเมื่อเข้าสู่ระดับนาโนเมตร ทีมวิจัยระบุว่าทรานซิสเตอร์นี้เป็นการเปลี่ยนแนวทางอย่างสิ้นเชิง (หรือที่เรียกว่าการ "เปลี่ยนเลน") จากการพัฒนาเทคโนโลยีเดิม ๆ ที่ใช้ซิลิคอน โดยพวกเขาได้ทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ และพบว่าสามารถทำงานได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์จาก Intel, TSMC และ Samsung ในเงื่อนไขการทำงานเดียวกัน ความก้าวหน้านี้มีความสำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศจีน ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับข้อจำกัดทางเทคโนโลยีจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เนื่องจากถูกตัดขาดจากเครื่องมือผลิตที่สำคัญ เช่น ระบบ EUV lithography ทีมวิจัยจึงมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้จีนก้าวข้ามอุปสรรคในปัจจุบันไปยังจุดที่เหนือกว่าด้วยทรานซิสเตอร์แบบ 2 มิติที่มีศักยภาพมากขึ้น การพัฒนานี้อาจเป็นก้าวแรกของการปฏิวัติในวงการเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะสำหรับชิปที่มีระดับการผลิตต่ำกว่า 1 นาโนเมตร ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจนำมาประยุกต์ใช้ในอุปกรณ์ขั้นสูง เช่น AI และ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในการใช้พลังงาน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-university-designed-worlds-first-silicon-free-2d-gaafet-transistor-new-bismuth-based-tech-is-both-the-fastest-and-lowest-power-transistor-yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Texas Instruments (TI) เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในชื่อ MSPM0C1104 ซึ่งมีขนาดเพียง 1.38 มม.² หรือเล็กเท่ากับเม็ดพริกไทยดำ และมาพร้อมราคาที่น่าทึ่งเพียง 20 เซนต์ ต่อชิ้นเมื่อสั่งซื้อจำนวนมาก

    คุณสมบัติที่น่าทึ่งของ MSPM0C1104:
    - หน่วยประมวลผล Cortex-M0+ 32 บิต ทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 24 MHz เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด
    - หน่วยความจำ SRAM 1KB และหน่วยความจำแบบแฟลชสูงสุด 16KB ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นได้ดี
    - มีฟังก์ชัน Analog-to-Digital Converter (ADC) ความละเอียด 12 บิตพร้อม 3 ช่องสัญญาณที่ช่วยให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์
    - รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานต่าง ๆ เช่น UART, SPI, และ I2C เพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบอุปกรณ์

    ไมโครคอนโทรลเลอร์นี้มีความทนทานสูง โดยทำงานได้ในอุณหภูมิระหว่าง –40°C ถึง 125°C และยังมีความประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานเพียง 87μA/MHz ขณะทำงาน และเพียง 5μA ในโหมดสแตนด์บาย

    TI ชี้ให้เห็นว่า MSPM0C1104 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ หรือ หูฟังไร้สาย ที่มีพื้นที่บอร์ดจำกัด การพัฒนานี้ยังช่วยให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความฉลาดขึ้นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น

    ด้วยราคาที่เข้าถึงได้อย่างมาก (เพียง 20 เซนต์ในปริมาณมาก) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ IoT และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-worlds-smallest-microcontroller-measures-just-1-38-mm2-and-costs-20-cents
    บริษัท Texas Instruments (TI) เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในชื่อ MSPM0C1104 ซึ่งมีขนาดเพียง 1.38 มม.² หรือเล็กเท่ากับเม็ดพริกไทยดำ และมาพร้อมราคาที่น่าทึ่งเพียง 20 เซนต์ ต่อชิ้นเมื่อสั่งซื้อจำนวนมาก คุณสมบัติที่น่าทึ่งของ MSPM0C1104: - หน่วยประมวลผล Cortex-M0+ 32 บิต ทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 24 MHz เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด - หน่วยความจำ SRAM 1KB และหน่วยความจำแบบแฟลชสูงสุด 16KB ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นได้ดี - มีฟังก์ชัน Analog-to-Digital Converter (ADC) ความละเอียด 12 บิตพร้อม 3 ช่องสัญญาณที่ช่วยให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ - รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานต่าง ๆ เช่น UART, SPI, และ I2C เพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบอุปกรณ์ ไมโครคอนโทรลเลอร์นี้มีความทนทานสูง โดยทำงานได้ในอุณหภูมิระหว่าง –40°C ถึง 125°C และยังมีความประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานเพียง 87μA/MHz ขณะทำงาน และเพียง 5μA ในโหมดสแตนด์บาย TI ชี้ให้เห็นว่า MSPM0C1104 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ หรือ หูฟังไร้สาย ที่มีพื้นที่บอร์ดจำกัด การพัฒนานี้ยังช่วยให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความฉลาดขึ้นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ด้วยราคาที่เข้าถึงได้อย่างมาก (เพียง 20 เซนต์ในปริมาณมาก) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ IoT และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-worlds-smallest-microcontroller-measures-just-1-38-mm2-and-costs-20-cents
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้พูดถึงความท้าทายของ Microsoft กับการพัฒนา ชิปควอนตัม Majorana 1 ซึ่งอ้างว่าสามารถบรรจุควอนตัมบิต (qubits) ได้ถึงหนึ่งล้านหน่วยในโปรเซสเซอร์เดียว โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Topological Core แต่ผลงานนี้กลับถูกตั้งข้อสงสัยจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มที่มองว่ามีปัญหาในด้านการพิสูจน์ความถูกต้องตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน

    จุดที่ถูกตั้งคำถาม:
    1) ความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์: ศาสตราจารย์ Sergey Frolov จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กระบุว่าชิปนี้อิงกับฟิสิกส์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ และเคยมีกรณีการถอนบทความที่เกี่ยวข้องในปี 2018 ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือ

    2) การขาดข้อมูลสำคัญ: การนำเสนอของ Microsoft ขาดรายละเอียดบางส่วนที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบ โดยนักวิจัยที่ได้รับข้อมูลมาก็ให้ความเห็นในเชิงวิจารณ์

    3) การมีอยู่ของอนุภาค Majorana: แม้อนุภาคนี้จะถูกตั้งสมมุติฐานมาตั้งแต่ปี 1937 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอนุภาคนี้มีอยู่จริง การที่ Microsoft อ้างว่าสามารถใช้อนุภาคนี้ในควอนตัมโปรเซสเซอร์ได้ ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างมาก

    Microsoft มีแผนจะนำเสนอบทความวิจัยในงาน American Physical Society Global Physics Summit ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยความก้าวหน้าเพิ่มเติม แต่ก็มีการแสดงความไม่มั่นใจว่าข้อมูลใหม่นี้จะเพียงพอต่อการตอบข้อกังวลหรือไม่

    ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการประมวลผลที่เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 20-30 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 การแข่งขันในวงการนี้รุนแรง โดยมีบริษัทอย่าง IBM, Quantum Brilliance และ QCI ที่ต่างพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อครองตลาดที่กำลังเติบโต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/microsofts-latest-quantum-computing-claims-have-been-named-unreliable-by-scientists
    เรื่องนี้พูดถึงความท้าทายของ Microsoft กับการพัฒนา ชิปควอนตัม Majorana 1 ซึ่งอ้างว่าสามารถบรรจุควอนตัมบิต (qubits) ได้ถึงหนึ่งล้านหน่วยในโปรเซสเซอร์เดียว โดยใช้สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Topological Core แต่ผลงานนี้กลับถูกตั้งข้อสงสัยจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มที่มองว่ามีปัญหาในด้านการพิสูจน์ความถูกต้องตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน จุดที่ถูกตั้งคำถาม: 1) ความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์: ศาสตราจารย์ Sergey Frolov จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กระบุว่าชิปนี้อิงกับฟิสิกส์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ และเคยมีกรณีการถอนบทความที่เกี่ยวข้องในปี 2018 ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือ 2) การขาดข้อมูลสำคัญ: การนำเสนอของ Microsoft ขาดรายละเอียดบางส่วนที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบ โดยนักวิจัยที่ได้รับข้อมูลมาก็ให้ความเห็นในเชิงวิจารณ์ 3) การมีอยู่ของอนุภาค Majorana: แม้อนุภาคนี้จะถูกตั้งสมมุติฐานมาตั้งแต่ปี 1937 แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าอนุภาคนี้มีอยู่จริง การที่ Microsoft อ้างว่าสามารถใช้อนุภาคนี้ในควอนตัมโปรเซสเซอร์ได้ ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างมาก Microsoft มีแผนจะนำเสนอบทความวิจัยในงาน American Physical Society Global Physics Summit ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยความก้าวหน้าเพิ่มเติม แต่ก็มีการแสดงความไม่มั่นใจว่าข้อมูลใหม่นี้จะเพียงพอต่อการตอบข้อกังวลหรือไม่ ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการประมวลผลที่เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาล ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 20-30 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 การแข่งขันในวงการนี้รุนแรง โดยมีบริษัทอย่าง IBM, Quantum Brilliance และ QCI ที่ต่างพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อครองตลาดที่กำลังเติบโต https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/microsofts-latest-quantum-computing-claims-have-been-named-unreliable-by-scientists
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Microsoft's latest Quantum computing claims have been named 'unreliable' by scientists
    Microsoft got the science wrong, according to one physics and astronomy professor.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง ASML และ Imec ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เป้าหมายของการร่วมมือในครั้งนี้คือการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงที่มีความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องมือ High-NA EUV lithography รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด

    Imec ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยในประเทศเบลเยียม จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือการผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุดของ ASML เช่น Twinscan NXT (DUV), Twinscan NXE (Low-NA EUV) และ Twinscan EXE (High-NA EUV) รวมถึงโซลูชันด้านการตรวจสอบและการวัดผลจาก YieldStar ของ ASML การทำงานเหล่านี้จะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาและทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในศูนย์วิจัยของ Imec เอง

    เทคโนโลยี High-NA EUV Lithography สามารถสร้างความละเอียดได้ถึง 8 นาโนเมตร ด้วยการใช้การฉายภาพเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิปที่ความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้มีราคาสูงถึง 350 ล้านดอลลาร์ต่อระบบ ทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จำกัดอยู่เฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเท่านั้น

    นอกเหนือจากการพัฒนาชิปที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ทั้งสององค์กรยังจะร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยี DRAM, ซิลิคอนโฟโตนิกส์ และการบรรจุชิปขั้นสูง การพัฒนานี้ไม่เพียงช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวหน้าขึ้น แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของ AI และเทคโนโลยีที่ต้องใช้การประมวลผลขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/asml-teams-up-with-imec-for-sub-2nm-process-technologies-with-high-na-euv-chipmaking-tools
    ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง ASML และ Imec ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เป้าหมายของการร่วมมือในครั้งนี้คือการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงที่มีความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องมือ High-NA EUV lithography รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด Imec ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยในประเทศเบลเยียม จะได้รับสิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือการผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุดของ ASML เช่น Twinscan NXT (DUV), Twinscan NXE (Low-NA EUV) และ Twinscan EXE (High-NA EUV) รวมถึงโซลูชันด้านการตรวจสอบและการวัดผลจาก YieldStar ของ ASML การทำงานเหล่านี้จะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาและทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในศูนย์วิจัยของ Imec เอง เทคโนโลยี High-NA EUV Lithography สามารถสร้างความละเอียดได้ถึง 8 นาโนเมตร ด้วยการใช้การฉายภาพเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตชิปที่ความละเอียดต่ำกว่า 2 นาโนเมตร อย่างไรก็ตาม เครื่องมือชนิดนี้มีราคาสูงถึง 350 ล้านดอลลาร์ต่อระบบ ทำให้การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จำกัดอยู่เฉพาะผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเท่านั้น นอกเหนือจากการพัฒนาชิปที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ทั้งสององค์กรยังจะร่วมมือกันในด้านเทคโนโลยี DRAM, ซิลิคอนโฟโตนิกส์ และการบรรจุชิปขั้นสูง การพัฒนานี้ไม่เพียงช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวหน้าขึ้น แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของ AI และเทคโนโลยีที่ต้องใช้การประมวลผลขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/asml-teams-up-with-imec-for-sub-2nm-process-technologies-with-high-na-euv-chipmaking-tools
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่แฮกเกอร์ใช้เทคนิคหลอกลวงด้วย CAPTCHA ปลอมเพื่อแพร่มัลแวร์เข้าสู่ระบบของเหยื่อ โดยวิธีการนี้เน้นการใช้ social engineering หรือการสร้างสถานการณ์ที่ดูน่าเชื่อถือเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้ปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยปราศจากข้อสงสัย

    เมื่อผู้ใช้งานเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย พวกเขาอาจพบ CAPTCHA ที่ขอให้ตรวจสอบว่าตนเองไม่ใช่หุ่นยนต์ ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม CAPTCHA ปลอมนี้อาจมีขั้นตอนเพิ่มเติมที่น่าสงสัย เช่น การให้ผู้ใช้กดปุ่ม Windows Key + R และวางข้อความในช่องรันคำสั่ง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นโค้ดที่แฝงคำสั่งอันตราย

    โค้ดเหล่านี้อาจเรียกใช้คำสั่ง mshta เพื่อดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล โดยไฟล์ที่ดาวน์โหลดมักปลอมตัวเป็นไฟล์มีเดีย เช่น MP3 หรือ MP4 แต่ในความเป็นจริง มันมีคำสั่ง PowerShell ที่แอบติดตั้งมัลแวร์ลงในระบบโดยไม่รู้ตัว

    มัลแวร์ที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ประกอบด้วย Lumma Stealer และ SecTopRAT ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ หรือเปิดช่องทางควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกล

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามคำแนะนำจาก CAPTCHA หรือเว็บไซต์ที่ดูน่าสงสัย
    - ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่สามารถบล็อกเว็บไซต์และสคริปต์อันตรายได้
    - ติดตั้งส่วนขยายในเบราว์เซอร์ที่ช่วยป้องกันโดเมนที่รู้จักว่าเป็นภัยไซเบอร์
    - หากเป็นไปได้ ควรใช้เบราว์เซอร์แยกสำหรับการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

    การโจมตีรูปแบบนี้เน้นจุดอ่อนในพฤติกรรมผู้ใช้งานที่มักไว้วางใจ CAPTCHA ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ต

    https://www.techspot.com/news/107107-new-cyber-threat-uses-fake-captcha-infect-systems.html
    นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่แฮกเกอร์ใช้เทคนิคหลอกลวงด้วย CAPTCHA ปลอมเพื่อแพร่มัลแวร์เข้าสู่ระบบของเหยื่อ โดยวิธีการนี้เน้นการใช้ social engineering หรือการสร้างสถานการณ์ที่ดูน่าเชื่อถือเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้ปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยปราศจากข้อสงสัย เมื่อผู้ใช้งานเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย พวกเขาอาจพบ CAPTCHA ที่ขอให้ตรวจสอบว่าตนเองไม่ใช่หุ่นยนต์ ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม CAPTCHA ปลอมนี้อาจมีขั้นตอนเพิ่มเติมที่น่าสงสัย เช่น การให้ผู้ใช้กดปุ่ม Windows Key + R และวางข้อความในช่องรันคำสั่ง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นโค้ดที่แฝงคำสั่งอันตราย โค้ดเหล่านี้อาจเรียกใช้คำสั่ง mshta เพื่อดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์จากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล โดยไฟล์ที่ดาวน์โหลดมักปลอมตัวเป็นไฟล์มีเดีย เช่น MP3 หรือ MP4 แต่ในความเป็นจริง มันมีคำสั่ง PowerShell ที่แอบติดตั้งมัลแวร์ลงในระบบโดยไม่รู้ตัว มัลแวร์ที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้ประกอบด้วย Lumma Stealer และ SecTopRAT ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ หรือเปิดช่องทางควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกล คำแนะนำในการป้องกัน: - หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามคำแนะนำจาก CAPTCHA หรือเว็บไซต์ที่ดูน่าสงสัย - ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่สามารถบล็อกเว็บไซต์และสคริปต์อันตรายได้ - ติดตั้งส่วนขยายในเบราว์เซอร์ที่ช่วยป้องกันโดเมนที่รู้จักว่าเป็นภัยไซเบอร์ - หากเป็นไปได้ ควรใช้เบราว์เซอร์แยกสำหรับการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ การโจมตีรูปแบบนี้เน้นจุดอ่อนในพฤติกรรมผู้ใช้งานที่มักไว้วางใจ CAPTCHA ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ต https://www.techspot.com/news/107107-new-cyber-threat-uses-fake-captcha-infect-systems.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New threat uses fake CAPTCHA to infect systems with malware
    The attack typically begins when visitors to a website are prompted to verify they are not robots, a common practice that rarely raises suspicion. However, instead of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel แต่งตั้ง Lip-Bu Tan ผู้เชี่ยวชาญที่เคารพนับถือในวงการเซมิคอนดักเตอร์ เป็น CEO คนใหม่ของ Intel โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 มีนาคม หลังจากที่บริษัทเผชิญกับช่วงเวลาท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์

    Intel เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากคู่แข่ง เช่น AMD และการก้าวขึ้นมาของผู้เล่นในตลาดอย่าง Nvidia ทำให้เกิดแรงกดดันในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน Lip-Bu Tan ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงในอุตสาหกรรมนี้ ถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้พลิกฟื้นสถานการณ์

    Lip-Bu Tan เคยเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Intel และเป็นผู้ก่อตั้ง Walden International บริษัททุนที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบการณ์และความเข้าใจของเขาทั้งในด้านการผลิตและการจัดการบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำคัญที่ Intel หวังว่าจะพาบริษัทออกจากช่วงเวลาที่ท้าทายได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/who-is-new-intel-ceo-lip-bu-tan
    Intel แต่งตั้ง Lip-Bu Tan ผู้เชี่ยวชาญที่เคารพนับถือในวงการเซมิคอนดักเตอร์ เป็น CEO คนใหม่ของ Intel โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 18 มีนาคม หลังจากที่บริษัทเผชิญกับช่วงเวลาท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ Intel เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างดุเดือดจากคู่แข่ง เช่น AMD และการก้าวขึ้นมาของผู้เล่นในตลาดอย่าง Nvidia ทำให้เกิดแรงกดดันในการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน Lip-Bu Tan ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงในอุตสาหกรรมนี้ ถูกมองว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้พลิกฟื้นสถานการณ์ Lip-Bu Tan เคยเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Intel และเป็นผู้ก่อตั้ง Walden International บริษัททุนที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ประสบการณ์และความเข้าใจของเขาทั้งในด้านการผลิตและการจัดการบริษัทด้านเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำคัญที่ Intel หวังว่าจะพาบริษัทออกจากช่วงเวลาที่ท้าทายได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/13/who-is-new-intel-ceo-lip-bu-tan
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Who is new Intel CEO Lip-Bu Tan?
    (Reuters) - Intel tapped former board member Lip-Bu Tan as its CEO on Wednesday, as the struggling American chipmaking icon attempts to emerge from one of its bleakest periods.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครมลินบอกให้อดใจรอการตัดสินใจต่อข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐและยูเครน

    ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลิน เรียกร้องให้อดทนรอกันอีกหน่อย ก่อนที่เครมลินจะสรุปผลเกี่ยวกับข้อเสนอหยุดยิงที่สหรัฐเป็นตัวกลาง

    “ผมทราบดีว่าพวกคุณอาจกำลังคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้ากันอยู่ เราไม่อยากให้พวกคุณทำอย่างนั้น เมื่อวานนี้ ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้ง รูบิโอและวอลทซ์ กล่าวว่าพวกเขาจะส่งข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาที่เจดดาห์ผ่านช่องทางการทูตต่างๆมาให้เรา”

    “เราจำเป็นต้องได้รับข้อมูลนั้นก่อน นอกจากนี้ เรายังมีแผนติดต่อกับสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งเราคาดว่าจะได้ภาพรวมทั้งหมด” เปสคอฟกล่าว
    เครมลินบอกให้อดใจรอการตัดสินใจต่อข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐและยูเครน ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลิน เรียกร้องให้อดทนรอกันอีกหน่อย ก่อนที่เครมลินจะสรุปผลเกี่ยวกับข้อเสนอหยุดยิงที่สหรัฐเป็นตัวกลาง “ผมทราบดีว่าพวกคุณอาจกำลังคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้ากันอยู่ เราไม่อยากให้พวกคุณทำอย่างนั้น เมื่อวานนี้ ขณะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้ง รูบิโอและวอลทซ์ กล่าวว่าพวกเขาจะส่งข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจาที่เจดดาห์ผ่านช่องทางการทูตต่างๆมาให้เรา” “เราจำเป็นต้องได้รับข้อมูลนั้นก่อน นอกจากนี้ เรายังมีแผนติดต่อกับสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งเราคาดว่าจะได้ภาพรวมทั้งหมด” เปสคอฟกล่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚩ทัวร์กรีซ 8 วัน 6 คืน

    ✈️เดินทางโดย : QR-กาตาร์แอร์เวย์

    🅿️ 25เม.ย. - 2 พ.ค. 68 ท่านละ 99,900

    📍 เอเธนส์
    📍 ล่องเรือชมคอคอดคอรินท์
    📍 วิหารอพอลโล
    📍 แมทธีโอร่า(มหาวิหารบนยอดเขา)
    📍 ล่องเรือชมสามเกาะ อ่าวซาโรนิค
    📍 อะโครโปลิส
    📍 วิหารพาเธนอน
    📍 วิหารโพรไพเลีย
    📍 แหลมซูเนี่ยน-เอเธนส์
    📍 ช้อปปิ้ง ย่านพลักก้า

    ⭕️ระดับทัวร์ : มาตรฐาน
    ⭕️รหัสทัวร์ : A14262
    ⭕️ราคาเริ่มต้น : ฿99,900

    🏢โรงแรม : 4 ดาว
    ✔เพิ่มเติม : 78s.me/e589bc

    ✔️คลิกดูโปรแกรม PDF : 78s.me/e46fe8

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e7f690

    ดูทัวร์วันแรงงานทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/ebb53e

    ดูทัวร์กรีซ|กรีกทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/362646

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์กรีซ|กรีก #ทัวร์วันแรงงาน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🚩ทัวร์กรีซ 8 วัน 6 คืน ✈️เดินทางโดย : QR-กาตาร์แอร์เวย์ 🅿️ 25เม.ย. - 2 พ.ค. 68 ท่านละ 99,900 📍 เอเธนส์ 📍 ล่องเรือชมคอคอดคอรินท์ 📍 วิหารอพอลโล 📍 แมทธีโอร่า(มหาวิหารบนยอดเขา) 📍 ล่องเรือชมสามเกาะ อ่าวซาโรนิค 📍 อะโครโปลิส 📍 วิหารพาเธนอน 📍 วิหารโพรไพเลีย 📍 แหลมซูเนี่ยน-เอเธนส์ 📍 ช้อปปิ้ง ย่านพลักก้า ⭕️ระดับทัวร์ : มาตรฐาน ⭕️รหัสทัวร์ : A14262 ⭕️ราคาเริ่มต้น : ฿99,900 🏢โรงแรม : 4 ดาว ✔เพิ่มเติม : 78s.me/e589bc ✔️คลิกดูโปรแกรม PDF : 78s.me/e46fe8 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e7f690 ดูทัวร์วันแรงงานทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/ebb53e ดูทัวร์กรีซ|กรีกทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/362646 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์กรีซ|กรีก #ทัวร์วันแรงงาน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกออนไลน์! หลังชายคนหนึ่งพบว่า รูปภูเขาที่เขาถ่ายมานั้น มีรูปทรงสุดน่ารักเหมือนกับสุนัขตัวน้อย ก่อนที่จะแชร์ลงโซเชียล จนเป็นไวรัลและทำเอาชาวเน็ตอยากแห่ไปตามรอยกันเป็นแถบ

    "วิวทิวทัศน์ 2 ฝั่งของแม่น้ำแยงซีสวยงามมาก! ตอนนั้นผมถ่ายรูปมาเยอะมาก พอกลับมาจัดรูป พบว่ารูปภูเขาที่ถ่ายมาดูเหมือนกับหัวของน้องหมาที่กำลังนอนหมอบอยู่ มันมหัศจรรย์มาก! น่ารักมาก!...ท่าทางเหมือนกับน้องหมาที่กำลังดื่มน้ำ หรือไม่ก็มองดูปลาในแม่น้ำ และคอยเฝ้าแม่น้ำแยงซี" นายกัว ซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปดังกล่าวกล่าว

    โดยเขาไม่คิดเลยว่า รูปที่เขาถ่ายนั้นจะกลายเป็นที่สนใจ และทำให้ภูเขาหมาน้อย ซึ่งตั้งอยู่ที่ริมฝั่งโกรกธารซีหลิง ในอำเภอจื่อกุย เมืองอี๋ชาง มณฑลหูเป่ย กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนอยากมาเช็กอินกันเป็นจำนวนมาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000022056

    #MGROnline #มณฑลหูเป่ย
    สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกออนไลน์! หลังชายคนหนึ่งพบว่า รูปภูเขาที่เขาถ่ายมานั้น มีรูปทรงสุดน่ารักเหมือนกับสุนัขตัวน้อย ก่อนที่จะแชร์ลงโซเชียล จนเป็นไวรัลและทำเอาชาวเน็ตอยากแห่ไปตามรอยกันเป็นแถบ • "วิวทิวทัศน์ 2 ฝั่งของแม่น้ำแยงซีสวยงามมาก! ตอนนั้นผมถ่ายรูปมาเยอะมาก พอกลับมาจัดรูป พบว่ารูปภูเขาที่ถ่ายมาดูเหมือนกับหัวของน้องหมาที่กำลังนอนหมอบอยู่ มันมหัศจรรย์มาก! น่ารักมาก!...ท่าทางเหมือนกับน้องหมาที่กำลังดื่มน้ำ หรือไม่ก็มองดูปลาในแม่น้ำ และคอยเฝ้าแม่น้ำแยงซี" นายกัว ซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปดังกล่าวกล่าว • โดยเขาไม่คิดเลยว่า รูปที่เขาถ่ายนั้นจะกลายเป็นที่สนใจ และทำให้ภูเขาหมาน้อย ซึ่งตั้งอยู่ที่ริมฝั่งโกรกธารซีหลิง ในอำเภอจื่อกุย เมืองอี๋ชาง มณฑลหูเป่ย กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนอยากมาเช็กอินกันเป็นจำนวนมาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000022056 • #MGROnline #มณฑลหูเป่ย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากประเด็นดราม่าของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน ออกมาแฉวีรกรรมของ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกฯ คนก่อน ถึงการทุจริตภายในองค์กรหลากหลายเรื่อง ล่าสุดเว็บไซต์ Sanook Money ได้ตรวจสอบข้อมูลที่รวบรวมรายชื่อบริษัทของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปรากฎว่า "บิ๊กอ๊อด" มีชื่อเป็นกรรมการบริษัท 4 แห่ง ถือหุ้น 11 รายการ มูลค่าทั้งหมด 730,542,041 บาท ดังนี้ 1.บริษัท กู๊ด เบทเทอร์ เบสท์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2564 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท และถือหุ้นจำนวน 2,507,000 หุ้น (99.88%) มูลค่าหุ้น 250,669,251 บาท ดำเนินธุรกิจการซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 251,000,0002.บริษัท พระแสงกรีน พาวเวอร์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2555 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 77,000,000 บาท 3.บริษัท เมดิคอล แอนด์ ฟู๊ด แลบ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2535 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ดำเนินธุรกิจจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 390,500,000 บาท4.บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ รีโวลูชั่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2558 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ดำเนินธุรกิจกิจกรรมด้านวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท ขณะเดียวกันยังมีการเปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยังมีการถือหุ้นบริษัทอีกหลายแห่งด้วยกัน ดังนี้ - บริษัท ออลล์ เอ็นเนอร์ยี่ แอนด์ ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้ง พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 266,375,434 หุ้น (5.18%) มูลค่าหุ้น 136,042,664 บาท- บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 31,043,914 หุ้น (5.99%) มูลค่าหุ้น 86,749,286 บาท- บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ดำเนินธุรกิจการให้เช่า การขาย การซื้อและการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 10,187,600 หุ้น (50.94%) มูลค่าหุ้น 76,891,474 บาท- บริษัท โกลด์ ชอร์ส จำกัด ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการค้าน้ำดื่ม น้ำแร่ น้ำดิบ และเครื่องบริโภคอื่น พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 610,000 หุ้น (8.09%) มูลค่าหุ้น 49,748,675 บาท- บริษัท อาร์เอสเอ็กซ์วายแซด จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเคมีภัณฑ์ พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 15,000,000 หุ้น (4.53%) มูลค่าหุ้น 46,067,090 บาท- บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจการออกแบบและติดตั้งระบบสื่อสารโทรคมนาคมและจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 14,290,500 หุ้น (1.42%) มูลค่าหุ้น 44,244,603 บาท- บริษัท พีแอนด์วี คอร์ปอเรชั่น ซิสเต็ม จำกัด ดำเนินธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 365,000 หุ้น (11.06%) มูลค่าหุ้น 36,437,810 บาท- ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.พุ่มพันธุ์ม่วง ดำเนินธุรกิจกิจกรรมการบริการอื่นๆเพื่อสนับสนุนธุรกิจซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ ในที่อื่น พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 500,000 หุ้น (50.00%) มูลค่าหุ้น 1,845,670 บาท- บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจขายและบริการโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์โทรศัพท์ พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 85,448,200 หุ้น (0.58%) มูลค่าหุ้น 1,153,637 บาท- บริษัท เขาใหญ่ กรีน จำกัด ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการทำการเกษตร พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 7,000 หุ้น (70.00%) มูลค่าหุ้น 691,881 บาทขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ Sanook
    จากประเด็นดราม่าของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน ออกมาแฉวีรกรรมของ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกฯ คนก่อน ถึงการทุจริตภายในองค์กรหลากหลายเรื่อง ล่าสุดเว็บไซต์ Sanook Money ได้ตรวจสอบข้อมูลที่รวบรวมรายชื่อบริษัทของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จากฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปรากฎว่า "บิ๊กอ๊อด" มีชื่อเป็นกรรมการบริษัท 4 แห่ง ถือหุ้น 11 รายการ มูลค่าทั้งหมด 730,542,041 บาท ดังนี้ 1.บริษัท กู๊ด เบทเทอร์ เบสท์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2564 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท และถือหุ้นจำนวน 2,507,000 หุ้น (99.88%) มูลค่าหุ้น 250,669,251 บาท ดำเนินธุรกิจการซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 251,000,0002.บริษัท พระแสงกรีน พาวเวอร์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2555 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 77,000,000 บาท 3.บริษัท เมดิคอล แอนด์ ฟู๊ด แลบ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2535 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ดำเนินธุรกิจจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 390,500,000 บาท4.บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ รีโวลูชั่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2558 พบรายชื่อนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท ดำเนินธุรกิจกิจกรรมด้านวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท ขณะเดียวกันยังมีการเปิดเผยว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยังมีการถือหุ้นบริษัทอีกหลายแห่งด้วยกัน ดังนี้ - บริษัท ออลล์ เอ็นเนอร์ยี่ แอนด์ ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้ง พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 266,375,434 หุ้น (5.18%) มูลค่าหุ้น 136,042,664 บาท- บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 31,043,914 หุ้น (5.99%) มูลค่าหุ้น 86,749,286 บาท- บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ดำเนินธุรกิจการให้เช่า การขาย การซื้อและการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 10,187,600 หุ้น (50.94%) มูลค่าหุ้น 76,891,474 บาท- บริษัท โกลด์ ชอร์ส จำกัด ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการค้าน้ำดื่ม น้ำแร่ น้ำดิบ และเครื่องบริโภคอื่น พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 610,000 หุ้น (8.09%) มูลค่าหุ้น 49,748,675 บาท- บริษัท อาร์เอสเอ็กซ์วายแซด จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเคมีภัณฑ์ พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 15,000,000 หุ้น (4.53%) มูลค่าหุ้น 46,067,090 บาท- บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจการออกแบบและติดตั้งระบบสื่อสารโทรคมนาคมและจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 14,290,500 หุ้น (1.42%) มูลค่าหุ้น 44,244,603 บาท- บริษัท พีแอนด์วี คอร์ปอเรชั่น ซิสเต็ม จำกัด ดำเนินธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 365,000 หุ้น (11.06%) มูลค่าหุ้น 36,437,810 บาท- ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.พุ่มพันธุ์ม่วง ดำเนินธุรกิจกิจกรรมการบริการอื่นๆเพื่อสนับสนุนธุรกิจซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ ในที่อื่น พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 500,000 หุ้น (50.00%) มูลค่าหุ้น 1,845,670 บาท- บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจขายและบริการโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์โทรศัพท์ พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 85,448,200 หุ้น (0.58%) มูลค่าหุ้น 1,153,637 บาท- บริษัท เขาใหญ่ กรีน จำกัด ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการทำการเกษตร พบนายสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ถือหุ้นจำนวน 7,000 หุ้น (70.00%) มูลค่าหุ้น 691,881 บาทขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ Sanook
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกียว​โด​นิวส์​ (12​ มี.ค.)​ ชายวัย 42 ปี ถูกจับกุมในข้อหาแทงหญิงสาววัย 22 ปี​ วล็อกเกอร์​สาว​ เสียชีวิตขณะกำลังไลฟ์สตรีมในเขตชินจูกุของโตเกียวเมื่อวันอังคาร โดยบอกกับตำรวจว่าเขาทำร้ายเธอเพราะทวงหนี้เงินที่เธอยืมไป

    ผู้ต้องสงสัย เคนอิจิ ทาคาโนะ จากโอยามะ จังหวัดโทชิงิ ซึ่งไม่ทราบอาชีพ (ว่างงาน)​ กล่าวว่าเขาตัดสินใจทำร้ายเหยื่อ ไอริ ซาโตะ หลังจากที่เธอไม่ยอมคืนเงินที่ยืมมาจากเขา ในเดือนมกราคม 2567

    ทาคาโนะได้ติดต่อตำรวจจังหวัดโทชิงิ โดยอ้างว่าซาโตะไม่ได้คืนเงินที่เขาให้ยืมแก่เธอ ผู้สืบสวนเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีต้นตอมาจากข้อพิพาททางการเงินนี้ และกำลังดำเนินการสอบสวนเพื่อยืนยันรายละเอียด

    ตำรวจกล่าวว่า ทาคาโนะเริ่มโอนเงินให้ซาโตะในปี 2565 โดยส่งเงินให้เธอมากกว่า 2 ล้านเยน ตามคำขอของเธอเพื่อชำระค่าครองชีพและค่าโทรศัพท์ และเงินก้อนนี้เขากู้ยืมจากบริษัทสินเชื่อผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/japan/detail/9680000023779

    #MGROnline #ชินจูกุ #ไลฟ์สตรีม #ทวงหนี้
    เกียว​โด​นิวส์​ (12​ มี.ค.)​ ชายวัย 42 ปี ถูกจับกุมในข้อหาแทงหญิงสาววัย 22 ปี​ วล็อกเกอร์​สาว​ เสียชีวิตขณะกำลังไลฟ์สตรีมในเขตชินจูกุของโตเกียวเมื่อวันอังคาร โดยบอกกับตำรวจว่าเขาทำร้ายเธอเพราะทวงหนี้เงินที่เธอยืมไป • ผู้ต้องสงสัย เคนอิจิ ทาคาโนะ จากโอยามะ จังหวัดโทชิงิ ซึ่งไม่ทราบอาชีพ (ว่างงาน)​ กล่าวว่าเขาตัดสินใจทำร้ายเหยื่อ ไอริ ซาโตะ หลังจากที่เธอไม่ยอมคืนเงินที่ยืมมาจากเขา ในเดือนมกราคม 2567 • ทาคาโนะได้ติดต่อตำรวจจังหวัดโทชิงิ โดยอ้างว่าซาโตะไม่ได้คืนเงินที่เขาให้ยืมแก่เธอ ผู้สืบสวนเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีต้นตอมาจากข้อพิพาททางการเงินนี้ และกำลังดำเนินการสอบสวนเพื่อยืนยันรายละเอียด • ตำรวจกล่าวว่า ทาคาโนะเริ่มโอนเงินให้ซาโตะในปี 2565 โดยส่งเงินให้เธอมากกว่า 2 ล้านเยน ตามคำขอของเธอเพื่อชำระค่าครองชีพและค่าโทรศัพท์ และเงินก้อนนี้เขากู้ยืมจากบริษัทสินเชื่อผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/japan/detail/9680000023779 • #MGROnline #ชินจูกุ #ไลฟ์สตรีม #ทวงหนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • "การตอบสนองอีกรายจากฝ่ายรัสเซีย" เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่เกิดจากความเห็นชอบของสหรัฐและยูเครน โดยมียุโรปออกมาให้การสนับสนุน

    ข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับยูเครนจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของมอสโกเท่านั้น

    "คอนสแตนติน โคซาชอฟ" รองประธานสภาสหพันธรัฐหรือวุฒิสภา (Federation Council) ประกาศไม่ยอมรับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยระบุว่าข้อตกลงที่แท้จริงใดๆ ก็ตามจะถูกกำหนดโดยรัสเซียในสนามรบ ไม่ใช่โดยวอชิงตัน

    โคซาชอฟเน้นย้ำว่า “แม้ว่ายูเครนจะยอมก้มหัวและประจบประแจงสหรัฐ โดยยอมทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาสั่ง แต่สุดท้ายแล้ว ข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัสเซียเท่านั้น”

    โคซาชอฟ ยังกล่าวเสริมอีกว่า มอสโก ไม่ใช่วอชิงตัน เราเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขสันติภาพ และสหรัฐฯ ควรยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
    "การตอบสนองอีกรายจากฝ่ายรัสเซีย" เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง 30 วัน ที่เกิดจากความเห็นชอบของสหรัฐและยูเครน โดยมียุโรปออกมาให้การสนับสนุน ข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับยูเครนจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของมอสโกเท่านั้น "คอนสแตนติน โคซาชอฟ" รองประธานสภาสหพันธรัฐหรือวุฒิสภา (Federation Council) ประกาศไม่ยอมรับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยระบุว่าข้อตกลงที่แท้จริงใดๆ ก็ตามจะถูกกำหนดโดยรัสเซียในสนามรบ ไม่ใช่โดยวอชิงตัน โคซาชอฟเน้นย้ำว่า “แม้ว่ายูเครนจะยอมก้มหัวและประจบประแจงสหรัฐ โดยยอมทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาสั่ง แต่สุดท้ายแล้ว ข้อตกลงใดๆ ก็ตามจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัสเซียเท่านั้น” โคซาชอฟ ยังกล่าวเสริมอีกว่า มอสโก ไม่ใช่วอชิงตัน เราเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขสันติภาพ และสหรัฐฯ ควรยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซิมเพนกวินลดล้างสต็อก ปิดตำนาน MVNO ของ NT

    การสิ้นสุดสัญญาอนุญาตคลื่นความถี่ย่าน 850, 2100 และ 2300 MHz. ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในเดือน ส.ค. 2568 ส่งผลกระทบกับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่ายเสมือน (MVNO) ที่ซื้อบริการต่อจาก NT โดยมีผู้ใช้บริการนับแสนราย เพราะผู้บริหาร NT ตัดสินใจถอนตัวออกจากตลาด เพราะต้นทุนค่าโรมมิ่งที่สูง และผู้ให้บริการหลายรายขาดสภาพคล่อง

    ล่าสุด บริษัท เดอะ ไวท์สเปซ จำกัด หรือซิมเพนกวิน ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2559 หรือเมื่อ 9 ปีก่อน ประกาศปิดระบบลงทะเบียนซิมการ์ด เนื่องจากต้องยุติการให้บริการตามสัญญาอนุญาตคลื่นความถี่ในวันที่ 16 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้การยุติการให้บริการซิมเพนกวินเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ลูกค้าสามารถลงทะเบียนซิมการ์ด (เปิดเบอร์ใหม่) ได้ถึงวันที่ 20 เม.ย.2568 หลังจากวันดังกล่าว ลูกค้าจะไม่สามารถเปิดเบอร์ใหม่ได้ตามข้อกำนดของ กสทช.

    และเพื่อให้ลูกค้าซิมเพนกวินสามารถใช้งานเลขหมายอย่างต่อเนื่อง และรักษาสิทธิการครอบครองเลขหมาย บริษัทฯ เสนอแนวทางให้โอนย้ายเลขหมายซิมเพนกวินที่ใช้อยู่ ไปยังผู้ให้บริการรายอื่น (การย้ายค่ายเบอร์เดิม) ได้ถึงวันที่ 16 ก.ค. 2568 ในระหว่างดำเนินการย้ายค่าย ยังสามารถใช้บริการได้ตามปกติ จนกว่าระบบจะแจ้งผลการย้ายค่ายสำเร็จ

    ขณะที่เฟซบุ๊ก "ซิมเพนกวิน Penguin SIM" ประกาศลดล้างสต็อก ปรับราคาเบอร์มงคล 2,838 เลขหมาย ลด 50% ในราคาเริ่มต้นที่ 600-10,000 บาท เมื่อซื้อแล้วสามารถทำเรื่องย้ายค่ายได้ทันที

    ปัจจุบัน ผู้ให้บริการ MVNO โดยใช้เครือข่ายของ NT ประกอบด้วย

    1. บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ i-Kool 3G ซึ่งให้บริการมานาน 16 ปี มีแผนสิ้นสุดการให้บริการ 30 มิ.ย.2568 โดยให้ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม หรือปิดเบอร์แล้วขอรับเงินคืนภายใน 31 พ.ค.2568

    2. บริษัท เรดวัน เน็ตเวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด หรือ redONE กำลังเจรจากับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อเปลี่ยนมาทำธุรกิจ MVNO โดยใช้เครือข่าย True แต่ยังไม่มีความคืบหน้า

    3. บริษัท เดอะ ไวท์สเปซ จำกัด หรือซิมเพนกวิน

    4. บริษัท บางกอกเทลลิ้ง จำกัด หรือซิมอินฟินิท (Infinite)

    5. บริษัท ฟีล เทเลคอม คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ฟิล (Feels)

    6. บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือซิมเคโฟร์ (K4) กรรมการบริษัทถูกจับกุมฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กสทช.อยู่ระหว่างเพิกถอนใบอนุญาต และให้ NT ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานราว 40,000 ราย

    #Newskit
    ซิมเพนกวินลดล้างสต็อก ปิดตำนาน MVNO ของ NT การสิ้นสุดสัญญาอนุญาตคลื่นความถี่ย่าน 850, 2100 และ 2300 MHz. ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในเดือน ส.ค. 2568 ส่งผลกระทบกับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่ายเสมือน (MVNO) ที่ซื้อบริการต่อจาก NT โดยมีผู้ใช้บริการนับแสนราย เพราะผู้บริหาร NT ตัดสินใจถอนตัวออกจากตลาด เพราะต้นทุนค่าโรมมิ่งที่สูง และผู้ให้บริการหลายรายขาดสภาพคล่อง ล่าสุด บริษัท เดอะ ไวท์สเปซ จำกัด หรือซิมเพนกวิน ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2559 หรือเมื่อ 9 ปีก่อน ประกาศปิดระบบลงทะเบียนซิมการ์ด เนื่องจากต้องยุติการให้บริการตามสัญญาอนุญาตคลื่นความถี่ในวันที่ 16 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้การยุติการให้บริการซิมเพนกวินเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ลูกค้าสามารถลงทะเบียนซิมการ์ด (เปิดเบอร์ใหม่) ได้ถึงวันที่ 20 เม.ย.2568 หลังจากวันดังกล่าว ลูกค้าจะไม่สามารถเปิดเบอร์ใหม่ได้ตามข้อกำนดของ กสทช. และเพื่อให้ลูกค้าซิมเพนกวินสามารถใช้งานเลขหมายอย่างต่อเนื่อง และรักษาสิทธิการครอบครองเลขหมาย บริษัทฯ เสนอแนวทางให้โอนย้ายเลขหมายซิมเพนกวินที่ใช้อยู่ ไปยังผู้ให้บริการรายอื่น (การย้ายค่ายเบอร์เดิม) ได้ถึงวันที่ 16 ก.ค. 2568 ในระหว่างดำเนินการย้ายค่าย ยังสามารถใช้บริการได้ตามปกติ จนกว่าระบบจะแจ้งผลการย้ายค่ายสำเร็จ ขณะที่เฟซบุ๊ก "ซิมเพนกวิน Penguin SIM" ประกาศลดล้างสต็อก ปรับราคาเบอร์มงคล 2,838 เลขหมาย ลด 50% ในราคาเริ่มต้นที่ 600-10,000 บาท เมื่อซื้อแล้วสามารถทำเรื่องย้ายค่ายได้ทันที ปัจจุบัน ผู้ให้บริการ MVNO โดยใช้เครือข่ายของ NT ประกอบด้วย 1. บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ i-Kool 3G ซึ่งให้บริการมานาน 16 ปี มีแผนสิ้นสุดการให้บริการ 30 มิ.ย.2568 โดยให้ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม หรือปิดเบอร์แล้วขอรับเงินคืนภายใน 31 พ.ค.2568 2. บริษัท เรดวัน เน็ตเวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด หรือ redONE กำลังเจรจากับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อเปลี่ยนมาทำธุรกิจ MVNO โดยใช้เครือข่าย True แต่ยังไม่มีความคืบหน้า 3. บริษัท เดอะ ไวท์สเปซ จำกัด หรือซิมเพนกวิน 4. บริษัท บางกอกเทลลิ้ง จำกัด หรือซิมอินฟินิท (Infinite) 5. บริษัท ฟีล เทเลคอม คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ฟิล (Feels) 6. บริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือซิมเคโฟร์ (K4) กรรมการบริษัทถูกจับกุมฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กสทช.อยู่ระหว่างเพิกถอนใบอนุญาต และให้ NT ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานราว 40,000 ราย #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงการเปิดตัวหน่วยประมวลผลฝังตัวรุ่นใหม่ของ AMD ในตระกูล EPYC Embedded 9005 "Turin" ซึ่งออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์และการใช้งานในระดับองค์กร โดยโปรเซสเซอร์เหล่านี้ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และ Zen 5c ซึ่งเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดของ AMD ในขณะนี้

    ความน่าสนใจของรุ่นนี้คือ การที่มันมาในรูปแบบ BGA (Ball Grid Array) ที่ไม่สามารถเปลี่ยนหรืออัปเกรดได้ ทำให้เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงโดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Non-Transparent Bridging (NTB) ซึ่งช่วยถ่ายโอนข้อมูลระหว่างโปรเซสเซอร์สองตัวได้อย่างรวดเร็วผ่าน PCI-Express 5.0 x16 อีกทั้งยังมีระบบ DRAM flush สำหรับลดผลกระทบจากการสูญเสียพลังงาน โดยสามารถบันทึกข้อมูลจาก DRAM ลงใน NVMe SSD เพื่อกู้คืนข้อมูลได้ในภายหลัง

    ตัวโปรเซสเซอร์ในซีรีส์นี้มีให้เลือกตั้งแต่ 8 คอร์ไปจนถึง 192 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาดสูงสุดถึง 512 MB และช่องหน่วยความจำ DDR5 ถึง 12 ช่อง ทำให้สามารถรองรับแบนด์วิดท์ได้สูงถึง 614 GB/s นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งานผ่านการฝังระบบปฏิบัติการแบบเบาไว้ในแฟลช ROM ขนาด 64 MB เพื่อช่วยในกระบวนการบูตระบบได้อย่างรวดเร็ว

    ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ AMD นำเสนอเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องการการประมวลผลสูง แต่ยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากระบบขัดข้องหรือพลังงานหมดในกระบวนการทำงาน

    https://www.techpowerup.com/333913/amd-launches-the-epyc-embedded-9005-turin-family-of-server-processors
    ข่าวนี้พูดถึงการเปิดตัวหน่วยประมวลผลฝังตัวรุ่นใหม่ของ AMD ในตระกูล EPYC Embedded 9005 "Turin" ซึ่งออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์และการใช้งานในระดับองค์กร โดยโปรเซสเซอร์เหล่านี้ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และ Zen 5c ซึ่งเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดของ AMD ในขณะนี้ ความน่าสนใจของรุ่นนี้คือ การที่มันมาในรูปแบบ BGA (Ball Grid Array) ที่ไม่สามารถเปลี่ยนหรืออัปเกรดได้ ทำให้เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงโดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Non-Transparent Bridging (NTB) ซึ่งช่วยถ่ายโอนข้อมูลระหว่างโปรเซสเซอร์สองตัวได้อย่างรวดเร็วผ่าน PCI-Express 5.0 x16 อีกทั้งยังมีระบบ DRAM flush สำหรับลดผลกระทบจากการสูญเสียพลังงาน โดยสามารถบันทึกข้อมูลจาก DRAM ลงใน NVMe SSD เพื่อกู้คืนข้อมูลได้ในภายหลัง ตัวโปรเซสเซอร์ในซีรีส์นี้มีให้เลือกตั้งแต่ 8 คอร์ไปจนถึง 192 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาดสูงสุดถึง 512 MB และช่องหน่วยความจำ DDR5 ถึง 12 ช่อง ทำให้สามารถรองรับแบนด์วิดท์ได้สูงถึง 614 GB/s นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งานผ่านการฝังระบบปฏิบัติการแบบเบาไว้ในแฟลช ROM ขนาด 64 MB เพื่อช่วยในกระบวนการบูตระบบได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ AMD นำเสนอเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องการการประมวลผลสูง แต่ยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากระบบขัดข้องหรือพลังงานหมดในกระบวนการทำงาน https://www.techpowerup.com/333913/amd-launches-the-epyc-embedded-9005-turin-family-of-server-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Launches the EPYC Embedded 9005 "Turin" Family of Server Processors
    AMD today launched the EPYC Embedded 9005 line of server processors in the embedded form-factor. These are non-socketed variants of the EPYC 9005 "Turin" server processors. The chips are intended for servers and other enterprise applications where processor replacements or upgradability are not a co...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ "4D Printing" ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ แต่เพิ่มความสามารถให้วัสดุที่พิมพ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ เช่น อุณหภูมิ แสง แม่เหล็ก หรือกระแสไฟฟ้า

    หัวใจสำคัญของการค้นพบนี้คือการใช้วัสดุอัจฉริยะ เช่น โลหะที่จดจำรูปร่างได้หรือโพลิเมอร์พิเศษ ที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่เหมาะสม โดยใช้เทคนิคนี้ร่วมกับอัลกอริทึม Machine Learning ทำให้วัสดุสามารถเคลื่อนย้ายอนุภาคขนาดเล็ก (ตั้งแต่ 1 ถึง 100 ไมครอน) ไปยังจุดหมายได้อย่างแม่นยำ และลดการพึ่งพาการควบคุมโดยมนุษย์

    สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือศักยภาพในการใช้งานจริง เช่น การขนส่งยาไปยังเซลล์ที่เฉพาะเจาะจงในร่างกาย การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งการสร้างชิ้นส่วนสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ในรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีนี้ยังสามารถเดินทางผ่านสื่อหลากหลายชนิดได้ เช่น ในระบบไหลเวียนโลหิตหรือทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์และการผลิต

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/ibm-secures-patent-for-4d-printing-smart-material-uses-ml-for-transporting-microparticles
    IBM ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ "4D Printing" ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ แต่เพิ่มความสามารถให้วัสดุที่พิมพ์สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ เช่น อุณหภูมิ แสง แม่เหล็ก หรือกระแสไฟฟ้า หัวใจสำคัญของการค้นพบนี้คือการใช้วัสดุอัจฉริยะ เช่น โลหะที่จดจำรูปร่างได้หรือโพลิเมอร์พิเศษ ที่สามารถเปลี่ยนรูปทรงและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่เหมาะสม โดยใช้เทคนิคนี้ร่วมกับอัลกอริทึม Machine Learning ทำให้วัสดุสามารถเคลื่อนย้ายอนุภาคขนาดเล็ก (ตั้งแต่ 1 ถึง 100 ไมครอน) ไปยังจุดหมายได้อย่างแม่นยำ และลดการพึ่งพาการควบคุมโดยมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือศักยภาพในการใช้งานจริง เช่น การขนส่งยาไปยังเซลล์ที่เฉพาะเจาะจงในร่างกาย การผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งการสร้างชิ้นส่วนสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ในรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีนี้ยังสามารถเดินทางผ่านสื่อหลากหลายชนิดได้ เช่น ในระบบไหลเวียนโลหิตหรือทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์และการผลิต https://www.tomshardware.com/3d-printing/ibm-secures-patent-for-4d-printing-smart-material-uses-ml-for-transporting-microparticles
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    IBM secures patent for 4D printing — smart material uses ML for transporting microparticles
    A machine learning algorithm controls the 3D printer material to transport microparticles practically anywhere.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งประกาศว่าจะหยุดการสนับสนุนแอปพลิเคชัน Remote Desktop (ที่มีใน Microsoft Store) อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม โดยแอปนี้จะถูกแทนที่ด้วย Windows App ตัวใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรและสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ

    Windows App นี้สามารถเชื่อมต่อกับ Azure Virtual Desktop, Windows 365, Microsoft Dev Box และบริการ Remote Desktop ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเบราว์เซอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวแอปยังไม่รองรับ Remote Desktop Services และการเชื่อมต่อ Remote PC บนระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องหันไปใช้แอป Remote Desktop Connection ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows แทน

    Microsoft พยายามผลักดัน Windows App ให้เป็น "ศูนย์กลางที่รวมทุกการเข้าถึงระบบ Windows" โดยเปิดตัวเวอร์ชันทางการเมื่อเดือนกันยายนปี 2024 แต่แม้ว่าแอปจะอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี มันยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่ ซึ่ง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบปัญหาที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในเว็บไซต์ของพวกเขา

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-replacing-remote-desktop-app-with-windows-app-in-may/
    Microsoft เพิ่งประกาศว่าจะหยุดการสนับสนุนแอปพลิเคชัน Remote Desktop (ที่มีใน Microsoft Store) อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม โดยแอปนี้จะถูกแทนที่ด้วย Windows App ตัวใหม่ ซึ่งออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรและสถาบันการศึกษาโดยเฉพาะ Windows App นี้สามารถเชื่อมต่อกับ Azure Virtual Desktop, Windows 365, Microsoft Dev Box และบริการ Remote Desktop ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน ไปจนถึงเบราว์เซอร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวแอปยังไม่รองรับ Remote Desktop Services และการเชื่อมต่อ Remote PC บนระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ใช้งานต้องหันไปใช้แอป Remote Desktop Connection ที่มีอยู่ในระบบปฏิบัติการ Windows แทน Microsoft พยายามผลักดัน Windows App ให้เป็น "ศูนย์กลางที่รวมทุกการเข้าถึงระบบ Windows" โดยเปิดตัวเวอร์ชันทางการเมื่อเดือนกันยายนปี 2024 แต่แม้ว่าแอปจะอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี มันยังคงมีข้อจำกัดสำคัญอยู่ ซึ่ง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานตรวจสอบปัญหาที่อาจกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในเว็บไซต์ของพวกเขา https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-replacing-remote-desktop-app-with-windows-app-in-may/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft replacing Remote Desktop app with Windows App in May
    Microsoft announced that it will drop support for the Remote Desktop app (available via the Microsoft Store) on May 27 and replace it with its new Windows App.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts