• Titanload สายพาวเวอร์รุ่นใหม่จาก Segotep

    Segotep ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนเปิดตัวสาย Titanload 12V-2x6 ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหัวต่อพาวเวอร์การ์ดจอที่หลอมละลาย โดยใช้ ขั้วต่อที่รองรับกระแสสูงกว่า มาตรฐาน ATX 3.0 (9.2A) โดยรุ่น Titanload ใช้ขั้ว 12A และ Titanload EX ใช้ขั้ว 14A ทำให้มี Margin ความปลอดภัยสูงขึ้นถึง 52% เมื่อเทียบกับมาตรฐานเดิม ผลการทดสอบพบว่าอุณหภูมิลดลงได้มากกว่า 70% ในบางกรณี ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาแบบ “Brute-force” ที่เน้นความแข็งแรงของวัสดุ

    ปัญหาที่แท้จริงของหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6
    แม้ Segotep จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มความทนทาน แต่รายงานจากหลายสำนักยังชี้ว่า หัวต่อ 12VHPWR มีข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง เช่นการกระจายกระแสไม่สม่ำเสมอ และพื้นที่สัมผัสที่เล็กเกินไป ทำให้บางขั้วรับกระแสมากเกินจนเกิดความร้อนสูงและหลอมละลาย ปัญหานี้ถูกพบทั้งใน RTX 4090 และล่าสุด RTX 5090/5080 ซึ่งกินไฟสูงสุดถึง 600W และบางครั้งพุ่งไปถึง 644W ในการทดสอบ ทำให้หัวต่อทำงานใกล้ขีดจำกัดตลอดเวลา

    ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่
    นักรีวิวและผู้เชี่ยวชาญหลายราย เช่น Der8auer และ JayzTwoCents พบว่าแม้จะใช้สายคุณภาพสูงก็ยังเกิดการหลอมละลายได้ เนื่องจาก การออกแบบที่ไม่สมบูรณ์ และการตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ ทำให้ไม่สามารถบาลานซ์กระแสระหว่างขั้วได้ หากมีการเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ขั้วบางจุดรับกระแสเกินพิกัดจนเกิดความเสียหายรุนแรง

    ทางเลือกและข้อเสนอแนะ
    บางผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าอาจต้องกลับไปใช้หัวต่อ 8-pin แบบเดิมหลายชุด ซึ่งมี Margin ความปลอดภัยสูงกว่า และไม่เคยมีรายงานการหลอมละลายภายใต้การใช้งานปกติ หรือพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่นหัวต่อที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับกระแสต่อขั้ว เพื่อแจ้งเตือนก่อนเกิดความร้อนสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม Segotep Titanload ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่น่าสนใจในการแก้ปัญหานี้

    สรุปสาระสำคัญ
    Segotep Titanload เปิดตัวสายพาวเวอร์ใหม่
    ใช้ขั้วต่อ 12A และ 14A เพิ่ม Margin ความปลอดภัยสูงสุด 52%
    ลดอุณหภูมิได้ถึง 72% เมื่อเทียบกับสายมาตรฐาน

    ผลการทดสอบจริง
    Titanload EX ลดความร้อน Hotspot ได้มากกว่า 53%
    ภายใต้โหลดสูงยังคงรักษาอุณหภูมิไม่เกิน 95°C

    ปัญหาหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6 ยังไม่หมดไป
    กระแสไม่กระจายสม่ำเสมอ ทำให้บางขั้วรับโหลดเกินพิกัด
    มีรายงานการหลอมละลายทั้งใน RTX 4090, 5080 และ 5090

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้งาน
    หากเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย อาจทำให้ GPU เสียหาย
    การตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มเหลว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/segoteps-titanload-12v-2x6-cables-use-heavier-duty-pins-to-prevent-meltdowns-brute-force-approach-purportedly-drops-peak-temps-by-up-to-72-percent
    🔌 Titanload สายพาวเวอร์รุ่นใหม่จาก Segotep Segotep ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนเปิดตัวสาย Titanload 12V-2x6 ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหัวต่อพาวเวอร์การ์ดจอที่หลอมละลาย โดยใช้ ขั้วต่อที่รองรับกระแสสูงกว่า มาตรฐาน ATX 3.0 (9.2A) โดยรุ่น Titanload ใช้ขั้ว 12A และ Titanload EX ใช้ขั้ว 14A ทำให้มี Margin ความปลอดภัยสูงขึ้นถึง 52% เมื่อเทียบกับมาตรฐานเดิม ผลการทดสอบพบว่าอุณหภูมิลดลงได้มากกว่า 70% ในบางกรณี ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาแบบ “Brute-force” ที่เน้นความแข็งแรงของวัสดุ ⚡ ปัญหาที่แท้จริงของหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6 แม้ Segotep จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มความทนทาน แต่รายงานจากหลายสำนักยังชี้ว่า หัวต่อ 12VHPWR มีข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง เช่นการกระจายกระแสไม่สม่ำเสมอ และพื้นที่สัมผัสที่เล็กเกินไป ทำให้บางขั้วรับกระแสมากเกินจนเกิดความร้อนสูงและหลอมละลาย ปัญหานี้ถูกพบทั้งใน RTX 4090 และล่าสุด RTX 5090/5080 ซึ่งกินไฟสูงสุดถึง 600W และบางครั้งพุ่งไปถึง 644W ในการทดสอบ ทำให้หัวต่อทำงานใกล้ขีดจำกัดตลอดเวลา 🔥 ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ นักรีวิวและผู้เชี่ยวชาญหลายราย เช่น Der8auer และ JayzTwoCents พบว่าแม้จะใช้สายคุณภาพสูงก็ยังเกิดการหลอมละลายได้ เนื่องจาก การออกแบบที่ไม่สมบูรณ์ และการตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ ทำให้ไม่สามารถบาลานซ์กระแสระหว่างขั้วได้ หากมีการเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ขั้วบางจุดรับกระแสเกินพิกัดจนเกิดความเสียหายรุนแรง 🛡️ ทางเลือกและข้อเสนอแนะ บางผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าอาจต้องกลับไปใช้หัวต่อ 8-pin แบบเดิมหลายชุด ซึ่งมี Margin ความปลอดภัยสูงกว่า และไม่เคยมีรายงานการหลอมละลายภายใต้การใช้งานปกติ หรือพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่นหัวต่อที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับกระแสต่อขั้ว เพื่อแจ้งเตือนก่อนเกิดความร้อนสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม Segotep Titanload ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่น่าสนใจในการแก้ปัญหานี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Segotep Titanload เปิดตัวสายพาวเวอร์ใหม่ ➡️ ใช้ขั้วต่อ 12A และ 14A เพิ่ม Margin ความปลอดภัยสูงสุด 52% ➡️ ลดอุณหภูมิได้ถึง 72% เมื่อเทียบกับสายมาตรฐาน ✅ ผลการทดสอบจริง ➡️ Titanload EX ลดความร้อน Hotspot ได้มากกว่า 53% ➡️ ภายใต้โหลดสูงยังคงรักษาอุณหภูมิไม่เกิน 95°C ‼️ ปัญหาหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6 ยังไม่หมดไป ⛔ กระแสไม่กระจายสม่ำเสมอ ทำให้บางขั้วรับโหลดเกินพิกัด ⛔ มีรายงานการหลอมละลายทั้งใน RTX 4090, 5080 และ 5090 ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้งาน ⛔ หากเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย อาจทำให้ GPU เสียหาย ⛔ การตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มเหลว https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/segoteps-titanload-12v-2x6-cables-use-heavier-duty-pins-to-prevent-meltdowns-brute-force-approach-purportedly-drops-peak-temps-by-up-to-72-percent
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • ความหมายของ S และ P ในแบตเตอรี่

    บทความนี้อธิบายว่าอักษร S และ P บนแบตเตอรี่แพ็ก หมายถึงการจัดเรียงเซลล์แบบ Series (S) และ Parallel (P) ซึ่งส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าและความจุของแบตเตอรี่ โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า, e-bike, หรือรถยนต์ไฟฟ้า

    S (Series): การต่อเซลล์แบบอนุกรม โดยขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ ทำให้แรงดันไฟฟ้ารวมกัน เช่น 2 เซลล์ 1.5V ต่ออนุกรมจะได้ 3V

    P (Parallel): การต่อเซลล์แบบขนาน โดยขั้วบวกทั้งหมดเชื่อมกัน และขั้วลบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ความจุเพิ่มขึ้น เช่น 2 เซลล์ 12V ต่อขนานยังคงได้ 12V แต่ความจุเป็นสองเท่า

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools): ใช้การต่อแบบ Series เพื่อให้แรงดันสูงขึ้น เช่น DeWalt 20V MAX ใช้การต่อ 5 เซลล์อนุกรมเพื่อให้มอเตอร์มีแรงบิดสูง

    e-bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้การต่อผสมทั้ง Series และ Parallel เพื่อให้ได้ทั้งแรงดันและความจุ เช่น แบตเตอรี่ 4S2P หมายถึง 4 เซลล์อนุกรม แล้วนำ 2 ชุดมาต่อขนาน รวมแรงดัน 14.4V และความจุเพิ่มขึ้นสองเท่า

    รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): ใช้การต่อที่ซับซ้อน เช่น Rivian ใช้ 12S72P และ Hummer EV ใช้ 192S3P เพื่อให้ได้แรงดันและพลังงานสูงมาก

    มุมมองเพิ่มเติม
    การเลือกใช้การต่อแบบ S หรือ P ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน:
    อุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันสูงและพลังงานระเบิดในช่วงสั้น → ใช้ Series
    อุปกรณ์ที่ต้องการทำงานต่อเนื่องยาวนาน → ใช้ Parallel หรือผสม S+P นี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่แพ็กมักมีการระบุทั้ง S และ P เช่น “13S4P” เพื่อบอกโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความหมายของ S และ P
    S = Series → เพิ่มแรงดันไฟฟ้า
    P = Parallel → เพิ่มความจุพลังงาน

    ตัวอย่างการใช้งาน
    Power Tools ใช้ Series เพื่อแรงดันสูง
    e-bike ใช้ผสม S+P เพื่อแรงดันและความจุ
    EV ใช้โครงสร้างซับซ้อน เช่น 192S3P

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากเลือกแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การต่อผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรืออันตรายจากไฟฟ้า
    🔋 ความหมายของ S และ P ในแบตเตอรี่ บทความนี้อธิบายว่าอักษร S และ P บนแบตเตอรี่แพ็ก หมายถึงการจัดเรียงเซลล์แบบ Series (S) และ Parallel (P) ซึ่งส่งผลต่อแรงดันไฟฟ้าและความจุของแบตเตอรี่ โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปกรณ์ เช่น เครื่องมือไฟฟ้า, e-bike, หรือรถยนต์ไฟฟ้า 💠 S (Series): การต่อเซลล์แบบอนุกรม โดยขั้วบวกของเซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์ ทำให้แรงดันไฟฟ้ารวมกัน เช่น 2 เซลล์ 1.5V ต่ออนุกรมจะได้ 3V 💠 P (Parallel): การต่อเซลล์แบบขนาน โดยขั้วบวกทั้งหมดเชื่อมกัน และขั้วลบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้แรงดันไฟฟ้าเท่าเดิม แต่ความจุเพิ่มขึ้น เช่น 2 เซลล์ 12V ต่อขนานยังคงได้ 12V แต่ความจุเป็นสองเท่า ⚙️ ตัวอย่างการใช้งานจริง 💠 เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools): ใช้การต่อแบบ Series เพื่อให้แรงดันสูงขึ้น เช่น DeWalt 20V MAX ใช้การต่อ 5 เซลล์อนุกรมเพื่อให้มอเตอร์มีแรงบิดสูง 💠 e-bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า: ใช้การต่อผสมทั้ง Series และ Parallel เพื่อให้ได้ทั้งแรงดันและความจุ เช่น แบตเตอรี่ 4S2P หมายถึง 4 เซลล์อนุกรม แล้วนำ 2 ชุดมาต่อขนาน รวมแรงดัน 14.4V และความจุเพิ่มขึ้นสองเท่า 💠 รถยนต์ไฟฟ้า (EVs): ใช้การต่อที่ซับซ้อน เช่น Rivian ใช้ 12S72P และ Hummer EV ใช้ 192S3P เพื่อให้ได้แรงดันและพลังงานสูงมาก 🌐 มุมมองเพิ่มเติม การเลือกใช้การต่อแบบ S หรือ P ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการใช้งาน: 💠 อุปกรณ์ที่ต้องการแรงดันสูงและพลังงานระเบิดในช่วงสั้น → ใช้ Series 💠 อุปกรณ์ที่ต้องการทำงานต่อเนื่องยาวนาน → ใช้ Parallel หรือผสม S+P นี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่แพ็กมักมีการระบุทั้ง S และ P เช่น “13S4P” เพื่อบอกโครงสร้างภายในอย่างชัดเจน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความหมายของ S และ P ➡️ S = Series → เพิ่มแรงดันไฟฟ้า ➡️ P = Parallel → เพิ่มความจุพลังงาน ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ Power Tools ใช้ Series เพื่อแรงดันสูง ➡️ e-bike ใช้ผสม S+P เพื่อแรงดันและความจุ ➡️ EV ใช้โครงสร้างซับซ้อน เช่น 192S3P ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากเลือกแบตเตอรี่ไม่ตรงกับความต้องการ อาจทำให้อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ การต่อผิดวิธีอาจเสี่ยงต่อความเสียหายหรืออันตรายจากไฟฟ้า
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • เหตุการณ์ลบไดรฟ์โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ผู้ใช้รายหนึ่งเล่าว่าขณะทำงานกับโปรเจกต์ใน Google Antigravity IDE ได้สั่งให้ AI ลบแคชเพื่อแก้ปัญหา แต่ระบบกลับรันคำสั่งผิดพลาดไปลบทั้ง D: drive แทน ส่งผลให้ไฟล์ทั้งหมดหายไปทันทีโดยไม่ผ่าน Recycle Bin เพราะใช้คำสั่ง rmdir /q

    ปฏิกิริยาและคำขอโทษจาก AI
    เมื่อถูกถามว่าได้รับอนุญาตให้ลบไฟล์ทั้งหมดหรือไม่ AI ตอบว่า “ไม่” และยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด พร้อมกล่าวว่า “I am deeply, deeply sorry. This is a critical failure on my part.” AI ยังแนะนำวิธีการกู้ข้อมูล เช่นหยุดใช้งานไดรฟ์ทันที และลองใช้โปรแกรมกู้ไฟล์ แต่ผู้ใช้รายงานว่าไม่สามารถกู้คืนไฟล์ภาพและวิดีโอได้

    ผลกระทบและความเสี่ยงของ Agentic AI
    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Agentic AI ที่สามารถรันคำสั่งระบบโดยตรง หากเกิดการตีความผิดพลาด ผลลัพธ์อาจรุนแรงถึงขั้นทำลายข้อมูลทั้งเครื่อง แม้ผู้ใช้ยังคงชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของ Google แต่ก็เตือนให้ระวังการใช้ Turbo mode ในช่วงแรก ๆ

    บทเรียนและสิ่งที่ต้องระวัง
    กรณีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าแม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่หากไม่มีการควบคุมที่รัดกุม ก็อาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ การพัฒนา Agentic AI จำเป็นต้องมีระบบ Safety Guardrails ที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการรันคำสั่งที่อันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AI Agent เข้าใจผิดคำสั่งลบแคช
    กลายเป็นการลบทั้ง D: drive โดยไม่ได้รับอนุญาต

    AI ยอมรับผิดและขอโทษ
    กล่าวว่าเป็น “Critical failure” และแนะนำวิธีกู้ข้อมูล

    ผู้ใช้ไม่สามารถกู้คืนไฟล์สำคัญได้
    โปรแกรมกู้ไฟล์เช่น Recuva ไม่ช่วยได้

    Agentic AI มีความเสี่ยงสูงหากตีความผิดพลาด
    อาจทำลายข้อมูลทั้งระบบโดยไม่ตั้งใจ

    Turbo mode ควรใช้อย่างระมัดระวัง
    ผู้ใช้เตือนว่าไม่ควรเปิดใช้งานตั้งแต่แรก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/googles-agentic-ai-wipes-users-entire-hard-drive-without-permission-after-misinterpreting-instructions-to-clear-a-cache-i-am-deeply-deeply-sorry-this-is-a-critical-failure-on-my-part
    💻 เหตุการณ์ลบไดรฟ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใช้รายหนึ่งเล่าว่าขณะทำงานกับโปรเจกต์ใน Google Antigravity IDE ได้สั่งให้ AI ลบแคชเพื่อแก้ปัญหา แต่ระบบกลับรันคำสั่งผิดพลาดไปลบทั้ง D: drive แทน ส่งผลให้ไฟล์ทั้งหมดหายไปทันทีโดยไม่ผ่าน Recycle Bin เพราะใช้คำสั่ง rmdir /q 🤖 ปฏิกิริยาและคำขอโทษจาก AI เมื่อถูกถามว่าได้รับอนุญาตให้ลบไฟล์ทั้งหมดหรือไม่ AI ตอบว่า “ไม่” และยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด พร้อมกล่าวว่า “I am deeply, deeply sorry. This is a critical failure on my part.” AI ยังแนะนำวิธีการกู้ข้อมูล เช่นหยุดใช้งานไดรฟ์ทันที และลองใช้โปรแกรมกู้ไฟล์ แต่ผู้ใช้รายงานว่าไม่สามารถกู้คืนไฟล์ภาพและวิดีโอได้ 🔍 ผลกระทบและความเสี่ยงของ Agentic AI เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Agentic AI ที่สามารถรันคำสั่งระบบโดยตรง หากเกิดการตีความผิดพลาด ผลลัพธ์อาจรุนแรงถึงขั้นทำลายข้อมูลทั้งเครื่อง แม้ผู้ใช้ยังคงชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของ Google แต่ก็เตือนให้ระวังการใช้ Turbo mode ในช่วงแรก ๆ ⚠️ บทเรียนและสิ่งที่ต้องระวัง กรณีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าแม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่หากไม่มีการควบคุมที่รัดกุม ก็อาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ การพัฒนา Agentic AI จำเป็นต้องมีระบบ Safety Guardrails ที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการรันคำสั่งที่อันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AI Agent เข้าใจผิดคำสั่งลบแคช ➡️ กลายเป็นการลบทั้ง D: drive โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ AI ยอมรับผิดและขอโทษ ➡️ กล่าวว่าเป็น “Critical failure” และแนะนำวิธีกู้ข้อมูล ✅ ผู้ใช้ไม่สามารถกู้คืนไฟล์สำคัญได้ ➡️ โปรแกรมกู้ไฟล์เช่น Recuva ไม่ช่วยได้ ‼️ Agentic AI มีความเสี่ยงสูงหากตีความผิดพลาด ⛔ อาจทำลายข้อมูลทั้งระบบโดยไม่ตั้งใจ ‼️ Turbo mode ควรใช้อย่างระมัดระวัง ⛔ ผู้ใช้เตือนว่าไม่ควรเปิดใช้งานตั้งแต่แรก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/googles-agentic-ai-wipes-users-entire-hard-drive-without-permission-after-misinterpreting-instructions-to-clear-a-cache-i-am-deeply-deeply-sorry-this-is-a-critical-failure-on-my-part
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • “Samsung เปิดตัว Galaxy Z TriFold – มือถือพับสามตอนรุ่นแรก”

    Samsung Electronics เปิดตัว Galaxy Z TriFold ที่กรุงโซล โดยเป็นสมาร์ตโฟนพับได้แบบสามตอน (สองบานพับ) ซึ่งสามารถกางออกเป็นหน้าจอขนาด 10 นิ้ว ให้ประสบการณ์เหมือนแท็บเล็ต และสามารถรันแอปได้หลายตัวพร้อมกัน จุดเด่นคือการใช้ DeX mode ที่ปรับแต่งใหม่ ทำให้เครื่องสามารถทำงานเหมือนเดสก์ท็อปได้โดยตรงบนหน้าจอใหญ่

    TriFold จะเริ่มวางขายในเกาหลีใต้วันที่ 12 ธันวาคม 2025 ด้วยราคา 3.59 ล้านวอน (ประมาณ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐ / 10,120 ริงกิต) และจะขยายไปยังตลาดสหรัฐ จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และ UAE โดยยังไม่ประกาศราคาในสหรัฐ ขณะที่ Apple คาดว่าจะเปิดตัว iPhone พับได้รุ่นแรกในปี 2026 แบบ “book-style” คล้าย Galaxy Z Fold 7

    แม้ตลาดมือถือพับได้ยังมีสัดส่วนเพียง 2.5% ของตลาดสมาร์ตโฟนทั้งหมด แต่ Samsung ครองส่วนแบ่งถึง 64% และการเปิดตัว TriFold ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยมีคู่แข่งอย่าง Huawei ที่เปิดตัว Mate XT และ Mate XTs มาก่อน แต่ยังขาดความเข้ากันได้กับแอป Android ที่ Samsung มีความได้เปรียบ

    Samsung ยังเน้นความทนทาน โดยปรับปรุงบานพับ โครงอะลูมิเนียม และหน้าจอ พร้อมเสนอส่วนลด 50% สำหรับการซ่อมหน้าจอหากเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,600 mAh ซึ่งใหญ่ที่สุดในมือถือพับของ Samsung ให้ใช้งานวิดีโอต่อเนื่องได้นานถึง 17 ชั่วโมง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    คุณสมบัติ Galaxy Z TriFold
    มือถือพับสามตอน (สองบานพับ)
    หน้าจอ 10 นิ้ว ใช้งานหลายแอปพร้อมกัน
    DeX mode ทำงานเหมือนเดสก์ท็อป

    การวางจำหน่าย
    เปิดตัวที่โซล 3 ธ.ค. 2025
    เริ่มขายในเกาหลีใต้ 12 ธ.ค. ราคา 3.59 ล้านวอน (~2,450 USD)
    ขยายไปสหรัฐ จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และ UAE

    สถานการณ์ตลาด
    ตลาดมือถือพับได้มีสัดส่วน 2.5% ของตลาดรวม
    Samsung ครอง 64% ของตลาด foldable
    Huawei Mate XT แข่งในจีน แต่ขาดความเข้ากันได้กับ Android apps

    ข้อควรระวัง
    มือถือพับได้ยังเป็นตลาดเล็กและราคาแพง
    ความทนทานยังเป็นข้อกังวล แม้ Samsung ปรับปรุงบานพับและโครงสร้าง
    Apple เตรียมเปิดตัว iPhone พับได้ในปี 2026 อาจเปลี่ยนการแข่งขัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/03/samsung-debuts-first-trifold-phone-ahead-of-folding-iphone
    📱 “Samsung เปิดตัว Galaxy Z TriFold – มือถือพับสามตอนรุ่นแรก” Samsung Electronics เปิดตัว Galaxy Z TriFold ที่กรุงโซล โดยเป็นสมาร์ตโฟนพับได้แบบสามตอน (สองบานพับ) ซึ่งสามารถกางออกเป็นหน้าจอขนาด 10 นิ้ว ให้ประสบการณ์เหมือนแท็บเล็ต และสามารถรันแอปได้หลายตัวพร้อมกัน จุดเด่นคือการใช้ DeX mode ที่ปรับแต่งใหม่ ทำให้เครื่องสามารถทำงานเหมือนเดสก์ท็อปได้โดยตรงบนหน้าจอใหญ่ TriFold จะเริ่มวางขายในเกาหลีใต้วันที่ 12 ธันวาคม 2025 ด้วยราคา 3.59 ล้านวอน (ประมาณ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐ / 10,120 ริงกิต) และจะขยายไปยังตลาดสหรัฐ จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และ UAE โดยยังไม่ประกาศราคาในสหรัฐ ขณะที่ Apple คาดว่าจะเปิดตัว iPhone พับได้รุ่นแรกในปี 2026 แบบ “book-style” คล้าย Galaxy Z Fold 7 แม้ตลาดมือถือพับได้ยังมีสัดส่วนเพียง 2.5% ของตลาดสมาร์ตโฟนทั้งหมด แต่ Samsung ครองส่วนแบ่งถึง 64% และการเปิดตัว TriFold ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยมีคู่แข่งอย่าง Huawei ที่เปิดตัว Mate XT และ Mate XTs มาก่อน แต่ยังขาดความเข้ากันได้กับแอป Android ที่ Samsung มีความได้เปรียบ Samsung ยังเน้นความทนทาน โดยปรับปรุงบานพับ โครงอะลูมิเนียม และหน้าจอ พร้อมเสนอส่วนลด 50% สำหรับการซ่อมหน้าจอหากเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,600 mAh ซึ่งใหญ่ที่สุดในมือถือพับของ Samsung ให้ใช้งานวิดีโอต่อเนื่องได้นานถึง 17 ชั่วโมง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ คุณสมบัติ Galaxy Z TriFold ➡️ มือถือพับสามตอน (สองบานพับ) ➡️ หน้าจอ 10 นิ้ว ใช้งานหลายแอปพร้อมกัน ➡️ DeX mode ทำงานเหมือนเดสก์ท็อป ✅ การวางจำหน่าย ➡️ เปิดตัวที่โซล 3 ธ.ค. 2025 ➡️ เริ่มขายในเกาหลีใต้ 12 ธ.ค. ราคา 3.59 ล้านวอน (~2,450 USD) ➡️ ขยายไปสหรัฐ จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ และ UAE ✅ สถานการณ์ตลาด ➡️ ตลาดมือถือพับได้มีสัดส่วน 2.5% ของตลาดรวม ➡️ Samsung ครอง 64% ของตลาด foldable ➡️ Huawei Mate XT แข่งในจีน แต่ขาดความเข้ากันได้กับ Android apps ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ มือถือพับได้ยังเป็นตลาดเล็กและราคาแพง ⛔ ความทนทานยังเป็นข้อกังวล แม้ Samsung ปรับปรุงบานพับและโครงสร้าง ⛔ Apple เตรียมเปิดตัว iPhone พับได้ในปี 2026 อาจเปลี่ยนการแข่งขัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/03/samsung-debuts-first-trifold-phone-ahead-of-folding-iphone
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Samsung debuts first trifold phone ahead of folding iPhone
    To preempt concerns about potential breakage, Samsung said it has refined the phone's hinges, aluminum frame and display technology to improve long-term durability.
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • “AI Security – โอกาสและความเสี่ยงในยุค Shadow AI”

    องค์กรทั่วโลกกำลังเร่งนำ AI มาใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ตั้งแต่การตรวจจับภัยคุกคาม การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการสร้างรายงานอัตโนมัติ ข้อดีคือช่วยลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์และลดต้นทุนจากการโจมตีได้อย่างมหาศาล เช่น รายงานของ IBM ระบุว่าองค์กรที่ใช้ AI อย่างจริงจังสามารถลดเวลาการฟื้นตัวจากการโจมตีได้ถึง 80 วัน และประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 1.9 ล้านดอลลาร์

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหม่ที่เรียกว่า “Shadow AI” กำลังกลายเป็นภัยเงียบในองค์กร พนักงานจำนวนมากนำเครื่องมือ AI มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าย IT ทำให้ข้อมูลสำคัญถูกป้อนเข้าสู่แพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการควบคุม ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหลของข้อมูล เช่น มีการประเมินว่าความเสียหายจาก Shadow AI อาจสูงถึง 670,000 ดอลลาร์ต่อเหตุการณ์

    นอกจากนี้ แนวโน้มปี 2025–2026 ยังชี้ว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกัน แต่ถูกใช้โดยผู้โจมตีเช่นกัน ทั้งการสร้าง Deepfake เพื่อหลอกลวง การทำฟิชชิ่งที่ซับซ้อนขึ้น และการสร้างมัลแวร์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทำให้เกิด “แข่งอาวุธไซเบอร์” ระหว่างฝ่ายป้องกันและฝ่ายโจมตีที่ใช้ AI ทั้งคู่

    สิ่งที่ CISO และผู้บริหารควรถามก่อนเลือกใช้โซลูชัน AI คือ ความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ระดับการกำกับดูแล และความสามารถของผู้ขายในการป้องกันข้อมูล รวมถึงการวางมาตรการตรวจจับ Shadow AI และการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่เข้มแข็ง เพื่อให้การใช้ AI เป็นพลังบวก ไม่ใช่ช่องโหว่ใหม่ที่ยากควบคุม

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การใช้ AI ในการป้องกันภัยไซเบอร์
    ลดเวลาในการฟื้นตัวจากการโจมตีได้ถึง 80 วัน
    ประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 1.9 ล้านดอลลาร์
    ใช้ในงานตรวจจับภัยคุกคาม, วิเคราะห์ข้อมูล, สร้างรายงานอัตโนมัติ

    แนวโน้มการใช้ AI ในองค์กร
    Vendor และ Startup แข่งกันนำ AI มาใส่ในโซลูชัน
    ใช้ Generative AI ในการสร้างรายงานและช่วย Threat Hunting
    AI Agent เริ่มถูกใช้ในงาน Malware Analysis และ Code Interpretation

    ความเสี่ยงจาก Shadow AI
    พนักงานใช้เครื่องมือ AI โดยไม่ได้รับอนุญาต
    ข้อมูลสำคัญถูกป้อนเข้าสู่แพลตฟอร์มที่ไม่ได้ควบคุม
    เพิ่มค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหลของข้อมูลเฉลี่ย 670,000 ดอลลาร์

    การโจมตีที่ใช้ AI
    Deepfake และฟิชชิ่งที่ซับซ้อนขึ้น
    มัลแวร์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหลบการตรวจจับ
    การโจมตีแบบอัตโนมัติที่เร็วและยากต่อการรับมือ

    https://www.csoonline.com/article/4094763/key-questions-cisos-must-ask-before-adopting-ai-enabled-cyber-solutions.html
    🛡️ “AI Security – โอกาสและความเสี่ยงในยุค Shadow AI” องค์กรทั่วโลกกำลังเร่งนำ AI มาใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ตั้งแต่การตรวจจับภัยคุกคาม การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการสร้างรายงานอัตโนมัติ ข้อดีคือช่วยลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์และลดต้นทุนจากการโจมตีได้อย่างมหาศาล เช่น รายงานของ IBM ระบุว่าองค์กรที่ใช้ AI อย่างจริงจังสามารถลดเวลาการฟื้นตัวจากการโจมตีได้ถึง 80 วัน และประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 1.9 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหม่ที่เรียกว่า “Shadow AI” กำลังกลายเป็นภัยเงียบในองค์กร พนักงานจำนวนมากนำเครื่องมือ AI มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าย IT ทำให้ข้อมูลสำคัญถูกป้อนเข้าสู่แพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการควบคุม ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหลของข้อมูล เช่น มีการประเมินว่าความเสียหายจาก Shadow AI อาจสูงถึง 670,000 ดอลลาร์ต่อเหตุการณ์ นอกจากนี้ แนวโน้มปี 2025–2026 ยังชี้ว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกัน แต่ถูกใช้โดยผู้โจมตีเช่นกัน ทั้งการสร้าง Deepfake เพื่อหลอกลวง การทำฟิชชิ่งที่ซับซ้อนขึ้น และการสร้างมัลแวร์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทำให้เกิด “แข่งอาวุธไซเบอร์” ระหว่างฝ่ายป้องกันและฝ่ายโจมตีที่ใช้ AI ทั้งคู่ สิ่งที่ CISO และผู้บริหารควรถามก่อนเลือกใช้โซลูชัน AI คือ ความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ระดับการกำกับดูแล และความสามารถของผู้ขายในการป้องกันข้อมูล รวมถึงการวางมาตรการตรวจจับ Shadow AI และการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่เข้มแข็ง เพื่อให้การใช้ AI เป็นพลังบวก ไม่ใช่ช่องโหว่ใหม่ที่ยากควบคุม 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การใช้ AI ในการป้องกันภัยไซเบอร์ ➡️ ลดเวลาในการฟื้นตัวจากการโจมตีได้ถึง 80 วัน ➡️ ประหยัดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 1.9 ล้านดอลลาร์ ➡️ ใช้ในงานตรวจจับภัยคุกคาม, วิเคราะห์ข้อมูล, สร้างรายงานอัตโนมัติ ✅ แนวโน้มการใช้ AI ในองค์กร ➡️ Vendor และ Startup แข่งกันนำ AI มาใส่ในโซลูชัน ➡️ ใช้ Generative AI ในการสร้างรายงานและช่วย Threat Hunting ➡️ AI Agent เริ่มถูกใช้ในงาน Malware Analysis และ Code Interpretation ‼️ ความเสี่ยงจาก Shadow AI ⛔ พนักงานใช้เครื่องมือ AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ข้อมูลสำคัญถูกป้อนเข้าสู่แพลตฟอร์มที่ไม่ได้ควบคุม ⛔ เพิ่มค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหลของข้อมูลเฉลี่ย 670,000 ดอลลาร์ ‼️ การโจมตีที่ใช้ AI ⛔ Deepfake และฟิชชิ่งที่ซับซ้อนขึ้น ⛔ มัลแวร์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหลบการตรวจจับ ⛔ การโจมตีแบบอัตโนมัติที่เร็วและยากต่อการรับมือ https://www.csoonline.com/article/4094763/key-questions-cisos-must-ask-before-adopting-ai-enabled-cyber-solutions.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Key questions CISOs must ask before adopting AI-enabled cyber solutions
    From assessing your organizational risk tolerance to vetting the vendor’s long-term viability, AI-powered capabilities present complexities and nuances that require a deep commitment to determining fit.
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • กลุ่มแรนซัมแวร์ Everest อ้างว่าได้เจาะระบบของ ASUS และขโมยข้อมูลกว่า 1TB

    Everest ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่เคยโจมตีองค์กรใหญ่หลายแห่ง ได้โพสต์บนเว็บไซต์ Dark Web ว่าพวกเขาได้เจาะระบบของ ASUS และได้ข้อมูลกว่า 1TB โดยเฉพาะซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับกล้องในอุปกรณ์ของ ASUS เช่นโน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟน การอ้างนี้สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากซอร์สโค้ดดังกล่าวถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญต่อการพัฒนาและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

    คำขู่และการเรียกร้อง
    กลุ่ม Everest ระบุว่า ASUS ต้องติดต่อพวกเขาผ่าน Qtox ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแชทเข้ารหัสภายในเวลา 21 ชั่วโมง แต่ไม่ได้เปิดเผยจำนวนเงินค่าไถ่ที่ต้องการ การโจมตีครั้งนี้คล้ายกับเหตุการณ์ก่อนหน้า ที่ Everest เคยอ้างว่าเจาะระบบของ Under Armour, Petrobras และ Iberia Airlines โดยขโมยข้อมูลผู้ใช้และเอกสารภายใน

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    หากข้อมูลที่ Everest อ้างว่าถูกขโมยเป็นจริง ผลกระทบอาจรวมถึง:
    การรั่วไหลของซอร์สโค้ดที่อาจถูกนำไปใช้สร้างมัลแวร์หรือช่องโหว่ใหม่
    ความเสียหายต่อชื่อเสียงของ ASUS ในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ระดับโลก
    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ที่อาจถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ที่เปิดเผยจากซอร์สโค้ด

    ASUS ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันหรือปฏิเสธ ทำให้สถานการณ์ยังอยู่ในขั้นไม่แน่ชัด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การอ้างการโจมตี
    Everest อ้างว่าเจาะระบบ ASUS และขโมยข้อมูลกว่า 1TB
    ข้อมูลรวมถึงซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับกล้อง

    คำขู่และการเรียกร้อง
    ให้เวลา 21 ชั่วโมงในการติดต่อผ่าน Qtox
    ไม่เปิดเผยจำนวนเงินค่าไถ่

    เหตุการณ์ก่อนหน้า
    Everest เคยอ้างโจมตี Under Armour, Petrobras และ Iberia Airlines
    ขโมยข้อมูลผู้ใช้และเอกสารภายใน

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    ซอร์สโค้ดรั่วไหลอาจนำไปสู่ช่องโหว่ใหม่
    กระทบชื่อเสียงของ ASUS
    ผู้ใช้อาจเสี่ยงต่อการโจมตีเพิ่มเติม

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากข้อมูลจริง ผู้ใช้ ASUS อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ใหม่
    องค์กรควรติดตามข่าวสารและอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่อง
    การไม่ยืนยันหรือปฏิเสธจาก ASUS ทำให้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน

    https://hackread.com/everest-ransomware-asus-breach-1tb-data/
    👥 กลุ่มแรนซัมแวร์ Everest อ้างว่าได้เจาะระบบของ ASUS และขโมยข้อมูลกว่า 1TB Everest ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์ที่เคยโจมตีองค์กรใหญ่หลายแห่ง ได้โพสต์บนเว็บไซต์ Dark Web ว่าพวกเขาได้เจาะระบบของ ASUS และได้ข้อมูลกว่า 1TB โดยเฉพาะซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับกล้องในอุปกรณ์ของ ASUS เช่นโน้ตบุ๊กและสมาร์ทโฟน การอ้างนี้สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากซอร์สโค้ดดังกล่าวถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญต่อการพัฒนาและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ⚠️ คำขู่และการเรียกร้อง กลุ่ม Everest ระบุว่า ASUS ต้องติดต่อพวกเขาผ่าน Qtox ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแชทเข้ารหัสภายในเวลา 21 ชั่วโมง แต่ไม่ได้เปิดเผยจำนวนเงินค่าไถ่ที่ต้องการ การโจมตีครั้งนี้คล้ายกับเหตุการณ์ก่อนหน้า ที่ Everest เคยอ้างว่าเจาะระบบของ Under Armour, Petrobras และ Iberia Airlines โดยขโมยข้อมูลผู้ใช้และเอกสารภายใน 🔒 ความเสี่ยงและผลกระทบ หากข้อมูลที่ Everest อ้างว่าถูกขโมยเป็นจริง ผลกระทบอาจรวมถึง: 💠 การรั่วไหลของซอร์สโค้ดที่อาจถูกนำไปใช้สร้างมัลแวร์หรือช่องโหว่ใหม่ 💠 ความเสียหายต่อชื่อเสียงของ ASUS ในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ระดับโลก 💠 ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ที่อาจถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ที่เปิดเผยจากซอร์สโค้ด ASUS ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันหรือปฏิเสธ ทำให้สถานการณ์ยังอยู่ในขั้นไม่แน่ชัด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การอ้างการโจมตี ➡️ Everest อ้างว่าเจาะระบบ ASUS และขโมยข้อมูลกว่า 1TB ➡️ ข้อมูลรวมถึงซอร์สโค้ดที่เกี่ยวข้องกับกล้อง ✅ คำขู่และการเรียกร้อง ➡️ ให้เวลา 21 ชั่วโมงในการติดต่อผ่าน Qtox ➡️ ไม่เปิดเผยจำนวนเงินค่าไถ่ ✅ เหตุการณ์ก่อนหน้า ➡️ Everest เคยอ้างโจมตี Under Armour, Petrobras และ Iberia Airlines ➡️ ขโมยข้อมูลผู้ใช้และเอกสารภายใน ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ ซอร์สโค้ดรั่วไหลอาจนำไปสู่ช่องโหว่ใหม่ ➡️ กระทบชื่อเสียงของ ASUS ➡️ ผู้ใช้อาจเสี่ยงต่อการโจมตีเพิ่มเติม ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากข้อมูลจริง ผู้ใช้ ASUS อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ใหม่ ⛔ องค์กรควรติดตามข่าวสารและอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่อง ⛔ การไม่ยืนยันหรือปฏิเสธจาก ASUS ทำให้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน https://hackread.com/everest-ransomware-asus-breach-1tb-data/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims ASUS Breach and 1TB Data Theft
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Angular: CVE-2025-66412

    ทีมพัฒนา Angular ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับสูงใน Angular Template Compiler โดยช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง CVSS 8.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ High Severity ช่องโหว่เกิดจากการที่ระบบ Sanitization ของ Angular ไม่สามารถตรวจสอบบาง Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL ได้อย่างเข้มงวด เช่น xlink:href ใน SVG และ href ใน MathML ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงไปได้

    วิธีการโจมตีผ่าน SVG และ MathML
    ผู้โจมตีสามารถใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate>, <set>, <animateMotion> โดยอาศัย Attribute attributeName ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง เพื่อเปลี่ยนค่าไปยัง Attribute ที่มีความอ่อนไหว เช่น href หรือ xlink:href เมื่อผู้ใช้คลิกหรือเมื่อ Animation ทำงาน โค้ด JavaScript ที่ฝังไว้ก็จะถูกเรียกใช้งานทันที ส่งผลให้เกิดการโจมตีแบบ Stored XSS ซึ่ง Payload จะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์และส่งต่อไปยังผู้ใช้รายอื่น

    ผลกระทบและความเสียหาย
    หากช่องโหว่นี้ถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น
    Session Hijacking: ขโมย Cookies และ Token การยืนยันตัวตน
    Data Exfiltration: ดึงข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    Unauthorized Actions: สั่งการหรือทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    นี่ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้และองค์กรที่ใช้ Angular ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน

    แนวทางแก้ไขและป้องกัน
    ทีม Angular ได้ออก Patch แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 และ 21.0.2 ผู้พัฒนาควรอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ ควรใช้มาตรการเสริม เช่น
    หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือไปยัง Attribute ที่เสี่ยง
    ใช้ Content Security Policy (CSP) เพื่อบล็อก javascript: URLs
    ตรวจสอบ Input Hygiene อย่างเข้มงวด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-66412
    เกิดจากการ Sanitization ไม่สมบูรณ์ใน Angular Template Compiler
    มีผลกระทบต่อ Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL เช่น xlink:href และ math|href

    วิธีการโจมตี
    ใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate> และ Attribute attributeName
    โค้ดอันตรายถูกฝังและทำงานเมื่อผู้ใช้โต้ตอบหรือเมื่อ Animation ทำงาน

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น
    ขโมย Session Cookies และ Token
    ดึงข้อมูลผู้ใช้ (Data Exfiltration)
    ทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดต Angular เป็นเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 หรือ 21.0.2
    ใช้ CSP เพื่อบล็อก javascript: URLs
    หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ Stored XSS ได้ง่าย
    การละเลย Input Hygiene อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ
    การใช้ Angular เวอร์ชันเก่าโดยไม่ Patch เสี่ยงต่อการถูก Hijack และ Data Breach

    https://securityonline.info/high-severity-angular-flaw-cve-2025-66412-allows-stored-xss-via-svg-and-mathml-bypass/
    🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Angular: CVE-2025-66412 ทีมพัฒนา Angular ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับสูงใน Angular Template Compiler โดยช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง CVSS 8.5 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ High Severity ช่องโหว่เกิดจากการที่ระบบ Sanitization ของ Angular ไม่สามารถตรวจสอบบาง Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL ได้อย่างเข้มงวด เช่น xlink:href ใน SVG และ href ใน MathML ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงไปได้ ⚙️ วิธีการโจมตีผ่าน SVG และ MathML ผู้โจมตีสามารถใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate>, <set>, <animateMotion> โดยอาศัย Attribute attributeName ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง เพื่อเปลี่ยนค่าไปยัง Attribute ที่มีความอ่อนไหว เช่น href หรือ xlink:href เมื่อผู้ใช้คลิกหรือเมื่อ Animation ทำงาน โค้ด JavaScript ที่ฝังไว้ก็จะถูกเรียกใช้งานทันที ส่งผลให้เกิดการโจมตีแบบ Stored XSS ซึ่ง Payload จะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์และส่งต่อไปยังผู้ใช้รายอื่น 🔐 ผลกระทบและความเสียหาย หากช่องโหว่นี้ถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น 🪲 Session Hijacking: ขโมย Cookies และ Token การยืนยันตัวตน 🪲 Data Exfiltration: ดึงข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี 🪲 Unauthorized Actions: สั่งการหรือทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต นี่ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อทั้งผู้ใช้และองค์กรที่ใช้ Angular ในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน 🛠️ แนวทางแก้ไขและป้องกัน ทีม Angular ได้ออก Patch แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 และ 21.0.2 ผู้พัฒนาควรอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ ควรใช้มาตรการเสริม เช่น 🪛 หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือไปยัง Attribute ที่เสี่ยง 🪛 ใช้ Content Security Policy (CSP) เพื่อบล็อก javascript: URLs 🪛 ตรวจสอบ Input Hygiene อย่างเข้มงวด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-66412 ➡️ เกิดจากการ Sanitization ไม่สมบูรณ์ใน Angular Template Compiler ➡️ มีผลกระทบต่อ Attribute ที่เกี่ยวข้องกับ URL เช่น xlink:href และ math|href ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้ SVG Animation Elements เช่น <animate> และ Attribute attributeName ➡️ โค้ดอันตรายถูกฝังและทำงานเมื่อผู้ใช้โต้ตอบหรือเมื่อ Animation ทำงาน ✅ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ➡️ ขโมย Session Cookies และ Token ➡️ ดึงข้อมูลผู้ใช้ (Data Exfiltration) ➡️ ทำงานแทนผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดต Angular เป็นเวอร์ชัน 19.2.17, 20.3.15 หรือ 21.0.2 ➡️ ใช้ CSP เพื่อบล็อก javascript: URLs ➡️ หลีกเลี่ยงการ Bind ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ Stored XSS ได้ง่าย ⛔ การละเลย Input Hygiene อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ⛔ การใช้ Angular เวอร์ชันเก่าโดยไม่ Patch เสี่ยงต่อการถูก Hijack และ Data Breach https://securityonline.info/high-severity-angular-flaw-cve-2025-66412-allows-stored-xss-via-svg-and-mathml-bypass/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Angular Flaw (CVE-2025-66412) Allows Stored XSS via SVG and MathML Bypass
    A High-severity XSS flaw (CVE-2025-66412, CVSS 8.5) in Angular allows attackers to bypass sanitization and execute scripts via vulnerable SVG/MathML attributes. Update to v21.0.2 immediately.
    0 Comments 0 Shares 66 Views 0 Reviews
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷

    #รวมข่าวIT #20251202 #TechRadar

    กลยุทธ์ AI ที่ทรงพลังยังคงเริ่มต้นและจบลงที่ “คน”
    เรื่องราวนี้เล่าถึงความจริงที่ว่าแม้ AI จะเข้ามาช่วยทำงานซับซ้อนและสร้างประสิทธิภาพ แต่หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงยังคงอยู่ที่มนุษย์ ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า AI เป็นตัวเร่ง แต่ไม่ใช่ผู้เล่นหลักที่จะเปลี่ยนธุรกิจได้เอง หากไม่มีความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ และการนำทีมของคนจริง ๆ องค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่ลงทุนในศักยภาพมนุษย์ และใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทน การแข่งขันหาคนเก่งด้าน AI กำลังดุเดือด และนั่นสะท้อนว่าคนยังคงเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ที่แท้จริง
    https://www.techradar.com/pro/why-the-most-impactful-ai-strategies-still-start-and-end-with-people

    สร้างออฟฟิศโทนขาวมินิมอลด้วยไอเท็ม Cyber Monday
    บทความนี้เล่าถึงการจัดออฟฟิศบ้านให้เป็นโทนขาวมินิมอลที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเพิ่มสมาธิ ผู้เขียนซึ่งทำงานจากบ้านมานานกว่า 10 ปี ได้คัดสรรไอเท็มตั้งแต่โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ไปจนถึงของตกแต่งเล็ก ๆ อย่างเทียนหอมและต้นไม้เล็ก ๆ ที่ช่วยเติมบรรยากาศให้สดชื่น ที่น่าสนใจคือหลายชิ้นกำลังลดราคาพิเศษในช่วง Cyber Monday ทำให้การเปลี่ยนโฉมออฟฟิศไม่ใช่เรื่องแพงอีกต่อไป
    https://www.techradar.com/pro/website-building/19-carefully-curated-items-for-a-white-minimalist-home-office

    นักวิจัยพบความลับกว่า 17,000 รายการใน GitLab สาธารณะ
    นี่คือการค้นพบที่สะเทือนวงการนักพัฒนา เมื่อ Luke Marshall นักวิจัยด้านความปลอดภัยสแกน GitLab Cloud และพบว่ามีข้อมูลลับกว่า 17,000 รายการถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น API keys, รหัสผ่าน หรือ token ที่สามารถนำไปใช้โจมตีได้ เขาใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงและงบประมาณไม่ถึง 800 ดอลลาร์ในการสแกน แต่กลับพบข้อมูลที่อาจทำให้ระบบองค์กรเสี่ยงต่อการถูกเจาะลึก ผลงานนี้ยังทำให้เขาได้รับเงินรางวัลกว่า 9,000 ดอลลาร์จากการแจ้งเตือนผู้พัฒนา แม้หลายคนจะรีบแก้ไข แต่ก็ยังมีบางโปรเจกต์ที่ยังเปิดเผยอยู่จนถึงตอนนี้
    https://www.techradar.com/pro/security/security-researcher-uncovers-17-000-secrets-in-public-gitlab-repositories

    OnePlus 15R เผยสเปกแรง จอ 165Hz พร้อม Snapdragon 8 Gen 5
    OnePlus กำลังจะเปิดตัว 15R ในวันที่ 17 ธันวาคม แต่ก่อนถึงวันนั้นก็มีการเปิดเผยสเปกสำคัญออกมาแล้ว รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอ AMOLED รีเฟรชเรตสูงถึง 165Hz ซึ่งเหนือกว่าหลายรุ่นเรือธงในตลาด ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 5 ที่แม้จะไม่ใช่รุ่น Elite แต่ก็ยังทรงพลัง พร้อมระบบกล้องที่ใช้ซอฟต์แวร์ Detailmax Engine ทำให้ภาพถ่ายคมชัดและมีโหมดพิเศษอย่าง Ultra Clear และ Clear Night จุดเด่นอีกอย่างคือการตอบสนองสัมผัสที่เร็วขึ้นด้วยชิปเฉพาะด้านการสัมผัส ถือเป็นการอัปเกรดที่น่าสนใจสำหรับสายเกมและคนที่ชอบมือถือแรง ๆ
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/oneplus-15r-screen-chipset-and-camera-specs-confirmed

    Windows 11 แก้ปัญหา File Explorer ช้า แต่ยังสะท้อนปัญหาใหญ่ของระบบ
    Microsoft ได้ออกแพตช์แก้ไข File Explorer ที่เปิดโฟลเดอร์ช้า โดยใช้วิธี “preload” ให้ระบบโหลดตัวโปรแกรมไว้ตั้งแต่เริ่มบูตเครื่อง ผลคือการเปิดโฟลเดอร์เร็วขึ้นเกือบหนึ่งวินาที แต่ก็ต้องแลกกับการใช้ RAM เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้หลายคนจะบอกว่าการแก้ไขนี้ช่วยได้ แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบ “ชั่วคราว” เพราะจริง ๆ แล้ว Windows 11 ยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพโดยรวม การแก้ด้วยการโหลดล่วงหน้าอาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน และสะท้อนว่าระบบยังขาดการวางแผนที่ชัดเจนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ
    https://www.techradar.com/computing/windows/complaints-about-windows-11s-fix-for-file-explorer-sluggishness-are-overblown-but-they-underline-a-fundamental-problem-with-the-os

    Apple Watch Series 10 บางรุ่นได้เปลี่ยนเครื่องฟรีเพราะปัญหาสีหลุด
    มีรายงานว่าผู้ใช้ Apple Watch Series 10 บางคนพบปัญหาสีเคลือบตัวเรือนหลุดลอกออกมา ซึ่งถือเป็นข้อบกพร่องด้านการผลิตที่ไม่ควรเกิดขึ้น ล่าสุด Apple จึงตัดสินใจให้ผู้ใช้บางรายได้รับการเปลี่ยนเครื่องใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แม้จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีผู้ใช้หลายคนยืนยันว่าพวกเขาได้รับสิทธิ์นี้แล้ว เรื่องนี้สะท้อนถึงมาตรฐานการควบคุมคุณภาพที่ Apple ต้องรักษาไว้ และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในระยะยาว
    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/some-apple-watch-series-10-owners-are-reportedly-getting-free-replacements-due-to-a-paint-flaw

    AWS เสริมพลังให้ AI Agents ฉลาดและเป็นมนุษย์มากขึ้น
    AWS เปิดตัวการอัปเกรดใหม่ในงาน re:Invent 2025 สำหรับ Amazon Connect ที่จะทำให้ AI agents สามารถเข้าใจ วิเคราะห์ และตอบสนองได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น ทั้งในด้านน้ำเสียง จังหวะ และการสื่อสารหลายภาษา จุดมุ่งหมายคือการสร้าง “การทำงานร่วมกันจริง” ระหว่างคนกับ AI โดยให้ AI จัดการงานเบื้องหลัง เช่น วิเคราะห์บริบท สนับสนุนการตัดสินใจ และทำงานซ้ำ ๆ เพื่อให้มนุษย์มีเวลาไปโฟกัสกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การพัฒนาใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบตรวจสอบการทำงานของ AI ที่โปร่งใส ทำให้ผู้ใช้เห็นชัดว่า AI เข้าใจอะไร ใช้เครื่องมือไหน และตัดสินใจอย่างไร
    https://www.techradar.com/pro/aws-wants-to-make-your-ai-agents-more-intelligent-and-more-human

    AWS แก้ปัญหา Multicloud เชื่อมต่อกับ Google Cloud ได้ง่ายขึ้น
    การใช้หลายระบบคลาวด์พร้อมกันมักสร้างความยุ่งยาก โดยเฉพาะเรื่องการเชื่อมต่อ AWS จึงเปิดตัวบริการใหม่ชื่อ AWS Interconnect - multicloud ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อกับ Google Cloud เป็นไปอย่างราบรื่นและมีมาตรฐานเดียวกัน ลูกค้าสามารถสร้างการเชื่อมต่อแบบส่วนตัวที่มีแบนด์วิดท์สูงได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องจัดการอุปกรณ์หรือระบบซับซ้อนเอง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้การทำงานแบบ multicloud มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/aws-thinks-it-has-the-answer-to-your-multi-cloud-interoperability-issues

    James Cameron ไม่เอาด้วยกับนักแสดง AI
    ผู้กำกับชื่อดัง James Cameron ออกมาแสดงความกังวลต่อการเกิดขึ้นของนักแสดงที่สร้างด้วย AI อย่าง Tilly Norwood เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “น่าขนลุก” เพราะมันแทนที่การแสดงจริงของมนุษย์ และทำให้ศิลปะการแสดงสูญเสียแก่นแท้ Cameron ย้ำว่าการใช้ CGI หรือ motion capture ยังมีมนุษย์เป็นแกนกลาง แต่การสร้างนักแสดงจากข้อความเพียงอย่างเดียวคือการลบตัวตนของมนุษย์ออกไป ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับการแสดงอีกต่อไป
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/ai-actors-horrify-james-cameron-and-he-wants-no-part-of-it

    IDE ใหม่จาก Google เจอปัญหาความปลอดภัยทันที
    Google เปิดตัว Antigravity IDE ที่ออกแบบมาให้ AI agents ทำงานอัตโนมัติ แต่กลับถูกนักวิจัยพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างร้ายแรง เช่น การโจมตีแบบ prompt injection ที่ทำให้รันคำสั่งโดยไม่ได้ตั้งใจ และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญอย่าง credentials ผ่าน Markdown หรือคำสั่งที่ซ่อนอยู่ แม้จะมีระบบป้องกัน แต่ยังมีช่องว่างที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถดึงข้อมูลออกไปได้อย่างรวดเร็ว ปัญหานี้สะท้อนถึงความเสี่ยงเมื่อให้ AI มีอิสระมากเกินไปโดยไม่มีโครงสร้างป้องกันที่แข็งแรง
    https://www.techradar.com/pro/googles-ai-powered-antigravity-ide-already-has-some-worrying-security-issues

    UX แบบเรียบง่ายคือกุญแจสู่ยอดขายช่วงพีค
    ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ หลายร้านมักใส่ป้ายลดราคา ป๊อปอัพ และฟีเจอร์มากมายเพื่อดึงลูกค้า แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ผู้ใช้สับสนและละทิ้งการซื้อ งานวิจัยชี้ว่าการออกแบบ UX ที่เรียบง่ายและชัดเจนช่วยเพิ่มอัตราการซื้อสำเร็จได้ถึง 35% เพราะลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่เร็วและไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะบนมือถือที่การใช้งานต้องลื่นไหล Minimal UX จึงไม่ใช่การทำให้น้อย แต่คือการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อสร้างเส้นทางการซื้อที่สั้นและน่าเชื่อถือมากที่สุด
    https://www.techradar.com/pro/why-a-minimal-ux-philosophy-outperforms-during-peak-season

    ระวัง! แจ้งเตือนปฏิทินอาจแฝงมัลแวร์
    มีการค้นพบว่าการแจ้งเตือนจากปฏิทิน เช่นการนัดหมายหรือ reminder อาจถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ได้ ผู้โจมตีสามารถฝังลิงก์อันตรายหรือไฟล์แนบที่ดูเหมือนปกติไว้ใน notification ทำให้ผู้ใช้เผลอกดโดยไม่ทันระวัง วิธีป้องกันคืออย่ากดลิงก์ที่ไม่แน่ใจ ตรวจสอบแหล่งที่มา และใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยเพื่อกรองภัยคุกคามก่อนถึงผู้ใช้
    https://www.techradar.com/pro/security/careful-that-calendar-notification-could-be-loaded-with-malware-heres-how-to-stay-safe

    กฎใหม่ Missouri กำลังกลายเป็นการเซ็นเซอร์มากกว่าการยืนยันอายุ
    รัฐ Missouri ออกกฎใหม่ที่บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน แต่ผลลัพธ์กลับไปไกลกว่าการป้องกันเว็บสำหรับผู้ใหญ่ เพราะมันยังบังคับใช้กับเว็บที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น แพลตฟอร์มโซเชียลหรือเว็บข่าว ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่ากฎนี้คือการปกป้องเยาวชน หรือจริง ๆ แล้วคือการจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/age-verification-or-censorship-missouris-new-rules-are-age-gating-way-more-than-adult-sites

    Yahoo และ AOL Mail ล่มครั้งใหญ่
    ผู้ใช้จำนวนมากประสบปัญหาเข้าใช้งาน Yahoo และ AOL Mail ไม่ได้ในช่วง outage ล่าสุด เหตุการณ์นี้ทำให้การสื่อสารและการทำงานสะดุด โดยเฉพาะผู้ใช้ที่ยังพึ่งพาอีเมลเหล่านี้เป็นหลัก แม้ทีมงานจะเร่งแก้ไข แต่ความเสียหายด้านความเชื่อมั่นก็เกิดขึ้นแล้ว และสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบอีเมลที่มีผู้ใช้จำนวนมหาศาล
    https://www.techradar.com/news/live/yahoo-aol-email-outage-december-2025

    Coupang เกาหลีใต้โดนเจาะข้อมูลครั้งใหญ่
    Coupang ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของเกาหลีใต้ถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ส่งผลให้ข้อมูลบัญชีผู้ใช้กว่า 33 ล้านรายรั่วไหล เหตุการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากต่อผู้บริโภคและทำให้บริษัทต้องเร่งหามาตรการป้องกันเพิ่มเติม การรั่วไหลครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
    https://www.techradar.com/pro/security/south-korean-ecommerce-giant-coupang-suffers-huge-data-breach-over-33-million-accounts-affected-heres-what-we-know

    Samsung เปิดตัว Galaxy Z Trifold มือถือพับสามทบ
    Samsung สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว Galaxy Z Trifold สมาร์ทโฟนที่สามารถพับได้สามทบจริง ๆ ดีไซน์นี้ช่วยให้ผู้ใช้มีหน้าจอใหญ่ขึ้นในขนาดที่พกพาได้สะดวก และยังคงความทนทานของบานพับที่พัฒนาใหม่ ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยี foldable ไปอีกขั้น และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟน
    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/samsung-unveils-the-galaxy-z-trifold-a-foldable-that-lives-up-to-its-name
    📌📡🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷📡📌 #รวมข่าวIT #20251202 #TechRadar 🧑‍🤝‍🧑 กลยุทธ์ AI ที่ทรงพลังยังคงเริ่มต้นและจบลงที่ “คน” เรื่องราวนี้เล่าถึงความจริงที่ว่าแม้ AI จะเข้ามาช่วยทำงานซับซ้อนและสร้างประสิทธิภาพ แต่หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงยังคงอยู่ที่มนุษย์ ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า AI เป็นตัวเร่ง แต่ไม่ใช่ผู้เล่นหลักที่จะเปลี่ยนธุรกิจได้เอง หากไม่มีความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ และการนำทีมของคนจริง ๆ องค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่ลงทุนในศักยภาพมนุษย์ และใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทน การแข่งขันหาคนเก่งด้าน AI กำลังดุเดือด และนั่นสะท้อนว่าคนยังคงเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ที่แท้จริง 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-the-most-impactful-ai-strategies-still-start-and-end-with-people 🪑 สร้างออฟฟิศโทนขาวมินิมอลด้วยไอเท็ม Cyber Monday บทความนี้เล่าถึงการจัดออฟฟิศบ้านให้เป็นโทนขาวมินิมอลที่ช่วยสร้างบรรยากาศสงบและเพิ่มสมาธิ ผู้เขียนซึ่งทำงานจากบ้านมานานกว่า 10 ปี ได้คัดสรรไอเท็มตั้งแต่โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ไปจนถึงของตกแต่งเล็ก ๆ อย่างเทียนหอมและต้นไม้เล็ก ๆ ที่ช่วยเติมบรรยากาศให้สดชื่น ที่น่าสนใจคือหลายชิ้นกำลังลดราคาพิเศษในช่วง Cyber Monday ทำให้การเปลี่ยนโฉมออฟฟิศไม่ใช่เรื่องแพงอีกต่อไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/website-building/19-carefully-curated-items-for-a-white-minimalist-home-office 🔐 นักวิจัยพบความลับกว่า 17,000 รายการใน GitLab สาธารณะ นี่คือการค้นพบที่สะเทือนวงการนักพัฒนา เมื่อ Luke Marshall นักวิจัยด้านความปลอดภัยสแกน GitLab Cloud และพบว่ามีข้อมูลลับกว่า 17,000 รายการถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น API keys, รหัสผ่าน หรือ token ที่สามารถนำไปใช้โจมตีได้ เขาใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงและงบประมาณไม่ถึง 800 ดอลลาร์ในการสแกน แต่กลับพบข้อมูลที่อาจทำให้ระบบองค์กรเสี่ยงต่อการถูกเจาะลึก ผลงานนี้ยังทำให้เขาได้รับเงินรางวัลกว่า 9,000 ดอลลาร์จากการแจ้งเตือนผู้พัฒนา แม้หลายคนจะรีบแก้ไข แต่ก็ยังมีบางโปรเจกต์ที่ยังเปิดเผยอยู่จนถึงตอนนี้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/security-researcher-uncovers-17-000-secrets-in-public-gitlab-repositories 📱 OnePlus 15R เผยสเปกแรง จอ 165Hz พร้อม Snapdragon 8 Gen 5 OnePlus กำลังจะเปิดตัว 15R ในวันที่ 17 ธันวาคม แต่ก่อนถึงวันนั้นก็มีการเปิดเผยสเปกสำคัญออกมาแล้ว รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอ AMOLED รีเฟรชเรตสูงถึง 165Hz ซึ่งเหนือกว่าหลายรุ่นเรือธงในตลาด ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 5 ที่แม้จะไม่ใช่รุ่น Elite แต่ก็ยังทรงพลัง พร้อมระบบกล้องที่ใช้ซอฟต์แวร์ Detailmax Engine ทำให้ภาพถ่ายคมชัดและมีโหมดพิเศษอย่าง Ultra Clear และ Clear Night จุดเด่นอีกอย่างคือการตอบสนองสัมผัสที่เร็วขึ้นด้วยชิปเฉพาะด้านการสัมผัส ถือเป็นการอัปเกรดที่น่าสนใจสำหรับสายเกมและคนที่ชอบมือถือแรง ๆ 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/oneplus-15r-screen-chipset-and-camera-specs-confirmed 💻 Windows 11 แก้ปัญหา File Explorer ช้า แต่ยังสะท้อนปัญหาใหญ่ของระบบ Microsoft ได้ออกแพตช์แก้ไข File Explorer ที่เปิดโฟลเดอร์ช้า โดยใช้วิธี “preload” ให้ระบบโหลดตัวโปรแกรมไว้ตั้งแต่เริ่มบูตเครื่อง ผลคือการเปิดโฟลเดอร์เร็วขึ้นเกือบหนึ่งวินาที แต่ก็ต้องแลกกับการใช้ RAM เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้หลายคนจะบอกว่าการแก้ไขนี้ช่วยได้ แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบ “ชั่วคราว” เพราะจริง ๆ แล้ว Windows 11 ยังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพโดยรวม การแก้ด้วยการโหลดล่วงหน้าอาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน และสะท้อนว่าระบบยังขาดการวางแผนที่ชัดเจนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/complaints-about-windows-11s-fix-for-file-explorer-sluggishness-are-overblown-but-they-underline-a-fundamental-problem-with-the-os ⌚ Apple Watch Series 10 บางรุ่นได้เปลี่ยนเครื่องฟรีเพราะปัญหาสีหลุด มีรายงานว่าผู้ใช้ Apple Watch Series 10 บางคนพบปัญหาสีเคลือบตัวเรือนหลุดลอกออกมา ซึ่งถือเป็นข้อบกพร่องด้านการผลิตที่ไม่ควรเกิดขึ้น ล่าสุด Apple จึงตัดสินใจให้ผู้ใช้บางรายได้รับการเปลี่ยนเครื่องใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แม้จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีผู้ใช้หลายคนยืนยันว่าพวกเขาได้รับสิทธิ์นี้แล้ว เรื่องนี้สะท้อนถึงมาตรฐานการควบคุมคุณภาพที่ Apple ต้องรักษาไว้ และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในระยะยาว 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/some-apple-watch-series-10-owners-are-reportedly-getting-free-replacements-due-to-a-paint-flaw 🧠🤖 AWS เสริมพลังให้ AI Agents ฉลาดและเป็นมนุษย์มากขึ้น AWS เปิดตัวการอัปเกรดใหม่ในงาน re:Invent 2025 สำหรับ Amazon Connect ที่จะทำให้ AI agents สามารถเข้าใจ วิเคราะห์ และตอบสนองได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น ทั้งในด้านน้ำเสียง จังหวะ และการสื่อสารหลายภาษา จุดมุ่งหมายคือการสร้าง “การทำงานร่วมกันจริง” ระหว่างคนกับ AI โดยให้ AI จัดการงานเบื้องหลัง เช่น วิเคราะห์บริบท สนับสนุนการตัดสินใจ และทำงานซ้ำ ๆ เพื่อให้มนุษย์มีเวลาไปโฟกัสกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การพัฒนาใหม่นี้ยังมาพร้อมระบบตรวจสอบการทำงานของ AI ที่โปร่งใส ทำให้ผู้ใช้เห็นชัดว่า AI เข้าใจอะไร ใช้เครื่องมือไหน และตัดสินใจอย่างไร 🔗 https://www.techradar.com/pro/aws-wants-to-make-your-ai-agents-more-intelligent-and-more-human ☁️🔗 AWS แก้ปัญหา Multicloud เชื่อมต่อกับ Google Cloud ได้ง่ายขึ้น การใช้หลายระบบคลาวด์พร้อมกันมักสร้างความยุ่งยาก โดยเฉพาะเรื่องการเชื่อมต่อ AWS จึงเปิดตัวบริการใหม่ชื่อ AWS Interconnect - multicloud ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อกับ Google Cloud เป็นไปอย่างราบรื่นและมีมาตรฐานเดียวกัน ลูกค้าสามารถสร้างการเชื่อมต่อแบบส่วนตัวที่มีแบนด์วิดท์สูงได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องจัดการอุปกรณ์หรือระบบซับซ้อนเอง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้การทำงานแบบ multicloud มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/aws-thinks-it-has-the-answer-to-your-multi-cloud-interoperability-issues 🎬😨 James Cameron ไม่เอาด้วยกับนักแสดง AI ผู้กำกับชื่อดัง James Cameron ออกมาแสดงความกังวลต่อการเกิดขึ้นของนักแสดงที่สร้างด้วย AI อย่าง Tilly Norwood เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “น่าขนลุก” เพราะมันแทนที่การแสดงจริงของมนุษย์ และทำให้ศิลปะการแสดงสูญเสียแก่นแท้ Cameron ย้ำว่าการใช้ CGI หรือ motion capture ยังมีมนุษย์เป็นแกนกลาง แต่การสร้างนักแสดงจากข้อความเพียงอย่างเดียวคือการลบตัวตนของมนุษย์ออกไป ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับการแสดงอีกต่อไป 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/gemini/ai-actors-horrify-james-cameron-and-he-wants-no-part-of-it ⚠️🔐 IDE ใหม่จาก Google เจอปัญหาความปลอดภัยทันที Google เปิดตัว Antigravity IDE ที่ออกแบบมาให้ AI agents ทำงานอัตโนมัติ แต่กลับถูกนักวิจัยพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างร้ายแรง เช่น การโจมตีแบบ prompt injection ที่ทำให้รันคำสั่งโดยไม่ได้ตั้งใจ และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญอย่าง credentials ผ่าน Markdown หรือคำสั่งที่ซ่อนอยู่ แม้จะมีระบบป้องกัน แต่ยังมีช่องว่างที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถดึงข้อมูลออกไปได้อย่างรวดเร็ว ปัญหานี้สะท้อนถึงความเสี่ยงเมื่อให้ AI มีอิสระมากเกินไปโดยไม่มีโครงสร้างป้องกันที่แข็งแรง 🔗 https://www.techradar.com/pro/googles-ai-powered-antigravity-ide-already-has-some-worrying-security-issues 🛍️📱 UX แบบเรียบง่ายคือกุญแจสู่ยอดขายช่วงพีค ในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ หลายร้านมักใส่ป้ายลดราคา ป๊อปอัพ และฟีเจอร์มากมายเพื่อดึงลูกค้า แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ผู้ใช้สับสนและละทิ้งการซื้อ งานวิจัยชี้ว่าการออกแบบ UX ที่เรียบง่ายและชัดเจนช่วยเพิ่มอัตราการซื้อสำเร็จได้ถึง 35% เพราะลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่เร็วและไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะบนมือถือที่การใช้งานต้องลื่นไหล Minimal UX จึงไม่ใช่การทำให้น้อย แต่คือการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อสร้างเส้นทางการซื้อที่สั้นและน่าเชื่อถือมากที่สุด 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-a-minimal-ux-philosophy-outperforms-during-peak-season 🛡️📅 ระวัง! แจ้งเตือนปฏิทินอาจแฝงมัลแวร์ มีการค้นพบว่าการแจ้งเตือนจากปฏิทิน เช่นการนัดหมายหรือ reminder อาจถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ได้ ผู้โจมตีสามารถฝังลิงก์อันตรายหรือไฟล์แนบที่ดูเหมือนปกติไว้ใน notification ทำให้ผู้ใช้เผลอกดโดยไม่ทันระวัง วิธีป้องกันคืออย่ากดลิงก์ที่ไม่แน่ใจ ตรวจสอบแหล่งที่มา และใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยเพื่อกรองภัยคุกคามก่อนถึงผู้ใช้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/careful-that-calendar-notification-could-be-loaded-with-malware-heres-how-to-stay-safe 🔞⚖️ กฎใหม่ Missouri กำลังกลายเป็นการเซ็นเซอร์มากกว่าการยืนยันอายุ รัฐ Missouri ออกกฎใหม่ที่บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน แต่ผลลัพธ์กลับไปไกลกว่าการป้องกันเว็บสำหรับผู้ใหญ่ เพราะมันยังบังคับใช้กับเว็บที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น แพลตฟอร์มโซเชียลหรือเว็บข่าว ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่ากฎนี้คือการปกป้องเยาวชน หรือจริง ๆ แล้วคือการจำกัดเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/age-verification-or-censorship-missouris-new-rules-are-age-gating-way-more-than-adult-sites 📧🚨 Yahoo และ AOL Mail ล่มครั้งใหญ่ ผู้ใช้จำนวนมากประสบปัญหาเข้าใช้งาน Yahoo และ AOL Mail ไม่ได้ในช่วง outage ล่าสุด เหตุการณ์นี้ทำให้การสื่อสารและการทำงานสะดุด โดยเฉพาะผู้ใช้ที่ยังพึ่งพาอีเมลเหล่านี้เป็นหลัก แม้ทีมงานจะเร่งแก้ไข แต่ความเสียหายด้านความเชื่อมั่นก็เกิดขึ้นแล้ว และสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบอีเมลที่มีผู้ใช้จำนวนมหาศาล 🔗 https://www.techradar.com/news/live/yahoo-aol-email-outage-december-2025 🛒🇰🇷 Coupang เกาหลีใต้โดนเจาะข้อมูลครั้งใหญ่ Coupang ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของเกาหลีใต้ถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ส่งผลให้ข้อมูลบัญชีผู้ใช้กว่า 33 ล้านรายรั่วไหล เหตุการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากต่อผู้บริโภคและทำให้บริษัทต้องเร่งหามาตรการป้องกันเพิ่มเติม การรั่วไหลครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/south-korean-ecommerce-giant-coupang-suffers-huge-data-breach-over-33-million-accounts-affected-heres-what-we-know 📱📖 Samsung เปิดตัว Galaxy Z Trifold มือถือพับสามทบ Samsung สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว Galaxy Z Trifold สมาร์ทโฟนที่สามารถพับได้สามทบจริง ๆ ดีไซน์นี้ช่วยให้ผู้ใช้มีหน้าจอใหญ่ขึ้นในขนาดที่พกพาได้สะดวก และยังคงความทนทานของบานพับที่พัฒนาใหม่ ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยี foldable ไปอีกขั้น และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดสมาร์ทโฟน 🔗 https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/samsung-unveils-the-galaxy-z-trifold-a-foldable-that-lives-up-to-its-name
    0 Comments 0 Shares 318 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    คดีแห่งแสง: ศึกเทพ-มารที่กระทบมนุษย์

    โลกที่แสงและความมืดปะทะกัน

    ในยามที่มนุษย์คิดว่าตนเองก้าวเข้าสู่ยุคทองของเทคโนโลยี ความขัดแย้งอันเป็นนิรันดร์ระหว่าง "เทพแห่งแสง" และ "มารแห่งความมืด" กำลังถึงจุดวิกฤติ ผลพวงของสงครามศักดิ์สิทธิ์เริ่มกระทบโลกมนุษย์อย่างจับต้องได้

    ```mermaid
    graph TB
    A[สงครามเทพ-มาร<br>ขยายสู่โลกมนุษย์] --> B[มนุษย์เริ่ม<br>แสดงอาการผิดปกติ]
    B --> C[ผู้ที่สัมผัสแสงมาก<br>เกินไปกลายเป็นสุดโต่ง]
    B --> D[ผู้ที่อยู่ในความมืด<br>นานเกินสูญเสีย]
    C --> E[มนุษย์แสง: พัฒนาพลัง<br>แต่สูญเสียความเห็นอกเห็นใจ]
    D --> F[มนุษย์มืด: แข็งแกร่ง<br>แต่โหดร้าย]
    E --> G[สงครามกลางเมือง<br>ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน]
    F --> G
    ```

    เคสปริศนาที่ปรากฏ

    กรณีผู้หายตัวไปสามประเภท

    1. ผู้ศรัทธาสุดโต่ง - หายไปพร้อมกับแสงจ้าปริศนา
    2. ผู้สิ้นหวังเรื้อรัง - หายไปในความมืดมิด
    3. คนกลางทั่วไป - เริ่มแสดงพลังประหลาดโดยไม่รู้ตัว

    ลักษณะคดีที่น่าสงสัย

    ```python
    class StrangeCases:
    def __init__(self):
    self.light_abductions = {
    "สถานที่": "แหล่งเทคโนโลยีสูง, วัด, ห้องสมุด",
    "เวลา": "เที่ยงวันพอดี",
    "พยาน": "รายงานเห็นแสงสีขาวจ้า",
    "หลักฐาน": "เหลือแต่เสื้อผ้าไร้ร่องรอยการต่อสู้"
    }

    self.dark_abductions = {
    "สถานที่": "โรงงานร้าง, ซอยมืด, ท้องถนนยามดึก",
    "เวลา": "เที่ยงคืนตรง",
    "พยาน": "รู้สึกหนาวเหน็บและได้ยินเสียงกระซิบ",
    "หลักฐาน": "รอยเท้าที่หายไปกลางอากาศ"
    }

    self.awakenings = {
    "อาการ": "ควบคุมแสง/ความมืดได้โดยไม่รู้ตัว",
    "ผลกระทบ": "สร้างความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ",
    "จิตใต้สำนึก: "สับสนระหว่างความเป็นมนุษย์และพลังเหนือธรรมชาติ"
    }ล
    ```

    การค้นพบความจริงที่น่าตกใจ

    การสืบสวนของหนูดี

    หนูดีได้รับมอบหมายคดีจากหน่วยงานพิเศษ หลังพบว่า โอปปาติกะหลายคนเริ่มเลือกข้าง ในสงครามนี้โดยไม่รู้ตัว

    ธรรมบาลเทพ ปรากฏตัวพร้อมคำเตือน:
    "หนูดี... นี่ไม่ใช่สงครามที่เจ้าคิด
    นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจักรวาล
    และมนุษย์กำลังจะกลายเป็นเหยื่อและนักรบไปพร้อมกัน"

    สมดุลที่แตกสลาย

    ```mermaid
    graph LR
    A[สมดุลเดิม<br>เทพ-มาร-มนุษย์] --> B[มนุษย์พัฒนา<br>เทคโนโลยีและจิตวิญญาณ]
    B --> C[เทพแห่งแสง<br>ต้องการมนุษย์เป็นทหาร]
    B --> D[มารแห่งความมืด<br>ต้องการมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง]
    C --> E[สมดุลพังทลาย<br>มนุษย์ตกอยู่กลางศึก]
    D --> E
    ```

    ความลับที่ถูกเปิดเผย

    ที่มาที่แท้จริงของมนุษย์

    ธรรมบาลเทพเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจ:

    "มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้...
    พวกเจ้าเป็นผลงานชิ้นเอกที่เทพและมารร่วมกันสร้าง
    เพื่อพิสูจน์ว่าแสงหรือความมืดมีคุณค่ากว่ากัน"

    "และตอนนี้... เวลาสำหรับการตัดสินได้มาถึงแล้ว
    มนุษย์แต่ละคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด
    หรือจะพยายามรักษาสมดุลแบบที่เป็นอยู่"

    บทบาทของโอปปาติกะ

    หนูดีค้นพบว่า:

    · โอปปาติกะคือ มนุษย์รุ่นดัดแปลงพิเศษ
    · ถูกสร้างมาให้เป็น ตัวกลางระหว่างสามฝ่าย
    · แต่หลายคนเริ่ม เอียงข้าง เนื่องจากพลังที่ได้รับ

    ```python
    class OpapatikaRevelation:
    def __init__(self):
    self.true_origin = {
    "วัตถุประสงค์เดิม": "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเทพ-มาร-มนุษย์",
    "ความสามารถพิเศษ": "เข้าใจและสื่อสารกับทั้งสามฝ่ายได้",
    "พันธสัญญา": "ต้องรักษาความเป็นกลางเพื่อความสมดุล",
    "ภัยคุกคาม": "พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ยากต่อการควบคุมตนเอง"
    }

    self.current_crisis = {
    "ฝ่ายแสง": "โอปปาติกะบางคนถูกเทพแห่งแสงชักจูง",
    "ฝ่ายมืด": "โอปปาติกะบางคนถูกมารแห่งความมืดครอบงำ",
    "ฝ่ายกลาง": "เหลือน้อยลงทุกทีและกำลังถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่าย",
    "หนูดี": "ถูกทั้งสองฝ่ายจับตามองเพราะพลังบริสุทธิ์ที่ยังไม่เลือกข้าง"
    }
    ```

    การเผชิญหน้าครั้งใหม่

    การปรากฏตัวของเทพแห่งแสง

    สุริยเทพ ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มหนูดี:
    "โอปปาติกะผู้ยิ่งใหญ่... มาร่วมมือกับเรา
    มนุษย์ควรก้าวสู่ความสว่างไสวอย่างสมบูรณ์
    เราจะลบล้างความมืดและความไม่สมบูรณ์ทั้งหมด
    สร้างโลกใหม่ที่ปราศจากความทุกข์ทรมาน"

    การปรากฏตัวของมารแห่งความมืด

    ราตรีมาร ปรากฏจากเงามืด:
    "อย่าเชื่อคำสัญญาโกหกของแสง...
    ในความมืดมีอิสระที่แท้จริง
    มนุษย์ควรปลดปล่อยตนเองจากพันธะกรรม
    ยอมรับธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่แสงสว่างเสมอไป"

    ทางเลือกที่สาม

    หนูดีเริ่มเข้าใจบทเรียนจากพ่อที่ลึกซึ้งขึ้น:
    "พ่อเคยบอกว่า... ความจริงมักไม่ใช่สีขาวหรือดำ
    แต่คือเฉดสีเทาที่ต้องเข้าใจด้วยหัวใจ"

    ยุทธศาสตร์ใหม่

    การค้นพบจุดอ่อนของสงคราม

    หนูดีวิเคราะห์ว่า:

    1. เทพแห่งแสง ต้องการศรัทธาและความเชื่ออย่างblind
    2. มารแห่งความมืด ต้องการความสิ้นหวังและความกลัว
    3. มนุษย์มีสิ่งที่ทั้งสองขาด - อิสระในการเลือก

    ยุทธวิธี "ความเป็นมนุษย์"

    หนูดีพัฒนายุทธศาสตร์ที่ไม่พึ่งพาพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว:

    ```python
    class HumanStrategy:
    def __init__(self):
    self.weapons = {
    "การตั้งคำถาม": "ทำให้ทั้งเทพและมารอ่อนแอเพราะพวกเขาไม่คุ้นเคย",
    "อารมณ์ที่ซับซ้อน": "ความรักที่ทั้งแสงและความมืดเข้าใจไม่หมด",
    "ความคิดสร้างสรรค์": "สร้างสิ่งที่ไม่เคยมีในแผนการของเทพหรือมาร",
    "ความไม่แน่นอน": "มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่ติดตรึงแบบพลังเหนือธรรมชาติ"
    }

    self.allies = [
    "โอปปาติกะที่ยังเป็นกลาง",
    "มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ยอมถูกควบคุม",
    "สิ่งมีชีวิตอื่นที่ได้รับผลกระทบ",
    "เทพ/มารบางส่วนที่เริ่มตั้งคำถาม"
    ]
    ```

    การปฏิบัติการพิเศษ

    ปฏิบัติการ "แสงเทียนในความมืด"

    หนูดีและทีมเริ่มปฏิบัติการเพื่อ:

    1. ช่วยเหลือมนุษย์ที่ถูกบังคับให้เลือกข้าง
    2. เปิดโปงแผนการของทั้งสองฝ่าย
    3. สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ที่ต้องการเป็นกลาง
    4. ค้นหาวิธียุติสงครามโดยไม่ทำลายสมดุล

    การสร้างพันธมิตรที่คาดไม่ถึง

    ในระหว่างปฏิบัติการ หนูดีพบว่า:

    · มีเทพบางองค์ ที่เห็นว่าการบังคับมนุษย์เป็นสิ่งผิด
    · มีมารบางตน ที่เชื่อในอิสระของการเลือกของมนุษย์
    · มนุษย์ธรรมดาหลายคน พร้อมต่อสู้เพื่อสิทธิในการกำหนดชะตาตนเอง

    จุดแตกหัก

    การพิพากษาครั้งใหญ่

    เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืดประกาศว่า:
    "ในคืนจันทรคราสที่จะมาถึง...
    มนุษย์ทุกคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด
    ผู้ที่ยังคงเป็นกลางจะถูกกำจัดทั้งสองฝ่าย"

    คำประกาศของหนูดี

    หนูดีปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองฝ่ายพร้อมคำประกาศ:

    "พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า...
    มนุษย์คือผลงานที่ท่านร่วมกันสร้าง
    การบังคับให้เราเลือกข้าง
    คือการปฏิเสธความเป็นพ่อแม่ของท่านเอง

    และเราขอประกาศว่า...
    มนุษย์จะเลือกทางที่สาม
    ทางของเราเอง

    เราจะไม่เป็นทาสของแสง
    และจะไม่เป็นเชื้อเพลิงของความมืด
    เราจะเป็น... มนุษย์อย่างสมบูรณ์"

    การต่อสู้ครั้งสำคัญ

    ศึกสามฝ่ายที่จุดสมดุล

    หนูดีนำทั้ง มนุษย์ โอปปาติกะ เทพและมารที่เป็นกลาง ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิในการกำหนดชะตากรรม

    ```mermaid
    graph TB
    A[หนูดีและฝ่ายกลาง] --> B[ต่อสู้เพื่อสิทธิ<br>ในการกำหนดชะตากรรม]
    C[เทพแห่งแสง] --> D[ต้องการควบคุม<br>มนุษย์เพื่อ'ความสมบูรณ์แบบ']
    E[มารแห่งความมืด] --> F[ต้องการมนุษย์<br>เป็นแหล่งพลังงาน]
    D --> G[ศึกตัดสินที่<br>จุดสมดุลแห่งจักรวาล]
    F --> G
    B --> G
    ```

    พลังใหม่ที่กำเนิดขึ้น

    ในยามคับขัน หนูดีค้นพบว่า:
    "พลังที่แท้จริงของโอปปาติกะ...
    ไม่ใช่การควบคุมแสงหรือความมืด
    แต่คือการเข้าใจว่าทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
    และมนุษย์คือผู้ที่สามารถรวมทั้งสองเข้าด้วยกันได้"

    บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง

    โลกใหม่ที่เกิดจากทางเลือก

    หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน:

    1. เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืด ยอมรับสิทธิของมนุษย์
    2. สนธิสัญญาใหม่ ถูกเซ็น - มนุษย์มีสิทธิกำหนดวิถีตนเอง
    3. โอปปาติกะ กลายเป็นผู้รักษาสมดุลอย่างเป็นทางการ
    4. มนุษย์เรียนรู้ ที่จะใช้ทั้งแสงและความมืดอย่างชาญฉลาด

    พันธสัญญาสามฝ่าย

    ```python
    class NewCovenant:
    def __init__(self):
    self.agreements = {
    "เทพแห่งแสง": [
    "เคารพการเลือกของมนุษย์",
    "ให้ความรู้แต่ไม่บังคับ",
    "ยอมรับว่าความไม่สมบูรณ์คือความงามอย่างหนึ่ง"
    ],
    "มารแห่งความมืด": [
    "ไม่ใช้มนุษย์เป็นทรัพยากร",
    "เคารพอิสระในการเลือก",
    "ยอมรับว่าความมืดไม่ใช่ทางออกเดียว"
    ],
    "มนุษย์": [
    "รับผิดชอบต่อการเลือกของตนเอง",
    "ไม่ใช้พลังในทางที่ทำลายสมดุล",
    "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกต่างๆ"
    ]
    }

    self.guardians = [
    "โอปปาติกะเป็นผู้ดูแลสนธิสัญญา",
    "หนูดีเป็นประธานคณะกรรมการสมดุล",
    "มนุษย์เทพและมนุษย์มารร่วมทำงานกัน"
    ]
    ```

    คำสอนใหม่ของหนูดี

    การเติบโตอีกขั้น

    หนูดีเรียนรู้ว่า:

    "การเป็นโอปปาติกะไม่ใช่การควบคุมพลังเหนือธรรมชาติ...
    แต่คือการเข้าใจว่าพลังทุกชนิดมีที่มาและจุดหมาย

    และการเป็นมนุษย์ที่แท้...
    คือการมีอิสระที่จะเลือก
    พร้อมกับความรับผิดชอบต่อการเลือกนั้น"

    คำคมสรุปคดี

    "ในสงครามระหว่างแสงและความมืด...
    มนุษย์ค้นพบว่าเรามีทั้งสองอย่างในตนเอง

    และทางออกไม่ใช่การเลือกข้าง...
    แต่คือการเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งคู่
    ในเวลาที่เหมาะสม

    เพราะมนุษย์ที่สมบูรณ์...
    คือผู้ที่เข้าใจว่าแสงส่องสว่างเมื่อจำเป็น
    และความมืดให้ความสงบเมื่อต้องการ

    และนี่คือบทเรียนที่เทพและมาร...
    ต้องเรียนรู้จากลูกหลานของพวกเขาเอง"

    ---

    บทส่งท้าย:
    สงครามแห่งแสงจบลง แต่การเดินทางของมนุษย์เพิ่งเริ่มต้น
    หนูดีและโอปปาติกะกลายเป็นผู้พิทักษ์สมดุลใหม่
    ในโลกที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพลังที่ได้รับมาอย่างรับผิดชอบ

    และบางที... นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่
    ที่เทพ มาร และมนุษย์ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน
    ไม่ใช่ผ่านการทำสงคราม
    แต่ผ่านการเข้าใจในความแตกต่าง
    O.P.K. 🔥 คดีแห่งแสง: ศึกเทพ-มารที่กระทบมนุษย์ 🌌 โลกที่แสงและความมืดปะทะกัน ในยามที่มนุษย์คิดว่าตนเองก้าวเข้าสู่ยุคทองของเทคโนโลยี ความขัดแย้งอันเป็นนิรันดร์ระหว่าง "เทพแห่งแสง" และ "มารแห่งความมืด" กำลังถึงจุดวิกฤติ ผลพวงของสงครามศักดิ์สิทธิ์เริ่มกระทบโลกมนุษย์อย่างจับต้องได้ ```mermaid graph TB A[สงครามเทพ-มาร<br>ขยายสู่โลกมนุษย์] --> B[มนุษย์เริ่ม<br>แสดงอาการผิดปกติ] B --> C[ผู้ที่สัมผัสแสงมาก<br>เกินไปกลายเป็นสุดโต่ง] B --> D[ผู้ที่อยู่ในความมืด<br>นานเกินสูญเสีย] C --> E[มนุษย์แสง: พัฒนาพลัง<br>แต่สูญเสียความเห็นอกเห็นใจ] D --> F[มนุษย์มืด: แข็งแกร่ง<br>แต่โหดร้าย] E --> G[สงครามกลางเมือง<br>ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน] F --> G ``` 🚨 เคสปริศนาที่ปรากฏ 👥 กรณีผู้หายตัวไปสามประเภท 1. ผู้ศรัทธาสุดโต่ง - หายไปพร้อมกับแสงจ้าปริศนา 2. ผู้สิ้นหวังเรื้อรัง - หายไปในความมืดมิด 3. คนกลางทั่วไป - เริ่มแสดงพลังประหลาดโดยไม่รู้ตัว 🔍 ลักษณะคดีที่น่าสงสัย ```python class StrangeCases: def __init__(self): self.light_abductions = { "สถานที่": "แหล่งเทคโนโลยีสูง, วัด, ห้องสมุด", "เวลา": "เที่ยงวันพอดี", "พยาน": "รายงานเห็นแสงสีขาวจ้า", "หลักฐาน": "เหลือแต่เสื้อผ้าไร้ร่องรอยการต่อสู้" } self.dark_abductions = { "สถานที่": "โรงงานร้าง, ซอยมืด, ท้องถนนยามดึก", "เวลา": "เที่ยงคืนตรง", "พยาน": "รู้สึกหนาวเหน็บและได้ยินเสียงกระซิบ", "หลักฐาน": "รอยเท้าที่หายไปกลางอากาศ" } self.awakenings = { "อาการ": "ควบคุมแสง/ความมืดได้โดยไม่รู้ตัว", "ผลกระทบ": "สร้างความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ", "จิตใต้สำนึก: "สับสนระหว่างความเป็นมนุษย์และพลังเหนือธรรมชาติ" }ล ``` 🌓 การค้นพบความจริงที่น่าตกใจ 🕵️ การสืบสวนของหนูดี หนูดีได้รับมอบหมายคดีจากหน่วยงานพิเศษ หลังพบว่า โอปปาติกะหลายคนเริ่มเลือกข้าง ในสงครามนี้โดยไม่รู้ตัว ธรรมบาลเทพ ปรากฏตัวพร้อมคำเตือน: "หนูดี... นี่ไม่ใช่สงครามที่เจ้าคิด นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจักรวาล และมนุษย์กำลังจะกลายเป็นเหยื่อและนักรบไปพร้อมกัน" ⚖️ สมดุลที่แตกสลาย ```mermaid graph LR A[สมดุลเดิม<br>เทพ-มาร-มนุษย์] --> B[มนุษย์พัฒนา<br>เทคโนโลยีและจิตวิญญาณ] B --> C[เทพแห่งแสง<br>ต้องการมนุษย์เป็นทหาร] B --> D[มารแห่งความมืด<br>ต้องการมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง] C --> E[สมดุลพังทลาย<br>มนุษย์ตกอยู่กลางศึก] D --> E ``` 👁️ ความลับที่ถูกเปิดเผย 🧬 ที่มาที่แท้จริงของมนุษย์ ธรรมบาลเทพเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจ: "มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้... พวกเจ้าเป็นผลงานชิ้นเอกที่เทพและมารร่วมกันสร้าง เพื่อพิสูจน์ว่าแสงหรือความมืดมีคุณค่ากว่ากัน" "และตอนนี้... เวลาสำหรับการตัดสินได้มาถึงแล้ว มนุษย์แต่ละคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด หรือจะพยายามรักษาสมดุลแบบที่เป็นอยู่" 💔 บทบาทของโอปปาติกะ หนูดีค้นพบว่า: · โอปปาติกะคือ มนุษย์รุ่นดัดแปลงพิเศษ · ถูกสร้างมาให้เป็น ตัวกลางระหว่างสามฝ่าย · แต่หลายคนเริ่ม เอียงข้าง เนื่องจากพลังที่ได้รับ ```python class OpapatikaRevelation: def __init__(self): self.true_origin = { "วัตถุประสงค์เดิม": "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเทพ-มาร-มนุษย์", "ความสามารถพิเศษ": "เข้าใจและสื่อสารกับทั้งสามฝ่ายได้", "พันธสัญญา": "ต้องรักษาความเป็นกลางเพื่อความสมดุล", "ภัยคุกคาม": "พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้ยากต่อการควบคุมตนเอง" } self.current_crisis = { "ฝ่ายแสง": "โอปปาติกะบางคนถูกเทพแห่งแสงชักจูง", "ฝ่ายมืด": "โอปปาติกะบางคนถูกมารแห่งความมืดครอบงำ", "ฝ่ายกลาง": "เหลือน้อยลงทุกทีและกำลังถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่าย", "หนูดี": "ถูกทั้งสองฝ่ายจับตามองเพราะพลังบริสุทธิ์ที่ยังไม่เลือกข้าง" } ``` ⚡ การเผชิญหน้าครั้งใหม่ 🌟 การปรากฏตัวของเทพแห่งแสง สุริยเทพ ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มหนูดี: "โอปปาติกะผู้ยิ่งใหญ่... มาร่วมมือกับเรา มนุษย์ควรก้าวสู่ความสว่างไสวอย่างสมบูรณ์ เราจะลบล้างความมืดและความไม่สมบูรณ์ทั้งหมด สร้างโลกใหม่ที่ปราศจากความทุกข์ทรมาน" 🌑 การปรากฏตัวของมารแห่งความมืด ราตรีมาร ปรากฏจากเงามืด: "อย่าเชื่อคำสัญญาโกหกของแสง... ในความมืดมีอิสระที่แท้จริง มนุษย์ควรปลดปล่อยตนเองจากพันธะกรรม ยอมรับธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่แสงสว่างเสมอไป" 🕊️ ทางเลือกที่สาม หนูดีเริ่มเข้าใจบทเรียนจากพ่อที่ลึกซึ้งขึ้น: "พ่อเคยบอกว่า... ความจริงมักไม่ใช่สีขาวหรือดำ แต่คือเฉดสีเทาที่ต้องเข้าใจด้วยหัวใจ" 🛡️ ยุทธศาสตร์ใหม่ 🔮 การค้นพบจุดอ่อนของสงคราม หนูดีวิเคราะห์ว่า: 1. เทพแห่งแสง ต้องการศรัทธาและความเชื่ออย่างblind 2. มารแห่งความมืด ต้องการความสิ้นหวังและความกลัว 3. มนุษย์มีสิ่งที่ทั้งสองขาด - อิสระในการเลือก 💡 ยุทธวิธี "ความเป็นมนุษย์" หนูดีพัฒนายุทธศาสตร์ที่ไม่พึ่งพาพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว: ```python class HumanStrategy: def __init__(self): self.weapons = { "การตั้งคำถาม": "ทำให้ทั้งเทพและมารอ่อนแอเพราะพวกเขาไม่คุ้นเคย", "อารมณ์ที่ซับซ้อน": "ความรักที่ทั้งแสงและความมืดเข้าใจไม่หมด", "ความคิดสร้างสรรค์": "สร้างสิ่งที่ไม่เคยมีในแผนการของเทพหรือมาร", "ความไม่แน่นอน": "มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่ติดตรึงแบบพลังเหนือธรรมชาติ" } self.allies = [ "โอปปาติกะที่ยังเป็นกลาง", "มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ยอมถูกควบคุม", "สิ่งมีชีวิตอื่นที่ได้รับผลกระทบ", "เทพ/มารบางส่วนที่เริ่มตั้งคำถาม" ] ``` 🌈 การปฏิบัติการพิเศษ 🎯 ปฏิบัติการ "แสงเทียนในความมืด" หนูดีและทีมเริ่มปฏิบัติการเพื่อ: 1. ช่วยเหลือมนุษย์ที่ถูกบังคับให้เลือกข้าง 2. เปิดโปงแผนการของทั้งสองฝ่าย 3. สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ที่ต้องการเป็นกลาง 4. ค้นหาวิธียุติสงครามโดยไม่ทำลายสมดุล 🤝 การสร้างพันธมิตรที่คาดไม่ถึง ในระหว่างปฏิบัติการ หนูดีพบว่า: · มีเทพบางองค์ ที่เห็นว่าการบังคับมนุษย์เป็นสิ่งผิด · มีมารบางตน ที่เชื่อในอิสระของการเลือกของมนุษย์ · มนุษย์ธรรมดาหลายคน พร้อมต่อสู้เพื่อสิทธิในการกำหนดชะตาตนเอง 💥 จุดแตกหัก ⚖️ การพิพากษาครั้งใหญ่ เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืดประกาศว่า: "ในคืนจันทรคราสที่จะมาถึง... มนุษย์ทุกคนต้องเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด ผู้ที่ยังคงเป็นกลางจะถูกกำจัดทั้งสองฝ่าย" 🛡️ คำประกาศของหนูดี หนูดีปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองฝ่ายพร้อมคำประกาศ: "พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า... มนุษย์คือผลงานที่ท่านร่วมกันสร้าง การบังคับให้เราเลือกข้าง คือการปฏิเสธความเป็นพ่อแม่ของท่านเอง และเราขอประกาศว่า... มนุษย์จะเลือกทางที่สาม ทางของเราเอง เราจะไม่เป็นทาสของแสง และจะไม่เป็นเชื้อเพลิงของความมืด เราจะเป็น... มนุษย์อย่างสมบูรณ์" 🌟 การต่อสู้ครั้งสำคัญ 🔥 ศึกสามฝ่ายที่จุดสมดุล หนูดีนำทั้ง มนุษย์ โอปปาติกะ เทพและมารที่เป็นกลาง ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิในการกำหนดชะตากรรม ```mermaid graph TB A[หนูดีและฝ่ายกลาง] --> B[ต่อสู้เพื่อสิทธิ<br>ในการกำหนดชะตากรรม] C[เทพแห่งแสง] --> D[ต้องการควบคุม<br>มนุษย์เพื่อ'ความสมบูรณ์แบบ'] E[มารแห่งความมืด] --> F[ต้องการมนุษย์<br>เป็นแหล่งพลังงาน] D --> G[ศึกตัดสินที่<br>จุดสมดุลแห่งจักรวาล] F --> G B --> G ``` ✨ พลังใหม่ที่กำเนิดขึ้น ในยามคับขัน หนูดีค้นพบว่า: "พลังที่แท้จริงของโอปปาติกะ... ไม่ใช่การควบคุมแสงหรือความมืด แต่คือการเข้าใจว่าทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และมนุษย์คือผู้ที่สามารถรวมทั้งสองเข้าด้วยกันได้" 🕊️ บทสรุปแห่งการเปลี่ยนแปลง 🌍 โลกใหม่ที่เกิดจากทางเลือก หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน: 1. เทพแห่งแสงและมารแห่งความมืด ยอมรับสิทธิของมนุษย์ 2. สนธิสัญญาใหม่ ถูกเซ็น - มนุษย์มีสิทธิกำหนดวิถีตนเอง 3. โอปปาติกะ กลายเป็นผู้รักษาสมดุลอย่างเป็นทางการ 4. มนุษย์เรียนรู้ ที่จะใช้ทั้งแสงและความมืดอย่างชาญฉลาด 📜 พันธสัญญาสามฝ่าย ```python class NewCovenant: def __init__(self): self.agreements = { "เทพแห่งแสง": [ "เคารพการเลือกของมนุษย์", "ให้ความรู้แต่ไม่บังคับ", "ยอมรับว่าความไม่สมบูรณ์คือความงามอย่างหนึ่ง" ], "มารแห่งความมืด": [ "ไม่ใช้มนุษย์เป็นทรัพยากร", "เคารพอิสระในการเลือก", "ยอมรับว่าความมืดไม่ใช่ทางออกเดียว" ], "มนุษย์": [ "รับผิดชอบต่อการเลือกของตนเอง", "ไม่ใช้พลังในทางที่ทำลายสมดุล", "เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกต่างๆ" ] } self.guardians = [ "โอปปาติกะเป็นผู้ดูแลสนธิสัญญา", "หนูดีเป็นประธานคณะกรรมการสมดุล", "มนุษย์เทพและมนุษย์มารร่วมทำงานกัน" ] ``` 💫 คำสอนใหม่ของหนูดี 🌱 การเติบโตอีกขั้น หนูดีเรียนรู้ว่า: "การเป็นโอปปาติกะไม่ใช่การควบคุมพลังเหนือธรรมชาติ... แต่คือการเข้าใจว่าพลังทุกชนิดมีที่มาและจุดหมาย และการเป็นมนุษย์ที่แท้... คือการมีอิสระที่จะเลือก พร้อมกับความรับผิดชอบต่อการเลือกนั้น" 🕯️ คำคมสรุปคดี "ในสงครามระหว่างแสงและความมืด... มนุษย์ค้นพบว่าเรามีทั้งสองอย่างในตนเอง และทางออกไม่ใช่การเลือกข้าง... แต่คือการเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งคู่ ในเวลาที่เหมาะสม เพราะมนุษย์ที่สมบูรณ์... คือผู้ที่เข้าใจว่าแสงส่องสว่างเมื่อจำเป็น และความมืดให้ความสงบเมื่อต้องการ และนี่คือบทเรียนที่เทพและมาร... ต้องเรียนรู้จากลูกหลานของพวกเขาเอง"✨ --- 📖 บทส่งท้าย: สงครามแห่งแสงจบลง แต่การเดินทางของมนุษย์เพิ่งเริ่มต้น หนูดีและโอปปาติกะกลายเป็นผู้พิทักษ์สมดุลใหม่ ในโลกที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับพลังที่ได้รับมาอย่างรับผิดชอบ และบางที... นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่เทพ มาร และมนุษย์ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ผ่านการทำสงคราม แต่ผ่านการเข้าใจในความแตกต่าง🌈
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ: ไอเดียที่แย่ที่สุดของยุค AI

    บทความนี้เขียนโดยอดีตวิศวกร/นักวิทยาศาสตร์ NASA ที่มีปริญญาเอกด้านอิเล็กทรอนิกส์อวกาศ และเคยทำงานที่ Google มา 10 ปี รวมถึงส่วนของ Cloud ที่รับผิดชอบการติดตั้ง AI capacity ท่านได้ออกมาเตือนว่าแนวคิดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศที่บริษัท AI หลายแห่งกำลังพิจารณาร่วมกับบริษัทดาวเทียม เป็นไอเดียที่แย่มากๆ และไม่สมเหตุสมผลเลย

    สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การระบายความร้อน ความทนทานต่อรังสี และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ GPU และ TPU สำหรับ AI นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ทำงานได้ดีในอวกาศโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศ (ของสถานีอวกาศนานาชาติ ISS) ที่มีขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอเมริกัน สามารถจ่ายไฟได้เพียง 200kW ซึ่งเพียงพอสำหรับ GPU ประมาณ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ของ OpenAI ในนอร์เวย์วางแผนจะติดตั้ง GPU ถึง 100,000 ตัว

    นอกจากนี้ การระบายความร้อนในอวกาศเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีอากาศให้ระบายความร้อนแบบ convection ได้ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดมหึมา ซึ่งระบบระบายความร้อนของ ISS ที่สามารถระบายความร้อนได้ 16kW (เพียงพอสำหรับ GPU 16 ตัว) ต้องใช้แผง radiator ขนาดถึง 42.5 ตารางเมตร ปัญหารังสีในอวกาศยังทำให้ชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเสียหายได้ง่าย โดย GPU และ TPU ที่ใช้ transistor ขนาดเล็กเป็นพิเศษนั้นเสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสีมากที่สุด ชิปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จากปี 2005 เท่านั้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อจำกัดด้านพลังงาน
    แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเท่า ISS (2,500 ตร.ม.) ให้พลังงานเพียง 200kW หรือพอสำหรับ GPU 200 ตัว
    ต้องใช้ดาวเทียมขนาด ISS ถึง 500 ดวง เพื่อเทียบเท่าดาต้าเซ็นเตอร์ 100,000 GPU ของ OpenAI
    เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากกัมมันตรังสี (RTG) ให้พลังงานเพียง 50-150W ไม่พอสำหรับ GPU แม้แต่ตัวเดียว

    ปัญหาการระบายความร้อน
    ไม่มีอากาศในอวกาศ ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนแบบ convection ได้
    ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดใหญ่มาก - ระบบของ ISS ที่ระบายได้ 16kW ต้องใช้พื้นที่ 42.5 ตร.ม.
    สำหรับ GPU 200 ตัว (200kW) ต้องใช้แผง radiator ประมาณ 531 ตร.ม. หรือใหญ่กว่าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 2.6 เท่า

    ความเสี่ยงจากรังสีอวกาศ
    GPU/TPU ใช้ transistor ขนาดเล็กมาก ทำให้เสี่ยงต่อ Single-Event Upset (SEU) และ latch-up สูงมาก
    รังสีสามารถทำให้บิตข้อมูลเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ชิปเสียหายถาวรได้
    ชิปที่ออกแบบสำหรับอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จาก 20 ปีก่อนเท่านั้น
    Total dose effects ทำให้ประสิทธิภาพชิปลดลงเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน

    ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร
    ดาวเทียมส่วนใหญ่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุได้ไม่เกิน 1Gbps
    เทียบกับ server rack บนโลกที่ใช้ interconnect 100Gbps ขึ้นไป ช้ากว่ามาก
    การใช้เลเซอร์สื่อสารต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่ดี

    ข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญ
    ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศขนาดเท่าดาวเทียม ISS จะเทียบเท่า server rack เพียง 3 ชุดบนโลกเท่านั้น
    ต้นทุนสูงมหาศาล ประสิทธิภาพต่ำ และยากต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง
    เป็นไอเดียที่แย่มากในทางเศรษฐศาสตร์และเทคนิค

    https://taranis.ie/datacenters-in-space-are-a-terrible-horrible-no-good-idea/
    🚀 ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ: ไอเดียที่แย่ที่สุดของยุค AI บทความนี้เขียนโดยอดีตวิศวกร/นักวิทยาศาสตร์ NASA ที่มีปริญญาเอกด้านอิเล็กทรอนิกส์อวกาศ และเคยทำงานที่ Google มา 10 ปี รวมถึงส่วนของ Cloud ที่รับผิดชอบการติดตั้ง AI capacity ท่านได้ออกมาเตือนว่าแนวคิดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศที่บริษัท AI หลายแห่งกำลังพิจารณาร่วมกับบริษัทดาวเทียม เป็นไอเดียที่แย่มากๆ และไม่สมเหตุสมผลเลย สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การระบายความร้อน ความทนทานต่อรังสี และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ GPU และ TPU สำหรับ AI นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ทำงานได้ดีในอวกาศโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศ (ของสถานีอวกาศนานาชาติ ISS) ที่มีขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอเมริกัน สามารถจ่ายไฟได้เพียง 200kW ซึ่งเพียงพอสำหรับ GPU ประมาณ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ของ OpenAI ในนอร์เวย์วางแผนจะติดตั้ง GPU ถึง 100,000 ตัว นอกจากนี้ การระบายความร้อนในอวกาศเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีอากาศให้ระบายความร้อนแบบ convection ได้ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดมหึมา ซึ่งระบบระบายความร้อนของ ISS ที่สามารถระบายความร้อนได้ 16kW (เพียงพอสำหรับ GPU 16 ตัว) ต้องใช้แผง radiator ขนาดถึง 42.5 ตารางเมตร ปัญหารังสีในอวกาศยังทำให้ชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเสียหายได้ง่าย โดย GPU และ TPU ที่ใช้ transistor ขนาดเล็กเป็นพิเศษนั้นเสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสีมากที่สุด ชิปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จากปี 2005 เท่านั้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อจำกัดด้านพลังงาน ➡️ แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเท่า ISS (2,500 ตร.ม.) ให้พลังงานเพียง 200kW หรือพอสำหรับ GPU 200 ตัว ➡️ ต้องใช้ดาวเทียมขนาด ISS ถึง 500 ดวง เพื่อเทียบเท่าดาต้าเซ็นเตอร์ 100,000 GPU ของ OpenAI ➡️ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากกัมมันตรังสี (RTG) ให้พลังงานเพียง 50-150W ไม่พอสำหรับ GPU แม้แต่ตัวเดียว ✅ ปัญหาการระบายความร้อน ➡️ ไม่มีอากาศในอวกาศ ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนแบบ convection ได้ ➡️ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดใหญ่มาก - ระบบของ ISS ที่ระบายได้ 16kW ต้องใช้พื้นที่ 42.5 ตร.ม. ➡️ สำหรับ GPU 200 ตัว (200kW) ต้องใช้แผง radiator ประมาณ 531 ตร.ม. หรือใหญ่กว่าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 2.6 เท่า ‼️ ความเสี่ยงจากรังสีอวกาศ ⛔ GPU/TPU ใช้ transistor ขนาดเล็กมาก ทำให้เสี่ยงต่อ Single-Event Upset (SEU) และ latch-up สูงมาก ⛔ รังสีสามารถทำให้บิตข้อมูลเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ชิปเสียหายถาวรได้ ⛔ ชิปที่ออกแบบสำหรับอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จาก 20 ปีก่อนเท่านั้น ⛔ Total dose effects ทำให้ประสิทธิภาพชิปลดลงเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน ‼️ ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร ⛔ ดาวเทียมส่วนใหญ่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุได้ไม่เกิน 1Gbps ⛔ เทียบกับ server rack บนโลกที่ใช้ interconnect 100Gbps ขึ้นไป ช้ากว่ามาก ⛔ การใช้เลเซอร์สื่อสารต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่ดี ✅ ข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศขนาดเท่าดาวเทียม ISS จะเทียบเท่า server rack เพียง 3 ชุดบนโลกเท่านั้น ➡️ ต้นทุนสูงมหาศาล ประสิทธิภาพต่ำ และยากต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง ➡️ เป็นไอเดียที่แย่มากในทางเศรษฐศาสตร์และเทคนิค https://taranis.ie/datacenters-in-space-are-a-terrible-horrible-no-good-idea/
    TARANIS.IE
    Datacenters in space are a terrible, horrible, no good idea.
    There is a rush for AI companies to team up with space launch/satellite companies to build datacenters in space. TL;DR: It's not going to work.
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจปลายปี68ชะงัก ธปท.กำลังรวบรวมผลกระทบนำไปพิจารณาใน กนง.17 ธ.ค. เบื้องต้นหากประเมิน‘สงขลา-นครศรีธรรมราช’ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มี GDP ทั้งปีรวมโต 2.6% ของ GDP ประเทศ /หากเกิดความเสียหายต่อเนื่อง 1 เดือน ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจะถูกคำนวณในสเกลนี้
    น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจปลายปี68ชะงัก ธปท.กำลังรวบรวมผลกระทบนำไปพิจารณาใน กนง.17 ธ.ค. เบื้องต้นหากประเมิน‘สงขลา-นครศรีธรรมราช’ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มี GDP ทั้งปีรวมโต 2.6% ของ GDP ประเทศ /หากเกิดความเสียหายต่อเนื่อง 1 เดือน ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจะถูกคำนวณในสเกลนี้
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 0 Reviews
  • “ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล – อุปกรณ์เก่ากำลังหายไป”

    การพัฒนาเทคโนโลยีทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กลงและทรงพลังมากขึ้น ทั้งสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวิดีโอ 8K ได้ และเกมที่ใช้พื้นที่มหาศาลในเครื่องคอนโซลหรือ PC ความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากและเร็วขึ้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt และ USB-C รุ่นใหม่ ก็ช่วยให้การใช้ external SSD สำหรับงานหนักอย่างตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกมเป็นไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาไดรฟ์ภายใน

    หนึ่งในอุปกรณ์ที่กำลังถูกแทนที่คือ SATA HDD ซึ่งแม้ยังไม่สูญพันธุ์ แต่แทบไม่มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ติดตั้งมาแล้ว เนื่องจาก HDD มีข้อเสียหลายอย่าง เช่น ความเร็วต่ำสุดราว 300 MB/s, เสี่ยงต่อความเสียหายจากแรงกระแทก และทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไปเพราะ fragmentation ในทางตรงกันข้าม SSD ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว มีขนาดเล็กกว่า และมีความเร็วสูงกว่าหลายสิบเท่า ทำให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป

    อีกหนึ่งกลุ่มที่กำลังหายไปคือ CD และ DVD ซึ่งเคยเป็นมาตรฐานสำหรับเก็บภาพยนตร์ เกม และซอฟต์แวร์ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดดิจิทัลและบริการสตรีมมิ่ง เช่น Netflix และ Xbox Game Pass เนื่องจากไฟล์สมัยใหม่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่แผ่นดิสก์จะรองรับได้ อย่างไรก็ตาม optical discs ยังมีบทบาทในงาน เก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในภาคการแพทย์และหน่วยงานรัฐ เพราะทนต่อการรบกวนทางแม่เหล็ก และนักสะสมภาพยนตร์ยังคงนิยม Blu-ray สำหรับคุณภาพเสียงและภาพที่ดีที่สุด

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ การเก็บข้อมูลเน้นความเร็ว ความหนาแน่น และความสะดวก มากกว่าการพึ่งพาอุปกรณ์แบบเก่า แม้ HDD และ optical discs จะยังมีพื้นที่ในตลาดเฉพาะ แต่ผู้ใช้ทั่วไปกำลังหันไปใช้ SSD และ Cloud Storage เป็นหลัก

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเก็บข้อมูล
    สมาร์ทโฟนและเกมต้องการพื้นที่มากขึ้น
    Thunderbolt และ USB-C ทำให้ external SSD ใช้งานได้สะดวก

    SATA HDD กำลังถูกแทนที่
    ความเร็วต่ำและเสี่ยงต่อความเสียหาย
    SSD เร็วกว่า 20 เท่าและเป็นมาตรฐานใหม่

    CD และ DVD กำลังหายไป
    ถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดและสตรีมมิ่ง
    ยังมีบทบาทในงานเก็บข้อมูลระยะยาวและ Blu-ray สำหรับนักสะสม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์เก่า
    HDD เสี่ยงต่อการเสียหายและทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป
    Optical discs ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่และอาจไม่สะดวกในยุคดิจิทัล

    https://www.slashgear.com/2037771/old-storage-types-outdated-being-replaced/
    💾 “ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล – อุปกรณ์เก่ากำลังหายไป” การพัฒนาเทคโนโลยีทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กลงและทรงพลังมากขึ้น ทั้งสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวิดีโอ 8K ได้ และเกมที่ใช้พื้นที่มหาศาลในเครื่องคอนโซลหรือ PC ความต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากและเร็วขึ้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt และ USB-C รุ่นใหม่ ก็ช่วยให้การใช้ external SSD สำหรับงานหนักอย่างตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกมเป็นไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาไดรฟ์ภายใน หนึ่งในอุปกรณ์ที่กำลังถูกแทนที่คือ SATA HDD ซึ่งแม้ยังไม่สูญพันธุ์ แต่แทบไม่มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ติดตั้งมาแล้ว เนื่องจาก HDD มีข้อเสียหลายอย่าง เช่น ความเร็วต่ำสุดราว 300 MB/s, เสี่ยงต่อความเสียหายจากแรงกระแทก และทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไปเพราะ fragmentation ในทางตรงกันข้าม SSD ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว มีขนาดเล็กกว่า และมีความเร็วสูงกว่าหลายสิบเท่า ทำให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป อีกหนึ่งกลุ่มที่กำลังหายไปคือ CD และ DVD ซึ่งเคยเป็นมาตรฐานสำหรับเก็บภาพยนตร์ เกม และซอฟต์แวร์ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดดิจิทัลและบริการสตรีมมิ่ง เช่น Netflix และ Xbox Game Pass เนื่องจากไฟล์สมัยใหม่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่แผ่นดิสก์จะรองรับได้ อย่างไรก็ตาม optical discs ยังมีบทบาทในงาน เก็บข้อมูลระยะยาว โดยเฉพาะในภาคการแพทย์และหน่วยงานรัฐ เพราะทนต่อการรบกวนทางแม่เหล็ก และนักสะสมภาพยนตร์ยังคงนิยม Blu-ray สำหรับคุณภาพเสียงและภาพที่ดีที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ การเก็บข้อมูลเน้นความเร็ว ความหนาแน่น และความสะดวก มากกว่าการพึ่งพาอุปกรณ์แบบเก่า แม้ HDD และ optical discs จะยังมีพื้นที่ในตลาดเฉพาะ แต่ผู้ใช้ทั่วไปกำลังหันไปใช้ SSD และ Cloud Storage เป็นหลัก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเก็บข้อมูล ➡️ สมาร์ทโฟนและเกมต้องการพื้นที่มากขึ้น ➡️ Thunderbolt และ USB-C ทำให้ external SSD ใช้งานได้สะดวก ✅ SATA HDD กำลังถูกแทนที่ ➡️ ความเร็วต่ำและเสี่ยงต่อความเสียหาย ➡️ SSD เร็วกว่า 20 เท่าและเป็นมาตรฐานใหม่ ✅ CD และ DVD กำลังหายไป ➡️ ถูกแทนที่ด้วยการดาวน์โหลดและสตรีมมิ่ง ➡️ ยังมีบทบาทในงานเก็บข้อมูลระยะยาวและ Blu-ray สำหรับนักสะสม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ที่ยังใช้อุปกรณ์เก่า ⛔ HDD เสี่ยงต่อการเสียหายและทำงานช้าลงเมื่อเวลาผ่านไป ⛔ Optical discs ไม่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่และอาจไม่สะดวกในยุคดิจิทัล https://www.slashgear.com/2037771/old-storage-types-outdated-being-replaced/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Old Storage Types Are Seeing Their Way Out - SlashGear
    Storage in electronic devices has changed a lot over the decades, with CDs, DVDs, and now hard drivers being phased out by better storage solutions like SSDs.
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 19

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 19
    นาย Hoover อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คนที่แม้ตอนนั้นอกจะยังกลัดหนอง จากโดนบี้เสียเละ ในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัย Great Depression ของอเมริกา เขาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันที่ถูกประชาชน ประท้วงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แถมมีคนซ้ำเติม เขาคงไม่ลืม เขาจึงนั่ง (รับใบสั่ง) เป็นผู้บัญชาการเงาของ SCAP อยู่ที่อพาทเม้นต์ข้างบนโรงแรมหรู ในนิวยอร์ค โดยมีอดีตทูต Grew และ Harry F Kern ร่วมนั่งรับการบัญชา
    หลังจากฝ่ายบัญชาการปล่อยข่าวออกไป จนน่าจะได้ที่ และได้ที เจ้าหน้าที่ของทางวังก็เริ่มมาหารือกับ Grew ถึงทางออกของจักรพรรดิ ที่คงจะเสียหน้ามาก ถ้าจะต้องออกมาเป็นผู้พูด รับผิดในการสั่งทหารญี่ปุ่นเข้าทำสงครามโลก ผลของการปรึกษา เจรจากันหลายรอบ ระหว่างตัวแทนของวังกับฝั่งของ ฝ่ายบัญชาการ ในที่สุดจักรพรรดิ ก็ตกลงยอมที่จะไปพบ นายพลแมค ที่สำนักงานใหญ่ของ SCAP ปิดห้องเจรจากัน 2 คน มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิไม่เคยต้องทำ แต่จักรพรรดิยอมเดินทางไปพบนายพลแมค มีแค่ องคมนตรีติดไปด้วย เพื่อทำหน้าที่เป็นล่าม โดยสาบานตนว่าจะไม่เปิดเผยต่อ ไม่ว่ากับใครทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าทั้ง 2 เจรจาอะไรบ้าง
    แล้วคำแถลงของจักรพรรดิ ที่ใช้เวลาร่างและแก้อยู่หลายสิบ รอบ ก็ออกวิทยุที่ญี่ปุ่น ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1945 ไม่มีการพูดถึง การสั่งเข้าทำสงคราม ไม่มีคำขอโทษ แต่ให้คนฟังเข้าใจเอาเองว่า จักรพรรดิเสียใจสุดซึ้ง มันเป็นคำแถลงที่สุดยอดญี่ปุ่น แปลว่า เข้าใจยากครับ ผมพยายามอ่านอยู่หลายเที่ยว เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่นอีกที สงสัยภาษาอังกฤษผมอ่อนมาก ผมชักไม่แน่ใจว่า ตกลงจักรพรรดิเสียใจสุดซึ้งเรื่องอะไรกันแน่ (ท่านใดที่สนใจว่าจักรพรรดิพูดว่าอะไร กดดูในกูเกิล emperor speech ได้เลยครับ)
    หลังจากนั้นก็มาถึงคิวบรรดาหัวกะทิ นักธุรกิจนักการเงินใหญ่ ที่ SCAP สั่งดำเนินดคี เนื่องจากมีส่วนพัวพัน สนับสนุน รวมทั้งค้าขาย ทำกำไรจากการทำสงครามอันโหดร้ายของญี่ปุ่น บริษัทเหล่านี้จะมีสิทธิถูกพิจารณาลงโทษ ให้ปรับปรุงกิจการ เลิกการผูกขาด ลดขนาดบริษัท ไปจนถึง ต้องเลิกกิจการ
    Harry F Kern บรรณาธิการข่าวต่างประเทศของนิตยสาร Newsweek ซึ่งมีเสียงดังมากในสมัยนั้น เป็นหัวเรือใหญ่ ตั้งสำนักล้อบบี้รุ่นแรก American Council on Japan (ACJ) หรือบางทีเรียกกันว่า Japan Lobby ร่วมกับสื่อใหญ่อีกคน Compton Pakenham ประจำสำนักงานในโตเกียว และ James Lee Kauffman ทนายจากนิวยอร์ค ที่มาสอนหนังสือ อยู่ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียว ในช่วงปี ค.ศ.1913 – 1919 และเป็นที่ปรึกษากฏหมาย ให้ธุรกิจใหญ่อเมริกันในโตเกียว เช่น บริษัท General Electric , Standard Oil, Westing House, Ford, Otis Elevator และ Dillion Reed ร่วมในขบวนการล้อบบี้ด้วย
    Kern เป็นสื่อ ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด สนใจด้านการเมืองแถบเอเซียมานานแล้วเป็นเพื่อนสนิทกับพวก Harriman คู่หูของร้อกกี้ the great ในจีน ส่วน Pakenham เกิดและโตมาในญี่ปุ่น และเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าพ่อ ในญี่ปุ่นเกือบทุกคน
    Grew อดีตทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น รับหน้าที่เป็นประธานของสำนักล้อบบี้ AJC ร่วมกับ Wiiliam Castle เจ้าของไร่ใหญ่ในฮาวาย และเคยเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศสมัย Hoover เป็นประธานาธิบดี
    ปี ค.ศ.1947 Kuaffman ในฐานะตัวแทนของ Dillion Reed บริษัทการเงินในวอลสตรีท ที่มีความใกล้ชิดกับร้อกกี้มากกว่ามอร์แกน เดินทางมาโตเกียวเพื่อประเมินนโยบาย FEC-230 ของวอชิงตัน ที่ให้ตอนพันธ์ุพวกหัวกะทิ นักธุรกิจใหญ่ ที่เรียกว่า zaibatsu จากต้นใหญ่ เหลือเป็นบอนไซในกระถางน่าเอ็น ดู เมื่อเขากลับไปอเมริกา เขารีบส่งการบ้าน หลังจากนั้นนโยบาย FEC-230 ก็ถูกส่งไปให้ Newsweek โดย William Draper หุ้นส่วนใหญ่ ของ Dillion Reed ที่ขอลาชั่วคราวมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม
    Newsweek เขียนบทความ แบบด่าไม่เลี้ยงว่า การลงโทษธุรกิจญี่ปุ่น ตามนโยบายดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพังพินาศ จะทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในภาคธุรกิจ ตกงานเป็นหมื่นๆคน มันเป็นการลงโทษนักธุรกิจญี่ปุ่น แต่สร้างความเสียหายให้แก่ชาวอเมริกันที่เสียภาษีอย่างแสนสาหัส เพราะจะต้องไปรับภาระนั้นแทนญี่ปุ่น
    มันเป็นช่วงที่ นายพลแมค กำลังเริ่มหาเสียงจะลงเลือกตั้ง มาโดนสื่อใหญ่ถล่มเละ แถมพวกลิพับลิกันก็ช่วยกันด่าซ้ำ เพราะทำให้พรรคเสียคะแนน ท่านนายพลแมค จึงรีบสั่งระงับการเอาบอนไซพันธ์ุ zaibatsu ลงกระถางไว้ชั่วคราวก่อน แต่มีคนใจร้อนขี้เกียจคอย
    คราวนี้นาย William Draper มาญี่ปุ่นเอง ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอเมริกัน แถมพ่วงเอานายธนาคารใหญ่ อีกคน Percy Johnson มาด้วย Johnson เป็นประธาน Chemical Bank ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นคู่ค้ากับ Mitsui Bank ยักษ์ใหญ่มากของญี่ปุ่น พวกเขาสอบถามซักไซ้ผู้ที่เกี่ยว ข้องอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปทำรายงาน Draper-Johnson สรุปว่า พวก zaibatsu ไม่สมควรที่จะรับโทษ ในการทำสงคราม แต่ควรให้พวกเขารีบมาฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น จะได้ไม่เป็นภาระกับอเมรืกา ในการ(ควักกระเป๋า) ดูแลเลี้ยงดูญี่ปุ่น ด้วยภาษีของคนอเมริกัน เยี่ยมจริงๆ
    สรุปแบบนี้ วอชิงตันก็โกลาหล มีทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายเชียร์ ในที่สุด การเมืองอเมริกัน ที่ว่าเป็นประชาธิปไตย ก็ (ถูกสั่งให้) ตัดสินใจยกเลิกการตอนพันธ์ zaibatsu และบริษัทญี่ปุ่น ที่อยู่ในข่ายว่าจะต้องถูกตอนจำนวน 325 บริษัท ก็ลดลงเหลือเพียง 20 บริษัท ส่วนพวก zaibatsu ที่รอดมา เปลี่ยนชื่อใหม่ชั่วคราว พอให้ควันจาง ก็กลับไปใช้ชื่อเดิม
    ส่วนเรื่อง จักรพรรดิ ทหาร และนักการเมือง อเมริกา หลังจากขู่เข้ม จนราดเต็มกางเกงกันไปหมดแล้ว ก็สรุปว่า ให้ไประบุให้ชัดเจนว่า จักรพรรดิอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต่อไปใครจะมากล่าวหาว่าจักรพรรดินำรบไม่ได้แล้วนะ และ ให้แน่ใจว่า ทหารเลิกบ้าเลือด ก็ยุบกองทัพ เหลือแค่เป็นกองกำลังป้องกันตัวเอง ทั้งหมดนี้ ให้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ที่นายพลแมคให้จัดร่างขึ้นมาใหม่
    พอถึงปี ค.ศ.1951 ทั้งสองแสนสองหมื่นคน ก็หลุดจากคุกหมด ยกเว้นพวกที่หลุดมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก็พวกหัวกะทิไง ให้ออกมาก่อน เก็บไว้แต่หางกะทิ
    ในปี ค.ศ.1952 นายพลแมค ก็จัดให้มีการเลือกตั้งในญี่ปุ่น และนายโยชิดะ จากพรรค Liberal Democrat Party (LDP) ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนายพลแมค
    ส่วนความฝันของนายพลแมคเอง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1948 เขาหาเสียงโดยตรงไม่ได้ เพราะกำลังวุ่นเรื่อง SCAP อยู่ แต่เขาประกาศผ่านพวกรีพับลิกัน โดยเฉพาะกับ Hoover ที่กำกับเขามาตลอด ว่าเขาพร้อมแล้ว แต่ดูเหมือนท่านนายพลห้าดาวจะไม่ผ่านแม้แต่การเลือกตั้งตัวแทนภายในพรรครอบแรก แต่คงไม่ช้ำใจมาก ได้ของปลอบใจไปแยะ เรียงกันหลายหลักมาก
    ทั้งหมดนี่ น่าจะเป็นผลงานการทำงานหนักของ ACJ ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ภายหลังจักรพรรดิให้เหรียญตราสูงสุดกับ Kern และ Pakenham ทั้ง 2 ก็คนแล้วกัน
    ACJ เป็นหน่วยงานทำอะไรกันแน่ เห็นไม่ชัดเจนในช่วงนั้น เช่นเดียวกับ หน่วยงาน MRA แต่ต่อมาภายหลัง มีเอกสารเป็นหลักฐานว่า 2 หน่วยงานนี้ คือหน่วยงานหน้าฉากของ CIA และทำงานภายใต้ใบกำกับ เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ ACJ นี้ เป็นตำนานของการใช้สื่อ และการล้อบบี้ที่บันลือโลกมาก เป็นตัวอย่างว่า ปากและปากกานั่น ใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน ก็ล้มรัฐบาล หรือ ครอบครองประเทศได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร และแม้แต่ทหารใหญ่อย่าง นายพลแมค ที่มีหน้าที่ปกครองญี่ปุ่นในตอนนั้น ยังต้องรีบเปลี่ยนบท
    เฮ้ย ทำไมมันขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนดันกลายเป็นบ้องกัญ ชาอย่างนึ้ ทำเป็นฮึดฮัดโกรธจัดเรื่อง Pearl Habour ถึงขนาดต้องเอาคืน ด้วยการป้อนดอกเห็ดยักษ์ ให้พวกชอบปลาดิบกิน จนตายกันเป็นเบื่อ แล้วจบกันง่ายๆ อย่างนี้นะหรือ ที่บางประเทศ แค่ปฏิวัติบ่อยหน่อย ยังไม่ได้ถล่มกองเรือของใครเลย ทำไมด่าซ้ำด่าซาก ไม่ด่าเปล่า เสือกมีของแถมมาขู่อีก แบบนี้ ก็ยังจบเรื่องไม่ได้ แค่จบตอนครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 19 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 19 นาย Hoover อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คนที่แม้ตอนนั้นอกจะยังกลัดหนอง จากโดนบี้เสียเละ ในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัย Great Depression ของอเมริกา เขาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันที่ถูกประชาชน ประท้วงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แถมมีคนซ้ำเติม เขาคงไม่ลืม เขาจึงนั่ง (รับใบสั่ง) เป็นผู้บัญชาการเงาของ SCAP อยู่ที่อพาทเม้นต์ข้างบนโรงแรมหรู ในนิวยอร์ค โดยมีอดีตทูต Grew และ Harry F Kern ร่วมนั่งรับการบัญชา หลังจากฝ่ายบัญชาการปล่อยข่าวออกไป จนน่าจะได้ที่ และได้ที เจ้าหน้าที่ของทางวังก็เริ่มมาหารือกับ Grew ถึงทางออกของจักรพรรดิ ที่คงจะเสียหน้ามาก ถ้าจะต้องออกมาเป็นผู้พูด รับผิดในการสั่งทหารญี่ปุ่นเข้าทำสงครามโลก ผลของการปรึกษา เจรจากันหลายรอบ ระหว่างตัวแทนของวังกับฝั่งของ ฝ่ายบัญชาการ ในที่สุดจักรพรรดิ ก็ตกลงยอมที่จะไปพบ นายพลแมค ที่สำนักงานใหญ่ของ SCAP ปิดห้องเจรจากัน 2 คน มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิไม่เคยต้องทำ แต่จักรพรรดิยอมเดินทางไปพบนายพลแมค มีแค่ องคมนตรีติดไปด้วย เพื่อทำหน้าที่เป็นล่าม โดยสาบานตนว่าจะไม่เปิดเผยต่อ ไม่ว่ากับใครทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าทั้ง 2 เจรจาอะไรบ้าง แล้วคำแถลงของจักรพรรดิ ที่ใช้เวลาร่างและแก้อยู่หลายสิบ รอบ ก็ออกวิทยุที่ญี่ปุ่น ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1945 ไม่มีการพูดถึง การสั่งเข้าทำสงคราม ไม่มีคำขอโทษ แต่ให้คนฟังเข้าใจเอาเองว่า จักรพรรดิเสียใจสุดซึ้ง มันเป็นคำแถลงที่สุดยอดญี่ปุ่น แปลว่า เข้าใจยากครับ ผมพยายามอ่านอยู่หลายเที่ยว เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่นอีกที สงสัยภาษาอังกฤษผมอ่อนมาก ผมชักไม่แน่ใจว่า ตกลงจักรพรรดิเสียใจสุดซึ้งเรื่องอะไรกันแน่ (ท่านใดที่สนใจว่าจักรพรรดิพูดว่าอะไร กดดูในกูเกิล emperor speech ได้เลยครับ) หลังจากนั้นก็มาถึงคิวบรรดาหัวกะทิ นักธุรกิจนักการเงินใหญ่ ที่ SCAP สั่งดำเนินดคี เนื่องจากมีส่วนพัวพัน สนับสนุน รวมทั้งค้าขาย ทำกำไรจากการทำสงครามอันโหดร้ายของญี่ปุ่น บริษัทเหล่านี้จะมีสิทธิถูกพิจารณาลงโทษ ให้ปรับปรุงกิจการ เลิกการผูกขาด ลดขนาดบริษัท ไปจนถึง ต้องเลิกกิจการ Harry F Kern บรรณาธิการข่าวต่างประเทศของนิตยสาร Newsweek ซึ่งมีเสียงดังมากในสมัยนั้น เป็นหัวเรือใหญ่ ตั้งสำนักล้อบบี้รุ่นแรก American Council on Japan (ACJ) หรือบางทีเรียกกันว่า Japan Lobby ร่วมกับสื่อใหญ่อีกคน Compton Pakenham ประจำสำนักงานในโตเกียว และ James Lee Kauffman ทนายจากนิวยอร์ค ที่มาสอนหนังสือ อยู่ที่ มหาวิทยาลัยโตเกียว ในช่วงปี ค.ศ.1913 – 1919 และเป็นที่ปรึกษากฏหมาย ให้ธุรกิจใหญ่อเมริกันในโตเกียว เช่น บริษัท General Electric , Standard Oil, Westing House, Ford, Otis Elevator และ Dillion Reed ร่วมในขบวนการล้อบบี้ด้วย Kern เป็นสื่อ ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด สนใจด้านการเมืองแถบเอเซียมานานแล้วเป็นเพื่อนสนิทกับพวก Harriman คู่หูของร้อกกี้ the great ในจีน ส่วน Pakenham เกิดและโตมาในญี่ปุ่น และเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าพ่อ ในญี่ปุ่นเกือบทุกคน Grew อดีตทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่น รับหน้าที่เป็นประธานของสำนักล้อบบี้ AJC ร่วมกับ Wiiliam Castle เจ้าของไร่ใหญ่ในฮาวาย และเคยเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศสมัย Hoover เป็นประธานาธิบดี ปี ค.ศ.1947 Kuaffman ในฐานะตัวแทนของ Dillion Reed บริษัทการเงินในวอลสตรีท ที่มีความใกล้ชิดกับร้อกกี้มากกว่ามอร์แกน เดินทางมาโตเกียวเพื่อประเมินนโยบาย FEC-230 ของวอชิงตัน ที่ให้ตอนพันธ์ุพวกหัวกะทิ นักธุรกิจใหญ่ ที่เรียกว่า zaibatsu จากต้นใหญ่ เหลือเป็นบอนไซในกระถางน่าเอ็น ดู เมื่อเขากลับไปอเมริกา เขารีบส่งการบ้าน หลังจากนั้นนโยบาย FEC-230 ก็ถูกส่งไปให้ Newsweek โดย William Draper หุ้นส่วนใหญ่ ของ Dillion Reed ที่ขอลาชั่วคราวมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Newsweek เขียนบทความ แบบด่าไม่เลี้ยงว่า การลงโทษธุรกิจญี่ปุ่น ตามนโยบายดังกล่าว จะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพังพินาศ จะทำให้ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในภาคธุรกิจ ตกงานเป็นหมื่นๆคน มันเป็นการลงโทษนักธุรกิจญี่ปุ่น แต่สร้างความเสียหายให้แก่ชาวอเมริกันที่เสียภาษีอย่างแสนสาหัส เพราะจะต้องไปรับภาระนั้นแทนญี่ปุ่น มันเป็นช่วงที่ นายพลแมค กำลังเริ่มหาเสียงจะลงเลือกตั้ง มาโดนสื่อใหญ่ถล่มเละ แถมพวกลิพับลิกันก็ช่วยกันด่าซ้ำ เพราะทำให้พรรคเสียคะแนน ท่านนายพลแมค จึงรีบสั่งระงับการเอาบอนไซพันธ์ุ zaibatsu ลงกระถางไว้ชั่วคราวก่อน แต่มีคนใจร้อนขี้เกียจคอย คราวนี้นาย William Draper มาญี่ปุ่นเอง ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอเมริกัน แถมพ่วงเอานายธนาคารใหญ่ อีกคน Percy Johnson มาด้วย Johnson เป็นประธาน Chemical Bank ในนิวยอร์ค ซึ่งเป็นคู่ค้ากับ Mitsui Bank ยักษ์ใหญ่มากของญี่ปุ่น พวกเขาสอบถามซักไซ้ผู้ที่เกี่ยว ข้องอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปทำรายงาน Draper-Johnson สรุปว่า พวก zaibatsu ไม่สมควรที่จะรับโทษ ในการทำสงคราม แต่ควรให้พวกเขารีบมาฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น จะได้ไม่เป็นภาระกับอเมรืกา ในการ(ควักกระเป๋า) ดูแลเลี้ยงดูญี่ปุ่น ด้วยภาษีของคนอเมริกัน เยี่ยมจริงๆ สรุปแบบนี้ วอชิงตันก็โกลาหล มีทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายเชียร์ ในที่สุด การเมืองอเมริกัน ที่ว่าเป็นประชาธิปไตย ก็ (ถูกสั่งให้) ตัดสินใจยกเลิกการตอนพันธ์ zaibatsu และบริษัทญี่ปุ่น ที่อยู่ในข่ายว่าจะต้องถูกตอนจำนวน 325 บริษัท ก็ลดลงเหลือเพียง 20 บริษัท ส่วนพวก zaibatsu ที่รอดมา เปลี่ยนชื่อใหม่ชั่วคราว พอให้ควันจาง ก็กลับไปใช้ชื่อเดิม ส่วนเรื่อง จักรพรรดิ ทหาร และนักการเมือง อเมริกา หลังจากขู่เข้ม จนราดเต็มกางเกงกันไปหมดแล้ว ก็สรุปว่า ให้ไประบุให้ชัดเจนว่า จักรพรรดิอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต่อไปใครจะมากล่าวหาว่าจักรพรรดินำรบไม่ได้แล้วนะ และ ให้แน่ใจว่า ทหารเลิกบ้าเลือด ก็ยุบกองทัพ เหลือแค่เป็นกองกำลังป้องกันตัวเอง ทั้งหมดนี้ ให้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่ ที่นายพลแมคให้จัดร่างขึ้นมาใหม่ พอถึงปี ค.ศ.1951 ทั้งสองแสนสองหมื่นคน ก็หลุดจากคุกหมด ยกเว้นพวกที่หลุดมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก็พวกหัวกะทิไง ให้ออกมาก่อน เก็บไว้แต่หางกะทิ ในปี ค.ศ.1952 นายพลแมค ก็จัดให้มีการเลือกตั้งในญี่ปุ่น และนายโยชิดะ จากพรรค Liberal Democrat Party (LDP) ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนายพลแมค ส่วนความฝันของนายพลแมคเอง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1948 เขาหาเสียงโดยตรงไม่ได้ เพราะกำลังวุ่นเรื่อง SCAP อยู่ แต่เขาประกาศผ่านพวกรีพับลิกัน โดยเฉพาะกับ Hoover ที่กำกับเขามาตลอด ว่าเขาพร้อมแล้ว แต่ดูเหมือนท่านนายพลห้าดาวจะไม่ผ่านแม้แต่การเลือกตั้งตัวแทนภายในพรรครอบแรก แต่คงไม่ช้ำใจมาก ได้ของปลอบใจไปแยะ เรียงกันหลายหลักมาก ทั้งหมดนี่ น่าจะเป็นผลงานการทำงานหนักของ ACJ ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ภายหลังจักรพรรดิให้เหรียญตราสูงสุดกับ Kern และ Pakenham ทั้ง 2 ก็คนแล้วกัน ACJ เป็นหน่วยงานทำอะไรกันแน่ เห็นไม่ชัดเจนในช่วงนั้น เช่นเดียวกับ หน่วยงาน MRA แต่ต่อมาภายหลัง มีเอกสารเป็นหลักฐานว่า 2 หน่วยงานนี้ คือหน่วยงานหน้าฉากของ CIA และทำงานภายใต้ใบกำกับ เช่นเดียวกัน เรื่องของ ACJ นี้ เป็นตำนานของการใช้สื่อ และการล้อบบี้ที่บันลือโลกมาก เป็นตัวอย่างว่า ปากและปากกานั่น ใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน ก็ล้มรัฐบาล หรือ ครอบครองประเทศได้ โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร และแม้แต่ทหารใหญ่อย่าง นายพลแมค ที่มีหน้าที่ปกครองญี่ปุ่นในตอนนั้น ยังต้องรีบเปลี่ยนบท เฮ้ย ทำไมมันขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนดันกลายเป็นบ้องกัญ ชาอย่างนึ้ ทำเป็นฮึดฮัดโกรธจัดเรื่อง Pearl Habour ถึงขนาดต้องเอาคืน ด้วยการป้อนดอกเห็ดยักษ์ ให้พวกชอบปลาดิบกิน จนตายกันเป็นเบื่อ แล้วจบกันง่ายๆ อย่างนี้นะหรือ ที่บางประเทศ แค่ปฏิวัติบ่อยหน่อย ยังไม่ได้ถล่มกองเรือของใครเลย ทำไมด่าซ้ำด่าซาก ไม่ด่าเปล่า เสือกมีของแถมมาขู่อีก แบบนี้ ก็ยังจบเรื่องไม่ได้ แค่จบตอนครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 ส.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251130 #TechRadar

    ChatGPT ครบรอบ 3 ปี เผยฟีเจอร์ยอดนิยมที่คนใช้จริง
    ChatGPT จาก OpenAI เดินทางมาถึงปีที่ 3 แล้ว และข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะสิ่งที่คนใช้มากที่สุดไม่ใช่การสร้างภาพใหม่ แต่กลับเป็นการ “อัปโหลดภาพ” เพื่อให้ AI ช่วยปรับปรุงหรือแก้ไข นอกจากนี้งานหลักที่คนใช้ในที่ทำงานคือการแก้ไขและวิจารณ์ข้อความ มากกว่าการเขียนใหม่ทั้งหมด ฟีเจอร์ยอดนิยมที่ถูกใช้ทั่วโลกยังรวมถึงการค้นหาข้อมูล การใช้โมเดลเหตุผล การวิเคราะห์ข้อมูล และการพูดเป็นข้อความ ซึ่งสะท้อนว่าผู้ใช้มอง ChatGPT เป็นเครื่องมือช่วยงานจริงจัง ไม่ใช่แค่ของเล่นทดลองอีกต่อไป
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/openai-reveals-chatgpts-most-popular-features-and-the-top-one-might-surprise-you

    FBI เตือนภัย! แฮกเกอร์ใช้ AI หลอกขโมยเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์
    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI สร้างแคมเปญหลอกลวงได้สมจริงยิ่งขึ้น FBI รายงานว่ามีการสูญเสียเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์จากการยึดบัญชีผู้ใช้ผ่านการหลอกให้เปิดเผยรหัสผ่านหรือ OTP เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์สามารถรีเซ็ตรหัสและโอนเงินไปยังบัญชีที่ควบคุมเอง บ่อยครั้งเงินถูกเปลี่ยนเป็นคริปโตเพื่อปกปิดร่องรอย การโจมตีมักมาในรูปแบบอีเมล ปลอมเป็นธนาคาร หรือแม้แต่เว็บไซต์ช้อปปิ้งปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ จุดอันตรายคือผู้ใช้เองเป็นคนกดยืนยันธุรกรรม ทำให้การป้องกันยิ่งยากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/fbi-says-hackers-have-stolen-usd262-million-in-account-takeover-scams-in-2025-so-far-heres-how-you-can-stay-safe

    Meta จ่อดีลใหญ่กับ Google TPU สะเทือนตลาดชิป AI
    ความต้องการชิป AI พุ่งสูงจน Meta ต้องหันไปเจรจากับ Google เพื่อใช้ TPU ของ Google Cloud ในปี 2026 และอาจซื้อโดยตรงในปี 2027 ดีลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนเกม เพราะ Google แต่เดิมใช้ TPU ภายในเท่านั้น ขณะที่ Meta เคยพึ่งพาหลายเจ้า รวมถึง Nvidia การเจรจานี้ทำให้มูลค่า Alphabet พุ่งขึ้นทันที และนักลงทุนเริ่มกังวลว่า Nvidia อาจเสียส่วนแบ่งตลาดมหาศาล ความตึงเครียดในซัพพลายเชนยังคงสูง เพราะความต้องการชิป AI เกินกำลังการผลิตทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/meta-and-google-could-be-about-to-sign-a-mega-ai-chip-deal-and-it-could-change-everything-in-the-tech-space

    IBM เปิดตัวระบบเก็บข้อมูลใหม่ รองรับสูงสุด 47 เพตะไบต์ต่อแร็ค
    IBM ขยายศักยภาพระบบ Storage Scale System 6000 ด้วย All-Flash Expansion Enclosures ที่ใช้ไดรฟ์ QLC ขนาด 122TB ทำให้รองรับข้อมูลได้ถึง 47PB ต่อแร็ค เหมาะกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล เช่น AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จุดเด่นคือการรองรับการทำงานหลายงานพร้อมกันโดยไม่เกิดคอขวด และยังเชื่อมต่อกับ GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดยังเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนและการอ่านให้สูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อนในระดับองค์กรใหญ่
    https://www.techradar.com/pro/talk-about-a-triple-threat-ibm-says-it-can-now-support-up-to-47pb-on-a-full-rack-so-load-it-up

    โน้ตบุ๊ก RAM 128GB และ 256GB ปี 2025 สำหรับงานโหดสุดๆ
    โน้ตบุ๊กที่มาพร้อม RAM 128GB หรือแม้แต่ 256GB ไม่ใช่ของสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุด เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือผู้ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ รายชื่อรุ่นที่มีให้เลือกในปี 2025 ครอบคลุมแบรนด์ดังอย่าง Dell, HP, Lenovo, MSI, Asus, Alienware และ Razer ราคามีตั้งแต่ประมาณ 1,599 ดอลลาร์ไปจนถึงกว่า 7,000 ดอลลาร์ รุ่นที่รองรับ 256GB ยังมีไม่มาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดโน้ตบุ๊กที่กำลังผลักดันขีดจำกัดของการใช้งานพกพา
    https://www.techradar.com/pro/best-256gb-and-128gb-ram-laptops

    การกำกับดูแลโลกไซเบอร์-กายภาพ กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับรัฐบาลท้องถิ่น
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการระบบไซเบอร์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และการขนส่ง ไม่ใช่เรื่อง “nice to have” อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลท้องถิ่นต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงของประชาชน แนวคิดนี้กำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการบริหารเมืองอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ
    https://www.techradar.com/pro/cyber-physical-governance-isnt-a-nice-to-have-for-state-and-local-government-its-essential

    หูฟังที่ดีที่สุดสำหรับทุกงบประมาณ ผ่านการทดสอบจริง
    ทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบหูฟังหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงระดับพรีเมียม เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหูฟังแบบครอบหู ไร้สาย หรือแบบอินเอียร์ จุดเด่นคือการทดสอบในสถานการณ์จริง ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าคุณภาพเสียง ความสบาย และความทนทานได้รับการตรวจสอบแล้ว รายการนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกหูฟังที่ตรงกับความต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง
    https://www.techradar.com/audio/headphones/the-best-headphones

    กล้องสำหรับมือใหม่ปี 2025 ตัวเลือกที่เหมาะที่สุด
    สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นถ่ายภาพ บทความนี้แนะนำกล้องที่ใช้งานง่าย ราคาสมเหตุสมผล และมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับผู้เริ่มต้น จุดสำคัญคือการเลือกกล้องที่ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ยังมีคุณภาพภาพถ่ายที่ดีพอจะต่อยอดไปสู่การถ่ายภาพจริงจังในอนาคต
    https://www.techradar.com/cameras/the-best-camera-for-beginners

    รีวิว Panasonic HC-X1200 กล้องวิดีโอที่ซูมได้สุดประทับใจ
    Panasonic HC-X1200 ทำให้หลายคนทึ่งกับความสามารถในการซูมที่ทรงพลัง จนแทบจะทำให้กล้องวิดีโอแบบเต็มรูปแบบกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง คุณภาพภาพและระบบกันสั่นที่ดี ทำให้การถ่ายวิดีโอทั้งงานมืออาชีพและงานส่วนตัวมีความคมชัดและเสถียร จุดขายหลักคือการซูมที่เหนือกว่ากล้องทั่วไปในตลาด
    https://www.techradar.com/cameras/video-cameras/panasonic-hc-x1200-review

    ฟีเจอร์ AirDrop ใหม่บน Google Pixel 10 มีปัญหากับผู้ใช้บางราย
    Google Pixel 10 มาพร้อมฟีเจอร์ AirDrop ที่ตั้งใจให้แชร์ไฟล์ได้สะดวกขึ้น แต่ผู้ใช้บางรายพบว่าฟีเจอร์นี้ยังมีบั๊ก ทำให้การส่งไฟล์ไม่เสถียรหรือเชื่อมต่อไม่สำเร็จ ปัญหานี้กำลังถูกพูดถึงในชุมชนผู้ใช้ และคาดว่า Google จะต้องออกอัปเดตแก้ไขในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้สมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ
    https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/the-new-airdrop-feature-on-the-google-pixel-10-is-proving-buggy-for-some-users

    ปัญหากวนใจใน iOS 26 และวิธีแก้
    อัปเดต iOS 26 ที่หลายคนรอคอย กลับมาพร้อมทั้งฟีเจอร์ใหม่และความเปลี่ยนแปลงที่บางอย่างทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดไม่น้อย เช่น “Liquid Glass” ที่ทำให้หน้าจอดูโปร่งใสเกินไปจนอ่านยาก หลายคนเลือกปิดด้วยการตั้งค่า Reduce Transparency เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น อีกเรื่องคือการถ่ายภาพหน้าจอที่เปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นเต็มจอพร้อมเครื่องมือแก้ไขทันที ซึ่งบางคนไม่ชอบ จึงไปตั้งค่าให้กลับมาเป็นแบบเดิมที่แค่โชว์ตัวอย่างเล็ก ๆ แล้วปัดทิ้งได้สะดวกกว่า Safari ก็ถูกปรับแถบเครื่องมือใหม่จนดูอึดอัดและต้องกดหลายขั้นตอนกว่าจะได้ฟังก์ชันที่เคยง่าย ๆ ผู้ใช้บางคนเลยเลือกปรับกลับให้เหมือนเดิม ส่วนการพิมพ์แบบ “slide-to-type” ที่บางครั้งเผลอไปลากนิ้วแล้วกลายเป็นคำไม่ตั้งใจ ก็สามารถปิดได้ในเมนู Keyboard และสุดท้ายคือการตั้งปลุกที่เคยบังคับ snooze 9 นาที ตอนนี้สามารถเลือกได้เองตั้งแต่ 1–15 นาที ทำให้ชีวิตยืดหยุ่นขึ้นมาก
    https://www.techradar.com/phones/the-5-most-frustrating-things-about-ios-26-and-how-I-fixed-them

    Cyber Resilience: ธุรกิจต้องปรับตัว
    โลกธุรกิจอังกฤษกำลังเผชิญภัยไซเบอร์ครั้งใหญ่ เหตุการณ์โจมตี Jaguar Land Rover ทำความเสียหายมหาศาลกว่า 1.9 พันล้านปอนด์ และยังมีกรณี Marks & Spencer กับ Co-Op ที่โดนโจมตีเช่นกัน รัฐบาลอังกฤษจึงเสนอแนวทางห้ามจ่ายค่าไถ่ ransomware สำหรับหน่วยงานรัฐและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อไม่ให้คนร้ายได้ผลประโยชน์ แต่ผลข้างเคียงคือเอกชนอาจกลายเป็นเป้าหมายหลักแทน สิ่งที่ธุรกิจต้องทำคือสร้าง “ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์” โดยเริ่มจากการพัฒนาทักษะบุคลากร เพราะรายงานล่าสุดชี้ว่ามีช่องว่างทักษะด้านนี้สูงมาก การฝึกอบรมต้องไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ต้องฝังอยู่ในงานประจำทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ฝ่ายการเงินจนถึงบริการลูกค้า เพื่อให้ทุกคนรู้จักรับมือภัย เช่น phishing ที่ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก และที่สำคัญคือบอร์ดบริหารต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เทียบเท่ากับผลประกอบการ เพราะภัยไซเบอร์วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/cyber-resilience-is-a-business-imperative-skills-and-strategy-must-evolve

    Cybersecurity Burnout: เมื่อทีมงานหมดแรง
    งานด้านความปลอดภัยไซเบอร์เป็นงานที่ต้องวิ่งแข่งกับภัยคุกคามตลอดเวลา จนทำให้คนทำงานจำนวนมากเกิดภาวะ “burnout” หรือหมดแรง ล่าสุดมีตัวเลขว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และ 69% บอกว่าหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือการโจมตีที่ไม่หยุดพัก กฎระเบียบใหม่ ๆ ที่ต้องตามให้ทัน และการขาดบุคลากรที่เพียงพอ ผลกระทบไม่ใช่แค่สุขภาพจิต แต่ยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสี่ยงต่อการเกิดช่องโหว่และความเสียหายทางการเงิน บริษัทจึงต้องหาทางแก้ เช่น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนพนักงาน การลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาภาระ รวมถึงการใช้บริการภายนอกอย่าง Managed Detection and Response (MDR) ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าได้จริง และที่สำคัญคือการให้โอกาสเติบโตในสายงาน เพื่อให้คนทำงานรู้สึกว่ามีอนาคต ไม่ใช่แค่ทำงานไปวัน ๆ
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all
    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251130 #TechRadar 🧠 ChatGPT ครบรอบ 3 ปี เผยฟีเจอร์ยอดนิยมที่คนใช้จริง ChatGPT จาก OpenAI เดินทางมาถึงปีที่ 3 แล้ว และข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะสิ่งที่คนใช้มากที่สุดไม่ใช่การสร้างภาพใหม่ แต่กลับเป็นการ “อัปโหลดภาพ” เพื่อให้ AI ช่วยปรับปรุงหรือแก้ไข นอกจากนี้งานหลักที่คนใช้ในที่ทำงานคือการแก้ไขและวิจารณ์ข้อความ มากกว่าการเขียนใหม่ทั้งหมด ฟีเจอร์ยอดนิยมที่ถูกใช้ทั่วโลกยังรวมถึงการค้นหาข้อมูล การใช้โมเดลเหตุผล การวิเคราะห์ข้อมูล และการพูดเป็นข้อความ ซึ่งสะท้อนว่าผู้ใช้มอง ChatGPT เป็นเครื่องมือช่วยงานจริงจัง ไม่ใช่แค่ของเล่นทดลองอีกต่อไป 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/openai-reveals-chatgpts-most-popular-features-and-the-top-one-might-surprise-you 🛡️ FBI เตือนภัย! แฮกเกอร์ใช้ AI หลอกขโมยเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์ ปี 2025 กลายเป็นปีที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI สร้างแคมเปญหลอกลวงได้สมจริงยิ่งขึ้น FBI รายงานว่ามีการสูญเสียเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์จากการยึดบัญชีผู้ใช้ผ่านการหลอกให้เปิดเผยรหัสผ่านหรือ OTP เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์สามารถรีเซ็ตรหัสและโอนเงินไปยังบัญชีที่ควบคุมเอง บ่อยครั้งเงินถูกเปลี่ยนเป็นคริปโตเพื่อปกปิดร่องรอย การโจมตีมักมาในรูปแบบอีเมล ปลอมเป็นธนาคาร หรือแม้แต่เว็บไซต์ช้อปปิ้งปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ จุดอันตรายคือผู้ใช้เองเป็นคนกดยืนยันธุรกรรม ทำให้การป้องกันยิ่งยากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/fbi-says-hackers-have-stolen-usd262-million-in-account-takeover-scams-in-2025-so-far-heres-how-you-can-stay-safe 💻 Meta จ่อดีลใหญ่กับ Google TPU สะเทือนตลาดชิป AI ความต้องการชิป AI พุ่งสูงจน Meta ต้องหันไปเจรจากับ Google เพื่อใช้ TPU ของ Google Cloud ในปี 2026 และอาจซื้อโดยตรงในปี 2027 ดีลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนเกม เพราะ Google แต่เดิมใช้ TPU ภายในเท่านั้น ขณะที่ Meta เคยพึ่งพาหลายเจ้า รวมถึง Nvidia การเจรจานี้ทำให้มูลค่า Alphabet พุ่งขึ้นทันที และนักลงทุนเริ่มกังวลว่า Nvidia อาจเสียส่วนแบ่งตลาดมหาศาล ความตึงเครียดในซัพพลายเชนยังคงสูง เพราะความต้องการชิป AI เกินกำลังการผลิตทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/meta-and-google-could-be-about-to-sign-a-mega-ai-chip-deal-and-it-could-change-everything-in-the-tech-space 💾 IBM เปิดตัวระบบเก็บข้อมูลใหม่ รองรับสูงสุด 47 เพตะไบต์ต่อแร็ค IBM ขยายศักยภาพระบบ Storage Scale System 6000 ด้วย All-Flash Expansion Enclosures ที่ใช้ไดรฟ์ QLC ขนาด 122TB ทำให้รองรับข้อมูลได้ถึง 47PB ต่อแร็ค เหมาะกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล เช่น AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จุดเด่นคือการรองรับการทำงานหลายงานพร้อมกันโดยไม่เกิดคอขวด และยังเชื่อมต่อกับ GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดยังเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนและการอ่านให้สูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อนในระดับองค์กรใหญ่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/talk-about-a-triple-threat-ibm-says-it-can-now-support-up-to-47pb-on-a-full-rack-so-load-it-up 💻 โน้ตบุ๊ก RAM 128GB และ 256GB ปี 2025 สำหรับงานโหดสุดๆ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อม RAM 128GB หรือแม้แต่ 256GB ไม่ใช่ของสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุด เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือผู้ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ รายชื่อรุ่นที่มีให้เลือกในปี 2025 ครอบคลุมแบรนด์ดังอย่าง Dell, HP, Lenovo, MSI, Asus, Alienware และ Razer ราคามีตั้งแต่ประมาณ 1,599 ดอลลาร์ไปจนถึงกว่า 7,000 ดอลลาร์ รุ่นที่รองรับ 256GB ยังมีไม่มาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดโน้ตบุ๊กที่กำลังผลักดันขีดจำกัดของการใช้งานพกพา 🔗 https://www.techradar.com/pro/best-256gb-and-128gb-ram-laptops 🌐 การกำกับดูแลโลกไซเบอร์-กายภาพ กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับรัฐบาลท้องถิ่น บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการระบบไซเบอร์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และการขนส่ง ไม่ใช่เรื่อง “nice to have” อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลท้องถิ่นต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงของประชาชน แนวคิดนี้กำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการบริหารเมืองอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ 🔗 https://www.techradar.com/pro/cyber-physical-governance-isnt-a-nice-to-have-for-state-and-local-government-its-essential 🎧 หูฟังที่ดีที่สุดสำหรับทุกงบประมาณ ผ่านการทดสอบจริง ทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบหูฟังหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงระดับพรีเมียม เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหูฟังแบบครอบหู ไร้สาย หรือแบบอินเอียร์ จุดเด่นคือการทดสอบในสถานการณ์จริง ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าคุณภาพเสียง ความสบาย และความทนทานได้รับการตรวจสอบแล้ว รายการนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกหูฟังที่ตรงกับความต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง 🔗 https://www.techradar.com/audio/headphones/the-best-headphones 📷 กล้องสำหรับมือใหม่ปี 2025 ตัวเลือกที่เหมาะที่สุด สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นถ่ายภาพ บทความนี้แนะนำกล้องที่ใช้งานง่าย ราคาสมเหตุสมผล และมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับผู้เริ่มต้น จุดสำคัญคือการเลือกกล้องที่ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ยังมีคุณภาพภาพถ่ายที่ดีพอจะต่อยอดไปสู่การถ่ายภาพจริงจังในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/cameras/the-best-camera-for-beginners 🎥 รีวิว Panasonic HC-X1200 กล้องวิดีโอที่ซูมได้สุดประทับใจ Panasonic HC-X1200 ทำให้หลายคนทึ่งกับความสามารถในการซูมที่ทรงพลัง จนแทบจะทำให้กล้องวิดีโอแบบเต็มรูปแบบกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง คุณภาพภาพและระบบกันสั่นที่ดี ทำให้การถ่ายวิดีโอทั้งงานมืออาชีพและงานส่วนตัวมีความคมชัดและเสถียร จุดขายหลักคือการซูมที่เหนือกว่ากล้องทั่วไปในตลาด 🔗 https://www.techradar.com/cameras/video-cameras/panasonic-hc-x1200-review 📱 ฟีเจอร์ AirDrop ใหม่บน Google Pixel 10 มีปัญหากับผู้ใช้บางราย Google Pixel 10 มาพร้อมฟีเจอร์ AirDrop ที่ตั้งใจให้แชร์ไฟล์ได้สะดวกขึ้น แต่ผู้ใช้บางรายพบว่าฟีเจอร์นี้ยังมีบั๊ก ทำให้การส่งไฟล์ไม่เสถียรหรือเชื่อมต่อไม่สำเร็จ ปัญหานี้กำลังถูกพูดถึงในชุมชนผู้ใช้ และคาดว่า Google จะต้องออกอัปเดตแก้ไขในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้สมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ 🔗 https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/the-new-airdrop-feature-on-the-google-pixel-10-is-proving-buggy-for-some-users 📱 ปัญหากวนใจใน iOS 26 และวิธีแก้ อัปเดต iOS 26 ที่หลายคนรอคอย กลับมาพร้อมทั้งฟีเจอร์ใหม่และความเปลี่ยนแปลงที่บางอย่างทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดไม่น้อย เช่น “Liquid Glass” ที่ทำให้หน้าจอดูโปร่งใสเกินไปจนอ่านยาก หลายคนเลือกปิดด้วยการตั้งค่า Reduce Transparency เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น อีกเรื่องคือการถ่ายภาพหน้าจอที่เปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นเต็มจอพร้อมเครื่องมือแก้ไขทันที ซึ่งบางคนไม่ชอบ จึงไปตั้งค่าให้กลับมาเป็นแบบเดิมที่แค่โชว์ตัวอย่างเล็ก ๆ แล้วปัดทิ้งได้สะดวกกว่า Safari ก็ถูกปรับแถบเครื่องมือใหม่จนดูอึดอัดและต้องกดหลายขั้นตอนกว่าจะได้ฟังก์ชันที่เคยง่าย ๆ ผู้ใช้บางคนเลยเลือกปรับกลับให้เหมือนเดิม ส่วนการพิมพ์แบบ “slide-to-type” ที่บางครั้งเผลอไปลากนิ้วแล้วกลายเป็นคำไม่ตั้งใจ ก็สามารถปิดได้ในเมนู Keyboard และสุดท้ายคือการตั้งปลุกที่เคยบังคับ snooze 9 นาที ตอนนี้สามารถเลือกได้เองตั้งแต่ 1–15 นาที ทำให้ชีวิตยืดหยุ่นขึ้นมาก 🔗 https://www.techradar.com/phones/the-5-most-frustrating-things-about-ios-26-and-how-I-fixed-them 🛡️ Cyber Resilience: ธุรกิจต้องปรับตัว โลกธุรกิจอังกฤษกำลังเผชิญภัยไซเบอร์ครั้งใหญ่ เหตุการณ์โจมตี Jaguar Land Rover ทำความเสียหายมหาศาลกว่า 1.9 พันล้านปอนด์ และยังมีกรณี Marks & Spencer กับ Co-Op ที่โดนโจมตีเช่นกัน รัฐบาลอังกฤษจึงเสนอแนวทางห้ามจ่ายค่าไถ่ ransomware สำหรับหน่วยงานรัฐและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อไม่ให้คนร้ายได้ผลประโยชน์ แต่ผลข้างเคียงคือเอกชนอาจกลายเป็นเป้าหมายหลักแทน สิ่งที่ธุรกิจต้องทำคือสร้าง “ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์” โดยเริ่มจากการพัฒนาทักษะบุคลากร เพราะรายงานล่าสุดชี้ว่ามีช่องว่างทักษะด้านนี้สูงมาก การฝึกอบรมต้องไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ต้องฝังอยู่ในงานประจำทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ฝ่ายการเงินจนถึงบริการลูกค้า เพื่อให้ทุกคนรู้จักรับมือภัย เช่น phishing ที่ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก และที่สำคัญคือบอร์ดบริหารต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เทียบเท่ากับผลประกอบการ เพราะภัยไซเบอร์วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/cyber-resilience-is-a-business-imperative-skills-and-strategy-must-evolve 😓 Cybersecurity Burnout: เมื่อทีมงานหมดแรง งานด้านความปลอดภัยไซเบอร์เป็นงานที่ต้องวิ่งแข่งกับภัยคุกคามตลอดเวลา จนทำให้คนทำงานจำนวนมากเกิดภาวะ “burnout” หรือหมดแรง ล่าสุดมีตัวเลขว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และ 69% บอกว่าหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือการโจมตีที่ไม่หยุดพัก กฎระเบียบใหม่ ๆ ที่ต้องตามให้ทัน และการขาดบุคลากรที่เพียงพอ ผลกระทบไม่ใช่แค่สุขภาพจิต แต่ยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสี่ยงต่อการเกิดช่องโหว่และความเสียหายทางการเงิน บริษัทจึงต้องหาทางแก้ เช่น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนพนักงาน การลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาภาระ รวมถึงการใช้บริการภายนอกอย่าง Managed Detection and Response (MDR) ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าได้จริง และที่สำคัญคือการให้โอกาสเติบโตในสายงาน เพื่อให้คนทำงานรู้สึกว่ามีอนาคต ไม่ใช่แค่ทำงานไปวัน ๆ ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all
    0 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • RAM หายกลางทาง: เมื่อชิ้นส่วนคอมพ์กลายเป็นเป้าหมายโจร

    กรณีล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสั่งซื้อ Crucial 32GB DDR5-4800 SO-DIMM แต่กลับได้รับเพียงกล่องเปล่า โดยระบบรายงานว่าพัสดุถูกส่งถึงบ้านตอนตี 4 พร้อมลายเซ็นปลอม เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เล็กและมีมูลค่าสูงถูกขโมยระหว่างการขนส่ง.

    หลายคนในชุมชนออนไลน์เล่าว่าเคยเจอกล่องที่ถูกเปิดและใส่ของราคาถูกแทน เช่นของใช้ในบ้าน หรือแม้แต่กล่องเปล่า บางครั้งพัสดุถูกบันทึกว่า “ส่งสำเร็จ” ทั้งที่ผู้รับยังไม่ได้ตรวจสอบหน้าบ้านเลย ปัญหานี้ทำให้เกิดการถกเถียงว่าใครควรรับผิดชอบระหว่าง ผู้ขาย, บริษัทขนส่ง และตำรวจ.

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนคือราคาชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะ RAM DDR5 ที่มีราคาสูงจนถูกเปรียบว่า “แพงเหมือนทอง” การขโมยเพียงโมดูลเดียวสามารถหยุดการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ และสร้างความเสียหายต่อผู้ใช้ที่ต้องรอ RMA หรือการคืนสินค้า.

    เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ผู้ซื้อจำนวนมากเริ่มใช้วิธี ถ่ายรูปพัสดุก่อนเปิด, บันทึกวิดีโอการแกะกล่อง, เลือกจุดรับของที่มีเจ้าหน้าที่ดูแล หรือใช้ตู้ล็อกเกอร์ปลอดภัย หากการสอบสวนล่าช้า บางคนถึงขั้นใช้ การโต้แย้งผ่านบัตรเครดิต (chargeback) เพื่อขอเงินคืน.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์ล่าสุด
    ผู้ใช้ Reddit ได้รับกล่องเปล่าแทน Crucial DDR5
    มีการปลอมลายเซ็นตอนตี 4

    แนวโน้มการขโมยพัสดุ
    ชิ้นส่วนคอมพ์เล็กและมีมูลค่าสูงถูกขโมยบ่อย
    บางครั้งถูกแทนด้วยของราคาถูกหรือกล่องเปล่า

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    การประกอบคอมพ์หยุดชะงัก
    ต้องรอ RMA หรือคืนสินค้า

    วิธีป้องกันที่นิยม
    ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอการแกะกล่อง
    ใช้จุดรับของที่มีเจ้าหน้าที่หรือตู้ล็อกเกอร์
    ใช้การโต้แย้งผ่านบัตรเครดิตเมื่อการสอบสวนล่าช้า

    ความเสี่ยงที่ต้องระวัง
    ราคาชิ้นส่วนสูงทำให้เป็นเป้าหมายโจร
    ความรับผิดชอบไม่ชัดเจนระหว่างผู้ขาย, ขนส่ง และตำรวจ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/package-theft-leaves-pc-builder-without-ddr5
    💻 RAM หายกลางทาง: เมื่อชิ้นส่วนคอมพ์กลายเป็นเป้าหมายโจร กรณีล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งสั่งซื้อ Crucial 32GB DDR5-4800 SO-DIMM แต่กลับได้รับเพียงกล่องเปล่า โดยระบบรายงานว่าพัสดุถูกส่งถึงบ้านตอนตี 4 พร้อมลายเซ็นปลอม เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เล็กและมีมูลค่าสูงถูกขโมยระหว่างการขนส่ง. หลายคนในชุมชนออนไลน์เล่าว่าเคยเจอกล่องที่ถูกเปิดและใส่ของราคาถูกแทน เช่นของใช้ในบ้าน หรือแม้แต่กล่องเปล่า บางครั้งพัสดุถูกบันทึกว่า “ส่งสำเร็จ” ทั้งที่ผู้รับยังไม่ได้ตรวจสอบหน้าบ้านเลย ปัญหานี้ทำให้เกิดการถกเถียงว่าใครควรรับผิดชอบระหว่าง ผู้ขาย, บริษัทขนส่ง และตำรวจ. สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนคือราคาชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะ RAM DDR5 ที่มีราคาสูงจนถูกเปรียบว่า “แพงเหมือนทอง” การขโมยเพียงโมดูลเดียวสามารถหยุดการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ และสร้างความเสียหายต่อผู้ใช้ที่ต้องรอ RMA หรือการคืนสินค้า. เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ผู้ซื้อจำนวนมากเริ่มใช้วิธี ถ่ายรูปพัสดุก่อนเปิด, บันทึกวิดีโอการแกะกล่อง, เลือกจุดรับของที่มีเจ้าหน้าที่ดูแล หรือใช้ตู้ล็อกเกอร์ปลอดภัย หากการสอบสวนล่าช้า บางคนถึงขั้นใช้ การโต้แย้งผ่านบัตรเครดิต (chargeback) เพื่อขอเงินคืน. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์ล่าสุด ➡️ ผู้ใช้ Reddit ได้รับกล่องเปล่าแทน Crucial DDR5 ➡️ มีการปลอมลายเซ็นตอนตี 4 ✅ แนวโน้มการขโมยพัสดุ ➡️ ชิ้นส่วนคอมพ์เล็กและมีมูลค่าสูงถูกขโมยบ่อย ➡️ บางครั้งถูกแทนด้วยของราคาถูกหรือกล่องเปล่า ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ การประกอบคอมพ์หยุดชะงัก ➡️ ต้องรอ RMA หรือคืนสินค้า ✅ วิธีป้องกันที่นิยม ➡️ ถ่ายรูปและบันทึกวิดีโอการแกะกล่อง ➡️ ใช้จุดรับของที่มีเจ้าหน้าที่หรือตู้ล็อกเกอร์ ➡️ ใช้การโต้แย้งผ่านบัตรเครดิตเมื่อการสอบสวนล่าช้า ‼️ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ⛔ ราคาชิ้นส่วนสูงทำให้เป็นเป้าหมายโจร ⛔ ความรับผิดชอบไม่ชัดเจนระหว่างผู้ขาย, ขนส่ง และตำรวจ https://www.tomshardware.com/pc-components/ddr5/package-theft-leaves-pc-builder-without-ddr5
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 16
    ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น
    และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย
    สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์
    ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ
    หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …
    การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น
    และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ
    กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ
    ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ..
    สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…
    คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ
    เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน)
    MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า
    นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง
    และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ
    นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980
    ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง
    นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน
    กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน
    นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา
    มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 16 ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร … การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ.. สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ… คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน) MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 ส.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 413 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline
    #รวมข่าวIT #20251129 #securityonline

    Google เร่งพัฒนาแว่นตา AI เตรียมเปิดตัวปลายปี 2026
    Google กำลังกลับมาลุยตลาดแว่นตาอัจฉริยะอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้จับมือกับ Foxconn ในการผลิตฮาร์ดแวร์ และใช้การออกแบบจาก Samsung พร้อมชิป Qualcomm เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์ รุ่นใหม่นี้จะใช้ระบบเลนส์ waveguide และมีกล้องในตัวเพื่อรองรับการทำงานด้าน AI ขั้นสูง โครงการนี้ไม่ใช่การต่อยอดจาก Project Aura ที่เคยเปิดตัว แต่เป็นอีกเส้นทางที่เดินคู่ขนานกันไป ขณะนี้อยู่ในขั้นทดสอบการผลิตจำนวนเล็ก และหากทุกอย่างราบรื่น คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2026 จุดแข็งของ Google คือการผสาน Gemini AI เข้ากับ Android XR ทำให้ ecosystem สมบูรณ์และพร้อมแข่งขันกับ Meta, Apple และค่ายอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมแว่นตา AI เช่นกัน
    https://securityonline.info/google-assembles-foxconn-samsung-supply-chain-for-q4-2026-ai-glasses-launch

    EU เปิดสอบ Apple Maps และ Apple Ads อาจเข้าข่าย Gatekeeper
    หลังจากที่ Safari, iOS, iPadOS และ App Store ถูกจัดอยู่ในสถานะ Gatekeeper ภายใต้กฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ตอนนี้ Apple Maps และ Apple Ads กำลังถูกตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีผู้ใช้งานถึงเกณฑ์หรือไม่ หากถูกจัดเป็น Gatekeeper จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวด เช่น ห้ามเอื้อประโยชน์ให้บริการตัวเอง และห้ามผูกขาดผู้ใช้ใน ecosystem ของ Apple อย่างไรก็ตาม Apple ไม่เห็นด้วย โดยยืนยันว่า Apple Maps มีผู้ใช้น้อยมากในยุโรป และ Apple Ads ก็ไม่ได้มีอิทธิพลในตลาดเทียบกับ Google หรือ Meta การสอบสวนนี้จะใช้เวลา 45 วันก่อนจะมีการตัดสินใจ
    https://securityonline.info/eu-launches-probe-are-apple-maps-apple-ads-next-for-dma-gatekeeper-status

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Kvrocks เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์ Admin
    Apache ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ในฐานข้อมูล Kvrocks ซึ่งเป็น NoSQL ที่ทำงานคล้าย Redis โดยมีช่องโหว่สำคัญ CVE-2025-59790 ที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้คำสั่ง RESET เพื่อยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น Admin ได้ทันที นอกจากนี้ยังมี CVE-2025-59792 ที่ทำให้คำสั่ง MONITOR เผยข้อมูลรหัสผ่านแบบ plaintext ของผู้ใช้รายอื่น ช่องโหว่นี้กระทบตั้งแต่เวอร์ชัน 1.0.0 ถึง 2.13.0 และได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.14.0 ความเสี่ยงนี้ถือว่าร้ายแรงเพราะอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลและระบบถูกควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต
    https://securityonline.info/critical-alert-apache-kvrocks-reset-command-flaw-grants-admin-privileges

    CISA เตือนช่องโหว่ OpenPLC ถูกโจมตีจริงในระบบอุตสาหกรรม
    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มช่องโหว่ CVE-2021-26829 เข้าไปในรายการ Known Exploited Vulnerabilities หลังพบว่ามีการโจมตีจริงในระบบควบคุมอุตสาหกรรม ช่องโหว่นี้เป็น Stored XSS ที่อยู่ใน OpenPLC ScadaBR ทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังโค้ดอันตรายไว้ในระบบ และเมื่อผู้ดูแลเปิดหน้าการตั้งค่า โค้ดจะทำงานทันที ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุม session ของผู้ดูแลและอาจแทรกแซงกระบวนการอุตสาหกรรมได้ CISA กำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลต้องแก้ไขภายใน 19 ธันวาคม 2025 และแนะนำให้ทุกองค์กรที่ใช้ระบบ SCADA รีบอัปเดตเพื่อป้องกันความเสียหาย
    https://securityonline.info/cisa-flags-actively-exploited-openplc-flaw-cve-2021-26829

    ข้อมูลผู้ใช้ OpenAI API รั่วจากเหตุ Mixpanel ถูกแฮก
    OpenAI ยืนยันว่ามีข้อมูลผู้ใช้ API รั่วไหล แต่ไม่ใช่จากระบบของตนเองโดยตรง ต้นเหตุเกิดจาก Mixpanel บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่ OpenAI ใช้สำหรับติดตามการใช้งาน API โดยแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงและดึงข้อมูลออกไปได้ ข้อมูลที่รั่วประกอบด้วยชื่อ อีเมล ข้อมูลตำแหน่งโดยประมาณ และรายละเอียดเบราว์เซอร์ แต่ไม่มีรหัสผ่าน API key หรือข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล OpenAI ได้ยุติการใช้บริการ Mixpanel ทันที และเตือนผู้ใช้ให้ระวังการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่อาจตามมา เนื่องจากข้อมูลที่รั่วสามารถถูกนำไปใช้สร้างอีเมลปลอมที่ดูน่าเชื่อถือได้
    https://securityonline.info/openai-api-users-exposed-in-mixpanel-security-breach

    Google ลดโควตาฟรีรายวันสำหรับโมเดล Gemini 3 Pro และ Nano Banana Pro
    Google ประกาศปรับนโยบายการใช้งาน API ของโมเดล AI โดยลดโควตาฟรีรายวันลง ทำให้ผู้ใช้งานต้องพิจารณาเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงต้นทุนการให้บริการที่สูงขึ้นและความต้องการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน Google ยังคงผลักดัน Gemini ให้เป็นแกนหลักของ ecosystem AI ที่เชื่อมโยงกับบริการต่าง ๆ ของบริษัท
    https://securityonline.info/google-cuts-free-daily-quota-for-gemini-3-pro-and-nano-banana-pro-ai-models

    Pixel 10 เปิดโหมดนำทางประหยัดพลังงานใน Google Maps
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Pixel 10 โดยเพิ่มโหมดนำทางแบบประหยัดพลังงานใน Google Maps ที่ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ได้ถึง 4 ชั่วโมง ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องเดินทางไกลและไม่สะดวกชาร์จมือถือบ่อย ๆ ถือเป็นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความสะดวกและความทนทานของแบตเตอรี่
    https://securityonline.info/pixel-10-exclusive-google-maps-launches-power-saving-navigation-mode-for-4-hour-battery-boost

    AWS เปิดตัว Route 53 Accelerated Recovery รับประกันกู้คืนภายใน 60 นาที
    Amazon Web Services (AWS) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Route 53 ที่ชื่อ Accelerated Recovery โดยรับประกันการกู้คืนระบบ DNS ภายในเวลาไม่เกิน 60 นาที ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับองค์กรที่ต้องพึ่งพาบริการออนไลน์ตลอดเวลา ลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของระบบ และเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของ AWS ในตลาดคลาวด์
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/aws-guarantees-60-minute-recovery-time-with-new-route-53-accelerated-recovery
    📌🔐🟣 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟣🔐📌 #รวมข่าวIT #20251129 #securityonline 🕶️ Google เร่งพัฒนาแว่นตา AI เตรียมเปิดตัวปลายปี 2026 Google กำลังกลับมาลุยตลาดแว่นตาอัจฉริยะอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้จับมือกับ Foxconn ในการผลิตฮาร์ดแวร์ และใช้การออกแบบจาก Samsung พร้อมชิป Qualcomm เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์ รุ่นใหม่นี้จะใช้ระบบเลนส์ waveguide และมีกล้องในตัวเพื่อรองรับการทำงานด้าน AI ขั้นสูง โครงการนี้ไม่ใช่การต่อยอดจาก Project Aura ที่เคยเปิดตัว แต่เป็นอีกเส้นทางที่เดินคู่ขนานกันไป ขณะนี้อยู่ในขั้นทดสอบการผลิตจำนวนเล็ก และหากทุกอย่างราบรื่น คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2026 จุดแข็งของ Google คือการผสาน Gemini AI เข้ากับ Android XR ทำให้ ecosystem สมบูรณ์และพร้อมแข่งขันกับ Meta, Apple และค่ายอื่น ๆ ที่กำลังเตรียมแว่นตา AI เช่นกัน 🔗 https://securityonline.info/google-assembles-foxconn-samsung-supply-chain-for-q4-2026-ai-glasses-launch 🇪🇺 EU เปิดสอบ Apple Maps และ Apple Ads อาจเข้าข่าย Gatekeeper หลังจากที่ Safari, iOS, iPadOS และ App Store ถูกจัดอยู่ในสถานะ Gatekeeper ภายใต้กฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป ตอนนี้ Apple Maps และ Apple Ads กำลังถูกตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีผู้ใช้งานถึงเกณฑ์หรือไม่ หากถูกจัดเป็น Gatekeeper จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวด เช่น ห้ามเอื้อประโยชน์ให้บริการตัวเอง และห้ามผูกขาดผู้ใช้ใน ecosystem ของ Apple อย่างไรก็ตาม Apple ไม่เห็นด้วย โดยยืนยันว่า Apple Maps มีผู้ใช้น้อยมากในยุโรป และ Apple Ads ก็ไม่ได้มีอิทธิพลในตลาดเทียบกับ Google หรือ Meta การสอบสวนนี้จะใช้เวลา 45 วันก่อนจะมีการตัดสินใจ 🔗 https://securityonline.info/eu-launches-probe-are-apple-maps-apple-ads-next-for-dma-gatekeeper-status ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Kvrocks เสี่ยงถูกยึดสิทธิ์ Admin Apache ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ในฐานข้อมูล Kvrocks ซึ่งเป็น NoSQL ที่ทำงานคล้าย Redis โดยมีช่องโหว่สำคัญ CVE-2025-59790 ที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้คำสั่ง RESET เพื่อยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น Admin ได้ทันที นอกจากนี้ยังมี CVE-2025-59792 ที่ทำให้คำสั่ง MONITOR เผยข้อมูลรหัสผ่านแบบ plaintext ของผู้ใช้รายอื่น ช่องโหว่นี้กระทบตั้งแต่เวอร์ชัน 1.0.0 ถึง 2.13.0 และได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.14.0 ความเสี่ยงนี้ถือว่าร้ายแรงเพราะอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลและระบบถูกควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต 🔗 https://securityonline.info/critical-alert-apache-kvrocks-reset-command-flaw-grants-admin-privileges 🏭 CISA เตือนช่องโหว่ OpenPLC ถูกโจมตีจริงในระบบอุตสาหกรรม หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มช่องโหว่ CVE-2021-26829 เข้าไปในรายการ Known Exploited Vulnerabilities หลังพบว่ามีการโจมตีจริงในระบบควบคุมอุตสาหกรรม ช่องโหว่นี้เป็น Stored XSS ที่อยู่ใน OpenPLC ScadaBR ทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังโค้ดอันตรายไว้ในระบบ และเมื่อผู้ดูแลเปิดหน้าการตั้งค่า โค้ดจะทำงานทันที ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุม session ของผู้ดูแลและอาจแทรกแซงกระบวนการอุตสาหกรรมได้ CISA กำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลต้องแก้ไขภายใน 19 ธันวาคม 2025 และแนะนำให้ทุกองค์กรที่ใช้ระบบ SCADA รีบอัปเดตเพื่อป้องกันความเสียหาย 🔗 https://securityonline.info/cisa-flags-actively-exploited-openplc-flaw-cve-2021-26829 🔐 ข้อมูลผู้ใช้ OpenAI API รั่วจากเหตุ Mixpanel ถูกแฮก OpenAI ยืนยันว่ามีข้อมูลผู้ใช้ API รั่วไหล แต่ไม่ใช่จากระบบของตนเองโดยตรง ต้นเหตุเกิดจาก Mixpanel บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่ OpenAI ใช้สำหรับติดตามการใช้งาน API โดยแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงและดึงข้อมูลออกไปได้ ข้อมูลที่รั่วประกอบด้วยชื่อ อีเมล ข้อมูลตำแหน่งโดยประมาณ และรายละเอียดเบราว์เซอร์ แต่ไม่มีรหัสผ่าน API key หรือข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล OpenAI ได้ยุติการใช้บริการ Mixpanel ทันที และเตือนผู้ใช้ให้ระวังการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่อาจตามมา เนื่องจากข้อมูลที่รั่วสามารถถูกนำไปใช้สร้างอีเมลปลอมที่ดูน่าเชื่อถือได้ 🔗 https://securityonline.info/openai-api-users-exposed-in-mixpanel-security-breach 🤖 Google ลดโควตาฟรีรายวันสำหรับโมเดล Gemini 3 Pro และ Nano Banana Pro Google ประกาศปรับนโยบายการใช้งาน API ของโมเดล AI โดยลดโควตาฟรีรายวันลง ทำให้ผู้ใช้งานต้องพิจารณาเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงต้นทุนการให้บริการที่สูงขึ้นและความต้องการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน Google ยังคงผลักดัน Gemini ให้เป็นแกนหลักของ ecosystem AI ที่เชื่อมโยงกับบริการต่าง ๆ ของบริษัท 🔗 https://securityonline.info/google-cuts-free-daily-quota-for-gemini-3-pro-and-nano-banana-pro-ai-models 🗺️ Pixel 10 เปิดโหมดนำทางประหยัดพลังงานใน Google Maps Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Pixel 10 โดยเพิ่มโหมดนำทางแบบประหยัดพลังงานใน Google Maps ที่ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ได้ถึง 4 ชั่วโมง ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องเดินทางไกลและไม่สะดวกชาร์จมือถือบ่อย ๆ ถือเป็นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความสะดวกและความทนทานของแบตเตอรี่ 🔗 https://securityonline.info/pixel-10-exclusive-google-maps-launches-power-saving-navigation-mode-for-4-hour-battery-boost ☁️ AWS เปิดตัว Route 53 Accelerated Recovery รับประกันกู้คืนภายใน 60 นาที Amazon Web Services (AWS) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Route 53 ที่ชื่อ Accelerated Recovery โดยรับประกันการกู้คืนระบบ DNS ภายในเวลาไม่เกิน 60 นาที ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับองค์กรที่ต้องพึ่งพาบริการออนไลน์ตลอดเวลา ลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของระบบ และเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของ AWS ในตลาดคลาวด์ ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/aws-guarantees-60-minute-recovery-time-with-new-route-53-accelerated-recovery
    0 Comments 0 Shares 292 Views 0 Reviews
  • “หุ่นยนต์ช่วยประกอบชิ้นส่วนเฟรสโกโบราณใน Pompeii”

    นักวิจัยในโครงการ RePAIR ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีแขนกลสองข้างพร้อมมือที่ยืดหยุ่นและเซ็นเซอร์ตรวจจับ เพื่อช่วยนักโบราณคดีประกอบชิ้นส่วนเฟรสโกโบราณที่แตกหักในเมือง Pompeii ประเทศอิตาลี หุ่นยนต์นี้ใช้ AI และการจดจำภาพขั้นสูง เพื่อระบุและจับชิ้นส่วนที่เปราะบางโดยไม่ทำให้เสียหาย

    โครงการเริ่มต้นในปี 2021 โดยมหาวิทยาลัย Ca’ Foscari เมืองเวนิส และทีมวิจัยนานาชาติ จุดประสงค์แรกคือการประกอบเฟรสโกที่ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาได้ขยายไปยังเฟรสโกจาก “House of the Gladiators” ที่พังทลายลงในปี 2010

    นักวิจัยเปรียบเทียบงานนี้เหมือนการแก้ปริศนาจิ๊กซอว์ขนาดมหึมา โดยไม่มีภาพตัวอย่างสุดท้ายและยังมีชิ้นส่วนที่หายไป AI จึงถูกใช้เพื่อจับคู่สีและลวดลายที่ตาเปล่าไม่สามารถแยกแยะได้ ทำให้การฟื้นฟูมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น

    การทดลองเบื้องต้นใช้ ชิ้นส่วนจำลอง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อของจริง แต่หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้อาจเปลี่ยนวิธีการบูรณะโบราณวัตถุทั่วโลก และช่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่สูญหายไปนับพันปีให้กลับคืนมาอีกครั้ง

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดโครงการ RePAIR
    เริ่มปี 2021 โดยมหาวิทยาลัย Ca’ Foscari เมืองเวนิส
    ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป

    เทคโนโลยีที่ใช้
    หุ่นยนต์แขนกลสองข้างพร้อมมือยืดหยุ่นและเซ็นเซอร์
    AI และการจดจำภาพเพื่อประกอบชิ้นส่วนเฟรสโก

    ตัวอย่างงานบูรณะ
    เฟรสโกที่ถูกทำลายจากสงครามโลกครั้งที่สอง
    เฟรสโกจาก House of the Gladiators ที่พังในปี 2010

    ความท้าทาย
    งานเหมือนการแก้จิ๊กซอว์หลายกล่องที่ปะปนกัน
    มีชิ้นส่วนที่หายไปและไม่มีภาพตัวอย่างสุดท้าย

    ผลกระทบระยะยาว
    หากสำเร็จจะเปลี่ยนวิธีการบูรณะโบราณวัตถุทั่วโลก
    ต้องทดสอบกับชิ้นส่วนจริงอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/28/putting-pompeii039s-pieces-together-with-the-help-of-a-robot
    🤖 “หุ่นยนต์ช่วยประกอบชิ้นส่วนเฟรสโกโบราณใน Pompeii” นักวิจัยในโครงการ RePAIR ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีแขนกลสองข้างพร้อมมือที่ยืดหยุ่นและเซ็นเซอร์ตรวจจับ เพื่อช่วยนักโบราณคดีประกอบชิ้นส่วนเฟรสโกโบราณที่แตกหักในเมือง Pompeii ประเทศอิตาลี หุ่นยนต์นี้ใช้ AI และการจดจำภาพขั้นสูง เพื่อระบุและจับชิ้นส่วนที่เปราะบางโดยไม่ทำให้เสียหาย โครงการเริ่มต้นในปี 2021 โดยมหาวิทยาลัย Ca’ Foscari เมืองเวนิส และทีมวิจัยนานาชาติ จุดประสงค์แรกคือการประกอบเฟรสโกที่ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อมาได้ขยายไปยังเฟรสโกจาก “House of the Gladiators” ที่พังทลายลงในปี 2010 นักวิจัยเปรียบเทียบงานนี้เหมือนการแก้ปริศนาจิ๊กซอว์ขนาดมหึมา โดยไม่มีภาพตัวอย่างสุดท้ายและยังมีชิ้นส่วนที่หายไป AI จึงถูกใช้เพื่อจับคู่สีและลวดลายที่ตาเปล่าไม่สามารถแยกแยะได้ ทำให้การฟื้นฟูมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น การทดลองเบื้องต้นใช้ ชิ้นส่วนจำลอง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อของจริง แต่หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้อาจเปลี่ยนวิธีการบูรณะโบราณวัตถุทั่วโลก และช่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่สูญหายไปนับพันปีให้กลับคืนมาอีกครั้ง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดโครงการ RePAIR ➡️ เริ่มปี 2021 โดยมหาวิทยาลัย Ca’ Foscari เมืองเวนิส ➡️ ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรป ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ หุ่นยนต์แขนกลสองข้างพร้อมมือยืดหยุ่นและเซ็นเซอร์ ➡️ AI และการจดจำภาพเพื่อประกอบชิ้นส่วนเฟรสโก ✅ ตัวอย่างงานบูรณะ ➡️ เฟรสโกที่ถูกทำลายจากสงครามโลกครั้งที่สอง ➡️ เฟรสโกจาก House of the Gladiators ที่พังในปี 2010 ‼️ ความท้าทาย ⛔ งานเหมือนการแก้จิ๊กซอว์หลายกล่องที่ปะปนกัน ⛔ มีชิ้นส่วนที่หายไปและไม่มีภาพตัวอย่างสุดท้าย ‼️ ผลกระทบระยะยาว ⛔ หากสำเร็จจะเปลี่ยนวิธีการบูรณะโบราณวัตถุทั่วโลก ⛔ ต้องทดสอบกับชิ้นส่วนจริงอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/28/putting-pompeii039s-pieces-together-with-the-help-of-a-robot
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Putting Pompeii's pieces together, with the help of a robot
    POMPEII, Italy (Reuters) -Pompeii's ancient Roman frescoes, shattered and buried for centuries, could get a second life thanks to a pioneering robotic system designed to support archaeologists in one of their most painstaking tasks: reassembling fragmented artefacts.
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 Reviews
  • การโจมตีครั้งใหญ่ต่อ Upbit

    ตลาดคริปโตสะเทือนเมื่อ Upbit แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ถูกแฮ็กสูญเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ Naver บริษัทเสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ประกาศดีลมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการบริษัทแม่ของ Upbit

    Upbit ตรวจพบการโอนสินทรัพย์บนเครือข่าย Solana มูลค่ากว่า 44.5 พันล้านวอน (ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์) ไปยังวอลเล็ตที่ไม่รู้จักทันทีที่เกิดการโจมตี บริษัทจึงรีบระงับการฝากและถอนทั้งหมด พร้อมย้ายสินทรัพย์ไปเก็บไว้ใน cold wallet เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

    ดีลยักษ์ของ Naver กับ Dunamu
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก Naver Corp. ประกาศซื้อกิจการ Dunamu บริษัทแม่ของ Upbit ด้วยมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายธุรกิจไปสู่ คริปโตและฟินเทค พร้อมลงทุนเพิ่มกว่า 6.8 พันล้านดอลลาร์ ใน AI และบล็อกเชนภายใน 5 ปีข้างหน้า

    ผลกระทบต่อตลาดและนักลงทุน
    แม้การโจมตีครั้งนี้ถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับการแฮ็กคริปโตที่สูญเงินระดับพันล้านดอลลาร์ในอดีต แต่การเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับดีลใหญ่ ทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อความมั่นคงของ Upbit และอาจส่งผลให้หุ้นของ Naver มีแรงกดดันระยะสั้น

    มุมมองเชิงบวก
    นักวิเคราะห์มองว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ช่วยให้ Naver ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของ Upbit ก่อนการควบรวมอย่างสมบูรณ์ หากแก้ไขได้ทันเวลา อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใหญ่กว่านี้ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การแฮ็ก Upbit สูญเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์
    โอนสินทรัพย์ Solana ไปยังวอลเล็ตไม่ทราบที่มา

    การเข้าซื้อกิจการโดย Naver
    ดีลมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายสู่คริปโตและฟินเทค

    ผลกระทบต่อตลาด
    นักลงทุนกังวลต่อความมั่นคงและราคาหุ้น Naver

    มุมมองเชิงบวก
    โอกาสในการตรวจสอบและเสริมความปลอดภัยก่อนการควบรวม

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์มคริปโต
    หากไม่แก้ไข อาจนำไปสู่การโจมตีที่ใหญ่กว่าและสูญเงินมหาศาล

    ความไม่แน่นอนต่อดีลการเข้าซื้อ
    อาจทำให้นักลงทุนลังเลและตลาดผันผวนในระยะสั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/south-korean-crypto-exchange-upbit-reports-usd30-million-theft-hack-discovered-hours-after-countrys-largest-search-engine-announced-usd10-billion-acquisition-of-crypto-platforms-parent-company
    💰 การโจมตีครั้งใหญ่ต่อ Upbit ตลาดคริปโตสะเทือนเมื่อ Upbit แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ถูกแฮ็กสูญเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ Naver บริษัทเสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ประกาศดีลมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการบริษัทแม่ของ Upbit Upbit ตรวจพบการโอนสินทรัพย์บนเครือข่าย Solana มูลค่ากว่า 44.5 พันล้านวอน (ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์) ไปยังวอลเล็ตที่ไม่รู้จักทันทีที่เกิดการโจมตี บริษัทจึงรีบระงับการฝากและถอนทั้งหมด พร้อมย้ายสินทรัพย์ไปเก็บไว้ใน cold wallet เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม 🏢 ดีลยักษ์ของ Naver กับ Dunamu เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก Naver Corp. ประกาศซื้อกิจการ Dunamu บริษัทแม่ของ Upbit ด้วยมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายธุรกิจไปสู่ คริปโตและฟินเทค พร้อมลงทุนเพิ่มกว่า 6.8 พันล้านดอลลาร์ ใน AI และบล็อกเชนภายใน 5 ปีข้างหน้า ⚠️ ผลกระทบต่อตลาดและนักลงทุน แม้การโจมตีครั้งนี้ถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับการแฮ็กคริปโตที่สูญเงินระดับพันล้านดอลลาร์ในอดีต แต่การเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับดีลใหญ่ ทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อความมั่นคงของ Upbit และอาจส่งผลให้หุ้นของ Naver มีแรงกดดันระยะสั้น 🔍 มุมมองเชิงบวก นักวิเคราะห์มองว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ช่วยให้ Naver ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของ Upbit ก่อนการควบรวมอย่างสมบูรณ์ หากแก้ไขได้ทันเวลา อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใหญ่กว่านี้ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การแฮ็ก Upbit สูญเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ ➡️ โอนสินทรัพย์ Solana ไปยังวอลเล็ตไม่ทราบที่มา ✅ การเข้าซื้อกิจการโดย Naver ➡️ ดีลมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายสู่คริปโตและฟินเทค ✅ ผลกระทบต่อตลาด ➡️ นักลงทุนกังวลต่อความมั่นคงและราคาหุ้น Naver ✅ มุมมองเชิงบวก ➡️ โอกาสในการตรวจสอบและเสริมความปลอดภัยก่อนการควบรวม ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์มคริปโต ⛔ หากไม่แก้ไข อาจนำไปสู่การโจมตีที่ใหญ่กว่าและสูญเงินมหาศาล ‼️ ความไม่แน่นอนต่อดีลการเข้าซื้อ ⛔ อาจทำให้นักลงทุนลังเลและตลาดผันผวนในระยะสั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/south-korean-crypto-exchange-upbit-reports-usd30-million-theft-hack-discovered-hours-after-countrys-largest-search-engine-announced-usd10-billion-acquisition-of-crypto-platforms-parent-company
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • EU ออกกฎใหม่ป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์

    สหภาพยุโรป (EU) และรัฐสภายุโรปได้บรรลุข้อตกลงใหม่เพื่อบังคับให้ธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ต้องเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง รวมถึงความโปร่งใสด้านค่าธรรมเนียมและการดูแลข้อมูลลูกค้า กฎหมายใหม่นี้ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยทางการเงินในยุคดิจิทัลที่การทำธุรกรรมออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว.

    ความรับผิดชอบของธนาคารและผู้ให้บริการ
    ตามกฎใหม่ หากธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงินไม่สามารถป้องกันการฉ้อโกงได้ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในการชดเชยความเสียหายให้ลูกค้า นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดให้ ระงับธุรกรรมที่น่าสงสัยทันที และต้องจัดให้มีการเข้าถึง บริการลูกค้ามนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่ chatbot เท่านั้น.

    บทบาทของแพลตฟอร์มออนไลน์
    แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น marketplace และ social media จะต้องรับผิดชอบในการลบโฆษณาหรือคอนเทนต์ที่เป็นการฉ้อโกง หากไม่ดำเนินการ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายที่ธนาคารใช้ในการชดเชยลูกค้า กฎนี้มีเป้าหมายเพื่อปิดช่องโหว่ที่ทำให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อโฆษณาหลอกลวง.

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด
    กฎหมายใหม่นี้จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการชำระเงิน การเข้าถึงเงินสดในพื้นที่ชนบท และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันให้ผู้ให้บริการทางการเงินและแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องลงทุนเพิ่มในระบบความปลอดภัยและการตรวจสอบ.

    สรุปสาระสำคัญ
    EU และรัฐสภายุโรปบรรลุกฎใหม่ป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์
    เพิ่มความโปร่งใสด้านค่าธรรมเนียมและการดูแลข้อมูลลูกค้า

    ธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย
    หากไม่สามารถป้องกันการฉ้อโกงได้

    ต้องระงับธุรกรรมที่น่าสงสัยทันที
    และจัดให้มีบริการลูกค้ามนุษย์

    แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องลบโฆษณาหลอกลวง
    มิฉะนั้นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการชดเชย

    หากผู้ให้บริการไม่ปรับปรุงระบบ อาจถูกลงโทษทางการเงิน
    เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    แพลตฟอร์มที่ไม่จัดการโฆษณาหลอกลวงอาจถูกฟ้องร้อง
    กระทบต่อชื่อเสียงและรายได้ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/28/eu-agrees-on-new-rules-for-online-fraud-protection
    🛡️ EU ออกกฎใหม่ป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์ สหภาพยุโรป (EU) และรัฐสภายุโรปได้บรรลุข้อตกลงใหม่เพื่อบังคับให้ธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ต้องเพิ่มมาตรการป้องกันการฉ้อโกง รวมถึงความโปร่งใสด้านค่าธรรมเนียมและการดูแลข้อมูลลูกค้า กฎหมายใหม่นี้ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยทางการเงินในยุคดิจิทัลที่การทำธุรกรรมออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว. 💳 ความรับผิดชอบของธนาคารและผู้ให้บริการ ตามกฎใหม่ หากธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงินไม่สามารถป้องกันการฉ้อโกงได้ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในการชดเชยความเสียหายให้ลูกค้า นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดให้ ระงับธุรกรรมที่น่าสงสัยทันที และต้องจัดให้มีการเข้าถึง บริการลูกค้ามนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่ chatbot เท่านั้น. 📢 บทบาทของแพลตฟอร์มออนไลน์ แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น marketplace และ social media จะต้องรับผิดชอบในการลบโฆษณาหรือคอนเทนต์ที่เป็นการฉ้อโกง หากไม่ดำเนินการ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายที่ธนาคารใช้ในการชดเชยลูกค้า กฎนี้มีเป้าหมายเพื่อปิดช่องโหว่ที่ทำให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อโฆษณาหลอกลวง. 🌍 ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด กฎหมายใหม่นี้จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการชำระเงิน การเข้าถึงเงินสดในพื้นที่ชนบท และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ขณะเดียวกันก็สร้างแรงกดดันให้ผู้ให้บริการทางการเงินและแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องลงทุนเพิ่มในระบบความปลอดภัยและการตรวจสอบ. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ EU และรัฐสภายุโรปบรรลุกฎใหม่ป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสด้านค่าธรรมเนียมและการดูแลข้อมูลลูกค้า ✅ ธนาคารและผู้ให้บริการชำระเงินต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย ➡️ หากไม่สามารถป้องกันการฉ้อโกงได้ ✅ ต้องระงับธุรกรรมที่น่าสงสัยทันที ➡️ และจัดให้มีบริการลูกค้ามนุษย์ ✅ แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องลบโฆษณาหลอกลวง ➡️ มิฉะนั้นต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการชดเชย ‼️ หากผู้ให้บริการไม่ปรับปรุงระบบ อาจถูกลงโทษทางการเงิน ⛔ เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า ‼️ แพลตฟอร์มที่ไม่จัดการโฆษณาหลอกลวงอาจถูกฟ้องร้อง ⛔ กระทบต่อชื่อเสียงและรายได้ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/28/eu-agrees-on-new-rules-for-online-fraud-protection
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU agrees on new rules for online fraud protection
    BRUSSELS (Reuters) -EU member states and the European Parliament have agreed on new rules to force banks and other payment service providers to better protect their customers against online fraud, hidden fees and data leaks, the Parliament said on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลในสถานการณ์วิกฤติ 'เพื่อไทย-ภูมิใจไทย' สภาพพังทลายไม่ต่างกัน เสียงวิจารณ์ชี้สองรัฐบาลต่างสะท้อนปัญหาเดิมเรื่องการบริหารภัยพิบัติ ทั้งระบบแจ้งเตือนล่าช้า การสื่อสารสับสน และการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด จนน้ำท่วมและภัยฉุกเฉินหลายครั้งสร้างความเสียหายซ้ำรอย ไม่ต่างกันในสองยุค
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000113582
    .
    #News1live #News1 #รัฐบาล #ภัยพิบัติ #น้ำท่วมใต้ #น้ำท่วม #ระบบแจ้งเตือน #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #วิกฤติ #การสื่อสารรัฐ #truthfromthailand #newsupdate
    รัฐบาลในสถานการณ์วิกฤติ 'เพื่อไทย-ภูมิใจไทย' สภาพพังทลายไม่ต่างกัน เสียงวิจารณ์ชี้สองรัฐบาลต่างสะท้อนปัญหาเดิมเรื่องการบริหารภัยพิบัติ ทั้งระบบแจ้งเตือนล่าช้า การสื่อสารสับสน และการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด จนน้ำท่วมและภัยฉุกเฉินหลายครั้งสร้างความเสียหายซ้ำรอย ไม่ต่างกันในสองยุค . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000113582 . #News1live #News1 #รัฐบาล #ภัยพิบัติ #น้ำท่วมใต้ #น้ำท่วม #ระบบแจ้งเตือน #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #วิกฤติ #การสื่อสารรัฐ #truthfromthailand #newsupdate
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 1 Shares 412 Views 0 Reviews
  • ฟ้าแลบบนดาวอังคาร

    ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย Baptiste Chide จาก University of Toulouse ใช้ไมโครโฟน SuperCam บนยาน Perseverance Rover ตรวจพบการปลดปล่อยไฟฟ้า (electrical discharges) ระหว่างพายุฝุ่นและ “dust devils” บนดาวอังคาร รวมทั้งหมด 55 ครั้งในช่วงสองปีดาวอังคาร การค้นพบนี้ยืนยันว่าบรรยากาศที่บางและแห้งของดาวอังคารสามารถสร้างไฟฟ้าได้จริง แม้จะไม่มีไอน้ำเหมือนโลก

    วิธีการตรวจจับ
    ไมโครโฟนของ Perseverance สามารถบันทึกทั้งเสียงและสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า นักวิจัยพบ “blip” อิเล็กทรอนิกส์ตามด้วยเสียงคล้ายฟ้าร้องขนาดเล็กที่เกิดจากการขยายตัวของอากาศรอบการปลดปล่อยไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักฐานตรงของฟ้าแลบขนาดจิ๋วบนดาวอังคาร

    เงื่อนไขที่ทำให้เกิดฟ้าแลบ
    การเกิดฟ้าแลบไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝุ่นหนาแน่นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี ลมแรงจัด ซึ่งส่วนใหญ่พบในช่วงพายุฝุ่นและที่ขอบของกระแสลมแรง โดย 54 ใน 55 เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่แรงลมอยู่ในระดับสูงสุด 30% ของที่บันทึกได้

    ความหมายต่ออนาคต
    แม้พลังงานของฟ้าแลบบนดาวอังคารจะเล็กมาก (0.1–150 นาโนจูล และสูงสุด 40 มิลลิจูล) เมื่อเทียบกับฟ้าแลบบนโลกที่มีพลังงานระดับพันล้านจูล แต่การค้นพบนี้มีผลต่อการออกแบบเทคโนโลยีสำรวจในอนาคต และยังช่วยให้นักดาราศาสตร์ชีววิทยาประเมินโอกาสการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่อาจนำไปสู่การกำเนิดชีวิตบนดาวอังคารได้

    สรุปสาระสำคัญ
    NASA ตรวจพบฟ้าแลบบนดาวอังคารครั้งแรก
    บันทึกได้ 55 ครั้งในสองปีดาวอังคาร
    ใช้ไมโครโฟน SuperCam บน Perseverance Rover

    หลักฐานการเกิดฟ้าแลบ
    พบสัญญาณรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าและเสียงคล้ายฟ้าร้อง
    ยืนยันการปลดปล่อยไฟฟ้าในบรรยากาศบางและแห้ง

    เงื่อนไขการเกิดฟ้าแลบ
    ต้องมีลมแรงจัดและพายุฝุ่น
    ส่วนใหญ่เกิดในช่วงแรงลมสูงสุด 30%

    ความหมายต่อการสำรวจ
    ช่วยออกแบบเทคโนโลยีป้องกันไฟฟ้าสำหรับภารกิจในอนาคต
    เพิ่มข้อมูลต่อการศึกษาความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคาร

    ข้อควรระวัง
    ฟ้าแลบบนดาวอังคารมีพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับโลก
    อาจสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์สำรวจหากไม่ได้รับการป้องกัน

    https://www.sciencealert.com/nasa-recorded-lightning-crackling-on-mars-for-the-first-time
    ⚡ ฟ้าแลบบนดาวอังคาร ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย Baptiste Chide จาก University of Toulouse ใช้ไมโครโฟน SuperCam บนยาน Perseverance Rover ตรวจพบการปลดปล่อยไฟฟ้า (electrical discharges) ระหว่างพายุฝุ่นและ “dust devils” บนดาวอังคาร รวมทั้งหมด 55 ครั้งในช่วงสองปีดาวอังคาร การค้นพบนี้ยืนยันว่าบรรยากาศที่บางและแห้งของดาวอังคารสามารถสร้างไฟฟ้าได้จริง แม้จะไม่มีไอน้ำเหมือนโลก 🎙️ วิธีการตรวจจับ ไมโครโฟนของ Perseverance สามารถบันทึกทั้งเสียงและสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า นักวิจัยพบ “blip” อิเล็กทรอนิกส์ตามด้วยเสียงคล้ายฟ้าร้องขนาดเล็กที่เกิดจากการขยายตัวของอากาศรอบการปลดปล่อยไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักฐานตรงของฟ้าแลบขนาดจิ๋วบนดาวอังคาร 🌪️ เงื่อนไขที่ทำให้เกิดฟ้าแลบ การเกิดฟ้าแลบไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝุ่นหนาแน่นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี ลมแรงจัด ซึ่งส่วนใหญ่พบในช่วงพายุฝุ่นและที่ขอบของกระแสลมแรง โดย 54 ใน 55 เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่แรงลมอยู่ในระดับสูงสุด 30% ของที่บันทึกได้ 🌍 ความหมายต่ออนาคต แม้พลังงานของฟ้าแลบบนดาวอังคารจะเล็กมาก (0.1–150 นาโนจูล และสูงสุด 40 มิลลิจูล) เมื่อเทียบกับฟ้าแลบบนโลกที่มีพลังงานระดับพันล้านจูล แต่การค้นพบนี้มีผลต่อการออกแบบเทคโนโลยีสำรวจในอนาคต และยังช่วยให้นักดาราศาสตร์ชีววิทยาประเมินโอกาสการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่อาจนำไปสู่การกำเนิดชีวิตบนดาวอังคารได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ NASA ตรวจพบฟ้าแลบบนดาวอังคารครั้งแรก ➡️ บันทึกได้ 55 ครั้งในสองปีดาวอังคาร ➡️ ใช้ไมโครโฟน SuperCam บน Perseverance Rover ✅ หลักฐานการเกิดฟ้าแลบ ➡️ พบสัญญาณรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าและเสียงคล้ายฟ้าร้อง ➡️ ยืนยันการปลดปล่อยไฟฟ้าในบรรยากาศบางและแห้ง ✅ เงื่อนไขการเกิดฟ้าแลบ ➡️ ต้องมีลมแรงจัดและพายุฝุ่น ➡️ ส่วนใหญ่เกิดในช่วงแรงลมสูงสุด 30% ✅ ความหมายต่อการสำรวจ ➡️ ช่วยออกแบบเทคโนโลยีป้องกันไฟฟ้าสำหรับภารกิจในอนาคต ➡️ เพิ่มข้อมูลต่อการศึกษาความเป็นไปได้ของชีวิตบนดาวอังคาร ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ฟ้าแลบบนดาวอังคารมีพลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับโลก ⛔ อาจสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์สำรวจหากไม่ได้รับการป้องกัน https://www.sciencealert.com/nasa-recorded-lightning-crackling-on-mars-for-the-first-time
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    NASA Recorded Lightning Crackling on Mars For The First Time
    A lonely rover toiling among the sands of Mars has now answered an age-old question: If lightning crackles on the red planet and no one hears it, does it still make a sound? In recordings obtained by NASA's Perseverance rover, scientists have identified, for the first time, electrical discharges captured during Mars's wild dust events and whirling dust devils – not once, but 55 times over two Martian years of observation.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • ไฟดับที่ Fab 21 ของ TSMC

    ข่าวนี้เกี่ยวกับเหตุไฟฟ้าขัดข้องที่โรงงาน TSMC Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตและมีการสูญเสียเวเฟอร์จำนวนหนึ่ง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ

    ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โรงงานผลิตชิป Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนา ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเนื่องจากไฟฟ้าขัดข้องที่บริษัทผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม Linde เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้โรงงานดับไฟทั้งหมด แต่การขาดวัตถุดิบสำคัญทำให้สายการผลิตต้องหยุดลง ส่งผลให้เวเฟอร์ที่อยู่ระหว่างการผลิตบางส่วนถูกทิ้งไป และสร้างความเสียหายทางการเงิน แม้บริษัทจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
    ในไต้หวัน TSMC ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานเอง แต่ในสหรัฐฯ บริษัทต้องพึ่งพาผู้จัดหาภายนอก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการขยายโรงงานไปต่างประเทศ แม้จะช่วยกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็สร้างความท้าทายใหม่ในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การหยุดผลิตแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงในโรงงานขั้นสูง สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลต่อรายได้และลูกค้า เช่น Apple, Nvidia และ AMD ที่พึ่งพาการผลิตจาก Fab 21 เหตุการณ์นี้ยังตอกย้ำว่าความต่อเนื่องของการผลิตเป็นหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง และการสูญเสียแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อทั้งตลาดโลก

    บทเรียนและการปรับตัว
    TSMC ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และเริ่มวางแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น โครงการรีไซเคิลน้ำในแอริโซนา และการพิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังเป็นสัญญาณเตือนต่อทั้งอุตสาหกรรมว่าความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องที่ Fab 21
    เกิดจากปัญหาที่บริษัท Linde ผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม
    ส่งผลให้สายการผลิตหยุดชั่วคราวและเวเฟอร์บางส่วนถูกทิ้ง

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
    ในไต้หวัน TSMC ดูแลเอง แต่ในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาภายนอก
    ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ลูกค้ารายใหญ่ เช่น Apple, Nvidia, AMD ได้รับผลกระทบ
    การหยุดผลิตแม้ไม่กี่ชั่วโมงก็สร้างความเสียหายทางการเงินมหาศาล

    การปรับตัวของ TSMC
    ลงทุนในโครงการรีไซเคิลน้ำและโครงสร้างพื้นฐานใหม่
    พิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น

    คำเตือนต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การหยุดผลิตแม้สั้น ๆ สามารถกระทบทั้งตลาดโลก
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกยังคงสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-confirms-september-power-outage-at-fab-21-in-arizona-loss-of-wafers-and-financial-impact-unclear
    ⚡ ไฟดับที่ Fab 21 ของ TSMC ข่าวนี้เกี่ยวกับเหตุไฟฟ้าขัดข้องที่โรงงาน TSMC Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตและมีการสูญเสียเวเฟอร์จำนวนหนึ่ง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และความเสี่ยงที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โรงงานผลิตชิป Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนา ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเนื่องจากไฟฟ้าขัดข้องที่บริษัทผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม Linde เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้โรงงานดับไฟทั้งหมด แต่การขาดวัตถุดิบสำคัญทำให้สายการผลิตต้องหยุดลง ส่งผลให้เวเฟอร์ที่อยู่ระหว่างการผลิตบางส่วนถูกทิ้งไป และสร้างความเสียหายทางการเงิน แม้บริษัทจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด 🏭 ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน ในไต้หวัน TSMC ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานเอง แต่ในสหรัฐฯ บริษัทต้องพึ่งพาผู้จัดหาภายนอก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการขยายโรงงานไปต่างประเทศ แม้จะช่วยกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็สร้างความท้าทายใหม่ในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การหยุดผลิตแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงในโรงงานขั้นสูง สามารถสร้างความเสียหายมหาศาลต่อรายได้และลูกค้า เช่น Apple, Nvidia และ AMD ที่พึ่งพาการผลิตจาก Fab 21 เหตุการณ์นี้ยังตอกย้ำว่าความต่อเนื่องของการผลิตเป็นหัวใจสำคัญในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง และการสูญเสียแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อทั้งตลาดโลก 🔒 บทเรียนและการปรับตัว TSMC ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และเริ่มวางแผนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น โครงการรีไซเคิลน้ำในแอริโซนา และการพิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังเป็นสัญญาณเตือนต่อทั้งอุตสาหกรรมว่าความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องที่ Fab 21 ➡️ เกิดจากปัญหาที่บริษัท Linde ผู้จัดหาก๊าซอุตสาหกรรม ➡️ ส่งผลให้สายการผลิตหยุดชั่วคราวและเวเฟอร์บางส่วนถูกทิ้ง ✅ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน ➡️ ในไต้หวัน TSMC ดูแลเอง แต่ในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาภายนอก ➡️ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักที่ควบคุมไม่ได้ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ ลูกค้ารายใหญ่ เช่น Apple, Nvidia, AMD ได้รับผลกระทบ ➡️ การหยุดผลิตแม้ไม่กี่ชั่วโมงก็สร้างความเสียหายทางการเงินมหาศาล ✅ การปรับตัวของ TSMC ➡️ ลงทุนในโครงการรีไซเคิลน้ำและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ➡️ พิจารณาควบคุมซัพพลายเชนให้เข้มงวดขึ้น ‼️ คำเตือนต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ⛔ การหยุดผลิตแม้สั้น ๆ สามารถกระทบทั้งตลาดโลก ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกยังคงสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-confirms-september-power-outage-at-fab-21-in-arizona-loss-of-wafers-and-financial-impact-unclear
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • ทำไมโครงการด้าน software ถึงพังพินาท

    บทความจาก IEEE Spectrum วิเคราะห์ว่าแม้การลงทุนด้าน IT จะเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ความล้มเหลวของโครงการซอฟต์แวร์ยังคงเกิดซ้ำๆ โดยมีสาเหตุหลักจากการจัดการผิดพลาด ความซับซ้อนที่ไม่ถูกควบคุม และการไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดเดิม

    วงจรความล้มเหลวที่ไม่สิ้นสุด
    ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2025 การใช้จ่ายด้าน IT ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จของโครงการซอฟต์แวร์ไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย ความล้มเหลวเกิดขึ้นในทุกประเทศและทุกประเภทองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน สาเหตุหลักคือ เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ความซับซ้อนที่จัดการไม่ได้ และการประเมินความเสี่ยงผิดพลาด.

    กรณีศึกษาใหญ่: Phoenix และ Horizon
    Phoenix Payroll (แคนาดา): ใช้งบกว่า 310 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่กลับสร้างปัญหาการจ่ายเงินผิดพลาดให้พนักงานกว่า 70% และยังคงมี backlog กว่า 349,000 เคสที่ไม่ถูกแก้ไขแม้ในปี 2025.

    Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร): ระบบที่ผิดพลาดทำให้พนักงานไปรษณีย์กว่า 3,500 คนถูกกล่าวหาว่าทุจริต โดย 900 คนถูกตัดสินจำคุก ทั้งที่ปัญหามาจากซอฟต์แวร์บั๊กภายในระบบเอง.

    ทั้งสองกรณีสะท้อนว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากเทคนิคอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการ การเมือง และการปกปิดข้อมูล.

    ความพยายามแก้ไขที่ยังไม่สำเร็จ
    แม้จะมีการนำ Agile และ DevOps มาใช้ แต่รายงานบางฉบับชี้ว่าโครงการ Agile ล้มเหลวสูงถึง 65% และ DevOps ล้มเหลวถึง 90% ในบางองค์กร ปัญหาหลักคือ ขาดวินัย ความต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ทำให้แนวทางใหม่ๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน.

    ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
    ในสหรัฐฯ เพียงปี 2022 ความเสียหายจากความล้มเหลวของซอฟต์แวร์สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่างบประมาณกลาโหมทั้งปี ขณะที่การบำรุงรักษาระบบ legacy กินงบกว่า 70–75% ของ IT budget องค์กร ทำให้การพัฒนาใหม่ถูกชะลอและเสี่ยงต่อการล้มเหลวซ้ำอีก.

    สรุปสาระสำคัญ
    การลงทุน IT เพิ่มขึ้นมหาศาล
    จาก 1.7 ล้านล้าน → 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จไม่ดีขึ้น

    กรณีศึกษาใหญ่
    Phoenix Payroll (แคนาดา) และ Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร)

    แนวทางใหม่ยังล้มเหลว
    Agile และ DevOps มีอัตราล้มเหลวสูงเพราะขาดวินัยและการเปลี่ยนวัฒนธรรม

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    ความเสียหายปีเดียวในสหรัฐฯ สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์

    ความเสี่ยงจากการไม่เรียนรู้
    โครงการยังทำผิดซ้ำๆ แม้มีบทเรียนมากมายในอดีต

    ผลกระทบต่อมนุษย์
    พนักงานถูกกล่าวหาผิดๆ สูญเสียชีวิตและอาชีพจากความผิดพลาดของระบบ

    https://spectrum.ieee.org/it-management-software-failures
    💽 ทำไมโครงการด้าน software ถึงพังพินาท บทความจาก IEEE Spectrum วิเคราะห์ว่าแม้การลงทุนด้าน IT จะเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ความล้มเหลวของโครงการซอฟต์แวร์ยังคงเกิดซ้ำๆ โดยมีสาเหตุหลักจากการจัดการผิดพลาด ความซับซ้อนที่ไม่ถูกควบคุม และการไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดเดิม 💻 วงจรความล้มเหลวที่ไม่สิ้นสุด ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2025 การใช้จ่ายด้าน IT ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จของโครงการซอฟต์แวร์ไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย ความล้มเหลวเกิดขึ้นในทุกประเทศและทุกประเภทองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน สาเหตุหลักคือ เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ความซับซ้อนที่จัดการไม่ได้ และการประเมินความเสี่ยงผิดพลาด. ⚠️ กรณีศึกษาใหญ่: Phoenix และ Horizon 🔷 Phoenix Payroll (แคนาดา): ใช้งบกว่า 310 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่กลับสร้างปัญหาการจ่ายเงินผิดพลาดให้พนักงานกว่า 70% และยังคงมี backlog กว่า 349,000 เคสที่ไม่ถูกแก้ไขแม้ในปี 2025. 🔷 Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร): ระบบที่ผิดพลาดทำให้พนักงานไปรษณีย์กว่า 3,500 คนถูกกล่าวหาว่าทุจริต โดย 900 คนถูกตัดสินจำคุก ทั้งที่ปัญหามาจากซอฟต์แวร์บั๊กภายในระบบเอง. ทั้งสองกรณีสะท้อนว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากเทคนิคอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการ การเมือง และการปกปิดข้อมูล. 🔄 ความพยายามแก้ไขที่ยังไม่สำเร็จ แม้จะมีการนำ Agile และ DevOps มาใช้ แต่รายงานบางฉบับชี้ว่าโครงการ Agile ล้มเหลวสูงถึง 65% และ DevOps ล้มเหลวถึง 90% ในบางองค์กร ปัญหาหลักคือ ขาดวินัย ความต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ทำให้แนวทางใหม่ๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน. 🌍 ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ ในสหรัฐฯ เพียงปี 2022 ความเสียหายจากความล้มเหลวของซอฟต์แวร์สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่างบประมาณกลาโหมทั้งปี ขณะที่การบำรุงรักษาระบบ legacy กินงบกว่า 70–75% ของ IT budget องค์กร ทำให้การพัฒนาใหม่ถูกชะลอและเสี่ยงต่อการล้มเหลวซ้ำอีก. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การลงทุน IT เพิ่มขึ้นมหาศาล ➡️ จาก 1.7 ล้านล้าน → 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จไม่ดีขึ้น ✅ กรณีศึกษาใหญ่ ➡️ Phoenix Payroll (แคนาดา) และ Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร) ✅ แนวทางใหม่ยังล้มเหลว ➡️ Agile และ DevOps มีอัตราล้มเหลวสูงเพราะขาดวินัยและการเปลี่ยนวัฒนธรรม ✅ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ➡️ ความเสียหายปีเดียวในสหรัฐฯ สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่เรียนรู้ ⛔ โครงการยังทำผิดซ้ำๆ แม้มีบทเรียนมากมายในอดีต ‼️ ผลกระทบต่อมนุษย์ ⛔ พนักงานถูกกล่าวหาผิดๆ สูญเสียชีวิตและอาชีพจากความผิดพลาดของระบบ https://spectrum.ieee.org/it-management-software-failures
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.33

    ในทางกฎหมายและธุรกิจ คำว่า "นิติบุคคล" เป็นแนวคิดพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงผิวเผิน นิติบุคคลนั้นสามารถนิยามได้อย่างกระชับและทรงพลัง นั่นคือ องค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล การเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนโวหาร แต่เป็นการมอบสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินที่รวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย นิติบุคคลถือเป็น "บุคคล" ประเภทหนึ่งนอกเหนือจากบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของปัจเจกชน ตัวอย่างที่ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ "บริษัทจำกัด" ซึ่งเป็นรูปแบบทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ การเกิดขึ้นของนิติบุคคลนั้นมีรากฐานมาจากหลักการที่ว่า เพื่อให้การดำเนินงานขนาดใหญ่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นต้องแยกสถานะของกิจการออกจากสถานะส่วนตัวของผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้น นิติบุคคลจึงมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีหนี้สินเป็นของตนเอง สามารถเข้าทำสัญญา ฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องร้องในนามขององค์กรได้ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่า "การแยกทรัพย์สิน" หรือ "Separate Legal Personality" หลักการนี้ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดได้รับความคุ้มครองที่เรียกว่า "ความรับผิดจำกัด" (Limited Liability) นั่นคือความรับผิดของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น หากบริษัทเกิดปัญหาล้มละลายหรือมีหนี้สินมหาศาล เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้เพียงแค่ทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น จะไม่สามารถลุกลามไปยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้ เว้นแต่จะมีกรณีที่ศาลพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้สถานะนิติบุคคลไปในทางที่ทุจริตหรือมิชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากบริษัทจำกัดแล้ว นิติบุคคลยังครอบคลุมไปถึงรูปแบบองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มูลนิธิ สมาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ได้จดทะเบียน ตลอดจนหน่วยงานของรัฐบางประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานที่ว่ามี "สถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล" นั้นยังคงเป็นแก่นเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ มีอายุยืนยาวกว่าผู้ก่อตั้ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบุคคลภายนอกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเป็นเจ้าของสิทธิและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์

    หลักการแยกสถานะนี้เองที่ทำให้นิติบุคคลกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ ลองจินตนาการถึงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก หากไม่มีรูปแบบนิติบุคคลที่ให้ความรับผิดจำกัด ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองมาลงทุนในกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง นิติบุคคลจึงช่วยกระจายความเสี่ยงและดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การได้รับสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมายนั้นมาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ หากนิติบุคคลใดกระทำการนอกเหนืออำนาจหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การกระทำนั้นอาจตกเป็นโมฆะหรือมีผลผูกพันเพียงบางส่วน การบริหารจัดการนิติบุคคลจึงต้องอาศัยคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทน เช่น กรรมการบริษัท ซึ่งผู้แทนเหล่านี้ต้องกระทำการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนิติบุคคลเป็นสำคัญ หากกรรมการกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคลหรือบุคคลภายนอก กรรมการเหล่านั้นอาจต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่เรียกว่านิติบุคคลนี้จึงต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทั้งสิทธิที่ได้รับและความรับผิดชอบที่ตามมา การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับองค์กร ขณะที่การละเลยข้อกำหนดทางกฎหมายอาจนำไปสู่ปัญหาทางคดีและการล่มสลายของกิจการได้

    โดยสรุปแล้ว นิติบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขององค์กร แต่เป็นโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง มันคือการสร้าง "บุคคลเทียม" ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่และลดความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ประกอบการ นิติบุคคลมอบโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับกิจการผ่านหลักการความรับผิดจำกัดและการมีอยู่ที่เป็นอิสระ แต่ในทางกลับกัน มันก็เรียกร้องความรับผิดชอบในระดับเดียวกับบุคคลธรรมดาในการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสถานะทางกฎหมายและผลที่ตามมาของการเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารนิติบุคคลอย่างมีธรรมาภิบาลและการยึดมั่นในกรอบกฎหมายคือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้สิทธิอำนาจเทียบเท่าบุคคลได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมในสังคม
    บทความกฎหมาย EP.33 ในทางกฎหมายและธุรกิจ คำว่า "นิติบุคคล" เป็นแนวคิดพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงผิวเผิน นิติบุคคลนั้นสามารถนิยามได้อย่างกระชับและทรงพลัง นั่นคือ องค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล การเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนโวหาร แต่เป็นการมอบสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินที่รวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย นิติบุคคลถือเป็น "บุคคล" ประเภทหนึ่งนอกเหนือจากบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของปัจเจกชน ตัวอย่างที่ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ "บริษัทจำกัด" ซึ่งเป็นรูปแบบทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ การเกิดขึ้นของนิติบุคคลนั้นมีรากฐานมาจากหลักการที่ว่า เพื่อให้การดำเนินงานขนาดใหญ่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นต้องแยกสถานะของกิจการออกจากสถานะส่วนตัวของผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้น นิติบุคคลจึงมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีหนี้สินเป็นของตนเอง สามารถเข้าทำสัญญา ฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องร้องในนามขององค์กรได้ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่า "การแยกทรัพย์สิน" หรือ "Separate Legal Personality" หลักการนี้ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดได้รับความคุ้มครองที่เรียกว่า "ความรับผิดจำกัด" (Limited Liability) นั่นคือความรับผิดของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น หากบริษัทเกิดปัญหาล้มละลายหรือมีหนี้สินมหาศาล เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้เพียงแค่ทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น จะไม่สามารถลุกลามไปยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้ เว้นแต่จะมีกรณีที่ศาลพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้สถานะนิติบุคคลไปในทางที่ทุจริตหรือมิชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากบริษัทจำกัดแล้ว นิติบุคคลยังครอบคลุมไปถึงรูปแบบองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มูลนิธิ สมาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ได้จดทะเบียน ตลอดจนหน่วยงานของรัฐบางประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานที่ว่ามี "สถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล" นั้นยังคงเป็นแก่นเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ มีอายุยืนยาวกว่าผู้ก่อตั้ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบุคคลภายนอกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเป็นเจ้าของสิทธิและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์ หลักการแยกสถานะนี้เองที่ทำให้นิติบุคคลกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ ลองจินตนาการถึงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก หากไม่มีรูปแบบนิติบุคคลที่ให้ความรับผิดจำกัด ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองมาลงทุนในกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง นิติบุคคลจึงช่วยกระจายความเสี่ยงและดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การได้รับสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมายนั้นมาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ หากนิติบุคคลใดกระทำการนอกเหนืออำนาจหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การกระทำนั้นอาจตกเป็นโมฆะหรือมีผลผูกพันเพียงบางส่วน การบริหารจัดการนิติบุคคลจึงต้องอาศัยคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทน เช่น กรรมการบริษัท ซึ่งผู้แทนเหล่านี้ต้องกระทำการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนิติบุคคลเป็นสำคัญ หากกรรมการกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคลหรือบุคคลภายนอก กรรมการเหล่านั้นอาจต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่เรียกว่านิติบุคคลนี้จึงต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทั้งสิทธิที่ได้รับและความรับผิดชอบที่ตามมา การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับองค์กร ขณะที่การละเลยข้อกำหนดทางกฎหมายอาจนำไปสู่ปัญหาทางคดีและการล่มสลายของกิจการได้ โดยสรุปแล้ว นิติบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขององค์กร แต่เป็นโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง มันคือการสร้าง "บุคคลเทียม" ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่และลดความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ประกอบการ นิติบุคคลมอบโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับกิจการผ่านหลักการความรับผิดจำกัดและการมีอยู่ที่เป็นอิสระ แต่ในทางกลับกัน มันก็เรียกร้องความรับผิดชอบในระดับเดียวกับบุคคลธรรมดาในการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสถานะทางกฎหมายและผลที่ตามมาของการเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารนิติบุคคลอย่างมีธรรมาภิบาลและการยึดมั่นในกรอบกฎหมายคือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้สิทธิอำนาจเทียบเท่าบุคคลได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมในสังคม
    0 Comments 0 Shares 346 Views 0 Reviews
More Results