• เหล็กจีนทำลายโลก
    ประเทศจีนจับได้เมือสายไปแล้ว เหล็กปลอมออกไปหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
    ทำไมเกิดขึ้น? ใครเป็นคนรู้เห็นเป็นใจ?

    เดชา นฤนารท.
    29/3/68 11.20 น.

    ประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป

    ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีน

    ทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอม

    ในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิต

    คาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาว

    ตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2

    และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีน

    ปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐาน

    ผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมาก

    ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน**

    งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้ว

    ส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใคร

    ต่อด้วย เฟอร์นิเจอร์สวรรค์

    ตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย.

    เปิดราคาคุรุภัณฑ์ อาคาร สตง
    เห็นแล้วจะเป็นลม
    ชมรม strong ต้านทุจริต

    เก้าอี้ตัวละ 97900 บาท
    https://www.facebook.com/share/1R4ShHo9WC/?mibextid=wwXIfr

    ผ้าพื้นละ 110,000 บาท

    https://www.facebook.com/share/15W1c8Xvki/?mibextid=wwXIfr

    พรมทอมือ nylon ผืนละ 165,000 บาท
    https://www.facebook.com/share/1AJhURAfQM/?mibextid=wwXIfr

    โต๊ะกลมทานอาหารตัวละ 90,000 บาท
    https://www.facebook.com/share/16LKvsMFhi/?mibextid=wwXIfr
    เหล็กจีนทำลายโลก ประเทศจีนจับได้เมือสายไปแล้ว เหล็กปลอมออกไปหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ทำไมเกิดขึ้น? ใครเป็นคนรู้เห็นเป็นใจ? เดชา นฤนารท. 29/3/68 11.20 น. ประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีน ทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอม ในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิต คาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาว ตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2 และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีน ปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐาน ผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมาก ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน** งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้ว ส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใคร ต่อด้วย เฟอร์นิเจอร์สวรรค์ ตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย. เปิดราคาคุรุภัณฑ์ อาคาร สตง เห็นแล้วจะเป็นลม ชมรม strong ต้านทุจริต เก้าอี้ตัวละ 97900 บาท https://www.facebook.com/share/1R4ShHo9WC/?mibextid=wwXIfr ผ้าพื้นละ 110,000 บาท https://www.facebook.com/share/15W1c8Xvki/?mibextid=wwXIfr พรมทอมือ nylon ผืนละ 165,000 บาท https://www.facebook.com/share/1AJhURAfQM/?mibextid=wwXIfr โต๊ะกลมทานอาหารตัวละ 90,000 บาท https://www.facebook.com/share/16LKvsMFhi/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหล็กจีนทำลายโลก
    ประเทศจีนจับได้เมือสายไปแล้ว เหล็กปลอมออกไปหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
    ทำไมเกิดขึ้น? ใครเป็นคนรู้เห็นเป็นใจ?

    เดชา นฤนารท.
    29/3/68 11.20 น.

    ประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป

    ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีน

    ทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอม

    ในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิต

    คาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาว

    ตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2

    และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีน

    ปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐาน

    ผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมาก

    ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน**

    งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้ว

    ส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใคร

    ต่อด้วย เฟอร์นิเจอร์สวรรค์

    ตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย.

    เปิดราคาคุรุภัณฑ์ อาคาร สตง
    เห็นแล้วจะเป็นลม
    ชมรม strong ต้านทุจริต

    เก้าอี้ตัวละ 97900 บาท
    https://www.facebook.com/share/1R4ShHo9WC/?mibextid=wwXIfr

    ผ้าพื้นละ 110,000 บาท

    https://www.facebook.com/share/15W1c8Xvki/?mibextid=wwXIfr

    พรมทอมือ nylon ผืนละ 165,000 บาท
    https://www.facebook.com/share/1AJhURAfQM/?mibextid=wwXIfr

    โต๊ะกลมทานอาหารตัวละ 90,000 บาท
    https://www.facebook.com/share/16LKvsMFhi/?mibextid=wwXIfr
    เหล็กจีนทำลายโลก ประเทศจีนจับได้เมือสายไปแล้ว เหล็กปลอมออกไปหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ทำไมเกิดขึ้น? ใครเป็นคนรู้เห็นเป็นใจ? เดชา นฤนารท. 29/3/68 11.20 น. ประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีน ทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอม ในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิต คาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาว ตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2 และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีน ปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐาน ผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมาก ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน** งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้ว ส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใคร ต่อด้วย เฟอร์นิเจอร์สวรรค์ ตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย. เปิดราคาคุรุภัณฑ์ อาคาร สตง เห็นแล้วจะเป็นลม ชมรม strong ต้านทุจริต เก้าอี้ตัวละ 97900 บาท https://www.facebook.com/share/1R4ShHo9WC/?mibextid=wwXIfr ผ้าพื้นละ 110,000 บาท https://www.facebook.com/share/15W1c8Xvki/?mibextid=wwXIfr พรมทอมือ nylon ผืนละ 165,000 บาท https://www.facebook.com/share/1AJhURAfQM/?mibextid=wwXIfr โต๊ะกลมทานอาหารตัวละ 90,000 บาท https://www.facebook.com/share/16LKvsMFhi/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29-03-68/01 : หมี CNN / "เสือกเฉพาะเรื่อง" EP3 (ไม่ต้องถาม..ซัดเลยล่ะกัน)

    มรึงโดนแน่ YELLOW STONE ไอ้สัส! อย่าคิดว่าเค้าไม่รู้? สะกายเหรอ? รอยเปลือกแยกอาเซียนเหรอ? มรึงตั้งใจจะล่ออาเซียนเพื่อสกัดจีนผนวก ล่อพม่า หวังกระทบทั้งอาเซียน หลายครั้งที่มรึงเลือกลงมือก่อนเมษายน เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว เม็ดเงินเข้าอาเซียนถล่มทลาย ทำลายเศรษฐกิจทั้งอาเซียน เพื่อดึงโลกเข้าสู่สงคราม เหตุผลง่ายๆ คือ มรึงแพ้ยับในสมรภูมิจริง ทั้งยูเครน แอฟริกา และเยรูซาเล็ม มรึงแพ้ยับทั้งสงครามการค้า เพราะโลกหันไปเข้า BRICS กันหมด จับมือจีน รัสเซีย ผู้นำโลกใหม่ มรึงแพ้ยับทั้งเวทีโลก และความเชื่อมั่นนักลงทุน มรึงไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีอะไรจะเสีย มุกเดิมเหี้ยจะทำอะไรได้อีก หากไม่ใช้ไวรัสระบาด หรือก่อเหตุอุทกภัยอย่างที่เคยทำมา หมายังเดาได้? ระดับหน่วยข่าวกรอง เค้ารู้ล่วงหน้าแล้ว โป๊ะมาแตก ศูนย์กลางแผ่นดินไหวใหญ่อยู่ที่พม่า แล้วอะไรอยู่ใกล้แถวนั้นล่ะ กงศุลใหญ่เหี้ยมะกันในเชียงใหม่ไงล่ะ ที่มาว่าทำไม มรึงถึงต้องขุดดินลึกลงไปกว่า 200 เมตร กงศุลบ้านพ่องดิ ต้องลึกขนาดนั้นเพื่อ? ไม่ต้องแถ ไม่ต้องอ้าง มรึงฝังเหี้ยอะไรเอาไว้กันล่ะ? ไม่ต้องมโน ไม่ต้องเดา มันผิดปกติอยู่แล้วที่สร้างกงศุลใหญ่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกจีนสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันที่เฉิงตู ทำให้มรึงหน้ามืด ตาบอดทันที ไม่รู้ข่าวสารจีนอะไรอีกเลย นับแต่นั้น ที่มาว่าพยายามสร้างกงศุลใหญ่ใหม่ใกล้จีน พม่า ไงล่ะ จีนยังสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยได้ ทำไม เราจะทำไม่ได้? กงศุลมรึงไม่ได้มีแค่ที่เชียงใหม่ กทม.ก็ยังอยู่ แก้ตรงจุด สั่งปิดกงศุลใหญ่ที่เชียงใหม่ปุ๊บ แผ่นดินไหวหายวับทันตาทันที กูท้ามรึงเลย? แต่อย่าหวังอีรัฐบาลเถื่อนขี้ข้าวอชิงตันชุดนี้เลย ถึงเวลายัง ที่กองทัพจะออกตัว ประชาชนตามติด วังนำหน้า แม่ทัพใหญ่ของกองทัพไทย เมื่อเลือกข้างแล้ว ก็ต้องเล่นบทให้สุดซอย ยุคพระเดชถึงจะมาเต็มตรีน ความเสียหายที่เห็นนี้ ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่อีกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันยังเสนอหน้าอยู่ที่เชียงใหม่ ขนาดกูยังรู้ หน่วยความมั่นคง หน่วยข่าวกรองทำไมไม่รู้ มันผิดสังเกตุมาตั้งแต่สร้างใหญ่อลังการ และควบคุมการสร้างเอง โดยไม่ให้ใครเสือก เจ้าหน้าที่คุมก่อสร้างก็ไม่ให้คนไทยยุ่ง มันชัดซะยิ่งกว่าชัด? ใครก็รู้ ว่ามรึงทำอะไร แต่ปล่อยให้มันทำ จนได้เห็นเต็มตาวันนี้ไงล่ะ กระทบแผ่นดิน มรึงจะให้มันอยู่ต่อมั้ยล่ะ จะเก็บไอ้อีเหี้ยไปอีกนานแค่ไหน คำตอบอยู่ที่ "ศรีธนญชัย" เพราะเค้าประสานกับกุนซือ เกจิ จีน รัสเซีย ไว้แล้ว สิ่งที่เห็น มันจะเทียบไม่ได้เลย ความเสียหายขั้นสูงสุด ที่เหี้ยจะเจอ หากล่อมันกลับที่ YELLOW STONE อเมริกาจะฉิบหายทั้งแผ่นดิน อะไรที่เกิดขึ้นทั่วโลก มรึงว่ามันปกติงั้นเหรอ? ใช้สติ ใช้ปัญญา ดูก็รู้ ว่ามันเกิดจากอะไร? ไฟ่ป่าเหรอ สึนามิเหรอ แผ่นดินไหวเหรอ โลกยุคดิจิตอล ที่เอาอาวุธร้ายแรงไปไว้บนอวกาศได้ มันทำได้หมดมากกว่าที่มรึงคิด รัสเซีย จีน มีเทคโนโลยีสูงกว่ามรึงเยอะ ทำได้รุนแรงกว่ามรึง 100 เท่า แต่ที่ไม่ทำ เพราะ "ศีลมันต่างกัน" คนตายเป็นล้านน่ะมรึง หากโดนเข้าเต็มตรีน เพราะนี่คือสิ่งที่ยิวเหี้ยมันต้องการ "WWIII" ไงล่ะ เห็นยังล่ะว่า เดินแต่ก้าวไม่ง่าย เพราะอีกฝ่ายมันจ้องจะทำลายล้างมนุษยชาติอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป เกมส์จะมันส์สุดติ่งกระดิ่งเหี้ย เมษาเลือดมาแน่ ไม่ว่าจะภายใน ภายนอก ระอุ ดุเดือด อุทกภัยที่มรึงไม่เคยเจอ จะดาหน้ามาหมด แบบบังเอิญอีกแล้วครับท่าน อาวุธเทคโนโลยี จะถูกงัดมาใช้เพื่องานนี้ และมรึงจะได้เห็นแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ของจีน รัสเซีย ในเวลานั้นแหละ เปิดที เหี้ยขี้แตก! กทม.ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาดนี้มานานมากแล้ว ครั้งนี้ มันตั้งใจ นั่นคือสัญญานที่ดี ว่าไทยเราได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว เคยบอกไปแล้ว มรึงควรจะดีใจ เรายอมแลก ก็เพื่อดินแดนสุวรรณภูมิ อย่ากลัวเหี้ย นี่มันยุคสุดท้ายแล้ว เหี้ยต่างหากที่ต้องกลัวมรึง คนดี คนกล้า ไม่กลัวเหี้ย คนชั่วจะหดหัวเอง เพราะมันกลัวคนจริง มันกลัวหัวใจที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ศรัทธาเดียว สิ่งที่ซาตานกลัวที่สุด! จากนี้ รอดูการตอบโต้กลับบ้าง อย่ากระพริบตา เกมส์นี้ระดับโลก อย่ามาเสียเวลากับละครปาหี่ ขี้หมา การ์ตูนเล่มละบาทอีกต่อไป ชีวิตมรึงและกู และชาวอโยธยาทั้งหมด ขึ้นอยู่กับชัยชนะของขั้วใหม่เต็มตรีน รออะไรล่ะ ตามเค้าไป แล้วใส่ให้สุด วังนำ ชนะแน่ กองทัพเป็นของพระเจ้าอยู่หัว กูการันตี 1000000% เกมส์โลกต้องเด็ดขาด โลกสวยไม่ได้ อาเซียนคุยกันแน่ และจากนี้ จะรวมมือกันอย่างเสียมิได้ มรึงจ้องเล่นสะกายกูเหรอ เดี๋ยวกูก็ล่อหินเหลืองมรึงกลับบ้าง อย่าร้องขอชีวิตน่ะมรึง?

    หมี CNN(ไม่รีบ รอควันจาง มรึงจะเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดเอง ที่มา ที่ไป แล้วทำไมต้องสะกาย มันสอดคล้องกับหน่วยข่าวกรอง ความมั่นคง ใครที่มีอายุเกิน 40 ขึ้นไป มรึงจะรู้ดี ว่าไม่มีทางที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเองได้ดอก หากไม่มีคลื่นแม่เหล็กไปกระตุ้นแกนโลก และใช้พลังงานมหาศาล เป้าหมายคือพม่า และเส้นรอยแยกเปลือกสะกายผ่านอาเซียนเต็มตรีน ใครมันจะทำ หากไม่จนตรอกขั้นสูงสุดขนาดนี้ ตกผลึกแล้ว ถึงได้เอามาชี้เป้าให้มรึงดู เพราะคิดถึงความบังเอิญ 108 1009 แต่คำตอบที่ได้คือ "ไม่มี" การเมืองโลกมาเต็ม ทุกอย่างถูกวางแผนมานานแล้ว มันถึงต้องการกงศุลใหญ่ใหม่ ที่สามารถเข้าใกล้จีน พม่า ให้มากที่สุด ไส้ศึกมันมี สายลับก็มา รู้กันหมด)
    29 มีนาคม 68
    11.05 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    29-03-68/01 : หมี CNN / "เสือกเฉพาะเรื่อง" EP3 (ไม่ต้องถาม..ซัดเลยล่ะกัน) มรึงโดนแน่ YELLOW STONE ไอ้สัส! อย่าคิดว่าเค้าไม่รู้? สะกายเหรอ? รอยเปลือกแยกอาเซียนเหรอ? มรึงตั้งใจจะล่ออาเซียนเพื่อสกัดจีนผนวก ล่อพม่า หวังกระทบทั้งอาเซียน หลายครั้งที่มรึงเลือกลงมือก่อนเมษายน เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว เม็ดเงินเข้าอาเซียนถล่มทลาย ทำลายเศรษฐกิจทั้งอาเซียน เพื่อดึงโลกเข้าสู่สงคราม เหตุผลง่ายๆ คือ มรึงแพ้ยับในสมรภูมิจริง ทั้งยูเครน แอฟริกา และเยรูซาเล็ม มรึงแพ้ยับทั้งสงครามการค้า เพราะโลกหันไปเข้า BRICS กันหมด จับมือจีน รัสเซีย ผู้นำโลกใหม่ มรึงแพ้ยับทั้งเวทีโลก และความเชื่อมั่นนักลงทุน มรึงไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีอะไรจะเสีย มุกเดิมเหี้ยจะทำอะไรได้อีก หากไม่ใช้ไวรัสระบาด หรือก่อเหตุอุทกภัยอย่างที่เคยทำมา หมายังเดาได้? ระดับหน่วยข่าวกรอง เค้ารู้ล่วงหน้าแล้ว โป๊ะมาแตก ศูนย์กลางแผ่นดินไหวใหญ่อยู่ที่พม่า แล้วอะไรอยู่ใกล้แถวนั้นล่ะ กงศุลใหญ่เหี้ยมะกันในเชียงใหม่ไงล่ะ ที่มาว่าทำไม มรึงถึงต้องขุดดินลึกลงไปกว่า 200 เมตร กงศุลบ้านพ่องดิ ต้องลึกขนาดนั้นเพื่อ? ไม่ต้องแถ ไม่ต้องอ้าง มรึงฝังเหี้ยอะไรเอาไว้กันล่ะ? ไม่ต้องมโน ไม่ต้องเดา มันผิดปกติอยู่แล้วที่สร้างกงศุลใหญ่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกจีนสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันที่เฉิงตู ทำให้มรึงหน้ามืด ตาบอดทันที ไม่รู้ข่าวสารจีนอะไรอีกเลย นับแต่นั้น ที่มาว่าพยายามสร้างกงศุลใหญ่ใหม่ใกล้จีน พม่า ไงล่ะ จีนยังสั่งปิดกงศุลใหญ่เหี้ยได้ ทำไม เราจะทำไม่ได้? กงศุลมรึงไม่ได้มีแค่ที่เชียงใหม่ กทม.ก็ยังอยู่ แก้ตรงจุด สั่งปิดกงศุลใหญ่ที่เชียงใหม่ปุ๊บ แผ่นดินไหวหายวับทันตาทันที กูท้ามรึงเลย? แต่อย่าหวังอีรัฐบาลเถื่อนขี้ข้าวอชิงตันชุดนี้เลย ถึงเวลายัง ที่กองทัพจะออกตัว ประชาชนตามติด วังนำหน้า แม่ทัพใหญ่ของกองทัพไทย เมื่อเลือกข้างแล้ว ก็ต้องเล่นบทให้สุดซอย ยุคพระเดชถึงจะมาเต็มตรีน ความเสียหายที่เห็นนี้ ยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่อีกงศุลใหญ่เหี้ยมะกันยังเสนอหน้าอยู่ที่เชียงใหม่ ขนาดกูยังรู้ หน่วยความมั่นคง หน่วยข่าวกรองทำไมไม่รู้ มันผิดสังเกตุมาตั้งแต่สร้างใหญ่อลังการ และควบคุมการสร้างเอง โดยไม่ให้ใครเสือก เจ้าหน้าที่คุมก่อสร้างก็ไม่ให้คนไทยยุ่ง มันชัดซะยิ่งกว่าชัด? ใครก็รู้ ว่ามรึงทำอะไร แต่ปล่อยให้มันทำ จนได้เห็นเต็มตาวันนี้ไงล่ะ กระทบแผ่นดิน มรึงจะให้มันอยู่ต่อมั้ยล่ะ จะเก็บไอ้อีเหี้ยไปอีกนานแค่ไหน คำตอบอยู่ที่ "ศรีธนญชัย" เพราะเค้าประสานกับกุนซือ เกจิ จีน รัสเซีย ไว้แล้ว สิ่งที่เห็น มันจะเทียบไม่ได้เลย ความเสียหายขั้นสูงสุด ที่เหี้ยจะเจอ หากล่อมันกลับที่ YELLOW STONE อเมริกาจะฉิบหายทั้งแผ่นดิน อะไรที่เกิดขึ้นทั่วโลก มรึงว่ามันปกติงั้นเหรอ? ใช้สติ ใช้ปัญญา ดูก็รู้ ว่ามันเกิดจากอะไร? ไฟ่ป่าเหรอ สึนามิเหรอ แผ่นดินไหวเหรอ โลกยุคดิจิตอล ที่เอาอาวุธร้ายแรงไปไว้บนอวกาศได้ มันทำได้หมดมากกว่าที่มรึงคิด รัสเซีย จีน มีเทคโนโลยีสูงกว่ามรึงเยอะ ทำได้รุนแรงกว่ามรึง 100 เท่า แต่ที่ไม่ทำ เพราะ "ศีลมันต่างกัน" คนตายเป็นล้านน่ะมรึง หากโดนเข้าเต็มตรีน เพราะนี่คือสิ่งที่ยิวเหี้ยมันต้องการ "WWIII" ไงล่ะ เห็นยังล่ะว่า เดินแต่ก้าวไม่ง่าย เพราะอีกฝ่ายมันจ้องจะทำลายล้างมนุษยชาติอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป เกมส์จะมันส์สุดติ่งกระดิ่งเหี้ย เมษาเลือดมาแน่ ไม่ว่าจะภายใน ภายนอก ระอุ ดุเดือด อุทกภัยที่มรึงไม่เคยเจอ จะดาหน้ามาหมด แบบบังเอิญอีกแล้วครับท่าน อาวุธเทคโนโลยี จะถูกงัดมาใช้เพื่องานนี้ และมรึงจะได้เห็นแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ของจีน รัสเซีย ในเวลานั้นแหละ เปิดที เหี้ยขี้แตก! กทม.ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาดนี้มานานมากแล้ว ครั้งนี้ มันตั้งใจ นั่นคือสัญญานที่ดี ว่าไทยเราได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว เคยบอกไปแล้ว มรึงควรจะดีใจ เรายอมแลก ก็เพื่อดินแดนสุวรรณภูมิ อย่ากลัวเหี้ย นี่มันยุคสุดท้ายแล้ว เหี้ยต่างหากที่ต้องกลัวมรึง คนดี คนกล้า ไม่กลัวเหี้ย คนชั่วจะหดหัวเอง เพราะมันกลัวคนจริง มันกลัวหัวใจที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ศรัทธาเดียว สิ่งที่ซาตานกลัวที่สุด! จากนี้ รอดูการตอบโต้กลับบ้าง อย่ากระพริบตา เกมส์นี้ระดับโลก อย่ามาเสียเวลากับละครปาหี่ ขี้หมา การ์ตูนเล่มละบาทอีกต่อไป ชีวิตมรึงและกู และชาวอโยธยาทั้งหมด ขึ้นอยู่กับชัยชนะของขั้วใหม่เต็มตรีน รออะไรล่ะ ตามเค้าไป แล้วใส่ให้สุด วังนำ ชนะแน่ กองทัพเป็นของพระเจ้าอยู่หัว กูการันตี 1000000% เกมส์โลกต้องเด็ดขาด โลกสวยไม่ได้ อาเซียนคุยกันแน่ และจากนี้ จะรวมมือกันอย่างเสียมิได้ มรึงจ้องเล่นสะกายกูเหรอ เดี๋ยวกูก็ล่อหินเหลืองมรึงกลับบ้าง อย่าร้องขอชีวิตน่ะมรึง? หมี CNN(ไม่รีบ รอควันจาง มรึงจะเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดเอง ที่มา ที่ไป แล้วทำไมต้องสะกาย มันสอดคล้องกับหน่วยข่าวกรอง ความมั่นคง ใครที่มีอายุเกิน 40 ขึ้นไป มรึงจะรู้ดี ว่าไม่มีทางที่แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเองได้ดอก หากไม่มีคลื่นแม่เหล็กไปกระตุ้นแกนโลก และใช้พลังงานมหาศาล เป้าหมายคือพม่า และเส้นรอยแยกเปลือกสะกายผ่านอาเซียนเต็มตรีน ใครมันจะทำ หากไม่จนตรอกขั้นสูงสุดขนาดนี้ ตกผลึกแล้ว ถึงได้เอามาชี้เป้าให้มรึงดู เพราะคิดถึงความบังเอิญ 108 1009 แต่คำตอบที่ได้คือ "ไม่มี" การเมืองโลกมาเต็ม ทุกอย่างถูกวางแผนมานานแล้ว มันถึงต้องการกงศุลใหญ่ใหม่ ที่สามารถเข้าใกล้จีน พม่า ให้มากที่สุด ไส้ศึกมันมี สายลับก็มา รู้กันหมด) 29 มีนาคม 68 11.05 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ใช้อำนาจให้อภัยโทษ (pardons) ให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล BitMEX ซึ่งได้แก่ Benjamin Delo, Arthur Hayes และ Samuel Reed โดยทั้งสามเคยรับสารภาพในปี 2022 ถึงความผิดฐานละเมิดกฎหมาย Bank Secrecy Act ระหว่างปี 2015 ถึง 2020 ที่เกี่ยวข้องกับการไม่จัดทำโปรแกรมป้องกันการฟอกเงินและระบบ "รู้จักลูกค้า" (Know Your Customer หรือ KYC)

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Crypto:
    - การให้อภัยโทษเกิดขึ้นในช่วงที่มีความหวังในวงการคริปโตเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลที่ผ่อนคลายมากขึ้นภายใต้ทรัมป์ ซึ่งเคยมีการสนับสนุนผู้บริจาคจากวงการคริปโตในช่วงหาเสียง.

    ข้อกล่าวหาในอดีต:
    - ผู้ก่อตั้ง BitMEX ถูกกล่าวหาว่าตั้งใจละเมิดกฎหมายระหว่างปี 2015-2020 โดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านแพลตฟอร์ม.

    การให้อภัยโทษเพิ่มเติม:
    - ทรัมป์ยังได้ให้อภัยโทษ Trevor Milton ผู้ก่อตั้งบริษัท Nikola ซึ่งล้มละลายและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง.

    มุมมองในเชิงนโยบาย:
    - การตัดสินใจนี้อาจแสดงถึงความพยายามของทรัมป์ในการสร้างความเชื่อมั่นกับวงการเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/trump-pardoned-bitmex-co-founders-white-house-official-says
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ใช้อำนาจให้อภัยโทษ (pardons) ให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล BitMEX ซึ่งได้แก่ Benjamin Delo, Arthur Hayes และ Samuel Reed โดยทั้งสามเคยรับสารภาพในปี 2022 ถึงความผิดฐานละเมิดกฎหมาย Bank Secrecy Act ระหว่างปี 2015 ถึง 2020 ที่เกี่ยวข้องกับการไม่จัดทำโปรแกรมป้องกันการฟอกเงินและระบบ "รู้จักลูกค้า" (Know Your Customer หรือ KYC) ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Crypto: - การให้อภัยโทษเกิดขึ้นในช่วงที่มีความหวังในวงการคริปโตเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลที่ผ่อนคลายมากขึ้นภายใต้ทรัมป์ ซึ่งเคยมีการสนับสนุนผู้บริจาคจากวงการคริปโตในช่วงหาเสียง. ข้อกล่าวหาในอดีต: - ผู้ก่อตั้ง BitMEX ถูกกล่าวหาว่าตั้งใจละเมิดกฎหมายระหว่างปี 2015-2020 โดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านแพลตฟอร์ม. การให้อภัยโทษเพิ่มเติม: - ทรัมป์ยังได้ให้อภัยโทษ Trevor Milton ผู้ก่อตั้งบริษัท Nikola ซึ่งล้มละลายและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง. มุมมองในเชิงนโยบาย: - การตัดสินใจนี้อาจแสดงถึงความพยายามของทรัมป์ในการสร้างความเชื่อมั่นกับวงการเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/trump-pardoned-bitmex-co-founders-white-house-official-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump pardoned BitMEX co-founders, White House official says
    (Reuters) -U.S. President Donald Trump has pardoned the three co-founders of cryptocurrency exchange BitMEX, a White House official said on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • 35 ปี ตึกร้างผีสิง “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ร่องรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่… ไร้รอยฝุ่นฟุ้งแผ่นดินไหว 🏚️

    🏙️ เมื่อสถานที่กลายเป็น ร่องรอยของเหตุการณ์ในอดีต สถานที่บางแห่ง ถูกสร้างขึ้นเพื่อจดจำสิ่งยิ่งใหญ่ เช่น รูปปั้นเทพีเสรีภาพของอเมริกา หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทย แต่บางครั้งสถานที่กลับกลายเป็น "ร่องรอยที่ไม่มีใครอยากจดจำ" อย่างเช่น ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ (Sathorn Unique Tower) ที่ไม่ได้ตั้งอยู่เพื่อเป็นอนุสรณ์ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นเอกของ วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 🕰️

    🌉 Sathorn Unique Tower:ความหวังระดับลักซ์ชัวรี่ใจกลางกรุง ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทย เฟื่องฟูแบบก้าวกระโดด โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู ผุดขึ้นทั่วเมืองกรุง หนึ่งในนั้นคือ “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ที่ออกแบบโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังดีไซน์ของ State Tower ที่โด่งดังเช่นกัน

    ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นคอนโดฯ สไตล์โรมันสูง 49 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน 2 ชั้น บนความสูง 185 เมตร 🏢 รวมทั้งหมด 600 ยูนิต มูลค่าลงทุนมากถึง 1,800 ล้านบาท เป้าหมายคือการเป็นแลนด์มาร์กสุดหรู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    🏗️ โครงการในฝัน กลายเป็นฝันร้าย? แม้จะมีเงินลงทุนจากพรีเซลล์ และบริษัทร่วมทุน แต่ก็ยังไม่พอ จึงต้องพึ่งพาเงินกู้จาก บริษัทหลักทรัพย์ไทยเม็กซ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทันทีที่เจ้าของโครงการ ถูกกล่าวหาคดีอาญาเรื่องจ้างวานฆ่า ซึ่งภายหลังถูกยกฟ้อง ก็ส่งผลให้สถาบันการเงิน “เบรก” การปล่อยกู้ทันที 😨

    แม้จะฟื้นคืนการเงินได้ในภายหลัง แต่ “ความเชื่อมั่น” ก็ไม่กลับมาอีกเลย…

    📉 วิกฤตต้มยำกุ้ง จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจที่ทำให้ตึกหยุดสร้าง

    🔍 พื้นหลังเศรษฐกิจไทยยุคทอง ก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 9% ต่อปี เงินทุนไหลเข้ามหาศาล ดอกเบี้ยในประเทศสูง ต่างชาติแห่ลงทุน ธนาคารไทยเองก็ขยายเครดิตอย่างหนัก 🏦

    มีการตั้ง BIBF เพื่อปล่อยกู้เงินต่างประเทศ เข้ามาภายในประเทศ แต่บริษัทส่วนใหญ่กลับกู้ระยะสั้น ทั้งที่อสังหาฯ ต้องใช้เงินระยะยาว ระบบเศรษฐกิจ "เติบโตเกินจริง" หรือ Overextended

    เมื่อค่าเงินบาทถูก "ลอยตัว" จาก 25 บาท/ดอลลาร์ ไปแตะ 50 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาคเอกชนต้องใช้หนี้เพิ่มขึ้น “เท่าตัว” โดยไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น

    🧨 เมื่อฟองสบู่แตก บริษัทเงินทุนล่มสลาย ปี 2540 รัฐบาลประกาศปิดบริษัทเงินทุนกว่า 50 แห่ง รวมถึง ไทยเม็กซ์
    โครงการสาธร ยูนีค ที่เดินหน้าไปแล้ว 80% ก็ต้องหยุดกะทันหัน ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่น และต้นทุนกู้ยืมที่สูงเกินรับไหว

    👻 จาก “สาธร ยูนีค” สู่ “Ghost Tower” ตำนานความหลอนใจกลางเมือง หลังจากการก่อสร้างถูกปล่อยทิ้งร้าง ตึกนี้ก็เริ่มเสื่อมโทรมตามกาลเวลา และเพราะเป็นตึกสูงใหญ่โดดเด่นที่ "ไม่เสร็จ" ผู้คนก็เริ่มแต่งเรื่องลี้ลับขึ้นมา…

    💀 ข่าวลือที่สร้างชื่อเสียงแบบไม่ตั้งใจ บางคนเชื่อว่า ตึกสร้างไม่เสร็จเพราะอาถรรพ์ บ้างลือว่าตึกนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่สุสานเก่า มีข่าวลือถึงการเสียชีวิตปริศนาในตึก

    🎥 ในปี 2557 มีเหตุสลดจริง เมื่อพบศพชายชาวสวีเดน แขวนคอในตึกดังกล่าว ทำให้ทางเจ้าของตึกแจ้งความ และมีการ “ปิดทางเข้า” ไม่ให้คนภายนอกเข้าไปอีก

    อย่างไรก็ตาม ภาพจากตึกนี้ยังคงปรากฏในหนังหลายเรื่อง เช่น “เพื่อน…ที่ระลึก” ที่ตีแผ่ความหลอนจากวิกฤตเศรษฐกิจและการพลัดพราก 🕯️

    💡 ทำไมถึงขายไม่ได้? ราคาพุ่งจาก 3,000 ล้าน สู่ 4,000 ล้าน

    📌 ต้นทุนที่ยังค้างคา เจ้าของคนปัจจุบันคือ นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชาย ผศ.รังสรรค์ ยืนยันว่า จะขายตึกในราคาที่สามารถคืนทุนทั้งหมด และคืนเงินให้กับผู้ที่ซื้อพรีเซลล์ไว้แล้วกว่า 90%

    ปัจจุบันราคาตึกตั้งไว้ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินกว่าที่นักลงทุนรายใหม่จะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างห้องในอดีตเน้น “ขนาดใหญ่” ซึ่งสวนทางกับเทรนด์ห้องยุคปัจจุบัน ที่ต้องการห้องขนาดกะทัดรัด 😕

    🧱 แต่… “Ghost Tower” แข็งแรงกว่าที่คิด! 🌍 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ขายตึกนี้ในราคา 4,000 ล้านบาท พร้อมข้อมูลว่า…

    ❗ "แม้จะเกิดแผ่นดินไหว แต่โครงสร้างตึก ไม่กระทบเลยแม้แต่น้อย"

    ทำให้มีคนเริ่มสนใจตึกนี้ในฐานะ “อสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแรง และโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม” อีกครั้ง ตึกนี้ไม่เพียงรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยัง "ยืนหยัดท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากธรรมชาติ" ได้อีกด้วย 💪🌎

    🧠 “สาธร” หรือ “สาทร” สรุปใช้คำไหนกันแน่? แม้ตึกจะใช้ชื่อว่า “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ตามชื่อบริษัทที่จดทะเบียน แต่ในความเป็นจริง ชื่อเขตที่ตั้งควรสะกดว่า “สาทร” โดยมีที่มาทางประวัติศาสตร์ดังนี้

    “สาทร” มาจาก หลวงสาทรราชายุตก์ ผู้สร้างถนนและคลองในยุค ร.5 เอกสารราชการในยุค ร.6 ใช้คำว่า “สาทร” อย่างชัดเจน ปัจจุบันการสะกดผิดพลาด และใช้คำว่า “สาธร” แพร่หลาย

    ราชบัณฑิตยสถานจึงแนะนำให้ใช้คำว่า “สาทร” เพื่อความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ 📜

    🎬 "Sathorn Unique Tower" แลนด์มาร์กของ “อดีต” ที่ยังยืนอยู่ใน “ปัจจุบัน” แม้จะผ่านเวลามาแล้ว 35 ปี ตึกแห่งนี้ยังคงตั้งตระหง่าน อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้เพียงเป็นตึกร้าง แต่กลายเป็น สัญลักษณ์ของบทเรียนเศรษฐกิจ กลายเป็น แลนด์มาร์กแห่งความทรงจำ และอาจเป็น “โอกาสใหม่” ที่รอเพียงการตีความใหม่อีกครั้ง ในอนาคต…

    🔚 "ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์" อดีตที่ยัง “ยืนอยู่” ตึกนี้คือบทเรียนทางเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม
    ที่ยังไม่จบ… และอาจเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” หากมีใครกล้าคิด…ต่าง 💡

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 301305 มี.ค. 2568

    🏷️ #ตึกสาธรยูนีค #GhostTower #วิกฤตต้มยำกุ้ง #ตึกร้างกรุงเทพ #อสังหาริมทรัพย์ไทย #สถานที่หลอน #ตึกผีสิง #กรุงเทพมหานคร #SathornUniqueTower #ตำนานเมืองกรุง
    35 ปี ตึกร้างผีสิง “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ร่องรอยวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่… ไร้รอยฝุ่นฟุ้งแผ่นดินไหว 🏚️ 🏙️ เมื่อสถานที่กลายเป็น ร่องรอยของเหตุการณ์ในอดีต สถานที่บางแห่ง ถูกสร้างขึ้นเพื่อจดจำสิ่งยิ่งใหญ่ เช่น รูปปั้นเทพีเสรีภาพของอเมริกา หรืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทย แต่บางครั้งสถานที่กลับกลายเป็น "ร่องรอยที่ไม่มีใครอยากจดจำ" อย่างเช่น ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ (Sathorn Unique Tower) ที่ไม่ได้ตั้งอยู่เพื่อเป็นอนุสรณ์ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นเอกของ วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 🕰️ 🌉 Sathorn Unique Tower:ความหวังระดับลักซ์ชัวรี่ใจกลางกรุง ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทย เฟื่องฟูแบบก้าวกระโดด โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู ผุดขึ้นทั่วเมืองกรุง หนึ่งในนั้นคือ “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ที่ออกแบบโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดัง ผู้อยู่เบื้องหลังดีไซน์ของ State Tower ที่โด่งดังเช่นกัน ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ เป็นคอนโดฯ สไตล์โรมันสูง 49 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน 2 ชั้น บนความสูง 185 เมตร 🏢 รวมทั้งหมด 600 ยูนิต มูลค่าลงทุนมากถึง 1,800 ล้านบาท เป้าหมายคือการเป็นแลนด์มาร์กสุดหรู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 🏗️ โครงการในฝัน กลายเป็นฝันร้าย? แม้จะมีเงินลงทุนจากพรีเซลล์ และบริษัทร่วมทุน แต่ก็ยังไม่พอ จึงต้องพึ่งพาเงินกู้จาก บริษัทหลักทรัพย์ไทยเม็กซ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทันทีที่เจ้าของโครงการ ถูกกล่าวหาคดีอาญาเรื่องจ้างวานฆ่า ซึ่งภายหลังถูกยกฟ้อง ก็ส่งผลให้สถาบันการเงิน “เบรก” การปล่อยกู้ทันที 😨 แม้จะฟื้นคืนการเงินได้ในภายหลัง แต่ “ความเชื่อมั่น” ก็ไม่กลับมาอีกเลย… 📉 วิกฤตต้มยำกุ้ง จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจที่ทำให้ตึกหยุดสร้าง 🔍 พื้นหลังเศรษฐกิจไทยยุคทอง ก่อนปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 9% ต่อปี เงินทุนไหลเข้ามหาศาล ดอกเบี้ยในประเทศสูง ต่างชาติแห่ลงทุน ธนาคารไทยเองก็ขยายเครดิตอย่างหนัก 🏦 มีการตั้ง BIBF เพื่อปล่อยกู้เงินต่างประเทศ เข้ามาภายในประเทศ แต่บริษัทส่วนใหญ่กลับกู้ระยะสั้น ทั้งที่อสังหาฯ ต้องใช้เงินระยะยาว ระบบเศรษฐกิจ "เติบโตเกินจริง" หรือ Overextended เมื่อค่าเงินบาทถูก "ลอยตัว" จาก 25 บาท/ดอลลาร์ ไปแตะ 50 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ภาคเอกชนต้องใช้หนี้เพิ่มขึ้น “เท่าตัว” โดยไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น 🧨 เมื่อฟองสบู่แตก บริษัทเงินทุนล่มสลาย ปี 2540 รัฐบาลประกาศปิดบริษัทเงินทุนกว่า 50 แห่ง รวมถึง ไทยเม็กซ์ โครงการสาธร ยูนีค ที่เดินหน้าไปแล้ว 80% ก็ต้องหยุดกะทันหัน ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่น และต้นทุนกู้ยืมที่สูงเกินรับไหว 👻 จาก “สาธร ยูนีค” สู่ “Ghost Tower” ตำนานความหลอนใจกลางเมือง หลังจากการก่อสร้างถูกปล่อยทิ้งร้าง ตึกนี้ก็เริ่มเสื่อมโทรมตามกาลเวลา และเพราะเป็นตึกสูงใหญ่โดดเด่นที่ "ไม่เสร็จ" ผู้คนก็เริ่มแต่งเรื่องลี้ลับขึ้นมา… 💀 ข่าวลือที่สร้างชื่อเสียงแบบไม่ตั้งใจ บางคนเชื่อว่า ตึกสร้างไม่เสร็จเพราะอาถรรพ์ บ้างลือว่าตึกนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่สุสานเก่า มีข่าวลือถึงการเสียชีวิตปริศนาในตึก 🎥 ในปี 2557 มีเหตุสลดจริง เมื่อพบศพชายชาวสวีเดน แขวนคอในตึกดังกล่าว ทำให้ทางเจ้าของตึกแจ้งความ และมีการ “ปิดทางเข้า” ไม่ให้คนภายนอกเข้าไปอีก อย่างไรก็ตาม ภาพจากตึกนี้ยังคงปรากฏในหนังหลายเรื่อง เช่น “เพื่อน…ที่ระลึก” ที่ตีแผ่ความหลอนจากวิกฤตเศรษฐกิจและการพลัดพราก 🕯️ 💡 ทำไมถึงขายไม่ได้? ราคาพุ่งจาก 3,000 ล้าน สู่ 4,000 ล้าน 📌 ต้นทุนที่ยังค้างคา เจ้าของคนปัจจุบันคือ นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ บุตรชาย ผศ.รังสรรค์ ยืนยันว่า จะขายตึกในราคาที่สามารถคืนทุนทั้งหมด และคืนเงินให้กับผู้ที่ซื้อพรีเซลล์ไว้แล้วกว่า 90% ปัจจุบันราคาตึกตั้งไว้ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินกว่าที่นักลงทุนรายใหม่จะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างห้องในอดีตเน้น “ขนาดใหญ่” ซึ่งสวนทางกับเทรนด์ห้องยุคปัจจุบัน ที่ต้องการห้องขนาดกะทัดรัด 😕 🧱 แต่… “Ghost Tower” แข็งแรงกว่าที่คิด! 🌍 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรายหนึ่ง ออกมาโพสต์ขายตึกนี้ในราคา 4,000 ล้านบาท พร้อมข้อมูลว่า… ❗ "แม้จะเกิดแผ่นดินไหว แต่โครงสร้างตึก ไม่กระทบเลยแม้แต่น้อย" ทำให้มีคนเริ่มสนใจตึกนี้ในฐานะ “อสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแรง และโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม” อีกครั้ง ตึกนี้ไม่เพียงรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ยัง "ยืนหยัดท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจากธรรมชาติ" ได้อีกด้วย 💪🌎 🧠 “สาธร” หรือ “สาทร” สรุปใช้คำไหนกันแน่? แม้ตึกจะใช้ชื่อว่า “สาธร ยูนีค ทาวเวอร์” ตามชื่อบริษัทที่จดทะเบียน แต่ในความเป็นจริง ชื่อเขตที่ตั้งควรสะกดว่า “สาทร” โดยมีที่มาทางประวัติศาสตร์ดังนี้ “สาทร” มาจาก หลวงสาทรราชายุตก์ ผู้สร้างถนนและคลองในยุค ร.5 เอกสารราชการในยุค ร.6 ใช้คำว่า “สาทร” อย่างชัดเจน ปัจจุบันการสะกดผิดพลาด และใช้คำว่า “สาธร” แพร่หลาย ราชบัณฑิตยสถานจึงแนะนำให้ใช้คำว่า “สาทร” เพื่อความถูกต้องตามประวัติศาสตร์ 📜 🎬 "Sathorn Unique Tower" แลนด์มาร์กของ “อดีต” ที่ยังยืนอยู่ใน “ปัจจุบัน” แม้จะผ่านเวลามาแล้ว 35 ปี ตึกแห่งนี้ยังคงตั้งตระหง่าน อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ได้เพียงเป็นตึกร้าง แต่กลายเป็น สัญลักษณ์ของบทเรียนเศรษฐกิจ กลายเป็น แลนด์มาร์กแห่งความทรงจำ และอาจเป็น “โอกาสใหม่” ที่รอเพียงการตีความใหม่อีกครั้ง ในอนาคต… 🔚 "ตึกสาธร ยูนีค ทาวเวอร์" อดีตที่ยัง “ยืนอยู่” ตึกนี้คือบทเรียนทางเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม ที่ยังไม่จบ… และอาจเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” หากมีใครกล้าคิด…ต่าง 💡 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 301305 มี.ค. 2568 🏷️ #ตึกสาธรยูนีค #GhostTower #วิกฤตต้มยำกุ้ง #ตึกร้างกรุงเทพ #อสังหาริมทรัพย์ไทย #สถานที่หลอน #ตึกผีสิง #กรุงเทพมหานคร #SathornUniqueTower #ตำนานเมืองกรุง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหล็กจีนทำลายโลกประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีนทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอมในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิตคาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาวตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีนปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐานผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมากข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน**งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้วส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใครตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย.เดชา นฤนารท.29/3/68 11.20 น.
    เหล็กจีนทำลายโลกประเด็นตึกถล่ม จากบริษัทจีนที่ร่วมมือกับบริษัทอิตาเลียนไทย ยังดูเล็กไป ถ้าคนไทยตื่นรู้ความจริงว่า รัฐบาลจีนได้เข้าทะลายโรงงานผลิตเหล็กปลอมจำนวนมากหลายแห่งในประเทศจีนทำให้รัฐบาลจีนสูญเสียรายได้ไปมากถึงกว่า 2.4ล้านล้านเหรียญ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญในการก่อสร้างของจีนเสียหายไปหลายแห่ง และทำให้จีนเสื่อมเสียความเชื่อมั่นไปทั่วโลก จากการส่งออกเหล็กปลอมในปีที่แล้ว สีจิ้นผิง ใช้ไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่ทุกมลฑล เข้ากรวดล้างโรงงานผลิตเหล็กเถื่อนกว่า500แห่ง จนราบคาบ กลายเป็นโรงงานร้าง และดำเนินคดีเจ้าของโรงงานด้วยการสั่งประหาร และจำคุกตลอดชีวิตคาดกันว่ายังมีเหล็กปลอมจากจีนกว่า 60 ล้านตัน หลุดออกไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ได้ใส่ใจและมีการคอรัปชั่นสูง เช่น ไทย เมียนมาร์ สปป.ลาวตึกถล่มในไทย เป็นผลงานการก่อสร้างจากกลุ่มบริษัทเดียวกันที่คานเหล็กถล่มลงมาในการก่อสร้างที่ถนนพระราม2และยังมีคอนโดหรูอีกหลายแห่ง ที่ใช้บริการเหล็กปลอมจากจีนปีที่แล้วก็เกิดคานเหล็กร่วงลงมาบ่อยมาก จากการก่อสร้างรถไฟภายใน กทม.เพราะเหล็กไม่ได้มาตรฐานผลจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคในเมียนมาร์ หลังเกิดแผ่นดินไหว ตึกอาคาร บ้านเรือน วัด แม้ไม่ได้สร้างให้สูง ก็พังถล่มลงมาจำนวนมากข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปถึงประเทศจีน คนจีนหลายล้านคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า **นั่นมันต้องเกิดจากเหล็กปลอมที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนแน่นอน**งานนี้บริษัทรับเหมาของบริษัทจีนกับอิตาเลียนไทย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป เพราะเสียเครดิตไปหมดแล้วส่วนข้าราชการไทยกับนักการเมืองไทย ก็จะโบ้ยโทษกันไปมาเหมือนเคย และจะไม่มีใครมาสนใจเหล็กปลอมกว่า 60 ล้านตันของจีน ว่าแจกพรอตมันจะหล่นไปตรงใส่หัวของใครตึก สนง.ของ สตช.ถล่ม แน่นอนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก็จะตายตามไปด้วย.เดชา นฤนารท.29/3/68 11.20 น.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย

    📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ

    🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ

    เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳

    📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀

    จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน

    แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ

    ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ

    📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต
    🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น.
    - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ
    - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ
    - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน
    - ผู้สูญหาย 47 คน
    - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน

    การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D
    📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย
    📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย
    📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย

    การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย

    💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว

    🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร

    👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ

    โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง

    🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน

    โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น
    - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน”
    - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form)
    - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ
    - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว

    👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น...

    🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน
    - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้

    - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง”

    - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น

    🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง
    – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

    – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

    – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก

    ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด

    หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568

    🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย 📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ 🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳 📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀 จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ 📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต 🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น. - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน - ผู้สูญหาย 47 คน - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D 📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย 📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย 📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย 💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว 🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร 👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง 🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน” - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form) - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว 👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น... 🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้ - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น 🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568 🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 0 รีวิว
  • FBI กำลังสอบสวนเหตุการณ์แฮกระบบของ Oracle ที่ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยถูกขโมยและใช้ในการเรียกเงินจากผู้ให้บริการสุขภาพ โดยเหตุเกิดจากการใช้บัญชีผู้ใช้ที่ถูกขโมย Oracle ระบุว่าข้อมูลที่ได้รับผลกระทบมาจากระบบเก่าของ Cerner และกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    ข้อมูลที่ได้รับผลกระทบ:
    - ข้อมูลผู้ป่วยถูกขโมยจากเซิร์ฟเวอร์ Cerner ซึ่งเป็นบริษัทที่ Oracle เข้าซื้อกิจการในปี 2022 ระบบที่ถูกโจมตีเป็นระบบที่ยังไม่ได้ถูกย้ายไปยังบริการคลาวด์ของ Oracle.

    จุดอ่อนที่แฮกเกอร์ใช้โจมตี:
    - บริษัทแจ้งว่าผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยใช้ข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานที่ถูกขโมย ซึ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการปกป้องข้อมูลเข้าสู่ระบบ.

    ผลกระทบในวงกว้าง:
    - Oracle มีลูกค้าในแวดวงการแพทย์เป็นจำนวนมาก หลังการซื้อ Cerner รวมถึงสัญญามูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์กับกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ความเสียหายนี้จึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในธุรกิจของ Oracle.

    มาตรการป้องกันในอนาคต:
    - Oracle ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงหลังวันที่ 22 มกราคม และบริษัทได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยของระบบเพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีลักษณะเดียวกันในอนาคต.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/fbi-investigating-cyberattack-at-oracle-bloomberg-news-reports
    FBI กำลังสอบสวนเหตุการณ์แฮกระบบของ Oracle ที่ส่งผลให้ข้อมูลผู้ป่วยถูกขโมยและใช้ในการเรียกเงินจากผู้ให้บริการสุขภาพ โดยเหตุเกิดจากการใช้บัญชีผู้ใช้ที่ถูกขโมย Oracle ระบุว่าข้อมูลที่ได้รับผลกระทบมาจากระบบเก่าของ Cerner และกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต ข้อมูลที่ได้รับผลกระทบ: - ข้อมูลผู้ป่วยถูกขโมยจากเซิร์ฟเวอร์ Cerner ซึ่งเป็นบริษัทที่ Oracle เข้าซื้อกิจการในปี 2022 ระบบที่ถูกโจมตีเป็นระบบที่ยังไม่ได้ถูกย้ายไปยังบริการคลาวด์ของ Oracle. จุดอ่อนที่แฮกเกอร์ใช้โจมตี: - บริษัทแจ้งว่าผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบได้โดยใช้ข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานที่ถูกขโมย ซึ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการปกป้องข้อมูลเข้าสู่ระบบ. ผลกระทบในวงกว้าง: - Oracle มีลูกค้าในแวดวงการแพทย์เป็นจำนวนมาก หลังการซื้อ Cerner รวมถึงสัญญามูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์กับกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ความเสียหายนี้จึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในธุรกิจของ Oracle. มาตรการป้องกันในอนาคต: - Oracle ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงหลังวันที่ 22 มกราคม และบริษัทได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยของระบบเพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีลักษณะเดียวกันในอนาคต. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/fbi-investigating-cyberattack-at-oracle-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    FBI investigating cyberattack at Oracle, Bloomberg News reports
    (Reuters) -The Federal Bureau of Investigation (FBI) is probing the cyberattack at Oracle as the hackers broke into the cloud computing company's computer systems and stole patient data, Bloomberg News reported on Friday, citing a person familiar with the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่สหรัฐฯยืนยันกับสำนักข่าวอเมริกา Axios ว่า การเพิ่มกำลังทางอากาศเข้าสู่ภูมิภาคแปซิฟิก-อินเดีย ซึ่งรวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ที่ส่งไปยังดิเอโก การ์เซีย มีความเชื่อมโยงกับกำหนดเส้นตาย 2 เดือนของทรัมป์สำหรับอิหร่าน
    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯยืนยันกับสำนักข่าวอเมริกา Axios ว่า การเพิ่มกำลังทางอากาศเข้าสู่ภูมิภาคแปซิฟิก-อินเดีย ซึ่งรวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ที่ส่งไปยังดิเอโก การ์เซีย มีความเชื่อมโยงกับกำหนดเส้นตาย 2 เดือนของทรัมป์สำหรับอิหร่าน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจEnvironman 28 มีนาคม 2568 “ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แผ่นดินไหว แต่เห็นได้ชัดเลยว่าประเทศไทยและรัฐบาลยังไม่ไหว.เหตุการณ์วันนี้ยิ่งสาดส่องสปอตไลท์ในสิ่งที่ชัดอยู่แล้วให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก ว่าเราไม่มีความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รู้ว่าจะถอดกันอีกกี่บทเรียน กว่าที่รัฐจะมีมาตรการเตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ .ใครมีความคิดเห็น มีอะไรจะเพิ่มก็เต็มที่เลยนะ แต่นี่คือสิ่งที่รับรู้ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้และนี่ไม่ใช่การถอดบทเรียนอะไรทั้งนั้น นี่คือการเล่าระบายล้วน ๆ.⚫️ 1. ประชาชนต้อง Emergency Alert กันเอง.จนถึงตอนนี้ ณ เวลาที่กำลังเขียน (19:52 น.) ข้าพเจ้ายังไม่ได้ SMS จากกระทรวงทบวงกรมใดๆ เลยขอรับ คือเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย แต่หลังจากท่านนายกออกมาแถลงว่าจะมีการแจ้งเตือนตั้งแต่ช่วงบ่ายสอง ตอนนี้อาฟเตอร์กันไปแล้วไม่รู้กี่ช็อค ก็ยังเงียบกริบ .อีกพาร์ทนึงก็ต้องชมคนไทยที่ใส่ใจโซเชียล ที่ช่วยกันอัพเดท แชร์ข้อมูล คอยรายงานให้ได้ติดตามกัน แต่มันคือช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรอ ที่ประชาชนอย่างเราจะหันไปหวังพึ่งรัฐ ที่ผู้เสียภาษีอย่างเราจะหวังพึ่งคุณภาพชีวิตพื้นฐานที่ควรได้รับ กลายเป็นว่าเราต้องเช็คกันเองว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตรงๆ คือผมเป็นคนหนึ่งที่หาแถลงการณ์จากรัฐตอนเกิดเหตุ เพราะบางทีก็กลัวว่าชาวเน็ตบางกลุ่มจะเฟคนิวส์ล่อเอ็นเกจ แต่ก็ต้องผิดหวังต่อไป.⚫️ 2. หน้ามืด นอนน้อยกันทั้งแผ่นดิน.เชื่อแล้วว่าคนไทยทำงานหนักครับ 90% พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คิดว่าตัวเองไม่สบาย’ ไม่มีใครคิดว่ามันคือแผ่นดินไหวเลย แต่ก็เข้าใจได้ ใครจะไปคิดว่าจะมีแผ่นดินไหวในไทย โดยเฉพาะชาวกทม. คือทุกคนเทไปว่าตัวเองโหมงาน นอนน้อยกันหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แอบเศร้าหน่อย ๆ นะ.ส่วนอีกเรื่องคือ 90% ของคนที่อยู่คอนโดอพาร์ตเม้นตท์ มีสัตว์เลี้ยงที่นิติไม่รู้ แต่จะมารู้ก็วันนี้แหละ ถ้าพูดให้ไม่ติดตลก ผมคิดว่าอยากให้สถานที่คำนึงถึงความเป็น Pet-Friendly ให้มากขึ้น ปัจจุบันมีคนมีสัตว์เลี้ยงเยอะมาก จะด้วยเพื่อแก้เหงาหรือเป็นยุคที่ไม่ค่อยอยากมีลูกหรืออะไรก็ว่าไป แต่ผมเห็นว่าพื้นที่ที่สามารถพาสัตว์ไปร่วมกิจกรรมกับเจ้าของนั้นมีน้อยมาก.⚫️ 3. ระบบขนส่งสาธารณะล่มสลาย.สัญชาตญาณแรกของคนหลังเกิดแผ่นดินไหวคือหาที่ปลอดภัย ซึ่งส่วนมากก็น่าจะนึกถึงบ้าน แต่ระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เพียงพอ ไม่มีแผนสำรอง ไม่มีโปรโตคอลฉุกเฉิน ไม่มีช่องทางพิเศษ ไม่มีอะไรเลย การจราจรติดแหง็ก ผู้คนติดแหง็ก ไร้ทางออก เกิดอะไรขึ้นก็ไม่บอก จะเดินทางไปไหนก็ไม่ได้ .ญี่ปุ่นเวลาเจอแผ่นดินไหว ประเทศเขาจะสวิตช์เป็นโหมดฉุกเฉินทันที รถไฟฟ้าก็จะมีมาตรการฉุกเฉินในการรับมือ รัฐมีการตกลงกับบริษัทขนส่งเอกชน แท็กซี่ ให้ออกมาช่วยอพยพหรือขนถ่ายคนในช่วงที่รถไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้ มีการจัดการควบคุมจราจรอย่างเข้มงวดให้คนไม่ติดแหง็กอยู่อย่างนั้น อีกเรื่องคือญี่ปุ่นมีศูนย์พักพิง คือใครที่ยังกลับบ้านไม่ได้ ก็มาพักรอก่อนได้ เอาจริงศูนย์พักพิงญี่ปุ่นคือมีอาหาร มีน้ำ มีอุปกรณ์พื้นฐานให้พร้อม ไม่ปล่อยให้ใครต้องเร่ร่อนอยู่บนถนน.ผมดักไว้ก่อนเลยว่าจะมีคนอ้างว่า ญี่ปุ่นเจอกับแผ่นดินไหวบ่อยจนชิน ของเรานี่แทบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของใครหลายคนเลยนะ จะวิจารณ์ขนาดนั้นก็เกินไป แต่ต้องบอกว่าตอนนี้โลกเรารวนไปหมดแล้ว ปีนี้เราเห็นว่าเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากมายทั่วโลก อยากลองชวนคนที่แย้งเรื่องทำไมผมถึงเอาเราไปเทียบกับญี่ปุ่น มาแลกเปลี่ยนโต้แย้งเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินพื้นฐานของบ้านเรามากกว่า พื้นฐานที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ควรรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเกิดภัยพิบัติอื่นใดก็ตาม เพราะนี่คือโครงสร้างที่เราต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราติดท็อป 10 ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Climate Change ซึ่งจะมาในรูปแบบใดบ้างก็ไม่รู้.⚫️ 4. ระบบสาธารณสุขยังเปราะบาง.อันนี้เรามีบทเรียนจากโควิด-19 มาแล้ว แต่เหมือนจะยังถอดบทเรียนกันไม่เสร็จ การอพยพผู้ป่วยในยามฉุกเฉิน หรือโซนที่ให้โรงพยาบาลยังสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยในช่วงวิกฤต ตามข่าวยังเห็นโรงพยาบาลเอาคนไข้ออกมาผ่าตัดกลางแจ้งเพราะเป็นเคสด่วนอยู่เลย ซึ่งนี่คือคำถาม นี่คือโจทย์ที่เราเอามาคิดตั้งแต่ตอนนี้จนถึงอนาคตว่าเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะรับมือและจะมีมาตรการอย่างไร .นี่ไม่ใช่การสักแต่ว่าจะด่าก็ด่านะครับ และใครจะหาว่าการเมืองก็เอาเถอะ แต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่ารัฐบาลขาดความพร้อมอย่างมากในการรับมือ จริงอยู่ที่เราไม่ได้เจอแผ่นดินไหวเป็นประจำ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้น่ากลัวมาก ผมคิดว่ายิ่งช่วงเวลาแบบนี้ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี่แหละ ที่จะยิ่งเป็นตัววัดว่าเราโครงสร้างพื้นฐานเราพร้อมแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครใกล้เคียงกับพร้อมเลย ไม่รู้ทุกคนว่ายังไง.เรื่องความปลอดภัยมันมากับความเชื่อมั่นด้วยนะ วันนี้ในกรุ๊ปแชทก็คือมีเพื่อนๆ พิมพ์มาว่า ‘กูจะมั่นใจโครงสร้างตึกไทยได้มากขนาดไหน’ ซึ่งเป็นตลกร้ายมาก ๆ ที่ตอนนี้เรามีความเชื่อมั่นกับอะไรพวกนี้ต่ำมาก ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นตรงกันข้าม .วันนี้เป็นวันที่ทุกคนควรจะมีคำถาม เราเคยเจอน้ำท่วม เจอพายุ เจอโควิด แต่เราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง ‘หรือเปล่า’ ? ผมเองมีคำว่าทำไมเยอะมาก ทำไมการแจ้งเตือนล่าช้ามาก ทำไมระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณสุขถึงไม่พร้อม ทำไมคุณภาพชีวิตของเรามันเปราะบางขนาดนี้ ขออภัยที่ยาวและวนยืดเยื้อ แต่มันคือความอัดอั้นที่อยากแชร์ออกมา.สุดท้ายนี้ เราขอแสดงความเสียใจให้กับผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ด้วยนะครับและขอให้ทุกชีวิตปลอดภัยครับ
    รีโพสต์จากเพจEnvironman 28 มีนาคม 2568 “ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แผ่นดินไหว แต่เห็นได้ชัดเลยว่าประเทศไทยและรัฐบาลยังไม่ไหว.เหตุการณ์วันนี้ยิ่งสาดส่องสปอตไลท์ในสิ่งที่ชัดอยู่แล้วให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก ว่าเราไม่มีความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่รู้ว่าจะถอดกันอีกกี่บทเรียน กว่าที่รัฐจะมีมาตรการเตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ .ใครมีความคิดเห็น มีอะไรจะเพิ่มก็เต็มที่เลยนะ แต่นี่คือสิ่งที่รับรู้ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้และนี่ไม่ใช่การถอดบทเรียนอะไรทั้งนั้น นี่คือการเล่าระบายล้วน ๆ.⚫️ 1. ประชาชนต้อง Emergency Alert กันเอง.จนถึงตอนนี้ ณ เวลาที่กำลังเขียน (19:52 น.) ข้าพเจ้ายังไม่ได้ SMS จากกระทรวงทบวงกรมใดๆ เลยขอรับ คือเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย แต่หลังจากท่านนายกออกมาแถลงว่าจะมีการแจ้งเตือนตั้งแต่ช่วงบ่ายสอง ตอนนี้อาฟเตอร์กันไปแล้วไม่รู้กี่ช็อค ก็ยังเงียบกริบ .อีกพาร์ทนึงก็ต้องชมคนไทยที่ใส่ใจโซเชียล ที่ช่วยกันอัพเดท แชร์ข้อมูล คอยรายงานให้ได้ติดตามกัน แต่มันคือช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่หรอ ที่ประชาชนอย่างเราจะหันไปหวังพึ่งรัฐ ที่ผู้เสียภาษีอย่างเราจะหวังพึ่งคุณภาพชีวิตพื้นฐานที่ควรได้รับ กลายเป็นว่าเราต้องเช็คกันเองว่าเกิดอะไรขึ้น เอาตรงๆ คือผมเป็นคนหนึ่งที่หาแถลงการณ์จากรัฐตอนเกิดเหตุ เพราะบางทีก็กลัวว่าชาวเน็ตบางกลุ่มจะเฟคนิวส์ล่อเอ็นเกจ แต่ก็ต้องผิดหวังต่อไป.⚫️ 2. หน้ามืด นอนน้อยกันทั้งแผ่นดิน.เชื่อแล้วว่าคนไทยทำงานหนักครับ 90% พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คิดว่าตัวเองไม่สบาย’ ไม่มีใครคิดว่ามันคือแผ่นดินไหวเลย แต่ก็เข้าใจได้ ใครจะไปคิดว่าจะมีแผ่นดินไหวในไทย โดยเฉพาะชาวกทม. คือทุกคนเทไปว่าตัวเองโหมงาน นอนน้อยกันหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แอบเศร้าหน่อย ๆ นะ.ส่วนอีกเรื่องคือ 90% ของคนที่อยู่คอนโดอพาร์ตเม้นตท์ มีสัตว์เลี้ยงที่นิติไม่รู้ แต่จะมารู้ก็วันนี้แหละ ถ้าพูดให้ไม่ติดตลก ผมคิดว่าอยากให้สถานที่คำนึงถึงความเป็น Pet-Friendly ให้มากขึ้น ปัจจุบันมีคนมีสัตว์เลี้ยงเยอะมาก จะด้วยเพื่อแก้เหงาหรือเป็นยุคที่ไม่ค่อยอยากมีลูกหรืออะไรก็ว่าไป แต่ผมเห็นว่าพื้นที่ที่สามารถพาสัตว์ไปร่วมกิจกรรมกับเจ้าของนั้นมีน้อยมาก.⚫️ 3. ระบบขนส่งสาธารณะล่มสลาย.สัญชาตญาณแรกของคนหลังเกิดแผ่นดินไหวคือหาที่ปลอดภัย ซึ่งส่วนมากก็น่าจะนึกถึงบ้าน แต่ระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดดูเหมือนจะไม่เพียงพอ ไม่มีแผนสำรอง ไม่มีโปรโตคอลฉุกเฉิน ไม่มีช่องทางพิเศษ ไม่มีอะไรเลย การจราจรติดแหง็ก ผู้คนติดแหง็ก ไร้ทางออก เกิดอะไรขึ้นก็ไม่บอก จะเดินทางไปไหนก็ไม่ได้ .ญี่ปุ่นเวลาเจอแผ่นดินไหว ประเทศเขาจะสวิตช์เป็นโหมดฉุกเฉินทันที รถไฟฟ้าก็จะมีมาตรการฉุกเฉินในการรับมือ รัฐมีการตกลงกับบริษัทขนส่งเอกชน แท็กซี่ ให้ออกมาช่วยอพยพหรือขนถ่ายคนในช่วงที่รถไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้ มีการจัดการควบคุมจราจรอย่างเข้มงวดให้คนไม่ติดแหง็กอยู่อย่างนั้น อีกเรื่องคือญี่ปุ่นมีศูนย์พักพิง คือใครที่ยังกลับบ้านไม่ได้ ก็มาพักรอก่อนได้ เอาจริงศูนย์พักพิงญี่ปุ่นคือมีอาหาร มีน้ำ มีอุปกรณ์พื้นฐานให้พร้อม ไม่ปล่อยให้ใครต้องเร่ร่อนอยู่บนถนน.ผมดักไว้ก่อนเลยว่าจะมีคนอ้างว่า ญี่ปุ่นเจอกับแผ่นดินไหวบ่อยจนชิน ของเรานี่แทบจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของใครหลายคนเลยนะ จะวิจารณ์ขนาดนั้นก็เกินไป แต่ต้องบอกว่าตอนนี้โลกเรารวนไปหมดแล้ว ปีนี้เราเห็นว่าเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากมายทั่วโลก อยากลองชวนคนที่แย้งเรื่องทำไมผมถึงเอาเราไปเทียบกับญี่ปุ่น มาแลกเปลี่ยนโต้แย้งเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินพื้นฐานของบ้านเรามากกว่า พื้นฐานที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ควรรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเกิดภัยพิบัติอื่นใดก็ตาม เพราะนี่คือโครงสร้างที่เราต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราติดท็อป 10 ของประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Climate Change ซึ่งจะมาในรูปแบบใดบ้างก็ไม่รู้.⚫️ 4. ระบบสาธารณสุขยังเปราะบาง.อันนี้เรามีบทเรียนจากโควิด-19 มาแล้ว แต่เหมือนจะยังถอดบทเรียนกันไม่เสร็จ การอพยพผู้ป่วยในยามฉุกเฉิน หรือโซนที่ให้โรงพยาบาลยังสามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัยในช่วงวิกฤต ตามข่าวยังเห็นโรงพยาบาลเอาคนไข้ออกมาผ่าตัดกลางแจ้งเพราะเป็นเคสด่วนอยู่เลย ซึ่งนี่คือคำถาม นี่คือโจทย์ที่เราเอามาคิดตั้งแต่ตอนนี้จนถึงอนาคตว่าเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะรับมือและจะมีมาตรการอย่างไร .นี่ไม่ใช่การสักแต่ว่าจะด่าก็ด่านะครับ และใครจะหาว่าการเมืองก็เอาเถอะ แต่นี่เห็นได้ชัดเลยว่ารัฐบาลขาดความพร้อมอย่างมากในการรับมือ จริงอยู่ที่เราไม่ได้เจอแผ่นดินไหวเป็นประจำ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้น่ากลัวมาก ผมคิดว่ายิ่งช่วงเวลาแบบนี้ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี่แหละ ที่จะยิ่งเป็นตัววัดว่าเราโครงสร้างพื้นฐานเราพร้อมแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครใกล้เคียงกับพร้อมเลย ไม่รู้ทุกคนว่ายังไง.เรื่องความปลอดภัยมันมากับความเชื่อมั่นด้วยนะ วันนี้ในกรุ๊ปแชทก็คือมีเพื่อนๆ พิมพ์มาว่า ‘กูจะมั่นใจโครงสร้างตึกไทยได้มากขนาดไหน’ ซึ่งเป็นตลกร้ายมาก ๆ ที่ตอนนี้เรามีความเชื่อมั่นกับอะไรพวกนี้ต่ำมาก ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นตรงกันข้าม .วันนี้เป็นวันที่ทุกคนควรจะมีคำถาม เราเคยเจอน้ำท่วม เจอพายุ เจอโควิด แต่เราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง ‘หรือเปล่า’ ? ผมเองมีคำว่าทำไมเยอะมาก ทำไมการแจ้งเตือนล่าช้ามาก ทำไมระบบขนส่งสาธารณะและสาธารณสุขถึงไม่พร้อม ทำไมคุณภาพชีวิตของเรามันเปราะบางขนาดนี้ ขออภัยที่ยาวและวนยืดเยื้อ แต่มันคือความอัดอั้นที่อยากแชร์ออกมา.สุดท้ายนี้ เราขอแสดงความเสียใจให้กับผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ด้วยนะครับและขอให้ทุกชีวิตปลอดภัยครับ
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • จุดจบวัฒนธรรมพิการ ศาลสั่งประหาร! “อั้ม-อนาวิน แก้วเก็บ” มือยิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด”

    ✍️ จากวัฒนธรรมรับน้องผิดเพี้ยน สู่บทสรุปคดีสะเทือนขวัญ วัยรุ่นไทยควรได้บทเรียนอะไร จากโศกนาฏกรรมนี้? ศาลสั่งประหาร “อั้ม-อนาวิน” คดียิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” สะเทือนใจทั้งประเทศ จุดจบวัฒนธรรมพิการต้องจบที่รุ่นเรา เหยื่อบริสุทธิ์จากวัฒนธรรมรับน้องผิดๆ จุดเริ่มต้นของการล้มล้างความรุนแรง แฝงในระบบการศึกษาไทย

    🔵 ความสูญเสียที่ต้องไม่สูญเปล่า วันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นวันที่หลายคนจดจำ เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาชั้นต้นให้ “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อั้ม” มือยิงผู้บริสุทธิ์สองราย ได้แก่ “ครูเจี๊ยบ” และ “น้องหยอด” จากเหตุการณ์เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2566

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “คดีฆาตกรรม” แต่สะท้อนปัญหาฝังลึกในสังคม คือ “วัฒนธรรมรับน้องอันรุนแรง” ที่ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และส่งต่อกันมาโดยไร้การตรวจสอบ ❌

    🔴 “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวันกลับมา คดีเริ่มต้นจากความตั้งใจของกลุ่มอดีตเด็กช่าง ที่ต้องการ “สร้างผลงาน” เพื่อไปอวดในวันรับน้องของสถาบันแห่งหนึ่ง โดยนายอนาวิน วางแผนมาก่อนแล้วว่า จะก่อเหตุในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันก่อนวันรับน้อง 1 วัน

    📍 สถานที่เกิดเหตุ หน้าธนาคาร TTB สาขาคลองเตย ใจกลางกรุงเทพฯ

    🔫 เหยื่อ
    - นางสาวศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนเวนต์
    - นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย

    การยิงเกิดจาก “กระสุนพลาดเป้า” ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะยิงน้องหยอด แต่กลับทำให้ครูเจี๊ยบเสียชีวิตทันที 😢

    🟠 บทเรียนจากการล่า 24 ผู้ต้องหา ปฏิบัติการ “ปิดเมือง” หลังเกิดเหตุ ตำรวจเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ “ปิดเมืองล่ามือยิง” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่าจะจับตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คนจาก 26 หมายจับ 💣

    🔍 ตรวจสอบกล้องวงจรกว่า 1,000 ตัว
    🚔 ปิดล้อม 14 จุดทั่วกรุงและปริมณฑล
    🔫 ตรวจสอบกลุ่มแชตลับ 103 คน มีแผนฆ่า มีระบบดูแลคนใน
    📱 ใช้ไลน์กลุ่มลับ 84 คน วางแผนคล้าย "องค์กรอาชญากรรม"

    หนึ่งในตำรวจสืบสวนเล่าว่า การไล่ล่าครั้งนี้ “ยิ่งกว่านิยายไล่ล่าตี๋ใหญ่” เพราะผู้ต้องหาหนีอย่างแนบเนียน เปลี่ยนสีรถ, เปลี่ยนทะเบียน, เปลี่ยนเสื้อผ้า, วางจุดลวงสับสนเจ้าหน้าที่

    🟡 จุดแตกหัก จับกุม “อั้ม-อนาวิน” บนดอยปุย 🎯 หลังไล่ล่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ตำรวจไล่ติดตามจนกระทั่งพบตัว “อนาวิน” พร้อม “กฤติ” เพื่อนร่วมขบวนการ ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันที่ 19 ธันวาคม 2566

    👮‍♂️ ตำรวจคุกเข่าร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากตามล่ามา 1 เดือนเต็ม 🥹

    🟢 ศาลตัดสิน “ประหารชีวิต” เพื่อยุติวัฏจักร วันที่ 28 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ล้านบาท

    👉 ความผิดตามกฎหมาย
    - ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
    - มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ยิงปืนในที่ชุมชน
    - สมคบก่ออาชญากรรม

    🔵 วัฒนธรรมรับน้อง = จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม จากการสอบปากคำ “อั้ม-อนาวิน” ยอมรับว่า ต้องการสร้าง “ผลงาน” เพื่อเอาไปโชว์ในวันรับน้อง ซึ่งมาจากการปลูกฝังของรุ่นพี่ 💣

    พร้อมมีการพูดคุยผ่านไลน์กลุ่มลับว่า “ใครฆ่าอริได้ จะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม”

    “ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก... ที่พาน้องไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกล” นี่คือคำพูดในแชตลับที่ชวนให้ขนลุก 😨
    มันไม่ใช่แค่ “การแกล้ง” หรือ “กิจกรรมรุ่นพี่-รุ่นน้อง” อีกต่อไป แต่เป็นการหล่อหลอมความรุนแรง

    🔴 จุดจบของ “วัฒนธรรมพิการ” ต้องจบที่รุ่นเรา คดีนี้เป็น ภาพสะท้อนของปัญหาสังคมไทย ที่สั่งสมมานาน
    วัฒนธรรมรับน้องที่ขาดจรรยาบรรณ สร้างเงื่อนไขของการยอมรับผ่านความรุนแรง อวดอำนาจเหนือผู้อื่น

    🧠 คำถามที่ต้องถามคือ...

    👉 วัฒนธรรมที่ต้องมีคนตาย ถึงจะได้รับการยอมรับ เราจะยังเรียกมันว่า “วัฒนธรรม” ได้อีกหรือ?

    🟣 บทสรุป ความยุติธรรม และภารกิจต่อไปของสังคม คดีนี้ไม่เพียงปิดฉากด้วย “คำสั่งประหารชีวิต” แต่มันคือเสียงร้องของสังคมที่ว่า…

    🔊 ถึงเวลา “ล้มล้างวัฒนธรรมพิการ”
    🔊 ถึงเวลาทบทวนระบบสถาบัน ที่หล่อหลอมความรุนแรงให้เป็นเรื่องปกติ
    🔊 ถึงเวลาสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281803 มี.ค. 2568

    📢 #จุดจบวัฒนธรรมพิการ #คดีครูเจี๊ยบ #น้องหยอดอุเทน #อนาวินแก้วเก็บ #ประหารชีวิต #อาชญากรรมไทย #ยิงกลางกรุง #รับน้องผิดๆ #ยุติธรรมไทย #ตำรวจไทยไล่ล่า
    จุดจบวัฒนธรรมพิการ ศาลสั่งประหาร! “อั้ม-อนาวิน แก้วเก็บ” มือยิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ✍️ จากวัฒนธรรมรับน้องผิดเพี้ยน สู่บทสรุปคดีสะเทือนขวัญ วัยรุ่นไทยควรได้บทเรียนอะไร จากโศกนาฏกรรมนี้? ศาลสั่งประหาร “อั้ม-อนาวิน” คดียิง “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” สะเทือนใจทั้งประเทศ จุดจบวัฒนธรรมพิการต้องจบที่รุ่นเรา เหยื่อบริสุทธิ์จากวัฒนธรรมรับน้องผิดๆ จุดเริ่มต้นของการล้มล้างความรุนแรง แฝงในระบบการศึกษาไทย 🔵 ความสูญเสียที่ต้องไม่สูญเปล่า วันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นวันที่หลายคนจดจำ เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาชั้นต้นให้ “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อั้ม” มือยิงผู้บริสุทธิ์สองราย ได้แก่ “ครูเจี๊ยบ” และ “น้องหยอด” จากเหตุการณ์เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2566 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ “คดีฆาตกรรม” แต่สะท้อนปัญหาฝังลึกในสังคม คือ “วัฒนธรรมรับน้องอันรุนแรง” ที่ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และส่งต่อกันมาโดยไร้การตรวจสอบ ❌ 🔴 “ครูเจี๊ยบ-น้องหยอด” ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวันกลับมา คดีเริ่มต้นจากความตั้งใจของกลุ่มอดีตเด็กช่าง ที่ต้องการ “สร้างผลงาน” เพื่อไปอวดในวันรับน้องของสถาบันแห่งหนึ่ง โดยนายอนาวิน วางแผนมาก่อนแล้วว่า จะก่อเหตุในวันที่ 11 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นวันก่อนวันรับน้อง 1 วัน 📍 สถานที่เกิดเหตุ หน้าธนาคาร TTB สาขาคลองเตย ใจกลางกรุงเทพฯ 🔫 เหยื่อ - นางสาวศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ อายุ 45 ปี ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนเวนต์ - นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด อายุ 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย การยิงเกิดจาก “กระสุนพลาดเป้า” ซึ่งเดิมทีตั้งใจจะยิงน้องหยอด แต่กลับทำให้ครูเจี๊ยบเสียชีวิตทันที 😢 🟠 บทเรียนจากการล่า 24 ผู้ต้องหา ปฏิบัติการ “ปิดเมือง” หลังเกิดเหตุ ตำรวจเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ “ปิดเมืองล่ามือยิง” ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้เวลากว่า 1 เดือน กว่าจะจับตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 24 คนจาก 26 หมายจับ 💣 🔍 ตรวจสอบกล้องวงจรกว่า 1,000 ตัว 🚔 ปิดล้อม 14 จุดทั่วกรุงและปริมณฑล 🔫 ตรวจสอบกลุ่มแชตลับ 103 คน มีแผนฆ่า มีระบบดูแลคนใน 📱 ใช้ไลน์กลุ่มลับ 84 คน วางแผนคล้าย "องค์กรอาชญากรรม" หนึ่งในตำรวจสืบสวนเล่าว่า การไล่ล่าครั้งนี้ “ยิ่งกว่านิยายไล่ล่าตี๋ใหญ่” เพราะผู้ต้องหาหนีอย่างแนบเนียน เปลี่ยนสีรถ, เปลี่ยนทะเบียน, เปลี่ยนเสื้อผ้า, วางจุดลวงสับสนเจ้าหน้าที่ 🟡 จุดแตกหัก จับกุม “อั้ม-อนาวิน” บนดอยปุย 🎯 หลังไล่ล่าจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ตำรวจไล่ติดตามจนกระทั่งพบตัว “อนาวิน” พร้อม “กฤติ” เพื่อนร่วมขบวนการ ที่กำลังนอนอยู่ในเต็นท์บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันที่ 19 ธันวาคม 2566 👮‍♂️ ตำรวจคุกเข่าร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากตามล่ามา 1 เดือนเต็ม 🥹 🟢 ศาลตัดสิน “ประหารชีวิต” เพื่อยุติวัฏจักร วันที่ 28 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา “ประหารชีวิตนายอนาวิน แก้วเก็บ” พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ล้านบาท 👉 ความผิดตามกฎหมาย - ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน - มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต - ยิงปืนในที่ชุมชน - สมคบก่ออาชญากรรม 🔵 วัฒนธรรมรับน้อง = จุดเริ่มของโศกนาฏกรรม จากการสอบปากคำ “อั้ม-อนาวิน” ยอมรับว่า ต้องการสร้าง “ผลงาน” เพื่อเอาไปโชว์ในวันรับน้อง ซึ่งมาจากการปลูกฝังของรุ่นพี่ 💣 พร้อมมีการพูดคุยผ่านไลน์กลุ่มลับว่า “ใครฆ่าอริได้ จะเป็นฮีโร่ของกลุ่ม” “ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก... ที่พาน้องไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกล” นี่คือคำพูดในแชตลับที่ชวนให้ขนลุก 😨 มันไม่ใช่แค่ “การแกล้ง” หรือ “กิจกรรมรุ่นพี่-รุ่นน้อง” อีกต่อไป แต่เป็นการหล่อหลอมความรุนแรง 🔴 จุดจบของ “วัฒนธรรมพิการ” ต้องจบที่รุ่นเรา คดีนี้เป็น ภาพสะท้อนของปัญหาสังคมไทย ที่สั่งสมมานาน วัฒนธรรมรับน้องที่ขาดจรรยาบรรณ สร้างเงื่อนไขของการยอมรับผ่านความรุนแรง อวดอำนาจเหนือผู้อื่น 🧠 คำถามที่ต้องถามคือ... 👉 วัฒนธรรมที่ต้องมีคนตาย ถึงจะได้รับการยอมรับ เราจะยังเรียกมันว่า “วัฒนธรรม” ได้อีกหรือ? 🟣 บทสรุป ความยุติธรรม และภารกิจต่อไปของสังคม คดีนี้ไม่เพียงปิดฉากด้วย “คำสั่งประหารชีวิต” แต่มันคือเสียงร้องของสังคมที่ว่า… 🔊 ถึงเวลา “ล้มล้างวัฒนธรรมพิการ” 🔊 ถึงเวลาทบทวนระบบสถาบัน ที่หล่อหลอมความรุนแรงให้เป็นเรื่องปกติ 🔊 ถึงเวลาสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281803 มี.ค. 2568 📢 #จุดจบวัฒนธรรมพิการ #คดีครูเจี๊ยบ #น้องหยอดอุเทน #อนาวินแก้วเก็บ #ประหารชีวิต #อาชญากรรมไทย #ยิงกลางกรุง #รับน้องผิดๆ #ยุติธรรมไทย #ตำรวจไทยไล่ล่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ลงทุนครั้งใหญ่ในอเมริกาเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัย แต่ Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ชี้ว่า แม้จะช่วยปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน แต่การขาด R&D ขั้นสูงในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้นำในเทคโนโลยีกระบวนการผลิต การลงทุนนี้จึงสะท้อนถึงความสำคัญของการวิจัยในประเทศในการพัฒนานวัตกรรม

    ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการลงทุนของ TSMC:
    - TSMC มีแผนสร้างโรงงานผลิตชิป 6 แห่ง รวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาในรัฐแอริโซนา แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าการวิจัยขั้นสูงจะถูกย้ายมายังสหรัฐฯ หรือไม่.

    ความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา (R&D):
    - Gelsinger ชี้ว่า การมี R&D ในประเทศเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้อเมริกาสามารถพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นใหม่ได้ เช่น กระบวนการผลิตแบบ N3X หรือ N4 ที่ TSMC พัฒนาอยู่ในไต้หวัน.

    การปฏิสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและ R&D:
    - โรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัยมีความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะการพัฒนากระบวนการผลิตที่ต้องมีการทดลองและปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TSMC ยังเน้นที่ไต้หวันเป็นหลัก.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์:
    - การลงทุนของ TSMC อาจช่วยให้โรงงานในสหรัฐฯ สามารถผลิตชิปแบบกระบวนการขั้นสูงได้เร็วขึ้น แต่การขาด R&D ภายในประเทศอาจจำกัดการเติบโตและการเป็นผู้นำในระยะยาว.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ex-intel-ceo-gelsinger-warns-tsmcs-usd165b-investment-will-not-restore-u-s-semiconductor-leadership
    TSMC ลงทุนครั้งใหญ่ในอเมริกาเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัย แต่ Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ชี้ว่า แม้จะช่วยปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน แต่การขาด R&D ขั้นสูงในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้นำในเทคโนโลยีกระบวนการผลิต การลงทุนนี้จึงสะท้อนถึงความสำคัญของการวิจัยในประเทศในการพัฒนานวัตกรรม ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการลงทุนของ TSMC: - TSMC มีแผนสร้างโรงงานผลิตชิป 6 แห่ง รวมถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาในรัฐแอริโซนา แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าการวิจัยขั้นสูงจะถูกย้ายมายังสหรัฐฯ หรือไม่. ความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา (R&D): - Gelsinger ชี้ว่า การมี R&D ในประเทศเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้อเมริกาสามารถพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นใหม่ได้ เช่น กระบวนการผลิตแบบ N3X หรือ N4 ที่ TSMC พัฒนาอยู่ในไต้หวัน. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและ R&D: - โรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัยมีความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะการพัฒนากระบวนการผลิตที่ต้องมีการทดลองและปรับแต่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TSMC ยังเน้นที่ไต้หวันเป็นหลัก. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์: - การลงทุนของ TSMC อาจช่วยให้โรงงานในสหรัฐฯ สามารถผลิตชิปแบบกระบวนการขั้นสูงได้เร็วขึ้น แต่การขาด R&D ภายในประเทศอาจจำกัดการเติบโตและการเป็นผู้นำในระยะยาว. https://www.tomshardware.com/tech-industry/ex-intel-ceo-gelsinger-warns-tsmcs-usd165b-investment-will-not-restore-u-s-semiconductor-leadership
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • SiCarrier Technologies จากจีนกำลังก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกด้วยการนำเสนอเครื่องมือการผลิตที่ครบวงจร ซึ่งอาจช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ความเชื่อมโยงกับ Huawei และการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนช่วยให้บริษัทพัฒนานวัตกรรมได้รวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอุปกรณ์ แต่ก้าวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    เครือข่ายการวิจัยและพัฒนา:
    - บริษัทมีศูนย์วิจัยในเมืองสำคัญของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และซีอาน รวมถึงทีมวิศวกรจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ASML และ Applied Materials.

    อุปกรณ์ที่โดดเด่น:
    - SiCarrier นำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานในกระบวนการหลากหลาย เช่น การเคลือบด้วยวิธี ALD, CVD, PVD รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบ เช่น กล้องจุลทรรศน์กำลังอะตอม (AFM) และเครื่องวัดความหนาของฟิล์ม.

    แผนการสร้างระบบที่เป็นเอกเทศ:
    - SiCarrier อาจร่วมมือกับ Huawei เพื่อสร้างกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือจากจีน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่โรงงานดังกล่าวจะพร้อมใช้งาน.

    ความท้าทาย:
    - ยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ที่นำเสนอสามารถใช้งานร่วมกับระบบการผลิตที่มีอยู่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือไม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-sicarrier-challenges-u-s-and-eu-with-full-spectrum-of-chipmaking-equipment-huawei-linked-firm-makes-an-impressive-debut
    SiCarrier Technologies จากจีนกำลังก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกด้วยการนำเสนอเครื่องมือการผลิตที่ครบวงจร ซึ่งอาจช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ความเชื่อมโยงกับ Huawei และการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนช่วยให้บริษัทพัฒนานวัตกรรมได้รวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอุปกรณ์ แต่ก้าวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เครือข่ายการวิจัยและพัฒนา: - บริษัทมีศูนย์วิจัยในเมืองสำคัญของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และซีอาน รวมถึงทีมวิศวกรจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ASML และ Applied Materials. อุปกรณ์ที่โดดเด่น: - SiCarrier นำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานในกระบวนการหลากหลาย เช่น การเคลือบด้วยวิธี ALD, CVD, PVD รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบ เช่น กล้องจุลทรรศน์กำลังอะตอม (AFM) และเครื่องวัดความหนาของฟิล์ม. แผนการสร้างระบบที่เป็นเอกเทศ: - SiCarrier อาจร่วมมือกับ Huawei เพื่อสร้างกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือจากจีน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่โรงงานดังกล่าวจะพร้อมใช้งาน. ความท้าทาย: - ยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ที่นำเสนอสามารถใช้งานร่วมกับระบบการผลิตที่มีอยู่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือไม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-sicarrier-challenges-u-s-and-eu-with-full-spectrum-of-chipmaking-equipment-huawei-linked-firm-makes-an-impressive-debut
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • การทุจริตยาภายในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเป็นแผลในวงการสาธารณสุขของไทย ที่กลุ่มคนบางกลุ่มใช้ช่องโหว่ในการเบิกยาจากภาษีประชาชนเพื่อนำไปขายต่อให้กับตลาดมืด เป็นเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่นในระบบการทำงานของภาครัฐ ที่ต้องถูกจัดการอย่างจริงจัง

    #ล้างบางแก๊งโกงยา #แก๊งโกงยา #จับแก๊งทุจริตยา #ตำรวจสอบสวนกลาง #โรงพยาบาลทหารผ่านศึก #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    การทุจริตยาภายในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเป็นแผลในวงการสาธารณสุขของไทย ที่กลุ่มคนบางกลุ่มใช้ช่องโหว่ในการเบิกยาจากภาษีประชาชนเพื่อนำไปขายต่อให้กับตลาดมืด เป็นเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่นในระบบการทำงานของภาครัฐ ที่ต้องถูกจัดการอย่างจริงจัง #ล้างบางแก๊งโกงยา #แก๊งโกงยา #จับแก๊งทุจริตยา #ตำรวจสอบสวนกลาง #โรงพยาบาลทหารผ่านศึก #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ
    Like
    Love
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1686 มุมมอง 47 0 รีวิว
  • Starboard Value กำลังพยายามเพิ่มอิทธิพลใน Autodesk ด้วยการเสนอชื่อกรรมการใหม่ 3 คนเข้าคณะกรรมการ โดยอ้างว่า Autodesk มีต้นทุนที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แม้บริษัทจะเริ่มปรับปรุงโดยเพิ่มกรรมการอิสระ แต่ Starboard มองว่ายังไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันที่บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญจากนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนมากขึ้น

    เหตุผลเบื้องหลังการเสนอชื่อ:
    - Starboard เชื่อว่า Autodesk ใช้จ่ายเกินความจำเป็นเมื่อเทียบกับบริษัทซอฟต์แวร์อื่น ๆ และยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ โดยหุ้นของ Autodesk ลดลง 7% ในปีนี้ ในขณะที่ S&P 500 ลดลงเพียง 1.8% เท่านั้น.

    การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของ Starboard:
    - ปีที่ผ่านมา Starboard เคยเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง CEO และลดค่าใช้จ่าย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากพลาดกำหนดเวลาส่งชื่อผู้สมัครเข้าร่วมคณะกรรมการ.

    ความร่วมมือจาก Autodesk:
    - Autodesk ได้เพิ่มกรรมการอิสระ 2 คนในเดือนธันวาคม 2024 โดยหนึ่งในนั้นคืออดีตประธานและ CEO ของ Kraft Foods เพื่อเพิ่มความสมดุลในคณะกรรมการ.

    ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง:
    - หากได้รับการสนับสนุน Starboard อาจผลักดันให้ Autodesk มีการจัดการที่ประหยัดขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าหุ้นและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/26/activist-starboard-nominates-three-directors-to-autodesk039s-board
    Starboard Value กำลังพยายามเพิ่มอิทธิพลใน Autodesk ด้วยการเสนอชื่อกรรมการใหม่ 3 คนเข้าคณะกรรมการ โดยอ้างว่า Autodesk มีต้นทุนที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แม้บริษัทจะเริ่มปรับปรุงโดยเพิ่มกรรมการอิสระ แต่ Starboard มองว่ายังไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันที่บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญจากนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนมากขึ้น เหตุผลเบื้องหลังการเสนอชื่อ: - Starboard เชื่อว่า Autodesk ใช้จ่ายเกินความจำเป็นเมื่อเทียบกับบริษัทซอฟต์แวร์อื่น ๆ และยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ โดยหุ้นของ Autodesk ลดลง 7% ในปีนี้ ในขณะที่ S&P 500 ลดลงเพียง 1.8% เท่านั้น. การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของ Starboard: - ปีที่ผ่านมา Starboard เคยเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง CEO และลดค่าใช้จ่าย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากพลาดกำหนดเวลาส่งชื่อผู้สมัครเข้าร่วมคณะกรรมการ. ความร่วมมือจาก Autodesk: - Autodesk ได้เพิ่มกรรมการอิสระ 2 คนในเดือนธันวาคม 2024 โดยหนึ่งในนั้นคืออดีตประธานและ CEO ของ Kraft Foods เพื่อเพิ่มความสมดุลในคณะกรรมการ. ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง: - หากได้รับการสนับสนุน Starboard อาจผลักดันให้ Autodesk มีการจัดการที่ประหยัดขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าหุ้นและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/26/activist-starboard-nominates-three-directors-to-autodesk039s-board
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Starboard revives proxy fight with CEO Smith's nomination to Autodesk board
    (Reuters) -Starboard Value on Wednesday nominated three directors including its chief executive and founder, Jeff Smith, to Autodesk's board, rekindling its proxy battle with the company over margin concerns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้เน้นว่า การเล่าเรื่อง หรือ Storytelling เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญในยุคปัจจุบัน โดยสามารถช่วยให้ธุรกิจสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าในรูปแบบที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น แม้เทคโนโลยี AI จะเป็นกระแสสำคัญ แต่การเล่าเรื่องกลับได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถตัดผ่านความวุ่นวายในตลาดและช่วยให้แบรนด์โดดเด่นได้

    พลังของการเล่าเรื่องในธุรกิจ:
    - การเล่าเรื่องที่ดีช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนลูกค้าได้ถึง 30% และสร้างความไว้วางใจในแบรนด์ได้มากถึง 81% เมื่อผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์ผ่านเรื่องราวที่ชวนหลงรัก.

    การสร้างความแตกต่างผ่านการเล่าเรื่อง:
    - ในโลกที่ใครก็สามารถสร้างธุรกิจด้วย AI ได้ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจคือสิ่งที่จะทำให้แบรนด์แตกต่าง โดยช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์และเน้นคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการ.

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Storytelling:
    - การเล่าเรื่องไม่ได้จำกัดอยู่ในวงการบันเทิงหรือโฆษณา แต่สามารถใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม และไม่จำเป็นต้องยาวหรือซับซ้อน แค่เพียงเล่าเรื่องที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับผู้ฟังก็เพียงพอ.

    วิธีเริ่มต้นง่าย ๆ:
    - ทำความเข้าใจผู้ชมของคุณ.
    - ระบุประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อ.
    - เริ่มต้นเรื่องราวด้วยสิ่งที่เชื่อมโยงกับปัญหาหรือความสนใจของผู้ฟัง.

    https://www.zdnet.com/article/ai-is-huge-but-this-opportunity-will-be-even-bigger-how-to-take-advantage-today/
    บทความนี้เน้นว่า การเล่าเรื่อง หรือ Storytelling เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญในยุคปัจจุบัน โดยสามารถช่วยให้ธุรกิจสร้างการเชื่อมต่อกับลูกค้าในรูปแบบที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น แม้เทคโนโลยี AI จะเป็นกระแสสำคัญ แต่การเล่าเรื่องกลับได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถตัดผ่านความวุ่นวายในตลาดและช่วยให้แบรนด์โดดเด่นได้ พลังของการเล่าเรื่องในธุรกิจ: - การเล่าเรื่องที่ดีช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนลูกค้าได้ถึง 30% และสร้างความไว้วางใจในแบรนด์ได้มากถึง 81% เมื่อผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์ผ่านเรื่องราวที่ชวนหลงรัก. การสร้างความแตกต่างผ่านการเล่าเรื่อง: - ในโลกที่ใครก็สามารถสร้างธุรกิจด้วย AI ได้ การเล่าเรื่องที่น่าสนใจคือสิ่งที่จะทำให้แบรนด์แตกต่าง โดยช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์และเน้นคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการ. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Storytelling: - การเล่าเรื่องไม่ได้จำกัดอยู่ในวงการบันเทิงหรือโฆษณา แต่สามารถใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม และไม่จำเป็นต้องยาวหรือซับซ้อน แค่เพียงเล่าเรื่องที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับผู้ฟังก็เพียงพอ. วิธีเริ่มต้นง่าย ๆ: - ทำความเข้าใจผู้ชมของคุณ. - ระบุประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อ. - เริ่มต้นเรื่องราวด้วยสิ่งที่เชื่อมโยงกับปัญหาหรือความสนใจของผู้ฟัง. https://www.zdnet.com/article/ai-is-huge-but-this-opportunity-will-be-even-bigger-how-to-take-advantage-today/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป

    เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว

    จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้

    วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ?
    แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540

    สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ

    ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง

    โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน

    จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
    ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล

    พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น

    - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6%

    - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี

    - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น

    แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้

    ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567

    แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ?

    สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย

    แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567

    ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น

    ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท
    ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท
    ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท

    เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น

    ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี

    นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท

    Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน
    ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ
    ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก

    รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น
    - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ
    - PLN บริษัทไฟฟ้า
    - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม

    แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล

    เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73%

    เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย
    ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ

    จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย

    ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%)

    ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5%

    โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง

    ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย

    แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว
    ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน

    สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้..

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

    รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara
    ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย
    ╔═══════════╗
    ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    TikTok - tiktok.com/@longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played
    -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators
    -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html
    -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้ วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ? แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6% - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้ ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567 แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ? สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567 ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ - PLN บริษัทไฟฟ้า - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73% เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%) ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5% โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย ╔═══════════╗ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman References -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงพ่อดี วัดสังฆสิทธาราม จ.นราธิวาส
    เหรียญหลวงพ่อดี วาจาสิทธิ์ วัดสังฆสิทธาราม ตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ จ.นราธิวาส ปี2518 //พระดีพิธีใหญ่ พิธีเข้มขลัง ศิษย์สายหลวงพ่อครน สุดยอดประสบการณ์ หายาก จัดสร้าง ประมาณ 5000 เหรียญ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระสถาพใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** เหรียญมหาอุตย์ ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อยู่ยงคงกระพัน มีเมตตามหานิยม ป้องกันภูตผีปีศาจและโรคภัยไข้เจ็บ แคล้วคลาดอันตราย ความศักดิ์สิทธิ์ทางทางป้องกันอาวุธและทางเมตตามหานิยม >>

    ** หลวงพ่อดีท่านเป็นศิษย์สายหลวงพ่อครน***วัดสังฆสิทธาราม ได้สร้างขึ้นเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2481 เดิมมีนามว่า “ วัดตันหยงมัส ” ได้เปลี่ยนนามวัดเมื่อ พ.ศ. 2482 เป็นวัดสังฆสิทธาราม ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2492 หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ ได้รับฉายาว่า พระครูการุญญโสภณ เป็นเจ้าอาวาส องค์แรก ได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ณ วัดพระพุทธ ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก่อนที่หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์จะย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆสิทธิธาราม หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ ได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ ดังนี้ 1.มิถุนายน พ.ศ. 2477 ย้ายไปอยู่ที่วัดราษฎร์สโมสร อ.รือเสาะ 2.สิงหาคม พ.ศ. 2479 ย้ายไปอยู่ที่วัดปริมังคลาวาส อ.สุไหงปาดี 3.กรกฎาคม พ.ศ.2480 ย้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดลอยประดิษฐ์ อ.สุไหงปาดี 4.สิงหาคม พ.ศ. 2483 ย้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆสิทธิธาราม อ.ระแงะ หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูการุญญโสภณ ( ไม่ปรากกฏหลักฐานเมื่อไร ) พร้อมทั้งได้รับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอระแงะ จนกระทั่งได้ถึงแก่มรณภาพ อาพาธด้วยโรคชรา เมื่อ พ.ศ. 2518 รวมศิริอายุได้ 82 ปี 60 พรรษา เหตุผลที่หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ เป็นที่กล่าวขานและนับถือของชาวบ้านและประชาชนทั่วไปว่า หลวงพ่อดีมีวาจาสิทธิ์ เพราะลิ้นของหลวงพ่อดีมีปานดำในอุ้งปากมาแต่กำเนิด ชาวบ้านจึงมีความเชื่อว่าผู้ที่มีลิ้นดำเวลาพูดอะไรออกไปแล้วจะเป็นดังคำที่พูด เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวบ้าน >>


    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระสถาพใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อดี วัดสังฆสิทธาราม จ.นราธิวาส เหรียญหลวงพ่อดี วาจาสิทธิ์ วัดสังฆสิทธาราม ตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ จ.นราธิวาส ปี2518 //พระดีพิธีใหญ่ พิธีเข้มขลัง ศิษย์สายหลวงพ่อครน สุดยอดประสบการณ์ หายาก จัดสร้าง ประมาณ 5000 เหรียญ // พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระสถาพใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** เหรียญมหาอุตย์ ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อยู่ยงคงกระพัน มีเมตตามหานิยม ป้องกันภูตผีปีศาจและโรคภัยไข้เจ็บ แคล้วคลาดอันตราย ความศักดิ์สิทธิ์ทางทางป้องกันอาวุธและทางเมตตามหานิยม >> ** หลวงพ่อดีท่านเป็นศิษย์สายหลวงพ่อครน***วัดสังฆสิทธาราม ได้สร้างขึ้นเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2481 เดิมมีนามว่า “ วัดตันหยงมัส ” ได้เปลี่ยนนามวัดเมื่อ พ.ศ. 2482 เป็นวัดสังฆสิทธาราม ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2492 หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ ได้รับฉายาว่า พระครูการุญญโสภณ เป็นเจ้าอาวาส องค์แรก ได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ณ วัดพระพุทธ ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก่อนที่หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์จะย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆสิทธิธาราม หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ ได้ย้ายไปอยู่วัดต่าง ๆ ดังนี้ 1.มิถุนายน พ.ศ. 2477 ย้ายไปอยู่ที่วัดราษฎร์สโมสร อ.รือเสาะ 2.สิงหาคม พ.ศ. 2479 ย้ายไปอยู่ที่วัดปริมังคลาวาส อ.สุไหงปาดี 3.กรกฎาคม พ.ศ.2480 ย้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดลอยประดิษฐ์ อ.สุไหงปาดี 4.สิงหาคม พ.ศ. 2483 ย้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสังฆสิทธิธาราม อ.ระแงะ หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูการุญญโสภณ ( ไม่ปรากกฏหลักฐานเมื่อไร ) พร้อมทั้งได้รับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอระแงะ จนกระทั่งได้ถึงแก่มรณภาพ อาพาธด้วยโรคชรา เมื่อ พ.ศ. 2518 รวมศิริอายุได้ 82 ปี 60 พรรษา เหตุผลที่หลวงพ่อดีวาจาสิทธิ์ เป็นที่กล่าวขานและนับถือของชาวบ้านและประชาชนทั่วไปว่า หลวงพ่อดีมีวาจาสิทธิ์ เพราะลิ้นของหลวงพ่อดีมีปานดำในอุ้งปากมาแต่กำเนิด ชาวบ้านจึงมีความเชื่อว่าผู้ที่มีลิ้นดำเวลาพูดอะไรออกไปแล้วจะเป็นดังคำที่พูด เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวบ้าน >> ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง หายากก พระสถาพใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pat Gelsinger ได้เข้ามาบริหาร Gloo บริษัทที่มุ่งสร้างเทคโนโลยีสำหรับองค์กรศรัทธาและชุมชนความเชื่อ เขามีแผนพัฒนาคลาวด์เฉพาะสำหรับวงการนี้ และผลักดันให้ AI เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยองค์กรศรัทธาเชื่อมต่อผู้คนและพัฒนาชุมชน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

    การพัฒนาคลาวด์เฉพาะวงการศรัทธา:
    - หนึ่งในโครงการแรกของ Gelsinger คือการสร้างคลาวด์ "Vertical Cloud" สำหรับองค์กรศรัทธา โดยเน้นให้ AI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชน.

    ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี AI:
    - Gloo ใช้โมเดล AI จาก DeepSeek เนื่องจากมีธรรมชาติแบบโอเพ่นซอร์สและสามารถรวมเข้ากับระบบได้ง่าย แม้จะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดลของ DeepSeek แต่ Gelsinger เน้นความโปร่งใสและการมีมาตรฐานในกระบวนการ.

    การนำเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างมนุษยธรรม:
    - เขาให้ความสำคัญกับการใช้ AI ที่ "ส่งเสริม" มากกว่าทำลาย เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีสนับสนุนประสบการณ์มนุษย์อย่างแท้จริง.

    เป้าหมายของ Gloo:
    - นอกจากจะเป็นพื้นที่ดิจิทัลสำหรับผู้นำศรัทธาแล้ว Gloo ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชน เช่น การกระจายสื่อคริสเตียน และสนับสนุนองค์กรศรัทธาในการเข้าถึงสมาชิกใหม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-becomes-executive-chairman-head-of-technology-at-church-focused-platform-gloo
    Pat Gelsinger ได้เข้ามาบริหาร Gloo บริษัทที่มุ่งสร้างเทคโนโลยีสำหรับองค์กรศรัทธาและชุมชนความเชื่อ เขามีแผนพัฒนาคลาวด์เฉพาะสำหรับวงการนี้ และผลักดันให้ AI เป็นเครื่องมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยองค์กรศรัทธาเชื่อมต่อผู้คนและพัฒนาชุมชน แนวคิดนี้สะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง การพัฒนาคลาวด์เฉพาะวงการศรัทธา: - หนึ่งในโครงการแรกของ Gelsinger คือการสร้างคลาวด์ "Vertical Cloud" สำหรับองค์กรศรัทธา โดยเน้นให้ AI มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชน. ความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี AI: - Gloo ใช้โมเดล AI จาก DeepSeek เนื่องจากมีธรรมชาติแบบโอเพ่นซอร์สและสามารถรวมเข้ากับระบบได้ง่าย แม้จะมีการโต้เถียงเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดลของ DeepSeek แต่ Gelsinger เน้นความโปร่งใสและการมีมาตรฐานในกระบวนการ. การนำเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างมนุษยธรรม: - เขาให้ความสำคัญกับการใช้ AI ที่ "ส่งเสริม" มากกว่าทำลาย เพื่อช่วยให้เทคโนโลยีสนับสนุนประสบการณ์มนุษย์อย่างแท้จริง. เป้าหมายของ Gloo: - นอกจากจะเป็นพื้นที่ดิจิทัลสำหรับผู้นำศรัทธาแล้ว Gloo ยังมีเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชน เช่น การกระจายสื่อคริสเตียน และสนับสนุนองค์กรศรัทธาในการเข้าถึงสมาชิกใหม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-becomes-executive-chairman-head-of-technology-at-church-focused-platform-gloo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • Vibe Coding เป็นแนวคิดใหม่ในวงการพัฒนาโปรแกรม โดยใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดให้นักพัฒนามีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์มากขึ้น นักพัฒนามืออาชีพต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงของวิธีนี้ หลายคนเชื่อว่า AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการพัฒนาโค้ดได้ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ AI ทำงานโดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัยและคุณภาพของโค้ด ซึ่งแนวคิดนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์และการศึกษา

    ประโยชน์ของ Vibe Coding:
    - ผู้พัฒนาบางรายรายงานว่า AI สามารถช่วยพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ได้รวดเร็ว เช่น การสร้างต้นแบบฟังก์ชันภายใน 20 นาที โดยลดเวลาที่ใช้ในการพัฒนาไปอย่างมาก.
    - Vibe Coding ทำให้นักพัฒนาสามารถมุ่งไปที่การแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และซับซ้อนมากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาทำงานที่ซ้ำซ้อน.

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง:
    - นักพัฒนามือใหม่หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ด อาจสร้างโค้ดที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หรือโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา.
    - การใช้ AI สร้างโค้ดโดยไม่มีมนุษย์ตรวจสอบอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด เช่น การใช้งานข้อมูลส่วนตัวผิดวิธี.

    ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการศึกษาและการเรียนรู้:
    - AI ไม่เพียงช่วยในด้านการพัฒนาโค้ดเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ เช่น การทำให้การเรียนการสอนมีความสร้างสรรค์และลดความกดดันจากการท่องจำ.

    https://www.zdnet.com/article/10-professional-developers-on-the-true-promise-and-peril-of-vibe-coding/
    Vibe Coding เป็นแนวคิดใหม่ในวงการพัฒนาโปรแกรม โดยใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดให้นักพัฒนามีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์มากขึ้น นักพัฒนามืออาชีพต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงของวิธีนี้ หลายคนเชื่อว่า AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการพัฒนาโค้ดได้ อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้ AI ทำงานโดยไม่มีการตรวจสอบ อาจเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัยและคุณภาพของโค้ด ซึ่งแนวคิดนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์และการศึกษา ประโยชน์ของ Vibe Coding: - ผู้พัฒนาบางรายรายงานว่า AI สามารถช่วยพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ได้รวดเร็ว เช่น การสร้างต้นแบบฟังก์ชันภายใน 20 นาที โดยลดเวลาที่ใช้ในการพัฒนาไปอย่างมาก. - Vibe Coding ทำให้นักพัฒนาสามารถมุ่งไปที่การแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และซับซ้อนมากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาทำงานที่ซ้ำซ้อน. ข้อจำกัดและความเสี่ยง: - นักพัฒนามือใหม่หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ด อาจสร้างโค้ดที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หรือโค้ดที่ยากต่อการบำรุงรักษา. - การใช้ AI สร้างโค้ดโดยไม่มีมนุษย์ตรวจสอบอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด เช่น การใช้งานข้อมูลส่วนตัวผิดวิธี. ความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการศึกษาและการเรียนรู้: - AI ไม่เพียงช่วยในด้านการพัฒนาโค้ดเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ เช่น การทำให้การเรียนการสอนมีความสร้างสรรค์และลดความกดดันจากการท่องจำ. https://www.zdnet.com/article/10-professional-developers-on-the-true-promise-and-peril-of-vibe-coding/
    WWW.ZDNET.COM
    10 professional developers on the true promise and peril of vibe coding
    Is vibe coding the future of software or a security nightmare in disguise? Here's how experienced developers are responding to the latest AI-fueled coding craze.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫

    📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

    🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า...

    "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯

    📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨

    พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว

    นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️

    พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย

    😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต

    ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า…

    ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥

    ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน

    👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น...

    - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊
    - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐
    - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉

    รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫

    อาการที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวง (Paranoia)
    - ความคิดหลงผิด (Delusions)
    - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง

    ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔

    ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่
    - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️
    - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭
    - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽
    - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน

    ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์

    ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️

    การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️

    🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯

    อาการเด่นที่สังเกตได้คือ
    - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม
    - อารมณ์ไม่คงที่
    - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน
    - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง

    💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร

    🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้
    📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด
    📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา
    📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร
    📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที

    🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย

    กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568

    📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    🕌🇸🇦 50 ปี ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุดีอาระเบีย ราชนัดดามีอาการทางจิต ปลิดชีพลุง 3 นัดซ้อน เสยคาง-ข้างหู เบื้องลึกโศกนาฏกรรมสะเทือนโลก 🕊️🔫 📌 ย้อนเหตุการณ์สะเทือนโลก เมื่อ 50 ปี ที่ผ่านมา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ไฟซาล แห่งซาอุฯ โดยเจ้าชายผู้มีอาการทางจิต พร้อมเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนไม่เคยรู้ ผลกระทบที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน 🕌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมแห่งราชวงศ์ซาอุฯ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518... เช้าวันอังคารที่เงียบเหงาในกรุงริยาด กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฏกรรมระดับโลก เมื่อ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยฝีมือของเจ้าชาย ซึ่งเป็น "หลานชายแท้ ๆ" จากการลอบยิงระยะประชิด 3 นัดซ้อน ในพระราชวังหลวง... 💔🔫 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสูญเสียของราชวงศ์ หากแต่ส่งผลสะเทือนทั้งโลก โดยเฉพาะโลกมุสลิม ที่ยังคงสั่นคลอน กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอย่างแท้จริงว่า... "ทำไมเจ้าชายจึงลั่นไก?" 🤯 📖 เรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ "สมเด็จพระราชาธิบดีไฟซาล บิน อับดุล อาซิซ อัล ซาอุด" ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2507 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะกษัตริย์ผู้มีวิสัยทัศน์ 🌍✨ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาน้ำมัน ⛽️ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 🏗️ การส่งเสริมการศึกษา 📚 และการวางแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ในระยะยาว นอกจากนี้ กษัตริย์ไฟซาลยังเป็นผู้นำ ในการต่อต้านอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว ในช่วงสงคราม Yom Kippur และมีบทบาทสำคัญในการใช้ “นโยบายน้ำมันเป็นอาวุธ” (Oil Weapon Policy) กดดันตะวันตก ในช่วงวิกฤตน้ำมันปี 2516 🛢️⚖️ พระองค์จึงเป็นทั้งผู้นำเชิงกลยุทธ์ และนักปฏิรูปผู้ทรงพลังของซาอุดีอาระเบีย 😱 เหตุการณ์ลอบสังหาร เช้าแห่งความมืดมิด เช้าวันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 ในพระราชวังหลวง กรุงริยาด 🇸🇦 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด" หลานชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ไฟซาล ได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดี พร้อมคณะผู้แทนจากประเทศคูเวต ขณะนั้นไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า… ทันทีที่กษัตริย์โน้มพระองค์ลง เพื่อจุมพิตเจ้าชายตามธรรมเนียม เจ้าชายกลับชักปืนพกสั้นออกมา แล้วยิงไปที่คางและข้างพระกรรณของกษัตริย์ 3 นัดซ้อน 🔫💥 ราชองครักษ์พยายามจะโต้ตอบทันที แต่ “ชีค อาห์เมด ซากีห์ ยามานี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้ตะโกนห้ามไม่ให้สังหารเจ้าชายผู้ก่อเหตุ ทำให้เจ้าชายถูกจับกุมแทน 👑 "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายมูซาอิด พระอนุชาของกษัตริย์ไฟซาล เคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 และมีประวัติพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่าง เช่น... - ถูกจับที่สหรัฯอเมริกา จากคดีครอบครองยาเสพติด 💊 - มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม และมีแนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตก 🌐 - เคยมีความขัดแย้งภายในราชวงศ์ 📉 รายงานจากนักจิตแพทย์หลายฝ่ายตรงกันว่า เจ้าชายทรงมีอาการ “โรคจิตเภท” (Schizophrenia) 😵‍💫 อาการที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวง (Paranoia) - ความคิดหลงผิด (Delusions) - พฤติกรรมรุนแรง และขาดการควบคุมตนเอง ❓ แรงจูงใจเบื้องหลังการลอบสังหาร แม้การสอบสวนจะสรุปว่า เจ้าชายไฟซาลก่อเหตุเพียงลำพัง แต่แรงจูงใจยังคงเป็นปริศนา 🤔 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ ได้แก่ - แก้แค้นให้เจ้าชายคาลิด พระเชษฐาซึ่งเสียชีวิตจากการต่อสู้ กับกองกำลังรัฐในปี 2509 ⚔️ - อาการป่วยจิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน 💭 - ความไม่พอใจต่อราชวงศ์ เจ้าชายรู้สึกถูกจำกัดเสรีภาพ หลังกลับจากสหรัฐฯ 🗽 - แรงกระตุ้นจากภายนอก บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมี "ตะวันตก" อยู่เบื้องหลัง 🤫 แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ⚖️ หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน "เจ้าชายไฟซาล บิน มูซาอิด" ถูกนำตัวขึ้นศาล ในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินให้ บั่นพระเศียรกลางจัตุรัสสาธารณะ ในกรุงริยาด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ ของซาอุดีอาระเบีย ✝️⚔️ การลงโทษต่อหน้าประชาชน ถูกใช้เพื่อส่งสารถึงประชาชนว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้จะเป็นเจ้าชายก็ตาม 👑❌⚖️ 🧠 จิตวิทยากับโศกนาฏกรรม ความเชื่อมโยงของ "โรคจิตเภท" จากคำวินิจฉัยของคณะจิตแพทย์พบว่าเจ้าชายไฟซาลมีอาการของ "โรคจิตเภท" ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดที่หลงผิด ไม่สามารถแยกแยะความจริง จากจินตนาการได้อย่างถูกต้อง 🤯 อาการเด่นที่สังเกตได้คือ - ความหวาดระแวงว่า ถูกคุกคาม - อารมณ์ไม่คงที่ - มีการตัดสินใจที่ผิดเพี้ยน - การรับรู้ผิดปกติอย่างรุนแรง 💡สิ่งสำคัญคือ โรคจิตเภทไม่ใช่ความผิดของผู้ป่วย แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้น การวินิจฉัยและการรักษา ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร 🕵️‍♂️ เรื่องจริงที่โลกไม่ค่อยรู้ 📌 เจ้าชายเคยถูกจับในสหรัฐอเมริกา ในคดีครอบครองยาเสพติด 📌 กษัตริย์ไฟซาลมีเป้าหมายลดการพึ่งพาน้ำมัน พัฒนาการศึกษา 📌 บางแหล่งข่าวสงสัยว่า ตะวันตกอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 📌 "ชีค ยามานี" รัฐมนตรีน้ำมัน เป็นผู้หยุดราชองครักษ์ ไม่ให้สังหารเจ้าชายทันที 🧩 โศกนาฏกรรมที่กลายเป็นบทเรียนแห่งโลก สะท้อนให้เห็นว่า... แม้จะอยู่ในพระราชวังสูงสุด หรือมีพระยศสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจหนีจาก "ความเป็นมนุษย์" และ "ความเปราะบางของจิตใจ" ได้เลย กษัตริย์ไฟซาล อาจจากโลกนี้ไปด้วยความเจ็บปวด... แต่พระองค์ได้ทิ้งมรดกแห่งวิสัยทัศน์ ไว้ให้ซาอุดีอาระเบียก้าวหน้า ต่อมาอีกหลายทศวรรษ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251024 มี.ค. 2568 📲 #กษัตริย์ไฟซาล #ลอบสังหารซาอุ #ประวัติศาสตร์ซาอุ #โศกนาฏกรรมซาอุดีอาระเบีย #จิตเวชในราชวงศ์ #ซาอุยุค70 #เจ้าชายไฟซาล #ราชวงศ์อาหรับ #เรื่องจริงไม่เคยรู้ #FaisalBinAbdulAziz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 ปี โศกนาฏกรรม Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 เครื่องบินตกที่เทือกเขาแอลป์ จากเหตุ “นักบินผู้ช่วยป่วยจิต” เจตนาฆ่ายกลำ 150 ศพ!

    ✈️ เหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบิน Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางอากาศ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์การบินของเยอรมนี และกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ ที่ยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 10 ปีแล้ว 🚨

    เพราะสิ่งที่ยิ่งกว่าความสูญเสียคือ “ข้อเท็จจริงอันน่าสยดสยอง” ว่าผู้ช่วยนักบิน ตั้งใจทำให้เครื่องบินตก นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้โดยสาร และลูกเรือทั้ง 150 คนบนเครื่อง ✈️

    ✈️ โศกนาฏกรรม เที่ยวบิน 4U9525 วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10:41 น. สายการบิน Germanwings เที่ยวบินที่ 4U9525 ได้บินจากบาร์เซโลนา ประเทศสเปน มุ่งหน้าสู่ดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี ด้วยเครื่องบิน Airbus A320-200 ที่มีอายุการใช้งาน 24 ปี ผู้โดยสารบนเครื่องมีทั้งหมด 144 คน และลูกเรือ 6 คน รวมถึงกัปตัน " แพทริก ซอน เดนไฮเมอร์" (Patrick Son Denheimer) และผู้ช่วยนักบิน "อันเดรียส ลูบริซ" (Andreas Lubitz) 👨‍✈️

    การเดินทางที่ควรจะ "ปกติ" เริ่มต้นได้อย่างราบรื่น เครื่องบินไต่ระดับขึ้นไปที่ 38,000 ฟุต ⛰️ แต่เพียงไม่นาน... เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงอย่างผิดปกติ โดยไม่มีการติดต่อกลับจากนักบินผู้ช่วย ⚠️

    🚨 สิบนาทีสุดท้าย ก่อนพุ่งชนเทือกเขาแอลป์ ในช่วงเวลาสิบกว่านาทีสุดท้ายของเที่ยวบิน ลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วย ได้ใช้โอกาสที่กัปตันเดนไฮเมอร์ ออกไปจากห้องนักบิน กดล็อกประตูไม่ให้กัปตันกลับเข้าไป และตั้งค่าระบบนำร่องอัตโนมัติ ให้เครื่องบินพุ่งต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งชนภูเขาในเขต Massif des Trois-Évêchés ของเทือกเขาแอลป์ 🏔️

    เสียงในห้องนักบินที่บันทึกโดยกล่องดำ (CVR) เผยให้เห็นว่าลูบิตซ์เงียบตลอดเวลาดำเนินการ และไม่ตอบสนองต่อการติดต่อใดๆ แม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของกัปตันเดนไฮเมอร์ และเสียงกรีดร้องของผู้โดยสาร ที่ตระหนักถึงชะตากรรมของตนเอง 😢

    ⚠️ นักบินผู้ช่วยที่ป่วยจิต… และระบบที่พังทลาย ลูบิตซ์มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า และมีอาการจิตเวชที่ซับซ้อนมาก่อน เคยหยุดการฝึกบินกลางคันในปี 2552 ด้วยปัญหาทางจิตใจ แต่ได้รับใบรับรองแพทย์คืนหลังจากผ่านการรักษา ✅

    แม้จะหายป่วยในช่วงหนึ่ง แต่ภายหลังอาการกลับมาอีกครั้งในปี 2557-2558 โดยไม่มีใครในสายการบินรับรู้ เพราะลูบิตซ์เลือก "ปกปิด" ไม่แจ้งข้อมูลนี้กับบริษัท และเพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวสูญเสียอาชีพการบิน ที่หลงใหลมาตลอดชีวิต 🛩️

    👉 ปัญหานี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง ในระบบตรวจสอบสุขภาพจิตของนักบิน ที่เน้นแต่การคัดกรองและป้องกัน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบสนับสนุน และการฟื้นฟูผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างแท้จริง

    🔍 เบื้องหลังอาชญากรรม "อันเดรียส ลูบิตซ์" เป็นชายหนุ่มชาวเยอรมัน ที่เติบโตในเมือง Montabaur รักการบินมาตั้งแต่เด็ก เริ่มฝึกบินเครื่องร่อนตั้งแต่อายุ 14 ปี มีเส้นทางที่ดูเหมือนจะรุ่งโรจน์ในอาชีพนักบิน แต่ด้วยปัญหาสุขภาพจิต ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ทำให้กลายเป็นฆาตกรในคราบนักบิน ✈️

    ลูบิตซ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง เคยมีความคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง และสุดท้าย ก็เลือกจบชีวิตตัวเองบนเครื่องบิน พร้อมกับพรากชีวิตคนอีก 149 คนไปพร้อมกัน ⚰️

    📜 มาตรการความปลอดภัย ที่เปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์
    มาตรการเร่งด่วนที่ถูกนำมาใช้ทันที
    - ต้องมีนักบินสองคนในห้องนักบินตลอดเวลา (Two-Person Cockpit Rule)
    - เข้มงวดกับการตรวจสุขภาพจิตของนักบินมากขึ้น 📝
    - ให้สิทธิ์แพทย์ ในการแจ้งข้อมูลสุขภาพจิตของนักบิน ในกรณีเสี่ยงต่อความปลอดภัย ⚖️

    แต่ปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่านโยบายเหล่านี้ อาจไม่ได้ป้องกันปัญหาที่แท้จริง เพราะระบบยังคงขาดความยืดหยุ่น ในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของนักบิน 😔

    💡 บทเรียนที่ยังคงถูกถกเถียงในวงการการบิน
    - นักบินหลายคนเลือก "โกหก" เพื่อไม่ให้ประวัติสุขภาพจิต มาทำลายอาชีพการบินของตนเอง
    - ความเข้มงวดเกินไปในระบบใบรับรองแพทย์ อาจทำให้ปัญหาซ่อนอยู่ มากกว่าการเปิดเผยความจริง
    - จำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมการยอมรับและสนับสนุน ไม่ใช่การลงโทษคนที่ขอความช่วยเหลือ

    🎯 คำถามคือ เราจะป้องกันไม่ให้เกิด "Andreas Lubitz คนต่อไป" ได้อย่างไร?

    ✨ เหตุการณ์ที่โลกไม่มีวันลืม โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน 4U9525 เป็นตัวอย่างสะท้อนความสำคัญ ของการตรวจสอบสุขภาพจิตนักบิน อย่างเป็นระบบและมีมนุษยธรรม หากไม่มีการปรับปรุง ระบบเดิมจะยังคงสร้างช่องว่าง ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นได้อีกครั้ง 💔

    10 ปีผ่านไป... แต่รอยแผลจากวันนั้นยังคงอยู่ และคำถามที่ไร้คำตอบก็คือ "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งนี้จะป้องกันได้ไหม?" ⏳

    ✈️ ความเชื่อใจในนักบินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ "ระบบ" ที่สนับสนุนความปลอดภัยนั้น สำคัญยิ่งกว่า!

    10 ปีแห่งบทเรียนที่ไม่มีวันลืม...

    🕊️ เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องฟ้า 🌤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241018 มี.ค. 2568

    📌 #เที่ยวบิน9525 #Germanwings #โศกนาฏกรรมการบิน #AndreasLubitz #สุขภาพจิตนักบิน #โศกนาฏกรรมเยอรมันวิงส์ #ความปลอดภัยทางการบิน #ห้องนักบิน #อุบัติเหตุการบิน #บินปลอดภัย
    10 ปี โศกนาฏกรรม Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 เครื่องบินตกที่เทือกเขาแอลป์ จากเหตุ “นักบินผู้ช่วยป่วยจิต” เจตนาฆ่ายกลำ 150 ศพ! ✈️ เหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบิน Germanwings เที่ยวบิน 4U9525 ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางอากาศ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์การบินของเยอรมนี และกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ ที่ยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 10 ปีแล้ว 🚨 เพราะสิ่งที่ยิ่งกว่าความสูญเสียคือ “ข้อเท็จจริงอันน่าสยดสยอง” ว่าผู้ช่วยนักบิน ตั้งใจทำให้เครื่องบินตก นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้โดยสาร และลูกเรือทั้ง 150 คนบนเครื่อง ✈️ ✈️ โศกนาฏกรรม เที่ยวบิน 4U9525 วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10:41 น. สายการบิน Germanwings เที่ยวบินที่ 4U9525 ได้บินจากบาร์เซโลนา ประเทศสเปน มุ่งหน้าสู่ดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี ด้วยเครื่องบิน Airbus A320-200 ที่มีอายุการใช้งาน 24 ปี ผู้โดยสารบนเครื่องมีทั้งหมด 144 คน และลูกเรือ 6 คน รวมถึงกัปตัน " แพทริก ซอน เดนไฮเมอร์" (Patrick Son Denheimer) และผู้ช่วยนักบิน "อันเดรียส ลูบริซ" (Andreas Lubitz) 👨‍✈️ การเดินทางที่ควรจะ "ปกติ" เริ่มต้นได้อย่างราบรื่น เครื่องบินไต่ระดับขึ้นไปที่ 38,000 ฟุต ⛰️ แต่เพียงไม่นาน... เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงอย่างผิดปกติ โดยไม่มีการติดต่อกลับจากนักบินผู้ช่วย ⚠️ 🚨 สิบนาทีสุดท้าย ก่อนพุ่งชนเทือกเขาแอลป์ ในช่วงเวลาสิบกว่านาทีสุดท้ายของเที่ยวบิน ลูบิตซ์ นักบินผู้ช่วย ได้ใช้โอกาสที่กัปตันเดนไฮเมอร์ ออกไปจากห้องนักบิน กดล็อกประตูไม่ให้กัปตันกลับเข้าไป และตั้งค่าระบบนำร่องอัตโนมัติ ให้เครื่องบินพุ่งต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งชนภูเขาในเขต Massif des Trois-Évêchés ของเทือกเขาแอลป์ 🏔️ เสียงในห้องนักบินที่บันทึกโดยกล่องดำ (CVR) เผยให้เห็นว่าลูบิตซ์เงียบตลอดเวลาดำเนินการ และไม่ตอบสนองต่อการติดต่อใดๆ แม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของกัปตันเดนไฮเมอร์ และเสียงกรีดร้องของผู้โดยสาร ที่ตระหนักถึงชะตากรรมของตนเอง 😢 ⚠️ นักบินผู้ช่วยที่ป่วยจิต… และระบบที่พังทลาย ลูบิตซ์มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า และมีอาการจิตเวชที่ซับซ้อนมาก่อน เคยหยุดการฝึกบินกลางคันในปี 2552 ด้วยปัญหาทางจิตใจ แต่ได้รับใบรับรองแพทย์คืนหลังจากผ่านการรักษา ✅ แม้จะหายป่วยในช่วงหนึ่ง แต่ภายหลังอาการกลับมาอีกครั้งในปี 2557-2558 โดยไม่มีใครในสายการบินรับรู้ เพราะลูบิตซ์เลือก "ปกปิด" ไม่แจ้งข้อมูลนี้กับบริษัท และเพื่อนร่วมงาน เพราะกลัวสูญเสียอาชีพการบิน ที่หลงใหลมาตลอดชีวิต 🛩️ 👉 ปัญหานี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่อง ในระบบตรวจสอบสุขภาพจิตของนักบิน ที่เน้นแต่การคัดกรองและป้องกัน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบสนับสนุน และการฟื้นฟูผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างแท้จริง 🔍 เบื้องหลังอาชญากรรม "อันเดรียส ลูบิตซ์" เป็นชายหนุ่มชาวเยอรมัน ที่เติบโตในเมือง Montabaur รักการบินมาตั้งแต่เด็ก เริ่มฝึกบินเครื่องร่อนตั้งแต่อายุ 14 ปี มีเส้นทางที่ดูเหมือนจะรุ่งโรจน์ในอาชีพนักบิน แต่ด้วยปัญหาสุขภาพจิต ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ทำให้กลายเป็นฆาตกรในคราบนักบิน ✈️ ลูบิตซ์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง เคยมีความคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง และสุดท้าย ก็เลือกจบชีวิตตัวเองบนเครื่องบิน พร้อมกับพรากชีวิตคนอีก 149 คนไปพร้อมกัน ⚰️ 📜 มาตรการความปลอดภัย ที่เปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ มาตรการเร่งด่วนที่ถูกนำมาใช้ทันที - ต้องมีนักบินสองคนในห้องนักบินตลอดเวลา (Two-Person Cockpit Rule) - เข้มงวดกับการตรวจสุขภาพจิตของนักบินมากขึ้น 📝 - ให้สิทธิ์แพทย์ ในการแจ้งข้อมูลสุขภาพจิตของนักบิน ในกรณีเสี่ยงต่อความปลอดภัย ⚖️ แต่ปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่านโยบายเหล่านี้ อาจไม่ได้ป้องกันปัญหาที่แท้จริง เพราะระบบยังคงขาดความยืดหยุ่น ในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตของนักบิน 😔 💡 บทเรียนที่ยังคงถูกถกเถียงในวงการการบิน - นักบินหลายคนเลือก "โกหก" เพื่อไม่ให้ประวัติสุขภาพจิต มาทำลายอาชีพการบินของตนเอง - ความเข้มงวดเกินไปในระบบใบรับรองแพทย์ อาจทำให้ปัญหาซ่อนอยู่ มากกว่าการเปิดเผยความจริง - จำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมการยอมรับและสนับสนุน ไม่ใช่การลงโทษคนที่ขอความช่วยเหลือ 🎯 คำถามคือ เราจะป้องกันไม่ให้เกิด "Andreas Lubitz คนต่อไป" ได้อย่างไร? ✨ เหตุการณ์ที่โลกไม่มีวันลืม โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน 4U9525 เป็นตัวอย่างสะท้อนความสำคัญ ของการตรวจสอบสุขภาพจิตนักบิน อย่างเป็นระบบและมีมนุษยธรรม หากไม่มีการปรับปรุง ระบบเดิมจะยังคงสร้างช่องว่าง ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นได้อีกครั้ง 💔 10 ปีผ่านไป... แต่รอยแผลจากวันนั้นยังคงอยู่ และคำถามที่ไร้คำตอบก็คือ "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งนี้จะป้องกันได้ไหม?" ⏳ ✈️ ความเชื่อใจในนักบินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ "ระบบ" ที่สนับสนุนความปลอดภัยนั้น สำคัญยิ่งกว่า! 10 ปีแห่งบทเรียนที่ไม่มีวันลืม... 🕊️ เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องฟ้า 🌤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241018 มี.ค. 2568 📌 #เที่ยวบิน9525 #Germanwings #โศกนาฏกรรมการบิน #AndreasLubitz #สุขภาพจิตนักบิน #โศกนาฏกรรมเยอรมันวิงส์ #ความปลอดภัยทางการบิน #ห้องนักบิน #อุบัติเหตุการบิน #บินปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดโพยบัญชีม้า BNKMASTER ถึง “โจ๊ก” และเครือข่ายกว่า 10 ล้าน จ่ายค่ากรมธรรม์-ค่ากฐิน ยันค่าทางด่วน
    .
    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ออกคำสั่งที่ 159/2568 ลงโทษไล่ออกจากราชการข้าราชการตำรวจ 5 นาย รวมถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. เนื่องจากพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์ BNKMASTER และมีการรับเงินจากบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเว็บดังกล่าวเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว โดยมีหลักฐานการทำธุรกรรมที่ชัดเจน เช่น การชำระค่าประกันชีวิต ค่ารักษาพยาบาล ค่าคอนโด ค่าน้ำไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าแม่บ้าน ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าทำบุญ และค่าผ่านทางพิเศษ รวมมูลค่าหลายล้านบาท จากพยานหลักฐานทั้งหมด คณะกรรมการสอบสวนวินัยจึงมีมติให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027625
    เปิดโพยบัญชีม้า BNKMASTER ถึง “โจ๊ก” และเครือข่ายกว่า 10 ล้าน จ่ายค่ากรมธรรม์-ค่ากฐิน ยันค่าทางด่วน . สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ออกคำสั่งที่ 159/2568 ลงโทษไล่ออกจากราชการข้าราชการตำรวจ 5 นาย รวมถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. เนื่องจากพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์ BNKMASTER และมีการรับเงินจากบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเว็บดังกล่าวเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว โดยมีหลักฐานการทำธุรกรรมที่ชัดเจน เช่น การชำระค่าประกันชีวิต ค่ารักษาพยาบาล ค่าคอนโด ค่าน้ำไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าแม่บ้าน ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าทำบุญ และค่าผ่านทางพิเศษ รวมมูลค่าหลายล้านบาท จากพยานหลักฐานทั้งหมด คณะกรรมการสอบสวนวินัยจึงมีมติให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027625
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 751 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรเจกต์ทดลอง Newskit ราคา 20 บาท

    เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และ Thaitimes เป็นหลัก ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร

    ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา เราไม่มีรายได้จากการทำเพจเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่การแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่บางครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา ที่ผ่านมาบนโซเชียลฯ มีรูปแบบการหารายได้จากผู้บริโภคสื่อแตกต่างกันไป ทั้งการลงสปอนเซอร์ การทำ Advertorial ซึ่งจะพบเห็นเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์รายใหญ่ การขายสินค้า การเป็นนายหน้า การตลาดแบบพันธมิตร (Affiliate) การทำ TIPS BOX ออนไลน์ หรือการระบุเลขที่บัญชีธนาคารโดยตรง ซึ่งเราไม่อยากรบกวนผู้อ่านมากขนาดนั้น

    ด้วยสถานะการเป็นสื่อมวลชน นอกจากไม่ควรการันตีความดีความชั่วของใคร แต่มุ่งยึดถือประโยชน์แก่สาธารณะเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าการทำหน้าที่ของเราจะตรงใจผู้อ่านได้ตลอดไป จึงไม่อยากถูกกล่าวหาว่าทรยศความเชื่อใจ ในวันที่ผู้อ่านมองว่าเราเปลี่ยนไป การเปิดรับบริจาคหรือโอนเงินโดยตรง อาจเป็นการแบกรับความคาดหวังจากผู้อ่านมากเกินไป กระทั่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ขณะที่หนังสือพิมพ์ยังมีการวางจำหน่าย ถือเป็นสินค้าที่ซื้อขายตามความพึงพอใจของผู้อ่าน

    จากเหตุผลดังกล่าว เราจึงมีกิมมิกด้วยการตั้งราคา 20 บาท เหมือนหนังสือพิมพ์ธุรกิจ โดยทดลองใช้พร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด (PromptPay QR Code) ปกติแล้วเราจะนำเสนอเรื่องราววันละ 1-2 เรื่อง แต่คิวอาร์โค้ดจะแสดงเฉพาะหน้าปก Newskit ของแต่ละวันเท่านั้น ถ้าผู้อ่านชื่นชอบเรื่องราวของเรา สามารถสแกนจ่ายครั้งละ 20 บาท เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเรา โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ไม่ต้องจ่ายรายเดือน แม้เราคงไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ที่เชื่อว่าไม่มีใครทำมาก่อน

    โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" e-Wallet ID 073-15-xxxxxx-1311 ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH BANK บัญชีเดียวเท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง

    เราจะทดลองติดตั้ง QR Code เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มี.ค.2568 ถึงวันศุกร์ที่ 11 เม.ย.2568 เว้นแต่จะมีกรณีเป็นอย่างอื่น ขอขอบคุณทุกการติดตามและสนับสนุนเราตลอดมา

    #Newskit
    โปรเจกต์ทดลอง Newskit ราคา 20 บาท เพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และ Thaitimes เป็นหลัก ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา เราไม่มีรายได้จากการทำเพจเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่การแสวงหาข้อมูลเพื่อนำมาเขียน โดยเฉพาะการลงพื้นที่บางครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา ที่ผ่านมาบนโซเชียลฯ มีรูปแบบการหารายได้จากผู้บริโภคสื่อแตกต่างกันไป ทั้งการลงสปอนเซอร์ การทำ Advertorial ซึ่งจะพบเห็นเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์รายใหญ่ การขายสินค้า การเป็นนายหน้า การตลาดแบบพันธมิตร (Affiliate) การทำ TIPS BOX ออนไลน์ หรือการระบุเลขที่บัญชีธนาคารโดยตรง ซึ่งเราไม่อยากรบกวนผู้อ่านมากขนาดนั้น ด้วยสถานะการเป็นสื่อมวลชน นอกจากไม่ควรการันตีความดีความชั่วของใคร แต่มุ่งยึดถือประโยชน์แก่สาธารณะเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าการทำหน้าที่ของเราจะตรงใจผู้อ่านได้ตลอดไป จึงไม่อยากถูกกล่าวหาว่าทรยศความเชื่อใจ ในวันที่ผู้อ่านมองว่าเราเปลี่ยนไป การเปิดรับบริจาคหรือโอนเงินโดยตรง อาจเป็นการแบกรับความคาดหวังจากผู้อ่านมากเกินไป กระทั่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ขณะที่หนังสือพิมพ์ยังมีการวางจำหน่าย ถือเป็นสินค้าที่ซื้อขายตามความพึงพอใจของผู้อ่าน จากเหตุผลดังกล่าว เราจึงมีกิมมิกด้วยการตั้งราคา 20 บาท เหมือนหนังสือพิมพ์ธุรกิจ โดยทดลองใช้พร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด (PromptPay QR Code) ปกติแล้วเราจะนำเสนอเรื่องราววันละ 1-2 เรื่อง แต่คิวอาร์โค้ดจะแสดงเฉพาะหน้าปก Newskit ของแต่ละวันเท่านั้น ถ้าผู้อ่านชื่นชอบเรื่องราวของเรา สามารถสแกนจ่ายครั้งละ 20 บาท เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเรา โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ไม่ต้องจ่ายรายเดือน แม้เราคงไม่คาดหวังรายได้จากตรงนี้มากนัก เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ที่เชื่อว่าไม่มีใครทำมาก่อน โปรดสังเกตชื่อบัญชีปลายทางเป็น "นายกิตตินันท์ นาคทอง" e-Wallet ID 073-15-xxxxxx-1311 ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH BANK บัญชีเดียวเท่านั้น ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง เราจะทดลองติดตั้ง QR Code เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มี.ค.2568 ถึงวันศุกร์ที่ 11 เม.ย.2568 เว้นแต่จะมีกรณีเป็นอย่างอื่น ขอขอบคุณทุกการติดตามและสนับสนุนเราตลอดมา #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts