• คู่รัก: ตัวแปรสำคัญของใจและชีวิต

    1. การเลือกคู่รัก = การเลือกใจตัวเอง
    การใช้ชีวิตร่วมกันกับคนรัก ไม่ใช่เพียงการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเองบางส่วนเพื่อความเข้ากันได้ เช่น

    ปรับวิธีพูดคุยและแก้ไขความขัดแย้งด้วยเหตุผล

    ปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิต เช่น จะอยู่เพื่อครอบครัวเล็กหรือใหญ่

    ปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมกัน


    2. คนรัก: อิทธิพลสำคัญในชีวิต

    ด้านลบ: คนรักอาจเป็นตัวกระตุ้นให้นิสัยแย่ๆ ของคุณรุนแรงขึ้น เช่น

    ยุยงให้โกหก หรือปั่นหัวให้เกิดความทุกข์

    ทำให้คุณเจ้าอารมณ์หรือเกิดความเครียดจากนิสัยไม่ดีของเขา


    ด้านบวก: คนรักสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ เช่น

    สร้างนิสัยการช่วยเหลือ การทำบุญ หรือการเสียสละ

    เป็นแบบอย่างของการควบคุมอารมณ์และการคิดบวก



    3. คนรัก: ตัวแปรที่เปลี่ยนกรรม
    การใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่ดีสามารถเปลี่ยนกรรมของคุณได้:

    หากเขาแสดงออกถึงความมีเมตตา คุณอาจซึมซับนิสัยดีๆ นั้นมาโดยไม่รู้ตัว

    หากเขามีวิธีคิดที่ทำให้คุณเห็นคุณค่าของชีวิต คุณอาจพัฒนาตัวเองและกรรมของคุณไปในทางที่ดีขึ้น


    4. การเลือกคู่รักที่ดี

    มองลึกกว่าภายนอก: อย่าดูแค่ลักษณะภายนอก แต่ให้ดูพฤติกรรมและวิธีคิด

    มองหาคนที่พัฒนาไปด้วยกัน: เลือกคนที่ช่วยเสริมให้คุณดีขึ้น และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน


    5. สรุป:
    การเลือกคู่รักที่ดีเท่ากับการเลือกใจของตัวเอง เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมทั้งคุณและเขาให้เป็นคนที่ดีขึ้น เป็นแรงผลักดันให้คุณเติบโตในชีวิตและจิตใจ และเปลี่ยนกรรมที่ติดตัวมาให้กลายเป็นสิ่งดีงามในระยะยาว.

    คู่รัก: ตัวแปรสำคัญของใจและชีวิต 1. การเลือกคู่รัก = การเลือกใจตัวเอง การใช้ชีวิตร่วมกันกับคนรัก ไม่ใช่เพียงการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเองบางส่วนเพื่อความเข้ากันได้ เช่น ปรับวิธีพูดคุยและแก้ไขความขัดแย้งด้วยเหตุผล ปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิต เช่น จะอยู่เพื่อครอบครัวเล็กหรือใหญ่ ปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมกัน 2. คนรัก: อิทธิพลสำคัญในชีวิต ด้านลบ: คนรักอาจเป็นตัวกระตุ้นให้นิสัยแย่ๆ ของคุณรุนแรงขึ้น เช่น ยุยงให้โกหก หรือปั่นหัวให้เกิดความทุกข์ ทำให้คุณเจ้าอารมณ์หรือเกิดความเครียดจากนิสัยไม่ดีของเขา ด้านบวก: คนรักสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ เช่น สร้างนิสัยการช่วยเหลือ การทำบุญ หรือการเสียสละ เป็นแบบอย่างของการควบคุมอารมณ์และการคิดบวก 3. คนรัก: ตัวแปรที่เปลี่ยนกรรม การใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่ดีสามารถเปลี่ยนกรรมของคุณได้: หากเขาแสดงออกถึงความมีเมตตา คุณอาจซึมซับนิสัยดีๆ นั้นมาโดยไม่รู้ตัว หากเขามีวิธีคิดที่ทำให้คุณเห็นคุณค่าของชีวิต คุณอาจพัฒนาตัวเองและกรรมของคุณไปในทางที่ดีขึ้น 4. การเลือกคู่รักที่ดี มองลึกกว่าภายนอก: อย่าดูแค่ลักษณะภายนอก แต่ให้ดูพฤติกรรมและวิธีคิด มองหาคนที่พัฒนาไปด้วยกัน: เลือกคนที่ช่วยเสริมให้คุณดีขึ้น และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน 5. สรุป: การเลือกคู่รักที่ดีเท่ากับการเลือกใจของตัวเอง เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมทั้งคุณและเขาให้เป็นคนที่ดีขึ้น เป็นแรงผลักดันให้คุณเติบโตในชีวิตและจิตใจ และเปลี่ยนกรรมที่ติดตัวมาให้กลายเป็นสิ่งดีงามในระยะยาว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฐานะทางการเงินและบารมีในชีวิต

    1. ทานและศีล: กำลังหนุนจากกรรมเก่า

    การทำทานและรักษาศีลในอดีตชาติ เป็น “หัวรถจักร” ที่ส่งผลต่อพื้นฐานของชีวิตในปัจจุบัน

    แต่ในปัจจุบัน ทานที่ทำใหม่มักมาในรูปแบบ “กำลังหนุน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทันตาเห็น

    ดังนั้น การทำบุญในชาตินี้คือการสะสมบารมีเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันต้องพึ่งพากรรมดีในอดีตและความพยายามในปัจจุบัน


    2. ความฉลาดในปัจจุบัน: ตัวพลิกสถานการณ์

    ผลของกรรมเก่าให้ “ความน่าจะเป็น” หรือโอกาส แต่การใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาและความพยายาม

    หากกรรมเก่าไม่สนับสนุน ต้องเริ่มสร้างหัวรถจักรใหม่ด้วยการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะและมุมมองที่เหมาะสม



    ---

    การสร้างบารมีของเจ้านาย: ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความเพียร

    3. คุณสมบัติของผู้ที่เตรียมตัวเป็นเจ้านาย

    “เต็มใจ” ทำงานหนัก: ไม่มองงานเป็นภาระ แต่มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพิสูจน์ตนเอง

    “มีหัวคิด” ก้าวหน้า: คิดหาทางปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น

    “ไม่ยอมอยู่ที่เดิม”: มีแรงขับในตัวเองที่จะพัฒนาไปสู่บทบาทที่สูงขึ้น


    4. ความเป็นเจ้านายเกิดจากอะไร?

    ความเป็นเจ้านายไม่ได้มาจากการบังคับบัญชา แต่เกิดจากความสามารถในการนำและการเสียสละ

    ผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างที่ดี ย่อมเข้าใจความลำบากของลูกจ้าง และใช้ความเข้าใจนี้สร้างบารมีในการเป็นผู้นำ



    ---

    5. การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: กุญแจสำคัญในการสร้างฐานะ

    กรรมเก่า: เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการกำหนดโอกาส

    วิธีใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เป็นตัวกำหนดว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไรให้เกิดผลดี

    การขยันอดทน มีวินัย ใช้ทรัพยากรและโอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้


    6. สรุป: กรรมใหม่สร้างอนาคต

    ถ้าพื้นฐานชีวิตปัจจุบันยังไม่ดีพอ ให้เริ่มสร้างบารมีใหม่ด้วยความตั้งใจดี

    ไม่มีใครถูกกำหนดให้ติดอยู่ในฐานะเดิม หากลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยความเพียรและปัญญา

    การเปลี่ยนฐานะและบารมี เริ่มต้นจากความคิดและการกระทำในวันนี้เอง.


    ฐานะทางการเงินและบารมีในชีวิต 1. ทานและศีล: กำลังหนุนจากกรรมเก่า การทำทานและรักษาศีลในอดีตชาติ เป็น “หัวรถจักร” ที่ส่งผลต่อพื้นฐานของชีวิตในปัจจุบัน แต่ในปัจจุบัน ทานที่ทำใหม่มักมาในรูปแบบ “กำลังหนุน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทันตาเห็น ดังนั้น การทำบุญในชาตินี้คือการสะสมบารมีเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันต้องพึ่งพากรรมดีในอดีตและความพยายามในปัจจุบัน 2. ความฉลาดในปัจจุบัน: ตัวพลิกสถานการณ์ ผลของกรรมเก่าให้ “ความน่าจะเป็น” หรือโอกาส แต่การใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาและความพยายาม หากกรรมเก่าไม่สนับสนุน ต้องเริ่มสร้างหัวรถจักรใหม่ด้วยการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะและมุมมองที่เหมาะสม --- การสร้างบารมีของเจ้านาย: ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความเพียร 3. คุณสมบัติของผู้ที่เตรียมตัวเป็นเจ้านาย “เต็มใจ” ทำงานหนัก: ไม่มองงานเป็นภาระ แต่มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพิสูจน์ตนเอง “มีหัวคิด” ก้าวหน้า: คิดหาทางปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น “ไม่ยอมอยู่ที่เดิม”: มีแรงขับในตัวเองที่จะพัฒนาไปสู่บทบาทที่สูงขึ้น 4. ความเป็นเจ้านายเกิดจากอะไร? ความเป็นเจ้านายไม่ได้มาจากการบังคับบัญชา แต่เกิดจากความสามารถในการนำและการเสียสละ ผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างที่ดี ย่อมเข้าใจความลำบากของลูกจ้าง และใช้ความเข้าใจนี้สร้างบารมีในการเป็นผู้นำ --- 5. การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: กุญแจสำคัญในการสร้างฐานะ กรรมเก่า: เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการกำหนดโอกาส วิธีใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เป็นตัวกำหนดว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไรให้เกิดผลดี การขยันอดทน มีวินัย ใช้ทรัพยากรและโอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ 6. สรุป: กรรมใหม่สร้างอนาคต ถ้าพื้นฐานชีวิตปัจจุบันยังไม่ดีพอ ให้เริ่มสร้างบารมีใหม่ด้วยความตั้งใจดี ไม่มีใครถูกกำหนดให้ติดอยู่ในฐานะเดิม หากลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยความเพียรและปัญญา การเปลี่ยนฐานะและบารมี เริ่มต้นจากความคิดและการกระทำในวันนี้เอง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตราดหนาวสุดในรอบหลายปีอุณหภูมิลดเหลือ 19 องศา ทำนักเรียน -ประชาชนต่างพากันสวมเสื้อกันหนาวทำกิจกรรมนอกบ้าน ส่วนค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน โรงเรียนต้องเตือน นร.สวมหน้ากากอนามัย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003847

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตราดหนาวสุดในรอบหลายปีอุณหภูมิลดเหลือ 19 องศา ทำนักเรียน -ประชาชนต่างพากันสวมเสื้อกันหนาวทำกิจกรรมนอกบ้าน ส่วนค่าฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน โรงเรียนต้องเตือน นร.สวมหน้ากากอนามัย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003847 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1019 มุมมอง 0 รีวิว
  • #HPylori มันคือสาเหตุการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) เป็นแบคทีเรียประเภทที่พบได้บ่อยและใช่ มันเป็นโรคติดต่อที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติแล้วแบคทีเรียจะเข้าสู่ปากและเข้าสู่ทางเดินอาหารเชื้อโรคอาจอาศัยอยู่ในน้ำลาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ การพูดคุยขณะรับประทานอาหารร่วมกัน การพูดคุยกับแม่ค้าขณะตักอาหารให้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟถ้าพนักงานคนนั้นมีเชื้อนอกจากนี้ คุณสามารถติดเชื้อได้จากการปนเปื้อนอุจจาระในอาหารหรือน้ำดื่มแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อ H. pylori จะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันมีส่วนทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ แผลเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารH. Pylori พบได้บ่อยแค่ไหนเชื้อ H. pylori มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก การศึกษาในปี 2014 ในวารสาร Central European Journal of Urology แนะนำว่าผู้ที่ติดเชื้อ H. pylori มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจมีแบคทีเรียอยู่ในปากและน้ำลาย และอาจเป็นสาเหตุของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ การวิจัยยังพบว่า เชื้อ H. pylori อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด ในปี 2018 นักวิจัยรายงานว่า H. pylori อาจมีบทบาทในการพัฒนาโรคพาร์กินสันรายงานปี 2018 ในวารสาร Gastroenterology ระบุข้อกังวลอื่น: การดื้อต่อยาปฏิชีวนะของ H. pylori ทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากป้องกันการติดเชื้อ H. pyloriสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีคือวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ การล้างมืออย่างทั่วถึงและบ่อยครั้งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง การรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหรือแม้แต่อาหารที่ปรุงตั้งไว้เกิน 3 ชั่วโมง ไม่ดื่มน้ำที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพออาการของผู้ติดเชื้อ H.Pyloriโดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารคลื่นไส้ อาเจียนจุกเสียดลิ้นปี่ท้องอืด เรอบ่อยเบื่ออาหารน้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนซึ่งจะมีอาการ ดังนี้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดและกลิ่นรุนแรงปวดท้องรุนแรง เรื้อรังอาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจหาเชื้อ H.Pylori เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า “Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย” เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H.Pylori) นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ในบางรายรักษาเท่าไหร่ก็ยังไม่หาย หรือบางรายก็ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งความน่ากลัวของเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร และสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆสิ่งที่จะเสริมการรักษาโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำ คือการเสริมโปรไบโอติกส์ (Probiotic) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์ร่วมกัน สามารถให้ผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษาโรคในทางเดินอาหารได้ ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในข้อมูลทางการแพทย์จุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะอย่างโปรไบโอติกส์ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ แบบเจาะจง โดยเฉพาะโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียโดยเฉพาะโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง Lactobacillus acidophilus LA-5 และ Bifidobacterium lactis BB-12 สามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H.Pyroli) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ รวมทั้งช่วยปรับความถี่และความรุนแรงของการบีบตัวของลำไส้เล็ก ส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียได้อีกด้วยอาหารที่ดีในการบำบัดแผลในกระเพาะอาหารกล้วยดิบว่านหางจระเข้ทั้งสดและสกัดผักบุ้งสดมะละกอดิบ หรืออะไรก็ได้ที่มีความเป็นเมือกสูง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำPaa villSynbcPaa easeเกลือหิมาลัยด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #HPylori มันคือสาเหตุการเกิด “โรคกระเพาะอาหาร” ทั้งยังสามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H.Pylori) เป็นแบคทีเรียประเภทที่พบได้บ่อยและใช่ มันเป็นโรคติดต่อที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติแล้วแบคทีเรียจะเข้าสู่ปากและเข้าสู่ทางเดินอาหารเชื้อโรคอาจอาศัยอยู่ในน้ำลาย ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ การพูดคุยขณะรับประทานอาหารร่วมกัน การพูดคุยกับแม่ค้าขณะตักอาหารให้ หรือแม้แต่การพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟถ้าพนักงานคนนั้นมีเชื้อนอกจากนี้ คุณสามารถติดเชื้อได้จากการปนเปื้อนอุจจาระในอาหารหรือน้ำดื่มแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อ H. pylori จะไม่เป็นอันตราย แต่พวกมันมีส่วนทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ แผลเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารH. Pylori พบได้บ่อยแค่ไหนเชื้อ H. pylori มีอยู่ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก การศึกษาในปี 2014 ในวารสาร Central European Journal of Urology แนะนำว่าผู้ที่ติดเชื้อ H. pylori มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจมีแบคทีเรียอยู่ในปากและน้ำลาย และอาจเป็นสาเหตุของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ การวิจัยยังพบว่า เชื้อ H. pylori อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายอย่าง รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหารบางชนิด ในปี 2018 นักวิจัยรายงานว่า H. pylori อาจมีบทบาทในการพัฒนาโรคพาร์กินสันรายงานปี 2018 ในวารสาร Gastroenterology ระบุข้อกังวลอื่น: การดื้อต่อยาปฏิชีวนะของ H. pylori ทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นอย่างมากป้องกันการติดเชื้อ H. pyloriสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีคือวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ การล้างมืออย่างทั่วถึงและบ่อยครั้งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง การรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารค้างคืนหรือแม้แต่อาหารที่ปรุงตั้งไว้เกิน 3 ชั่วโมง ไม่ดื่มน้ำที่ไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพออาการของผู้ติดเชื้อ H.Pyloriโดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อ H.Pylori มักจะไม่แสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้ปวดหรือแสบร้อนที่ท้องบริเวณเหนือสะดือปวดรุนแรงเมื่อท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารคลื่นไส้ อาเจียนจุกเสียดลิ้นปี่ท้องอืด เรอบ่อยเบื่ออาหารน้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ในรายที่มีอาการอักเสบรุนแรง ควรรีบพบแพทย์เร่งด่วนซึ่งจะมีอาการ ดังนี้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือมีเลือดและกลิ่นรุนแรงปวดท้องรุนแรง เรื้อรังอาเจียนเป็นเลือดหรือมีสีน้ำตาลคล้ำ H.Pylori สามารถแฝงอยู่ในร่างกายนานเป็น 10 ปี โดยแทบไม่แสดงอาการ เสี่ยงเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารมากถึง 2-6 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหารดังนั้นการกำจัดเชื้อ Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจหาเชื้อ H.Pylori เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทราบต้นตอก่อนเกิดอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบันสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี การตรวจวินิจฉัยเชื้อทางลมหายใจที่เรียกว่า “Urea Breath Test หรือ การเป่าลมหายใจและวัดหาระดับยูเรีย” เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว ความแม่นยำสูง ( ความไว 88-95% ) และไม่ก่อให้เกิดการเจ็บตัว ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารซ้ำ และการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H.Pylori) นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคน ในบางรายรักษาเท่าไหร่ก็ยังไม่หาย หรือบางรายก็ไม่ทราบว่าตัวเองได้รับเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งความน่ากลัวของเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) สามารถเกาะเกี่ยวตัวเองไว้กับเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร และสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารนานนับ 10 ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆสิ่งที่จะเสริมการรักษาโรคแผลในกระเพาะจากเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำ คือการเสริมโปรไบโอติกส์ (Probiotic) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotic) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติกส์และโปรไบโอติกส์ร่วมกัน สามารถให้ผลทั้งในแง่ของการป้องกันและรักษาโรคในทางเดินอาหารได้ ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในข้อมูลทางการแพทย์จุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะอย่างโปรไบโอติกส์ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ แบบเจาะจง โดยเฉพาะโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียโดยเฉพาะโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง Lactobacillus acidophilus LA-5 และ Bifidobacterium lactis BB-12 สามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H.Pyroli) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคในกระเพาะอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ รวมทั้งช่วยปรับความถี่และความรุนแรงของการบีบตัวของลำไส้เล็ก ส่งผลดีต่อผู้ที่มีอาการปวดท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคแผลในกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียได้อีกด้วยอาหารที่ดีในการบำบัดแผลในกระเพาะอาหารกล้วยดิบว่านหางจระเข้ทั้งสดและสกัดผักบุ้งสดมะละกอดิบ หรืออะไรก็ได้ที่มีความเป็นเมือกสูง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำPaa villSynbcPaa easeเกลือหิมาลัยด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารกองกำลังพิเศษกรีนเบเรต์ ผู้ต้องสงสัยจุดชนวนระเบิดรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรัค บริเวณด้านหน้าโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชัลแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส ในวันขึ้นปีใหม่ อ้างว่าปฏิบัติการของเขานั้นไม่ใช่การโจมตีก่อการร้าย แต่เป็นการเตือนสติถึงอเมริกันชนทุกคน ตามรายงานของอาร์ทนิวส์อ้างอิงข้อความและบันทึกต่างๆที่พบในสมาร์ทโฟนของเขา
    .
    ในวันที่ 1 มกราคม 2025 รถกระบะไซเบอร์ทรัคของเทสลา บรรทุกพลุไฟ ถังแก๊สและเชื้อเพลิง เกิดระเบิดบริเวณด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนเชันแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส คนขับที่ถูกระบะตัวตนว่าได้แก่จ่าสิบเอกแมทธิว อลัน ลิเวลส์เบอร์เกอร์ สมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ ถูกพบเสียชีวิตในรถคันดังกล่าว แรงระเบิดทำให้ผู้สัญจรผ่านไปมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 7 คน โรงแรมได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และเบื้องต้นพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัฐบาลกลาง เกรงว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการลงมือโจมตีก่อการร้าย
    .
    อย่างไรก็ตามในข้อความต่างๆ ซึ่งตำรวจลาสเวกัสเผยแพร่เมื่อวันศุกร์(3ม.ค.) เผยให้เห็นว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ มีความผิดหวังอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นในสังคมต่างๆนานาและมีปมขัดแย้งภายใน โดยข้อความหนึ่ง เขาเขียนว่า "ผมต้องการชำระล้างจิตใจพวกพี่น้อง ที่ผมสูญเสียไป และปล่อยวางตัวเอง จากภาระการใช้ชีวิตที่ผมต้องแบกรับ"
    .
    "นี่ไม่ใช่ก่อการร้าย แต่เป็นสัญญาณเตือนสติ อเมริกันชนใส่ใจแต่เพียงเรื่องน่าตื่นเต้นและความรุนแรง มันอาจเป็นเรื่องดีกว่าที่ผมจะสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจประเด็นของผม ด้วยพลุไฟและระเบิด"ลิเวลส์เบอร์เกอร์เขียน
    .
    เขาได้ระบุถึงประเด็นทางสังคมต่างๆนานา ที่เขาบอกว่าอยากให้จัดการ ในนั้นรวมถึงแปรรูปอาหาร โรคอ้วน ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ คนเร่ร่อน ผู้นำอ่อนแอ และคอรัปชันอย่างโจ่งแจ้ง
    .
    "หยุดหมกหมุ่นกับหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง (DEI) เราทุกคนล้วนแตกต่างกันอยู่แล้ว DEI คือมะเร็ง" เขาเขียน พร้อมระบุว่า "ขอบคุณ ที่พวกเราปฏิเสธผู้สมัครจาก DEI และเราจะมีประธานาธิบดีจริงๆ ไม่ใช่จากหนังตลก" เขาเขียน
    .
    "เราต้องหยุดสงครามในยูเครนด้วยการเจรจาหาทางออก มันเป็นหนทางเดียว" เขาระบุ พร้อมบอกว่า "ประชากรของเราอ้วนเกินไปที่จะเข้าร่วมกองทัพ และเรากำลังเผชิญการทำสงครามกับจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิหร่าน ก่อนปี 2030"
    .
    ในบันทึกฉบับที่ 2 ของเขา จ่าหน้าถึงเพื่อนสมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ นายทหารผ่านศึก พวกนักรบและชาวอเมริกันชนทุกคน ในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเรียกร้องให้คนเหล่านี้รับประกันว่าพวกเดโมแครต จะไม่ขัดขวาง ทรัมป์ จากการเข้ารับอำนาจและกวาดล้างอาการป่วยต่างๆนานาของประเทศ
    .
    "เรากำลังอยู่ภายใต้ผู้นำที่อ่อนแอและปวกเปียก ที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง" เขาเขียน "พยายามด้วยวิธีสันติก่อน แต่ก็เตรียมพร้อมสู้เอาพวกเดโมแครตออกจากรัฐบาลกลางและกองทัพในทุกหนทางที่จำเป็น พวกเขาต้องไปและจำเป็นต้องมีการรีเซ็ตประเทศของเราครั้งใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลาย"
    .
    ลิเวลส์เบอร์เกอร์ เป็นสมาชิกของกองกำลังพิเศษ ที่ถึงขั้นได้รับเหรียญกล้าหาญ เขาเคยถูกส่งเข้าประจำการทั้งในอัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน จอร์เจีย คองโก และแม้รายงานข่าวอาจรวมถึงยูเครนด้วย อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเขากำลังต่อสู้กับความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหลายเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงการเพิ่งหย่าขาดกับภรรยาเมื่อเร็วๆนี้
    .
    รายงานข่าวระบุว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ ใช้ปืนสั้นยิงตัวเอง ก่อนจุดชนวนระเบิด และบันทึกต่างๆของเขาบ่งชี้ว่าเขาเต็มไปด้วยแรงกดดันชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน แม้ขณะเดียวกันทีมสืบสวนมีความระมัดระวังในการตีความบันทึกเหล่านี้ ในขณะที่พวกเขากำลังแกะรอยหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001229
    ..............
    Sondhi X
    ทหารกองกำลังพิเศษกรีนเบเรต์ ผู้ต้องสงสัยจุดชนวนระเบิดรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรัค บริเวณด้านหน้าโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชัลแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส ในวันขึ้นปีใหม่ อ้างว่าปฏิบัติการของเขานั้นไม่ใช่การโจมตีก่อการร้าย แต่เป็นการเตือนสติถึงอเมริกันชนทุกคน ตามรายงานของอาร์ทนิวส์อ้างอิงข้อความและบันทึกต่างๆที่พบในสมาร์ทโฟนของเขา . ในวันที่ 1 มกราคม 2025 รถกระบะไซเบอร์ทรัคของเทสลา บรรทุกพลุไฟ ถังแก๊สและเชื้อเพลิง เกิดระเบิดบริเวณด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนเชันแนล โฮเท็ล ในลาสเวกัส คนขับที่ถูกระบะตัวตนว่าได้แก่จ่าสิบเอกแมทธิว อลัน ลิเวลส์เบอร์เกอร์ สมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ ถูกพบเสียชีวิตในรถคันดังกล่าว แรงระเบิดทำให้ผู้สัญจรผ่านไปมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 7 คน โรงแรมได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และเบื้องต้นพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนจากรัฐบาลกลาง เกรงว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการลงมือโจมตีก่อการร้าย . อย่างไรก็ตามในข้อความต่างๆ ซึ่งตำรวจลาสเวกัสเผยแพร่เมื่อวันศุกร์(3ม.ค.) เผยให้เห็นว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ มีความผิดหวังอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นในสังคมต่างๆนานาและมีปมขัดแย้งภายใน โดยข้อความหนึ่ง เขาเขียนว่า "ผมต้องการชำระล้างจิตใจพวกพี่น้อง ที่ผมสูญเสียไป และปล่อยวางตัวเอง จากภาระการใช้ชีวิตที่ผมต้องแบกรับ" . "นี่ไม่ใช่ก่อการร้าย แต่เป็นสัญญาณเตือนสติ อเมริกันชนใส่ใจแต่เพียงเรื่องน่าตื่นเต้นและความรุนแรง มันอาจเป็นเรื่องดีกว่าที่ผมจะสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจประเด็นของผม ด้วยพลุไฟและระเบิด"ลิเวลส์เบอร์เกอร์เขียน . เขาได้ระบุถึงประเด็นทางสังคมต่างๆนานา ที่เขาบอกว่าอยากให้จัดการ ในนั้นรวมถึงแปรรูปอาหาร โรคอ้วน ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ คนเร่ร่อน ผู้นำอ่อนแอ และคอรัปชันอย่างโจ่งแจ้ง . "หยุดหมกหมุ่นกับหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง (DEI) เราทุกคนล้วนแตกต่างกันอยู่แล้ว DEI คือมะเร็ง" เขาเขียน พร้อมระบุว่า "ขอบคุณ ที่พวกเราปฏิเสธผู้สมัครจาก DEI และเราจะมีประธานาธิบดีจริงๆ ไม่ใช่จากหนังตลก" เขาเขียน . "เราต้องหยุดสงครามในยูเครนด้วยการเจรจาหาทางออก มันเป็นหนทางเดียว" เขาระบุ พร้อมบอกว่า "ประชากรของเราอ้วนเกินไปที่จะเข้าร่วมกองทัพ และเรากำลังเผชิญการทำสงครามกับจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือและอิหร่าน ก่อนปี 2030" . ในบันทึกฉบับที่ 2 ของเขา จ่าหน้าถึงเพื่อนสมาชิกหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ นายทหารผ่านศึก พวกนักรบและชาวอเมริกันชนทุกคน ในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเรียกร้องให้คนเหล่านี้รับประกันว่าพวกเดโมแครต จะไม่ขัดขวาง ทรัมป์ จากการเข้ารับอำนาจและกวาดล้างอาการป่วยต่างๆนานาของประเทศ . "เรากำลังอยู่ภายใต้ผู้นำที่อ่อนแอและปวกเปียก ที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง" เขาเขียน "พยายามด้วยวิธีสันติก่อน แต่ก็เตรียมพร้อมสู้เอาพวกเดโมแครตออกจากรัฐบาลกลางและกองทัพในทุกหนทางที่จำเป็น พวกเขาต้องไปและจำเป็นต้องมีการรีเซ็ตประเทศของเราครั้งใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลาย" . ลิเวลส์เบอร์เกอร์ เป็นสมาชิกของกองกำลังพิเศษ ที่ถึงขั้นได้รับเหรียญกล้าหาญ เขาเคยถูกส่งเข้าประจำการทั้งในอัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน จอร์เจีย คองโก และแม้รายงานข่าวอาจรวมถึงยูเครนด้วย อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเขากำลังต่อสู้กับความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหลายเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงการเพิ่งหย่าขาดกับภรรยาเมื่อเร็วๆนี้ . รายงานข่าวระบุว่า ลิเวลส์เบอร์เกอร์ ใช้ปืนสั้นยิงตัวเอง ก่อนจุดชนวนระเบิด และบันทึกต่างๆของเขาบ่งชี้ว่าเขาเต็มไปด้วยแรงกดดันชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน แม้ขณะเดียวกันทีมสืบสวนมีความระมัดระวังในการตีความบันทึกเหล่านี้ ในขณะที่พวกเขากำลังแกะรอยหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001229 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1028 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากออกมาโพสต์ยุติความสัมพันธ์กับภรรยานอกวงการ “กวาง สุภัค จรุตานันท์” เนื่องจากทัศนคติในการใช้ชีวิตไม่ตรงกัน ทำให้ต้องปิดฉากความสัมพันธ์ 12 ปีลง จากนั้นเจ้าตัวก็ได้ชี้แจงผ่านยูทิวบ์ส่วนตัวพร้อมน้ำตา ซึ่งหลายก็เข้าไปให้กำลังใจ และก็แสดงความคิดไปต่างๆ นานา

    ด้านชาวเน็ตก็ได้ย้อนกลับไปดูโพสต์ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 67 ซึ่งเป็นวันเกิดของโก๊ะตี๋ เจ้าตัวได้โพสต์ภาพคู่กับแม่ และก็ได้เขียนแคปชั่นความในใจ ซึ่งหนึ่งในประโยคที่หลายคนสงสัยคือ “ถ้าหนูตัดสินใจใช้ชีวิตคู่เพียงคนเดียว…แม่จะโกรธหนูมั้ย?” แน่นอนโพสต์นี้เกิดหลังจากที่เจ้าตัวได้ยุติความสัมพันธ์กับภรรยาสาวนอกวงการไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000000954

    #MGROnline #โก๊ะตี๋
    หลังจากออกมาโพสต์ยุติความสัมพันธ์กับภรรยานอกวงการ “กวาง สุภัค จรุตานันท์” เนื่องจากทัศนคติในการใช้ชีวิตไม่ตรงกัน ทำให้ต้องปิดฉากความสัมพันธ์ 12 ปีลง จากนั้นเจ้าตัวก็ได้ชี้แจงผ่านยูทิวบ์ส่วนตัวพร้อมน้ำตา ซึ่งหลายก็เข้าไปให้กำลังใจ และก็แสดงความคิดไปต่างๆ นานา • ด้านชาวเน็ตก็ได้ย้อนกลับไปดูโพสต์ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 67 ซึ่งเป็นวันเกิดของโก๊ะตี๋ เจ้าตัวได้โพสต์ภาพคู่กับแม่ และก็ได้เขียนแคปชั่นความในใจ ซึ่งหนึ่งในประโยคที่หลายคนสงสัยคือ “ถ้าหนูตัดสินใจใช้ชีวิตคู่เพียงคนเดียว…แม่จะโกรธหนูมั้ย?” แน่นอนโพสต์นี้เกิดหลังจากที่เจ้าตัวได้ยุติความสัมพันธ์กับภรรยาสาวนอกวงการไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000000954 • #MGROnline #โก๊ะตี๋
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก้าวแรกของชีวิตใหม่ … My Life Strategy

    ณ พื้นที่พักผ่อนส่วนตัว

    ฝนตกปรอยๆ ในเช้าวันเสาร์ กาแฟอุ่นๆ ในมือช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายและหัวใจของ "มาตาลดา" เธอจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือ ลายเส้นโยงใย แผนผัง และความฝันมากมาย มันคือ "My Life Strategy" แผนที่ชีวิตที่เธอเพิ่งจะร่างขึ้นมาเมื่อคืน

    มาตาลดาเพิ่งเรียนจบ ความรู้สึกสับสนและว่างเปล่าถาโถมเข้ามา เธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไร ชีวิตเหมือนเรือเล็กที่ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล แต่แล้วบทความ "Use Strategic Thinking to Create the Life You Want" ที่อาจารย์แนะนำก็เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

    "การใช้ชีวิตแบบมีกลยุทธ์" มันทำให้เธอตระหนักว่าชีวิตไม่ได้มีแค่เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก แล้วก็แก่ตาย แต่มันคือการผจญภัย การออกแบบ และการสร้างสรรค์

    มาตาลดาเริ่มต้นด้วยการถามตัวเองว่า "อะไรคือความหมายของชีวิตที่ดี?"

    คำตอบที่ผุดขึ้นมาคือ "อิสระ ความสุข และการได้ช่วยเหลือผู้อื่น" เธอรู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งด้านการสื่อสาร ชอบเรียนรู้ภาษา หลงใหลในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และใฝ่ฝันอยากเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก

    "แล้วอะไรคือเป้าหมายในชีวิตของฉัน?" มาตาลดาครุ่นคิด สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือเรียนภาษาฝรั่งเศสเล่มโปรด ความทรงจำในวัยเด็กที่เคยฝันอยากไปเที่ยวฝรั่งเศส อยากพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว กลับมาชัดเจนอีกครั้ง

    "ใช่แล้ว! ฉันจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส!" มาตาลดารู้สึกตื่นเต้น เธอลุกขึ้นเดินไปเดินมาในห้อง พลางจินตนาการถึงชีวิตในฝรั่งเศส การได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมใหม่ๆ การได้พบปะผู้คน การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ

    "แต่ฉันจะทำยังไงให้ไปถึงฝันได้ล่ะ?" มาตาลดาหยิบปากกาขึ้นมา เริ่มลงมือเขียนแผนการ ตั้งเป้าหมาย กำหนดเส้นตาย และวางแผนการเรียนภาษาฝรั่งเศสอย่างจริงจัง

    "ฉันจะต้องสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศสให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้!" เธอเขียนลงไปในช่อง "Objectives" พร้อมกับกำหนดขั้นตอน เช่น การหาที่เรียนภาษา การฝึกพูดคุยกับเจ้าของภาษา และการหาเพื่อนที่สนใจภาษาฝรั่งเศส

    มาตาลดารู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย เพราะนี่คือก้าวแรกของชีวิตใหม่ ชีวิตที่เธอเป็นคนออกแบบเอง

    "มาตาลดา" เธอใช้แนวทางด้านล่างนี้สำหรับก้าวแรกของชีวิตใหม่ ชีวิตที่เธอเป็นคนออกแบบเอง

    My Life Strategy … กลวิธีออกแบบการดำเนินชีวิตเพื่อ “ชีวิตที่ดี” จาก Harvard Business Review (HBR)

    •จุดแข็ง:
    •คุณค่า (ค่านิยมส่วนบุคคล):
    •สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ:
    •สิ่งที่ต้องการแก้ไข:
    •จุดมุ่งหมาย:

    วิสัยทัศน์ชีวิต
    •วิสัยทัศน์ในอีก ... ปีข้างหน้า: …
    วิธีการประเมินผลงาน

    วิธีการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

    วัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง:

    ผลลัพธ์หลัก 2 - 3 อย่าง พร้อมระบุวันเวลาที่คาดว่าจะสำเร็จ

    รางวัลหรือผลกระทบ:

    การตรวจสอบเป็นประจำทุกสัปดาห์:
    ก้าวแรกของชีวิตใหม่ … My Life Strategy ณ พื้นที่พักผ่อนส่วนตัว ฝนตกปรอยๆ ในเช้าวันเสาร์ กาแฟอุ่นๆ ในมือช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายและหัวใจของ "มาตาลดา" เธอจ้องมองไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือ ลายเส้นโยงใย แผนผัง และความฝันมากมาย มันคือ "My Life Strategy" แผนที่ชีวิตที่เธอเพิ่งจะร่างขึ้นมาเมื่อคืน มาตาลดาเพิ่งเรียนจบ ความรู้สึกสับสนและว่างเปล่าถาโถมเข้ามา เธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไร ชีวิตเหมือนเรือเล็กที่ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล แต่แล้วบทความ "Use Strategic Thinking to Create the Life You Want" ที่อาจารย์แนะนำก็เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ "การใช้ชีวิตแบบมีกลยุทธ์" มันทำให้เธอตระหนักว่าชีวิตไม่ได้มีแค่เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก แล้วก็แก่ตาย แต่มันคือการผจญภัย การออกแบบ และการสร้างสรรค์ มาตาลดาเริ่มต้นด้วยการถามตัวเองว่า "อะไรคือความหมายของชีวิตที่ดี?" คำตอบที่ผุดขึ้นมาคือ "อิสระ ความสุข และการได้ช่วยเหลือผู้อื่น" เธอรู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งด้านการสื่อสาร ชอบเรียนรู้ภาษา หลงใหลในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และใฝ่ฝันอยากเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก "แล้วอะไรคือเป้าหมายในชีวิตของฉัน?" มาตาลดาครุ่นคิด สายตาเหลือบไปเห็นหนังสือเรียนภาษาฝรั่งเศสเล่มโปรด ความทรงจำในวัยเด็กที่เคยฝันอยากไปเที่ยวฝรั่งเศส อยากพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว กลับมาชัดเจนอีกครั้ง "ใช่แล้ว! ฉันจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส!" มาตาลดารู้สึกตื่นเต้น เธอลุกขึ้นเดินไปเดินมาในห้อง พลางจินตนาการถึงชีวิตในฝรั่งเศส การได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมใหม่ๆ การได้พบปะผู้คน การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ "แต่ฉันจะทำยังไงให้ไปถึงฝันได้ล่ะ?" มาตาลดาหยิบปากกาขึ้นมา เริ่มลงมือเขียนแผนการ ตั้งเป้าหมาย กำหนดเส้นตาย และวางแผนการเรียนภาษาฝรั่งเศสอย่างจริงจัง "ฉันจะต้องสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศสให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้!" เธอเขียนลงไปในช่อง "Objectives" พร้อมกับกำหนดขั้นตอน เช่น การหาที่เรียนภาษา การฝึกพูดคุยกับเจ้าของภาษา และการหาเพื่อนที่สนใจภาษาฝรั่งเศส มาตาลดารู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย เพราะนี่คือก้าวแรกของชีวิตใหม่ ชีวิตที่เธอเป็นคนออกแบบเอง "มาตาลดา" เธอใช้แนวทางด้านล่างนี้สำหรับก้าวแรกของชีวิตใหม่ ชีวิตที่เธอเป็นคนออกแบบเอง My Life Strategy … กลวิธีออกแบบการดำเนินชีวิตเพื่อ “ชีวิตที่ดี” จาก Harvard Business Review (HBR) •จุดแข็ง: •คุณค่า (ค่านิยมส่วนบุคคล): •สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ: •สิ่งที่ต้องการแก้ไข: •จุดมุ่งหมาย: วิสัยทัศน์ชีวิต •วิสัยทัศน์ในอีก ... ปีข้างหน้า: … วิธีการประเมินผลงาน • วิธีการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน • วัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง: • ผลลัพธ์หลัก 2 - 3 อย่าง พร้อมระบุวันเวลาที่คาดว่าจะสำเร็จ • รางวัลหรือผลกระทบ: • การตรวจสอบเป็นประจำทุกสัปดาห์: •
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • รุ่งอรุณแห่งความสำเร็จ: เรื่องเล่าของเหล่านกเช้า
    Source: Matthew Walker Teaches the Science of Better Sleep.

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้ามืด? พวกเขาเหล่านั้นคือ "นกเช้า" ผู้ตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน และเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังและความกระตือรือร้น ภาพที่เราเห็นนี้เปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกของเหล่านกเช้า เผยให้เห็นถึงข้อดีและลักษณะเด่นที่น่าสนใจ
    ความเชื่อที่ว่า "นกน้อยตื่นเช้าจะได้กินหนอน" ซึ่งสะท้อนถึงความได้เปรียบของการเริ่มต้นวันก่อนใคร แต่ในโลกยุคใหม่ ความได้เปรียบนี้มีความหมายมากกว่าแค่การหาอาหาร

    ความสุขที่มาพร้อมกับแสงแรก
    งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เผยว่า การมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะตื่นเช้า อาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคจิตเภทและภาวะซึมเศร้า ราวกับว่าแสงแรกของวันได้นำมาซึ่งความสุขและความสงบในจิตใจ
    ความสำเร็จในโลกแห่งองค์กร
    ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบดั้งเดิม นกเช้ามักจะโดดเด่น พวกเขามีความพร้อมมากกว่าในการจัดการกับตารางเวลาที่แน่นอน และใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาเช้าตรู่ที่เงียบสงบในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ราวกับว่าพวกเขามีเวลาเพิ่มขึ้นในหนึ่งวัน
    พลังแห่งการเคลื่อนไหว
    การศึกษาพบว่านกเช้ามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าตลอดทั้งวัน พวกเขาอาจจะออกกำลังกายเบาๆ เดินเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจ ราวกับว่าพวกเขาได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์
    ความตรงต่อเวลาที่เป็นเลิศ
    นกเช้ามักจะมาถึงตรงเวลาหรือก่อนเวลาเสมอ พวกเขาให้ความสำคัญกับเวลาและเคารพในนัดหมาย ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจถึงคุณค่าของทุกนาที
    แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
    การเป็นนกเช้าไม่ใช่สูตรสำเร็จของความสำเร็จ แต่เป็นเพียงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมาะกับบางคน สิ่งสำคัญคือการค้นหาจังหวะชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนกเช้า นกฮูก หรืออะไรก็ตาม

    เคล็ดลับจากเหล่านกเช้า:
    •เริ่มต้นอย่างช้าๆ: อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป ค่อยๆ ปรับเวลาตื่นนอนทีละเล็กทีละน้อย
    •สร้างกิจวัตรยามเช้า: กำหนดกิจกรรมที่คุณชอบทำในตอนเช้า เพื่อสร้างแรงจูงใจในการตื่นนอน
    •รับแสงแดด: แสงแดดธรรมชาติช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย
    •พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นพื้นฐานของการตื่นเช้าอย่างสดชื่น
    •หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนการนอน: เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน

    ข้อคิดส่งท้าย:
    ไม่ว่าคุณจะเลือกตื่นเช้าหรือนอนดึก สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ ค้นหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง และใช้ทุกช่วงเวลาให้คุ้มค่า

    อ้างอิง :
    •Nature Communications (2019): ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morningness-eveningness," "genetics," "mental health," และ "actigraphy"
    •University of Education in Heidelberg: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morning larks," "punctuality," และ "work performance"
    •University of Oulu: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "early risers," "physical activity," และ "middle-aged adults"

    หมายเหตุ:
    การค้นหาใน Google Scholar โดยใช้คำสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงงานวิจัยต้นฉบับและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง

    สนใจพัฒนายุทธศาสตร์ - กลยุทธ์และขับเคลื่อนผลงาน สร้างความเป็นเลิศโดย 10X Consulting ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการศึกษา/วิจัยวิธีปฏิบัติที่ดี (Good Practices) ขององค์กร 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ
    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ
    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป
    #Dechritgroup
    #10Xconsulting
    #lifealignmentor
    พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก
    https://10-xconsulting.com
    ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี
    “ผสานความดี X ความเก่ง”
    https://lifealignmentor.com
    รุ่งอรุณแห่งความสำเร็จ: เรื่องเล่าของเหล่านกเช้า Source: Matthew Walker Teaches the Science of Better Sleep. เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้ามืด? พวกเขาเหล่านั้นคือ "นกเช้า" ผู้ตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวัน และเริ่มต้นวันใหม่ด้วยพลังและความกระตือรือร้น ภาพที่เราเห็นนี้เปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกของเหล่านกเช้า เผยให้เห็นถึงข้อดีและลักษณะเด่นที่น่าสนใจ ความเชื่อที่ว่า "นกน้อยตื่นเช้าจะได้กินหนอน" ซึ่งสะท้อนถึงความได้เปรียบของการเริ่มต้นวันก่อนใคร แต่ในโลกยุคใหม่ ความได้เปรียบนี้มีความหมายมากกว่าแค่การหาอาหาร ความสุขที่มาพร้อมกับแสงแรก งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เผยว่า การมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะตื่นเช้า อาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคจิตเภทและภาวะซึมเศร้า ราวกับว่าแสงแรกของวันได้นำมาซึ่งความสุขและความสงบในจิตใจ ความสำเร็จในโลกแห่งองค์กร ในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบดั้งเดิม นกเช้ามักจะโดดเด่น พวกเขามีความพร้อมมากกว่าในการจัดการกับตารางเวลาที่แน่นอน และใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาเช้าตรู่ที่เงียบสงบในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ราวกับว่าพวกเขามีเวลาเพิ่มขึ้นในหนึ่งวัน พลังแห่งการเคลื่อนไหว การศึกษาพบว่านกเช้ามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าตลอดทั้งวัน พวกเขาอาจจะออกกำลังกายเบาๆ เดินเล่น หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจ ราวกับว่าพวกเขาได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ ความตรงต่อเวลาที่เป็นเลิศ นกเช้ามักจะมาถึงตรงเวลาหรือก่อนเวลาเสมอ พวกเขาให้ความสำคัญกับเวลาและเคารพในนัดหมาย ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจถึงคุณค่าของทุกนาที แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น การเป็นนกเช้าไม่ใช่สูตรสำเร็จของความสำเร็จ แต่เป็นเพียงรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมาะกับบางคน สิ่งสำคัญคือการค้นหาจังหวะชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนกเช้า นกฮูก หรืออะไรก็ตาม เคล็ดลับจากเหล่านกเช้า: •เริ่มต้นอย่างช้าๆ: อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป ค่อยๆ ปรับเวลาตื่นนอนทีละเล็กทีละน้อย •สร้างกิจวัตรยามเช้า: กำหนดกิจกรรมที่คุณชอบทำในตอนเช้า เพื่อสร้างแรงจูงใจในการตื่นนอน •รับแสงแดด: แสงแดดธรรมชาติช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย •พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นพื้นฐานของการตื่นเช้าอย่างสดชื่น •หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนการนอน: เช่น คาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน ข้อคิดส่งท้าย: ไม่ว่าคุณจะเลือกตื่นเช้าหรือนอนดึก สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ ค้นหาจังหวะชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง และใช้ทุกช่วงเวลาให้คุ้มค่า อ้างอิง : •Nature Communications (2019): ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morningness-eveningness," "genetics," "mental health," และ "actigraphy" •University of Education in Heidelberg: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "morning larks," "punctuality," และ "work performance" •University of Oulu: ค้นหาโดยใช้คำสำคัญเช่น "early risers," "physical activity," และ "middle-aged adults" หมายเหตุ: การค้นหาใน Google Scholar โดยใช้คำสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงงานวิจัยต้นฉบับและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง สนใจพัฒนายุทธศาสตร์ - กลยุทธ์และขับเคลื่อนผลงาน สร้างความเป็นเลิศโดย 10X Consulting ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการศึกษา/วิจัยวิธีปฏิบัติที่ดี (Good Practices) ขององค์กร 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ #เดชฤทธิ์กรุ๊ป #Dechritgroup #10Xconsulting #lifealignmentor พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก https://10-xconsulting.com ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี “ผสานความดี X ความเก่ง” https://lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 543 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศีลเสมอกันคืออะไร?

    "ศีลเสมอกัน" เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้สำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่มีศีลที่ตรงกันเท่านั้น หากมองในมุมกว้าง พระพุทธเจ้าตรัสถึง 4 องค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้คนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น ได้แก่:

    ---

    1. ศรัทธาเสมอกัน

    ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อหรือความศรัทธาในสิ่งเดียวกัน เช่น เชื่อในความดีงาม เชื่อในศีลธรรม หรือมีความเชื่อในเป้าหมายชีวิตที่คล้ายคลึงกัน

    ถ้าศรัทธาไม่ตรงกัน เช่น คนหนึ่งเชื่อในความซื่อสัตย์ แต่อีกคนไม่สนใจความถูกต้อง ก็อาจเกิดความขัดแย้งง่าย

    ---

    2. ศีลเสมอกัน

    ศีล หมายถึง การมีกรอบจริยธรรมและการประพฤติปฏิบัติที่ใกล้เคียงกัน เช่น การไม่เบียดเบียน ไม่โกหก ไม่ลักทรัพย์

    ถ้าศีลต่างกัน เช่น คนหนึ่งรักษาศีลเคร่งครัด แต่อีกคนไม่สนใจศีลเลย ก็อาจเกิดความรู้สึกไม่สบายใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน

    ศีลเสมอกันไม่ได้หมายความว่าต้องปฏิบัติตรงกันทุกข้อเป๊ะ แต่หมายถึงการมีแนวทางประพฤติที่สอดคล้องกันในระดับที่อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่อึดอัด

    ---

    3. จาคะเสมอกัน

    จาคะ หมายถึง การมีน้ำใจแบ่งปัน หรือการสละให้โดยไม่ยึดติด

    ถ้าคนหนึ่งมีน้ำใจชอบช่วยเหลือ แต่อีกคนเห็นแก่ตัว ก็อาจเกิดปัญหาในการอยู่ร่วมกัน เช่น ความไม่พอใจ หรือความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ

    ---

    4. ปัญญาเสมอกัน

    ปัญญา หมายถึง ระดับความคิด ความเข้าใจ หรือการใช้เหตุผลในระดับใกล้เคียงกัน

    ถ้าคนหนึ่งมีปัญญาลึกซึ้ง แต่อีกคนมองโลกแบบตื้นเขิน ก็อาจสื่อสารกันไม่เข้าใจ หรือแก้ไขปัญหาด้วยกันไม่ได้

    ---

    สรุป: ศีลเสมอกันในบริบทกว้าง

    ศีลเสมอกันเป็นเพียงหนึ่งในเงื่อนไขของความเข้ากันได้ แต่ต้องประกอบด้วย ศรัทธา จาคะ และปัญญา ด้วย

    คนที่อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขมักจะมีธาตุธรรมที่คล้ายคลึงกัน เช่น เป้าหมายชีวิต ความสนใจ หรือทัศนคติ

    ---

    เคล็ดลับสำหรับการอยู่ร่วมกับคนที่ "ไม่เสมอกัน"

    ปรับตัว: หากไม่เสมอกันในบางด้าน เช่น ศรัทธาหรือศีล ให้เน้นส่วนที่คล้ายกัน เช่น จาคะ หรือความปรารถนาดีต่อกัน

    รักษาระยะห่างที่เหมาะสม: หากความแตกต่างทำให้เกิดความอึดอัด ควรรักษาระยะห่างในบางเรื่อง

    ใช้ปัญญา: มองเห็นความดีในตัวอีกฝ่าย และอย่าเอาความต่างมาทำลายความสัมพันธ์

    "ศีลเสมอกัน" อาจไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับการอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อมีศรัทธา จาคะ และปัญญาเสริม คุณจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ แม้จะมีความต่างอยู่บ้าง!
    ศีลเสมอกันคืออะไร? "ศีลเสมอกัน" เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้สำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่มีศีลที่ตรงกันเท่านั้น หากมองในมุมกว้าง พระพุทธเจ้าตรัสถึง 4 องค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้คนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น ได้แก่: --- 1. ศรัทธาเสมอกัน ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อหรือความศรัทธาในสิ่งเดียวกัน เช่น เชื่อในความดีงาม เชื่อในศีลธรรม หรือมีความเชื่อในเป้าหมายชีวิตที่คล้ายคลึงกัน ถ้าศรัทธาไม่ตรงกัน เช่น คนหนึ่งเชื่อในความซื่อสัตย์ แต่อีกคนไม่สนใจความถูกต้อง ก็อาจเกิดความขัดแย้งง่าย --- 2. ศีลเสมอกัน ศีล หมายถึง การมีกรอบจริยธรรมและการประพฤติปฏิบัติที่ใกล้เคียงกัน เช่น การไม่เบียดเบียน ไม่โกหก ไม่ลักทรัพย์ ถ้าศีลต่างกัน เช่น คนหนึ่งรักษาศีลเคร่งครัด แต่อีกคนไม่สนใจศีลเลย ก็อาจเกิดความรู้สึกไม่สบายใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน ศีลเสมอกันไม่ได้หมายความว่าต้องปฏิบัติตรงกันทุกข้อเป๊ะ แต่หมายถึงการมีแนวทางประพฤติที่สอดคล้องกันในระดับที่อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่อึดอัด --- 3. จาคะเสมอกัน จาคะ หมายถึง การมีน้ำใจแบ่งปัน หรือการสละให้โดยไม่ยึดติด ถ้าคนหนึ่งมีน้ำใจชอบช่วยเหลือ แต่อีกคนเห็นแก่ตัว ก็อาจเกิดปัญหาในการอยู่ร่วมกัน เช่น ความไม่พอใจ หรือความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ --- 4. ปัญญาเสมอกัน ปัญญา หมายถึง ระดับความคิด ความเข้าใจ หรือการใช้เหตุผลในระดับใกล้เคียงกัน ถ้าคนหนึ่งมีปัญญาลึกซึ้ง แต่อีกคนมองโลกแบบตื้นเขิน ก็อาจสื่อสารกันไม่เข้าใจ หรือแก้ไขปัญหาด้วยกันไม่ได้ --- สรุป: ศีลเสมอกันในบริบทกว้าง ศีลเสมอกันเป็นเพียงหนึ่งในเงื่อนไขของความเข้ากันได้ แต่ต้องประกอบด้วย ศรัทธา จาคะ และปัญญา ด้วย คนที่อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขมักจะมีธาตุธรรมที่คล้ายคลึงกัน เช่น เป้าหมายชีวิต ความสนใจ หรือทัศนคติ --- เคล็ดลับสำหรับการอยู่ร่วมกับคนที่ "ไม่เสมอกัน" ปรับตัว: หากไม่เสมอกันในบางด้าน เช่น ศรัทธาหรือศีล ให้เน้นส่วนที่คล้ายกัน เช่น จาคะ หรือความปรารถนาดีต่อกัน รักษาระยะห่างที่เหมาะสม: หากความแตกต่างทำให้เกิดความอึดอัด ควรรักษาระยะห่างในบางเรื่อง ใช้ปัญญา: มองเห็นความดีในตัวอีกฝ่าย และอย่าเอาความต่างมาทำลายความสัมพันธ์ "ศีลเสมอกัน" อาจไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับการอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อมีศรัทธา จาคะ และปัญญาเสริม คุณจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ แม้จะมีความต่างอยู่บ้าง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิด้าโพลเปิดผลสำรวจ คนไทยเหนื่อยหน่ายกับอะไรบ้างในปี 2567 พบเกินครึ่งเป็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้ รองลงมาเป็นภัยไซเบอร์ และความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในและนอกสภา
    .
    วันนี้ (22 ธ.ค.) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “เหนื่อยหน่ายกับอะไรบ้าง ในปี 2567 ที่ผ่านมา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค. 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง
    .
    เมื่อถามประชาชนถึงความสุขในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.92 ระบุว่า ค่อนข้างมีความสุข เพราะ มีความสุขทั้งกับตัวเองและครอบครัว ชีวิตการทำงานราบรื่น ไม่มีอุปสรรค
    .
    รองลงมา ร้อยละ 32.52 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความสุข เพราะมีปัญหาทางการเงินที่เกิดจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และรู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน
    .
    ร้อยละ 18.17 ระบุว่า มีความสุขมาก เพราะการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องใดที่ต้องกังวล
    .
    และร้อยละ 9.39 ระบุว่าไม่มีความสุขเลย เพราะ เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สินสะสม การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบากและไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้

    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงสิ่งที่ประชาชนเหนื่อยหน่ายในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.14 ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ รองลงมา ร้อยละ 28.09 ระบุว่า ปัญหาภัยไซเบอร์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การแฮกข้อมูล เป็นต้น
    .
    ร้อยละ 27.86 ระบุว่า ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในและนอกสภา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดร้อยละ 14.89 ระบุว่า ปัญหาราคาพลังงาน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยทางธรรมชาติ ร้อยละ 13.44 ระบุว่า ปัญหาสุขภาพ โรคระบาด
    .
    ร้อยละ 12.98 ระบุว่า ปัญหาอาชญากรรม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 12.90 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ร้อยละ 12.75 ระบุว่า ไม่เหนื่อยหน่ายกับอะไรเลย ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งในสังคม ร้อยละ 9.85 ระบุว่า ปัญหาการคอร์รัปชันในทุกระดับ
    .
    ร้อยละ 9.69 ระบุว่า ปัญหาการจราจร ร้อยละ 5.57 ระบุว่า ปัญหาความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในระบบราชการ และร้อยละ 2.06 ระบุว่า ปัญหาสงคราม ความขัดแย้งในต่างประเทศ
    นิด้าโพลเปิดผลสำรวจ คนไทยเหนื่อยหน่ายกับอะไรบ้างในปี 2567 พบเกินครึ่งเป็นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้ รองลงมาเป็นภัยไซเบอร์ และความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในและนอกสภา . วันนี้ (22 ธ.ค.) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “เหนื่อยหน่ายกับอะไรบ้าง ในปี 2567 ที่ผ่านมา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธ.ค. 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง . เมื่อถามประชาชนถึงความสุขในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.92 ระบุว่า ค่อนข้างมีความสุข เพราะ มีความสุขทั้งกับตัวเองและครอบครัว ชีวิตการทำงานราบรื่น ไม่มีอุปสรรค . รองลงมา ร้อยละ 32.52 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความสุข เพราะมีปัญหาทางการเงินที่เกิดจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และรู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน . ร้อยละ 18.17 ระบุว่า มีความสุขมาก เพราะการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีเรื่องใดที่ต้องกังวล . และร้อยละ 9.39 ระบุว่าไม่มีความสุขเลย เพราะ เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สินสะสม การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบากและไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงสิ่งที่ประชาชนเหนื่อยหน่ายในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.14 ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ รองลงมา ร้อยละ 28.09 ระบุว่า ปัญหาภัยไซเบอร์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การแฮกข้อมูล เป็นต้น . ร้อยละ 27.86 ระบุว่า ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในและนอกสภา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดร้อยละ 14.89 ระบุว่า ปัญหาราคาพลังงาน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยทางธรรมชาติ ร้อยละ 13.44 ระบุว่า ปัญหาสุขภาพ โรคระบาด . ร้อยละ 12.98 ระบุว่า ปัญหาอาชญากรรม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 12.90 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ร้อยละ 12.75 ระบุว่า ไม่เหนื่อยหน่ายกับอะไรเลย ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งในสังคม ร้อยละ 9.85 ระบุว่า ปัญหาการคอร์รัปชันในทุกระดับ . ร้อยละ 9.69 ระบุว่า ปัญหาการจราจร ร้อยละ 5.57 ระบุว่า ปัญหาความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในระบบราชการ และร้อยละ 2.06 ระบุว่า ปัญหาสงคราม ความขัดแย้งในต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพการชุมนุมประท้วงในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรียขณะนี้ ประชาชนเรียกร้องให้จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา และให้ผู้หญิงสามารถใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้โดยอิสระ โดยต้องการแยกศาสนาออกจากการปกครองของรัฐ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันระหว่างทุกคน หลังจากที่มีข่าวว่า โจลานีผู้นำซีเรียคนใหม่กำลังพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะอ้างอิงจากกฎหมายชารีอะห์

    หมายเหตุ: ในยุคของระบอบการปกครองอัสซาด พลเมืองทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตตามปกติ
    ภาพการชุมนุมประท้วงในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรียขณะนี้ ประชาชนเรียกร้องให้จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา และให้ผู้หญิงสามารถใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้โดยอิสระ โดยต้องการแยกศาสนาออกจากการปกครองของรัฐ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันระหว่างทุกคน หลังจากที่มีข่าวว่า โจลานีผู้นำซีเรียคนใหม่กำลังพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะอ้างอิงจากกฎหมายชารีอะห์ หมายเหตุ: ในยุคของระบอบการปกครองอัสซาด พลเมืองทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการใช้ชีวิตตามปกติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ Storyฯ เคยเกริ่นไว้ว่าจริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน วันนี้มาเล่าให้ฟังค่ะเราคุยกันวันนี้ถึงประโยคแรกที่เหยียนซิ่งกล่าว ซึ่งก็คือ “แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป เดินขึ้นสูงสู่เสินโจว” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ซึ่งวรรคแรกของประโยคนี้ยกมาจากบทกวีโบราณ ความเดิมคือ ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป ข้าพเจ้าหาใช่ชาวป่าเขา’ (仰天大笑出门去,我辈岂是蓬蒿人)/ หยางเทียนต้าเซี่ยวชูเหมินชวี่ อั่วเป้ยฉี่ซื่อเผิงฮาวเหริน) โดยคำว่า ‘ชาวป่าเขา’ ในที่นี่เป็นการอุปมาอุปมัยถึงคนที่ไม่ได้รับราชการหรือชาวบ้านธรรมดา และบทกวีนี้คือ ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ (南陵别儿童入京 แปลได้ประมาณว่า อำลาเด็กๆ จากหนานหลิงเข้าเมืองหลวง) เป็นบทประพันธ์ของหลี่ไป๋ กวีเอกสมัยถังที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘เซียนกวี’ตอนที่หลี่ไป๋แต่งกลอนบทนี้ เขามีอายุประมาณสี่สิบสองปี (ค.ศ. 742) ชีวิตผ่านอะไรมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ การเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปทั่ว การใช้ชีวิตในแวดวงขุนนางและบัณฑิตแต่ไม่ได้เข้ารับราชการตามที่หวัง ชีวิตตกต่ำออกเร่ร่อนและหลบไปใช้ชีวิตทำนาอยู่ตามป่าเขา แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะเข้ารับราชการเพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความรู้ของตัวเอง และเชื่อว่าด้วยสติปัญญาความรู้ที่มีจะสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นได้ แม้ตัวไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่เขาไม่เคยขาดความพยายามที่จะส่งบทความให้ถึงมือของบุคคลสำคัญหลายคนโดยหวังที่จะกรุยทางให้เข้ารับราชการได้เรามักได้ยินเกี่ยวกับบทกวีของหลี่ไป๋ที่บรรยายธรรมชาติสวยงาม แต่จริงๆ แล้วหลี่ไป๋ประพันธ์บทกลอนและบทความไม่น้อยเกี่ยวกับหลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง โดยสอดแทรกปัญหาสังคมที่ตนได้ซึมซับมาจากการที่ได้เคยเดินทางไปหลากหลายพื้นที่และจากการได้คลุกคลีอยู่ในหลายแวดวงสังคมและหลังจากชีวิตผ่านไปอย่างขึ้นๆ ลงๆ ในที่สุดหลี่ไป๋ในวัยสี่สิบสองปีก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถังเสวียนจง และเมื่อเขาได้เข้าเฝ้าก็สามารถโต้ตอบคำถามจากฮ่องเต้ได้อย่างฉะฉาน ทั้งด้วยสำนวนคมคายและความรู้จากตำราและสิ่งที่ได้พบเห็นมา จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นขุนนางสังกัดสำนักหลวงฮั่นหลิน ต่อมาติดสอยห้อยตามใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตทางการเมืองของหลี่ไป๋ไม่ได้สวยงามตลอดรอดฝั่ง และคงจะกล่าวได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเขาแล้วดังนั้น บทกวี ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ จึงสะท้อนถึงอารมณ์ดีใจและภาคภูมิใจของหลี่ไป๋ พร้อมกับความคาดหวังว่าในที่สุดตนจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ได้เปล่งประกายความรู้ความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน ความหมายเต็มๆ ของบทกลอนนี้คือกล่าวถึงบรรยากาศรื่นเริงของร่ำสุรากินมื้อใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นห้อมล้อม ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นกล่าวถึงสภาพจิตใจของหลี่ไป๋ที่นึกย้อนถึงวันเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้มีผลงานจริงจัง พร้อมกับความหวังว่าวันนี้อำลาบ้านนอกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออุดมการณ์ และประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ‘ฉันก็มีดีนะ’ และวลีนี้ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่ง ‘วลีเด็ด’ จากวรรณกรรมจีนโบราณดังนั้น การที่เหยียนซิ่งยกวลี ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป’ นี้ขึ้นมาในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉือรู้ว่า ตราบใดที่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงกล้าที่จะแสดงออกไป ย่อมมีคนเห็นคุณค่า สัปดาห์มาคุยกันต่อกับประโยคที่เหลือของเหยียนซิ่งค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545 https://www.sohu.com/a/327753644_100030261 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ww.gushiju.net/ju/96744https://dugushici.com/mingju/9382https://baike.baidu.com/item/李白/1043 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #หลี่ไป๋ #สาระจีน
    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ที่มีช่วงหนึ่งพระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่ Storyฯ เคยเกริ่นไว้ว่าจริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่งกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน วันนี้มาเล่าให้ฟังค่ะเราคุยกันวันนี้ถึงประโยคแรกที่เหยียนซิ่งกล่าว ซึ่งก็คือ “แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป เดินขึ้นสูงสู่เสินโจว” (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ซึ่งวรรคแรกของประโยคนี้ยกมาจากบทกวีโบราณ ความเดิมคือ ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป ข้าพเจ้าหาใช่ชาวป่าเขา’ (仰天大笑出门去,我辈岂是蓬蒿人)/ หยางเทียนต้าเซี่ยวชูเหมินชวี่ อั่วเป้ยฉี่ซื่อเผิงฮาวเหริน) โดยคำว่า ‘ชาวป่าเขา’ ในที่นี่เป็นการอุปมาอุปมัยถึงคนที่ไม่ได้รับราชการหรือชาวบ้านธรรมดา และบทกวีนี้คือ ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ (南陵别儿童入京 แปลได้ประมาณว่า อำลาเด็กๆ จากหนานหลิงเข้าเมืองหลวง) เป็นบทประพันธ์ของหลี่ไป๋ กวีเอกสมัยถังที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘เซียนกวี’ตอนที่หลี่ไป๋แต่งกลอนบทนี้ เขามีอายุประมาณสี่สิบสองปี (ค.ศ. 742) ชีวิตผ่านอะไรมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ การเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปทั่ว การใช้ชีวิตในแวดวงขุนนางและบัณฑิตแต่ไม่ได้เข้ารับราชการตามที่หวัง ชีวิตตกต่ำออกเร่ร่อนและหลบไปใช้ชีวิตทำนาอยู่ตามป่าเขา แต่ตลอดเวลาเขาไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะเข้ารับราชการเพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความรู้ของตัวเอง และเชื่อว่าด้วยสติปัญญาความรู้ที่มีจะสามารถทำให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นได้ แม้ตัวไม่อยู่ในเมืองหลวงแต่เขาไม่เคยขาดความพยายามที่จะส่งบทความให้ถึงมือของบุคคลสำคัญหลายคนโดยหวังที่จะกรุยทางให้เข้ารับราชการได้เรามักได้ยินเกี่ยวกับบทกวีของหลี่ไป๋ที่บรรยายธรรมชาติสวยงาม แต่จริงๆ แล้วหลี่ไป๋ประพันธ์บทกลอนและบทความไม่น้อยเกี่ยวกับหลักการปกครองและการบริหารบ้านเมือง โดยสอดแทรกปัญหาสังคมที่ตนได้ซึมซับมาจากการที่ได้เคยเดินทางไปหลากหลายพื้นที่และจากการได้คลุกคลีอยู่ในหลายแวดวงสังคมและหลังจากชีวิตผ่านไปอย่างขึ้นๆ ลงๆ ในที่สุดหลี่ไป๋ในวัยสี่สิบสองปีก็ได้รับพระราชโองการให้เดินทางไปเมืองหลวงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถังเสวียนจง และเมื่อเขาได้เข้าเฝ้าก็สามารถโต้ตอบคำถามจากฮ่องเต้ได้อย่างฉะฉาน ทั้งด้วยสำนวนคมคายและความรู้จากตำราและสิ่งที่ได้พบเห็นมา จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นขุนนางสังกัดสำนักหลวงฮั่นหลิน ต่อมาติดสอยห้อยตามใกล้ชิดและเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตทางการเมืองของหลี่ไป๋ไม่ได้สวยงามตลอดรอดฝั่ง และคงจะกล่าวได้ว่า จุดนี้เป็นจุดที่รุ่งเรืองที่สุดของเขาแล้วดังนั้น บทกวี ‘หนานหลิงเปี๋ยเอ๋อร์ถงรู่จิง’ จึงสะท้อนถึงอารมณ์ดีใจและภาคภูมิใจของหลี่ไป๋ พร้อมกับความคาดหวังว่าในที่สุดตนจะได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ ได้เปล่งประกายความรู้ความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน ความหมายเต็มๆ ของบทกลอนนี้คือกล่าวถึงบรรยากาศรื่นเริงของร่ำสุรากินมื้อใหญ่ มีเด็กๆ วิ่งเล่นห้อมล้อม ร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นกล่าวถึงสภาพจิตใจของหลี่ไป๋ที่นึกย้อนถึงวันเวลาที่เสียไปโดยไม่ได้มีผลงานจริงจัง พร้อมกับความหวังว่าวันนี้อำลาบ้านนอกเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออุดมการณ์ และประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ‘ฉันก็มีดีนะ’ และวลีนี้ถูกยกย่องให้เป็นอีกหนึ่ง ‘วลีเด็ด’ จากวรรณกรรมจีนโบราณดังนั้น การที่เหยียนซิ่งยกวลี ‘แหงนมองฟ้าหัวร่อร่าก้าวออกไป’ นี้ขึ้นมาในเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> โดยในซีรีส์สมมุติไว้ว่านี่เป็นประโยคที่พานฉือแต่งขึ้น จึงเป็นการเท้าความถึงตอนที่พานฉือเดินทางเข้ากรุงใหม่ๆ ยังเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และเป็นการปลอบใจให้พานฉือรู้ว่า ตราบใดที่มีความรู้ความสามารถ ขอเพียงกล้าที่จะแสดงออกไป ย่อมมีคนเห็นคุณค่า สัปดาห์มาคุยกันต่อกับประโยคที่เหลือของเหยียนซิ่งค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545 https://www.sohu.com/a/327753644_100030261 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ww.gushiju.net/ju/96744https://dugushici.com/mingju/9382https://baike.baidu.com/item/李白/1043 #ทำนองรักกังวานแดนดิน #วลีจีน #หลี่ไป๋ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปลี่ยนแปลงตัวเองจากความขี้งอน น้อยใจ และหยิ่งยโส1. เข้าใจต้นเหตุ: ความเป็นอัตตา (Ego)ความขี้งอน น้อยใจ หรือหยิ่งยโส ล้วนงอกเงยจาก อัตตา หรือความยึดมั่นในตัวตนไม่จำเป็นต้อง "กำจัด" อัตตา แต่ให้ เห็นตามจริง ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรสังเกตว่า:อาการน้อยใจ มักมาพร้อมกับความรู้สึกซึมเศร้า ขาดพลังอาการหยิ่งยโส มักมาพร้อมกับความรู้สึกแข็งกร้าว ตีตนเหนือคนอื่นเพียงแค่รับรู้ว่าอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เมื่อใด และ ดับไปเมื่อใด คุณจะค่อยๆ ลดการยึดมั่นในอารมณ์เหล่านี้ไปโดยธรรมชาติ---2. เปลี่ยนอารมณ์เสพติดเป็นการพึ่งพาตนเองอารมณ์น้อยใจและหยิ่งยโส เป็นเหมือน สิ่งเสพติด ที่เมื่อเสพบ่อยๆ จะทำให้:มองเห็นแต่ความผิดของคนอื่นเห็นใจตัวเองมากกว่าผู้อื่นทางแก้:หันมาสร้าง อารมณ์เสพติดแบบตรงข้าม เช่น:คิดพึ่งพาตนเองแทนการรอคอยการง้อจากคนอื่นตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น มากกว่าการรอรับความช่วยเหลือเป็นผู้ให้ความอบอุ่นและกำลังใจ มากกว่าการเรียกร้องเมื่อฝึกเช่นนี้บ่อยครั้ง คุณจะรู้สึกถึงความสุขและความมั่นคงภายในใจ จากการเป็นที่พึ่งของตัวเอง---3. วิธีปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจ3.1 ฝึกสติระลึกถึงลมหายใจทุกครั้งที่รู้สึกน้อยใจหรือหยิ่งยโสสังเกตว่าอารมณ์นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร และ หายไปเมื่อใดการรู้เท่าทันเช่นนี้ จะช่วยลดการยึดมั่นในอารมณ์และความคิดเหล่านี้ได้3.2 ฝึกเมตตาทุกเช้าให้ตั้งจิตแผ่เมตตา:“ขอให้ตัวเองมีความสุข ขอให้ผู้อื่นมีความสุข”การฝึกเมตตาช่วยลดความหยิ่งยโส และเพิ่มความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น3.3 ตั้งเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิตเปลี่ยนจากการมุ่งหวังให้คนอื่นง้อหรือยอมรับ มาเป็น การสร้างความสุขและความเข้มแข็งในใจตัวเองทำทุกอย่างด้วยเป้าหมายเพื่อ การพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิม---4. ความสุขจากการพึ่งพาตนเองเมื่อคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณจะพบว่า:คุณไม่ต้องรอใครมาง้อความสุขในใจคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้อื่นคุณจะเป็นคนที่ทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกันตามคำสอนของพระพุทธเจ้า: “ผู้เป็นที่พึ่งแห่งตน ย่อมเป็นที่พึ่งอันใครๆ หาได้ยาก”นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง!
    เปลี่ยนแปลงตัวเองจากความขี้งอน น้อยใจ และหยิ่งยโส1. เข้าใจต้นเหตุ: ความเป็นอัตตา (Ego)ความขี้งอน น้อยใจ หรือหยิ่งยโส ล้วนงอกเงยจาก อัตตา หรือความยึดมั่นในตัวตนไม่จำเป็นต้อง "กำจัด" อัตตา แต่ให้ เห็นตามจริง ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรสังเกตว่า:อาการน้อยใจ มักมาพร้อมกับความรู้สึกซึมเศร้า ขาดพลังอาการหยิ่งยโส มักมาพร้อมกับความรู้สึกแข็งกร้าว ตีตนเหนือคนอื่นเพียงแค่รับรู้ว่าอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เมื่อใด และ ดับไปเมื่อใด คุณจะค่อยๆ ลดการยึดมั่นในอารมณ์เหล่านี้ไปโดยธรรมชาติ---2. เปลี่ยนอารมณ์เสพติดเป็นการพึ่งพาตนเองอารมณ์น้อยใจและหยิ่งยโส เป็นเหมือน สิ่งเสพติด ที่เมื่อเสพบ่อยๆ จะทำให้:มองเห็นแต่ความผิดของคนอื่นเห็นใจตัวเองมากกว่าผู้อื่นทางแก้:หันมาสร้าง อารมณ์เสพติดแบบตรงข้าม เช่น:คิดพึ่งพาตนเองแทนการรอคอยการง้อจากคนอื่นตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น มากกว่าการรอรับความช่วยเหลือเป็นผู้ให้ความอบอุ่นและกำลังใจ มากกว่าการเรียกร้องเมื่อฝึกเช่นนี้บ่อยครั้ง คุณจะรู้สึกถึงความสุขและความมั่นคงภายในใจ จากการเป็นที่พึ่งของตัวเอง---3. วิธีปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจ3.1 ฝึกสติระลึกถึงลมหายใจทุกครั้งที่รู้สึกน้อยใจหรือหยิ่งยโสสังเกตว่าอารมณ์นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร และ หายไปเมื่อใดการรู้เท่าทันเช่นนี้ จะช่วยลดการยึดมั่นในอารมณ์และความคิดเหล่านี้ได้3.2 ฝึกเมตตาทุกเช้าให้ตั้งจิตแผ่เมตตา:“ขอให้ตัวเองมีความสุข ขอให้ผู้อื่นมีความสุข”การฝึกเมตตาช่วยลดความหยิ่งยโส และเพิ่มความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น3.3 ตั้งเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิตเปลี่ยนจากการมุ่งหวังให้คนอื่นง้อหรือยอมรับ มาเป็น การสร้างความสุขและความเข้มแข็งในใจตัวเองทำทุกอย่างด้วยเป้าหมายเพื่อ การพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิม---4. ความสุขจากการพึ่งพาตนเองเมื่อคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คุณจะพบว่า:คุณไม่ต้องรอใครมาง้อความสุขในใจคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้อื่นคุณจะเป็นคนที่ทั้งเข้มแข็งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกันตามคำสอนของพระพุทธเจ้า: “ผู้เป็นที่พึ่งแห่งตน ย่อมเป็นที่พึ่งอันใครๆ หาได้ยาก”นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัพย์สมบัติส่วนบุคคล ตอนที่ 3

    ทรัพย์สมบัติภายนอกรักษาให้อยู่กับเรานานๆยาก และยังทำให้พอกพูนเพิ่มเติมยากมาก แต่ก็อาจจะมีคนแย้งว่าคนรวยแค่ทำอะไรนิดหน่อย หรือแม้กระทั่งอยู่เฉยๆทรัพย์สมบัติภายนอกก็เพิ่มขึ้นมาเอง แต่กรณีนี้เป็นตัวอย่างส่วนน้อยไม่สามารถใช้กับหลักการสำหรับมนุษย์อย่างเราทั่วๆไปได้

    นอกจากนี้เมื่อแก่เฒ่าแล้ว การเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติภายนอกทำเองได้ยาก รักษาให้อยู่ก็ยาก แถมยังเอาไปใช้งานก็ยากด้วย ซึ่งเขียนไว้ตอนก่อนๆว่า สังขารของเราต่างๆก็ยังเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติภายนอกด้วย มันเสื่อมลมตามกาลเวลาซึ่งเราๆก็รู้กันดีว่าเมื่ออายุ 40ปีขึ้นไป สังขารนี้ก็จะค่อยๆเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดจากกล้ามเนื้อตาไม่สามารถยืดหดตัวได้ จนทำให้เกิดอาการสายตายาว พละกำลังที่เคยดีเมื่อต้องวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนัก ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้วกลับถูกวัยรุ่นทำได้ดีและทิ้งห่างระดับความแข็งแรงไปอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงสภาพร่างกายอื่นๆ อาจจะมีโรคภัยเข้ามาเป็นเพื่อน เช่น โรคเบาหวาน , โรคความดันโลหิตสูง , โรคหัวใจ หรือโรคทางสายตา เป็นต้น สภาพร่ายกายที่เปลี่ยนแปลงถดถอยลง ผมบาง , ลงพุง , ผิวหนังเหี่ยวย่น หรือการปวดแข้งปวดขา ผมถือว่าร่างกายนี้ก็เป็นทรัพย์สมบัติภายนอกเพราะผมบังคับมันไม่ให้เสื่อมได้

    และเมื่อถึงวาระสุดท้ายในชีวิต.. หลายๆคนที่ยึดถือเอาทรัพย์สมบัติภายนอกมาเป็นเป้าหมายของชีวิต พวกเขาเคยภาคภูมิใจว่าถึงตัวเขาจะแก่ลงแต่ทรัพย์สมบัติภายนอกเพิ่มพูนขึ้นมาก บางคนแย่ชิงมากจากผู้อื่นโดยไม่สุจริต หรือแม้กระทั่งหาได้มาด้วยความสุจริตก็ตามที แล้วยังไงต่อ…เมื่อตายไปไม่มีประวัติศาสตร์หน้าไหนที่บันทึกว่าพวกเขาร่ำรวย มีเงินหลายล้าน หลายสิบล้าน หรือหลายร้อยล้าน บางคนมีทรัพย์สมบัติภายนอกมากกว่านั้นอีก แต่ทำในสิ่งที่ไม่ดีมากลับไม่มีใครจดจำเขาในฐานะผู้มีทรัพย์สมบัติภายนอกมากมาย แต่คนรุ่นหลังกลับจนจำเขาในฐานะผู้ชั่วร้ายคนหนึ่ง และในท้ายที่สุดเมื่อต้องจากโลกใบนี้ไปนอกจากจะนำทรัพย์สมบัติภายนอกไปไม่ได้สักชิ้นแล้ว การยึดถือทรัพย์สมบัติภายนอกยังไม่เป็นที่จดจำและสรรเสริญจากผู้คนในภายหลังอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติภายนอกเลย การมีทรัพย์สมบัติภายนอกเพื่อดูแลตัวเองไปถึงตลอดรอดฝั่งและไม่ต้องไปรบกวนผู้อื่นให้เดือดร้อนก็คงจำเป็นอยู่ แต่หลักการของผมคือไม่ยึดติดกับพวกมันมากจนเกินไป และไม่ต้องแสวงหาจนเป็นหลักการต้นๆของการใช้ชีวิตมนุษย์เรา

    และทางแก้ของผมคืออะไร… คำตอบก็คือการทำตรงกันข้ามกับที่ผมกล่าวไว้เบื้องต้น ตอนหน้าผมจะชี้ให้เห็นว่า หลักการยึดทรัพย์สมบัติ “ภายใน” แก้ปัญหาต่างๆได้อย่างไร มีประโยชน์มากแค่ไหน และสร้างความสุขให้กับมนุษย์เราได้อย่างไร พบกันตอนหน้าครับ
    ทรัพย์สมบัติส่วนบุคคล ตอนที่ 3 ทรัพย์สมบัติภายนอกรักษาให้อยู่กับเรานานๆยาก และยังทำให้พอกพูนเพิ่มเติมยากมาก แต่ก็อาจจะมีคนแย้งว่าคนรวยแค่ทำอะไรนิดหน่อย หรือแม้กระทั่งอยู่เฉยๆทรัพย์สมบัติภายนอกก็เพิ่มขึ้นมาเอง แต่กรณีนี้เป็นตัวอย่างส่วนน้อยไม่สามารถใช้กับหลักการสำหรับมนุษย์อย่างเราทั่วๆไปได้ นอกจากนี้เมื่อแก่เฒ่าแล้ว การเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติภายนอกทำเองได้ยาก รักษาให้อยู่ก็ยาก แถมยังเอาไปใช้งานก็ยากด้วย ซึ่งเขียนไว้ตอนก่อนๆว่า สังขารของเราต่างๆก็ยังเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติภายนอกด้วย มันเสื่อมลมตามกาลเวลาซึ่งเราๆก็รู้กันดีว่าเมื่ออายุ 40ปีขึ้นไป สังขารนี้ก็จะค่อยๆเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดจากกล้ามเนื้อตาไม่สามารถยืดหดตัวได้ จนทำให้เกิดอาการสายตายาว พละกำลังที่เคยดีเมื่อต้องวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนัก ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้วกลับถูกวัยรุ่นทำได้ดีและทิ้งห่างระดับความแข็งแรงไปอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงสภาพร่างกายอื่นๆ อาจจะมีโรคภัยเข้ามาเป็นเพื่อน เช่น โรคเบาหวาน , โรคความดันโลหิตสูง , โรคหัวใจ หรือโรคทางสายตา เป็นต้น สภาพร่ายกายที่เปลี่ยนแปลงถดถอยลง ผมบาง , ลงพุง , ผิวหนังเหี่ยวย่น หรือการปวดแข้งปวดขา ผมถือว่าร่างกายนี้ก็เป็นทรัพย์สมบัติภายนอกเพราะผมบังคับมันไม่ให้เสื่อมได้ และเมื่อถึงวาระสุดท้ายในชีวิต.. หลายๆคนที่ยึดถือเอาทรัพย์สมบัติภายนอกมาเป็นเป้าหมายของชีวิต พวกเขาเคยภาคภูมิใจว่าถึงตัวเขาจะแก่ลงแต่ทรัพย์สมบัติภายนอกเพิ่มพูนขึ้นมาก บางคนแย่ชิงมากจากผู้อื่นโดยไม่สุจริต หรือแม้กระทั่งหาได้มาด้วยความสุจริตก็ตามที แล้วยังไงต่อ…เมื่อตายไปไม่มีประวัติศาสตร์หน้าไหนที่บันทึกว่าพวกเขาร่ำรวย มีเงินหลายล้าน หลายสิบล้าน หรือหลายร้อยล้าน บางคนมีทรัพย์สมบัติภายนอกมากกว่านั้นอีก แต่ทำในสิ่งที่ไม่ดีมากลับไม่มีใครจดจำเขาในฐานะผู้มีทรัพย์สมบัติภายนอกมากมาย แต่คนรุ่นหลังกลับจนจำเขาในฐานะผู้ชั่วร้ายคนหนึ่ง และในท้ายที่สุดเมื่อต้องจากโลกใบนี้ไปนอกจากจะนำทรัพย์สมบัติภายนอกไปไม่ได้สักชิ้นแล้ว การยึดถือทรัพย์สมบัติภายนอกยังไม่เป็นที่จดจำและสรรเสริญจากผู้คนในภายหลังอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติภายนอกเลย การมีทรัพย์สมบัติภายนอกเพื่อดูแลตัวเองไปถึงตลอดรอดฝั่งและไม่ต้องไปรบกวนผู้อื่นให้เดือดร้อนก็คงจำเป็นอยู่ แต่หลักการของผมคือไม่ยึดติดกับพวกมันมากจนเกินไป และไม่ต้องแสวงหาจนเป็นหลักการต้นๆของการใช้ชีวิตมนุษย์เรา และทางแก้ของผมคืออะไร… คำตอบก็คือการทำตรงกันข้ามกับที่ผมกล่าวไว้เบื้องต้น ตอนหน้าผมจะชี้ให้เห็นว่า หลักการยึดทรัพย์สมบัติ “ภายใน” แก้ปัญหาต่างๆได้อย่างไร มีประโยชน์มากแค่ไหน และสร้างความสุขให้กับมนุษย์เราได้อย่างไร พบกันตอนหน้าครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เฉพาะผู้ที่มีวินัยเท่านั้น จึงจะเป็นอิสระในชีวิต หากคุณไม่มีวินัย คุณจะเป็นทาสของอารมณ์ และความลุ่มหลงหลงใหลของตัวเอง (Only the disciplined ones in life are free. If you are undisciplined, you are a slave to your moods and your passions.)” --- Eliud Kipchoge
    .
    ไม่ได้ไปลงงานวิ่ง ATM กับเขาหรอกครับ (เพราะถนัดวิ่งแถวบ้านมากกว่า 555) แต่รู้สึกชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จของนักวิ่งทุกท่าน ในทุกระยะ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ขณะเดียวกันส่วนตัวผมก็ชื่นชอบ "คิปโชเก" มาหลายปีแล้ว (นอกจากชื่นชอบมุราคามิ นักวิ่งชาวญี่ปุ่นที่เขียนหนังสือได้นิดหน่อย 😆)
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลได้มากที่สุดจากการติดตามคิปโชเก ไม่ใช่สถิติ หรือเทคนิคการวิ่งของคิปโชเก (เพราะเราคงทำไม่ได้) แต่เป็นแนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ขอบคุณคำพูดของแกที่เป็นแรงกระตุ้นให้เราตื่น และออกไปวิ่งได้ในทุก ๆ เช้า 🙏🌄
    “เฉพาะผู้ที่มีวินัยเท่านั้น จึงจะเป็นอิสระในชีวิต หากคุณไม่มีวินัย คุณจะเป็นทาสของอารมณ์ และความลุ่มหลงหลงใหลของตัวเอง (Only the disciplined ones in life are free. If you are undisciplined, you are a slave to your moods and your passions.)” --- Eliud Kipchoge . ไม่ได้ไปลงงานวิ่ง ATM กับเขาหรอกครับ (เพราะถนัดวิ่งแถวบ้านมากกว่า 555) แต่รู้สึกชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จของนักวิ่งทุกท่าน ในทุกระยะ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ขณะเดียวกันส่วนตัวผมก็ชื่นชอบ "คิปโชเก" มาหลายปีแล้ว (นอกจากชื่นชอบมุราคามิ นักวิ่งชาวญี่ปุ่นที่เขียนหนังสือได้นิดหน่อย 😆) . ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลได้มากที่สุดจากการติดตามคิปโชเก ไม่ใช่สถิติ หรือเทคนิคการวิ่งของคิปโชเก (เพราะเราคงทำไม่ได้) แต่เป็นแนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม ขอบคุณคำพูดของแกที่เป็นแรงกระตุ้นให้เราตื่น และออกไปวิ่งได้ในทุก ๆ เช้า 🙏🌄
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇩🇪"ฉันเคยอยู่เมืองนี้อยู่ทางตอนเหนือของเยอรมันนี คนมีวินัยสูงตรงต่อเวลาไม่รับฟังข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น มีชีวิตเหมือนหุ่นยนตร์ วางแผนชีวิตครั้งล่ะเป็นปีถึงหลายปีสะอาดเงียบบางครั้งดูน่ากลัว คนหายเยอะมากๆตามถนนไม่ค่อยมีคนเดินทำแต่งานๆๆ "นาซียังมีอยู่ขวาจัด" เขามองว่าฉันเป็นคนเวียดนามๆอพยพมาอยู่เยอะกระมั้งแต่ฉันก็เฉยๆนิ่งดีกว่า ก็ได้ประสบการณ์ชีวิตอีกแบบนึงจริงๆฉันก็ชอบนะสงบเงียบเป็นส่วนตัวดีเพราะฉันเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงต่างประเทศเขาก็ไม่ยุ่งกันอยู่แล้ว ต่างคนต่างอยู่"เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีการใช้ชีวิต6โมงเย็นทุกอย่างก็ปิดหมด ยกเว้นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ไปฝึกงานปิด4ทุ่มแต่ฉันทำแค่5โมงเย็นเขาจ้างเป็นชั่วโมง นอกจากคนเยอะมากจริงๆถึงจะให้อยู่ต่อถึงร้านปิด"อยู่เมืองนอกต้องขยันอดทนทำงานได้หลายๆหน้าที่ บอกเลยโคตรเหนื่อยแต่ก็สนุกดีมีเพื่อนๆดีเป็นนักศึกษาแพทย์มาทำงานพารท์ไทม์ด้วยกันคอยช่วยเหลือกัน#อยู่ไหนก็ไม่สบายและมีความสุขเท่าประเทศไทยหรอก🇹🇭❤🥰"ได้เป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนตร์😅
    🇩🇪"ฉันเคยอยู่เมืองนี้อยู่ทางตอนเหนือของเยอรมันนี คนมีวินัยสูงตรงต่อเวลาไม่รับฟังข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น มีชีวิตเหมือนหุ่นยนตร์ วางแผนชีวิตครั้งล่ะเป็นปีถึงหลายปีสะอาดเงียบบางครั้งดูน่ากลัว คนหายเยอะมากๆตามถนนไม่ค่อยมีคนเดินทำแต่งานๆๆ "นาซียังมีอยู่ขวาจัด" เขามองว่าฉันเป็นคนเวียดนามๆอพยพมาอยู่เยอะกระมั้งแต่ฉันก็เฉยๆนิ่งดีกว่า ก็ได้ประสบการณ์ชีวิตอีกแบบนึงจริงๆฉันก็ชอบนะสงบเงียบเป็นส่วนตัวดีเพราะฉันเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงต่างประเทศเขาก็ไม่ยุ่งกันอยู่แล้ว ต่างคนต่างอยู่"เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีการใช้ชีวิต6โมงเย็นทุกอย่างก็ปิดหมด ยกเว้นร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ไปฝึกงานปิด4ทุ่มแต่ฉันทำแค่5โมงเย็นเขาจ้างเป็นชั่วโมง นอกจากคนเยอะมากจริงๆถึงจะให้อยู่ต่อถึงร้านปิด"อยู่เมืองนอกต้องขยันอดทนทำงานได้หลายๆหน้าที่ บอกเลยโคตรเหนื่อยแต่ก็สนุกดีมีเพื่อนๆดีเป็นนักศึกษาแพทย์มาทำงานพารท์ไทม์ด้วยกันคอยช่วยเหลือกัน#อยู่ไหนก็ไม่สบายและมีความสุขเท่าประเทศไทยหรอก🇹🇭❤🥰"ได้เป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนตร์😅
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ศิลปะแห่งการวางใจ: เคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบาย"---สองมือที่รับผิดชอบ กับหัวใจที่ไม่แบกภาระชีวิตเรามักถูกผูกโยงกับคำว่า "ความรับผิดชอบ" ทั้งในหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ แต่การรับผิดชอบไม่ได้หมายถึงการแบกภาระไว้ในใจเคล็ดลับ:ใช้สองมือทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังแต่ปล่อยใจให้ว่างจากความหนักอึ้งคนที่เข้าใจจุดนี้ จะสามารถรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จมอยู่กับความกังวล คล้ายกับเด็กที่ไม่มีใครกะเกณฑ์ให้รับผิดชอบมากเกินไป---วางแผนอนาคต แต่ไม่หวั่นไหวกับวันพรุ่งนี้การมองไปข้างหน้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ามองด้วยความกังวล สิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะกลายเป็นเงามืดที่ทำให้ปัจจุบันไร้ความสุขเคล็ดลับ:วางแผนด้วยสองตาที่จดจ่อแต่ปล่อยใจให้สนุกกับการเดินทางคนที่เข้าใจจุดนี้ จะเปลี่ยนความล้มเหลวเป็นบทเรียน ไม่ใช่ห่วงโซ่ที่ฉุดรั้ง คล้ายกับเด็กที่เล่นเกมด้วยความสนุก รู้ผลเพื่อเริ่มใหม่ ไม่ใช่เพื่อสะสมความทุกข์---พูดคุยอย่างเบาใจ ไม่หลงติดในเรื่องชาวบ้านการพูดคุยเป็นธรรมชาติของการเข้าสังคม แต่สิ่งที่ทำให้ใจหนักคือการเก็บเรื่องคนอื่นมาเป็นภาระของตัวเองเคล็ดลับ:ปากพูดในสิ่งที่ควรพูดใจวางเรื่องนั้นไว้ที่ตรงนั้นคนที่เข้าใจจุดนี้ จะเข้าสังคมได้อย่างสง่างาม โดยไม่หลงติดอยู่ในดราม่า คล้ายกับเด็กที่เล่าถึงตัวละครในการ์ตูนอย่างสนุกสนาน โดยไม่ยึดติดกับความจริงจัง---ชีวิตที่เบาสบาย เริ่มต้นด้วยการวางสิ่งที่ไม่จำเป็นแรกเกิด เรามาด้วยมือเปล่า และ ใกล้ตาย ก็ควรวางทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง การใช้ชีวิตอย่างไม่แบกโลกไว้ทั้งใบ จึงต้องเริ่มจากการฝึกวางสิ่งที่ไม่จำเป็นในทุกวันเคล็ดลับ:ฝึกปล่อยวางทีละน้อยหัดไม่เอาเรื่องหนักใจเกินจำเป็นมาทับจิตมีความตั้งใจทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่ยึดติดในผลลัพธ์---บทสรุป: ชีวิตเบาได้ ใจปล่อยวางเป็นการมีชีวิตที่เบาสบายไม่ใช่การหนีจากความรับผิดชอบ แต่คือการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แล้วปล่อยใจให้ว่างเปล่าเหมือนวันแรกเกิด"ใช้สองมือทำสิ่งสำคัญ ใช้หนึ่งใจปล่อยวางสิ่งไม่จำเป็น แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตเบาสบายยิ่งกว่าที่เคยเป็น"
    "ศิลปะแห่งการวางใจ: เคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบาย"---สองมือที่รับผิดชอบ กับหัวใจที่ไม่แบกภาระชีวิตเรามักถูกผูกโยงกับคำว่า "ความรับผิดชอบ" ทั้งในหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ แต่การรับผิดชอบไม่ได้หมายถึงการแบกภาระไว้ในใจเคล็ดลับ:ใช้สองมือทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังแต่ปล่อยใจให้ว่างจากความหนักอึ้งคนที่เข้าใจจุดนี้ จะสามารถรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จมอยู่กับความกังวล คล้ายกับเด็กที่ไม่มีใครกะเกณฑ์ให้รับผิดชอบมากเกินไป---วางแผนอนาคต แต่ไม่หวั่นไหวกับวันพรุ่งนี้การมองไปข้างหน้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ามองด้วยความกังวล สิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะกลายเป็นเงามืดที่ทำให้ปัจจุบันไร้ความสุขเคล็ดลับ:วางแผนด้วยสองตาที่จดจ่อแต่ปล่อยใจให้สนุกกับการเดินทางคนที่เข้าใจจุดนี้ จะเปลี่ยนความล้มเหลวเป็นบทเรียน ไม่ใช่ห่วงโซ่ที่ฉุดรั้ง คล้ายกับเด็กที่เล่นเกมด้วยความสนุก รู้ผลเพื่อเริ่มใหม่ ไม่ใช่เพื่อสะสมความทุกข์---พูดคุยอย่างเบาใจ ไม่หลงติดในเรื่องชาวบ้านการพูดคุยเป็นธรรมชาติของการเข้าสังคม แต่สิ่งที่ทำให้ใจหนักคือการเก็บเรื่องคนอื่นมาเป็นภาระของตัวเองเคล็ดลับ:ปากพูดในสิ่งที่ควรพูดใจวางเรื่องนั้นไว้ที่ตรงนั้นคนที่เข้าใจจุดนี้ จะเข้าสังคมได้อย่างสง่างาม โดยไม่หลงติดอยู่ในดราม่า คล้ายกับเด็กที่เล่าถึงตัวละครในการ์ตูนอย่างสนุกสนาน โดยไม่ยึดติดกับความจริงจัง---ชีวิตที่เบาสบาย เริ่มต้นด้วยการวางสิ่งที่ไม่จำเป็นแรกเกิด เรามาด้วยมือเปล่า และ ใกล้ตาย ก็ควรวางทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง การใช้ชีวิตอย่างไม่แบกโลกไว้ทั้งใบ จึงต้องเริ่มจากการฝึกวางสิ่งที่ไม่จำเป็นในทุกวันเคล็ดลับ:ฝึกปล่อยวางทีละน้อยหัดไม่เอาเรื่องหนักใจเกินจำเป็นมาทับจิตมีความตั้งใจทำในสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่ยึดติดในผลลัพธ์---บทสรุป: ชีวิตเบาได้ ใจปล่อยวางเป็นการมีชีวิตที่เบาสบายไม่ใช่การหนีจากความรับผิดชอบ แต่คือการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แล้วปล่อยใจให้ว่างเปล่าเหมือนวันแรกเกิด"ใช้สองมือทำสิ่งสำคัญ ใช้หนึ่งใจปล่อยวางสิ่งไม่จำเป็น แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตเบาสบายยิ่งกว่าที่เคยเป็น"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้ชีวิตแบบมีความสุข
    และรู้คุณค่า
    การได้ดูแลใส่ใจคนรอบข้างไปด้วย
    โดยไม่ทิ้งใครไประหว่างทาง
    พร้อมๆกับการได้ทำตามความฝัน
    ในแบบของเรา
    เพราะความสุขของชีวิต
    และการมีสมดุลในชีวิต
    ก็นับว่าเป็นความสำเร็จได้เช่นกัน

    จากหนังสือ |ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง
    การใช้ชีวิตแบบมีความสุข และรู้คุณค่า การได้ดูแลใส่ใจคนรอบข้างไปด้วย โดยไม่ทิ้งใครไประหว่างทาง พร้อมๆกับการได้ทำตามความฝัน ในแบบของเรา เพราะความสุขของชีวิต และการมีสมดุลในชีวิต ก็นับว่าเป็นความสำเร็จได้เช่นกัน จากหนังสือ |ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นาฬิกาชีวิต จังหวะเวลาที่กำหนดสุขภาพ
    ทุกวัน..จะชอบเขียนเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ไม่กินเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนตามหลักพุทธศาสนา คือ ถือศีลข้อที่๑(บริสุทธิ์) ทำให้เลือดในร่างกายไม่เป็นกรด ปัญหาเรื่องกระดูกพรุนไม่เกิด และมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ต้องเป็นภาระทางราชการ หรือ ต้องสูญเสียเงินทองมากมายเมื่อเข้าสู่วัยชรา.
    วันนี้..ที่บ้านมีพะโล้ฟองเต้าหู้ กับ ผักกาดจอ หม้อใหญ่ๆ เป็นอาหารหลัก ทำเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา คงกินได้หลายวัน
    วันนี้จึงไม่โม้เรื่องอาหาร เพราะเคยเขียนเผยแพร่แล้ว
    วันนี้พูดเรื่องสำคัญ..มากเท่ากับเรื่องอาหาร คือ
    วินัย ของ การทำงานในร่างกาย ปฏิบัติตัวอย่างไร ให้ ถูกที่ ถูกเวลา ตลอดเวลา ๒๔ชั่วโมง ก็ สำคัญมาก ซึ่งวันนี้ จะนำเสนอให้ทราบ ดังนี้
    เหตุผลตามธรรมชาติ
    #ทำไมต้องนอนสามทุ่มตื่นตีสาม?
    ต้องดื่มน้ำหลังตื่นนอน ขับถ่ายของเสีย กินอาหารให้ตรงเวลา
    #ทำไมเวลาเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมงเช้า(ห้ามนอน..เด็ดขาด)
    บ่ายโมงถึงบ่ายสามไม่ควรกินอาหาร
    #บ่ายสามถึงห้าโมงเย็นเป็นเวลาออกกำลังกาย
    --->สามทุ่ม(ต้อง)เข้านอน(ห่มผ้า)ให้อบอุ่น ไม่ควรอาบน้ำเย็น
    #สี่ทุ่มถึงตีสามคือเวลาของฮอร์โมนเมลาโทนิน(หลั่ง)
    --->ต้อง(ห่มผ้า)นอนหลับให้สนิท และ ปิดไฟให้มืด
    จึงจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีอายุขัยที่ยืนยาว 120 ปี
    #นาฬิกาชีวิต คือ การดูแลรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด ให้มีสุขภาพที่ดีอายุยืนนาน ตามศาสตร์การแพทย์จีน อายุรเวทของอินเดีย และอียิปต์โบราณได้ค้นพบ และบันทึกตรงกันว่า
    #อวัยวะในร่างกายมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ #อวัยวะตัน --->หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต #อวัยวะกลวง --->กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และ ระบบความร้อนในร่างกาย
    ทั้งหมดรวมได้ 12 อวัยวะ ควบคุมการไหลเวียนด้วยพลังชีวิตที่เรียกว่า.. “ #ลมปราณ” หมุนเวียนเป็นวัฏจักรทุก 2 ชั่วโมง ตามลำดับ
    ดังนั้นใน 1วัน=12อวัยวะX2ชั่วโมง จึงเท่ากับ 24ชั่วโมง (พอดีเป๊ะ)
    นี่แหละ คือ วัฏจักรของการทำงาน(ตามปกติ)ของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ที่เรียกว่า #นาฬิกาชีวิต นั่นเอง ค่ะ
    #ตารางการเดินลมปราณในแต่ละวัน จึงเป็นการดูแลสุขภาพอย่างง่ายๆ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ..”นาฬิกาชีวิต” ได้ดังนี้...
    เวลา 01.00-03.00น. ควรเป็นเวลาของ #ตับ มีหน้าที่เป็นโรงงานกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้นในช่วงเวลานี้ร่างกาย #ควรนอนหลับให้สนิทเพื่อให้ตับได้ขจัดสารพิษออกจากร่างกายหากไม่หลับในช่วงนี้จะทำให้สะสมพิษทำให้เกิดอาการเพลีย เหนื่อยง่าย
    โรคต่างที่เกิดจากพิษสารเคมีสะสมจะทำให้ป่วยง่าย+เรื้อรัง-ตายอย่างเวทนาและทุกข์ทรมาน นะคะ(ขอ บอก)
    เวลา 03.00-05.00น. #ควรตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก..ลึกๆ ช้าๆ..สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ทำให้สุขภาพปอดและร่างกายโดยรวมจะดีไปด้วย
    #การดื่มน้ำอุ่นในช่วงนี้และการซิทอัป--->จะกระตุ้น(เร่ง)การทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำงานในช่วงต่อไป..
    เวลา 05.00-07.00น. เป็นช่วงเวลาของ #การทำงานลำไส้ใหญ่ บีบรัดตัวได้ดีที่สุด เป็นเวลาขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย การไม่ขับถ่ายในช่วงเวลานี้ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมกลับไป สะสมสารพิษ สะสม ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เวลา 05.45-06.00น.เป็นเวลาที่ดีที่สุด ของ #การฝึกสมาธิ เพราะในขณะที่ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำ&แปรงฟัน..เสร็จ ปลอดโปร่ง..#โล่งทั้งกายและใจไม่มีเรื่องเครียด เรื่องงานมากวนใจ ฝึกนั่งสมาธิในช่วงนี้(ทุกวัน)สามารถเข้าถึงสมาธิได้สำเร็จ(ง่าย)มาก..ค่ะ
    เวลา 07.00-09.00น. คือช่วงเวลาของ #กระเพาะอาหาร ต้องกินอาหารเช้าเป็นมื้อหลักที่มีสารอาหารอย่างครบถ้วน หากไม่กินมื้อเช้า(มื้อสำคัญ)จะเป็นโรคกระเพาะอย่างรวดเร็ว และสะสมเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในระยะยาว
    เวลา 09.00-011.00น. เป็นเวลาของ #ม้าม ควบคุมเม็ดเลือดขาว กำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ดังนั้นผู้ที่นอนในช่วงนี้จะส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ มี #ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ติดเชื้อเป็นโรคต่างๆได้ง่าย
    เวลา 11.00-13.00น. ช่วงพักเที่ยง เป็นช่วงเวลาของ #หัวใจ ควรพักผ่อน..สบายๆ งดน้ำชา กาแฟ หลีกเลี่ยงความเครียดซึ่งทำให้หัวใจเต้นแรง ทำงานหนักเกิน ส่งผลให้หัวใจวายได้อย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาเที่ยง จ๊ะ
    เวลา 13.00-15.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ลำไส้เล็ก ในช่วงนี้ร่างกายส่งพลังงานทั้งหมดไปยังลำไส้เล็กเพื่อการดูดซึม #การกินอาหารในช่วงนี้จะไปขัดขวางโอกาสทองของระบบดูดซีมที่ต้องแบ่งพลังงานไปใช้ในการย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วงนี้สมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีที่สุดในรอบวัน
    เวลา 15.00-17.00น. เวลาของ #กระเพาะปัสสาวะ และการขับเหงื่อ #จึงควรออกกำลังกายอย่างหนัก หรือ เหมาะกับการอบซาวน่าเพื่อให้เหงื่อออก สำหรับหนุ่มสาวที่ทำงานในช่วงนี้ ก็สามารถใช้ท่าการออกกำลังกายในสำนักงาน หรือเดินไป-มา ขึ้น-ลงบันได เพื่อส่งเสริมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้..เช่นกัน
    เวลา 17.00-19.00น. #ช่วงเวลาของไต มีหน้าที่รักษาสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย โดยกำจัดส่วนเกินออกทางปัสสาวะและเหงื่อ #เวลาช่วงนี้จึงควรทำให้ร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วง ไม่หลับ เป็นช่วงCool Down หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ต่อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก..ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
    เวลา 19.00-21.00น. ช่วงนี้เป็นเวลาที่ #เยื่อหุ้มหัวใจ..บางที่สุด จึงควรระวังอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ โกรธ เสียใจ การที่ทำให้ตื่นตัวมากๆส่งผลให้เยื่อหุ้มหัวใจฉีกขาดได้ง่าย ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงควรปิดโทรศัพท์ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ
    เวลา 21.00-23.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ระบบความร้อนในร่างกาย ซึ่งตามธรรมชาติ..ในช่วงเวลานี้อากาศเริ่มเย็น ร่างกายคนเราต้องสร้างความร้อนขึ้น จึงไม่ควรอาบน้ำหรือดื่มน้ำเย็น และควรเข้านอนในช่วงเวลานี้ ควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอนเพื่อส่งเสริมการทำงานของถุงน้ำดีในเวลาถัดไป.
    เวลา 23.00-01.00น. เวลาของ #ถุงน้ำดี ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลับ ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ขาดน้ำ อวัยวะต่างๆจะดึงน้ำจากถุงน้ำดี..แล้วนำไปใช้ หากน้ำในถุงน้ำดีข้นเกินไปอาจส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติได้ #หากไม่นอนในช่วงนี้จะเกิดถุงไขมันใต้ตา และไขมันพอกตับ
    .
    .
    เจริญธรรม สำนึกดี
    Pachäree Wõng
    November21, 2024
    Sausalito, California.
    #นาฬิกาชีวิต จังหวะเวลาที่กำหนดสุขภาพ ทุกวัน..จะชอบเขียนเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ คือ ไม่กินเนื้อสัตว์ ละเว้นการเบียดเบียนตามหลักพุทธศาสนา คือ ถือศีลข้อที่๑(บริสุทธิ์) ทำให้เลือดในร่างกายไม่เป็นกรด ปัญหาเรื่องกระดูกพรุนไม่เกิด และมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่ต้องเป็นภาระทางราชการ หรือ ต้องสูญเสียเงินทองมากมายเมื่อเข้าสู่วัยชรา. วันนี้..ที่บ้านมีพะโล้ฟองเต้าหู้ กับ ผักกาดจอ หม้อใหญ่ๆ เป็นอาหารหลัก ทำเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา คงกินได้หลายวัน วันนี้จึงไม่โม้เรื่องอาหาร เพราะเคยเขียนเผยแพร่แล้ว วันนี้พูดเรื่องสำคัญ..มากเท่ากับเรื่องอาหาร คือ วินัย ของ การทำงานในร่างกาย ปฏิบัติตัวอย่างไร ให้ ถูกที่ ถูกเวลา ตลอดเวลา ๒๔ชั่วโมง ก็ สำคัญมาก ซึ่งวันนี้ จะนำเสนอให้ทราบ ดังนี้ เหตุผลตามธรรมชาติ #ทำไมต้องนอนสามทุ่มตื่นตีสาม? ต้องดื่มน้ำหลังตื่นนอน ขับถ่ายของเสีย กินอาหารให้ตรงเวลา #ทำไมเวลาเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมงเช้า(ห้ามนอน..เด็ดขาด) บ่ายโมงถึงบ่ายสามไม่ควรกินอาหาร #บ่ายสามถึงห้าโมงเย็นเป็นเวลาออกกำลังกาย --->สามทุ่ม(ต้อง)เข้านอน(ห่มผ้า)ให้อบอุ่น ไม่ควรอาบน้ำเย็น #สี่ทุ่มถึงตีสามคือเวลาของฮอร์โมนเมลาโทนิน(หลั่ง) --->ต้อง(ห่มผ้า)นอนหลับให้สนิท และ ปิดไฟให้มืด จึงจะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีอายุขัยที่ยืนยาว 120 ปี #นาฬิกาชีวิต คือ การดูแลรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด ให้มีสุขภาพที่ดีอายุยืนนาน ตามศาสตร์การแพทย์จีน อายุรเวทของอินเดีย และอียิปต์โบราณได้ค้นพบ และบันทึกตรงกันว่า #อวัยวะในร่างกายมนุษย์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ #อวัยวะตัน --->หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต #อวัยวะกลวง --->กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และ ระบบความร้อนในร่างกาย ทั้งหมดรวมได้ 12 อวัยวะ ควบคุมการไหลเวียนด้วยพลังชีวิตที่เรียกว่า.. “ #ลมปราณ” หมุนเวียนเป็นวัฏจักรทุก 2 ชั่วโมง ตามลำดับ ดังนั้นใน 1วัน=12อวัยวะX2ชั่วโมง จึงเท่ากับ 24ชั่วโมง (พอดีเป๊ะ) นี่แหละ คือ วัฏจักรของการทำงาน(ตามปกติ)ของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ ที่เรียกว่า #นาฬิกาชีวิต นั่นเอง ค่ะ #ตารางการเดินลมปราณในแต่ละวัน จึงเป็นการดูแลสุขภาพอย่างง่ายๆ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับ..”นาฬิกาชีวิต” ได้ดังนี้... เวลา 01.00-03.00น. ควรเป็นเวลาของ #ตับ มีหน้าที่เป็นโรงงานกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้นในช่วงเวลานี้ร่างกาย #ควรนอนหลับให้สนิทเพื่อให้ตับได้ขจัดสารพิษออกจากร่างกายหากไม่หลับในช่วงนี้จะทำให้สะสมพิษทำให้เกิดอาการเพลีย เหนื่อยง่าย โรคต่างที่เกิดจากพิษสารเคมีสะสมจะทำให้ป่วยง่าย+เรื้อรัง-ตายอย่างเวทนาและทุกข์ทรมาน นะคะ(ขอ บอก) เวลา 03.00-05.00น. #ควรตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออก..ลึกๆ ช้าๆ..สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกกำลังกายยืดเส้น ยืดสาย ทำให้สุขภาพปอดและร่างกายโดยรวมจะดีไปด้วย #การดื่มน้ำอุ่นในช่วงนี้และการซิทอัป--->จะกระตุ้น(เร่ง)การทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำงานในช่วงต่อไป.. เวลา 05.00-07.00น. เป็นช่วงเวลาของ #การทำงานลำไส้ใหญ่ บีบรัดตัวได้ดีที่สุด เป็นเวลาขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย การไม่ขับถ่ายในช่วงเวลานี้ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมกลับไป สะสมสารพิษ สะสม ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เวลา 05.45-06.00น.เป็นเวลาที่ดีที่สุด ของ #การฝึกสมาธิ เพราะในขณะที่ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว อาบน้ำ&แปรงฟัน..เสร็จ ปลอดโปร่ง..#โล่งทั้งกายและใจไม่มีเรื่องเครียด เรื่องงานมากวนใจ ฝึกนั่งสมาธิในช่วงนี้(ทุกวัน)สามารถเข้าถึงสมาธิได้สำเร็จ(ง่าย)มาก..ค่ะ เวลา 07.00-09.00น. คือช่วงเวลาของ #กระเพาะอาหาร ต้องกินอาหารเช้าเป็นมื้อหลักที่มีสารอาหารอย่างครบถ้วน หากไม่กินมื้อเช้า(มื้อสำคัญ)จะเป็นโรคกระเพาะอย่างรวดเร็ว และสะสมเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในระยะยาว เวลา 09.00-011.00น. เป็นเวลาของ #ม้าม ควบคุมเม็ดเลือดขาว กำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ดังนั้นผู้ที่นอนในช่วงนี้จะส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ มี #ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ติดเชื้อเป็นโรคต่างๆได้ง่าย เวลา 11.00-13.00น. ช่วงพักเที่ยง เป็นช่วงเวลาของ #หัวใจ ควรพักผ่อน..สบายๆ งดน้ำชา กาแฟ หลีกเลี่ยงความเครียดซึ่งทำให้หัวใจเต้นแรง ทำงานหนักเกิน ส่งผลให้หัวใจวายได้อย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาเที่ยง จ๊ะ เวลา 13.00-15.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ลำไส้เล็ก ในช่วงนี้ร่างกายส่งพลังงานทั้งหมดไปยังลำไส้เล็กเพื่อการดูดซึม #การกินอาหารในช่วงนี้จะไปขัดขวางโอกาสทองของระบบดูดซีมที่ต้องแบ่งพลังงานไปใช้ในการย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วงนี้สมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีที่สุดในรอบวัน เวลา 15.00-17.00น. เวลาของ #กระเพาะปัสสาวะ และการขับเหงื่อ #จึงควรออกกำลังกายอย่างหนัก หรือ เหมาะกับการอบซาวน่าเพื่อให้เหงื่อออก สำหรับหนุ่มสาวที่ทำงานในช่วงนี้ ก็สามารถใช้ท่าการออกกำลังกายในสำนักงาน หรือเดินไป-มา ขึ้น-ลงบันได เพื่อส่งเสริมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้..เช่นกัน เวลา 17.00-19.00น. #ช่วงเวลาของไต มีหน้าที่รักษาสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย โดยกำจัดส่วนเกินออกทางปัสสาวะและเหงื่อ #เวลาช่วงนี้จึงควรทำให้ร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วง ไม่หลับ เป็นช่วงCool Down หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ต่อจากการออกกำลังกายอย่างหนัก..ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เวลา 19.00-21.00น. ช่วงนี้เป็นเวลาที่ #เยื่อหุ้มหัวใจ..บางที่สุด จึงควรระวังอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ โกรธ เสียใจ การที่ทำให้ตื่นตัวมากๆส่งผลให้เยื่อหุ้มหัวใจฉีกขาดได้ง่าย ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงควรปิดโทรศัพท์ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ เวลา 21.00-23.00น. เป็นช่วงเวลาของ #ระบบความร้อนในร่างกาย ซึ่งตามธรรมชาติ..ในช่วงเวลานี้อากาศเริ่มเย็น ร่างกายคนเราต้องสร้างความร้อนขึ้น จึงไม่ควรอาบน้ำหรือดื่มน้ำเย็น และควรเข้านอนในช่วงเวลานี้ ควรดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอนเพื่อส่งเสริมการทำงานของถุงน้ำดีในเวลาถัดไป. เวลา 23.00-01.00น. เวลาของ #ถุงน้ำดี ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลับ ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ขาดน้ำ อวัยวะต่างๆจะดึงน้ำจากถุงน้ำดี..แล้วนำไปใช้ หากน้ำในถุงน้ำดีข้นเกินไปอาจส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติได้ #หากไม่นอนในช่วงนี้จะเกิดถุงไขมันใต้ตา และไขมันพอกตับ . . เจริญธรรม สำนึกดี Pachäree Wõng November21, 2024 Sausalito, California.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1368 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## Li Ziqi (หลีจื่อชี) กลับมาแล้ว ##
    ..
    ..
    หลีจื่อชี กลับมาอัปเดตวิดีโออีกครั้งหลังจากผ่านไป 3 ปี...!!!
    .
    หลังจากเรื่องราวการฟ้องร้อง ระหว่าง บริษัท WeiNian และ นาย หลิวถงหมิง กับ บริษัท Ziqi Culture ของ หลีจื่อชี ซึ่งจบลงด้วยการไกล่เกลี่ย
    .
    หลังจากนั้น เธอก็เงียบหายไป...
    .
    โดยตัวเธอระบุว่า ได้ใช้เวลาไปกับ “การพักผ่อน และ ดูแลคุณยาย”
    .
    เธอเดินทางไปหลายสถานที่ในกว่า 20 มณฑล และ พบปะกับผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และ ผู้ทำงานด้านวัฒนธรรมกว่า 100 คน ซึ่งทำให้เธอค้นพบแนวทางในอนาคต...
    .
    หลี่จื่อฉี วัย 34 ปี เจ้าของรางวัล Guinness World Record สำหรับ "ผู้ติดตามช่องภาษาจีนบน YouTube มากที่สุด"
    .
    ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่จะนำพาเรา เขาไปสู่อีกโลกหนึ่ง พื่นที่ป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ รอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ด้วยชีวิตที่ สงบ และ สุข กับการใช้ชีวิต และ กินอยู่ กับธรรมชาติ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และ ยังสวยงามชวนฝันอีกด้วย...
    .
    เธอเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้ทำคอนเทนต์ รุ่นน้องหลายราย ที่ผลิตคอนเทนต์ ในลักษณะเดียวกันออกมาอีกมากมายในภายหลัง...
    ...
    และที่สำคัญ เป็น คอนเทนต์ที่ผมชอบมาก...
    .
    😊😊😊😊😊😊😊😊
    .
    https://youtu.be/IrXjnw8BpM0?si=j4ldHD-aOzecMHvA
    ## Li Ziqi (หลีจื่อชี) กลับมาแล้ว ## .. .. หลีจื่อชี กลับมาอัปเดตวิดีโออีกครั้งหลังจากผ่านไป 3 ปี...!!! . หลังจากเรื่องราวการฟ้องร้อง ระหว่าง บริษัท WeiNian และ นาย หลิวถงหมิง กับ บริษัท Ziqi Culture ของ หลีจื่อชี ซึ่งจบลงด้วยการไกล่เกลี่ย . หลังจากนั้น เธอก็เงียบหายไป... . โดยตัวเธอระบุว่า ได้ใช้เวลาไปกับ “การพักผ่อน และ ดูแลคุณยาย” . เธอเดินทางไปหลายสถานที่ในกว่า 20 มณฑล และ พบปะกับผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และ ผู้ทำงานด้านวัฒนธรรมกว่า 100 คน ซึ่งทำให้เธอค้นพบแนวทางในอนาคต... . หลี่จื่อฉี วัย 34 ปี เจ้าของรางวัล Guinness World Record สำหรับ "ผู้ติดตามช่องภาษาจีนบน YouTube มากที่สุด" . ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่จะนำพาเรา เขาไปสู่อีกโลกหนึ่ง พื่นที่ป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ รอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ด้วยชีวิตที่ สงบ และ สุข กับการใช้ชีวิต และ กินอยู่ กับธรรมชาติ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และ ยังสวยงามชวนฝันอีกด้วย... . เธอเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้ทำคอนเทนต์ รุ่นน้องหลายราย ที่ผลิตคอนเทนต์ ในลักษณะเดียวกันออกมาอีกมากมายในภายหลัง... ... และที่สำคัญ เป็น คอนเทนต์ที่ผมชอบมาก... . 😊😊😊😊😊😊😊😊 . https://youtu.be/IrXjnw8BpM0?si=j4ldHD-aOzecMHvA
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍀🌸🍃🍀🌸🍃🍀🌸🍃
    เช้านี้ที่...#วังน้ำเขียว
    “ ชีวิตคนเรามันก็เป็นเช่นนี้ บางทีก็ยิ้มจนลืมทุกข์ บางทีก็ทุกข์จนลืมยิ้ม รู้สึกตัวเมื่อไร ก็อวยพรให้ตัวเองเข้มแข็ง แล้วใจเย็นกับทุกวันของการใช้ชีวิต ”
    #สะบายดียามเช้า
    #มีความสุขสนุกกับการทำงานทั้งวัน
    ┏━┓┏━┓°•.º° .☼.
    ┃┋┗┛┋┃╭╮╭╮╭╮╮╭
    ┃┋┏┓┋┃┣┫┣╯┣╯╰┫
    ┗━┛┗━┛┻┻┻┉┻┉╰╯
    ☁☀☁♪ Tuesday ♫🌴🏰♣🌾♧ 🌷
    🍀🌸🍃🍀🌸🍃🍀🌸🍃 เช้านี้ที่...#วังน้ำเขียว “ ชีวิตคนเรามันก็เป็นเช่นนี้ บางทีก็ยิ้มจนลืมทุกข์ บางทีก็ทุกข์จนลืมยิ้ม รู้สึกตัวเมื่อไร ก็อวยพรให้ตัวเองเข้มแข็ง แล้วใจเย็นกับทุกวันของการใช้ชีวิต ” #สะบายดียามเช้า #มีความสุขสนุกกับการทำงานทั้งวัน ┏━┓┏━┓°•.º° .☼. ┃┋┗┛┋┃╭╮╭╮╭╮╮╭ ┃┋┏┓┋┃┣┫┣╯┣╯╰┫ ┗━┛┗━┛┻┻┻┉┻┉╰╯ ☁☀☁♪ Tuesday ♫🌴🏰♣🌾♧ 🌷
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 279 มุมมอง 0 รีวิว
  • แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คุยกันไม่ได้ อีกฝ่ายจะรมแก๊สสลิ่ม เอ้ย! เกิดความแตกแยกรุนแรง ทั้งทางความคิดและการใช้ชีวิต จนเกิดเป็นกระแสความขัดแย้งที่ลุกลามไปเป็นการปะทะกันเอง (เห็นไม๊? ม็อบชนม็อบ ตำรวจนอนเล่นเฟสบุคสบายใจจุง)
    แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คุยกันไม่ได้ อีกฝ่ายจะรมแก๊สสลิ่ม เอ้ย! เกิดความแตกแยกรุนแรง ทั้งทางความคิดและการใช้ชีวิต จนเกิดเป็นกระแสความขัดแย้งที่ลุกลามไปเป็นการปะทะกันเอง (เห็นไม๊? ม็อบชนม็อบ ตำรวจนอนเล่นเฟสบุคสบายใจจุง)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประสบการณ์เกิดจากการใช้ชีวิต #thaitime
    ประสบการณ์เกิดจากการใช้ชีวิต #thaitime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฮาวทู ฝึกสมองให้ชอบออมเงิน
    .
    Mac Gardner ผู้สนับสนุนความรู้ทางการเงินได้หยิบเงิน 100 ดอลลาร์ให้นักเรียนชั้นประถม และถามพวกเขาว่าพวกเขาจะนำไปใช้อย่างไร นักเรียนกว่า 9 ใน 10 ต่างตอบเหมือนกันว่าจะนำไปซื้อของที่อยากได้ เพราะคนส่วนใหญ่ถูกตั้งโปรแกรมให้กลายเป็นผู้บริโภคตั้งแต่อายุยังน้อย
    .
    พฤติกรรมเหล่านั้นจะถูกหล่อหลอมจนทำให้คุณกลายเป็นคนใช้เงิน หากไม่เข้าใจคุณค่าของมันตั้งแต่ยังเด็ก
    .
    ยิ่งคุณเข้าใจจิตวิทยาของการออมเงินมากเท่าไร คุณก็จะพัฒนานิสัยทางการเงินที่ดีได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
    .
    แท้จริงแล้วเรื่องของจิตวิทยายังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเราทุกคน เพียงแค่มันเป็นเหมือนกลุ่มดาวเล็ก ๆ ที่ผู้คนไม่ค่อยสังเกตถึงมันเท่าไหร่ แต่มันกลับส่งผลต่อการใช้ชีวิตทั้งหมดตลอดช่วงอายุของผู้คน ซึ่งในแง่ของจิตวิทยาการเงินแล้ว มนุษย์มักกลัวที่จะสูญเสียหรือพลาดโอกาสอะไรไป (FOMO)
    .
    นั่นจึงทำให้พวกเขาต้องวิ่งตามเทรนด์หรือกระแสที่เปลี่ยนไปของโลกด้วยใช้ “เงิน” ในการขับเคลื่อน แต่หากคุณรู้ตัวสักนิดว่าบางครั้งการวิ่งตามในเส้นทางนั้นนาน ๆ ก็อาจทำให้เหนื่อยได้ เพียงแค่คิดที่จะหยุด ผลตอบแทนที่สูญเสียไปก็จะตีคืนกลับมาเป็นเงินมหาศาลได้
    .
    เพื่อทำให้ตัวคุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินโดยไม่ไขว้เขวได้ สิ่งที่คุณควรทำและเรียนรู้ในจิตวิทยาการเงินคือ...
    .
    .
    เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
    (Reference in comment)
    ———
    100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
    .
    .
    #Money
    #100WEALTH
    #ไปให้ถึง100ล้าน
    #SERVgroup
    ฮาวทู ฝึกสมองให้ชอบออมเงิน . Mac Gardner ผู้สนับสนุนความรู้ทางการเงินได้หยิบเงิน 100 ดอลลาร์ให้นักเรียนชั้นประถม และถามพวกเขาว่าพวกเขาจะนำไปใช้อย่างไร นักเรียนกว่า 9 ใน 10 ต่างตอบเหมือนกันว่าจะนำไปซื้อของที่อยากได้ เพราะคนส่วนใหญ่ถูกตั้งโปรแกรมให้กลายเป็นผู้บริโภคตั้งแต่อายุยังน้อย . พฤติกรรมเหล่านั้นจะถูกหล่อหลอมจนทำให้คุณกลายเป็นคนใช้เงิน หากไม่เข้าใจคุณค่าของมันตั้งแต่ยังเด็ก . ยิ่งคุณเข้าใจจิตวิทยาของการออมเงินมากเท่าไร คุณก็จะพัฒนานิสัยทางการเงินที่ดีได้ง่ายขึ้นเท่านั้น . แท้จริงแล้วเรื่องของจิตวิทยายังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเราทุกคน เพียงแค่มันเป็นเหมือนกลุ่มดาวเล็ก ๆ ที่ผู้คนไม่ค่อยสังเกตถึงมันเท่าไหร่ แต่มันกลับส่งผลต่อการใช้ชีวิตทั้งหมดตลอดช่วงอายุของผู้คน ซึ่งในแง่ของจิตวิทยาการเงินแล้ว มนุษย์มักกลัวที่จะสูญเสียหรือพลาดโอกาสอะไรไป (FOMO) . นั่นจึงทำให้พวกเขาต้องวิ่งตามเทรนด์หรือกระแสที่เปลี่ยนไปของโลกด้วยใช้ “เงิน” ในการขับเคลื่อน แต่หากคุณรู้ตัวสักนิดว่าบางครั้งการวิ่งตามในเส้นทางนั้นนาน ๆ ก็อาจทำให้เหนื่อยได้ เพียงแค่คิดที่จะหยุด ผลตอบแทนที่สูญเสียไปก็จะตีคืนกลับมาเป็นเงินมหาศาลได้ . เพื่อทำให้ตัวคุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินโดยไม่ไขว้เขวได้ สิ่งที่คุณควรทำและเรียนรู้ในจิตวิทยาการเงินคือ... . . เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH (Reference in comment) ——— 100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน . . #Money #100WEALTH #ไปให้ถึง100ล้าน #SERVgroup
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7/11/67

    “ปริศนาจากพระพุทธรูป"

    คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ
    คือ

    1. พระเศียรแหลม

    มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม

    พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

    ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

    ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

    2. พระกรรณยาน

    หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

    เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

    3. พระเนตรมองต่ำ

    พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม

    สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

    “อตฺตนา โจทยตฺตาน”

    ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า...

    “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
    ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

    นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

    4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

    ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่

    ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

    หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

    5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

    สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก...

    ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน
    ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

    ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น

    “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

    นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

    อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ”

    และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า

    “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา”

    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ

    # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    7/11/67 “ปริศนาจากพระพุทธรูป" คงไม่มีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ลักษณะของพระพุทธรูปที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้งนั้น แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอาไว้ ถึง 5 ประการ คือ 1. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว ปัญญาคือ ที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ 2. พระกรรณยาน หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้าย คน ๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือ ตัวเราเอง และ ชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของเราเองฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และ มีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่าง ๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ 3. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... “จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย” นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือ ดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง” 4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างมั่นคง เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง 5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดาความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวรความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง นอกจากนั้นรอยยิ้มของพระพุทธรูป คือ รอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน... อย่าลืมนะ ว่า ในจิตใจของพวกเราทุกคน มีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ซ่อนอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะหลายคนอาจไม่ทราบว่า แท้จริงคำว่า “พระพุทธเจ้า” (ผู้ตื่นรู้) ไม่ใช่ “ชื่อ” แต่เป็น “คำนำหน้าชื่อ” และในอดีตก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ โดยองค์ปัจจุบันที่เรารู้จักกันดีมีพระนามว่า “โคตมะ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ขับไล่ความมืด (อวิชชา) ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา” ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงจุดของความเป็น “พุทธะ” ได้ทั้งนั้น หากคนคนนั้นหมั่นใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีปัญญาอยู่เสมอ # ฉะนั้น เมื่อใดที่เราก้มลงกราบพระพุทธรูป นอกจากจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมระลึกถึงปรัชญาที่แฝงไว้ด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 713 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts