• นี้คือกฎหมายหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจริง,ประชาชนไม่สามารถใช้ระบบประชาธิปไตยร่วมลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ใดๆได้เลย บังคับใช้เองตามอำเภอใจ สภาพความเป็นจริงก็ประชาชนไม่สามารถจ่ายได้อีก,ตลอดระยะเวลาที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจริง ถอยหลังไปสัก40-50ปี หรือ30-40ปี,ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติสุขธรรมดา,ปัจจุบันหนักข้อมากขึ้น ประชาชนคือเหยื่อและแหล่งรายได้ทางข้อกฎหมายเสียแล้ว,เสมือนกฎหมายในปัจจุบันที่อ้างประชาชนบังหน้า ล่วงมุ่งแสวงหารายได้จากประชาชนผ่านกฎหมายข้อบังคับค่าปรับค่าธรรมเนียมสาระพัดนั้นเอง,จริงๆตำรวจจราจรมีหน้าที่สกัดจับโจรผู้ร้ายที่ปล้นจี้ชิงทรัพย์ก่ออาชญากรรมด้านร่างกายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ใช้ถนนเป็นที่หลบหนีจากการไล่ล่าทุกๆกรณี,ส่วนกฎหมายจราจรมากมายที่ออกมา,ไร้สาระทั้งสิ้นจากกรมขนส่งเอง,เพื่อให้การใช้ถนนในจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย,ขนส่งควบคุมตั้งแต่ต้นทางได้คือบุคคลจะซื้อรถยนต์รถมอไซค์ได้ต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มีใบขับขี่ที่เพียงสแกนเลขบัตรก็รับรู้สถานะได้ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรอะไรก็ได้ ส่วนสวมหมวกกันน็อคคือสิทธิอธิปไตยส่วนบุคคลใครจะใส่ไม่ใส่ก็ได้บังคับไม่ได้ รับความเสี่ยงภัยเอง.ใส่ก็ดีแก่ตัวเอง,รถไม่ได้มาตราฐานห้ามซื้อขาย,คือจบทั้งหมดที่ต้นทางหมด,แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีเป้ามียอดจริง,
    ..การจะกำจัดตังทุจริตสิ้นซากได้คือระบบ และกำจัดคนจริงด้วย,ที่สร้างความเดือดร้อนรังแกประชาชนผ่านกฎหมาย, จริงๆต้องแจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนในการตั้งจุดตรวจ เพื่ออะไรด้วย,สกัดจับโจรก็ลงแพลตฟอร์มพื้นที่ตนชัดเจน ประชาชนก็ร่วมมือสังเกตุคนร้ายได้ด้วย ระบุชื่อรูปลักษณ์คดี รายละเอียดไป ปกปิดทำซากอะไร รัศมีตาประชาชนสามารถร่วมจับได้อีก.

    ..รัฐล้มเหลวจึงเขียนกฎหมายรังแกบีบบังคับประชาชนได้หรือรัฐเผด็จการภายในระบบประชาธิปไตยที่ฝ่ายคนข้าราชการรัฐเขียนตีตรากันเอง ออกมาบังคับใช้ จริงๆประชาชนสามารถลงมติร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มสาธารณะยกเลิกกฎหมายเช่นค่าปรับ2,000นี้ได้ เช่นมีแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมระบบรัฐจริง พอประชาชนลงมติคัดค้านกฎหมายนี้ร่วมกันถึง10ล้านคนออนไลน์สะสม,ภายใน1ปีหรือภายใน1ปีจริงแต่ประชาชนเรียกร้องยกเลิกทันทีโดยลงชื่อกดปุ่มจนครบคนที่10ล้านคน รุ่งขึ้นกฎหมายค่าปรับนี้สามารถยกเลิกได้ทันทีแม้ฝ่ายรัฐจะตีตรามาบังคับใช้แล้วจริงทั้งฉบับต้องเป็นตกไป,หรือประชาชนต้องการให้ข้าราชการเลวชั่วนี้พ้นอำนาจไป ร่วมกันลงชื่อครบ20ล้านคน ข้าราชการปลัดหรืออธิบดีนั้นหรือรัฐมนตรีนั้นๆต้องพ้นอำนาจพ้นตำแหน่งทันที,คือพลังมวลชนต้องสามารถแสดงพลังได้จริงในทางที่ถูกทางด้วย,ผู้ว่าในจังหวัดนั้นเลวชั่ว ประชาชนในจังหวัดนั้นๆสามารถลงมติร่วมลงชื่อเรียลไทม์ในแพลตฟอร์มแห่งชาตินั้น ครบ300,000คน ครบ5แสนคนเพราะจังหวัดนั้นๆมีประชากรแค่700,000คนหรือ1,500,000คนเอง,นายอำเภอก็ด้วยครบ2-3หมื่นคน จาก100,000กว่าคนเป็นต้นสามารถถีบผู้ว่าถีบนายอำเภอพ้นตำแหน่งข้าราชการได้เป็นต้น,แต่กฎหมายมากมายเก่ายุค รังแกกดขี่ประชาชนก็มาก ประชาชนไม่สามารถแสดงพลังตนในการจัดการปัญหาพื้นที่ตนที่กฎหมายผีบ้าใครเขียนบ้านั้นไมาสามารถฉีกทิ้งได้เลย,และกฎค่าปรับ2,000บาทนี้ก็ผีบ้าด้วย นี้คือการปล้นทรีพย์สินเงินทองจากกระเป๋าประชาชนคนไทยชัดเจนในค่าแรงแค่300-400บาทขั้นต่ำเอง.,กฎหมายนี้คือกฎหมายเผด็จการรังแกประชาชนชัดเจน ไม่ต่างจากmou43,44ที่เขียนออกมารอวันขายดินแดนและเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยเรา.

    ..รัฐล้มเหลว
    ..วิถีปกครองล้มเหลว

    https://youtube.com/shorts/u6yWW47NGt4?si=qsQ8EWmgYHR1e2NX
    นี้คือกฎหมายหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนจริง,ประชาชนไม่สามารถใช้ระบบประชาธิปไตยร่วมลงมติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ใดๆได้เลย บังคับใช้เองตามอำเภอใจ สภาพความเป็นจริงก็ประชาชนไม่สามารถจ่ายได้อีก,ตลอดระยะเวลาที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจริง ถอยหลังไปสัก40-50ปี หรือ30-40ปี,ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติสุขธรรมดา,ปัจจุบันหนักข้อมากขึ้น ประชาชนคือเหยื่อและแหล่งรายได้ทางข้อกฎหมายเสียแล้ว,เสมือนกฎหมายในปัจจุบันที่อ้างประชาชนบังหน้า ล่วงมุ่งแสวงหารายได้จากประชาชนผ่านกฎหมายข้อบังคับค่าปรับค่าธรรมเนียมสาระพัดนั้นเอง,จริงๆตำรวจจราจรมีหน้าที่สกัดจับโจรผู้ร้ายที่ปล้นจี้ชิงทรัพย์ก่ออาชญากรรมด้านร่างกายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ใช้ถนนเป็นที่หลบหนีจากการไล่ล่าทุกๆกรณี,ส่วนกฎหมายจราจรมากมายที่ออกมา,ไร้สาระทั้งสิ้นจากกรมขนส่งเอง,เพื่อให้การใช้ถนนในจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย,ขนส่งควบคุมตั้งแต่ต้นทางได้คือบุคคลจะซื้อรถยนต์รถมอไซค์ได้ต้องอายุเท่านี้เท่านั้น มีใบขับขี่ที่เพียงสแกนเลขบัตรก็รับรู้สถานะได้ ไม่จำเป็นต้องพกบัตรอะไรก็ได้ ส่วนสวมหมวกกันน็อคคือสิทธิอธิปไตยส่วนบุคคลใครจะใส่ไม่ใส่ก็ได้บังคับไม่ได้ รับความเสี่ยงภัยเอง.ใส่ก็ดีแก่ตัวเอง,รถไม่ได้มาตราฐานห้ามซื้อขาย,คือจบทั้งหมดที่ต้นทางหมด,แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีเป้ามียอดจริง, ..การจะกำจัดตังทุจริตสิ้นซากได้คือระบบ และกำจัดคนจริงด้วย,ที่สร้างความเดือดร้อนรังแกประชาชนผ่านกฎหมาย, จริงๆต้องแจ้งล่วงหน้าแก่ประชาชนในการตั้งจุดตรวจ เพื่ออะไรด้วย,สกัดจับโจรก็ลงแพลตฟอร์มพื้นที่ตนชัดเจน ประชาชนก็ร่วมมือสังเกตุคนร้ายได้ด้วย ระบุชื่อรูปลักษณ์คดี รายละเอียดไป ปกปิดทำซากอะไร รัศมีตาประชาชนสามารถร่วมจับได้อีก. ..รัฐล้มเหลวจึงเขียนกฎหมายรังแกบีบบังคับประชาชนได้หรือรัฐเผด็จการภายในระบบประชาธิปไตยที่ฝ่ายคนข้าราชการรัฐเขียนตีตรากันเอง ออกมาบังคับใช้ จริงๆประชาชนสามารถลงมติร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มสาธารณะยกเลิกกฎหมายเช่นค่าปรับ2,000นี้ได้ เช่นมีแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมระบบรัฐจริง พอประชาชนลงมติคัดค้านกฎหมายนี้ร่วมกันถึง10ล้านคนออนไลน์สะสม,ภายใน1ปีหรือภายใน1ปีจริงแต่ประชาชนเรียกร้องยกเลิกทันทีโดยลงชื่อกดปุ่มจนครบคนที่10ล้านคน รุ่งขึ้นกฎหมายค่าปรับนี้สามารถยกเลิกได้ทันทีแม้ฝ่ายรัฐจะตีตรามาบังคับใช้แล้วจริงทั้งฉบับต้องเป็นตกไป,หรือประชาชนต้องการให้ข้าราชการเลวชั่วนี้พ้นอำนาจไป ร่วมกันลงชื่อครบ20ล้านคน ข้าราชการปลัดหรืออธิบดีนั้นหรือรัฐมนตรีนั้นๆต้องพ้นอำนาจพ้นตำแหน่งทันที,คือพลังมวลชนต้องสามารถแสดงพลังได้จริงในทางที่ถูกทางด้วย,ผู้ว่าในจังหวัดนั้นเลวชั่ว ประชาชนในจังหวัดนั้นๆสามารถลงมติร่วมลงชื่อเรียลไทม์ในแพลตฟอร์มแห่งชาตินั้น ครบ300,000คน ครบ5แสนคนเพราะจังหวัดนั้นๆมีประชากรแค่700,000คนหรือ1,500,000คนเอง,นายอำเภอก็ด้วยครบ2-3หมื่นคน จาก100,000กว่าคนเป็นต้นสามารถถีบผู้ว่าถีบนายอำเภอพ้นตำแหน่งข้าราชการได้เป็นต้น,แต่กฎหมายมากมายเก่ายุค รังแกกดขี่ประชาชนก็มาก ประชาชนไม่สามารถแสดงพลังตนในการจัดการปัญหาพื้นที่ตนที่กฎหมายผีบ้าใครเขียนบ้านั้นไมาสามารถฉีกทิ้งได้เลย,และกฎค่าปรับ2,000บาทนี้ก็ผีบ้าด้วย นี้คือการปล้นทรีพย์สินเงินทองจากกระเป๋าประชาชนคนไทยชัดเจนในค่าแรงแค่300-400บาทขั้นต่ำเอง.,กฎหมายนี้คือกฎหมายเผด็จการรังแกประชาชนชัดเจน ไม่ต่างจากmou43,44ที่เขียนออกมารอวันขายดินแดนและเจตนาทำให้สูญเสียดินแดนอธิปไตยชาติไทยเรา. ..รัฐล้มเหลว ..วิถีปกครองล้มเหลว https://youtube.com/shorts/u6yWW47NGt4?si=qsQ8EWmgYHR1e2NX
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลานี้ใครเห็นใจประชาชนเขมร,จงอย่าอยู่บนแผ่นดินไทย,ใครเมตตาสงสารคนเขมรจงไปอยู่กับประเทศเขมรเลย,ใครบอกว่าอย่าเกลียดชังคนเขมรเลย จงพาคนเขมรที่มรึงรักและไม่เกลียดชังไปตั้งประเทศใหม่ พาคนเขมรที่ดีๆบริสุทธิ์นั้นไปหาประเทศใหม่อยู่ด้วยกันอย่ามาอยู่ประเทศ แล้วไม่เกลียดชังคนเขมรเลย, เขมรใครดีๆในประเทศไทย จริงๆต้องเอาไปอยู่เกาะอะไรสักพักก่อนทั้งหมด,เจ้าของกิจการอะไรๆก็ส่งงานให้มันทำชั่วคราวในศูนย์กักกันนั้นก่อน,
    ..ดูมันเลยพากันกดชอบใจ บินมาทิ้งระเบิดใส่ไทยเลย มันมีเครื่องบินนะมันบินมายิงใส่กรุงเทพฯแน่นอน,ขนาดปั้นน้ำมัน โรงพยาบาลมันยังยิงได้ เด็กๆเสียชีวิต ตายเกือบทั้งครอบครัว,ประชาชนเขมรเองก็ตัวเปิดสงครามใส่ไทยเราด้วยภายในประเทศเขมร เรา..เสียเวลามากในการจัดการเขมรให้เด็ดขาด ตัดตอนdeep stateมาปั่นป่วนใช้อาเชียนเราคือไทยกับเขมรสร้างสงครามตัวแทนขึ้นในภูมิภาคนี้ แล้วให้โอกาสมันเข้ามาแทรกแซงได้,เด็ดหัวฮุนเซนฮุนมาเนตคือสิ่งที่ต้องทำ,ฮุนมาเนตยังไม่ถูกจัดการ มันแปลกมาก จริงๆจีนต้องเด็ดหัวฮุนมาเนตนะเพราะอยู่ต่างประเทศแล้ว,สายนักฆ่าต้องลงมือได้,
    ..ลาว เวียดนาม ต้องร่วมกันตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อมิให้ภูมิภาคเราเป็นสถานที่ทำสงครามโลก โดยสาเหตุมาจากเขมรที่ลากสิ่งนี้เข้ามาชัดเจน,ต้องร่วมกันปลดสถานะประเทศเขมรลบชื่อเขมรออกจากแผนที่โลกเลย,ลาว เวียดนามแบ่งกันเองตามสบาย,ไทยเอาคืนเฉพาะส่วนพื้นที่ที่ฝรั่งเศสปล้นชิงไปแค่นั้น.,เรามีบันทึกในประวัติศาสตร์หมดแล้ว.

    https://youtube.com/watch?v=HwS35RfGwqc&si=bitlVi0Foov9-K2e
    เวลานี้ใครเห็นใจประชาชนเขมร,จงอย่าอยู่บนแผ่นดินไทย,ใครเมตตาสงสารคนเขมรจงไปอยู่กับประเทศเขมรเลย,ใครบอกว่าอย่าเกลียดชังคนเขมรเลย จงพาคนเขมรที่มรึงรักและไม่เกลียดชังไปตั้งประเทศใหม่ พาคนเขมรที่ดีๆบริสุทธิ์นั้นไปหาประเทศใหม่อยู่ด้วยกันอย่ามาอยู่ประเทศ แล้วไม่เกลียดชังคนเขมรเลย, เขมรใครดีๆในประเทศไทย จริงๆต้องเอาไปอยู่เกาะอะไรสักพักก่อนทั้งหมด,เจ้าของกิจการอะไรๆก็ส่งงานให้มันทำชั่วคราวในศูนย์กักกันนั้นก่อน, ..ดูมันเลยพากันกดชอบใจ บินมาทิ้งระเบิดใส่ไทยเลย มันมีเครื่องบินนะมันบินมายิงใส่กรุงเทพฯแน่นอน,ขนาดปั้นน้ำมัน โรงพยาบาลมันยังยิงได้ เด็กๆเสียชีวิต ตายเกือบทั้งครอบครัว,ประชาชนเขมรเองก็ตัวเปิดสงครามใส่ไทยเราด้วยภายในประเทศเขมร เรา..เสียเวลามากในการจัดการเขมรให้เด็ดขาด ตัดตอนdeep stateมาปั่นป่วนใช้อาเชียนเราคือไทยกับเขมรสร้างสงครามตัวแทนขึ้นในภูมิภาคนี้ แล้วให้โอกาสมันเข้ามาแทรกแซงได้,เด็ดหัวฮุนเซนฮุนมาเนตคือสิ่งที่ต้องทำ,ฮุนมาเนตยังไม่ถูกจัดการ มันแปลกมาก จริงๆจีนต้องเด็ดหัวฮุนมาเนตนะเพราะอยู่ต่างประเทศแล้ว,สายนักฆ่าต้องลงมือได้, ..ลาว เวียดนาม ต้องร่วมกันตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อมิให้ภูมิภาคเราเป็นสถานที่ทำสงครามโลก โดยสาเหตุมาจากเขมรที่ลากสิ่งนี้เข้ามาชัดเจน,ต้องร่วมกันปลดสถานะประเทศเขมรลบชื่อเขมรออกจากแผนที่โลกเลย,ลาว เวียดนามแบ่งกันเองตามสบาย,ไทยเอาคืนเฉพาะส่วนพื้นที่ที่ฝรั่งเศสปล้นชิงไปแค่นั้น.,เรามีบันทึกในประวัติศาสตร์หมดแล้ว. https://youtube.com/watch?v=HwS35RfGwqc&si=bitlVi0Foov9-K2e
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น

    Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์

    Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้

    นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ

    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน
    Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ
    DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน
    ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance
    Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล
    ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้
    Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely
    BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน
    ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง
    ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps
    LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก
    การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่
    การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    🎙️ เมื่อ Tesla ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดในตลาดจีน ด้วย AI ที่พูดภาษาท้องถิ่น Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งเต็มไปด้วยแบรนด์ท้องถิ่นที่ใส่เทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าไปในรถอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ Tesla จึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์ โดยนำโมเดล AI สัญชาติจีนอย่าง DeepSeek และ Doubao มาใช้ในระบบผู้ช่วยเสียงภายในรถยนต์ Doubao ซึ่งพัฒนาโดย ByteDance จะรับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น การนำทาง การควบคุมอุณหภูมิ และการเล่นเพลง ส่วน DeepSeek จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะที่สามารถตอบคำถามหลายขั้นตอนและเข้าใจบริบทได้ลึกขึ้น ทั้งสองโมเดลจะทำงานผ่านคลาวด์ของ Volcano Engine ซึ่งเป็นบริการของ ByteDance เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายของจีนที่ไม่อนุญาตให้ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ ทำให้ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ซึ่งเป็นโมเดลของ xAI ที่ใช้ในสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ Tesla ยังเปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่รองรับผู้ช่วยเสียงแบบ “Hey, Tesla” โดยไม่ต้องกดปุ่มบนพวงมาลัยเหมือนรุ่นก่อน ๆ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ Tesla ต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยกับระบบผู้ช่วยเสียงที่ตอบสนองได้รวดเร็วและเชื่อมโยงกับบริการท้องถิ่น เช่น แผนที่จีน แอปส่งอาหาร และระบบชำระเงิน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tesla เตรียมใช้ AI สัญชาติจีน DeepSeek และ Doubao ในรถยนต์ที่จำหน่ายในจีน ➡️ Doubao รับหน้าที่ประมวลผลคำสั่งเสียง เช่น นำทาง เพลง อุณหภูมิ ➡️ DeepSeek ทำหน้าที่สนทนาอัจฉริยะ ตอบคำถามหลายขั้นตอน ➡️ ทั้งสองโมเดลทำงานผ่านคลาวด์ Volcano Engine ของ ByteDance ➡️ Tesla ไม่สามารถใช้ Grok ในจีนเพราะข้อจำกัดด้านกฎหมายและการจัดการข้อมูล ➡️ ผู้ใช้สามารถเรียกผู้ช่วยเสียงด้วยคำว่า “Hey, Tesla” หรือกำหนดเองได้ ➡️ Tesla เปิดตัว Model Y L รุ่นใหม่แบบ 6 ที่นั่งในจีน รองรับระบบ AI เต็มรูปแบบ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการแข่งขันกับแบรนด์จีน เช่น BYD และ Geely ➡️ BMW ก็ใช้โมเดล Qwen จาก Alibaba ในรถรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในจีน ➡️ ยังไม่มีการยืนยันว่า AI ทั้งสองถูกติดตั้งในรถทุกคันแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DeepSeek ได้รับความนิยมในจีนหลังเปิดตัวรุ่น R1 และ V3.1 ที่มีความสามารถด้าน reasoning สูง ➡️ ระบบผู้ช่วยเสียงในรถยนต์จีนสามารถเชื่อมต่อกับบริการท้องถิ่น เช่น Alipay, Meituan, Gaode Maps ➡️ LLMs เช่น ChatGPT, Qwen, และ DeepSeek ถูกนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้นทั่วโลก ➡️ การใช้ AI ในรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการขับขี่ ➡️ การใช้โมเดลท้องถิ่นช่วยให้ตอบสนองต่อภาษาถิ่นและพฤติกรรมผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าโมเดลสากล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/tesla-to-integrate-deepseek-doubao-ai-voice-controls-in-china
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tesla to integrate Deepseek, Doubao AI voice controls in China
    Tesla Inc plans to introduce in-car voice assistant functions powered by Deepseek and Bytedance Ltd's Doubao artificial intelligence as it aims to catch local rivals who offer similar features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง

    รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น

    ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ

    ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ

    แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024
    สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
    Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์
    Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%)
    เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน
    การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์
    Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี
    97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI
    63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา
    การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI
    Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก
    การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%)
    การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้
    การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา

    https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    🎙️ เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ➡️ Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%) ➡️ เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน ➡️ การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี ➡️ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI ➡️ 63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา ➡️ การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI ➡️ Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก ➡️ การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%) ➡️ การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ ➡️ การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is the cost of a data breach?
    The cost of a data breach is not easy to define, but as organizations increasingly fall victim to attacks and exposures, financial repercussions are becoming clearer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางลับของ SVG ที่นักพัฒนาเว็บควรรู้

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังวาดภาพด้วยปากกาเวกเตอร์บนผืนผ้าใบดิจิทัล — นั่นแหละคือสิ่งที่ SVG <path> ทำได้ มันคือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เราสร้างเส้นโค้ง รูปทรงซับซ้อน และแม้แต่แอนิเมชันที่น่าทึ่งได้ด้วยคำสั่งไม่กี่ตัว

    Josh Comeau พาเราเดินทางผ่านโลกของคำสั่ง SVG path ตั้งแต่พื้นฐานอย่าง M (Move) และ L (Line) ไปจนถึงคำสั่งโค้งขั้นสูงอย่าง Q, C, A และคำสั่งพิเศษอย่าง T, S, Z ที่ช่วยให้เส้นทางของเราลื่นไหลและปิดปลายได้อย่างสวยงาม

    เขาเปรียบเทียบแต่ละคำสั่งเหมือนขั้นตอนในสูตรอาหาร — ตัวอักษรคือคำสั่ง ส่วนตัวเลขคือส่วนผสมที่กำหนดตำแหน่งและทิศทางของเส้นทาง

    นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำที่น่าสนใจ เช่น การใช้ whitespace เพื่อให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น, การใช้ relative commands เพื่อเลื่อนตำแหน่งแบบสัมพันธ์ และการจัดการกับมุมแหลมที่อาจทำให้เส้นดูผิดปกติ

    สุดท้าย Josh ยังแนะนำคอร์ส “Whimsical Animations” ที่จะสอนการใช้ SVG path เพื่อสร้างแอนิเมชันระดับเทพ พร้อมเทคนิคที่เขาใช้จริงในงานของตัวเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    SVG <path> เป็นเครื่องมือหลักในการวาดเส้นโค้งและรูปทรงที่ซับซ้อน
    คำสั่งพื้นฐาน ได้แก่ M (Move), L (Line), Q (Quadratic Bézier), C (Cubic Bézier), A (Arc)
    คำสั่งพิเศษ เช่น Z (ปิดเส้นทาง), T และ S (ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่อง)
    คำสั่งมีทั้งแบบ absolute (ตัวใหญ่) และ relative (ตัวเล็ก)
    การใช้ whitespace และ comma ช่วยให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น โดยไม่กระทบขนาดไฟล์
    Arc command มีพารามิเตอร์หลายตัว เช่น rx, ry, rotation, large-arc-flag, sweep-flag การใช้ stroke-miterlimit ปรับมุมแหลมให้ไม่ถูกตัดเป็น bevel
    การใช้ Bézier curve ต้องระวัง “ข้อศอก” ที่เกิดจากการเชื่อมเส้นไม่สมูธ
    คำสั่ง T และ S ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่องโดยคำนวณ control point อัตโนมัติ
    Josh เปิดคอร์ส “Whimsical Animations” สำหรับผู้สนใจแอนิเมชันด้วย SVG

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SVG <path> เป็นพื้นฐานของการสร้างไอคอน, โลโก้, และ UI ที่ตอบสนอง
    Bézier curve ถูกใช้ใน CSS transition และ motion design อย่างแพร่หลาย
    Arc command มีความซับซ้อนสูง และมักถูกแทนด้วย <ellipse> หากไม่ต้องการควบคุมทิศทาง
    การใช้ relative commands เหมาะกับการสร้างรูปแบบที่ต้องเลื่อนตำแหน่งบ่อย
    SVG path สามารถใช้ร่วมกับ JavaScript เพื่อสร้างแอนิเมชันแบบ interactive ได้

    https://www.joshwcomeau.com/svg/interactive-guide-to-paths/
    🎙️ เส้นทางลับของ SVG ที่นักพัฒนาเว็บควรรู้ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังวาดภาพด้วยปากกาเวกเตอร์บนผืนผ้าใบดิจิทัล — นั่นแหละคือสิ่งที่ SVG <path> ทำได้ มันคือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เราสร้างเส้นโค้ง รูปทรงซับซ้อน และแม้แต่แอนิเมชันที่น่าทึ่งได้ด้วยคำสั่งไม่กี่ตัว Josh Comeau พาเราเดินทางผ่านโลกของคำสั่ง SVG path ตั้งแต่พื้นฐานอย่าง M (Move) และ L (Line) ไปจนถึงคำสั่งโค้งขั้นสูงอย่าง Q, C, A และคำสั่งพิเศษอย่าง T, S, Z ที่ช่วยให้เส้นทางของเราลื่นไหลและปิดปลายได้อย่างสวยงาม เขาเปรียบเทียบแต่ละคำสั่งเหมือนขั้นตอนในสูตรอาหาร — ตัวอักษรคือคำสั่ง ส่วนตัวเลขคือส่วนผสมที่กำหนดตำแหน่งและทิศทางของเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำที่น่าสนใจ เช่น การใช้ whitespace เพื่อให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น, การใช้ relative commands เพื่อเลื่อนตำแหน่งแบบสัมพันธ์ และการจัดการกับมุมแหลมที่อาจทำให้เส้นดูผิดปกติ สุดท้าย Josh ยังแนะนำคอร์ส “Whimsical Animations” ที่จะสอนการใช้ SVG path เพื่อสร้างแอนิเมชันระดับเทพ พร้อมเทคนิคที่เขาใช้จริงในงานของตัวเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ SVG <path> เป็นเครื่องมือหลักในการวาดเส้นโค้งและรูปทรงที่ซับซ้อน ➡️ คำสั่งพื้นฐาน ได้แก่ M (Move), L (Line), Q (Quadratic Bézier), C (Cubic Bézier), A (Arc) ➡️ คำสั่งพิเศษ เช่น Z (ปิดเส้นทาง), T และ S (ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่อง) ➡️ คำสั่งมีทั้งแบบ absolute (ตัวใหญ่) และ relative (ตัวเล็ก) ➡️ การใช้ whitespace และ comma ช่วยให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น โดยไม่กระทบขนาดไฟล์ ➡️ Arc command มีพารามิเตอร์หลายตัว เช่น rx, ry, rotation, large-arc-flag, sweep-flag ➡️ การใช้ stroke-miterlimit ปรับมุมแหลมให้ไม่ถูกตัดเป็น bevel ➡️ การใช้ Bézier curve ต้องระวัง “ข้อศอก” ที่เกิดจากการเชื่อมเส้นไม่สมูธ ➡️ คำสั่ง T และ S ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่องโดยคำนวณ control point อัตโนมัติ ➡️ Josh เปิดคอร์ส “Whimsical Animations” สำหรับผู้สนใจแอนิเมชันด้วย SVG ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SVG <path> เป็นพื้นฐานของการสร้างไอคอน, โลโก้, และ UI ที่ตอบสนอง ➡️ Bézier curve ถูกใช้ใน CSS transition และ motion design อย่างแพร่หลาย ➡️ Arc command มีความซับซ้อนสูง และมักถูกแทนด้วย <ellipse> หากไม่ต้องการควบคุมทิศทาง ➡️ การใช้ relative commands เหมาะกับการสร้างรูปแบบที่ต้องเลื่อนตำแหน่งบ่อย ➡️ SVG path สามารถใช้ร่วมกับ JavaScript เพื่อสร้างแอนิเมชันแบบ interactive ได้ https://www.joshwcomeau.com/svg/interactive-guide-to-paths/
    WWW.JOSHWCOMEAU.COM
    An Interactive Guide to SVG Paths • Josh W. Comeau
    SVG gives us many different primitives to work with, but by far the most powerful is the element. Unfortunately, it’s also the most inscrutable, with its compact Regex-style syntax. In this tutorial, we’ll demystify this infamous element and see some of the cool things we can do with it!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี

    ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้

    หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ
    รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20
    บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20
    รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15%
    NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn
    NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน
    B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก
    NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร
    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน
    จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20
    NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน
    จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13%
    การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์

    https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    🎙️ NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้ หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ ➡️ รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15% ➡️ NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn ➡️ NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน ➡️ B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก ➡️ NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร ➡️ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน ➡️ จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20 ➡️ NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน ➡️ จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13% ➡️ การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี ➡️ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์ https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Reportedly Halts H20 GPU Production After The Chinese Politburo Becomes Hostile To The Chip
    NVIDIA is reportedly throwing in the proverbial towel on its China-specific H20 GPU as a number of potent headwinds coalesce.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อรหัสผ่านองค์กรกลายเป็นจุดอ่อน – และแฮกเกอร์ไม่ต้องพยายามมากอีกต่อไป

    ในปี 2025 รายงาน Blue Report ของ Picus Security เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ใน 46% ขององค์กรที่ทำการทดสอบ มีรหัสผ่านอย่างน้อยหนึ่งชุดถูกเจาะสำเร็จ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เรื้อรังมานาน: การใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายที่ล้าสมัย

    แม้จะมีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยมาหลายปี แต่หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ซ้ำซาก หรือไม่บังคับให้เปลี่ยนรหัสอย่างสม่ำเสมอ บางแห่งยังใช้วิธีเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ซึ่งถูกแฮกได้ง่ายด้วยเทคนิค brute-force หรือ rainbow table

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมย (เช่นจาก phishing หรือ malware) มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% และการป้องกันการขโมยข้อมูล (data exfiltration) สำเร็จเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “ตั้งค่าแล้วปล่อยไว้” ไปสู่การตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง และใช้มาตรการเชิงรุก เช่น MFA, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    46% ขององค์กรที่ทดสอบมีรหัสผ่านถูกเจาะสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งชุด
    เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 สะท้อนถึงการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายล้าสมัย
    การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98%
    การป้องกันการขโมยข้อมูลสำเร็จเพียง 3% ลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว
    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค brute-force, rainbow table, password spraying และ infostealer malware
    การเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ควรใช้ bcrypt, Argon2 หรือ scrypt ร่วมกับ salt และ pepper เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ช่องโหว่เกิดจากการตั้งค่าระบบที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น logging gaps และ detection rule ที่ไม่แม่นยำ
    การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การเคลื่อนไหวภายในระบบ (lateral movement) ยังมีประสิทธิภาพต่ำ
    การใช้ MFA และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียดเป็นมาตรการพื้นฐานที่ควรมี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infostealer malware เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2025 และเป็นภัยหลักในการขโมย credentials
    การโจมตีแบบ Valid Accounts (MITRE ATT&CK T1078) เป็นวิธีที่แฮกเกอร์นิยมใช้
    Ransomware เช่น BlackByte, BabLock และ Maori ยังเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก
    การตรวจจับการค้นหาข้อมูลระบบ (System Discovery) มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 12%
    การเปลี่ยนแนวคิดเป็น “assume breach” ช่วยให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/4042464/enterprise-passwords-becoming-even-easier-to-steal-and-abuse.html
    🎙️ เมื่อรหัสผ่านองค์กรกลายเป็นจุดอ่อน – และแฮกเกอร์ไม่ต้องพยายามมากอีกต่อไป ในปี 2025 รายงาน Blue Report ของ Picus Security เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ใน 46% ขององค์กรที่ทำการทดสอบ มีรหัสผ่านอย่างน้อยหนึ่งชุดถูกเจาะสำเร็จ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เรื้อรังมานาน: การใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายที่ล้าสมัย แม้จะมีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยมาหลายปี แต่หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ซ้ำซาก หรือไม่บังคับให้เปลี่ยนรหัสอย่างสม่ำเสมอ บางแห่งยังใช้วิธีเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ซึ่งถูกแฮกได้ง่ายด้วยเทคนิค brute-force หรือ rainbow table ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมย (เช่นจาก phishing หรือ malware) มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% และการป้องกันการขโมยข้อมูล (data exfiltration) สำเร็จเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “ตั้งค่าแล้วปล่อยไว้” ไปสู่การตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง และใช้มาตรการเชิงรุก เช่น MFA, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ 46% ขององค์กรที่ทดสอบมีรหัสผ่านถูกเจาะสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งชุด ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 สะท้อนถึงการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายล้าสมัย ➡️ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% ➡️ การป้องกันการขโมยข้อมูลสำเร็จเพียง 3% ลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว ➡️ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค brute-force, rainbow table, password spraying และ infostealer malware ➡️ การเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ➡️ ควรใช้ bcrypt, Argon2 หรือ scrypt ร่วมกับ salt และ pepper เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการตั้งค่าระบบที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น logging gaps และ detection rule ที่ไม่แม่นยำ ➡️ การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การเคลื่อนไหวภายในระบบ (lateral movement) ยังมีประสิทธิภาพต่ำ ➡️ การใช้ MFA และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียดเป็นมาตรการพื้นฐานที่ควรมี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infostealer malware เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2025 และเป็นภัยหลักในการขโมย credentials ➡️ การโจมตีแบบ Valid Accounts (MITRE ATT&CK T1078) เป็นวิธีที่แฮกเกอร์นิยมใช้ ➡️ Ransomware เช่น BlackByte, BabLock และ Maori ยังเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก ➡️ การตรวจจับการค้นหาข้อมูลระบบ (System Discovery) มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 12% ➡️ การเปลี่ยนแนวคิดเป็น “assume breach” ช่วยให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.csoonline.com/article/4042464/enterprise-passwords-becoming-even-easier-to-steal-and-abuse.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Enterprise passwords becoming even easier to steal and abuse
    More effective cracking, continued reliance on weak or outdated policies, and security controls against credential leaks being increasingly undermined.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI

    ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย

    แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท

    สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้
    องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง
    ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร
    AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด
    2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว
    AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์
    ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน

    https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    🎙️ เมื่อ AI ไม่ได้คืนทุน – 95% ขององค์กรลงทุนไปเปล่า ๆ กับ Generative AI ในช่วงสามปีที่ผ่านมา องค์กรทั่วโลกลงทุนไปกว่า $30–40 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ Generative AI โดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รายงานล่าสุดจาก MIT กลับพบว่า 95% ของโครงการเหล่านี้ “ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้” เลย แม้จะมีการนำเครื่องมืออย่าง ChatGPT, Copilot และโมเดลภาษาอื่น ๆ มาใช้ในองค์กรกว่า 80% และมีถึง 40% ที่นำไปใช้งานจริง แต่ส่วนใหญ่กลับใช้แค่ในระดับ “เพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล” เช่น เขียนอีเมลหรือช่วยตอบแชต ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรของบริษัท สาเหตุหลักคือ AI เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานจริงขององค์กรได้ เช่น ไม่สามารถเรียนรู้จากบริบท, ไม่เก็บ feedback, และไม่พัฒนาเหตุผลข้ามงานได้เหมือนมนุษย์ ทำให้การใช้งานระยะยาวมีต้นทุนสูงแต่ไม่คุ้มค่า ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือกปัญหาเฉพาะจุด เช่น การจัดการเอกสารหรือการลดค่าใช้จ่ายภายนอก แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การลดการจ้างงานภายนอกหรือการจัดการข้อมูลซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณกลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการ Generative AI ไม่มีผลตอบแทนที่วัดได้ ➡️ องค์กรลงทุนรวมกว่า $30–40 พันล้านในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ขององค์กรทดลองใช้ AI และ 40% นำไปใช้งานจริง ➡️ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายบุคคล ไม่ใช่ระดับองค์กร ➡️ AI ไม่สามารถปรับตัวกับ workflow จริงขององค์กรได้ ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเฉพาะและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น ลดการจ้างงานภายนอก ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ➡️ 2 ใน 3 ของโครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางประสบความสำเร็จ ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงมักพัฒนา AI เองเพื่อลดความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ Startups ที่เลือกปัญหาเฉพาะ เช่น การจัดการเอกสาร สามารถสร้างรายได้ $20M ภายในปีเดียว ➡️ AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ในด้านการตัดสินใจหรือการเรียนรู้ข้ามบริบท ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังต้องการปฏิสัมพันธ์แบบมนุษย์ ➡️ ผลกระทบต่อแรงงานคือการไม่แทนที่ตำแหน่งว่าง มากกว่าการปลดพนักงาน https://thedailyadda.com/95-of-companies-see-zero-return-on-30-billion-generative-ai-spend-mit-report-finds/
    THEDAILYADDA.COM
    95% of Companies See ‘Zero Return’ on $30 Billion Generative AI Spend, MIT Report Finds
    Over the last three years, companies worldwide have invested between 30 and 40 billion dollars into generative artificial intelligence projects. Yet most of these efforts have brought no real business…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล
    ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว
    เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ
    ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง
    แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !)
    เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล
    ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย
    ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !) เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ยังนำ แต่คู่แข่งกำลังไล่ – เมื่อ AI ต้องเลือกมากกว่าความแรง

    ในโลกของ AI ที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ GPU ที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ผลการสำรวจล่าสุดจาก Liquid Web ในเดือนสิงหาคม 2025 พบว่าเกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มหันไปใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel แทน

    เหตุผลหลักคือ “ต้นทุน” และ “ความพร้อมใช้งาน” ที่เริ่มกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ทีมงานหลายแห่งต้องลดขนาดโครงการ หรือยกเลิกไปเลย เพราะไม่สามารถจัดหาฮาร์ดแวร์ Nvidia ได้ทันเวลา หรือมีงบประมาณไม่พอ

    แม้ว่า 68% ของทีมยังคงเลือก Nvidia เป็นหลัก แต่มีถึง 28% ที่ยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นอย่างจริงจังก่อนตัดสินใจ ซึ่งนำไปสู่การติดตั้งระบบที่ไม่เหมาะสม และประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควร

    นอกจากนี้ การใช้ระบบแบบ hybrid และ cloud ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมากกว่าครึ่งของทีม AI ใช้ทั้งระบบในองค์กรและคลาวด์ร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านพลังงานและการจัดการ GPU แบบแบ่งส่วน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ AI โดยมีผู้ใช้ถึง 68% จากการสำรวจ
    เกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel
    เหตุผลหลักคือข้อจำกัดด้านงบประมาณและการขาดแคลน GPU
    42% ของทีมต้องลดขนาดโครงการ และ 14% ยกเลิกโครงการเพราะต้นทุน
    28% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นก่อนซื้อ
    การขาดการทดสอบนำไปสู่ระบบที่ไม่เหมาะสมและประสิทธิภาพต่ำ
    มากกว่าครึ่งของทีมใช้ระบบ hybrid และ cloud เพื่อเสริมความยืดหยุ่น
    Dedicated GPU hosting ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ลดการสูญเสียประสิทธิภาพ
    แม้ 45% ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีเพียง 13% ที่ปรับระบบเพื่อประหยัดพลังงานจริง
    ความคุ้นเคยและประสบการณ์เดิมเป็นปัจจัยหลักในการเลือก GPU มากกว่าประสิทธิภาพหรือราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google TPU ถูกใช้โดย OpenAI และบริษัทใหญ่หลายแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุน Nvidia
    AMD เข้าซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อพัฒนา Instinct GPU ให้ใกล้เคียงกับ Nvidia Blackwell
    Intel พัฒนา Gaudi2 และ Gaudi3 เพื่อเจาะตลาด AI โดยเน้นราคาต่ำและประสิทธิภาพเฉพาะทาง
    Nvidia เปิดตัว Cosmos Reason และ NuRec ที่ SIGGRAPH 2025 เพื่อเสริมการประมวลผล AI เชิงกายภาพ
    การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์ AI ส่งผลต่อการพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น diffusion, LLM และ vision AI

    https://www.techradar.com/pro/google-amd-and-intel-catching-up-on-nvidia-survey-shows-almost-a-third-of-ai-teams-now-use-non-nvidia-hardware
    🎙️ Nvidia ยังนำ แต่คู่แข่งกำลังไล่ – เมื่อ AI ต้องเลือกมากกว่าความแรง ในโลกของ AI ที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ GPU ที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ผลการสำรวจล่าสุดจาก Liquid Web ในเดือนสิงหาคม 2025 พบว่าเกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มหันไปใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel แทน เหตุผลหลักคือ “ต้นทุน” และ “ความพร้อมใช้งาน” ที่เริ่มกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ทีมงานหลายแห่งต้องลดขนาดโครงการ หรือยกเลิกไปเลย เพราะไม่สามารถจัดหาฮาร์ดแวร์ Nvidia ได้ทันเวลา หรือมีงบประมาณไม่พอ แม้ว่า 68% ของทีมยังคงเลือก Nvidia เป็นหลัก แต่มีถึง 28% ที่ยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นอย่างจริงจังก่อนตัดสินใจ ซึ่งนำไปสู่การติดตั้งระบบที่ไม่เหมาะสม และประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควร นอกจากนี้ การใช้ระบบแบบ hybrid และ cloud ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมากกว่าครึ่งของทีม AI ใช้ทั้งระบบในองค์กรและคลาวด์ร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านพลังงานและการจัดการ GPU แบบแบ่งส่วน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ AI โดยมีผู้ใช้ถึง 68% จากการสำรวจ ➡️ เกือบหนึ่งในสามของทีม AI เริ่มใช้ฮาร์ดแวร์จาก Google, AMD และ Intel ➡️ เหตุผลหลักคือข้อจำกัดด้านงบประมาณและการขาดแคลน GPU ➡️ 42% ของทีมต้องลดขนาดโครงการ และ 14% ยกเลิกโครงการเพราะต้นทุน ➡️ 28% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าไม่ได้เปรียบเทียบทางเลือกอื่นก่อนซื้อ ➡️ การขาดการทดสอบนำไปสู่ระบบที่ไม่เหมาะสมและประสิทธิภาพต่ำ ➡️ มากกว่าครึ่งของทีมใช้ระบบ hybrid และ cloud เพื่อเสริมความยืดหยุ่น ➡️ Dedicated GPU hosting ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ลดการสูญเสียประสิทธิภาพ ➡️ แม้ 45% ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีเพียง 13% ที่ปรับระบบเพื่อประหยัดพลังงานจริง ➡️ ความคุ้นเคยและประสบการณ์เดิมเป็นปัจจัยหลักในการเลือก GPU มากกว่าประสิทธิภาพหรือราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google TPU ถูกใช้โดย OpenAI และบริษัทใหญ่หลายแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุน Nvidia ➡️ AMD เข้าซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อพัฒนา Instinct GPU ให้ใกล้เคียงกับ Nvidia Blackwell ➡️ Intel พัฒนา Gaudi2 และ Gaudi3 เพื่อเจาะตลาด AI โดยเน้นราคาต่ำและประสิทธิภาพเฉพาะทาง ➡️ Nvidia เปิดตัว Cosmos Reason และ NuRec ที่ SIGGRAPH 2025 เพื่อเสริมการประมวลผล AI เชิงกายภาพ ➡️ การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์ AI ส่งผลต่อการพัฒนาโมเดลใหม่ เช่น diffusion, LLM และ vision AI https://www.techradar.com/pro/google-amd-and-intel-catching-up-on-nvidia-survey-shows-almost-a-third-of-ai-teams-now-use-non-nvidia-hardware
    WWW.TECHRADAR.COM
    Rising costs push AI developers to weigh Google, AMD, and Intel hardware alongside Nvidia
    Rising costs, hardware shortages, and cloud adoption are pushing teams to test alternatives
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung 9100 Pro 8TB – SSD ที่เร็วที่สุด พร้อมความจุทะลุขีดจำกัด

    Samsung ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ในซีรีส์ 9100 Pro ขนาด 8TB ซึ่งถือเป็นรุ่นที่เร็วและใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้บริโภค โดยใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 ที่สามารถทำความเร็วในการอ่านข้อมูลได้สูงถึง 14,800 MB/s และเขียนข้อมูลได้ถึง 13,400 MB/s ซึ่งเร็วกว่า SSD รุ่นก่อนหน้าที่ใช้ PCIe 4.0 เกือบเท่าตัว

    SSD รุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานระดับสูง เช่น นักสร้างคอนเทนต์, นักเล่นเกม, และผู้ใช้ที่ต้องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถติดตั้งเกมได้ถึง 80 เกม หากแต่ละเกมมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 90GB

    Samsung ยังออกแบบให้รองรับการใช้งานใน PlayStation 5 และมีรุ่นที่มาพร้อมฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนสะสม ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานที่ความเร็วสูงสุดได้นานขึ้นโดยไม่เกิดการ throttle

    แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย โดยรุ่น 8TB มีราคาเปิดตัวที่ประมาณ $1,050 (หรือ €964.99) และรุ่นที่มีฮีตซิงก์อยู่ที่ประมาณ $1,150 (หรือ €983.99) อย่างไรก็ตาม ราคานี้อาจลดลงเมื่อวางจำหน่ายจริงในตลาด

    Samsung ใช้คอนโทรลเลอร์ Presto และ NAND แบบ TLC ที่ผลิตเอง พร้อม DRAM cache ขนาด 8GB และรับประกันการเขียนข้อมูลได้ถึง 4,800TB ภายในระยะเวลา 5 ปี

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Samsung เปิดตัว SSD 9100 Pro รุ่น 8TB ใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0
    ความเร็วในการอ่าน/เขียนสูงสุดอยู่ที่ 14,800/13,400 MB/s
    มีรุ่นที่มาพร้อมฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนและรักษาความเร็ว
    รองรับการใช้งานใน PlayStation 5 แม้มีขนาดสูงขึ้น
    สามารถติดตั้งเกมได้ประมาณ 80 เกม หากแต่ละเกมมีขนาดเฉลี่ย 90GB
    ราคาประมาณ $1,050 สำหรับรุ่นธรรมดา และ $1,150 สำหรับรุ่นมีฮีตซิงก์
    ใช้คอนโทรลเลอร์ Presto และ NAND TLC ที่ผลิตโดย Samsung เอง
    DRAM cache ขนาด 8GB และรับประกันการเขียนข้อมูล 4,800TB ใน 5 ปี
    มีอัตราความเสียหายเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 0.58%
    เป็นหนึ่งใน SSD PCIe 5.0 ขนาด 8TB ที่มีวางจำหน่ายในตลาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD รุ่นนี้เปิดตัวในงาน NVIDIA GTC เพื่อโชว์ศักยภาพด้าน AI และงานหนัก
    มีการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้นถึง 49% จากรุ่นก่อนหน้า
    ใช้คอนโทรลเลอร์ขนาด 5nm ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและความร้อน
    มีความสามารถในการอ่าน/เขียนแบบสุ่มสูงถึง 2.2M/2.6M IOPS
    คาดว่าราคาขายจริงในตลาดอาจลดลงเหลือประมาณ $800

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/samsungs-fastest-consumer-ssd-raises-its-capacity-cap-8tb-9100-pro-to-arrive-in-september
    🎙️ Samsung 9100 Pro 8TB – SSD ที่เร็วที่สุด พร้อมความจุทะลุขีดจำกัด Samsung ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ในซีรีส์ 9100 Pro ขนาด 8TB ซึ่งถือเป็นรุ่นที่เร็วและใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้บริโภค โดยใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 ที่สามารถทำความเร็วในการอ่านข้อมูลได้สูงถึง 14,800 MB/s และเขียนข้อมูลได้ถึง 13,400 MB/s ซึ่งเร็วกว่า SSD รุ่นก่อนหน้าที่ใช้ PCIe 4.0 เกือบเท่าตัว SSD รุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานระดับสูง เช่น นักสร้างคอนเทนต์, นักเล่นเกม, และผู้ใช้ที่ต้องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถติดตั้งเกมได้ถึง 80 เกม หากแต่ละเกมมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 90GB Samsung ยังออกแบบให้รองรับการใช้งานใน PlayStation 5 และมีรุ่นที่มาพร้อมฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนสะสม ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานที่ความเร็วสูงสุดได้นานขึ้นโดยไม่เกิดการ throttle แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย โดยรุ่น 8TB มีราคาเปิดตัวที่ประมาณ $1,050 (หรือ €964.99) และรุ่นที่มีฮีตซิงก์อยู่ที่ประมาณ $1,150 (หรือ €983.99) อย่างไรก็ตาม ราคานี้อาจลดลงเมื่อวางจำหน่ายจริงในตลาด Samsung ใช้คอนโทรลเลอร์ Presto และ NAND แบบ TLC ที่ผลิตเอง พร้อม DRAM cache ขนาด 8GB และรับประกันการเขียนข้อมูลได้ถึง 4,800TB ภายในระยะเวลา 5 ปี 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Samsung เปิดตัว SSD 9100 Pro รุ่น 8TB ใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 ➡️ ความเร็วในการอ่าน/เขียนสูงสุดอยู่ที่ 14,800/13,400 MB/s ➡️ มีรุ่นที่มาพร้อมฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนและรักษาความเร็ว ➡️ รองรับการใช้งานใน PlayStation 5 แม้มีขนาดสูงขึ้น ➡️ สามารถติดตั้งเกมได้ประมาณ 80 เกม หากแต่ละเกมมีขนาดเฉลี่ย 90GB ➡️ ราคาประมาณ $1,050 สำหรับรุ่นธรรมดา และ $1,150 สำหรับรุ่นมีฮีตซิงก์ ➡️ ใช้คอนโทรลเลอร์ Presto และ NAND TLC ที่ผลิตโดย Samsung เอง ➡️ DRAM cache ขนาด 8GB และรับประกันการเขียนข้อมูล 4,800TB ใน 5 ปี ➡️ มีอัตราความเสียหายเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 0.58% ➡️ เป็นหนึ่งใน SSD PCIe 5.0 ขนาด 8TB ที่มีวางจำหน่ายในตลาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD รุ่นนี้เปิดตัวในงาน NVIDIA GTC เพื่อโชว์ศักยภาพด้าน AI และงานหนัก ➡️ มีการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานดีขึ้นถึง 49% จากรุ่นก่อนหน้า ➡️ ใช้คอนโทรลเลอร์ขนาด 5nm ที่ช่วยลดการใช้พลังงานและความร้อน ➡️ มีความสามารถในการอ่าน/เขียนแบบสุ่มสูงถึง 2.2M/2.6M IOPS ➡️ คาดว่าราคาขายจริงในตลาดอาจลดลงเหลือประมาณ $800 https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/samsungs-fastest-consumer-ssd-raises-its-capacity-cap-8tb-9100-pro-to-arrive-in-september
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kirin 9020 – ชิปที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัด

    Huawei กลับมาอย่างสง่างามในเวทีสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งเป็นชิป SoC ที่รวมโมเด็ม 5G และโมดูล RF front-end ที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกที่ Huawei สามารถรวมเทคโนโลยี 5G แบบครบวงจรไว้ในชิปเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก

    Kirin 9020 ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 70 และ Pura 80 โดยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei หลังจากเก็บงำข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี การเปิดเผยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการประกาศความมั่นใจในความสามารถด้านการออกแบบและผลิตชิปของจีน

    ชิปนี้ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร แม้จะไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูงจากตะวันตก แต่ก็สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยเฉพาะการรวมโมเด็ม 5G ซึ่งต้องรองรับคลื่นความถี่หลากหลาย, การจัดการสัญญาณแบบ beamforming และการเข้ารหัสขั้นสูง

    นอกจากโมเด็มแล้ว Huawei ยังสามารถผลิต RF front-end module ได้เอง ซึ่งรวมถึง power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Broadcom และ Qorvo

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเอง และ Kirin 9020 ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Huawei เปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งรวมโมเด็ม 5G และ RF front-end module ที่ผลิตในจีน
    ใช้ในสมาร์ตโฟน Mate 70 และ Pura 80 พร้อมการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei
    ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class แม้ไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูง
    โมเด็ม 5G รองรับคลื่น sub-6 GHz และ mmWave พร้อมเทคนิค OFDM, MU-MIMO, beamforming
    RF front-end module รวม power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter
    Huawei เคยปิดบังข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดเผยอย่างมั่นใจในปี 2025
    Kirin 9020 เป็นการพัฒนาแบบ incremental จาก Kirin 9010 ไม่ใช่การออกแบบใหม่ทั้งหมด
    การรวมโมเด็ม 5G เข้ากับ SoC เป็นสิ่งที่แม้แต่ Apple ยังไม่สามารถทำได้
    ชิปนี้แสดงถึงความสามารถของจีนในการผลิตชิป RF-intensive โดยไม่พึ่งพาตะวันตก
    Kirin 9020 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Huawei ยืนยันชื่อชิปผ่านภาพหน้าจอหลังอัปเดตระบบของผู้ใช้ Pura 80
    SMIC เคยผลิตชิป 7nm ให้ Huawei ตั้งแต่ Kirin 980 โดยใช้เทคโนโลยีของ TSMC
    การเปิดเผยข้อมูลชิปครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “ความลับ” สู่ “ความมั่นใจ”
    จีนมีแผนสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเองเต็มรูปแบบ
    การผลิต RF front-end module เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในอุปกรณ์ 5G เพราะต้องใช้วัสดุเฉพาะและเทคนิคขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/huaweis-kirin-9020-integrates-5g-modem-china-made-5g-fem-chip-symbolizes-resilience-to-u-s-sanctions
    🎙️ Kirin 9020 – ชิปที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัด Huawei กลับมาอย่างสง่างามในเวทีสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งเป็นชิป SoC ที่รวมโมเด็ม 5G และโมดูล RF front-end ที่ผลิตในประเทศจีนทั้งหมด ถือเป็นครั้งแรกที่ Huawei สามารถรวมเทคโนโลยี 5G แบบครบวงจรไว้ในชิปเดียวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก Kirin 9020 ถูกใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 70 และ Pura 80 โดยมีการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei หลังจากเก็บงำข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี การเปิดเผยครั้งนี้ไม่ใช่แค่การโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นการประกาศความมั่นใจในความสามารถด้านการออกแบบและผลิตชิปของจีน ชิปนี้ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร แม้จะไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูงจากตะวันตก แต่ก็สามารถผลิตชิปที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ โดยเฉพาะการรวมโมเด็ม 5G ซึ่งต้องรองรับคลื่นความถี่หลากหลาย, การจัดการสัญญาณแบบ beamforming และการเข้ารหัสขั้นสูง นอกจากโมเด็มแล้ว Huawei ยังสามารถผลิต RF front-end module ได้เอง ซึ่งรวมถึง power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Broadcom และ Qorvo ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเอง และ Kirin 9020 ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดท่ามกลางการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Huawei เปิดตัว Kirin 9020 ซึ่งรวมโมเด็ม 5G และ RF front-end module ที่ผลิตในจีน ➡️ ใช้ในสมาร์ตโฟน Mate 70 และ Pura 80 พร้อมการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Huawei ➡️ ผลิตโดย SMIC ด้วยเทคโนโลยี 7nm-class แม้ไม่มีเครื่องมือลิทโธกราฟีขั้นสูง ➡️ โมเด็ม 5G รองรับคลื่น sub-6 GHz และ mmWave พร้อมเทคนิค OFDM, MU-MIMO, beamforming ➡️ RF front-end module รวม power amplifier, low-noise amplifier, antenna switch และ filter ➡️ Huawei เคยปิดบังข้อมูลชิปมานานกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดเผยอย่างมั่นใจในปี 2025 ➡️ Kirin 9020 เป็นการพัฒนาแบบ incremental จาก Kirin 9010 ไม่ใช่การออกแบบใหม่ทั้งหมด ➡️ การรวมโมเด็ม 5G เข้ากับ SoC เป็นสิ่งที่แม้แต่ Apple ยังไม่สามารถทำได้ ➡️ ชิปนี้แสดงถึงความสามารถของจีนในการผลิตชิป RF-intensive โดยไม่พึ่งพาตะวันตก ➡️ Kirin 9020 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Huawei ยืนยันชื่อชิปผ่านภาพหน้าจอหลังอัปเดตระบบของผู้ใช้ Pura 80 ➡️ SMIC เคยผลิตชิป 7nm ให้ Huawei ตั้งแต่ Kirin 980 โดยใช้เทคโนโลยีของ TSMC ➡️ การเปิดเผยข้อมูลชิปครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์จาก “ความลับ” สู่ “ความมั่นใจ” ➡️ จีนมีแผนสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่พึ่งพาตนเองเต็มรูปแบบ ➡️ การผลิต RF front-end module เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในอุปกรณ์ 5G เพราะต้องใช้วัสดุเฉพาะและเทคนิคขั้นสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/huaweis-kirin-9020-integrates-5g-modem-china-made-5g-fem-chip-symbolizes-resilience-to-u-s-sanctions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย

    เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก

    ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

    Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา
    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว
    มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก
    Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า
    เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
    Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย
    Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025
    Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย
    การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้
    ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน
    การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
    การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    🎙️ เมื่อ Phison ต้องออกโรงสู้ข่าวปลอม – SSD บน Windows 11 กับความเข้าใจผิดที่อาจสร้างความเสียหาย เรื่องเริ่มต้นจากการที่มีรายงานว่าอัปเดตความปลอดภัยของ Windows 11 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2025 (KB5063878 และ KB5062660) ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้งานจำนวนมาก ในช่วงแรก มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลัก แต่ Phison ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ของตนเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น คือมีเอกสารปลอมที่ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า โดยอ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ซึ่งระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน Phison จึงต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Phison ยังยืนยันว่ากำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มีรายงานว่าอัปเดต Windows 11 KB5063878 และ KB5062660 ส่งผลให้ SSD หลายรุ่นเกิดปัญหา ➡️ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ทำให้ SSD บางรุ่นล้มเหลว ➡️ มีการกล่าวอ้างว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของ Phison ได้รับผลกระทบหลัก ➡️ Phison ยืนยันว่าอุปกรณ์จากผู้ผลิตรายอื่นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ มีเอกสารปลอมที่อ้างว่าเป็นการสื่อสารจาก Phison ถูกเผยแพร่ในหมู่ลูกค้า ➡️ เอกสารปลอมระบุรุ่นคอนโทรลเลอร์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ➡️ Phison ปฏิเสธเอกสารดังกล่าวอย่างหนักแน่น และดำเนินการทางกฎหมาย ➡️ Phison กำลังร่วมมือกับ Microsoft เพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ Phison ออกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ➡️ Phison ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนลูกค้าและพันธมิตรอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหานี้ไม่จำกัดเฉพาะ SSD แต่ยังส่งผลต่อ HDD บางรุ่นด้วย ➡️ การอัปเดต Windows ที่มีปัญหาอาจส่งผลต่อระบบกู้คืนข้อมูลของผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิต SSD รายอื่น เช่น Western Digital ก็พบปัญหาคล้ายกัน ➡️ การเผยแพร่เอกสารปลอมในวงการเทคโนโลยีอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ➡️ การสื่อสารอย่างโปร่งใสจากผู้ผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการวิกฤต https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/phison-takes-legal-action-over-falsified-leaked-document-on-windows-ssd-issues-says-it-continues-to-investigate-reports-of-problems
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Phison takes legal action over falsified 'leaked' document on Windows SSD issues — says it continues to investigate reports of problems
    "We wish to state unequivocally that the document in question—reproduced below—is neither an official nor unofficial communication from Phison."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล

    แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย

    รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้

    องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้
    รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี
    สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI
    โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3
    โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง
    AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์
    การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่
    การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว
    CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    🧠 AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้ องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้ ➡️ รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี ➡️ สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI ➡️ โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3 ➡️ โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3 ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง ➡️ AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์ ➡️ การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่ ➡️ การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว ➡️ CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    95% of generative AI implementations in enterprise 'have no measurable impact on P&L', says MIT — flawed integration cited as why AI projects underperform
    AI is a powerful tool, but only if used correctly. | The study shows that AI tools must adjust to the organization’s processes for it to work effectively.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม

    ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ

    ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp

    มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด

    มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่

    ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB
    มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
    รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม
    ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม
    รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที
    สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service
    อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task
    ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์
    คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์
    การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย
    การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ
    Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ

    https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    📖 แอนตี้ไวรัสปลอมที่กลายเป็นสายลับ – เมื่อมือถือกลายเป็นเครื่องมือสอดแนม ตั้งแต่ต้นปี 2025 นักวิจัยจาก Doctor Web พบมัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ที่ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB เพื่อหลอกผู้ใช้ Android ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแอปมีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียบนโล่ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเปิดใช้งานจะรันการสแกนปลอม พร้อมแสดงผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่มเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หลังติดตั้ง มัลแวร์จะขอสิทธิ์เข้าถึงทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่ง, กล้อง, ไมโครโฟน, ข้อความ, รายชื่อ, ไปจนถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ และ Android Accessibility Service ซึ่งช่วยให้มันทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยมอย่าง Gmail, Telegram และ WhatsApp มัลแวร์จะรัน background service หลายตัว เช่น DataSecurity, SoundSecurity และ CameraSecurity โดยตรวจสอบทุกนาทีว่าทำงานอยู่หรือไม่ และรีสตาร์ตทันทีหากหยุด มันสามารถสตรีมเสียงจากไมค์, วิดีโอจากกล้อง, ข้อมูลหน้าจอแบบเรียลไทม์ และอัปโหลดข้อมูลทุกอย่างไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) รวมถึงภาพ, รายชื่อ, SMS, ประวัติการโทร และแม้แต่ข้อมูลแบตเตอรี่ ที่น่ากลัวคือ มันสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกลบ โดยใช้ Accessibility Service เพื่อบล็อกการถอนการติดตั้ง หากผู้ใช้รู้ตัวว่าถูกโจมตี 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มัลแวร์ Android.Backdoor.916.origin ปลอมตัวเป็นแอปแอนตี้ไวรัสชื่อ GuardCB ➡️ มีไอคอนคล้ายโลโก้ธนาคารกลางรัสเซียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ➡️ รันการสแกนปลอมพร้อมผลตรวจจับไวรัสแบบสุ่ม ➡️ ขอสิทธิ์เข้าถึงตำแหน่ง, กล้อง, ไมค์, SMS, รายชื่อ, และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ➡️ ใช้ Accessibility Service เพื่อทำตัวเป็น keylogger และควบคุมแอปยอดนิยม ➡️ รัน background service หลายตัวและตรวจสอบทุกนาที ➡️ สตรีมเสียง, วิดีโอ, หน้าจอ และอัปโหลดข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ป้องกันการลบตัวเองโดยใช้ Accessibility Service ➡️ อินเทอร์เฟซของมัลแวร์มีเฉพาะภาษารัสเซีย แสดงว่าเจาะจงเป้าหมายเฉพาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ มัลแวร์ถูกเขียนด้วยภาษา Kotlin และใช้ coroutine ในการจัดการ background task ➡️ ใช้การเชื่อมต่อ socket กับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมเพื่อรับคำสั่งแบบเรียลไทม์ ➡️ คำสั่งที่รับได้รวมถึงการเปิด/ปิดการป้องกัน, อัปโหลด log, และดึงข้อมูลจากอุปกรณ์ ➡️ การใช้ Accessibility Service เป็นเทคนิคที่มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้กันแพร่หลาย ➡️ การปลอมตัวเป็นแอปที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกเป้าหมายเฉพาะ ➡️ Android Security Patch เดือนสิงหาคม 2025 ได้แก้ไขช่องโหว่หลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงระบบ https://hackread.com/fake-antivirus-app-android-malware-spy-russian-users/
    HACKREAD.COM
    Fake Antivirus App Spreads Android Malware to Spy on Russian Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล
    ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว
    เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ
    ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง
    แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !)
    เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล
    ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย
    ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ยุทธศาสตร์ มายากล นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !) เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • Excel เปลี่ยนโฉม – เมื่อ AI เข้าไปอยู่ในทุกเซลล์ด้วยฟังก์ชัน =COPILOT()

    ลองจินตนาการว่าแทนที่จะต้องเขียนสูตรยาว ๆ หรือใช้ฟังก์ชันซับซ้อนใน Excel คุณสามารถพิมพ์ประโยคธรรมดา เช่น “สรุปความคิดเห็นของลูกค้าในเซลล์ A2” แล้ว Excel จะจัดการให้คุณทันที นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำกับฟังก์ชันใหม่ชื่อว่า =COPILOT()

    ฟังก์ชันนี้ฝังอยู่ในเซลล์ Excel โดยตรง ไม่ใช่แค่แถบด้านข้างหรือปลั๊กอินอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งเป็นภาษาธรรมชาติ พร้อมระบุช่วงเซลล์ที่ต้องการให้ AI วิเคราะห์ แล้วผลลัพธ์จะเปลี่ยนตามข้อมูลต้นทางแบบเรียลไทม์

    ตัวอย่างการใช้งานมีตั้งแต่การสรุปความคิดเห็นของลูกค้า การจัดหมวดหมู่ข้อมูล การสร้างตาราง ไปจนถึงการแสดงอีโมจิประกอบความรู้สึก ฟังก์ชันนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับสูตร Excel เดิม เช่น IF, SWITCH, LAMBDA และ WRAPROWS ได้อย่างลื่นไหล

    แม้จะยังอยู่ในช่วงเบต้า และจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Microsoft 365 Copilot บน Windows และ Mac แต่ Microsoft มีแผนจะขยายไปยัง Excel เวอร์ชันเว็บในเร็ว ๆ นี้

    ข้อมูลในข่าว
    Microsoft เปิดตัวฟังก์ชันใหม่ใน Excel ชื่อว่า =COPILOT()
    ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งเป็นภาษาธรรมชาติในเซลล์ Excel ได้โดยตรง
    ฟังก์ชันสามารถสรุปข้อมูล จัดหมวดหมู่ และสร้างตารางจากข้อมูลในชีต
    ทำงานร่วมกับสูตร Excel เดิม เช่น IF, SWITCH, LAMBDA และ WRAPROWS
    ผลลัพธ์เปลี่ยนตามข้อมูลต้นทางแบบอัตโนมัติ
    ใช้ได้กับ Excel บน Windows (เวอร์ชัน 2509+) และ Mac (เวอร์ชัน 16.101+)
    รองรับสูงสุด 100 ครั้งต่อ 10 นาที และ 300 ครั้งต่อชั่วโมง
    ข้อมูลที่ใช้ในฟังก์ชันจะไม่ถูกนำไปฝึกโมเดล AI
    ฟังก์ชันนี้มาแทน LABS.GENERATIVEAI ที่เคยทดลองในปี 2023

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GPT-4.1-mini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Excel Copilot เพื่อความเร็วและความแม่นยำ
    การฝัง AI ในเซลล์ Excel เป็นการเปลี่ยนแนวคิดจาก “ผู้ช่วย” เป็น “ผู้ร่วมงาน”
    ฟังก์ชันนี้ช่วยลดภาระการเขียนสูตรซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    สามารถใช้ในการวิเคราะห์ความรู้สึกของข้อความ เช่น รีวิวสินค้า
    การใช้ AI ใน Excel ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
    Microsoft มีแผนจะเพิ่มการเชื่อมต่อกับข้อมูลภายนอก เช่น เว็บหรือฐานข้อมูลองค์กรในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/no-escape-from-ai-now-microsoft-is-shoving-copilot-into-every-excel-cell
    🧠 Excel เปลี่ยนโฉม – เมื่อ AI เข้าไปอยู่ในทุกเซลล์ด้วยฟังก์ชัน =COPILOT() ลองจินตนาการว่าแทนที่จะต้องเขียนสูตรยาว ๆ หรือใช้ฟังก์ชันซับซ้อนใน Excel คุณสามารถพิมพ์ประโยคธรรมดา เช่น “สรุปความคิดเห็นของลูกค้าในเซลล์ A2” แล้ว Excel จะจัดการให้คุณทันที นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำกับฟังก์ชันใหม่ชื่อว่า =COPILOT() ฟังก์ชันนี้ฝังอยู่ในเซลล์ Excel โดยตรง ไม่ใช่แค่แถบด้านข้างหรือปลั๊กอินอีกต่อไป ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งเป็นภาษาธรรมชาติ พร้อมระบุช่วงเซลล์ที่ต้องการให้ AI วิเคราะห์ แล้วผลลัพธ์จะเปลี่ยนตามข้อมูลต้นทางแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างการใช้งานมีตั้งแต่การสรุปความคิดเห็นของลูกค้า การจัดหมวดหมู่ข้อมูล การสร้างตาราง ไปจนถึงการแสดงอีโมจิประกอบความรู้สึก ฟังก์ชันนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับสูตร Excel เดิม เช่น IF, SWITCH, LAMBDA และ WRAPROWS ได้อย่างลื่นไหล แม้จะยังอยู่ในช่วงเบต้า และจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Microsoft 365 Copilot บน Windows และ Mac แต่ Microsoft มีแผนจะขยายไปยัง Excel เวอร์ชันเว็บในเร็ว ๆ นี้ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Microsoft เปิดตัวฟังก์ชันใหม่ใน Excel ชื่อว่า =COPILOT() ➡️ ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งเป็นภาษาธรรมชาติในเซลล์ Excel ได้โดยตรง ➡️ ฟังก์ชันสามารถสรุปข้อมูล จัดหมวดหมู่ และสร้างตารางจากข้อมูลในชีต ➡️ ทำงานร่วมกับสูตร Excel เดิม เช่น IF, SWITCH, LAMBDA และ WRAPROWS ➡️ ผลลัพธ์เปลี่ยนตามข้อมูลต้นทางแบบอัตโนมัติ ➡️ ใช้ได้กับ Excel บน Windows (เวอร์ชัน 2509+) และ Mac (เวอร์ชัน 16.101+) ➡️ รองรับสูงสุด 100 ครั้งต่อ 10 นาที และ 300 ครั้งต่อชั่วโมง ➡️ ข้อมูลที่ใช้ในฟังก์ชันจะไม่ถูกนำไปฝึกโมเดล AI ➡️ ฟังก์ชันนี้มาแทน LABS.GENERATIVEAI ที่เคยทดลองในปี 2023 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GPT-4.1-mini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Excel Copilot เพื่อความเร็วและความแม่นยำ ➡️ การฝัง AI ในเซลล์ Excel เป็นการเปลี่ยนแนวคิดจาก “ผู้ช่วย” เป็น “ผู้ร่วมงาน” ➡️ ฟังก์ชันนี้ช่วยลดภาระการเขียนสูตรซับซ้อนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ สามารถใช้ในการวิเคราะห์ความรู้สึกของข้อความ เช่น รีวิวสินค้า ➡️ การใช้ AI ใน Excel ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ Microsoft มีแผนจะเพิ่มการเชื่อมต่อกับข้อมูลภายนอก เช่น เว็บหรือฐานข้อมูลองค์กรในอนาคต https://www.techradar.com/pro/no-escape-from-ai-now-microsoft-is-shoving-copilot-into-every-excel-cell
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครก็ตามทรยศลัทธิมารปีศาจซาตานเมื่อไรหรือหันหลังให้พวกมัน มันจะตามเอาคืนทุกๆรูปแบบ,คดีแตงโมเทียบคดีเสก คนละเรื่องเลย,เพราะพวกนั้นขี้ข้าสมุนซาตานของแท้.,เขาจะทำทุกๆวิถีทางจัดการเสก,และนี้คือผลงานการจัดการ,แม้วิถีชีวิตเสกจะบัดสบ แต่ผลงานเพลงก็โอเคนะ จุดยืนความรักชาติ รักกษัตริย์เสกชัดเจน,เรื่องส่วนตัวครอบครัวก็อีกเรื่อง.


    https://youtube.com/shorts/1joWzmRd_Io?si=6LpELAcStfYQU9rw
    ใครก็ตามทรยศลัทธิมารปีศาจซาตานเมื่อไรหรือหันหลังให้พวกมัน มันจะตามเอาคืนทุกๆรูปแบบ,คดีแตงโมเทียบคดีเสก คนละเรื่องเลย,เพราะพวกนั้นขี้ข้าสมุนซาตานของแท้.,เขาจะทำทุกๆวิถีทางจัดการเสก,และนี้คือผลงานการจัดการ,แม้วิถีชีวิตเสกจะบัดสบ แต่ผลงานเพลงก็โอเคนะ จุดยืนความรักชาติ รักกษัตริย์เสกชัดเจน,เรื่องส่วนตัวครอบครัวก็อีกเรื่อง. https://youtube.com/shorts/1joWzmRd_Io?si=6LpELAcStfYQU9rw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ RCE เดือนสิงหาคม 2025: เมื่อระบบสำคัญถูกเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมจากระยะไกล
    ใน Patch Tuesday เดือนสิงหาคม 2025 Microsoft ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่กว่า 107 รายการ โดยมี 13 รายการจัดเป็นระดับ “วิกฤต” และหนึ่งในนั้นคือช่องโหว่ CVE-2025-53779 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ zero-day ในระบบ Windows Kerberos ที่ใช้ใน Active Directory

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ path traversal ใน dMSA (Delegated Managed Service Account) ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับสูงสามารถปรับแต่งความสัมพันธ์ของบัญชีบริการ และยกระดับสิทธิ์จนกลายเป็น domain admin ได้ ซึ่งหมายถึงการควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด

    แม้ Microsoft จะประเมินว่า “การโจมตีจริงยังไม่น่าจะเกิดขึ้น” แต่มี proof-of-concept ที่ใช้งานได้แล้ว และนักวิจัยจาก Akamai ได้เปิดเผยกลไกการโจมตีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้ช่องโหว่นี้กลายเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับองค์กรที่ใช้ Windows Server 2025

    อีกด้านหนึ่ง Veeam ก็พบช่องโหว่ CVE-2025-23120 ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ใช้ที่อยู่ในโดเมนสามารถโจมตี Backup Server ได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ระดับ admin ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.9 และกระทบกับ Veeam Backup & Replication เวอร์ชัน 12.3.0.310 และก่อนหน้านั้นทั้งหมด

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    Microsoft แก้ไขช่องโหว่ 107 รายการใน Patch Tuesday เดือนสิงหาคม 2025
    ช่องโหว่ CVE-2025-53779 เป็น zero-day ใน Windows Kerberos ที่ใช้ใน Active Directory
    ช่องโหว่เกิดจาก path traversal ใน dMSA ทำให้สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น domain admin
    ช่องโหว่นี้มี proof-of-concept และถูกเปิดเผยโดย Akamai ตั้งแต่พฤษภาคม
    Veeam พบช่องโหว่ CVE-2025-23120 ซึ่งเปิดช่องให้โจมตี Backup Server จากระยะไกล
    ช่องโหว่ Veeam มีคะแนน CVSS 9.9 และกระทบกับเวอร์ชัน 12.3.0.310 และก่อนหน้านั้น
    Veeam แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 12.3.1.1139 เพื่อแก้ไขช่องโหว่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kerberos เป็นระบบยืนยันตัวตนหลักใน Windows ที่ใช้ในองค์กรทั่วโลก
    ช่องโหว่ใน dMSA อาจถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของ multi-exploit chain เพื่อควบคุมระบบ
    CISA เคยเตือนว่า Kerberoasting เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการยกระดับสิทธิ์ในเครือข่าย
    Veeam เป็นซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่และศูนย์ข้อมูล
    ช่องโหว่ใน Veeam อาจถูก reverse-engineer ได้หลังจากแพตช์ถูกปล่อย
    การโจมตี RCE แบบไม่ต้องมี interaction จากผู้ใช้ถือเป็นภัยคุกคามระดับสูง

    https://research.kudelskisecurity.com/2025/08/19/how-we-exploited-coderabbit-from-a-simple-pr-to-rce-and-write-access-on-1m-repositories/
    🧨 ช่องโหว่ RCE เดือนสิงหาคม 2025: เมื่อระบบสำคัญถูกเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมจากระยะไกล ใน Patch Tuesday เดือนสิงหาคม 2025 Microsoft ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่กว่า 107 รายการ โดยมี 13 รายการจัดเป็นระดับ “วิกฤต” และหนึ่งในนั้นคือช่องโหว่ CVE-2025-53779 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ zero-day ในระบบ Windows Kerberos ที่ใช้ใน Active Directory ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ path traversal ใน dMSA (Delegated Managed Service Account) ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับสูงสามารถปรับแต่งความสัมพันธ์ของบัญชีบริการ และยกระดับสิทธิ์จนกลายเป็น domain admin ได้ ซึ่งหมายถึงการควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด แม้ Microsoft จะประเมินว่า “การโจมตีจริงยังไม่น่าจะเกิดขึ้น” แต่มี proof-of-concept ที่ใช้งานได้แล้ว และนักวิจัยจาก Akamai ได้เปิดเผยกลไกการโจมตีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ทำให้ช่องโหว่นี้กลายเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับองค์กรที่ใช้ Windows Server 2025 อีกด้านหนึ่ง Veeam ก็พบช่องโหว่ CVE-2025-23120 ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ใช้ที่อยู่ในโดเมนสามารถโจมตี Backup Server ได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ระดับ admin ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 9.9 และกระทบกับ Veeam Backup & Replication เวอร์ชัน 12.3.0.310 และก่อนหน้านั้นทั้งหมด ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ Microsoft แก้ไขช่องโหว่ 107 รายการใน Patch Tuesday เดือนสิงหาคม 2025 ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-53779 เป็น zero-day ใน Windows Kerberos ที่ใช้ใน Active Directory ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก path traversal ใน dMSA ทำให้สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น domain admin ➡️ ช่องโหว่นี้มี proof-of-concept และถูกเปิดเผยโดย Akamai ตั้งแต่พฤษภาคม ➡️ Veeam พบช่องโหว่ CVE-2025-23120 ซึ่งเปิดช่องให้โจมตี Backup Server จากระยะไกล ➡️ ช่องโหว่ Veeam มีคะแนน CVSS 9.9 และกระทบกับเวอร์ชัน 12.3.0.310 และก่อนหน้านั้น ➡️ Veeam แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 12.3.1.1139 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kerberos เป็นระบบยืนยันตัวตนหลักใน Windows ที่ใช้ในองค์กรทั่วโลก ➡️ ช่องโหว่ใน dMSA อาจถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของ multi-exploit chain เพื่อควบคุมระบบ ➡️ CISA เคยเตือนว่า Kerberoasting เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการยกระดับสิทธิ์ในเครือข่าย ➡️ Veeam เป็นซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่และศูนย์ข้อมูล ➡️ ช่องโหว่ใน Veeam อาจถูก reverse-engineer ได้หลังจากแพตช์ถูกปล่อย ➡️ การโจมตี RCE แบบไม่ต้องมี interaction จากผู้ใช้ถือเป็นภัยคุกคามระดับสูง https://research.kudelskisecurity.com/2025/08/19/how-we-exploited-coderabbit-from-a-simple-pr-to-rce-and-write-access-on-1m-repositories/
    RESEARCH.KUDELSKISECURITY.COM
    How We Exploited CodeRabbit: From a Simple PR to RCE and Write Access on 1M Repositories
    In this blog post, we explain how we got remote code execution (RCE) on CodeRabbit’s production servers, leaked their API tokens and secrets, how we could have accessed their PostgreSQL datab…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVMe 2.3: ยกระดับ SSD ให้ฉลาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และทนทานต่อความล้มเหลวมากขึ้น

    กลุ่ม NVM Express ได้เปิดตัวมาตรฐาน NVMe 2.3 ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งชุดคำสั่งการจัดเก็บข้อมูลและโปรโตคอลการส่งข้อมูล เช่น PCIe, RDMA และ TCP โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ SSD มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ประหยัดพลังงาน และสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ดีขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Rapid Path Failure Recovery (RPFR) ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารไปยังช่องทางสำรองได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาระหว่าง host กับ storage subsystem ลดโอกาสข้อมูลเสียหายและ downtime

    ด้านการจัดการพลังงาน NVMe 2.3 เพิ่มฟีเจอร์ Power Limit Config ที่ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD ได้ และ Self-Reported Drive Power ที่ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งเหมาะกับการวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาแต่เนิ่นๆ

    ในด้านความปลอดภัย มีฟีเจอร์ Sanitize Per Namespace ที่ช่วยลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD โดยไม่กระทบข้อมูลอื่น และ Configurable Device Personality ที่ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานได้ตามความต้องการ เช่น โหมดประหยัดพลังงานหรือโหมดประสิทธิภาพสูง

    แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะมีประโยชน์มากในระดับองค์กร แต่การนำไปใช้ใน SSD สำหรับผู้บริโภคทั่วไปยังขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะนำไปใช้อย่างจริงจังหรือไม่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    NVMe 2.3 เปิดตัวพร้อมอัปเดต 11 รายการในชุดคำสั่งและโปรโตคอลการส่งข้อมูล
    Rapid Path Failure Recovery ช่วยให้ระบบเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารเมื่อเกิดปัญหา
    Power Limit Config ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD
    Self-Reported Drive Power ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์
    Sanitize Per Namespace ลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD ได้อย่างปลอดภัย
    Configurable Device Personality ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานตามความต้องการ
    NVMe Management Interface อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 2.1 และ NVMe Boot เป็นเวอร์ชัน 1.3
    ฟีเจอร์ใหม่เน้นความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และการจัดการพลังงานในระดับองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVMe 2.3 รองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล, ระบบ AI, และแอปพลิเคชันที่ใช้ข้อมูลหนัก
    RPFR ลดโอกาสข้อมูลเสียหายจากการสื่อสารล้มเหลวในระบบขนาดใหญ่
    Power Limit Config เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน
    Self-Reported Drive Power ช่วยวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาได้แต่เนิ่นๆ
    Sanitize Per Namespace เหมาะกับการรีไทร์หรือรีไซเคิล SSD โดยไม่ลบข้อมูลทั้งหมด
    Configurable Device Personality ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ SSD หลายรุ่น

    https://www.techradar.com/pro/finally-future-ssds-are-set-to-be-more-energy-efficient-and-more-secure-thanks-to-a-new-set-of-guidelines
    🚀 NVMe 2.3: ยกระดับ SSD ให้ฉลาดขึ้น ปลอดภัยขึ้น และทนทานต่อความล้มเหลวมากขึ้น กลุ่ม NVM Express ได้เปิดตัวมาตรฐาน NVMe 2.3 ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งชุดคำสั่งการจัดเก็บข้อมูลและโปรโตคอลการส่งข้อมูล เช่น PCIe, RDMA และ TCP โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ SSD มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ประหยัดพลังงาน และสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ดีขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Rapid Path Failure Recovery (RPFR) ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารไปยังช่องทางสำรองได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาระหว่าง host กับ storage subsystem ลดโอกาสข้อมูลเสียหายและ downtime ด้านการจัดการพลังงาน NVMe 2.3 เพิ่มฟีเจอร์ Power Limit Config ที่ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD ได้ และ Self-Reported Drive Power ที่ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ซึ่งเหมาะกับการวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาแต่เนิ่นๆ ในด้านความปลอดภัย มีฟีเจอร์ Sanitize Per Namespace ที่ช่วยลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD โดยไม่กระทบข้อมูลอื่น และ Configurable Device Personality ที่ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานได้ตามความต้องการ เช่น โหมดประหยัดพลังงานหรือโหมดประสิทธิภาพสูง แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะมีประโยชน์มากในระดับองค์กร แต่การนำไปใช้ใน SSD สำหรับผู้บริโภคทั่วไปยังขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าจะนำไปใช้อย่างจริงจังหรือไม่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ NVMe 2.3 เปิดตัวพร้อมอัปเดต 11 รายการในชุดคำสั่งและโปรโตคอลการส่งข้อมูล ➡️ Rapid Path Failure Recovery ช่วยให้ระบบเปลี่ยนเส้นทางการสื่อสารเมื่อเกิดปัญหา ➡️ Power Limit Config ให้ผู้ดูแลระบบกำหนดขีดจำกัดการใช้พลังงานของ SSD ➡️ Self-Reported Drive Power ช่วยให้ SSD รายงานการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ➡️ Sanitize Per Namespace ลบข้อมูลเฉพาะบางส่วนของ SSD ได้อย่างปลอดภัย ➡️ Configurable Device Personality ให้ SSD ปรับโหมดการทำงานตามความต้องการ ➡️ NVMe Management Interface อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 2.1 และ NVMe Boot เป็นเวอร์ชัน 1.3 ➡️ ฟีเจอร์ใหม่เน้นความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และการจัดการพลังงานในระดับองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVMe 2.3 รองรับการใช้งานในศูนย์ข้อมูล, ระบบ AI, และแอปพลิเคชันที่ใช้ข้อมูลหนัก ➡️ RPFR ลดโอกาสข้อมูลเสียหายจากการสื่อสารล้มเหลวในระบบขนาดใหญ่ ➡️ Power Limit Config เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน ➡️ Self-Reported Drive Power ช่วยวางแผนพลังงานและตรวจจับปัญหาได้แต่เนิ่นๆ ➡️ Sanitize Per Namespace เหมาะกับการรีไทร์หรือรีไซเคิล SSD โดยไม่ลบข้อมูลทั้งหมด ➡️ Configurable Device Personality ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ SSD หลายรุ่น https://www.techradar.com/pro/finally-future-ssds-are-set-to-be-more-energy-efficient-and-more-secure-thanks-to-a-new-set-of-guidelines
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVE-2025-20265 ใน Cisco FMC: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นช่องทางโจมตี

    Cisco ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ร้ายแรงใน Secure Firewall Management Center (FMC) ซึ่งเป็นระบบจัดการไฟร์วอลล์แบบรวมศูนย์ที่ใช้กันในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้อยู่ในระบบยืนยันตัวตนผ่าน RADIUS ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกระหว่างการล็อกอินไม่ดีพอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อสั่งให้ระบบรันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบได้ทันทีหาก FMC ถูกตั้งค่าให้ใช้ RADIUS สำหรับการล็อกอินผ่านเว็บหรือ SSH

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2025-20265 และได้รับคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 จาก Cisco โดยส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ของ FMC เท่านั้น หากมีการเปิดใช้ RADIUS authentication

    Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ให้ปิดการใช้งาน RADIUS แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบอื่น เช่น LDAP หรือบัญชีผู้ใช้ภายในแทน

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    ช่องโหว่ CVE-2025-20265 อยู่ในระบบ RADIUS authentication ของ Cisco FMC
    ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้แฮกเกอร์ส่งคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ส่งผลกระทบต่อ FMC เวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ที่เปิดใช้ RADIUS สำหรับเว็บหรือ SSH
    Cisco ให้คะแนนความรุนแรง 10/10 และแนะนำให้ติดตั้งแพตช์ทันที
    หากไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ ให้ปิด RADIUS และใช้ LDAP หรือ local accounts แทน
    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของ Cisco เอง และยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้
    Cisco ยังออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่อื่นๆ อีก 13 รายการในผลิตภัณฑ์ต่างๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RADIUS เป็นโปรโตคอลยอดนิยมในองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงจากศูนย์กลาง
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “command injection” ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด
    การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับหรือควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด
    Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบการเปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนก่อนใช้งานจริง
    ช่องโหว่นี้ไม่ส่งผลต่อ Cisco ASA หรือ FTD ซึ่งใช้ระบบจัดการคนละแบบ
    การใช้ SAML หรือ LDAP อาจช่วยลดความเสี่ยงในระบบองค์กรได้

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-of-worrying-major-security-flaw-in-firewall-command-center-so-patch-now
    🚨 ช่องโหว่ CVE-2025-20265 ใน Cisco FMC: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นช่องทางโจมตี Cisco ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ร้ายแรงใน Secure Firewall Management Center (FMC) ซึ่งเป็นระบบจัดการไฟร์วอลล์แบบรวมศูนย์ที่ใช้กันในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้อยู่ในระบบยืนยันตัวตนผ่าน RADIUS ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกระหว่างการล็อกอินไม่ดีพอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อสั่งให้ระบบรันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบได้ทันทีหาก FMC ถูกตั้งค่าให้ใช้ RADIUS สำหรับการล็อกอินผ่านเว็บหรือ SSH ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2025-20265 และได้รับคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 จาก Cisco โดยส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ของ FMC เท่านั้น หากมีการเปิดใช้ RADIUS authentication Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ให้ปิดการใช้งาน RADIUS แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบอื่น เช่น LDAP หรือบัญชีผู้ใช้ภายในแทน ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-20265 อยู่ในระบบ RADIUS authentication ของ Cisco FMC ➡️ ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้แฮกเกอร์ส่งคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ส่งผลกระทบต่อ FMC เวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ที่เปิดใช้ RADIUS สำหรับเว็บหรือ SSH ➡️ Cisco ให้คะแนนความรุนแรง 10/10 และแนะนำให้ติดตั้งแพตช์ทันที ➡️ หากไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ ให้ปิด RADIUS และใช้ LDAP หรือ local accounts แทน ➡️ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของ Cisco เอง และยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ ➡️ Cisco ยังออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่อื่นๆ อีก 13 รายการในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RADIUS เป็นโปรโตคอลยอดนิยมในองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงจากศูนย์กลาง ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “command injection” ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด ➡️ การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับหรือควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด ➡️ Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบการเปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนก่อนใช้งานจริง ➡️ ช่องโหว่นี้ไม่ส่งผลต่อ Cisco ASA หรือ FTD ซึ่งใช้ระบบจัดการคนละแบบ ➡️ การใช้ SAML หรือ LDAP อาจช่วยลดความเสี่ยงในระบบองค์กรได้ https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-of-worrying-major-security-flaw-in-firewall-command-center-so-patch-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เตรียมเปิดแผนอนาคต Zen 6, RDNA 5, CDNA และ UDNA ในงานใหญ่เดือนพฤศจิกายน

    AMD ประกาศจัดงาน Financial Analyst Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว โดยเฉพาะ CPU ตระกูล Zen รุ่นใหม่, GPU สาย RDNA และ CDNA สำหรับงาน HPC และ AI รวมถึงสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UDNA ที่จะเป็นหัวใจของ AI accelerators รุ่นถัดไป

    ในฝั่ง CPU AMD จะพูดถึง EPYC “Venice” ที่ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EPYC “Verano” ที่คาดว่าจะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ในปี 2027 และอาจมีการพูดถึง Zen 8 ด้วย

    ด้าน GPU จะมีการเปิดตัว RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI โดย AMD ตั้งเป้ารวมสาย RDNA และ CDNA เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้าง GPU ที่รองรับทั้งเกมและงานประมวลผลระดับสูง

    ในฝั่ง AI และ HPC AMD จะพูดถึง Instinct MI500 accelerators ที่ใช้ UDNA 6 และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบใหม่ชื่อ UALink ซึ่งจะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ AMD ยังจะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาว และกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิตชิปแบบ custom จาก hyperscale cloud providers

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    AMD จะจัดงาน Financial Analyst Day วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก
    งานนี้จะเปิดเผยแผนระยะยาวของ CPU, GPU, AI accelerators และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ
    CPU EPYC “Venice” ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูล EPYC “Verano” ที่อาจใช้ Zen 6 หรือ Zen 7
    อาจมีการพูดถึง Zen 8 สำหรับอนาคตระยะไกล
    GPU RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI จะถูกเปิดเผย
    Instinct MI500 accelerators จะใช้สถาปัตยกรรม UDNA 6
    เทคโนโลยี UALink จะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น
    AMD จะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาวและกลยุทธ์แข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิต custom silicon

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zen 6 อาจมีความเร็วทะลุ 7.0GHz และใช้ dual IMC design สำหรับการจัดการหน่วยความจำ
    RDNA 5 คาดว่าจะมี IPC สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 5–10% ที่ความเร็วเท่าเดิม
    ROCm ecosystem จะถูกขยายเพื่อรองรับ AI และ HPC มากขึ้น
    AMD อาจเปิดตัว Radeon RX 10900 XT ที่ใช้ RDNA 5 แข่งกับ RTX 6090
    UDNA จะเป็นจุดรวมของ GPU สายเกมและ HPC ในอนาคต
    AMD มีแผนใช้ advanced packaging technologies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-to-disclose-roadmaps-in-mid-november-the-future-of-zen-6-rdna-cdna-and-udna-expected
    🔮 AMD เตรียมเปิดแผนอนาคต Zen 6, RDNA 5, CDNA และ UDNA ในงานใหญ่เดือนพฤศจิกายน AMD ประกาศจัดงาน Financial Analyst Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว โดยเฉพาะ CPU ตระกูล Zen รุ่นใหม่, GPU สาย RDNA และ CDNA สำหรับงาน HPC และ AI รวมถึงสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UDNA ที่จะเป็นหัวใจของ AI accelerators รุ่นถัดไป ในฝั่ง CPU AMD จะพูดถึง EPYC “Venice” ที่ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EPYC “Verano” ที่คาดว่าจะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ในปี 2027 และอาจมีการพูดถึง Zen 8 ด้วย ด้าน GPU จะมีการเปิดตัว RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI โดย AMD ตั้งเป้ารวมสาย RDNA และ CDNA เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้าง GPU ที่รองรับทั้งเกมและงานประมวลผลระดับสูง ในฝั่ง AI และ HPC AMD จะพูดถึง Instinct MI500 accelerators ที่ใช้ UDNA 6 และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบใหม่ชื่อ UALink ซึ่งจะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AMD ยังจะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาว และกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิตชิปแบบ custom จาก hyperscale cloud providers ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ AMD จะจัดงาน Financial Analyst Day วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ➡️ งานนี้จะเปิดเผยแผนระยะยาวของ CPU, GPU, AI accelerators และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ➡️ CPU EPYC “Venice” ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูล EPYC “Verano” ที่อาจใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ➡️ อาจมีการพูดถึง Zen 8 สำหรับอนาคตระยะไกล ➡️ GPU RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI จะถูกเปิดเผย ➡️ Instinct MI500 accelerators จะใช้สถาปัตยกรรม UDNA 6 ➡️ เทคโนโลยี UALink จะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ➡️ AMD จะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาวและกลยุทธ์แข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิต custom silicon ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zen 6 อาจมีความเร็วทะลุ 7.0GHz และใช้ dual IMC design สำหรับการจัดการหน่วยความจำ ➡️ RDNA 5 คาดว่าจะมี IPC สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 5–10% ที่ความเร็วเท่าเดิม ➡️ ROCm ecosystem จะถูกขยายเพื่อรองรับ AI และ HPC มากขึ้น ➡️ AMD อาจเปิดตัว Radeon RX 10900 XT ที่ใช้ RDNA 5 แข่งกับ RTX 6090 ➡️ UDNA จะเป็นจุดรวมของ GPU สายเกมและ HPC ในอนาคต ➡️ AMD มีแผนใช้ advanced packaging technologies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-to-disclose-roadmaps-in-mid-november-the-future-of-zen-6-rdna-cdna-and-udna-expected
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wi-Fi ไม่ได้ผิด แต่พฤติกรรมดิจิทัลของเราต่างหากที่ทำร้ายโลก

    โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ที่ปรากฏในสถานีรถไฟใต้ดินของลอนดอนสร้างความฮือฮา ด้วยข้อความที่ดูเหมือนจะกล่าวโทษ Wi-Fi ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมองลึกลงไป มันคือการชวนให้เราคิดใหม่ผ่านแคมเปญ “Think Again” ที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของเรา

    เป้าหมายของแคมเปญนี้คือการชี้ให้เห็นว่า “การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ ล้วนมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันผลักดันให้ศูนย์ข้อมูล (data centers) ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลกเสียอีก

    แม้ Wi-Fi เองจะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนโดยตรง แต่การใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เช่น เราเตอร์ สมาร์ททีวี และเซิร์ฟเวอร์ ล้วนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสร้าง e-waste จำนวนมหาศาลในแต่ละปี

    งานวิจัยจากหลายแหล่งชี้ว่า Wi-Fi และเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 4% ของทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี หากไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลจากข่าวและแคมเปญ Think Again
    โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ชวนให้คิดใหม่เรื่องผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี
    ข้อความ “WiFi doesn’t grow on trees” เป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ ไม่ใช่กล่าวโทษ Wi-Fi โดยตรง
    แคมเปญชี้ให้เห็นว่การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
    ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลก
    มหาวิทยาลัยกำลังวิจัยเพื่อทำให้ data centers มีความยั่งยืนมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi และอุปกรณ์เครือข่ายมีส่วนทำให้เกิด e-waste มากกว่า 82 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030
    การใช้ Wi-Fi ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งจากอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน
    การเลือกเราเตอร์ที่มี Energy Star หรือ eco-label ช่วยลดการใช้พลังงาน
    การรีไซเคิลอุปกรณ์เครือข่ายเก่าเป็นวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    Wi-Fi ช่วยให้ระบบ IoT ทำงานได้ เช่น การจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ
    การบำรุงรักษาเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น

    https://www.tomshardware.com/networking/is-wi-fi-bad-for-the-environment-eye-catching-london-ad-suggests-our-digital-habits-are-damaging-the-climate
    📡 Wi-Fi ไม่ได้ผิด แต่พฤติกรรมดิจิทัลของเราต่างหากที่ทำร้ายโลก โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ที่ปรากฏในสถานีรถไฟใต้ดินของลอนดอนสร้างความฮือฮา ด้วยข้อความที่ดูเหมือนจะกล่าวโทษ Wi-Fi ว่าเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมองลึกลงไป มันคือการชวนให้เราคิดใหม่ผ่านแคมเปญ “Think Again” ที่ตั้งคำถามกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของเรา เป้าหมายของแคมเปญนี้คือการชี้ให้เห็นว่า “การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ ล้วนมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันผลักดันให้ศูนย์ข้อมูล (data centers) ต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลกเสียอีก แม้ Wi-Fi เองจะไม่ได้ปล่อยคาร์บอนโดยตรง แต่การใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi เช่น เราเตอร์ สมาร์ททีวี และเซิร์ฟเวอร์ ล้วนมีการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และสร้าง e-waste จำนวนมหาศาลในแต่ละปี งานวิจัยจากหลายแหล่งชี้ว่า Wi-Fi และเทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 4% ของทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี หากไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลจากข่าวและแคมเปญ Think Again ➡️ โปสเตอร์จากมหาวิทยาลัย East London ชวนให้คิดใหม่เรื่องผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี ➡️ ข้อความ “WiFi doesn’t grow on trees” เป็นการกระตุ้นให้คนสนใจ ไม่ใช่กล่าวโทษ Wi-Fi โดยตรง ➡️ แคมเปญชี้ให้เห็นว่การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ➡️ ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกปล่อยคาร์บอนมากกว่าการบินทั่วโลก ➡️ มหาวิทยาลัยกำลังวิจัยเพื่อทำให้ data centers มีความยั่งยืนมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi และอุปกรณ์เครือข่ายมีส่วนทำให้เกิด e-waste มากกว่า 82 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 ➡️ การใช้ Wi-Fi ส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งจากอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ การเลือกเราเตอร์ที่มี Energy Star หรือ eco-label ช่วยลดการใช้พลังงาน ➡️ การรีไซเคิลอุปกรณ์เครือข่ายเก่าเป็นวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ➡️ Wi-Fi ช่วยให้ระบบ IoT ทำงานได้ เช่น การจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ ➡️ การบำรุงรักษาเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น https://www.tomshardware.com/networking/is-wi-fi-bad-for-the-environment-eye-catching-london-ad-suggests-our-digital-habits-are-damaging-the-climate
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Is Wi-Fi bad for the environment? Eye-catching London ad suggests Wi-Fi is ‘damaging the climate’
    The ad seemingly says that Wi-Fi is bad for the environment, but its makers just want you to look closer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1)
    เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก
    หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ
    การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
    – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
    – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่
    – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ
    เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา
    เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม
    เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร
    ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!)
    อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1) เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับ นโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย – อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่ – อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!) อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากชิปสู่ไวน์: เมื่ออดีตวิศวกร Intel ต้องเริ่มต้นใหม่ในไร่องุ่นฝรั่งเศส

    Varun Gupta เคยเป็นวิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Intel มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้ายไปทำงานกับ Microsoft ในปี 2020 แต่การย้ายงานครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ เมื่อ Intel พบว่าเขานำเอกสารลับกว่า 4,000 ไฟล์ติดตัวไปด้วย

    เอกสารเหล่านั้นมีข้อมูลสำคัญ เช่น กลยุทธ์การตั้งราคาของ Intel และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่ง Gupta ใช้ในการเจรจาสัญญาซื้อชิปกับ Intel ในนามของ Microsoft

    หลังจากถูกจับได้ในปี 2021 เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้ Intel เป็นจำนวน 40,000 ดอลลาร์ และในปี 2024 ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาครอบครองข้อมูลลับโดยมิชอบ

    แม้อัยการจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ผู้พิพากษา Amy Baggio เห็นว่าการสูญเสียชื่อเสียงและอาชีพในวงการเทคโนโลยีเป็นบทเรียนที่รุนแรงพอแล้ว จึงตัดสินให้ Gupta รับโทษคุมประพฤติ 8 เดือน และปรับเงิน 34,472 ดอลลาร์

    Gupta ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปฝรั่งเศส และเริ่มเรียนด้านการจัดการไร่องุ่น เพื่อเข้าสู่วงการไวน์อย่างเต็มตัว—จากโลกของชิปสู่โลกขององุ่น

    https://wccftech.com/former-intel-engineer-sentenced-for-trade-secret-theft-will-now-work-in-french-winemaking-industry/
    🧠 จากชิปสู่ไวน์: เมื่ออดีตวิศวกร Intel ต้องเริ่มต้นใหม่ในไร่องุ่นฝรั่งเศส Varun Gupta เคยเป็นวิศวกรการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Intel มานานกว่า 10 ปี ก่อนจะย้ายไปทำงานกับ Microsoft ในปี 2020 แต่การย้ายงานครั้งนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ เมื่อ Intel พบว่าเขานำเอกสารลับกว่า 4,000 ไฟล์ติดตัวไปด้วย เอกสารเหล่านั้นมีข้อมูลสำคัญ เช่น กลยุทธ์การตั้งราคาของ Intel และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่ง Gupta ใช้ในการเจรจาสัญญาซื้อชิปกับ Intel ในนามของ Microsoft หลังจากถูกจับได้ในปี 2021 เขายอมจ่ายเงินชดเชยให้ Intel เป็นจำนวน 40,000 ดอลลาร์ และในปี 2024 ถูกตั้งข้อหาทางอาญาในข้อหาครอบครองข้อมูลลับโดยมิชอบ แม้อัยการจะขอให้ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ผู้พิพากษา Amy Baggio เห็นว่าการสูญเสียชื่อเสียงและอาชีพในวงการเทคโนโลยีเป็นบทเรียนที่รุนแรงพอแล้ว จึงตัดสินให้ Gupta รับโทษคุมประพฤติ 8 เดือน และปรับเงิน 34,472 ดอลลาร์ Gupta ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปฝรั่งเศส และเริ่มเรียนด้านการจัดการไร่องุ่น เพื่อเข้าสู่วงการไวน์อย่างเต็มตัว—จากโลกของชิปสู่โลกขององุ่น https://wccftech.com/former-intel-engineer-sentenced-for-trade-secret-theft-will-now-work-in-french-winemaking-industry/
    WCCFTECH.COM
    Former Intel Engineer Sentenced For Trade Secret Theft Will Now Work In French Winemaking Industry
    Varun Gupta, a former Intel employee, received two years' probation and a $34,472 fine for stealing trade secrets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts