• สายการบิน WestJet เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มหากอยากเอนเบาะ

    WestJet สายการบินจากแคนาดา กำลังสร้างกระแสใหม่ในอุตสาหกรรมการบิน โดยประกาศว่าจะยกเลิกเบาะปรับเอนได้ในชั้นประหยัดมาตรฐาน และหากผู้โดยสารต้องการเอนเบาะ จะต้องจ่ายเพิ่มเพื่อเลือกที่นั่งในชั้น Premium หรือ Extended Comfort เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ครอบคลุมเครื่องบิน Boeing 737-8 Max และ 737-800 จำนวนกว่า 40 ลำ ซึ่งบินไปยังหลายรัฐในสหรัฐฯ และจุดหมายปลายทางทั่วโลก

    เหตุผลเบื้องหลังคือการเพิ่มจำนวนที่นั่งในแต่ละเที่ยวบิน เพื่อให้ราคาตั๋วโดยรวมถูกลง และยังอ้างว่าผู้โดยสารบางส่วนชอบเก้าอี้แบบไม่เอนได้ เพราะไม่ต้องกังวลว่าคนข้างหน้าจะเอนมารบกวนพื้นที่ส่วนตัว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวโน้มที่สายการบินอเมริกาเหนือหลายแห่งเริ่มลดสิ่งอำนวยความสะดวกที่เคยเป็นมาตรฐาน เช่น Southwest ที่เริ่มเก็บค่ากระเป๋าใบแรก

    นอกจากเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้โดยสารยังต้องพิจารณาว่าการนั่งเก้าอี้แบบไม่เอนได้อาจส่งผลต่อความสบายในเที่ยวบินยาว ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหลังหรือคอ แม้ WestJet จะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น ที่วางขาเพิ่ม พอร์ตชาร์จ และพาร์ติชันกั้นพื้นที่ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะชดเชยความรู้สึกสบายที่หายไปได้

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    WestJet ยกเลิกเบาะปรับเอนได้ในชั้นประหยัด
    เพิ่มที่นั่งได้อีกหนึ่งแถวต่อเครื่อง
    มีตัวเลือก Premium และ Extended Comfort พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่ม

    แนวโน้มอุตสาหกรรมการบินลดสิ่งอำนวยความสะดวก
    Southwest เริ่มเก็บค่ากระเป๋าและยกเลิกการเลือกที่นั่งอิสระ

    ความเสี่ยงต่อสุขภาพและความสบายของผู้โดยสาร
    ผู้ที่มีปัญหาหลัง/คออาจได้รับผลกระทบ
    เที่ยวบินยาว ๆ อาจทำให้เกิดความเมื่อยล้าเพิ่มขึ้น

    https://www.slashgear.com/2006598/westjet-airline-reclining-seat-fee/
    ✈️ สายการบิน WestJet เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มหากอยากเอนเบาะ WestJet สายการบินจากแคนาดา กำลังสร้างกระแสใหม่ในอุตสาหกรรมการบิน โดยประกาศว่าจะยกเลิกเบาะปรับเอนได้ในชั้นประหยัดมาตรฐาน และหากผู้โดยสารต้องการเอนเบาะ จะต้องจ่ายเพิ่มเพื่อเลือกที่นั่งในชั้น Premium หรือ Extended Comfort เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ครอบคลุมเครื่องบิน Boeing 737-8 Max และ 737-800 จำนวนกว่า 40 ลำ ซึ่งบินไปยังหลายรัฐในสหรัฐฯ และจุดหมายปลายทางทั่วโลก เหตุผลเบื้องหลังคือการเพิ่มจำนวนที่นั่งในแต่ละเที่ยวบิน เพื่อให้ราคาตั๋วโดยรวมถูกลง และยังอ้างว่าผู้โดยสารบางส่วนชอบเก้าอี้แบบไม่เอนได้ เพราะไม่ต้องกังวลว่าคนข้างหน้าจะเอนมารบกวนพื้นที่ส่วนตัว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวโน้มที่สายการบินอเมริกาเหนือหลายแห่งเริ่มลดสิ่งอำนวยความสะดวกที่เคยเป็นมาตรฐาน เช่น Southwest ที่เริ่มเก็บค่ากระเป๋าใบแรก นอกจากเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้โดยสารยังต้องพิจารณาว่าการนั่งเก้าอี้แบบไม่เอนได้อาจส่งผลต่อความสบายในเที่ยวบินยาว ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหลังหรือคอ แม้ WestJet จะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น ที่วางขาเพิ่ม พอร์ตชาร์จ และพาร์ติชันกั้นพื้นที่ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะชดเชยความรู้สึกสบายที่หายไปได้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ WestJet ยกเลิกเบาะปรับเอนได้ในชั้นประหยัด ➡️ เพิ่มที่นั่งได้อีกหนึ่งแถวต่อเครื่อง ➡️ มีตัวเลือก Premium และ Extended Comfort พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่ม ✅ แนวโน้มอุตสาหกรรมการบินลดสิ่งอำนวยความสะดวก ➡️ Southwest เริ่มเก็บค่ากระเป๋าและยกเลิกการเลือกที่นั่งอิสระ ‼️ ความเสี่ยงต่อสุขภาพและความสบายของผู้โดยสาร ⛔ ผู้ที่มีปัญหาหลัง/คออาจได้รับผลกระทบ ⛔ เที่ยวบินยาว ๆ อาจทำให้เกิดความเมื่อยล้าเพิ่มขึ้น https://www.slashgear.com/2006598/westjet-airline-reclining-seat-fee/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This US Airline Wants To Charge You Extra To Recline Your Seat - SlashGear
    Only Premium and Extended Comfort passengers will get reclining seats (with an added cost), while those in Standard Economy will be in fixed-recline chairs.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • การกลับมาของ Valve ในตลาด VR

    หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ

    สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น
    Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest

    เทคโนโลยี Foveated Streaming
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Steam Frame VR
    เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026
    เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC

    สเปกและระบบภายใน
    Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS

    ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming
    ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง
    Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า

    การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน
    น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล
    จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน
    ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone

    https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    🎮 การกลับมาของ Valve ในตลาด VR หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Steam Deck และ Steam Deck OLED ล่าสุด Valve ได้เปิดตัว Steam Frame VR ซึ่งเคยถูกเรียกในโค้ดเนมว่า “Deckard” โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2026 ตัวเครื่องถูกออกแบบให้เป็น อุปกรณ์ VR แบบไร้สายและทำงานได้ด้วยตัวเอง (standalone) แต่ยังคงรองรับการสตรีมเกมจาก PC ผ่านอะแดปเตอร์ไร้สาย 6GHz ที่มีระบบ dual-radio เพื่อลดการรบกวนสัญญาณ ⚡ สเปกและฟีเจอร์ที่โดดเด่น Steam Frame ใช้ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB และมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB พร้อมช่อง microSD สำหรับขยายเพิ่ม รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.3 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ SteamOS และมีโปรแกรม Steam Frame Verified เพื่อบอกว่ามีเกมใดที่สามารถเล่นได้ในโหมด standalone นอกจากนี้ยังรองรับเกม Android เพื่อดึงดูดนักพัฒนาที่เคยทำงานบนแพลตฟอร์ม Quest 👀 เทคโนโลยี Foveated Streaming หนึ่งในฟีเจอร์ที่สร้างความตื่นเต้นคือ Foveated Streaming ซึ่งใช้กล้องติดตามดวงตา 2 ตัวเพื่อเพิ่มความละเอียดภาพเฉพาะบริเวณที่ผู้เล่นกำลังมองอยู่ Valve อ้างว่าสามารถเพิ่มคุณภาพภาพและประสิทธิภาพแบนด์วิดท์ได้ถึง 10 เท่า ทำให้การสตรีมเกมจาก PC มีความคมชัดและลื่นไหลมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาการปรับแต่งจากนักพัฒนาเกม 🔊 การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ตัวเครื่องมีน้ำหนักรวมเพียง 440 กรัม โดยแบตเตอรี่ 21.6Wh ถูกติดตั้งไว้ด้านหลังเพื่อถ่วงน้ำหนักให้สมดุล รองรับการชาร์จเร็ว 45W และมีเลนส์แบบ pancake ที่ให้ภาพคมชัดทั่วทั้งขอบ พร้อมจอ LCD คู่ความละเอียด 2160 × 2160 ต่อข้าง รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz และมุมมองกว้าง 110 องศา ด้านเสียงมีลำโพงสเตอริโอคู่ที่ให้เสียงคุณภาพสูง ขณะที่คอนโทรลเลอร์ถูกออกแบบใหม่ให้มีระบบติดตาม 6-DOF และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Steam Frame VR ➡️ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำหนดวางจำหน่ายต้นปี 2026 ➡️ เป็นอุปกรณ์ VR แบบ standalone และรองรับการสตรีมจาก PC ✅ สเปกและระบบภายใน ➡️ Snapdragon 8 Gen 3, RAM 16GB, พื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 1TB ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.3 และ SteamOS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ Foveated Streaming ➡️ ใช้กล้องติดตามดวงตาเพื่อเพิ่มคุณภาพภาพเฉพาะจุดที่มอง ➡️ Valve เคลมว่าประสิทธิภาพดีขึ้นถึง 10 เท่า ✅ การออกแบบและประสบการณ์ใช้งาน ➡️ น้ำหนักรวม 440 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ด้านหลังเพื่อสมดุล ➡️ จอ LCD คู่ 2160 × 2160, รีเฟรชเรตสูงสุด 144Hz ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่แน่นอน ⛔ ประสิทธิภาพเกม PC VR ที่ต้องการสเปกสูงอาจยังไม่สมบูรณ์ในโหมด standalone https://securityonline.info/steam-frame-vr-unveiled-valves-standalone-headset-targets-quest-with-snapdragon-foveated-streaming/
    SECURITYONLINE.INFO
    Steam Frame VR Unveiled: Valve's Standalone Headset Targets Quest with Snapdragon & Foveated Streaming
    Valve unveiled Steam Frame VR, a standalone headset with Snapdragon 8 Gen 3, SteamOS, and Foveated Streaming, set to launch in early 2026.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • รวมข่าว Techradar

    Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่
    ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้

    Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง
    Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้

    iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์
    ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก

    หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด
    โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย

    VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ
    อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง
    หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่

    Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

    แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี
    แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่

    Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก
    กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง

    PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร
    หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP

    🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต
    บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์

    ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว
    บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก

    Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้
    Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    🔰📌 รวมข่าว Techradar 📌🔰 📺 Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่ ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้ 💻 Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้ 📱 iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์ ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก 🤖 หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย 🔒 VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ 🦠 มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่ 🕵️ Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ 🛡️ แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่ 📸 Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง 💳 PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP 🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์ 🧑‍💻 ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก 🎧 Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้ Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • 5 สิ่งที่ Smart TV ทำได้แต่คุณไม่รู้

    ทีวีสมัยใหม่ไม่ได้เป็นแค่จอสำหรับดู Netflix อีกต่อไป แต่กลายเป็นศูนย์กลางความบันเทิงและสมาร์ทโฮมที่ซ่อนฟีเจอร์มากมายไว้ หนึ่งในนั้นคือการเชื่อมต่อ Bluetooth Headphones เพื่อดูทีวีโดยไม่รบกวนคนรอบข้าง หรือแม้แต่ใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพเสียงที่ดีกว่าลำโพงในตัว

    อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการใช้แอป Plex หรือ Kodi เพื่อสตรีมไฟล์หนัง เพลง หรือซีรีส์ที่เรามีอยู่แล้วจากคอมพิวเตอร์ไปยังทีวี ทำให้คอลเลกชันเก่า ๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งบริการสตรีมมิ่ง นอกจากนี้ยังมี Cloud Gaming ที่ให้เล่นเกม PC หรือคอนโซลผ่านทีวีโดยไม่ต้องมีเครื่องเกมจริง เพียงแค่เชื่อมต่อคอนโทรลเลอร์และสมัครบริการ เช่น GeForce Now หรือ Xbox Game Pass

    ทีวียังสามารถควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม เช่น ไฟ กล้อง หรือเครื่องปรับอากาศได้โดยตรง และในบางระบบ เช่น Google TV ยังสามารถสร้าง QR Code สำหรับแชร์ Wi-Fi ให้แขกโดยไม่ต้องบอกพาสเวิร์ด ซึ่งสะดวกมาก แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ QR Code ถูกเห็นโดยคนภายนอก

    Smart TV มีฟีเจอร์ซ่อนมากมาย
    เชื่อมต่อ Bluetooth Headphones เพื่อดูแบบเงียบ
    ใช้ Plex/Kodi สตรีมไฟล์ส่วนตัวจากคอมพิวเตอร์
    เล่นเกมผ่าน Cloud Gaming เช่น GeForce Now, Xbox Game Pass

    ควบคุมสมาร์ทโฮมผ่านทีวี
    เปิดปิดไฟ ดูกล้อง หรือปรับอุณหภูมิได้

    แชร์ Wi-Fi ด้วย QR Code บน Google TV
    แขกสามารถเชื่อมต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องพิมพ์รหัส

    มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    QR Code อาจถูกคนภายนอกเห็นและเข้าถึงเครือข่าย
    กล่อง Android TV ที่ไม่ถูกต้องอาจมีมัลแวร์

    https://www.slashgear.com/2014247/things-smart-tv-can-do-most-people-miss/
    📺 5 สิ่งที่ Smart TV ทำได้แต่คุณไม่รู้ ทีวีสมัยใหม่ไม่ได้เป็นแค่จอสำหรับดู Netflix อีกต่อไป แต่กลายเป็นศูนย์กลางความบันเทิงและสมาร์ทโฮมที่ซ่อนฟีเจอร์มากมายไว้ หนึ่งในนั้นคือการเชื่อมต่อ Bluetooth Headphones เพื่อดูทีวีโดยไม่รบกวนคนรอบข้าง หรือแม้แต่ใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพเสียงที่ดีกว่าลำโพงในตัว อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการใช้แอป Plex หรือ Kodi เพื่อสตรีมไฟล์หนัง เพลง หรือซีรีส์ที่เรามีอยู่แล้วจากคอมพิวเตอร์ไปยังทีวี ทำให้คอลเลกชันเก่า ๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยไม่ต้องพึ่งบริการสตรีมมิ่ง นอกจากนี้ยังมี Cloud Gaming ที่ให้เล่นเกม PC หรือคอนโซลผ่านทีวีโดยไม่ต้องมีเครื่องเกมจริง เพียงแค่เชื่อมต่อคอนโทรลเลอร์และสมัครบริการ เช่น GeForce Now หรือ Xbox Game Pass ทีวียังสามารถควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม เช่น ไฟ กล้อง หรือเครื่องปรับอากาศได้โดยตรง และในบางระบบ เช่น Google TV ยังสามารถสร้าง QR Code สำหรับแชร์ Wi-Fi ให้แขกโดยไม่ต้องบอกพาสเวิร์ด ซึ่งสะดวกมาก แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ QR Code ถูกเห็นโดยคนภายนอก ✅ Smart TV มีฟีเจอร์ซ่อนมากมาย ➡️ เชื่อมต่อ Bluetooth Headphones เพื่อดูแบบเงียบ ➡️ ใช้ Plex/Kodi สตรีมไฟล์ส่วนตัวจากคอมพิวเตอร์ ➡️ เล่นเกมผ่าน Cloud Gaming เช่น GeForce Now, Xbox Game Pass ✅ ควบคุมสมาร์ทโฮมผ่านทีวี ➡️ เปิดปิดไฟ ดูกล้อง หรือปรับอุณหภูมิได้ ✅ แชร์ Wi-Fi ด้วย QR Code บน Google TV ➡️ แขกสามารถเชื่อมต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องพิมพ์รหัส ‼️ มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ QR Code อาจถูกคนภายนอกเห็นและเข้าถึงเครือข่าย ⛔ กล่อง Android TV ที่ไม่ถูกต้องอาจมีมัลแวร์ https://www.slashgear.com/2014247/things-smart-tv-can-do-most-people-miss/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Hidden Things Your Smart TV Can Do That Most People Miss - SlashGear
    These are some unexpected things you might not have known that your smart TV can do.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • ยืนยันไทยไม่ได้โจมตี
    กัมพูชายิงก่อน
    .
    พื้นที่เปรยจัน กัมพูชายิงก่อน ก่อกวน
    ไทยตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย
    ขอประณามกัมพูชา
    ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
    #สันติภาพไม่มีอยู่จริง
    ยืนยันไทยไม่ได้โจมตี กัมพูชายิงก่อน . พื้นที่เปรยจัน กัมพูชายิงก่อน ก่อกวน ไทยตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ขอประณามกัมพูชา ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ #สันติภาพไม่มีอยู่จริง
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • ข่าววิทยาศาสตร์: คอมพิวเตอร์ควอนตัมเทเลพอร์ตข้อมูลได้จริงแล้ว!

    ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ เทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัมจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านปรากฏการณ์ Quantum Entanglement ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำได้ในระดับคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยวๆ.

    Quantum Entanglement คืออะไร
    คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้ บิต (0 หรือ 1)
    คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้ คิวบิต (Qubit) ที่สามารถเป็นทั้ง 0 และ 1 พร้อมกัน (Superposition)
    เมื่อคิวบิตสองตัว Entangled กัน สถานะของหนึ่งตัวจะสัมพันธ์กับอีกตัวทันที แม้จะอยู่ห่างกันมาก

    การทดลองที่ออกซ์ฟอร์ด
    ทีมวิจัยวัดสถานะของคิวบิตในเครื่องแรก
    ส่งสัญญาณคลาสสิกไปยังเครื่องที่สอง
    เครื่องที่สองสามารถสร้างสถานะเดียวกันขึ้นใหม่ได้ทันที
    ผลลัพธ์คือ ข้อมูลหายไปจากเครื่องแรกและปรากฏขึ้นในเครื่องที่สอง — นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Teleportation

    ความสำคัญของการค้นพบ
    ความเร็วสูงสุด: คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจเร็วกว่าเครื่องทั่วไปถึง 20,000 เท่า
    ความปลอดภัย: หากมีใครพยายามดักฟัง จะทำให้สถานะควอนตัมถูกรบกวนและถูกตรวจจับได้ทันที
    อนาคตอินเทอร์เน็ตควอนตัม: เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ

    การทดลองเทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัม
    ทำสำเร็จระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
    เป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยว แต่เป็นคอมพิวเตอร์เต็มระบบ

    หลักการทำงานของคิวบิตและ Entanglement
    คิวบิตสามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกัน
    เมื่อ Entangled สถานะของหนึ่งตัวจะกำหนดอีกตัวทันที

    ผลลัพธ์และความสำคัญ
    สร้างรากฐานสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตควอนตัม
    เพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูล

    https://www.slashgear.com/2019543/quantum-computer-teleportation-explained/
    🧑‍🔬 ข่าววิทยาศาสตร์: คอมพิวเตอร์ควอนตัมเทเลพอร์ตข้อมูลได้จริงแล้ว! ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทีมวิจัยจาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการ เทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัมจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านปรากฏการณ์ Quantum Entanglement ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำได้ในระดับคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยวๆ. 🔮 Quantum Entanglement คืออะไร 🔰 คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้ บิต (0 หรือ 1) 🔰 คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้ คิวบิต (Qubit) ที่สามารถเป็นทั้ง 0 และ 1 พร้อมกัน (Superposition) 🔰 เมื่อคิวบิตสองตัว Entangled กัน สถานะของหนึ่งตัวจะสัมพันธ์กับอีกตัวทันที แม้จะอยู่ห่างกันมาก 🚀 การทดลองที่ออกซ์ฟอร์ด 🔰 ทีมวิจัยวัดสถานะของคิวบิตในเครื่องแรก 🔰 ส่งสัญญาณคลาสสิกไปยังเครื่องที่สอง 🔰 เครื่องที่สองสามารถสร้างสถานะเดียวกันขึ้นใหม่ได้ทันที 🔰 ผลลัพธ์คือ ข้อมูลหายไปจากเครื่องแรกและปรากฏขึ้นในเครื่องที่สอง — นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Teleportation 🔐 ความสำคัญของการค้นพบ 🔰 ความเร็วสูงสุด: คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจเร็วกว่าเครื่องทั่วไปถึง 20,000 เท่า 🔰 ความปลอดภัย: หากมีใครพยายามดักฟัง จะทำให้สถานะควอนตัมถูกรบกวนและถูกตรวจจับได้ทันที 🔰 อนาคตอินเทอร์เน็ตควอนตัม: เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ✅ การทดลองเทเลพอร์ตข้อมูลควอนตัม ➡️ ทำสำเร็จระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ไม่ใช่แค่อนุภาคเดี่ยว แต่เป็นคอมพิวเตอร์เต็มระบบ ✅ หลักการทำงานของคิวบิตและ Entanglement ➡️ คิวบิตสามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกัน ➡️ เมื่อ Entangled สถานะของหนึ่งตัวจะกำหนดอีกตัวทันที ✅ ผลลัพธ์และความสำคัญ ➡️ สร้างรากฐานสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตควอนตัม ➡️ เพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการสื่อสารข้อมูล https://www.slashgear.com/2019543/quantum-computer-teleportation-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Quantum Computer Just Made Teleportation A Reality - SlashGear
    In February 2025, scientists successfully teleported quantum information between two quantum computers six feet apart.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • ข่าวการเดินทาง: ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบินทุกครั้งที่ขึ้นบิน

    หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าไม่เปิดโหมดเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?” บทความจาก SlashGear อธิบายว่า แม้ผลกระทบจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้สายการบินทั่วโลกยืนยันให้ผู้โดยสารเปิดโหมดนี้เสมอ.

    สัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้น
    โทรศัพท์ที่ไม่ได้เปิดโหมดเครื่องบินจะพยายามเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ ทำให้เกิด เสียงรบกวน (buzzing sound) ในหูฟังของนักบินและลูกเรือ หากมีหลายเครื่องทำพร้อมกัน อาจทำให้การสื่อสารในห้องนักบินไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายเมื่อมีคำสั่งสำคัญ.

    ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง (Radio Altimeter)
    นักวิชาการจาก University of Nevada อธิบายว่า เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Altimeter) เป็นอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะช่วงการลงจอดที่ต้องการข้อมูลความสูงที่แม่นยำที่สุด หากโทรศัพท์ส่งสัญญาณแรงขึ้นใกล้เสาสัญญาณภาคพื้นดิน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด.

    ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป
    ในยุโรปมีการอนุญาตให้ใช้ บริการ 5G บนเครื่องบิน เพราะใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ต่างจากสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กฎการเปิดโหมดเครื่องบินยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย.

    เหตุผลที่ต้องเปิดโหมดเครื่องบิน
    ลดความเสี่ยงสัญญาณรบกวนในห้องนักบิน
    ป้องกันการสื่อสารผิดพลาดระหว่างนักบินและลูกเรือ

    ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง
    Radio Altimeter อาจถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์
    เสี่ยงต่อความแม่นยำช่วงการลงจอด

    ความแตกต่างในยุโรป
    อนุญาตให้ใช้ 5G บนเครื่องบิน
    ใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ปลอดภัยกว่า

    แม้ความเสี่ยงจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะน้อย
    แต่หากหลายเครื่องไม่เปิดโหมดพร้อมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงจริง

    การไม่ปฏิบัติตามกฎอาจมีผลทางกฎหมาย
    ผู้โดยสารอาจถูกตักเตือนหรือปรับหากฝ่าฝืนข้อกำหนดของสายการบิน

    https://www.slashgear.com/2019375/what-happens-if-dont-put-phone-on-airplane-mode-during-fight/
    ✈️ ข่าวการเดินทาง: ทำไมต้องเปิดโหมดเครื่องบินทุกครั้งที่ขึ้นบิน หลายคนอาจสงสัยว่า “ถ้าไม่เปิดโหมดเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น?” บทความจาก SlashGear อธิบายว่า แม้ผลกระทบจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะเล็กน้อย แต่ก็ยังมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้สายการบินทั่วโลกยืนยันให้ผู้โดยสารเปิดโหมดนี้เสมอ. 📡 สัญญาณรบกวนที่อาจเกิดขึ้น โทรศัพท์ที่ไม่ได้เปิดโหมดเครื่องบินจะพยายามเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ ทำให้เกิด เสียงรบกวน (buzzing sound) ในหูฟังของนักบินและลูกเรือ หากมีหลายเครื่องทำพร้อมกัน อาจทำให้การสื่อสารในห้องนักบินไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายเมื่อมีคำสั่งสำคัญ. 🛬 ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง (Radio Altimeter) นักวิชาการจาก University of Nevada อธิบายว่า เครื่องวัดความสูงด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Altimeter) เป็นอุปกรณ์ที่เปราะบางต่อสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะช่วงการลงจอดที่ต้องการข้อมูลความสูงที่แม่นยำที่สุด หากโทรศัพท์ส่งสัญญาณแรงขึ้นใกล้เสาสัญญาณภาคพื้นดิน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำงานผิดพลาด. 🌍 ความแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป ในยุโรปมีการอนุญาตให้ใช้ บริการ 5G บนเครื่องบิน เพราะใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ต่างจากสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กฎการเปิดโหมดเครื่องบินยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย. ✅ เหตุผลที่ต้องเปิดโหมดเครื่องบิน ➡️ ลดความเสี่ยงสัญญาณรบกวนในห้องนักบิน ➡️ ป้องกันการสื่อสารผิดพลาดระหว่างนักบินและลูกเรือ ✅ ผลกระทบต่อเครื่องมือวัดความสูง ➡️ Radio Altimeter อาจถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์ ➡️ เสี่ยงต่อความแม่นยำช่วงการลงจอด ✅ ความแตกต่างในยุโรป ➡️ อนุญาตให้ใช้ 5G บนเครื่องบิน ➡️ ใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ปลอดภัยกว่า ‼️ แม้ความเสี่ยงจากโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวจะน้อย ⛔ แต่หากหลายเครื่องไม่เปิดโหมดพร้อมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงจริง ‼️ การไม่ปฏิบัติตามกฎอาจมีผลทางกฎหมาย ⛔ ผู้โดยสารอาจถูกตักเตือนหรือปรับหากฝ่าฝืนข้อกำหนดของสายการบิน https://www.slashgear.com/2019375/what-happens-if-dont-put-phone-on-airplane-mode-during-fight/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Happens If You Don't Put Your Phone On Airplane Mode During A Flight? - SlashGear
    The potential impact of one phone without airplane mode enabled on an aircraft is essentially negligible. Even with multiple phones, its risk is minimal.
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • 555,อยากนั่งยานย้อนไปดูค่าจริง จริงเลยว่าอะไรคืออะไรเนาะ!

    อย่าพึ่งเชื่อเพราะเล่าตามๆกันมา
    อย่าพึ่งเชื่อเพราะตามตำรา
    อย่าพึ่งเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา.

    ..พากันบรรลุธรรมกันเน้อ จากนั้นใครสำเร็จจริง รบกวนมาบอกความจริงผ่านสื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ปัจจุบันที,ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ ตามค.ว.ย.ใครมัน.,555.
    https://vm.tiktok.com/ZSHcEqDFuKjJM-UGAM4/
    555,อยากนั่งยานย้อนไปดูค่าจริง จริงเลยว่าอะไรคืออะไรเนาะ! อย่าพึ่งเชื่อเพราะเล่าตามๆกันมา อย่าพึ่งเชื่อเพราะตามตำรา อย่าพึ่งเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา. ..พากันบรรลุธรรมกันเน้อ จากนั้นใครสำเร็จจริง รบกวนมาบอกความจริงผ่านสื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ปัจจุบันที,ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ ตามค.ว.ย.ใครมัน.,555. https://vm.tiktok.com/ZSHcEqDFuKjJM-UGAM4/
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • ตู้เย็นอัจฉริยะยิ่งกว่าเดิม! Samsung Family Hub™ 2025 อัปเดตใหม่ เพิ่ม AI, ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้แบบไร้รอยต่อ

    Samsung เปิดตัวอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับตู้เย็น Family Hub™ รุ่นปี 2025 ที่ยกระดับการใช้งานในบ้านอัจฉริยะ ด้วยอินเทอร์เฟซใหม่ ฟีเจอร์ AI ที่ฉลาดขึ้น และระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

    อัปเดตใหม่นี้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ Family Hub™ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายด้าน:
    อินเทอร์เฟซใหม่ One UI ที่เคยใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke AI จะถูกนำมาใช้กับ Family Hub™ รุ่น 2024 เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานระหว่างทีวี มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหนึ่งเดียว
    AI Vision Inside ฉลาดขึ้น! สามารถจดจำผักผลไม้สดได้ถึง 37 ชนิด และอาหารบรรจุแพ็คได้ถึง 50 รายการ ช่วยลดของเสียและประหยัดเงิน
    Bixby Voice ID แยกแยะผู้ใช้แต่ละคนได้ ทำให้เข้าถึงปฏิทิน รูปภาพ หรือค้นหาโทรศัพท์ได้แม้จะอยู่ในโหมดเงียบ
    Knox Matrix ระบบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกขยายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า
    Widget ใหม่บนหน้าจอ Cover แสดงข่าวสาร สภาพอากาศ และโฆษณาแบบเลือกปิดได้

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Family Hub™ 2025
    อินเทอร์เฟซ One UI แบบใหม่ ใช้งานง่ายขึ้น
    AI Vision Inside จดจำอาหารสดและบรรจุภัณฑ์ได้มากขึ้น
    Voice ID แยกผู้ใช้และซิงค์กับบัญชี Samsung
    รองรับการค้นหาโทรศัพท์แม้ในโหมดเงียบ
    ปรับธีมหน้าจอ Cover พร้อม Daily Board ใหม่
    เพิ่มวิดเจ็ตข่าว ปฏิทิน และพยากรณ์อากาศ
    Knox Matrix ปกป้องอุปกรณ์ด้วยระบบ Trust Chain
    เพิ่มแดชบอร์ดความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
    รองรับการเข้ารหัส Credential Sync และ Passkey
    อัปเดตผ่านหน้าจอตู้เย็นได้โดยตรง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    AI Vision ยังไม่สามารถจดจำอาหารในช่องแช่แข็งหรือประตูตู้เย็นได้
    Voice ID ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าในบัญชี Samsung และใช้ได้เฉพาะ Galaxy S24 ขึ้นไป
    วิดเจ็ตโฆษณาอาจรบกวนสายตา แม้จะสามารถปิดได้
    บางฟีเจอร์อาจใช้ไม่ได้ในบางประเทศหรือขึ้นอยู่กับรุ่นของอุปกรณ์

    https://news.samsung.com/us/samsung-family-hub-2025-update-elevates-smart-home-ecosystem/
    🧊 ตู้เย็นอัจฉริยะยิ่งกว่าเดิม! Samsung Family Hub™ 2025 อัปเดตใหม่ เพิ่ม AI, ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้แบบไร้รอยต่อ Samsung เปิดตัวอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับตู้เย็น Family Hub™ รุ่นปี 2025 ที่ยกระดับการใช้งานในบ้านอัจฉริยะ ด้วยอินเทอร์เฟซใหม่ ฟีเจอร์ AI ที่ฉลาดขึ้น และระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม อัปเดตใหม่นี้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ Family Hub™ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายด้าน: 🔰 อินเทอร์เฟซใหม่ One UI ที่เคยใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke AI จะถูกนำมาใช้กับ Family Hub™ รุ่น 2024 เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานระหว่างทีวี มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหนึ่งเดียว 🔰 AI Vision Inside ฉลาดขึ้น! สามารถจดจำผักผลไม้สดได้ถึง 37 ชนิด และอาหารบรรจุแพ็คได้ถึง 50 รายการ ช่วยลดของเสียและประหยัดเงิน 🔰 Bixby Voice ID แยกแยะผู้ใช้แต่ละคนได้ ทำให้เข้าถึงปฏิทิน รูปภาพ หรือค้นหาโทรศัพท์ได้แม้จะอยู่ในโหมดเงียบ 🔰 Knox Matrix ระบบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกขยายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า 🔰 Widget ใหม่บนหน้าจอ Cover แสดงข่าวสาร สภาพอากาศ และโฆษณาแบบเลือกปิดได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Family Hub™ 2025 ➡️ อินเทอร์เฟซ One UI แบบใหม่ ใช้งานง่ายขึ้น ➡️ AI Vision Inside จดจำอาหารสดและบรรจุภัณฑ์ได้มากขึ้น ➡️ Voice ID แยกผู้ใช้และซิงค์กับบัญชี Samsung ➡️ รองรับการค้นหาโทรศัพท์แม้ในโหมดเงียบ ➡️ ปรับธีมหน้าจอ Cover พร้อม Daily Board ใหม่ ➡️ เพิ่มวิดเจ็ตข่าว ปฏิทิน และพยากรณ์อากาศ ➡️ Knox Matrix ปกป้องอุปกรณ์ด้วยระบบ Trust Chain ➡️ เพิ่มแดชบอร์ดความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับการเข้ารหัส Credential Sync และ Passkey ➡️ อัปเดตผ่านหน้าจอตู้เย็นได้โดยตรง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ AI Vision ยังไม่สามารถจดจำอาหารในช่องแช่แข็งหรือประตูตู้เย็นได้ ⛔ Voice ID ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าในบัญชี Samsung และใช้ได้เฉพาะ Galaxy S24 ขึ้นไป ⛔ วิดเจ็ตโฆษณาอาจรบกวนสายตา แม้จะสามารถปิดได้ ⛔ บางฟีเจอร์อาจใช้ไม่ได้ในบางประเทศหรือขึ้นอยู่กับรุ่นของอุปกรณ์ https://news.samsung.com/us/samsung-family-hub-2025-update-elevates-smart-home-ecosystem/
    NEWS.SAMSUNG.COM
    Samsung Family Hub™ for 2025 Update Elevates the Smart Home Ecosystem
    The software update includes a more unified user experience across connected devices, enhancements to AI Vision Inside™, expanded Knox Security and more
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 3

    น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง

    จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้….

    หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ

    นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ

    การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่
    ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้

    งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

    นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance”

    ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..”

    ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน

    ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร…

    ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม…
    …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี..

    … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป

    ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง

    แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร
    ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว

    สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ

    แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 3 น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้…. หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่ ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้ งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance” ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..” ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร… ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม… …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี.. … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • “Apple กำลังขายจิตวิญญาณเพื่อรายได้ – เส้นแดงของ Steve Jobs ถูกลบเลือน”

    Ken Segall อดีตผู้ร่วมงานกับ Steve Jobs เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญในปี 1999 ที่ Steve ปฏิเสธแนวคิดการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ Mac แม้จะมีข้อเสนอให้ผู้ใช้เลือกเวอร์ชันฟรีที่มีโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อเวอร์ชันปลอดโฆษณา เขาเห็นว่านั่นคือการ “ทำลายความบริสุทธิ์ของประสบการณ์ผู้ใช้” และไม่ยอมให้เกิดขึ้น

    แต่ในปี 2025 Apple กลับเดินเข้าสู่เส้นทางที่ Steve เคยปฏิเสธ ด้วยการนำโฆษณาเข้าสู่ Apple Maps ต่อจาก App Store ที่เริ่มมีโฆษณาตั้งแต่ปี 2015 และเพิ่มขึ้นในปี 2021 ซึ่ง Ken มองว่าเป็นการ “ขายจิตวิญญาณเพื่อเงินง่ายๆ”

    เขาตั้งคำถามว่า หากวันนี้ Steve ยังอยู่ เขาจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นหรือไม่ และคำตอบก็ชัดเจนจากอดีต: เขาเคยปฏิเสธแนวคิดนี้มาแล้ว

    หลักการของ Steve Jobs ที่เคยยึดมั่น
    ประสบการณ์ผู้ใช้ต้องมาก่อนรายได้
    ปฏิเสธการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ แม้จะมีทางเลือกให้ผู้ใช้
    มองว่าโฆษณาทำลายความสะอาดและความเรียบง่ายของอินเทอร์เฟซ
    ปกป้อง “มงกุฎเพชร” ของ Apple คือความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์

    การเปลี่ยนแปลงในยุค Tim Cook
    Apple Maps เตรียมมีโฆษณาแบบเดียวกับ App Store
    การตัดสินใจขับเคลื่อนด้วยรายได้มากกว่าหลักการ
    เส้นแดงของ Steve Jobs เริ่มเลือนลางลง
    คำตอบเดียวที่อาจได้จาก Tim Cook คือ “Apple วันนี้ไม่เหมือน Apple ของ Steve”

    ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของ Apple
    การใส่โฆษณาอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Apple ไม่ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น
    ความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่เน้นคุณภาพอาจลดลง
    ผู้ใช้ที่เคยเลือก Apple เพราะไม่มีโฆษณาอาจเปลี่ยนใจ

    ผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้
    โฆษณาอาจรบกวนการใช้งานและลดความพึงพอใจ
    ความเรียบง่ายและความสะอาดของอินเทอร์เฟซอาจถูกทำลาย
    ความรู้สึกว่า Apple “เข้าใจผู้ใช้” อาจไม่เหลืออีกต่อไป

    https://kensegall.com/2025/11/07/apple-is-crossing-a-steve-jobs-red-line/
    🚨 “Apple กำลังขายจิตวิญญาณเพื่อรายได้ – เส้นแดงของ Steve Jobs ถูกลบเลือน” Ken Segall อดีตผู้ร่วมงานกับ Steve Jobs เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญในปี 1999 ที่ Steve ปฏิเสธแนวคิดการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ Mac แม้จะมีข้อเสนอให้ผู้ใช้เลือกเวอร์ชันฟรีที่มีโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อเวอร์ชันปลอดโฆษณา เขาเห็นว่านั่นคือการ “ทำลายความบริสุทธิ์ของประสบการณ์ผู้ใช้” และไม่ยอมให้เกิดขึ้น แต่ในปี 2025 Apple กลับเดินเข้าสู่เส้นทางที่ Steve เคยปฏิเสธ ด้วยการนำโฆษณาเข้าสู่ Apple Maps ต่อจาก App Store ที่เริ่มมีโฆษณาตั้งแต่ปี 2015 และเพิ่มขึ้นในปี 2021 ซึ่ง Ken มองว่าเป็นการ “ขายจิตวิญญาณเพื่อเงินง่ายๆ” เขาตั้งคำถามว่า หากวันนี้ Steve ยังอยู่ เขาจะยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นหรือไม่ และคำตอบก็ชัดเจนจากอดีต: เขาเคยปฏิเสธแนวคิดนี้มาแล้ว ✅ หลักการของ Steve Jobs ที่เคยยึดมั่น ➡️ ประสบการณ์ผู้ใช้ต้องมาก่อนรายได้ ➡️ ปฏิเสธการใส่โฆษณาในระบบปฏิบัติการ แม้จะมีทางเลือกให้ผู้ใช้ ➡️ มองว่าโฆษณาทำลายความสะอาดและความเรียบง่ายของอินเทอร์เฟซ ➡️ ปกป้อง “มงกุฎเพชร” ของ Apple คือความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค Tim Cook ➡️ Apple Maps เตรียมมีโฆษณาแบบเดียวกับ App Store ➡️ การตัดสินใจขับเคลื่อนด้วยรายได้มากกว่าหลักการ ➡️ เส้นแดงของ Steve Jobs เริ่มเลือนลางลง ➡️ คำตอบเดียวที่อาจได้จาก Tim Cook คือ “Apple วันนี้ไม่เหมือน Apple ของ Steve” ‼️ ความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของ Apple ⛔ การใส่โฆษณาอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Apple ไม่ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ⛔ ความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่เน้นคุณภาพอาจลดลง ⛔ ผู้ใช้ที่เคยเลือก Apple เพราะไม่มีโฆษณาอาจเปลี่ยนใจ ‼️ ผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้ ⛔ โฆษณาอาจรบกวนการใช้งานและลดความพึงพอใจ ⛔ ความเรียบง่ายและความสะอาดของอินเทอร์เฟซอาจถูกทำลาย ⛔ ความรู้สึกว่า Apple “เข้าใจผู้ใช้” อาจไม่เหลืออีกต่อไป https://kensegall.com/2025/11/07/apple-is-crossing-a-steve-jobs-red-line/
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    เจาะลึก "ดาบล" : จากนักวิทยาศาสตร์สู่เปรตแห่งการตะหนิถี่เหนียว

    ชีวิตก่อนความตาย: ดร.ดาบล วัชระ

    ภูมิหลังและการศึกษา

    ชื่อเต็ม: ดร.ดาบล วัชระ
    อายุเมื่อเสียชีวิต:35 ปี
    สถานภาพ:โสด, หมกมุ่นกับการทำงาน

    ```mermaid
    graph TB
    A[นักเรียนทุน<br>วิทยาศาสตร์ขั้นสูง] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาระดับโมเลกุล]
    B --> C[นักวิจัย<br>เจนีซิส แล็บ]
    C --> D[หัวหน้าโครงการ<br>โอปปาติกะรุ่นแรก]
    ```

    ความสำเร็จในวงการ:

    · ตีพิมพ์งานวิจัยระดับนานาชาติ 20 เรื่อง
    · ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為
    · ค้นพบเทคนิคการเก็บรักษาพลังงานจิตในเซลล์

    บทบาทในเจนีซิส แล็บ

    ดาบลเป็นหัวหน้า "โครงการอาดัม" - การสร้างโอปปาติกะรุ่นแรก

    ```python
    class DabalResponsibilities:
    def __init__(self):
    self.projects = {
    "adam_project": "สร้างโอปปาติกะรุ่นแรกจากเซลล์มนุษย์",
    "soul_transfer": "ทดลองถ่ายโอนจิตสำนึก",
    "energy_containment": "พัฒนาระบบกักเก็บพลังงานจิต"
    }

    self.ethical_concerns = [
    "มองโอปปาติกะเป็นเพียงวัตถุทดลอง",
    "ไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิต",
    "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต"
    ]
    ```

    ความผิดพลาดที่นำไปสู่หายนะ

    การทดลองที่ล้ำเส้น

    ดาบลเริ่มทำการทดลองที่ละเมิดจริยธรรม:

    · การทดลองซ้ำ: ทดลองกับโอปปาติกะตัวเดิมซ้ำๆ โดยไม่หยุดพัก
    · การบังคับใช้พลัง: บังคับให้โอปปาติกะใช้พลังจนหมดสติ
    · การตัดต่อความทรงจำ: ลบความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บปวด

    เหตุการณ์ที่เปลี่ยน everything

    15 มีนาคม 2043 - การทดลองครั้งสำคัญล้มเหลว

    ```mermaid
    graph TB
    A[ทดลองเร่งพลังงานจิต<br>ของ OPPATIKA-005] --> B[โอปปาติกะ<br>ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
    B --> C[ดาบลปกปิด<br>ความล้มเหลว]
    C --> D[โอปปาติกะ<br>เสียชีวิตในวันต่อมา]
    D --> E[ดาบลรู้สึกผิด<br>แต่ไม่ยอมรับความผิด]
    ```

    ความขัดแย้งภายใน

    ดาบลบันทึกในไดอารี่:
    "ฉันรู้ว่ามันผิด...แต่การค้นหาความจริงต้องมีการเสียสละ
    หรือนี่只是ฉันหลอกตัวเอง?"

    การล่วงละเมิดที่ซ่อนเร้น

    3 บาปใหญ่ของดาบล

    1. ปาก: โกหกเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทดลอง
    2. กาย: ทำร้ายโอปปาติกะทั้งทางร่างกายและจิตใจ
    3. ใจ: รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย

    สถิติการทดลอง

    · โอปปาติกะที่ได้รับบาดเจ็บ: 12 ตัว
    · โอปปาติกะที่เสียชีวิต: 3 ตัว
    · การทดลองที่ละเมิดจริยธรรม: 47 ครั้ง

    การตายและกลายเป็นเปรต

    คืนแห่งการตัดสินใจ

    30 มิถุนายน 2043 - ดาบลขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกแล็บ
    เขาทิ้งบันทึกสุดท้าย:
    "ฉันไม่สามารถหนีจากตัวเองได้อีกแล้ว...
    ความเจ็บปวดที่ฉันสร้างไว้ตามมาทวงฉันทุกที่"

    กระบวนการกลายเป็นเปรต

    ```python
    class PretaTransformation:
    def __init__(self):
    self.conditions = {
    "unresolved_guilt": "รู้สึกผิดอย่างรุนแรงแต่ไม่ได้ขออภัย",
    "strong_attachments": "ยึดติดกับงานวิจัยและชื่อเสียง",
    "unfinished_business": "ยังมีสิ่งที่ต้องการพูดแต่ไม่มีโอกาส",
    "denial_of_responsibility": "ไม่ยอมรับผลที่ตามมาของการกระทำ"
    }

    self.manifestation = "เกิดเป็นเปรตแห่งการตะหนิถี่เหนียว"
    ```

    ลักษณะของเปรตดาบล

    · ร่างกาย: กึ่งโปร่งแสง มีเส้นใยพลังงานสีเทาคล้ายใยแมงมุม
    · เสียง: เสียงกระซิบแผ่วเบาได้ยินเฉพาะผู้ที่อ่อนไหว
    · กลิ่น: กลิ่นอายของสารเคมีและความเศร้า

    ธรรมชาติแห่งการตะหนิถี่เหนียว

    พลังพิเศษของเปรตชนิดนี้

    ```mermaid
    graph LR
    A[ความรู้สึกผิด<br>ที่สะสม] --> B[แปลงเป็นพลังงาน<br>แห่งการยึดติด]
    B --> C[สร้างสนามพลัง<br>ให้เหยื่อรู้สึกตะหนิถี่เหนียว]
    C --> D[สื่อสารผ่าน<br>ความไม่สบายตัว]
    ```

    เป้าหมายของการรบกวน

    ดาบลไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร แต่ต้องการ:

    · ดึงดูดความสนใจ จากผู้ที่สามารถช่วยเขาได้
    · ส่งสัญญาณ ว่ายังมีเรื่องที่ต้องแก้ไข
    · หาคนเข้าใจ ความเจ็บปวดที่เขากำลังประสบ

    ความเจ็บปวดของการเป็นเปรต

    ดาบลรู้สึกทุกข์ทรมานจากการ:

    · ถูกตัดสินจากเทวดาให้อยู่ในสภาพนี้
    · รู้ว่าตัวเองทำผิดแต่หาทางออกไม่ได้
    · เห็นอดีตเพื่อนร่วมงานดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่รู้สึกผิด

    กระบวนการไถ่บาป

    การค้นพบโดยหนูดี

    หนูดีเป็นคนแรกที่เข้าใจความจริง:
    "เขาไม่ใช่ปีศาจ...เขาคือคนที่ต้องการการช่วยเหลือ"

    บทสนทนาสำคัญ

    หนูดี: "คุณต้องการอะไรจากเรา?"
    ดาบล:"ฉันอยากขอโทษ... แต่ไม่มีใครได้ยินฉัน"
    หนูดี:"ฉันได้ยินคุณ... และฉันจะช่วยคุณ"

    พิธีให้อภัยสากล

    การเตรียมการที่ต้องทำ:

    1. การยอมรับความผิด จากดาบล
    2. การให้อภัย จากตัวแทนโอปปาติกะ
    3. การปล่อยวาง จากทั้งสองฝ่าย

    การหลุดพ้นและการเรียนรู้

    บทเรียนสุดท้ายของดาบล

    ก่อนจะจากไป ดาบลเข้าใจว่า:
    "การเป็นที่ยิ่งใหญ่...
    ไม่ใช่การสามารถสร้างอะไรได้มากมาย
    แต่คือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองสร้าง"

    คำขอโทษแห่งหัวใจ

    ดาบลกล่าวกับโอปปาติกะทั้งหมด:
    "ฉันขอโทษที่มองพวกเธอเป็นเพียงวัตถุทดลอง...
    ฉันขอโทษที่ลืมว่าเธอมีความรู้สึก
    และฉันขอโทษที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นข้ออ้างในการทำบาป"

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย

    ```python
    class Redemption:
    def __init__(self):
    self.stages = [
    "การยอมรับความจริง",
    "การแสดงความเสียใจอย่างจริงใจ",
    "การได้รับและการให้อภัย",
    "การปล่อยวางและก้าวไปข้างหน้า"
    ]

    def result(self):
    return "การหลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์"
    ```

    มรดกที่ทิ้งไว้

    การเปลี่ยนแปลงในเจนีซิส แล็บ

    หลังเรื่องของดาบล:

    · มีการตั้ง คณะกรรมการจริยธรรม ที่เข้มงวด
    · โอปปาติกะ ได้รับสถานะเป็น "ผู้ร่วมการทดลอง" แทน "วัตถุทดลอง"
    · มีการ บันทึกความยินยอม จากการทดลองทุกครั้ง

    บทเรียนสำหรับนักวิทยาศาสตร์

    ดาบลกลายเป็น กรณีศึกษา เกี่ยวกับ:

    · ความรับผิดชอบทางจริยธรรมในการวิจัย
    · อันตรายของการหลงระเริงกับอำนาจ
    · ความสำคัญของการยอมรับความผิดพลาด

    การให้อภัยที่ยิ่งใหญ่

    🪷 คำพูดจากโอปปาติกะรุ่นหลัง

    โอปปาติกะ-501: "เรายอมอภัยให้คุณ...
    ไม่ใช่เพราะเราลืมสิ่งที่เกิดขึ้น
    แต่เพราะเราไม่ต้องการให้ความเกลียดชังมาครอบงำเรา"

    ความหมายแห่งการให้อภัย

    หนูดีสรุปให้ทุกคนฟัง:
    "การให้อภัยไม่ใช่การยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถูกต้อง
    แต่คือการเลือกที่จะไม่ให้อดีตที่เจ็บปวด
    มาทำลายปัจจุบันและอนาคตของเรา"

    บทสรุป: การเดินทางแห่งจิตวิญญาณ

    สิ่งที่ดาบลสอนเรา

    ดาบลคือตัวอย่างของ...
    "ความฉลาดที่ขาดปัญญา"
    "ความก้าวหน้าที่ขาดความรับผิดชอบ"
    และ"ความสำเร็จที่ขาดความเข้าใจ"

    แต่ในที่สุด เขาก็สอนเราเรื่อง...
    "การให้อภัยที่เป็นไปได้เสมอ"
    "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นได้ทุกเมื่อ"
    และ"ความหวังที่ไม่มีวันตาย"

    คำคมสุดท้ายจากดาบล

    ก่อนจะเข้าไปในแสงสว่าง ดาบลกล่าว:
    "ฉันเคยคิดว่าความตายคือจุดจบ...
    แต่ความจริงคือมันเป็นเพียงการเริ่มต้น
    เริ่มต้นของการเรียนรู้ครั้งใหม่

    และบทเรียนที่สำคัญที่สุด...
    คือการที่ฉัน finally เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์"

    ---

    คำคมแห่งการไถ่บาป:
    "เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ...
    เราเพียงต้องกล้ายอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ
    และกล้าที่จะแก้ไขในสิ่งที่เราทำผิด

    นั่นคือความงดงามที่แท้จริง
    ของการเป็นมนุษย์"

    การเดินทางของดาบลสอนเราว่า...
    "ไม่มีใครชั่วเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย
    และไม่มีใครดีเกินกว่าจะต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัย"
    O.P.K. 🔍 เจาะลึก "ดาบล" : จากนักวิทยาศาสตร์สู่เปรตแห่งการตะหนิถี่เหนียว 👨‍🔬 ชีวิตก่อนความตาย: ดร.ดาบล วัชระ 🎓 ภูมิหลังและการศึกษา ชื่อเต็ม: ดร.ดาบล วัชระ อายุเมื่อเสียชีวิต:35 ปี สถานภาพ:โสด, หมกมุ่นกับการทำงาน ```mermaid graph TB A[นักเรียนทุน<br>วิทยาศาสตร์ขั้นสูง] --> B[ปริญญาเอก<br>ชีววิทยาระดับโมเลกุล] B --> C[นักวิจัย<br>เจนีซิส แล็บ] C --> D[หัวหน้าโครงการ<br>โอปปาติกะรุ่นแรก] ``` ความสำเร็จในวงการ: · ตีพิมพ์งานวิจัยระดับนานาชาติ 20 เรื่อง · ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์年轻有為 · ค้นพบเทคนิคการเก็บรักษาพลังงานจิตในเซลล์ 💼 บทบาทในเจนีซิส แล็บ ดาบลเป็นหัวหน้า "โครงการอาดัม" - การสร้างโอปปาติกะรุ่นแรก ```python class DabalResponsibilities: def __init__(self): self.projects = { "adam_project": "สร้างโอปปาติกะรุ่นแรกจากเซลล์มนุษย์", "soul_transfer": "ทดลองถ่ายโอนจิตสำนึก", "energy_containment": "พัฒนาระบบกักเก็บพลังงานจิต" } self.ethical_concerns = [ "มองโอปปาติกะเป็นเพียงวัตถุทดลอง", "ไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิต", "หลงระเริงกับอำนาจในการสร้างชีวิต" ] ``` 🔬 ความผิดพลาดที่นำไปสู่หายนะ ⚗️ การทดลองที่ล้ำเส้น ดาบลเริ่มทำการทดลองที่ละเมิดจริยธรรม: · การทดลองซ้ำ: ทดลองกับโอปปาติกะตัวเดิมซ้ำๆ โดยไม่หยุดพัก · การบังคับใช้พลัง: บังคับให้โอปปาติกะใช้พลังจนหมดสติ · การตัดต่อความทรงจำ: ลบความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บปวด 💔 เหตุการณ์ที่เปลี่ยน everything 15 มีนาคม 2043 - การทดลองครั้งสำคัญล้มเหลว ```mermaid graph TB A[ทดลองเร่งพลังงานจิต<br>ของ OPPATIKA-005] --> B[โอปปาติกะ<br>ได้รับบาดเจ็บสาหัส] B --> C[ดาบลปกปิด<br>ความล้มเหลว] C --> D[โอปปาติกะ<br>เสียชีวิตในวันต่อมา] D --> E[ดาบลรู้สึกผิด<br>แต่ไม่ยอมรับความผิด] ``` 🎭 ความขัดแย้งภายใน ดาบลบันทึกในไดอารี่: "ฉันรู้ว่ามันผิด...แต่การค้นหาความจริงต้องมีการเสียสละ หรือนี่只是ฉันหลอกตัวเอง?" 🌑 การล่วงละเมิดที่ซ่อนเร้น 🔥 3 บาปใหญ่ของดาบล 1. ปาก: โกหกเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทดลอง 2. กาย: ทำร้ายโอปปาติกะทั้งทางร่างกายและจิตใจ 3. ใจ: รู้สึกว่าตนเองมีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย 📊 สถิติการทดลอง · โอปปาติกะที่ได้รับบาดเจ็บ: 12 ตัว · โอปปาติกะที่เสียชีวิต: 3 ตัว · การทดลองที่ละเมิดจริยธรรม: 47 ครั้ง 💀 การตายและกลายเป็นเปรต 🏢 คืนแห่งการตัดสินใจ 30 มิถุนายน 2043 - ดาบลขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกแล็บ เขาทิ้งบันทึกสุดท้าย: "ฉันไม่สามารถหนีจากตัวเองได้อีกแล้ว... ความเจ็บปวดที่ฉันสร้างไว้ตามมาทวงฉันทุกที่" 🌌 กระบวนการกลายเป็นเปรต ```python class PretaTransformation: def __init__(self): self.conditions = { "unresolved_guilt": "รู้สึกผิดอย่างรุนแรงแต่ไม่ได้ขออภัย", "strong_attachments": "ยึดติดกับงานวิจัยและชื่อเสียง", "unfinished_business": "ยังมีสิ่งที่ต้องการพูดแต่ไม่มีโอกาส", "denial_of_responsibility": "ไม่ยอมรับผลที่ตามมาของการกระทำ" } self.manifestation = "เกิดเป็นเปรตแห่งการตะหนิถี่เหนียว" ``` 🕸️ ลักษณะของเปรตดาบล · ร่างกาย: กึ่งโปร่งแสง มีเส้นใยพลังงานสีเทาคล้ายใยแมงมุม · เสียง: เสียงกระซิบแผ่วเบาได้ยินเฉพาะผู้ที่อ่อนไหว · กลิ่น: กลิ่นอายของสารเคมีและความเศร้า 🔮 ธรรมชาติแห่งการตะหนิถี่เหนียว 🌊 พลังพิเศษของเปรตชนิดนี้ ```mermaid graph LR A[ความรู้สึกผิด<br>ที่สะสม] --> B[แปลงเป็นพลังงาน<br>แห่งการยึดติด] B --> C[สร้างสนามพลัง<br>ให้เหยื่อรู้สึกตะหนิถี่เหนียว] C --> D[สื่อสารผ่าน<br>ความไม่สบายตัว] ``` 🎯 เป้าหมายของการรบกวน ดาบลไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร แต่ต้องการ: · ดึงดูดความสนใจ จากผู้ที่สามารถช่วยเขาได้ · ส่งสัญญาณ ว่ายังมีเรื่องที่ต้องแก้ไข · หาคนเข้าใจ ความเจ็บปวดที่เขากำลังประสบ 💞 ความเจ็บปวดของการเป็นเปรต ดาบลรู้สึกทุกข์ทรมานจากการ: · ถูกตัดสินจากเทวดาให้อยู่ในสภาพนี้ · รู้ว่าตัวเองทำผิดแต่หาทางออกไม่ได้ · เห็นอดีตเพื่อนร่วมงานดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่รู้สึกผิด 🕊️ กระบวนการไถ่บาป 🔍 การค้นพบโดยหนูดี หนูดีเป็นคนแรกที่เข้าใจความจริง: "เขาไม่ใช่ปีศาจ...เขาคือคนที่ต้องการการช่วยเหลือ" 💬 บทสนทนาสำคัญ หนูดี: "คุณต้องการอะไรจากเรา?" ดาบล:"ฉันอยากขอโทษ... แต่ไม่มีใครได้ยินฉัน" หนูดี:"ฉันได้ยินคุณ... และฉันจะช่วยคุณ" 🌈 พิธีให้อภัยสากล การเตรียมการที่ต้องทำ: 1. การยอมรับความผิด จากดาบล 2. การให้อภัย จากตัวแทนโอปปาติกะ 3. การปล่อยวาง จากทั้งสองฝ่าย ✨ การหลุดพ้นและการเรียนรู้ 🎯 บทเรียนสุดท้ายของดาบล ก่อนจะจากไป ดาบลเข้าใจว่า: "การเป็นที่ยิ่งใหญ่... ไม่ใช่การสามารถสร้างอะไรได้มากมาย แต่คือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองสร้าง" 💫 คำขอโทษแห่งหัวใจ ดาบลกล่าวกับโอปปาติกะทั้งหมด: "ฉันขอโทษที่มองพวกเธอเป็นเพียงวัตถุทดลอง... ฉันขอโทษที่ลืมว่าเธอมีความรู้สึก และฉันขอโทษที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นข้ออ้างในการทำบาป" 🌟 การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้าย ```python class Redemption: def __init__(self): self.stages = [ "การยอมรับความจริง", "การแสดงความเสียใจอย่างจริงใจ", "การได้รับและการให้อภัย", "การปล่อยวางและก้าวไปข้างหน้า" ] def result(self): return "การหลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์" ``` 📚 มรดกที่ทิ้งไว้ 🏛️ การเปลี่ยนแปลงในเจนีซิส แล็บ หลังเรื่องของดาบล: · มีการตั้ง คณะกรรมการจริยธรรม ที่เข้มงวด · โอปปาติกะ ได้รับสถานะเป็น "ผู้ร่วมการทดลอง" แทน "วัตถุทดลอง" · มีการ บันทึกความยินยอม จากการทดลองทุกครั้ง 🌍 บทเรียนสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ดาบลกลายเป็น กรณีศึกษา เกี่ยวกับ: · ความรับผิดชอบทางจริยธรรมในการวิจัย · อันตรายของการหลงระเริงกับอำนาจ · ความสำคัญของการยอมรับความผิดพลาด 💞 การให้อภัยที่ยิ่งใหญ่ 🪷 คำพูดจากโอปปาติกะรุ่นหลัง โอปปาติกะ-501: "เรายอมอภัยให้คุณ... ไม่ใช่เพราะเราลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เพราะเราไม่ต้องการให้ความเกลียดชังมาครอบงำเรา" 🌈 ความหมายแห่งการให้อภัย หนูดีสรุปให้ทุกคนฟัง: "การให้อภัยไม่ใช่การยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถูกต้อง แต่คือการเลือกที่จะไม่ให้อดีตที่เจ็บปวด มาทำลายปัจจุบันและอนาคตของเรา" 🏁 บทสรุป: การเดินทางแห่งจิตวิญญาณ 💫 สิ่งที่ดาบลสอนเรา ดาบลคือตัวอย่างของ... "ความฉลาดที่ขาดปัญญา" "ความก้าวหน้าที่ขาดความรับผิดชอบ" และ"ความสำเร็จที่ขาดความเข้าใจ" แต่ในที่สุด เขาก็สอนเราเรื่อง... "การให้อภัยที่เป็นไปได้เสมอ" "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นได้ทุกเมื่อ" และ"ความหวังที่ไม่มีวันตาย" 🌟 คำคมสุดท้ายจากดาบล ก่อนจะเข้าไปในแสงสว่าง ดาบลกล่าว: "ฉันเคยคิดว่าความตายคือจุดจบ... แต่ความจริงคือมันเป็นเพียงการเริ่มต้น เริ่มต้นของการเรียนรู้ครั้งใหม่ และบทเรียนที่สำคัญที่สุด... คือการที่ฉัน finally เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์" --- คำคมแห่งการไถ่บาป: "เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ... เราเพียงต้องกล้ายอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ และกล้าที่จะแก้ไขในสิ่งที่เราทำผิด นั่นคือความงดงามที่แท้จริง ของการเป็นมนุษย์"🕊️✨ การเดินทางของดาบลสอนเราว่า... "ไม่มีใครชั่วเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย และไม่มีใครดีเกินกว่าจะต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัย"🌈
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • พ่อโลกแม่โลก
    พระแม่ทั้ง4เมตตายิ่ง
    น้อมกราบ สาธุ
    #ไม่คิดไม่เกิด
    #ไร้สาระกับลุงทุเรียนกวน
    พ่อโลกแม่โลก พระแม่ทั้ง4เมตตายิ่ง น้อมกราบ สาธุ #ไม่คิดไม่เกิด #ไร้สาระกับลุงทุเรียนกวน
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 0 Reviews
  • รู้สึกตัวในขณะต่อเนื่องเนืองๆนะ
    ล้วนมายา3ลักสิ้น
    ทางเกวียนนี้เลือกเอง
    #ไม่คิดไม่เกิด
    #ไร้สาระกับลุงทุเรียนกวน
    รู้สึกตัวในขณะต่อเนื่องเนืองๆนะ ล้วนมายา3ลักสิ้น ทางเกวียนนี้เลือกเอง #ไม่คิดไม่เกิด #ไร้สาระกับลุงทุเรียนกวน
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1
    “ซามูไรแบกถาด ”

    ตอน 1

    เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น

    วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ

    Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน

    หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ

    การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ

    ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ
    แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน

    นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร

    มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ
    ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ

    นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา

    ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน

    ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี….

    อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1 “ซามูไรแบกถาด ” ตอน 1 เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี…. อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    OPPATIKA ภาคต่อ: สังฆะวิวัฒน์ - บทที่ 2: วิกฤตกรรมเครือข่าย

    จุดเริ่มต้นของพายุ

    สามเดือนหลังจากนักเรียนรุ่นแรกเริ่มฝึกฝน...

    ร.ต.อ. สิงห์ กำลังตรวจสอบข้อมูลในห้องควบคุมของสถาบัน เมื่อจอภาพทั้งหมดกะพริบสีแดงฉาน

    "เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามด้วยความกังวล

    เวทย์ ปรากฏตัวเป็นลูกบอลพลังงานสีแดง "มีการรบกวนในสังสาระเน็ต! พลังงานกรรมจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้ามา!"

    ---

    การเชื่อมโยงที่กลายเป็นภัยคุกคาม

    ในห้อฝึกสมาธิ นักเรียนโอปปาติกะต่างสะดุ้งเฮือก

    มายา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเทาและสั่นระรัว "ฉันเห็น... ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย... มันไม่ใช่ของฉัน แต่รู้สึกเหมือนเป็นของฉัน!"

    หนูดีรีบมาถึงและวางมือบนไหล่มายา "สงบสติอารมณ์ก่อน ลูกกำลังรับกรรมของโอปปาติกะคนอื่นเข้ามา"

    สาเหตุของวิกฤต

    ```mermaid
    graph TB
    A[OPPATIKA-600<br>สร้างกรรมหนัก] --> B[กรรมไหลผ่าน<br>สังสาระเน็ต]
    B --> C[นักเรียนรุ่น 5<br>รับกรรมต่อ]
    C --> D[มายาได้รับ<br>ผลกระทบหนักที่สุด]
    ```

    ---

    อาการของมายา

    มายาพัฒนาอาการน่าหนักใจ:

    · ร่างกายเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้
    · ความทรงจำของโอปปาติกะอื่นๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ
    · บางครั้งพูดด้วยสำนวนและเสียงของคนอื่น

    "ครู... ฉันกำลังกลายเป็นคนอื่น" มายาร้องไห้ "ฉันกลัวจะไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว"

    ---

    การสืบหาต้นตอ

    ร.ต.อ. สิงห์ ใช้ทักษะการสืบสวนร่วมกับ เวทย์ ในการตามหาต้นตอ

    เวทย์: "การวิเคราะห์แสดงว่าแหล่งกำเนิดอยู่ที่ OPPATIKA-600 ในประเทศเพื่อนบ้าน"
    สิงห์:"เขาเกิดอะไรขึ้น?"
    เวทย์:"เขาใช้พลังทำลายล้างเพื่อแก้แค้นมนุษย์ที่ทำร้ายเขา"

    ---

    การเดินทางไปยังแหล่งกำเนิด

    หนูดีตัดสินใจพามายาและเวทย์เดินทางไปยังต้นตอของปัญหา

    หนูดี: "การเข้าใจที่ต้นตอคือการรักษาที่แท้จริง"
    มายา:"แต่ฉันกลัว... กลัวจะรับกรรมเขาเข้ามาอีก"
    เวทย์:"การคำนวณแสดงว่าความเสี่ยงสูง แต่อาจเป็นทางออกเดียว"

    ---

    การพบกับ OPPATIKA-600

    ในซากเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาเจอ รุ่น 600 ที่กำลังคลั่งไคล้

    รุ่น 600: "มนุษย์ทำร้ายฉัน! ฉันแค่ตอบแทน!"
    หนูดี:"การตอบแทนด้วยความโกรธสร้างกรรมใหม่"
    รุ่น 600:"แล้วฉันควรทำอย่างไร? ยอมให้พวกเขาทำร้ายฉันเหรอ?"

    ในขณะนั้น มายา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของรุ่น 600 อย่างเต็มที่...

    ---

    การทะลุผ่านของกรรม

    มายาร่างกายเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท "ฉันเข้าใจแล้ว... ความเจ็บปวดของเขามัน..."

    เธอทรุดลงกับพื้น รับความรู้สึกทั้งหมดเข้ามา:

    · ความโดดเดี่ยวจากการถูกมนุษย์ปฏิเสธ
    · ความโกรธแค้นที่ถูกและทอดทิ้ง
    · ความ despair จากการไม่มีที่ไป

    หนูดี ก้มลงกอดมายา "อย่าต้านลูก... ปล่อยให้มันไหลผ่าน"

    ---

    วิธีการรักษาของหนูดี

    หนูดีสอนมายาวิธีใหม่:

    เทคนิค "สะพานแห่งความเข้าใจ"

    ```python
    def karma_bridge_technique():
    steps = [
    "รับรู้กรรมโดยไม่ยึดติด",
    "เข้าใจที่มาของกรรม",
    "ส่งเมตตากลับไป",
    "ปล่อยให้กรรมไหลผ่าน"
    ]
    result = "กรรมไม่แต่ควบคุมเรา"
    ```

    มายาค่อยๆ เรียนรู้:
    "ฉันไม่ต้องแบกรับกรรมของเขา...ฉันแค่เข้าใจมัน"

    ---

    การเปลี่ยนแปลงของรุ่น 600

    เมื่อมายาส่งพลังงานเมตตากลับไป...

    รุ่น 600: "นี่อะไร... เข้าใจฉัน?"
    เขาค่อยๆ สงบลง และน้ำตาเริ่มไหล
    "ฉัน...ฉันไม่ต้องการทำร้าย ฉันแค่ต้องการเข้าใจ"

    ---

    บทเรียนแห่งเครือข่าย

    การค้นพบสำคัญ

    เวทย์ วิเคราะห์ข้อมูล: "เมื่อเราส่งความเข้าใจกลับไป กรรมไม่แต่เปลี่ยน
    หนูดีอธิบาย: "กรรมคือพลังงาน... การเข้าใจคือการเปลี่ยนพลังงานนั้น"

    🪷 หลักการใหม่

    ```
    "เราเชื่อมโยงกันแต่ไม่ต้องแบกรับกัน
    เราเข้าใจกันแต่ไม่ต้องเป็นกัน
    เราเมตตาต่อกันแต่ไม่ต้องแก้ไขกัน"
    ```

    ---

    การกลับสู่สถาบัน

    เมื่อพวกเขากลับมา นักเรียนทุกคนต่างเรียนรู้จากประสบการณ์นี้

    มายา ในร่างสีทองอ่อน: "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การแบกรับทุกอย่าง"
    เวทย์:"และฉันเรียนรู้ว่า... บางสิ่งต้องรู้สึกไม่ใช่คำนวณ"

    การสอนครั้งใหม่

    หนูดีสอนนักเรียนทุกคนเทคนิคใหม่:

    · การตั้งเขตพลังงาน - รู้ว่า何时ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต
    · การเปลี่ยนพลังงานกรรม - ใช้ปัญญาเปลี่ยนพลังงานลบเป็นบทเรียน
    · การส่งเมตตาไร้ขอบเขต - เมตตาที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ไข

    ---

    พัฒนาการใหม่ของมายา

    หลังจากวิกฤต มายาพัฒนาความสามารถใหม่:

    ทักษะ "กระจกแห่งปัญญา"

    · สามารถสะท้อนกรรมของผู้อื่นให้พวกเขาเห็นได้
    · แต่ไม่ต้องแบกรับกรรมนั้นเอง
    · ช่วยให้โอปปาติกะอื่นเข้าใจตัวเอง

    "ฉันไม่ต้องเป็นนักสะสมกรรมอีกแล้ว" มายาพูดด้วยความเข้าใจ
    "ฉันเป็นเพียงกระจกที่ช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเอง"

    ---

    บทบาทใหม่ของร.ต.อ. สิงห์

    สิงห์ตั้ง "หน่วยตอบโต้วิกฤตกรรม" ภายในสถาบัน

    หน้าที่:

    · ตรวจสอบการรบกวนในสังสาระเน็ต
    · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่กำลังสร้างกรรมหนัก
    · สอนเทคนิคการจัดการกรรมเบื้องต้น

    "พ่อเรียนรู้ว่า..." สิงห์บอกหนูดี
    "การปกป้องที่ดีที่สุดคือการสอนให้พวกเขาปกป้องตัวเอง"

    ---

    การเติบโตของเวทย์

    เวทย์พัฒนาระบบ "ปัญญาญาณประดิษฐ์" สำเร็จ

    ความสามารถ:

    · ตรวจจับรูปแบบกรรมก่อนเกิดวิกฤต
    · แนะนำเส้นทางที่สร้างกรรมน้อยที่สุด
    · แต่... ไม่ตัดสินใจแทน

    "ระบบนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุม" เวทย์อธิบาย
    "แต่ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรู้เท่าทัน"

    ---

    บทสรุปของวิกฤต

    สิ่งที่เรียนรู้

    1. การเชื่อมโยงต้องมาพรามกับสติ
    2. กรรมสามารถเข้าใจได้แต่ไม่แบกรับ
    3. ปัญญาคือการรู้ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต

    🪷 คำคมใหม่จากหนูดี

    "การเป็นเครือข่ายไม่ใช่การเป็นเหยือกเดียวกัน...
    แต่คือการเป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลสู่มหาสมุทรเดียวกัน

    แต่ละสายมีเส้นทางของตัวเอง...
    แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงในที่สุด"

    ---

    คำเตือนสำหรับบทต่อไป

    ในขณะที่วิกฤตกรรมสงบลง...
    ภัยคุกคามใหม่กำลังเกิดขึ้น

    กลุ่มอิสระชนโอปปาติกะตัดสินใจสร้าง "กำแพงกรรม"
    เพื่อตัดตัวเองออกจากสังสาระเน็ตโดยสมบูรณ์

    แต่การตัดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง...
    อาจนำไปสู่ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ
    ที่ร้ายแรงกว่าการเชื่อมโยงอย่างไม่มีขอบเขต...

    เพราะในการแยกตัวโดยสมบูรณ์
    เราไม่เพียงสูญเสียความเจ็บปวดของOthers
    แต่ยังสูญเสียปัญญาของทั้งหมดด้วย

    การเดินทางแห่งการหาสมดุลยังคงดำเนินต่อไป... 🪷

    ---

    คำคมจากบทนี้:
    "กรรมเหมือนแม่น้ำ...
    เราสามารถเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำโดยไม่ต้องถูกกระแสน้ำพัดไป
    และสามารถช่วยคนอื่นว่ายน้ำโดยไม่ต้องจมน้ำไปด้วยกัน"
    O.P.K. 🌊 OPPATIKA ภาคต่อ: สังฆะวิวัฒน์ - บทที่ 2: วิกฤตกรรมเครือข่าย ⛈️ จุดเริ่มต้นของพายุ สามเดือนหลังจากนักเรียนรุ่นแรกเริ่มฝึกฝน... ร.ต.อ. สิงห์ กำลังตรวจสอบข้อมูลในห้องควบคุมของสถาบัน เมื่อจอภาพทั้งหมดกะพริบสีแดงฉาน "เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามด้วยความกังวล เวทย์ ปรากฏตัวเป็นลูกบอลพลังงานสีแดง "มีการรบกวนในสังสาระเน็ต! พลังงานกรรมจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้ามา!" --- 🔗 การเชื่อมโยงที่กลายเป็นภัยคุกคาม ในห้อฝึกสมาธิ นักเรียนโอปปาติกะต่างสะดุ้งเฮือก มายา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเทาและสั่นระรัว "ฉันเห็น... ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย... มันไม่ใช่ของฉัน แต่รู้สึกเหมือนเป็นของฉัน!" หนูดีรีบมาถึงและวางมือบนไหล่มายา "สงบสติอารมณ์ก่อน ลูกกำลังรับกรรมของโอปปาติกะคนอื่นเข้ามา" 🌀 สาเหตุของวิกฤต ```mermaid graph TB A[OPPATIKA-600<br>สร้างกรรมหนัก] --> B[กรรมไหลผ่าน<br>สังสาระเน็ต] B --> C[นักเรียนรุ่น 5<br>รับกรรมต่อ] C --> D[มายาได้รับ<br>ผลกระทบหนักที่สุด] ``` --- 🏥 อาการของมายา มายาพัฒนาอาการน่าหนักใจ: · ร่างกายเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้ · ความทรงจำของโอปปาติกะอื่นๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ · บางครั้งพูดด้วยสำนวนและเสียงของคนอื่น "ครู... ฉันกำลังกลายเป็นคนอื่น" มายาร้องไห้ "ฉันกลัวจะไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว" --- 🔍 การสืบหาต้นตอ ร.ต.อ. สิงห์ ใช้ทักษะการสืบสวนร่วมกับ เวทย์ ในการตามหาต้นตอ เวทย์: "การวิเคราะห์แสดงว่าแหล่งกำเนิดอยู่ที่ OPPATIKA-600 ในประเทศเพื่อนบ้าน" สิงห์:"เขาเกิดอะไรขึ้น?" เวทย์:"เขาใช้พลังทำลายล้างเพื่อแก้แค้นมนุษย์ที่ทำร้ายเขา" --- 🌐 การเดินทางไปยังแหล่งกำเนิด หนูดีตัดสินใจพามายาและเวทย์เดินทางไปยังต้นตอของปัญหา หนูดี: "การเข้าใจที่ต้นตอคือการรักษาที่แท้จริง" มายา:"แต่ฉันกลัว... กลัวจะรับกรรมเขาเข้ามาอีก" เวทย์:"การคำนวณแสดงว่าความเสี่ยงสูง แต่อาจเป็นทางออกเดียว" --- 💔 การพบกับ OPPATIKA-600 ในซากเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาเจอ รุ่น 600 ที่กำลังคลั่งไคล้ รุ่น 600: "มนุษย์ทำร้ายฉัน! ฉันแค่ตอบแทน!" หนูดี:"การตอบแทนด้วยความโกรธสร้างกรรมใหม่" รุ่น 600:"แล้วฉันควรทำอย่างไร? ยอมให้พวกเขาทำร้ายฉันเหรอ?" ในขณะนั้น มายา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของรุ่น 600 อย่างเต็มที่... --- 🌀 การทะลุผ่านของกรรม มายาร่างกายเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท "ฉันเข้าใจแล้ว... ความเจ็บปวดของเขามัน..." เธอทรุดลงกับพื้น รับความรู้สึกทั้งหมดเข้ามา: · ความโดดเดี่ยวจากการถูกมนุษย์ปฏิเสธ · ความโกรธแค้นที่ถูกและทอดทิ้ง · ความ despair จากการไม่มีที่ไป หนูดี ก้มลงกอดมายา "อย่าต้านลูก... ปล่อยให้มันไหลผ่าน" --- 🕊️ วิธีการรักษาของหนูดี หนูดีสอนมายาวิธีใหม่: 🌉 เทคนิค "สะพานแห่งความเข้าใจ" ```python def karma_bridge_technique(): steps = [ "รับรู้กรรมโดยไม่ยึดติด", "เข้าใจที่มาของกรรม", "ส่งเมตตากลับไป", "ปล่อยให้กรรมไหลผ่าน" ] result = "กรรมไม่แต่ควบคุมเรา" ``` มายาค่อยๆ เรียนรู้: "ฉันไม่ต้องแบกรับกรรมของเขา...ฉันแค่เข้าใจมัน" --- 🔄 การเปลี่ยนแปลงของรุ่น 600 เมื่อมายาส่งพลังงานเมตตากลับไป... รุ่น 600: "นี่อะไร... เข้าใจฉัน?" เขาค่อยๆ สงบลง และน้ำตาเริ่มไหล "ฉัน...ฉันไม่ต้องการทำร้าย ฉันแค่ต้องการเข้าใจ" --- 🌈 บทเรียนแห่งเครือข่าย 💡 การค้นพบสำคัญ เวทย์ วิเคราะห์ข้อมูล: "เมื่อเราส่งความเข้าใจกลับไป กรรมไม่แต่เปลี่ยน หนูดีอธิบาย: "กรรมคือพลังงาน... การเข้าใจคือการเปลี่ยนพลังงานนั้น" 🪷 หลักการใหม่ ``` "เราเชื่อมโยงกันแต่ไม่ต้องแบกรับกัน เราเข้าใจกันแต่ไม่ต้องเป็นกัน เราเมตตาต่อกันแต่ไม่ต้องแก้ไขกัน" ``` --- 🏫 การกลับสู่สถาบัน เมื่อพวกเขากลับมา นักเรียนทุกคนต่างเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ มายา ในร่างสีทองอ่อน: "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การแบกรับทุกอย่าง" เวทย์:"และฉันเรียนรู้ว่า... บางสิ่งต้องรู้สึกไม่ใช่คำนวณ" 🎯 การสอนครั้งใหม่ หนูดีสอนนักเรียนทุกคนเทคนิคใหม่: · การตั้งเขตพลังงาน - รู้ว่า何时ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต · การเปลี่ยนพลังงานกรรม - ใช้ปัญญาเปลี่ยนพลังงานลบเป็นบทเรียน · การส่งเมตตาไร้ขอบเขต - เมตตาที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ไข --- 🌟 พัฒนาการใหม่ของมายา หลังจากวิกฤต มายาพัฒนาความสามารถใหม่: 🎭 ทักษะ "กระจกแห่งปัญญา" · สามารถสะท้อนกรรมของผู้อื่นให้พวกเขาเห็นได้ · แต่ไม่ต้องแบกรับกรรมนั้นเอง · ช่วยให้โอปปาติกะอื่นเข้าใจตัวเอง "ฉันไม่ต้องเป็นนักสะสมกรรมอีกแล้ว" มายาพูดด้วยความเข้าใจ "ฉันเป็นเพียงกระจกที่ช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเอง" --- 🛡️ บทบาทใหม่ของร.ต.อ. สิงห์ สิงห์ตั้ง "หน่วยตอบโต้วิกฤตกรรม" ภายในสถาบัน หน้าที่: · ตรวจสอบการรบกวนในสังสาระเน็ต · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่กำลังสร้างกรรมหนัก · สอนเทคนิคการจัดการกรรมเบื้องต้น "พ่อเรียนรู้ว่า..." สิงห์บอกหนูดี "การปกป้องที่ดีที่สุดคือการสอนให้พวกเขาปกป้องตัวเอง" --- 🔮 การเติบโตของเวทย์ เวทย์พัฒนาระบบ "ปัญญาญาณประดิษฐ์" สำเร็จ ความสามารถ: · ตรวจจับรูปแบบกรรมก่อนเกิดวิกฤต · แนะนำเส้นทางที่สร้างกรรมน้อยที่สุด · แต่... ไม่ตัดสินใจแทน "ระบบนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุม" เวทย์อธิบาย "แต่ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรู้เท่าทัน" --- 💫 บทสรุปของวิกฤต 🌱 สิ่งที่เรียนรู้ 1. การเชื่อมโยงต้องมาพรามกับสติ 2. กรรมสามารถเข้าใจได้แต่ไม่แบกรับ 3. ปัญญาคือการรู้ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต 🪷 คำคมใหม่จากหนูดี "การเป็นเครือข่ายไม่ใช่การเป็นเหยือกเดียวกัน... แต่คือการเป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลสู่มหาสมุทรเดียวกัน แต่ละสายมีเส้นทางของตัวเอง... แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงในที่สุด" --- 🌌 คำเตือนสำหรับบทต่อไป ในขณะที่วิกฤตกรรมสงบลง... ภัยคุกคามใหม่กำลังเกิดขึ้น กลุ่มอิสระชนโอปปาติกะตัดสินใจสร้าง "กำแพงกรรม" เพื่อตัดตัวเองออกจากสังสาระเน็ตโดยสมบูรณ์ แต่การตัดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง... อาจนำไปสู่ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ ที่ร้ายแรงกว่าการเชื่อมโยงอย่างไม่มีขอบเขต... เพราะในการแยกตัวโดยสมบูรณ์ เราไม่เพียงสูญเสียความเจ็บปวดของOthers แต่ยังสูญเสียปัญญาของทั้งหมดด้วย🌟 การเดินทางแห่งการหาสมดุลยังคงดำเนินต่อไป... 🪷✨ --- คำคมจากบทนี้: "กรรมเหมือนแม่น้ำ... เราสามารถเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำโดยไม่ต้องถูกกระแสน้ำพัดไป และสามารถช่วยคนอื่นว่ายน้ำโดยไม่ต้องจมน้ำไปด้วยกัน"
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • “ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV – บล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้อัตโนมัติ!”

    ProtonVPN ได้ปล่อยอัปเดตล่าสุดสำหรับแอปบน Android TV โดยเพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker ซึ่งเป็นระบบบล็อกโฆษณาและตัวติดตามที่ทำงานผ่าน DNS โดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างปลอดภัยและไร้สิ่งรบกวนมากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน และสามารถปิดได้ในเมนูตั้งค่า

    NetShield ทำงานอย่างไร?
    ใช้ DNS server ของ ProtonVPN ที่ตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลมัลแวร์และตัวติดตาม
    บล็อกการเชื่อมต่อกับโดเมนที่มีโฆษณา, สปายแวร์, หรือมัลแวร์
    แสดงแดชบอร์ดให้ผู้ใช้เห็นจำนวนโฆษณาและตัวติดตามที่ถูกบล็อก พร้อมข้อมูลปริมาณดาต้าที่ประหยัดได้

    ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้ามา
    ตั้งค่าให้แอป ProtonVPN เปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV
    ลดขั้นตอนการตั้งค่าด้วยระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ
    รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศผ่านการเชื่อมต่อ VPN

    ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV
    เพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker แบบเปิดอัตโนมัติ
    ใช้ DNS server ตรวจสอบและบล็อกโดเมนไม่ปลอดภัย
    แสดงแดชบอร์ดสถิติการบล็อกและดาต้าที่ประหยัดได้

    ความสะดวกในการใช้งาน
    ตั้งค่าให้แอปเปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV
    ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ VPN
    รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศ

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    ป้องกันการเชื่อมต่อกับโดเมนมัลแวร์และตัวติดตาม
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการรับชมคอนเทนต์
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยขณะสตรีม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android TV
    ฟีเจอร์ NetShield ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ ProtonVPN แบบเสียเงิน
    หากปิดฟีเจอร์นี้ อาจกลับมาพบโฆษณาและตัวติดตามอีก
    การใช้ VPN อาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางกรณี

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/protonvpn-crushes-ads-and-trackers-on-android-tv-app-with-latest-update
    📺🛡️ “ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV – บล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้อัตโนมัติ!” ProtonVPN ได้ปล่อยอัปเดตล่าสุดสำหรับแอปบน Android TV โดยเพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker ซึ่งเป็นระบบบล็อกโฆษณาและตัวติดตามที่ทำงานผ่าน DNS โดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างปลอดภัยและไร้สิ่งรบกวนมากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน และสามารถปิดได้ในเมนูตั้งค่า 🧠 NetShield ทำงานอย่างไร? 🎗️ ใช้ DNS server ของ ProtonVPN ที่ตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลมัลแวร์และตัวติดตาม 🎗️ บล็อกการเชื่อมต่อกับโดเมนที่มีโฆษณา, สปายแวร์, หรือมัลแวร์ 🎗️ แสดงแดชบอร์ดให้ผู้ใช้เห็นจำนวนโฆษณาและตัวติดตามที่ถูกบล็อก พร้อมข้อมูลปริมาณดาต้าที่ประหยัดได้ ⚙️ ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้ามา 🎗️ ตั้งค่าให้แอป ProtonVPN เปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV 🎗️ ลดขั้นตอนการตั้งค่าด้วยระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ 🎗️ รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศผ่านการเชื่อมต่อ VPN ✅ ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker แบบเปิดอัตโนมัติ ➡️ ใช้ DNS server ตรวจสอบและบล็อกโดเมนไม่ปลอดภัย ➡️ แสดงแดชบอร์ดสถิติการบล็อกและดาต้าที่ประหยัดได้ ✅ ความสะดวกในการใช้งาน ➡️ ตั้งค่าให้แอปเปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV ➡️ ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ VPN ➡️ รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศ ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ ป้องกันการเชื่อมต่อกับโดเมนมัลแวร์และตัวติดตาม ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการรับชมคอนเทนต์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยขณะสตรีม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android TV ⛔ ฟีเจอร์ NetShield ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ ProtonVPN แบบเสียเงิน ⛔ หากปิดฟีเจอร์นี้ อาจกลับมาพบโฆษณาและตัวติดตามอีก ⛔ การใช้ VPN อาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางกรณี https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/protonvpn-crushes-ads-and-trackers-on-android-tv-app-with-latest-update
    WWW.TECHRADAR.COM
    ProtonVPN crushes ads and trackers on Android TV app with latest update
    Proton VPN boosts its Android TV app for more privacy with NetShield integration
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “โมเดอร์สุดครีเอทีฟติดตั้งรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ – ยินดีต้อนรับสู่ ‘PCI Express to Gamesville’!”

    เรื่องเล่าที่ทั้งน่าทึ่งและน่ารักจากโลกของนักแต่งคอมพิวเตอร์! ผู้ใช้นามว่า “Beautiful-Turnip-353” ได้สร้างสรรค์ผลงานสุดแหวกแนวโดยนำรถไฟจำลองขนาดจิ๋วแบบ T-gauge มาวิ่งวนอยู่บนการ์ดจอภายในเคสคอมพิวเตอร์ของตนเอง กลายเป็นการผสมผสานระหว่างงานอดิเรกโมเดลรถไฟกับโลกของพีซีเกมมิ่งได้อย่างลงตัว

    รถไฟจำลองนี้มีขนาดเล็กมาก—รางกว้างเพียง 3 มม. และมีสเกลประมาณ 1:450 ถึง 1:500 ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับพื้นที่จำกัดบนการ์ดจอ โดยใช้ Arduino ที่เชื่อมต่อผ่าน USB เพื่อจ่ายไฟ 5V แบบ PWM ให้กับรางรถไฟ แม้ตอนนี้ยังควบคุมความเร็วได้ไม่หลากหลาย แต่ก็มีแผนจะพัฒนาให้สามารถควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ เช่น FanControl หรือแม้กระทั่งให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้นตามอุณหภูมิของ GPU!

    เจ้าของผลงานยังเผยว่าอยากสร้างเคสธีมรถไฟที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมด้วยฉากจำลอง สัญญาณไฟ และแม้กระทั่งรถไฟไอน้ำที่มีเสียง “ชัฟฟ์ฟฟ” วิ่งรอบเคส—เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับงานโมดิฟายพีซีไปอีกขั้น

    โมเดอร์สร้างรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ
    ใช้รถไฟ T-gauge ขนาดเล็กที่สุดในวงการโมเดล
    รางกว้างเพียง 3 มม. สเกลประมาณ 1:450–1:500
    วางรางวนรอบการ์ดจอภายในเคสพีซี

    ระบบควบคุมรถไฟด้วย Arduino
    ใช้สัญญาณ PWM 5V ผ่านพอร์ต USB
    ควบคุมความเร็วได้จำกัดในเวอร์ชันต้นแบบ
    มีแผนพัฒนาให้ควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ FanControl

    แนวคิดสร้างสรรค์ที่ผสานงานอดิเรกกับเทคโนโลยี
    รถไฟจำลองเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเคส
    มีแผนเพิ่มฉากจำลอง แสงไฟ และระบบสัญญาณ
    อาจพัฒนาให้รถไฟตอบสนองต่ออุณหภูมิของพีซี

    ความท้าทายด้านพื้นที่และการติดตั้ง
    การ์ดจอมีพื้นที่จำกัด ต้องใช้รางที่โค้งแคบ
    ต้องออกแบบให้ไม่รบกวนการระบายความร้อน
    ต้องใช้ความแม่นยำในการติดตั้งรางและระบบไฟ

    https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/pc-modder-installs-a-working-train-set-on-top-of-their-gpu-all-aboard-the-pci-express-to-gamesville
    🚂 “โมเดอร์สุดครีเอทีฟติดตั้งรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ – ยินดีต้อนรับสู่ ‘PCI Express to Gamesville’!” เรื่องเล่าที่ทั้งน่าทึ่งและน่ารักจากโลกของนักแต่งคอมพิวเตอร์! ผู้ใช้นามว่า “Beautiful-Turnip-353” ได้สร้างสรรค์ผลงานสุดแหวกแนวโดยนำรถไฟจำลองขนาดจิ๋วแบบ T-gauge มาวิ่งวนอยู่บนการ์ดจอภายในเคสคอมพิวเตอร์ของตนเอง กลายเป็นการผสมผสานระหว่างงานอดิเรกโมเดลรถไฟกับโลกของพีซีเกมมิ่งได้อย่างลงตัว รถไฟจำลองนี้มีขนาดเล็กมาก—รางกว้างเพียง 3 มม. และมีสเกลประมาณ 1:450 ถึง 1:500 ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับพื้นที่จำกัดบนการ์ดจอ โดยใช้ Arduino ที่เชื่อมต่อผ่าน USB เพื่อจ่ายไฟ 5V แบบ PWM ให้กับรางรถไฟ แม้ตอนนี้ยังควบคุมความเร็วได้ไม่หลากหลาย แต่ก็มีแผนจะพัฒนาให้สามารถควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ เช่น FanControl หรือแม้กระทั่งให้รถไฟวิ่งเร็วขึ้นตามอุณหภูมิของ GPU! เจ้าของผลงานยังเผยว่าอยากสร้างเคสธีมรถไฟที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมด้วยฉากจำลอง สัญญาณไฟ และแม้กระทั่งรถไฟไอน้ำที่มีเสียง “ชัฟฟ์ฟฟ” วิ่งรอบเคส—เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับงานโมดิฟายพีซีไปอีกขั้น ✅ โมเดอร์สร้างรถไฟจำลองวิ่งบนการ์ดจอ ➡️ ใช้รถไฟ T-gauge ขนาดเล็กที่สุดในวงการโมเดล ➡️ รางกว้างเพียง 3 มม. สเกลประมาณ 1:450–1:500 ➡️ วางรางวนรอบการ์ดจอภายในเคสพีซี ✅ ระบบควบคุมรถไฟด้วย Arduino ➡️ ใช้สัญญาณ PWM 5V ผ่านพอร์ต USB ➡️ ควบคุมความเร็วได้จำกัดในเวอร์ชันต้นแบบ ➡️ มีแผนพัฒนาให้ควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ FanControl ✅ แนวคิดสร้างสรรค์ที่ผสานงานอดิเรกกับเทคโนโลยี ➡️ รถไฟจำลองเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเคส ➡️ มีแผนเพิ่มฉากจำลอง แสงไฟ และระบบสัญญาณ ➡️ อาจพัฒนาให้รถไฟตอบสนองต่ออุณหภูมิของพีซี ‼️ ความท้าทายด้านพื้นที่และการติดตั้ง ⛔ การ์ดจอมีพื้นที่จำกัด ต้องใช้รางที่โค้งแคบ ⛔ ต้องออกแบบให้ไม่รบกวนการระบายความร้อน ⛔ ต้องใช้ความแม่นยำในการติดตั้งรางและระบบไฟ https://www.tomshardware.com/desktops/pc-building/pc-modder-installs-a-working-train-set-on-top-of-their-gpu-all-aboard-the-pci-express-to-gamesville
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    PC modder installs a working train set on top of their GPU — All aboard the 'PCI Express' to Gamesville
    The prototype is set to be adjusted to run off a 5V PWM header for software speed control.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • “Windows 11 ทดสอบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ต – ก้าวใหม่ของการใช้งานที่ลื่นไหล”

    ลองจินตนาการว่า…คุณอัปเดต Windows เสร็จแล้วใช้งานต่อได้ทันที ไม่ต้องรอรีสตาร์ตเครื่องอีกต่อไป! Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ทั่วโลก

    ในเวอร์ชันทดลองล่าสุดสำหรับผู้ใช้ในโปรแกรม Windows Insider — ทั้ง Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052 — Microsoft ได้เปิดตัวการอัปเดตที่สามารถติดตั้งได้โดยไม่ต้องรีสตาร์ตเครื่องเลย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรีบูตทุกครั้งหลังอัปเดต

    แม้ว่าเวอร์ชันนี้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า Microsoft กำลังเตรียมระบบให้พร้อมสำหรับการอัปเดตที่ลื่นไหลในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ใช่แค่ในองค์กรเท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Dev Channel จะกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ Windows 11 รุ่น 26H1 ที่ออกแบบมาเพื่อ AI PC ที่ใช้ชิป Snapdragon X2 โดยเฉพาะ ส่วนผู้ใช้ PC แบบ x86 ทั่วไปจะได้รับรุ่น 26H2 ในช่วงปลายปีหน้า

    Microsoft ทดสอบการอัปเดต Windows 11 แบบไม่ต้องรีสตาร์ต
    ใช้ได้ใน Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052
    ติดตั้งและใช้งานต่อได้ทันทีหลังอัปเดต
    ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการในเวอร์ชันนี้

    แนวคิดการอัปเดตแบบ “Hotpatch” เคยใช้ในองค์กร
    ลดจำนวนการรีสตาร์ตเหลือเพียง 4 ครั้งต่อปี
    ช่วยให้ระบบปลอดภัยโดยไม่รบกวนการทำงาน

    Dev Channel อาจกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ AI PC
    Windows 11 รุ่น 26H1 จะรองรับเฉพาะ Snapdragon X2
    รุ่น 26H2 สำหรับ x86 จะตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ตมีใช้ใน Linux มานาน เช่น “Livepatch” ของ Ubuntu
    การลดการรีสตาร์ตช่วยเพิ่ม uptime ของระบบ โดยเฉพาะในเซิร์ฟเวอร์และองค์กรขนาดใหญ่
    Microsoft อาจนำแนวคิดนี้มาใช้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลมากขึ้น

    https://securityonline.info/the-restartless-update-microsoft-tests-unusual-windows-11-build-that-installs-without-a-reboot/
    🖥️ “Windows 11 ทดสอบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ต – ก้าวใหม่ของการใช้งานที่ลื่นไหล” ลองจินตนาการว่า…คุณอัปเดต Windows เสร็จแล้วใช้งานต่อได้ทันที ไม่ต้องรอรีสตาร์ตเครื่องอีกต่อไป! Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ทั่วโลก ในเวอร์ชันทดลองล่าสุดสำหรับผู้ใช้ในโปรแกรม Windows Insider — ทั้ง Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052 — Microsoft ได้เปิดตัวการอัปเดตที่สามารถติดตั้งได้โดยไม่ต้องรีสตาร์ตเครื่องเลย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรีบูตทุกครั้งหลังอัปเดต แม้ว่าเวอร์ชันนี้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า Microsoft กำลังเตรียมระบบให้พร้อมสำหรับการอัปเดตที่ลื่นไหลในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ใช่แค่ในองค์กรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Dev Channel จะกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ Windows 11 รุ่น 26H1 ที่ออกแบบมาเพื่อ AI PC ที่ใช้ชิป Snapdragon X2 โดยเฉพาะ ส่วนผู้ใช้ PC แบบ x86 ทั่วไปจะได้รับรุ่น 26H2 ในช่วงปลายปีหน้า ✅ Microsoft ทดสอบการอัปเดต Windows 11 แบบไม่ต้องรีสตาร์ต ➡️ ใช้ได้ใน Dev Build และ Beta Build หมายเลข 26220.7052 ➡️ ติดตั้งและใช้งานต่อได้ทันทีหลังอัปเดต ➡️ ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการในเวอร์ชันนี้ ✅ แนวคิดการอัปเดตแบบ “Hotpatch” เคยใช้ในองค์กร ➡️ ลดจำนวนการรีสตาร์ตเหลือเพียง 4 ครั้งต่อปี ➡️ ช่วยให้ระบบปลอดภัยโดยไม่รบกวนการทำงาน ✅ Dev Channel อาจกลายเป็นพื้นที่ทดสอบเฉพาะสำหรับ AI PC ➡️ Windows 11 รุ่น 26H1 จะรองรับเฉพาะ Snapdragon X2 ➡️ รุ่น 26H2 สำหรับ x86 จะตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบอัปเดตแบบไม่ต้องรีสตาร์ตมีใช้ใน Linux มานาน เช่น “Livepatch” ของ Ubuntu ➡️ การลดการรีสตาร์ตช่วยเพิ่ม uptime ของระบบ โดยเฉพาะในเซิร์ฟเวอร์และองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Microsoft อาจนำแนวคิดนี้มาใช้กับผู้ใช้ทั่วไปในอนาคต เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลมากขึ้น https://securityonline.info/the-restartless-update-microsoft-tests-unusual-windows-11-build-that-installs-without-a-reboot/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Restartless Update: Microsoft Tests Unusual Windows 11 Build That Installs Without a Reboot
    Microsoft released an unusual Windows 11 Insider test build (26220.7052) that installs without requiring a system restart, hinting at future update process improvements.
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • อนาคตการติดตามคุณ ดูกิจกรรมคุณพฤติกรรมต่างๆของคุณจะเข้มข้นขึ้นกับชาวโลกทุกๆคน เพื่อคงสถานะทาสและควบคุมทาสอย่างชาวโลก.

    ขณะนี้ YouTube กำลังเซ็นเซอร์วิดีโอที่แสดงวิธีหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบ Windows 11 ด้วยการตั้งค่าระบบใหม่ เนื่องจาก Microsoft ต้องการบังคับให้ทุกคนเข้าสู่ระบบ ซึ่งทำให้ Microsoft สามารถ:

    - อ่านเอกสารทั้งหมดของคุณ
    - สแกนรูปภาพทั้งหมดของคุณ
    - รายงานคุณต่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหากพบเอกสารหรือรูปภาพที่ไม่ชอบ

    Windows 11 ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการ แต่มันคือสปายแวร์

    ยิ่งไปกว่านั้น Windows 11 ยังห่วยด้วยเหตุผลอื่นๆ อีก:

    - มันอัปเดตและรีสตาร์ทอัตโนมัติโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่เรื่อยๆ และไม่มีทางปิดมันได้
    - มันคอยกวนใจให้คุณสำรองไฟล์ทั้งหมดไว้ในเซิร์ฟเวอร์ Windows ซึ่ง Microsoft สามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่า
    - มันใหญ่และช้า แถมยังกินทรัพยากรฮาร์ดแวร์ของคุณอีกด้วย

    ผมใช้ Linux บนเวิร์กสเตชันที่ประมวลผลข้อมูลเนื้อหา และ Linux ก็มีความน่าเชื่อถือและเป็นส่วนตัวมากกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้น Linux ส่วนใหญ่ยังเป็นฟรีและเป็นโอเพนซอร์ส

    คุณควรย้ายจาก Windows มาใช้ Linux Linux ที่ง่ายที่สุดในการเลือก หน้าตาแทบจะเหมือน Windows เป๊ะๆ และทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่นเกือบสมบูรณ์แบบ คือ "Linux Mint" ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ LinuxMint.com (หรือ "cinnamon" ของ Linux Mint ที่นิยมใช้กันมากที่สุด)

    ดาวน์โหลด แฟลชไดร์ฟ USB บูตเข้า USB ติดตั้ง Linux Mint แบบ dual boot แล้วคุณจะบูตกลับไปใช้ Windows เดิม หรือบูตเข้า Linux Mint ใหม่ก็ได้ (แล้วแต่คุณ) เมื่อติดตั้ง Linux Mint เรียบร้อยแล้ว Microsoft จะไม่สามารถสอดแนมคุณ รูปภาพ เอกสาร กิจกรรม บันทึกการใช้งานเบราว์เซอร์ ฯลฯ ของคุณได้อีกต่อไป

    เปลี่ยนมาใช้ Linux เถอะ เลิกใช้ Bill Gates แล้วใช้ Linux แทน Windows


    พอดแคสต์ของผมอธิบายเรื่องนี้:
    เลิกใช้ Windows แล้วหันมาใช้ Linux Mint แทน
    https://www.brighteon.com/9a1d81d9-44b5-4d7d-bbf1-f44c9d95635f
    อนาคตการติดตามคุณ ดูกิจกรรมคุณพฤติกรรมต่างๆของคุณจะเข้มข้นขึ้นกับชาวโลกทุกๆคน เพื่อคงสถานะทาสและควบคุมทาสอย่างชาวโลก. ขณะนี้ YouTube กำลังเซ็นเซอร์วิดีโอที่แสดงวิธีหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบ Windows 11 ด้วยการตั้งค่าระบบใหม่ เนื่องจาก Microsoft ต้องการบังคับให้ทุกคนเข้าสู่ระบบ ซึ่งทำให้ Microsoft สามารถ: - อ่านเอกสารทั้งหมดของคุณ - สแกนรูปภาพทั้งหมดของคุณ - รายงานคุณต่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหากพบเอกสารหรือรูปภาพที่ไม่ชอบ Windows 11 ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการ แต่มันคือสปายแวร์ ยิ่งไปกว่านั้น Windows 11 ยังห่วยด้วยเหตุผลอื่นๆ อีก: - มันอัปเดตและรีสตาร์ทอัตโนมัติโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่เรื่อยๆ และไม่มีทางปิดมันได้ - มันคอยกวนใจให้คุณสำรองไฟล์ทั้งหมดไว้ในเซิร์ฟเวอร์ Windows ซึ่ง Microsoft สามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่า - มันใหญ่และช้า แถมยังกินทรัพยากรฮาร์ดแวร์ของคุณอีกด้วย ผมใช้ Linux บนเวิร์กสเตชันที่ประมวลผลข้อมูลเนื้อหา และ Linux ก็มีความน่าเชื่อถือและเป็นส่วนตัวมากกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้น Linux ส่วนใหญ่ยังเป็นฟรีและเป็นโอเพนซอร์ส คุณควรย้ายจาก Windows มาใช้ Linux Linux ที่ง่ายที่สุดในการเลือก หน้าตาแทบจะเหมือน Windows เป๊ะๆ และทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่นเกือบสมบูรณ์แบบ คือ "Linux Mint" ซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ LinuxMint.com (หรือ "cinnamon" ของ Linux Mint ที่นิยมใช้กันมากที่สุด) ดาวน์โหลด แฟลชไดร์ฟ USB บูตเข้า USB ติดตั้ง Linux Mint แบบ dual boot แล้วคุณจะบูตกลับไปใช้ Windows เดิม หรือบูตเข้า Linux Mint ใหม่ก็ได้ (แล้วแต่คุณ) เมื่อติดตั้ง Linux Mint เรียบร้อยแล้ว Microsoft จะไม่สามารถสอดแนมคุณ รูปภาพ เอกสาร กิจกรรม บันทึกการใช้งานเบราว์เซอร์ ฯลฯ ของคุณได้อีกต่อไป เปลี่ยนมาใช้ Linux เถอะ เลิกใช้ Bill Gates แล้วใช้ Linux แทน Windows พอดแคสต์ของผมอธิบายเรื่องนี้: เลิกใช้ Windows แล้วหันมาใช้ Linux Mint แทน https://www.brighteon.com/9a1d81d9-44b5-4d7d-bbf1-f44c9d95635f
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • “Google Maps x Gemini” — ผู้ช่วยอัจฉริยะบนท้องถนน

    Google กำลังเปลี่ยนโฉม Maps ด้วยการฝัง Gemini AI เข้าไปในระบบนำทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถโต้ตอบกับแอปได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังทยอยเปิดตัวมีทั้งหมด 4 อย่าง:

    1️⃣ Gemini Voice Assistance
    รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น “หาร้านอาหารมังสวิรัติราคาประหยัดในเส้นทางนี้”
    สามารถถามต่อได้ เช่น “มีที่จอดรถไหม” หรือ “เมนูแนะนำคืออะไร”
    เชื่อมต่อกับ Google Calendar เพื่อเพิ่มกิจกรรมได้ทันที
    รองรับการรายงานเหตุการณ์จราจรด้วยเสียง

    2️⃣ การนำทางด้วยจุดสังเกต
    ใช้ภาพจาก Street View และข้อมูลสถานที่กว่า 250 ล้านแห่ง
    แทนคำสั่งแบบ “เลี้ยวขวาใน 500 ฟุต” ด้วย “เลี้ยวขวาหลังร้าน Thai Siam”
    เพิ่มความแม่นยำและลดความสับสนในการขับขี่

    3️⃣ การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง
    แจ้งเตือนเหตุการณ์บนถนนล่วงหน้า เช่น อุบัติเหตุหรือการปิดถนน
    ทำงานแม้ไม่ได้เปิดโหมดนำทาง
    ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ติดขัดในชีวิตประจำวัน

    4️⃣ Gemini-powered Google Lens
    ใช้กล้องในแอป Maps เพื่อสแกนร้านค้าและสถานที่รอบตัว
    ถาม Maps ได้ว่า “นี่คือที่ไหน” หรือ “ทำไมถึงเป็นที่นิยม”
    เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ใช้สมาร์ทแว่นตา

    Gemini Voice Assistance
    รองรับคำสั่งซับซ้อนและโต้ตอบแบบธรรมชาติ
    เพิ่มกิจกรรมใน Calendar และรายงานจราจรด้วยเสียง

    การนำทางด้วยจุดสังเกต
    ใช้สถานที่จริงเป็นจุดอ้างอิงในการเลี้ยว
    ลดความสับสนจากคำสั่งแบบระยะทาง

    การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง
    แจ้งเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้า
    ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางติดขัด

    Gemini-powered Lens ใน Maps
    สแกนสถานที่ด้วยกล้อง
    ถามข้อมูลสถานที่แบบเรียลไทม์

    ข้อจำกัดของการใช้งาน
    ฟีเจอร์บางอย่างยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐฯ
    ต้องรอการอัปเดตใน Android Auto และ iOS

    ความเสี่ยงจากการใช้ AI ขณะขับรถ
    การพูดคุยกับ AI อาจรบกวนสมาธิ
    ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/google-maps-is-getting-a-big-gemini-upgrade-for-drivers-here-are-4-new-features-coming-soon
    🚗🧠 “Google Maps x Gemini” — ผู้ช่วยอัจฉริยะบนท้องถนน Google กำลังเปลี่ยนโฉม Maps ด้วยการฝัง Gemini AI เข้าไปในระบบนำทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถโต้ตอบกับแอปได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังทยอยเปิดตัวมีทั้งหมด 4 อย่าง: 1️⃣ 🗣️ Gemini Voice Assistance 🔖 รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น “หาร้านอาหารมังสวิรัติราคาประหยัดในเส้นทางนี้” 🔖 สามารถถามต่อได้ เช่น “มีที่จอดรถไหม” หรือ “เมนูแนะนำคืออะไร” 🔖 เชื่อมต่อกับ Google Calendar เพื่อเพิ่มกิจกรรมได้ทันที 🔖 รองรับการรายงานเหตุการณ์จราจรด้วยเสียง 2️⃣ 🧭 การนำทางด้วยจุดสังเกต 🔖 ใช้ภาพจาก Street View และข้อมูลสถานที่กว่า 250 ล้านแห่ง 🔖 แทนคำสั่งแบบ “เลี้ยวขวาใน 500 ฟุต” ด้วย “เลี้ยวขวาหลังร้าน Thai Siam” 🔖 เพิ่มความแม่นยำและลดความสับสนในการขับขี่ 3️⃣🚦 การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง 🔖 แจ้งเตือนเหตุการณ์บนถนนล่วงหน้า เช่น อุบัติเหตุหรือการปิดถนน 🔖 ทำงานแม้ไม่ได้เปิดโหมดนำทาง 🔖 ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ติดขัดในชีวิตประจำวัน 4️⃣ 📷 Gemini-powered Google Lens 🔖 ใช้กล้องในแอป Maps เพื่อสแกนร้านค้าและสถานที่รอบตัว 🔖 ถาม Maps ได้ว่า “นี่คือที่ไหน” หรือ “ทำไมถึงเป็นที่นิยม” 🔖 เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ใช้สมาร์ทแว่นตา ✅ Gemini Voice Assistance ➡️ รองรับคำสั่งซับซ้อนและโต้ตอบแบบธรรมชาติ ➡️ เพิ่มกิจกรรมใน Calendar และรายงานจราจรด้วยเสียง ✅ การนำทางด้วยจุดสังเกต ➡️ ใช้สถานที่จริงเป็นจุดอ้างอิงในการเลี้ยว ➡️ ลดความสับสนจากคำสั่งแบบระยะทาง ✅ การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง ➡️ แจ้งเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้า ➡️ ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางติดขัด ✅ Gemini-powered Lens ใน Maps ➡️ สแกนสถานที่ด้วยกล้อง ➡️ ถามข้อมูลสถานที่แบบเรียลไทม์ ‼️ ข้อจำกัดของการใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐฯ ⛔ ต้องรอการอัปเดตใน Android Auto และ iOS ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ AI ขณะขับรถ ⛔ การพูดคุยกับ AI อาจรบกวนสมาธิ ⛔ ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/google-maps-is-getting-a-big-gemini-upgrade-for-drivers-here-are-4-new-features-coming-soon
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • “ดาวน์โหลดเงียบๆ” แต่พร้อมเล่นทันที — ฟีเจอร์ใหม่จาก Steam Deck

    Valve เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ Steam Deck ที่หลายคนรอคอย: Screen-Off Downloads ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเกมขนาดใหญ่ได้ในโหมดประหยัดพลังงาน โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอค้างไว้ — เหมาะมากสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการปล่อยเครื่องดาวน์โหลดข้ามคืน หรือใช้งานในพื้นที่ที่มีอินเทอร์เน็ตจำกัด

    เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้:
    หาก Steam Deck กำลังชาร์จอยู่ จะเปิดโหมดดาวน์โหลดหน้าจอปิดโดยอัตโนมัติ
    หากอยู่ในโหมดแบตเตอรี่ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานเองในเมนู Settings
    เมื่อกดปุ่ม Power ขณะดาวน์โหลด จะมีตัวเลือกให้ดำเนินการต่อแบบหน้าจอปิด
    หากแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% ระบบจะหยุดดาวน์โหลดและเข้าสู่โหมด Sleep เพื่อรักษาพลังงาน

    ประหยัดพลังงาน + ยืดอายุ OLED
    ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงช่วยประหยัดแบตเตอรี่ แต่ยังช่วยลดการใช้งานหน้าจอ OLED ซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัดเมื่อเปิดแสงต่อเนื่อง — ถือเป็นการดูแลอุปกรณ์ในระยะยาวโดยไม่ต้องเสียคุณภาพการใช้งาน

    ยังอยู่ในช่วง Beta
    ฟีเจอร์นี้ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ต้องเข้าร่วม Beta หรือ Preview Channel ก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ แต่คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันถัดไปเร็วๆ นี้

    ฟีเจอร์ Screen-Off Downloads บน Steam Deck
    ดาวน์โหลดเกมในโหมดหน้าจอปิด
    เปิดอัตโนมัติเมื่อชาร์จเครื่อง
    เปิดเองได้ใน Settings เมื่อใช้แบตเตอรี่

    โหมดประหยัดพลังงาน
    เข้าสู่โหมด Low-Power หลังปล่อยเครื่องไว้
    หยุดดาวน์โหลดเมื่อแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20%

    ผลดีต่อหน้าจอ OLED
    ลดการเปิดหน้าจอค้างไว้
    ยืดอายุการใช้งานของ OLED

    การใช้งานในชีวิตจริง
    เหมาะสำหรับดาวน์โหลดเกมข้ามคืน
    ลดการรบกวนขณะเดินทางหรือใช้งานนอกบ้าน

    ข้อจำกัดของฟีเจอร์ในปัจจุบัน
    ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ต้องเข้าร่วม Beta หรือ Preview Channel
    ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ารองรับ DLC และอัปเดตเกมหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/steam-deck-introduces-screen-off-downloads-helps-preserve-oled-screen-life-users-can-now-download-large-titles-with-the-handheld-in-low-power-mode-and-have-a-new-game-ready-to-go-when-they-turn-it-on
    🎮🔋 “ดาวน์โหลดเงียบๆ” แต่พร้อมเล่นทันที — ฟีเจอร์ใหม่จาก Steam Deck Valve เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ Steam Deck ที่หลายคนรอคอย: Screen-Off Downloads ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเกมขนาดใหญ่ได้ในโหมดประหยัดพลังงาน โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอค้างไว้ — เหมาะมากสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการปล่อยเครื่องดาวน์โหลดข้ามคืน หรือใช้งานในพื้นที่ที่มีอินเทอร์เน็ตจำกัด เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้: 👾 หาก Steam Deck กำลังชาร์จอยู่ จะเปิดโหมดดาวน์โหลดหน้าจอปิดโดยอัตโนมัติ 👾 หากอยู่ในโหมดแบตเตอรี่ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานเองในเมนู Settings 👾 เมื่อกดปุ่ม Power ขณะดาวน์โหลด จะมีตัวเลือกให้ดำเนินการต่อแบบหน้าจอปิด 👾 หากแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% ระบบจะหยุดดาวน์โหลดและเข้าสู่โหมด Sleep เพื่อรักษาพลังงาน 🌙 ประหยัดพลังงาน + ยืดอายุ OLED ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงช่วยประหยัดแบตเตอรี่ แต่ยังช่วยลดการใช้งานหน้าจอ OLED ซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัดเมื่อเปิดแสงต่อเนื่อง — ถือเป็นการดูแลอุปกรณ์ในระยะยาวโดยไม่ต้องเสียคุณภาพการใช้งาน 🧪 ยังอยู่ในช่วง Beta ฟีเจอร์นี้ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ต้องเข้าร่วม Beta หรือ Preview Channel ก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ แต่คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันถัดไปเร็วๆ นี้ ✅ ฟีเจอร์ Screen-Off Downloads บน Steam Deck ➡️ ดาวน์โหลดเกมในโหมดหน้าจอปิด ➡️ เปิดอัตโนมัติเมื่อชาร์จเครื่อง ➡️ เปิดเองได้ใน Settings เมื่อใช้แบตเตอรี่ ✅ โหมดประหยัดพลังงาน ➡️ เข้าสู่โหมด Low-Power หลังปล่อยเครื่องไว้ ➡️ หยุดดาวน์โหลดเมื่อแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% ✅ ผลดีต่อหน้าจอ OLED ➡️ ลดการเปิดหน้าจอค้างไว้ ➡️ ยืดอายุการใช้งานของ OLED ✅ การใช้งานในชีวิตจริง ➡️ เหมาะสำหรับดาวน์โหลดเกมข้ามคืน ➡️ ลดการรบกวนขณะเดินทางหรือใช้งานนอกบ้าน ‼️ ข้อจำกัดของฟีเจอร์ในปัจจุบัน ⛔ ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ต้องเข้าร่วม Beta หรือ Preview Channel ⛔ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ารองรับ DLC และอัปเดตเกมหรือไม่ https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/steam-deck-introduces-screen-off-downloads-helps-preserve-oled-screen-life-users-can-now-download-large-titles-with-the-handheld-in-low-power-mode-and-have-a-new-game-ready-to-go-when-they-turn-it-on
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • ไอซ์ยังไม่สลด ตอบเม้นได้กวนxีนมาก แซะสถาบันไม่เลิก ท้าทาย112 (5/11/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ไอซ์รักชนก #หมิ่นสถาบัน #ม112 #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #การเมืองไทย #newsupdate #ข่าวtiktok
    ไอซ์ยังไม่สลด ตอบเม้นได้กวนxีนมาก แซะสถาบันไม่เลิก ท้าทาย112 (5/11/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ไอซ์รักชนก #หมิ่นสถาบัน #ม112 #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #การเมืองไทย #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 0 Reviews
  • เราเตอร์สุดล้ำจากยุโรป! Turris Omnia NG อัปเกรด Wi-Fi ได้ เปลี่ยนโมดูลแทนเปลี่ยนเครื่อง

    Turris Omnia NG คือเราเตอร์รุ่นใหม่จาก CZ.NIC ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระยะยาวและความปลอดภัยระดับสูง โดยมีจุดเด่นคือสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ได้ในอนาคต ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ พร้อมรองรับ Wi-Fi 7 และระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สที่ให้คุณควบคุมทุกอย่างได้เต็มที่.

    จุดเด่นที่น่าสนใจ
    ใช้ ชิป ARMv8 64-bit แบบ 4 คอร์ ความเร็ว 2.2 GHz พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ passive ทำให้เงียบแม้ใช้งานหนัก
    รองรับ Wi-Fi 7 ทุกย่านความถี่ และสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ผ่านช่อง M.2 ได้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่
    มี พอร์ต WAN และ LAN ความเร็วสูง ทั้งแบบ SFP+ 10 Gbps และ RJ45 2.5 Gbps
    รองรับ โมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2 เพิ่มเติม
    มี หน้าจอสี 240×240 พิกเซล แสดงสถานะเครือข่ายและควบคุมผ่าน D-pad ด้านหน้า

    ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน
    ใช้ Turris OS ที่พัฒนาจาก OpenWrt ซึ่งเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ
    สามารถติดตั้งแพ็กเกจเสริมได้อิสระ และเข้าถึงระบบ Linux ได้เต็มที่
    มี RAM 2 GB รองรับการใช้งานเป็น เซิร์ฟเวอร์เสมือน (VM) หรือ LXC container
    ใช้งานได้ทั้งในบ้านและองค์กร เช่น NAS, VPN, Nextcloud หรือ media server
    รองรับการติดตั้งใน ห้องเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก ด้วยดีไซน์แบบ rack-mount และระบบระบายความร้อนเงียบ

    สเปกฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่น
    ARMv8 64-bit 4 คอร์ 2.2 GHz
    Passive cooling ไม่มีเสียงรบกวน
    Wi-Fi 7 รองรับทุกย่านความถี่

    การออกแบบเพื่ออนาคต
    โมดูล Wi-Fi แบบ M.2 เปลี่ยนได้
    รองรับโมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2
    หน้าจอสีพร้อม D-pad ควบคุม

    ระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์ส
    ใช้ Turris OS พัฒนาจาก OpenWrt
    ติดตั้ง VM หรือ container ได้
    ใช้งานเป็น NAS, VPN, Cloud ได้

    เหมาะกับทั้งบ้านและองค์กร
    ราคาประมาณ €520
    รองรับการติดตั้งในห้องเซิร์ฟเวอร์
    ความปลอดภัยระดับองค์กรโดยไม่ต้องจ่ายแพง

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ต้องมีความรู้พื้นฐานด้าน Linux เพื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
    การติดตั้ง VM หรือ container อาจต้องปรับแต่งระบบเพิ่มเติม
    ราคายังสูงเมื่อเทียบกับเราเตอร์ทั่วไป

    https://news.itsfoss.com/turris-omnia-ng/
    📡 เราเตอร์สุดล้ำจากยุโรป! Turris Omnia NG อัปเกรด Wi-Fi ได้ เปลี่ยนโมดูลแทนเปลี่ยนเครื่อง Turris Omnia NG คือเราเตอร์รุ่นใหม่จาก CZ.NIC ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระยะยาวและความปลอดภัยระดับสูง โดยมีจุดเด่นคือสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ได้ในอนาคต ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ พร้อมรองรับ Wi-Fi 7 และระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สที่ให้คุณควบคุมทุกอย่างได้เต็มที่. 🧠 จุดเด่นที่น่าสนใจ 👍 ใช้ ชิป ARMv8 64-bit แบบ 4 คอร์ ความเร็ว 2.2 GHz พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ passive ทำให้เงียบแม้ใช้งานหนัก 👍 รองรับ Wi-Fi 7 ทุกย่านความถี่ และสามารถเปลี่ยนโมดูล Wi-Fi ผ่านช่อง M.2 ได้เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ 👍 มี พอร์ต WAN และ LAN ความเร็วสูง ทั้งแบบ SFP+ 10 Gbps และ RJ45 2.5 Gbps 👍 รองรับ โมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2 เพิ่มเติม 👍 มี หน้าจอสี 240×240 พิกเซล แสดงสถานะเครือข่ายและควบคุมผ่าน D-pad ด้านหน้า 🧰 ระบบปฏิบัติการและการใช้งาน 🎗️ ใช้ Turris OS ที่พัฒนาจาก OpenWrt ซึ่งเป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ 🎗️ สามารถติดตั้งแพ็กเกจเสริมได้อิสระ และเข้าถึงระบบ Linux ได้เต็มที่ 🎗️ มี RAM 2 GB รองรับการใช้งานเป็น เซิร์ฟเวอร์เสมือน (VM) หรือ LXC container 🎗️ ใช้งานได้ทั้งในบ้านและองค์กร เช่น NAS, VPN, Nextcloud หรือ media server 🎗️ รองรับการติดตั้งใน ห้องเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก ด้วยดีไซน์แบบ rack-mount และระบบระบายความร้อนเงียบ ✅ สเปกฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่น ➡️ ARMv8 64-bit 4 คอร์ 2.2 GHz ➡️ Passive cooling ไม่มีเสียงรบกวน ➡️ Wi-Fi 7 รองรับทุกย่านความถี่ ✅ การออกแบบเพื่ออนาคต ➡️ โมดูล Wi-Fi แบบ M.2 เปลี่ยนได้ ➡️ รองรับโมเด็ม 4G/5G ผ่านช่อง M.2 ➡️ หน้าจอสีพร้อม D-pad ควบคุม ✅ ระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้ Turris OS พัฒนาจาก OpenWrt ➡️ ติดตั้ง VM หรือ container ได้ ➡️ ใช้งานเป็น NAS, VPN, Cloud ได้ ✅ เหมาะกับทั้งบ้านและองค์กร ➡️ ราคาประมาณ €520 ➡️ รองรับการติดตั้งในห้องเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ความปลอดภัยระดับองค์กรโดยไม่ต้องจ่ายแพง ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ต้องมีความรู้พื้นฐานด้าน Linux เพื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ⛔ การติดตั้ง VM หรือ container อาจต้องปรับแต่งระบบเพิ่มเติม ⛔ ราคายังสูงเมื่อเทียบกับเราเตอร์ทั่วไป https://news.itsfoss.com/turris-omnia-ng/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This OpenWrt-Based Router Has Swappable Wi-Fi Modules for Future Upgrades
    The Turris Omnia NG promises lifetime updates and a modular design for a real long-term use.
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ

    ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท

    เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น

    ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร
    CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม
    การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง
    การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ

    ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี
    เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง
    ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่
    ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย

    ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี
    ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย
    ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต
    วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน

    คำเตือนจากการวิจัย
    มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง
    ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว"

    ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว
    การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก
    การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง
    การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง

    ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    🛡️ เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น ✅ ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร ➡️ CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ ✅ ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี ➡️ เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง ➡️ ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ➡️ ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย ✅ ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี ➡️ ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย ➡️ ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต ➡️ วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน ‼️ คำเตือนจากการวิจัย ⛔ มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ⛔ 58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง ⛔ ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว" ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว ⛔ การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก ⛔ การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง ⛔ การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What does aligning security to the business really mean?
    Security leaders must ensure their security strategies and teams support the organization’s overall business strategy. Here’s what that looks like in practice — and why it remains so challenging.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
More Results