• ฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 8 ราย ประกอบด้วยชาวอิสราเอล 3 คน และคนไทย 5 ราย หลังถูกกักขังในกาซานานกว่า 1 ปี จากการเปิดเผยของรัฐบาลอิสราเอล ในขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยึดถือข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว
    .
    เจ้าหน้าที่อิสราเอล ระบุว่าตัวประกันอิสราเอลที่จะได้รับการปล่อยตัวประกอบด้วย กาดี โมเซส วัย 80ปี, อาร์เบล เยฮุด วัย 29 ปี และอากัม เบอร์เกอร์ วัย 20 ปี ในขณะที่ฮามาสก็ยืนยันเกี่ยวกับการปล่อยตัวชาวอิสราเอลทั้ง 3 รายเช่นกัน อย่างไรก็ตามทั้งอิสราเอลและฮามาส ไม่ได้เปิดเผยชื่อพลเมืองไทย 5 คน ที่จะได้รับการปล่อยตัวออกมา
    .
    ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง คาดหมายว่าอิสราเอลจะปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์มากกว่า 100 คน แลกกับตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) ในนั้นรวมถึงพวกที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต โทษฐานเกี่ยวกับกับเหตุโจมตีนองเลือดเล่นงานชาวอิสราเอล
    .
    การปล่อยตัวครั้งนี้ ถือเป็นหนที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่อิสราเอลและฮามาสปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 6 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งในข้อตกลงหลายขั้นที่พวกคนกลางการเจรจาหวังว่าจะนำมาซึ่งการยุติสงครามในกาซา ในขณะที่มีผู้คนมากกว่า 45,000 นาย ที่ต้องเสียชีวิตในฉนวนแห่งนี้ ระหว่างปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเล่นงานแก้แค้นพวกฮามาส
    .
    ระหว่างการหยุดยิงเบื้องต้น 42 วัน ฮามาส รับปากว่าจะปล่อยตัวประกันอย่างน้อย 33 คน จาก 97 คนที่เหลืออยู่ในกาซา แลกกับการที่อิสราเอลถอนกำลังบางส่วนและปล่อยชาวปาเลสไตน์กว่า 1,500 คน ที่ถูกจองจำโดยอิสราเอล ภายใต้ข้อตกลงนี้ มีการเสนอให้ปล่อยตัวนางสาวเยฮุด หนึ่งในตัวประกันหญิงคนท้ายๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ในสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    แต่หลังจากที่เธอไม่ได้รับการปล่อยตัวในตอนนั้น อิสราเอลตอบโต้ด้วยการเลื่อนไม่เปิดเส้นทางผ่านให้พวกชาวปาเลสไตน์ผู้ไร้ถิ่นฐานหลายแสนคนเดินทางกลับสู่มาตุภูมิทางเหนือของกาซา ตามเงื่อนไขของข้อตกลง ก่อนสุดท้ายกองทัพอิสราเอลจะยอมเปิดทาง หลังบรรดาชาติคนกลางแถลงในวันอาทิตย์(25ม.ค. )ว่าพวกเขาได้รับคำสัญญาแล้วว่านางสาวเยฮุด จะได้รับการปล่อยตัว
    .
    ตัวประกันทั้ง 8 คน ที่ได้รับคาดหมายว่าจะได้รับการปล่อยตัวเป็นกลุ่มถัดไป ทั้งหมดถูกลักพาตัวระหว่างที่พวกฮามาสปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบเล่นงานทางใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม มีผู้เสียชีวิตราวๆ 1,200 คน ในเหตุจู่โจมดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและอีก 250 คน ถูกจับเป็นตัวประกัน
    .
    มูซา อาบู มาร์ซูค เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ยืนยันระหว่างให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนิวยอร์กไทม์ส ว่าแรงงานไทย 5 คนจะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) พร้อมเผยว่าคนงานไทยเหล่านี้ถูกควบคุมตัวโดยกลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (Palestinian Islamic Jihad) อ้างถึงกลุ่มนักรบเล็กๆในกาซา ที่ใกล้ชิดกับฮามาส แต่มีความแตกต่างกันทั้งเชิงกลยุทธ์และอุดมการณ์
    .
    นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล ยืนยันเช่นกันว่าตัวประกันคนไทย 5 คน จากทั้งหมด 8 คน จะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) แต่ไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้นมีใครบ้าง
    .
    รายงานของนิวยอร์กไทม์อ้างคำกล่าวของนางสาวพรรณนภา ระบุด้วยว่ายังมีตัวประกันไทยอยู่ในกาซาอีก 8 ราย แบ่งเป็นยังมีชีวิตอยู่ 6 รายและเสียชีวิตแล้ว 2 คน ทั้งหมดอายุระหว่าง 28 ปี ถึง 42 ปี โดยทั้งหมดเป็นแรงงานภาคการเกษตร ณ ฟาร์ม 4 แห่งใกล้ชายแดนกาซา และถูกลักพาตัวระหว่างการโจมตีที่นำโดยพวกฮามาสในเดือนตุลาคม 2023
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009508
    ..............
    Sondhi X
    ฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 8 ราย ประกอบด้วยชาวอิสราเอล 3 คน และคนไทย 5 ราย หลังถูกกักขังในกาซานานกว่า 1 ปี จากการเปิดเผยของรัฐบาลอิสราเอล ในขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงยึดถือข้อตกลงหยุดยิงอันเปราะบางเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว . เจ้าหน้าที่อิสราเอล ระบุว่าตัวประกันอิสราเอลที่จะได้รับการปล่อยตัวประกอบด้วย กาดี โมเซส วัย 80ปี, อาร์เบล เยฮุด วัย 29 ปี และอากัม เบอร์เกอร์ วัย 20 ปี ในขณะที่ฮามาสก็ยืนยันเกี่ยวกับการปล่อยตัวชาวอิสราเอลทั้ง 3 รายเช่นกัน อย่างไรก็ตามทั้งอิสราเอลและฮามาส ไม่ได้เปิดเผยชื่อพลเมืองไทย 5 คน ที่จะได้รับการปล่อยตัวออกมา . ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงหยุดยิง คาดหมายว่าอิสราเอลจะปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์มากกว่า 100 คน แลกกับตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) ในนั้นรวมถึงพวกที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต โทษฐานเกี่ยวกับกับเหตุโจมตีนองเลือดเล่นงานชาวอิสราเอล . การปล่อยตัวครั้งนี้ ถือเป็นหนที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่อิสราเอลและฮามาสปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 6 สัปดาห์ ส่วนหนึ่งในข้อตกลงหลายขั้นที่พวกคนกลางการเจรจาหวังว่าจะนำมาซึ่งการยุติสงครามในกาซา ในขณะที่มีผู้คนมากกว่า 45,000 นาย ที่ต้องเสียชีวิตในฉนวนแห่งนี้ ระหว่างปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเล่นงานแก้แค้นพวกฮามาส . ระหว่างการหยุดยิงเบื้องต้น 42 วัน ฮามาส รับปากว่าจะปล่อยตัวประกันอย่างน้อย 33 คน จาก 97 คนที่เหลืออยู่ในกาซา แลกกับการที่อิสราเอลถอนกำลังบางส่วนและปล่อยชาวปาเลสไตน์กว่า 1,500 คน ที่ถูกจองจำโดยอิสราเอล ภายใต้ข้อตกลงนี้ มีการเสนอให้ปล่อยตัวนางสาวเยฮุด หนึ่งในตัวประกันหญิงคนท้ายๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ในสัปดาห์ที่แล้ว . แต่หลังจากที่เธอไม่ได้รับการปล่อยตัวในตอนนั้น อิสราเอลตอบโต้ด้วยการเลื่อนไม่เปิดเส้นทางผ่านให้พวกชาวปาเลสไตน์ผู้ไร้ถิ่นฐานหลายแสนคนเดินทางกลับสู่มาตุภูมิทางเหนือของกาซา ตามเงื่อนไขของข้อตกลง ก่อนสุดท้ายกองทัพอิสราเอลจะยอมเปิดทาง หลังบรรดาชาติคนกลางแถลงในวันอาทิตย์(25ม.ค. )ว่าพวกเขาได้รับคำสัญญาแล้วว่านางสาวเยฮุด จะได้รับการปล่อยตัว . ตัวประกันทั้ง 8 คน ที่ได้รับคาดหมายว่าจะได้รับการปล่อยตัวเป็นกลุ่มถัดไป ทั้งหมดถูกลักพาตัวระหว่างที่พวกฮามาสปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบเล่นงานทางใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม มีผู้เสียชีวิตราวๆ 1,200 คน ในเหตุจู่โจมดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและอีก 250 คน ถูกจับเป็นตัวประกัน . มูซา อาบู มาร์ซูค เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮามาส ยืนยันระหว่างให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนิวยอร์กไทม์ส ว่าแรงงานไทย 5 คนจะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) พร้อมเผยว่าคนงานไทยเหล่านี้ถูกควบคุมตัวโดยกลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (Palestinian Islamic Jihad) อ้างถึงกลุ่มนักรบเล็กๆในกาซา ที่ใกล้ชิดกับฮามาส แต่มีความแตกต่างกันทั้งเชิงกลยุทธ์และอุดมการณ์ . นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล ยืนยันเช่นกันว่าตัวประกันคนไทย 5 คน จากทั้งหมด 8 คน จะได้รับการปล่อยตัวในวันพฤหัสบดี(30ม.ค.) แต่ไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้นมีใครบ้าง . รายงานของนิวยอร์กไทม์อ้างคำกล่าวของนางสาวพรรณนภา ระบุด้วยว่ายังมีตัวประกันไทยอยู่ในกาซาอีก 8 ราย แบ่งเป็นยังมีชีวิตอยู่ 6 รายและเสียชีวิตแล้ว 2 คน ทั้งหมดอายุระหว่าง 28 ปี ถึง 42 ปี โดยทั้งหมดเป็นแรงงานภาคการเกษตร ณ ฟาร์ม 4 แห่งใกล้ชายแดนกาซา และถูกลักพาตัวระหว่างการโจมตีที่นำโดยพวกฮามาสในเดือนตุลาคม 2023 . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009508 .............. Sondhi X
    Like
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการอธิบายเทคนิคการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่เรียกว่า "hidden text salting" หรือ "poisoning" ซึ่งเป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบความปลอดภัยอีเมล โดยการซ่อนข้อความบางส่วนในอีเมลเพื่อทำให้ระบบสแกนอีเมลสับสนและปล่อยให้อีเมลฟิชชิ่งผ่านไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Cisco Talos ได้เผยแพร่คู่มือที่อธิบายถึงวิธีที่แฮกเกอร์ใช้คุณสมบัติ HTML และ CSS ในการซ่อนข้อความ โดยการตั้งค่าความกว้างขององค์ประกอบบางอย่างเป็น 0 และใช้คุณสมบัติ "display: hidden" เพื่อซ่อนเนื้อหาบางส่วนจากเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีการแทรกตัวอักษรที่มีความกว้างเป็นศูนย์ (ZWSP) และตัวอักษรที่ไม่เชื่อมต่อ (ZWNJ) เพื่อซ่อนเนื้อหาอีเมลที่แท้จริง โดยการฝังภาษาที่ไม่เกี่ยวข้อง

    ผลที่ได้คือ ระบบความปลอดภัยอีเมล ฟิลเตอร์สแปม และตัวแยกชื่อแบรนด์จะสับสน และอีเมลที่ควรจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์สแปมจะถูกส่งไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้แทน

    Cisco Talos ได้ให้ตัวอย่างหลายกรณี เช่น การที่แฮกเกอร์ซ่อนคำภาษาฝรั่งเศสในเนื้อหาอีเมล ซึ่งทำให้ฟิลเตอร์สแปมของ Microsoft Exchange Online Protection (EOP) สับสนและปล่อยให้อีเมลผ่านไปได้

    เพื่อรับมือกับกลยุทธ์นี้ นักวิจัยแนะนำให้ทีม IT ใช้เทคนิคการกรองขั้นสูงที่สแกนโครงสร้างของอีเมล HTML แทนที่จะสแกนเฉพาะเนื้อหา นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้การป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    อีเมลยังคงเป็นช่องทางการโจมตีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความเรียบง่าย การแพร่หลาย และต้นทุนต่ำสำหรับการดำเนินการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมเพราะโจมตีห่วงโซ่ความปลอดภัยของอีเมลในจุดที่อ่อนแอที่สุด นั่นคือมนุษย์

    https://www.techradar.com/pro/security/hidden-text-salting-is-letting-hackers-craft-devious-email-attacks-to-evade-detection
    มีการอธิบายเทคนิคการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่เรียกว่า "hidden text salting" หรือ "poisoning" ซึ่งเป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบความปลอดภัยอีเมล โดยการซ่อนข้อความบางส่วนในอีเมลเพื่อทำให้ระบบสแกนอีเมลสับสนและปล่อยให้อีเมลฟิชชิ่งผ่านไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Cisco Talos ได้เผยแพร่คู่มือที่อธิบายถึงวิธีที่แฮกเกอร์ใช้คุณสมบัติ HTML และ CSS ในการซ่อนข้อความ โดยการตั้งค่าความกว้างขององค์ประกอบบางอย่างเป็น 0 และใช้คุณสมบัติ "display: hidden" เพื่อซ่อนเนื้อหาบางส่วนจากเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีการแทรกตัวอักษรที่มีความกว้างเป็นศูนย์ (ZWSP) และตัวอักษรที่ไม่เชื่อมต่อ (ZWNJ) เพื่อซ่อนเนื้อหาอีเมลที่แท้จริง โดยการฝังภาษาที่ไม่เกี่ยวข้อง ผลที่ได้คือ ระบบความปลอดภัยอีเมล ฟิลเตอร์สแปม และตัวแยกชื่อแบรนด์จะสับสน และอีเมลที่ควรจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์สแปมจะถูกส่งไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้แทน Cisco Talos ได้ให้ตัวอย่างหลายกรณี เช่น การที่แฮกเกอร์ซ่อนคำภาษาฝรั่งเศสในเนื้อหาอีเมล ซึ่งทำให้ฟิลเตอร์สแปมของ Microsoft Exchange Online Protection (EOP) สับสนและปล่อยให้อีเมลผ่านไปได้ เพื่อรับมือกับกลยุทธ์นี้ นักวิจัยแนะนำให้ทีม IT ใช้เทคนิคการกรองขั้นสูงที่สแกนโครงสร้างของอีเมล HTML แทนที่จะสแกนเฉพาะเนื้อหา นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้การป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI อีเมลยังคงเป็นช่องทางการโจมตีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความเรียบง่าย การแพร่หลาย และต้นทุนต่ำสำหรับการดำเนินการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมเพราะโจมตีห่วงโซ่ความปลอดภัยของอีเมลในจุดที่อ่อนแอที่สุด นั่นคือมนุษย์ https://www.techradar.com/pro/security/hidden-text-salting-is-letting-hackers-craft-devious-email-attacks-to-evade-detection
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hidden text "salting" is letting hackers craft devious email attacks to evade detection
    Just because you can't see certain email text, it doesn't mean it's not there
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm คาดว่าจะได้รับรายได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์จากการทำข้อตกลงกับ Samsung สำหรับชิปเซ็ต Snapdragon ในสมาร์ทโฟน Galaxy S25 Samsung เพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy S25 ซึ่งใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite Mobile Platform ที่ออกแบบโดย Qualcomm ทั้งหมด

    การเลือกใช้ชิปเซ็ตของ Qualcomm แทนที่จะเป็น Exynos ของ Samsung เองนั้นเกิดจากการที่ Exynos ไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan คาดการณ์ว่าการร่วมมือครั้งนี้จะทำให้รายได้ของ Qualcomm เพิ่มขึ้นอย่างมาก

    นอกจากนี้ Samsung ยังได้ย้ายการผลิตชิปเซ็ตไปยัง TSMC เนื่องจากปัญหากับกระบวนการผลิต 3 นาโนเมตรของตนเอง การลดงบประมาณการผลิตของ Samsung ในปี 2025 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การผลิตของบริษัท

    https://www.techpowerup.com/331667/qualcomm-expected-to-pull-in-usd-2-billion-from-samsung-galaxy-s25-snapdragon-deal
    Qualcomm คาดว่าจะได้รับรายได้ถึง 2 พันล้านดอลลาร์จากการทำข้อตกลงกับ Samsung สำหรับชิปเซ็ต Snapdragon ในสมาร์ทโฟน Galaxy S25 Samsung เพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy S25 ซึ่งใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite Mobile Platform ที่ออกแบบโดย Qualcomm ทั้งหมด การเลือกใช้ชิปเซ็ตของ Qualcomm แทนที่จะเป็น Exynos ของ Samsung เองนั้นเกิดจากการที่ Exynos ไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan คาดการณ์ว่าการร่วมมือครั้งนี้จะทำให้รายได้ของ Qualcomm เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ Samsung ยังได้ย้ายการผลิตชิปเซ็ตไปยัง TSMC เนื่องจากปัญหากับกระบวนการผลิต 3 นาโนเมตรของตนเอง การลดงบประมาณการผลิตของ Samsung ในปี 2025 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การผลิตของบริษัท https://www.techpowerup.com/331667/qualcomm-expected-to-pull-in-usd-2-billion-from-samsung-galaxy-s25-snapdragon-deal
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qualcomm Expected to Pull in $2 Billion From Samsung Galaxy S25 Snapdragon Deal
    Last week, Samsung introduced its brand-new Galaxy S25 smartphone series—press material focused largely on various implementations of AI features, but industry watchdogs noted the crucial selection of Qualcomm-designed processors. A "first-of-its-kind customized Snapdragon 8 Elite Mobile Platform fo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้ยืนยันว่าเทคโนโลยี RDNA 4 จะเน้นไปที่การพัฒนา GPU สำหรับเดสก์ท็อปก่อน โดยจะมีการเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้. Ben Conrad ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการผลิตภัณฑ์ของ AMD กล่าวว่ากลยุทธ์ปัจจุบันของพวกเขาคือการมุ่งเน้นไปที่ตลาดเดสก์ท็อปก่อน และในอนาคตเทคโนโลยี RDNA 4 จะถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์พกพาเช่นกัน

    RDNA 4 มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น การปรับปรุง Compute Units, AI ที่ดีขึ้น, และประสิทธิภาพการเรนเดอร์แสง (Ray Tracing) ที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม AMD ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ สำหรับอุปกรณ์พกพา AMD จะรวม GPU ของตนไว้ใน APU เช่น Strix Point และ Krackan Point หรือ GPU เฉพาะสำหรับแล็ปท็อป เช่น Radeon RX 7000S/7000M

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-rx-9000-series-will-focus-on-desktop-gpus-first-rdna-4-mobility-offerings-to-follow-later
    AMD ได้ยืนยันว่าเทคโนโลยี RDNA 4 จะเน้นไปที่การพัฒนา GPU สำหรับเดสก์ท็อปก่อน โดยจะมีการเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้. Ben Conrad ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการผลิตภัณฑ์ของ AMD กล่าวว่ากลยุทธ์ปัจจุบันของพวกเขาคือการมุ่งเน้นไปที่ตลาดเดสก์ท็อปก่อน และในอนาคตเทคโนโลยี RDNA 4 จะถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์พกพาเช่นกัน RDNA 4 มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น การปรับปรุง Compute Units, AI ที่ดีขึ้น, และประสิทธิภาพการเรนเดอร์แสง (Ray Tracing) ที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม AMD ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ สำหรับอุปกรณ์พกพา AMD จะรวม GPU ของตนไว้ใน APU เช่น Strix Point และ Krackan Point หรือ GPU เฉพาะสำหรับแล็ปท็อป เช่น Radeon RX 7000S/7000M https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-rx-9000-series-will-focus-on-desktop-gpus-first-rdna-4-mobility-offerings-to-follow-later
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!"

    ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek

    DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา

    จุดพลิกเกม
    DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน:
    1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง
    2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า)
    3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน

    แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว

    เบื้องหลังความสำเร็จ
    • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40%
    • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน
    • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50%

    สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก
    ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า
    "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'"
    ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า
    "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง"

    อนาคตที่จับตาของ DeepSeek
    บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน:
    1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026
    2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
    3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน
    ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก!

    ล่าสุด
    จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์)
    เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง

    ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่
    https://x.com/zizhpan
    https://x.com/deepseek_ai

    ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี):
    https://chat.deepseek.com/

    อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    "DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จีนท้าชน OpenAI คว้าอันดับ 1 แอปสหรัฐฯ ด้วยโมเดล R1 โอเพนซอร์ส ต้นทุนพัฒนาเพียง 1 ใน 20 ของคู่แข่ง!" ที่มาและความเป็นมาของ DeepSeek DeepSeek คือสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ก่อตั้งใน พฤษภาคม 2023 โดย เหลียง เวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักลงทุนชื่อดังและผู้เชี่ยวชาญ AI อดีตผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทีมวิจัยหลักประกอบด้วยบัณฑิตจบใหม่และนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา จุดพลิกเกม DeepSeek เปิดตัว โมเดล R1 อย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 หลังมีข่าวลือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 โดยโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ OpenAI o1 โดยตรง ด้วยจุดเด่น 3 ด้าน: 1. ความสามารถเชิงวิเคราะห์: ให้ผลลัพธ์เหนือกว่าในงานคำนวณคณิตศาสตร์-เขียนโปรแกรม และการให้เหตุผลขั้นสูง 2. ต้นทุนพัฒนาต่ำสุดวงการ: ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคู่แข่งที่ใช้งบหลายร้อยล้าน (ต่ำกว่า 18-20 เท่า) 3. ระบบโอเพนซอร์สเต็มรูปแบบ: เปิดเผยโค้ดและโครงสร้างโมเดลทั้งหมด ต่างจาก OpenAI ที่ยังปิดบางส่วน แม้มีสำนักงานใหญ่ในจีน แต่โมเดล R1 กลับโด่งดังในตลาดสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นเป็น แอปฯ อันดับ 1 บน App Store และ Google Play แซงหน้า ChatGPT ภายใน 2 สัปดาห์หลังเปิดตัว เบื้องหลังความสำเร็จ • เทคโนโลยี MLA + DeepSeekMoESparse: สถาปัตยกรรม AI ที่ลดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ถึง 40% • กลยุทธ์ "วิจัยก่อนค้า": เปิด API ฟรีให้ชุมชนนักพัฒนาและวิจัย ทุ่มงบ 80% ของบริษัทเพื่อการวิจัยพื้นฐาน • แรงกดดันต่อตลาด: ก่อให้เกิด "สงครามราคา AI" ในจีน บีบให้ Alibaba, Tencent และ Baidu ต้องลดราคาโมเดลตัวเอง 30-50% สัญญาณเปลี่ยนสนาม AI โลก ความสำเร็จของ DeepSeek ถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่า จีนสามารถท้าทายการผูกขาด AI ของสหรัฐฯ ได้ แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ดังที่ The Wall Street Journal วิเคราะห์ว่า "R1 คือตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่า มาตรการควบคุมชิปของสหรัฐฯ อาจส่งผลตรงข้าม – กระตุ้นให้จีนสร้างนวัตกรรมแบบ 'คิดนอกกรอบ'" ขณะที่ เหลียง เวินเฟิง ให้สัมภาษณ์ว่า "เราเชื่อว่า AGI (ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป) ต้องเกิดจากความร่วมมือของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่ 2-3 แห่ง" อนาคตที่จับตาของ DeepSeek บริษัทประกาศแผนระยะยาว 3 ด้าน: 1. พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ (Large Language Model) รุ่นถัดไปภายในปี 2026 2. ขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3. ท้าทายเป้าหมายสูงสุด: สร้าง AGI ที่เข้าถึงได้ทุกคน ข้อเท็จจริงน่าสนใจ: หลังเปิดตัว R1 มีนักพัฒนาเกือบ 50,000 คน จาก 120 ประเทศ เข้ามาปรับใช้โมเดลนี้ในโครงการของตัวเองภายในเดือนแรก! ล่าสุด จีน: ประกาศแผนสนับสนุน AI ด้วยเงิน 1 ล้านล้านหยวน (137 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China) ประกาศแผน "支持人工智能产业链发展行动方案" (แผนปฏิบัติการสนับสนุนห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI) โดยจะจัดสรรเงินทุน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 137 พันล้านดอลลาร์) ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุตสาหกรรม AI ทั้งในด้านการวิจัยพื้นฐาน การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง ติดตามผู้ก่อตั้งได้ที่ https://x.com/zizhpan https://x.com/deepseek_ai ใช้งานฟรีไม่จำกัดได้ที่ (สมัครสมาชิกฟรี): https://chat.deepseek.com/ อ้างอิง: Spring News, Mekha News, https://x.com/kimmonismus
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนโดย Seagate พบว่าการนำ AI มาใช้จะทำให้ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกสามปีข้างหน้า การเติบโตของข้อมูลที่เกิดจาก AI ทำให้การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์กลายเป็นทางเลือกที่นิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ในปี 2024, 65% ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูกจัดเก็บบนคลาวด์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 69% ภายในปี 2028

    การสำรวจยังพบว่า 72% ของธุรกิจที่สำรวจได้ใช้เทคโนโลยี AI แล้ว และ 28% วางแผนที่จะนำมาใช้ภายในสามปี. การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เป็นทางเลือกที่นิยมเนื่องจากความสามารถในการขยายตัวและความสะดวกในการจัดการข้อมูล นอกจากนี้ การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าการเก็บข้อมูล AI เป็นเวลานานขึ้นช่วยปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล AI โดย 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการเก็บข้อมูลเป็นเวลานานช่วยให้ผลลัพธ์ของ AI ดีขึ้น

    นอกจากนี้ ธุรกิจยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอันดับแรก โดย 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของ AI การจัดเก็บข้อมูลที่สามารถขยายตัวได้และการใช้เทคนิคการบีบอัดข้อมูลเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้เพื่อรับมือกับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-will-drive-storage-needs-by-2x-over-next-three-years-according-to-survey-funded-by-seagate
    จากการสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนโดย Seagate พบว่าการนำ AI มาใช้จะทำให้ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีกสามปีข้างหน้า การเติบโตของข้อมูลที่เกิดจาก AI ทำให้การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์กลายเป็นทางเลือกที่นิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ในปี 2024, 65% ของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI ถูกจัดเก็บบนคลาวด์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 69% ภายในปี 2028 การสำรวจยังพบว่า 72% ของธุรกิจที่สำรวจได้ใช้เทคโนโลยี AI แล้ว และ 28% วางแผนที่จะนำมาใช้ภายในสามปี. การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์เป็นทางเลือกที่นิยมเนื่องจากความสามารถในการขยายตัวและความสะดวกในการจัดการข้อมูล นอกจากนี้ การสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าการเก็บข้อมูล AI เป็นเวลานานขึ้นช่วยปรับปรุงความแม่นยำของโมเดล AI โดย 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการเก็บข้อมูลเป็นเวลานานช่วยให้ผลลัพธ์ของ AI ดีขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอันดับแรก โดย 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของ AI การจัดเก็บข้อมูลที่สามารถขยายตัวได้และการใช้เทคนิคการบีบอัดข้อมูลเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้เพื่อรับมือกับความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/ai-will-drive-storage-needs-by-2x-over-next-three-years-according-to-survey-funded-by-seagate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต

    ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025

    https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    วันแรกก็เอาจริงเลย ข่าวอันเป็นนิมิตหมายดี ตั้งแต่มี โคขิต ใครที่เอะอะก็เชื่อ องค์การอนามัยโลก WHO (ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสามานย์) ถึงเวลาออกจากกะลาครับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025 https://www.facebook.com/share/p/1DTaBnErqv/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี)
    การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก
    การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง
    นสพ. แนวหน้า 21/1/2568
    https://www.naewna.com/inter/854734
    การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก
    ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
    มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
    มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน
    (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน
    (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ
    (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ:
    (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต
    (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ
    (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว
    (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด
    มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที
    มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา
    มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้:
    (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ
    (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย
    (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่
    (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด
    https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../
    ทำเนียบขาว,
    20 มกราคม 2025
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ณ ห้องโอวัลออฟฟิศ ของทำเนียบขาว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ในกรุงวอชิงตัน (ภาพเอพี/อีวาน วุชชี) การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ถือเป็นก้าวสำคัญ สู่ความรับผิดชอบด้านสุขภาพระดับโลก การระบาดใหญ่ครั้งนี้ เผยให้เห็นถึงความล้มเหลว ขององค์การอนามัยโลก และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของผู้นำ ที่ให้ความสำคัญกับความจริง วิทยาศาสตร์ และแนวทางแก้ปัญหาที่แท้จริง มากกว่าการเมือง นสพ. แนวหน้า 21/1/2568 https://www.naewna.com/inter/854734 การถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยอำนาจที่มอบให้ผม ในฐานะประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของสหรัฐอเมริกา จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้: มาตรา 1 วัตถุประสงค์ สหรัฐฯ แจ้งการถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 เนื่องจากองค์กร จัดการกับการระบาดของ COVID-19 ได้อย่างผิดพลาด ซึ่งเกิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และวิกฤตด้านสุขภาพทั่วโลกอื่นๆ ล้มเหลวในการปฏิรูปที่จำเป็นเร่งด่วน และไม่สามารถแสดงความเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม ของประเทศสมาชิกของ WHO ได้ นอกจากนี้ WHO ยังคงเรียกร้องเงินชดเชย ที่ไม่เป็นธรรมจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่สมดุลกับเงินชดเชย ที่ประเมินแล้วของประเทศอื่นๆ จีนซึ่งมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีประชากร 300 เปอร์เซ็นต์ของประชากรสหรัฐฯ แต่มีส่วนสนับสนุน WHO น้อยกว่าเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ มาตรา 2 การดำเนินการ (ก) สหรัฐอเมริกา มีเจตนาที่จะถอนตัว ออกจากองค์การอนามัยโลก จดหมายของประธานาธิบดี ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021 ซึ่งเพิกถอนการแจ้งเตือน การถอนตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2020 ถูกเพิกถอน (ข) คำสั่งฝ่ายบริหาร 13987 ลงวันที่ 25 มกราคม 2021 (การจัดระเบียบ และระดมพลรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มีการตอบสนองที่เป็นหนึ่งเดียว และมีประสิทธิผล ในการต่อสู้กับ COVID-19 และเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำด้านสุขภาพ และความมั่นคงระดับโลก) ถูกเพิกถอน (ค) ผู้ช่วยประธานาธิบดี ฝ่ายกิจการความมั่นคงแห่งชาติ จะจัดตั้งผู้อำนวยการ และกลไกการประสานงาน ภายในกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่เขาเห็นว่าจำเป็น และเหมาะสม เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความปลอดภัยทางชีวภาพ (ง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงานบริหาร และงบประมาณ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม และรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อ: (i) ระงับการโอนเงินทุน การสนับสนุน หรือทรัพยากรของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ไปยังองค์การอนามัยโลกในอนาคต (ii) เรียกตัว และมอบหมายงานใหม่ ให้กับบุคลากร หรือผู้รับเหมาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ทำงานในตำแหน่งใดๆ ก็ตาม กับองค์การอนามัยโลก และ (iii) ระบุพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และโปร่งใส ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่จำเป็น ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ดำเนินการไปแล้ว (จ) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายการเตรียมพร้อม และตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของทำเนียบขาว จะต้องทบทวน ยกเลิก และเปลี่ยนกลยุทธ์ความมั่นคง ด้านสุขภาพระดับโลก ของสหรัฐอเมริกาสำหรับปี 2024 โดยเร็วที่สุด มาตรา 3 การแจ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องแจ้งให้ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับฝากที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และผู้นำขององค์การอนามัยโลกทราบ เกี่ยวกับการถอนตัวในทันที มาตรา 4 การเจรจาเกี่ยวกับระบบทั่วโลก ในขณะที่กำลังดำเนินการถอนตัว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยุติการเจรจา เกี่ยวกับข้อตกลงการระบาดใหญ่ ขององค์การอนามัยโลก และการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ และการดำเนินการ เพื่อให้เกิดข้อตกลง และการแก้ไขดังกล่าว จะไม่มีผลผูกพันต่อสหรัฐอเมริกา มาตรา 5 บทบัญญัติทั่วไป (ก) ห้ามตีความข้อความใดๆ ในคำสั่งนี้ เพื่อทำให้เสียหาย หรือส่งผลกระทบในทางอื่นใด ต่อไปนี้: (i) อำนาจที่กฎหมายมอบให้กับฝ่ายบริหาร หรือหน่วยงาน หรือหัวหน้าหน่วยงาน หรือ (ii) หน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานจัดการ และงบประมาณที่เกี่ยวข้อง กับข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ การบริหาร หรือการออกกฎหมาย (ข) คำสั่งนี้ จะต้องนำไปปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่บังคับใช้ และขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่ (ค) คำสั่งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้สร้างสิทธิ หรือผลประโยชน์ใดๆ ในทางเนื้อหาหรือขั้นตอน บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย หรือในความเป็นธรรมโดยฝ่ายใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หน่วยงาน หรือนิติบุคคลของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ พนักงาน หรือตัวแทนของสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลอื่นใด https://www.whitehouse.gov/.../withdrawing-the-united.../ ทำเนียบขาว, 20 มกราคม 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นราชินีแห่งแสงสว่าง
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นจะไม่ยากเย็นและเจ็บปวดเหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด แต่จะยากมากตรงที่ต้องควบคุมดูแลและอยู่เหนือราชาแห่งความมืดได้นั่นเอง
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีแค่แบบเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด
    ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีดังต่อไปนี้คือ
    1.มีความสดใสร่าเริงอยู่เสมอในทุกสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หรือสุขภาพจิตที่ดี และเป็นกันเอง และพลอยทำให้ผู้อื่นร่าเริงสดใสไปด้วย
    2.มีความอดทนอดกลั้นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่อาฆาตทำร้ายใครก่อน และมีความสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์
    3.มีสติปัญญาที่เฉียบคมเฉียบแหลม ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้อย่างแม่นยำ และเป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ได้เก่งกล้าสามารถมากคนหนึ่ง
    4.เป็นคนที่มีสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณสูงมาก และสามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีทีเดียว
    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั่นเอง
    ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    การเป็นราชินีแห่งแสงสว่าง การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นจะไม่ยากเย็นและเจ็บปวดเหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด แต่จะยากมากตรงที่ต้องควบคุมดูแลและอยู่เหนือราชาแห่งความมืดได้นั่นเอง การเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีแค่แบบเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเป็นราชาแห่งความมืด ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั้นมีดังต่อไปนี้คือ 1.มีความสดใสร่าเริงอยู่เสมอในทุกสถานการณ์ ซึ่งหมายความว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หรือสุขภาพจิตที่ดี และเป็นกันเอง และพลอยทำให้ผู้อื่นร่าเริงสดใสไปด้วย 2.มีความอดทนอดกลั้นเป็นชีวิตจิตใจ ไม่อาฆาตทำร้ายใครก่อน และมีความสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์ 3.มีสติปัญญาที่เฉียบคมเฉียบแหลม ล่วงรู้อนาคตอันใกล้ได้อย่างแม่นยำ และเป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ได้เก่งกล้าสามารถมากคนหนึ่ง 4.เป็นคนที่มีสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณสูงมาก และสามารถคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีทีเดียว นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆสำหรับทุกท่านที่คิดที่จะมาเป็นราชินีแห่งแสงสว่างนั่นเอง ยังมีต่อแต่ผมขี้เกียจในตอนนี้ เดี๋ยวถ้ามีเวลามากๆจะมาสานต่อให้จบนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลอดเลือดหัวใจตีบ

    ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน

    การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease)

    การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

    ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว

    การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP)

    การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด

    ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

    จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว

    ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    Cr. Santi Manadee
    #หลอดเลือดหัวใจตีบ ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease) การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP) การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ Cr. Santi Manadee
    DOI.ORG
    Gastroesophageal reflux disease influences blood pressure components, lipid profile and cardiovascular diseases: Evidence from a Mendelian randomization study
    Background Gastroesophageal reflux disease (GERD) is a prevalent gastrointestinal disorder associated with a range of cardiovascular and metabolic complications. However, the relationship between GERD and blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases remains unclear. Methods Leveraging genetic variants associated with GERD as instrumental variables, we performed this Mendelian randomization (MR) analyses. Blood pressure components, lipid profile parameters, as well as cardiovascular diseases were considered as outcomes. Furthermore, we conducted reverse MR analysis to explore the association of these factors with the risk of GERD. Results Our MR analysis discovered a potential causal influence of GERD on blood pressure components, with genetically predicted GERD positively associated with systolic blood pressure (β = 0.053, P = 0.036), diastolic blood pressure (β = 0.100, P < 0.001), and mean arterial pressure (β = 0.106, P < 0.001). Additionally, genetically predicted GERD showed a significant impact on lipid profile, leading to increased genetically predicted levels of low-density lipoprotein (LDL) cholesterol (β = 0.093, P < 0.001), and triglycerides (β = 0.153, P < 0.001), while having a negative effect on high-density lipoprotein (HDL) cholesterol (β = -0.115, P = 0.002). Furthermore, our study indicated a noteworthy causal association between genetically predicted GERD and increased risk of myocardial infarction [odds ratio (OR) = 1.272, P = 0.019)] and hypertension (OR = 1.357, P < 0.001). No significant association was found between GERD and pulse pressure, total cholesterol, heart failure, and atrial fibrillation ( P > 0.05). Reverse MR analysis indicates that blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases do not lead to an increased risk of GERD (all P > 0.05). Furthermore, mediation MR analysis reveals that LDL cholesterol (proportion mediated: 19.99%, 95% CI: 4.49% to 35.50%), HDL cholesterol (proportion mediated: 11.71%, 95% CI: 5.23% to 18.19%), and hypertension (proportion mediated: 35.09%, 95% CI: 24.66% to 45.53%) mediated the effect of GERD on myocardial infarction, while other factors did not participate in this pathway. Conclusions This MR study provides evidence supporting a causal relationship between GERD and alterations in blood pressure components, lipid profile, and increased risk of cardiovascular diseases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • 21/1/68

    การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร?
    การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้

    หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้

    พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ

    เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น

    วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน
    การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า

    * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน: 
    * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม)
    * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)


    * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย


    * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"


    * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"


    * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"


    * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"


    * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น


    * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3%

    ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า

    การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง
    วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์
    ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ
    * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้

    * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน

    รองเท้าแตะ Earth Runners

    * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น

    พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน
    โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ

    อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน
    * ยางมะตอย
    * ไม้
    * ไวนิล
    * พลาสติก
    * พรม
    * ยาง(รวมรองเท้า)

    คุณควรลงดินนานแค่ไหน?
    ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที

    สิ่งที่ฉันทำ
    เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้
    ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้

    บทสรุป
    โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

    มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก
    cr:MBD
    21/1/68 การต่อสายดิน หรือ การต่อลงดินคืออะไร? การต่อลงดินเป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อร่างกายเข้ากับพื้นผิวโลกเพื่อให้สามารถถ่ายโอนอิเล็กตรอนจากโลกเข้าสู่ร่างกายได้ หากต้องการทำความเข้าใจว่าการต่อลงดินทำงานอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของอิเล็กตรอนในร่างกายมนุษย์เสียก่อน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นที่ชั้นเรียนชีววิทยากันก่อน อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีประจุลบ ซึ่งมีอยู่ในสสารทุกชนิด รวมทั้งร่างกายมนุษย์ด้วย อิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาทางชีวเคมี การผลิตพลังงาน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายสัมผัสกับมลพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษ และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) ร่างกายอาจเกิดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุล อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งอาจทำให้เซลล์ โปรตีน และ DNA เสียหายได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่สามารถทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและป้องกันความเสียหายจากออกซิเดชันได้ พื้นผิวโลกมีประจุลบ ซึ่งหมายความว่ามีอิเล็กตรอนจำนวนมากที่สามารถถ่ายโอนไปยังร่างกายได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับพื้นผิวโลกเมื่อร่างกายสัมผัสกับโลก อิเล็กตรอนจะไหลจากโลกเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางและลดการอักเสบโดยพื้นฐานแล้ว พลังงานของโลกจะถูกใช้ในการรักษาตามธรรมชาติ
 เมื่อร่างกายถูกตัดขาดจากสนามไฟฟ้าของโลก อาจเกิดภาวะไฟฟ้าไม่สมดุล ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอักเสบเรื้อรัง ความเจ็บปวด และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ การต่อสายดินสามารถช่วยฟื้นฟูสมดุลไฟฟ้าตามธรรมชาติของร่างกาย และปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมให้ดีขึ้น วิทยาศาสตร์บอกอะไรเกี่ยวกับการต่อสายดิน การเชื่อมต่อกับโลกอาจฟังดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่ว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ มาดูทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า * การนอนหลับที่ดีขึ้น: การศึกษาวิจัยหนึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วม 60 คนที่มีปัญหาด้านการนอนหลับและปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมนอนบนเสื่อรองดิน (ที่ต่อสายดินกับพื้นด้วยลวดทองแดง) หรือเสื่อรองนอนแบบหลอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในกลุ่มทดลองที่ต่อสายดิน:  * 74% มีอาการปวดดีขึ้น (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 78% รายงานว่าความเป็นอยู่โดยทั่วไปดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 82% มีอาการกล้ามเนื้อตึงและปวดน้อยลง (0% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 85% ปรับปรุงเวลาในการนอนหลับ (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * 93% มีคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น (13% สำหรับกลุ่มควบคุม) * ตื่นมารู้สึกสดชื่น 100% (13% สำหรับควบคุม)

 * ลดอาการปวดและการอักเสบ: การศึกษาวิจัย ขนาดเล็กในปี 2010ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าการกราวด์ช่วยลดเครื่องหมายของการอักเสบในร่างกาย ซึ่งรวมถึงโปรตีนซี-รีแอคทีฟ (CRP) ด้วย

 * ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV)และระดับความเครียดที่ดีขึ้นการศึกษาแบบปกปิดสองชั้นในปี 2011ได้ให้ผู้เข้าร่วม 27 คนสัมผัสกับการต่อสายดิน ผลลัพธ์บ่งชี้ว่าการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (การพักผ่อน การย่อยอาหาร การซ่อมแซม) เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับการต่อสายดินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมหลังจากช่วงเวลา 40 นาที ผู้เขียนเขียนว่า "การต่อสายดินทำให้ค่า HRV ดีขึ้น ซึ่งเกินกว่าการผ่อนคลายแบบธรรมดา"

 * การนอนหลับดีขึ้น ความเจ็บปวด อัตราการเต้นของหัวใจ และเลือดแข็งตัวมากเกินไปบทวิจารณ์ในปี 2012ในวารสารสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขพบว่าการใช้สายดินอาจเป็น "กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อต้านความเครียดเรื้อรัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบ ความเจ็บปวด การนอนหลับไม่เพียงพอ อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดแข็งตัวมากเกินไป และความผิดปกติทางสุขภาพทั่วไปหลายอย่าง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด"

 * ความเหนื่อยล้าลดลงการทดลองแบบสุ่มควบคุมในปี 2019วัดไบโอมาร์กเกอร์ของนักกายภาพบำบัด 16 คนในการทดลองแบบสุ่มควบคุมแบบปกปิดสองชั้นขณะที่พวกเขาถูกวางอยู่บนพื้นระหว่างทำงานและขณะนอนหลับ พบว่า "นักกายภาพบำบัดมีสมรรถภาพทางกายและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาการเหนื่อยล้า อารมณ์ซึมเศร้า ความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ถูกวางอยู่บนพื้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ถูกวางอยู่บนพื้น"

 * การฟื้นฟูที่ดีขึ้นหลังการออกกำลังกายในการศึกษาวิจัยในปี 2015กลุ่มบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงจำนวน 32 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์และกลุ่มที่เน้นการลงกราวด์แบบแกล้งทำ หลังจากทำการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงโดยงอเข่าครึ่งข้าง 200 ครั้ง พบว่าระดับครีเอทีนไคเนสแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีระดับของมาร์กเกอร์การอักเสบที่สูงขึ้นในกลุ่มแกล้งทำ กลุ่มที่เน้นการลงกราวด์ยังแสดงให้เห็นระดับเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลที่สูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันหลังการออกกำลังกาย การศึกษาวิจัยรายงานว่า "การลงกราวด์ช่วยลดการสูญเสีย CK จากกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อได้รับความเสียหายน้อยลง"

 * การสมานแผลดีขึ้นบทความ ในวารสาร Journal of Inflammation Research เมื่อปี 2014ได้รายงานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการลงกราวด์และการปรับปรุงไซโตไคน์ เซลล์เม็ดเลือดขาว และ “โมเลกุลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อการอักเสบ” ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า “การรักษาจะเร็วขึ้นมาก และสัญญาณหลักของการอักเสบจะลดลงหรือถูกกำจัดออกไป โปรไฟล์ของตัวบ่งชี้การอักเสบต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ จะแตกต่างกันมากในบุคคลที่ลงกราวด์”

การต่อสายดินเป็นแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการแข่งขันตูร์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา เสมอ นักปั่นหลายคนมักจะนำการต่อสายดินมาใช้ในชีวิตประจำวัน และนักปั่นที่เกิดบาดแผล รอยถลอก หรือถลอกจากอุบัติเหตุ จะใช้แผ่นต่อสายดินเหนือและใต้บาดแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น

 * ความดันโลหิตลดลงการศึกษาวิจัยในปี 2018ได้ทำการศึกษากับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวน 10 ราย ซึ่งทำการออกกำลังกายแบบกราวด์เป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทั้งหมดมีความดันโลหิตซิสโตลิกลดลง โดยลดลงตั้งแต่ 8.6% ถึง 22.7% และลดลงโดยเฉลี่ย 14.3% ภาพด้านล่างซึ่งถ่ายจากการศึกษาในปี 2020 นี้แสดงให้เห็นภาพผลลัพธ์ของการต่อสายดิน ภาพความร้อนแสดงให้เห็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่า โดยถ่ายห่างกันครึ่งชั่วโมง ก่อนและหลังการต่อสายดิน ภาพด้านซ้ายแสดงสีร้อนที่แสดงถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อและการอักเสบในบริเวณหัวเข่า ภาพด้านขวาซึ่งถ่ายหลังจากต่อสายดิน แสดงให้เห็นการลดลงของการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ด้วยสีที่เย็นกว่า การต่อสายดินได้ผลหรือไม่? แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุน แต่การศึกษาเหล่านี้ไม่มีการศึกษาใดที่เหมาะสมที่สุด การศึกษาจำนวนมากขาดผู้เข้าร่วมจำนวนมากหรือการทดลองควบคุมแบบสุ่ม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อพิจารณาว่าการต่อสายดินหรือการต่อสายดินได้ผลหรือไม่ แต่สามารถพูดได้อย่างปลอดภัยว่าแทบไม่มีข้อเสียเลย และควรทำการ ทดลอง n=1เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง วิธีการต่อสายดินหรือกราวด์ ความสวยงามของการต่อสายดินอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่มีเทคนิคการต่อสายดินหรือโปรโตคอลการต่อสายดินที่เฉพาะเจาะจง คุณเพียงแค่ต้องสัมผัสกับพื้นโลก ซึ่งอาจเป็นการสัมผัสโดยตรงหรือผ่านพื้นผิวที่มีสภาพเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น แผ่นต่อสายดินหรือรองเท้าเฉพาะ * เดินเท้าเปล่า การเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวดินตามธรรมชาติ เช่น หญ้า ทราย หรือดิน ถือเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน วิธีนี้ช่วยให้สัมผัสกับพื้นผิวโลกโดยตรง และช่วยให้ร่างกายดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้
 * แผ่นกันดินการใช้แผ่นกันดิน แผ่น หรือแผ่นแปะที่เสียบลงดินเป็นวิธีที่สะดวกในการลงดินภายในอาคาร ถือเป็นแนวทางที่ดีหากคุณไม่สามารถเดินเท้าเปล่านอกบ้านได้อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนบนแผ่นกันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ราคาไม่แพง ขณะเขียนหนังสือ ซึ่งมีสายไฟที่ต่อเข้ากับรูที่สามของปลั๊กไฟ 3 ขาแบบมาตรฐานในเต้าเสียบ คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนนี้ได้อีกโดยหาแผ่นกันดินที่ใหญ่กว่ามาปูรองนอน รองเท้าแตะ Earth Runners * รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้าการใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติเป็นสื่อไฟฟ้า เช่น รองเท้าที่มีแผ่นทองแดง เป็นอีกวิธีหนึ่งในการต่อสายดิน รองเท้าประเภทนี้ช่วยให้สัมผัสพื้นได้โดยตรง ซึ่งเหมาะมากเมื่ออากาศหนาวเย็นหรือเมื่อเดินเท้าเปล่าซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเข้าสังคม ฉันจะสวมรองเท้าแตะ Earth Runner เป็นครั้งคราว ซึ่งมีสายทองแดงที่เชื่อมเท้าของคุณกับพื้น 
 พื้นผิวที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับการต่อสายดิน โดยทั่วไป พื้นผิวธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย และหญ้า เหมาะที่สุดสำหรับการลงกราวด์ พื้นผิว เช่น คอนกรีต อาจไม่นำไฟฟ้าได้มากเท่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พื้นผิวด้านล่างไม่นำไฟฟ้าได้ดี และจึงไม่มีประสิทธิภาพในการต่อลงดิน * ยางมะตอย * ไม้ * ไวนิล * พลาสติก * พรม * ยาง(รวมรองเท้า) คุณควรลงดินนานแค่ไหน? ปริมาณการต่อสายดินที่มีประสิทธิภาพขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 20 นาที ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ต่อสายดินวันละ 20-30 นาทีเพื่อดูประโยชน์ ในขณะที่บางคนสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เกือบจะทันที สิ่งที่ฉันทำ เป้าหมายของฉันคือการได้กราวด์อย่างน้อย 20 นาทีต่อวัน ในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ฉันจะใช้แผ่นกราวด์ (ดังที่กล่าวข้างต้น) ซึ่งฉันจะวางไว้ใต้เท้าขณะเขียนบทความเหล่านี้ ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่น ครอบครัวของเราใช้ประโยชน์จากสนามหญ้าอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาอยู่กลางแจ้งโดยไม่สวมรองเท้า (และมักจะไม่สวมถุงเท้าด้วย) นอกเหนือจากประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากการเดินเท้าเปล่าแล้ว เรายังถือว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นเรื่องปกติทั้งในบ้านและนอกบ้านเมื่ออากาศดี การพัดใบไม้บนทางเท้าและทางเข้าบ้านเป็นครั้งคราวจะช่วยลดกิ่งไม้หรืออันตรายอื่นๆ ในบริเวณนั้นได้ บทสรุป โดยสรุป การต่อสายดินเป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่เป็นธรรมชาติซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การเชื่อมต่อร่างกายของเรากับพื้นผิวโลกจะช่วยให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าตามธรรมชาติของโลกได้ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลระบบไฟฟ้าของร่างกายและลดการอักเสบได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ความเครียดและความวิตกกังวลลดลง กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดีขึ้น พลังงานเพิ่มขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย มีหลายวิธีในการฝึกลงกราวด์หรือต่อสายดิน ตั้งแต่การเดินเท้าเปล่านอกบ้านบนพื้นผิวธรรมชาติไปจนถึงการใช้เสื่อหรือแผ่นลงกราวด์ที่เสียบปลั๊กลงดิน การเลือกพื้นผิวที่นำไฟฟ้าได้ เช่น หญ้า ดิน หรือทราย ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะเสี่ยงต่อการโดนหินกระแทกเมื่อเหยียบลงบนหญ้าแล้ว ความเสี่ยงยังต่ำและยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนั้นควรถอดรองเท้าแล้วออกไปข้างนอก cr:MBD
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคนเปรียบเปรย..ได้เข้าท่ามาก..ใครดู มวยปล้ำ สมาคม wwe จะเห็นภาพเลย ....นี่คือ กลยุทธ์ ที่ ทรัมป์ และ ผู้นำ อีกหลายคนใช้...คือ เหมือนจะจริง เหมือนจะรุนแรง....แต่ไม่ใช่..มีจริง ปนหลอก มี story เรื่องราว ..จุดประสงค์คือ การ entertainment คนดู คนฟัง...แปลง่ายๆ คือ พูดเรียกแขก ..อาจมีจริงบางส่วน ..แต่จะไม่รุนแรงในแบบที่เห็น...
    มีคนเปรียบเปรย..ได้เข้าท่ามาก..ใครดู มวยปล้ำ สมาคม wwe จะเห็นภาพเลย ....นี่คือ กลยุทธ์ ที่ ทรัมป์ และ ผู้นำ อีกหลายคนใช้...คือ เหมือนจะจริง เหมือนจะรุนแรง....แต่ไม่ใช่..มีจริง ปนหลอก มี story เรื่องราว ..จุดประสงค์คือ การ entertainment คนดู คนฟัง...แปลง่ายๆ คือ พูดเรียกแขก ..อาจมีจริงบางส่วน ..แต่จะไม่รุนแรงในแบบที่เห็น...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้คาดการณ์ว่า AI อาจเข้ามาแทนที่วิศวกรระดับกลางในปี 2025 และเปลี่ยนแปลงการเขียนโค้ดอย่างสิ้นเชิง ในการสัมภาษณ์กับ Joe Rogan Zuckerberg กล่าวถึงทิศทางของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้วิจารณ์ Apple ว่าขาดนวัตกรรมและคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขียนโค้ด

    Zuckerberg กล่าวว่า AI จะสามารถทำหน้าที่เป็นวิศวกรระดับกลางที่สามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าในช่วงแรกการนำ AI มาใช้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถพัฒนาโค้ดได้มากกว่ามนุษย์

    การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม นอกจากนี้ ซีอีโอของ Salesforce ยังได้กล่าวถึงการพิจารณาการจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และการใช้ AI ในการทำงานแทนมนุษย์

    การนำ AI มาใช้ในงานวิศวกรรมอาจทำให้บทบาทของวิศวกรเปลี่ยนแปลงไป และต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้

    https://wccftech.com/mark-zuckerberg-predicts-ai-might-replace-mid-level-engineers-in-2025-and-completely-reshape-coding/
    Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ได้คาดการณ์ว่า AI อาจเข้ามาแทนที่วิศวกรระดับกลางในปี 2025 และเปลี่ยนแปลงการเขียนโค้ดอย่างสิ้นเชิง ในการสัมภาษณ์กับ Joe Rogan Zuckerberg กล่าวถึงทิศทางของบริษัทและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้วิจารณ์ Apple ว่าขาดนวัตกรรมและคาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขียนโค้ด Zuckerberg กล่าวว่า AI จะสามารถทำหน้าที่เป็นวิศวกรระดับกลางที่สามารถเขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้วิศวกรมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่สร้างสรรค์และเชิงกลยุทธ์ แม้ว่าในช่วงแรกการนำ AI มาใช้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถพัฒนาโค้ดได้มากกว่ามนุษย์ การคาดการณ์นี้สอดคล้องกับการพัฒนาในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม นอกจากนี้ ซีอีโอของ Salesforce ยังได้กล่าวถึงการพิจารณาการจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และการใช้ AI ในการทำงานแทนมนุษย์ การนำ AI มาใช้ในงานวิศวกรรมอาจทำให้บทบาทของวิศวกรเปลี่ยนแปลงไป และต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ https://wccftech.com/mark-zuckerberg-predicts-ai-might-replace-mid-level-engineers-in-2025-and-completely-reshape-coding/
    WCCFTECH.COM
    Mark Zuckerberg Predicts AI Might Replace Mid-Level Engineers In 2025 And Completely Reshape Coding
    Mark Zuckerberg recently shared his views on a podcast about the role of AI and how it might replace mid level engineers in 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง
    ไฟไหม้ยังไม่ยุติและมีเรื่องบังเอิญงอกแปลกขึ้นเรื่อยๆคือ

    1.บังเอิญผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียรายนี้กำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวาระถัดไปในปี 2570 ก่อนเพลิงไหม้ไม่กี่วันเขาตัดงบประมาณสำหรับการดับไฟป่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไม่ต่อสัญญาการป้องกันอัคคีภัยกับบริษัทการบินดับไฟป่าแล้วโยกเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ไปทำบริการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จะได้รับการแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันและมีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนชาวอเมริกันจริงๆต้องจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพเอาเอง

    2.บังเอิญนายกเทศมนตรีลอสแองเจลิสจากพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณราว 17.6 ล้านดอลลาร์ของหน่วยดับเพลิงก่อนเกิดไฟไหม้พอดี พนักงานที่เคยมี 3,500 คนจึงถูกเลิกจ้างแทบทั้งหมด

    3.บังเอิญว่าอุปกรณ์ดับเพลิง ส่วนใหญ่ของเมืองถูกขนส่งไปให้ยูเครนตามนโยบายของรัฐบาลไบเดน ในวันเริ่มเพลิงไหม้ จึงเหลือคนงานดับเพลิงใหม่ที่ขาดประสบการณ์เพียง 109 คน รถดับเพลิง 65 คัน เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และอุปกรณ์อีกเล็กน้อย หน่วยดับเพลิง 29 แห่งของนครลอสแองเจลิส จึงร้องขอนักดับเพลิงจากเทศบาลอื่นมาช่วยเหลือและกรมราชทัณฑ์รัฐแคลิฟอร์เนียส่งนักโทษที่ถูกคุมขัง 395 คนมาช่วยดับไฟ กลุ่มคนหนุ่มสาวใช้รถมอเตอร์ไซค์พยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านแต่พวกเขาหาน้ำดับไฟไม่ได้เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด จ้างซ่อม ปล่อย
    น้ำจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียวก่อนเกิดเพลิงไหม้พอดี

    4.บังเอิญในวันเริ่มไฟไหม้ เป็นวันที่มีแรงลมเร็วถึง 160 กมต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่น มีกำหนดเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง แต่งานถูกยกเลิกเพราะต้นไม้ล้มเขาระบุว่าภัยคุกคามจากลมแรงที่ทำให้ไฟไหม้ อ้างว่าที่การดับเพลิงทำได้ล่าช้าเนื่องจากต้องตัดกระแสไฟเครื่องปั้มน้ำดับเพลิง จึงใช้งานไม่ได้ทั้งที่ปกติแล้วปั้มน้ำดับเพลิงติดตั้งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

    5.บังเอิญคฤหาสน์หรูคนดังเช่น ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายผู้นำสหรัฐชื่อกระฉ่อนถูกไฟไหม้เหลือแต่ตอ ไฟลุกลามไปที่เมืองที่ตั้งบ้านของกมลา แฮริส รองประธานาธิบดี อาโนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ดารารุ่นเดอะ และคนดังอีกมากมาย แต่คฤหาสน์ของทอม แฮงค์ ดาราคนดังรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่บ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังเกาหัว บ้านคนดังเหล่านั้นสะสมของมีค่าเช่นเครื่องประดับสินค้าสารพัดแบรนด์เนม limited ภาพวาดศิลปะ ประมูลภาพถ่ายต้นฉบับส่วนตัว และของที่สะสมมาทั้งชีวิตประเมินมูลค่าไม่ได้

    6.บังเอิญเมล กิ๊บสัน ดาราคนดังที่ไฟไหม้คฤหาสน์หรูวอดวายเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างเผ็ดร้อนมาหลายปี เรียกร้องให้ผู้นำรัฐออกมาชี้แจงว่านโยบายต่างๆที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจากสถิติย้อนหลังแต่ละปีเกิดเหตุเพลิงไหม้ในรัฐนี้เฉลี่ยกว่า 8,000 ครั้ง หัวจะปวด

    7.บังเอิญว่าก่อนเพลิงไหม้ บริษัทประกันภัยต่างต่างพากันแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ของเจ้าของคฤหาสน์หรูหลายพันหลังในพื้นที่เพลิงไหม้พอดี ทำให้ไม่ได้รับเงินชดเชยค่าสินใหมในการสร้างใหม่ คงต้องขายหรือให้เช่าที่ดินในราคาถูก

    8.บังเอิญในปี 2571 นคร ลอสแองเจลิสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก มีนักลงทุนหัวใสทำโครงการชื่อสมารท์ LA 2028 มีเป้าหมายเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นมหานครอัจฉริยะและยั่งยืน จะมีทีมนักกีฬาและผู้คนทั่วโลกมาเยือนจับจ่ายใช้สอย มีการระดมเงินทุนเครือข่ายผลประโยชน์จำนวนมากไปยังโครงการนี้ จัดการแบ่งเขตและแบ่งเค็ก การพัฒนาเมือง แม้แต่บริษัทประกันภัยต่างๆก็เอาด้วย

    9.บังเอิญกองทุน BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดการสินทรัพย์มูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 391 ล้านล้านบาท ประกาศยกเลิกโครงการจัดการสินทรัพย์เท Zero ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์เช่นการปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง การวัดปล่อยก๊าซคาร์บอนประเมินว่านักธุรกิจเงินหนา หันมาให้ความสำคัญกับผลกำไรตอบแทนจับต้องได้จากการลงทุนมากกว่า

    นามอธรรมสมมุติในจินตนาการไฟบรรลัยกันนี้คงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดขึ้นอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปูทางไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาควบคุมได้ซึ่งตรงกับช่วงไฮไลท์กีฬาโอลิมปิกจากทั่วโลกพอดีนั่นเอง

    โปรดกดไลค์กดแชร์พร้อมกดปุ่มติดตามไว้แจ้งเตือนตอนต่อไป

    World Update - ซุปเปอร์ไฟบรรลัยกัลป์ วายร้ายหักเหลี่ยมโหด
    https://youtu.be/XgX-zhUajsk?si=ZJFUMzWvCh7AmKxT

    Cr.fb.นบพ์ รตต์ฉัตร


    17/1/68 ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ไฟไหม้ยังไม่ยุติและมีเรื่องบังเอิญงอกแปลกขึ้นเรื่อยๆคือ 1.บังเอิญผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียรายนี้กำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวาระถัดไปในปี 2570 ก่อนเพลิงไหม้ไม่กี่วันเขาตัดงบประมาณสำหรับการดับไฟป่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไม่ต่อสัญญาการป้องกันอัคคีภัยกับบริษัทการบินดับไฟป่าแล้วโยกเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ไปทำบริการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จะได้รับการแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันและมีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนชาวอเมริกันจริงๆต้องจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพเอาเอง 2.บังเอิญนายกเทศมนตรีลอสแองเจลิสจากพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณราว 17.6 ล้านดอลลาร์ของหน่วยดับเพลิงก่อนเกิดไฟไหม้พอดี พนักงานที่เคยมี 3,500 คนจึงถูกเลิกจ้างแทบทั้งหมด 3.บังเอิญว่าอุปกรณ์ดับเพลิง ส่วนใหญ่ของเมืองถูกขนส่งไปให้ยูเครนตามนโยบายของรัฐบาลไบเดน ในวันเริ่มเพลิงไหม้ จึงเหลือคนงานดับเพลิงใหม่ที่ขาดประสบการณ์เพียง 109 คน รถดับเพลิง 65 คัน เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และอุปกรณ์อีกเล็กน้อย หน่วยดับเพลิง 29 แห่งของนครลอสแองเจลิส จึงร้องขอนักดับเพลิงจากเทศบาลอื่นมาช่วยเหลือและกรมราชทัณฑ์รัฐแคลิฟอร์เนียส่งนักโทษที่ถูกคุมขัง 395 คนมาช่วยดับไฟ กลุ่มคนหนุ่มสาวใช้รถมอเตอร์ไซค์พยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านแต่พวกเขาหาน้ำดับไฟไม่ได้เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด จ้างซ่อม ปล่อย น้ำจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียวก่อนเกิดเพลิงไหม้พอดี 4.บังเอิญในวันเริ่มไฟไหม้ เป็นวันที่มีแรงลมเร็วถึง 160 กมต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่น มีกำหนดเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง แต่งานถูกยกเลิกเพราะต้นไม้ล้มเขาระบุว่าภัยคุกคามจากลมแรงที่ทำให้ไฟไหม้ อ้างว่าที่การดับเพลิงทำได้ล่าช้าเนื่องจากต้องตัดกระแสไฟเครื่องปั้มน้ำดับเพลิง จึงใช้งานไม่ได้ทั้งที่ปกติแล้วปั้มน้ำดับเพลิงติดตั้งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 5.บังเอิญคฤหาสน์หรูคนดังเช่น ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายผู้นำสหรัฐชื่อกระฉ่อนถูกไฟไหม้เหลือแต่ตอ ไฟลุกลามไปที่เมืองที่ตั้งบ้านของกมลา แฮริส รองประธานาธิบดี อาโนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ดารารุ่นเดอะ และคนดังอีกมากมาย แต่คฤหาสน์ของทอม แฮงค์ ดาราคนดังรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่บ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังเกาหัว บ้านคนดังเหล่านั้นสะสมของมีค่าเช่นเครื่องประดับสินค้าสารพัดแบรนด์เนม limited ภาพวาดศิลปะ ประมูลภาพถ่ายต้นฉบับส่วนตัว และของที่สะสมมาทั้งชีวิตประเมินมูลค่าไม่ได้ 6.บังเอิญเมล กิ๊บสัน ดาราคนดังที่ไฟไหม้คฤหาสน์หรูวอดวายเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างเผ็ดร้อนมาหลายปี เรียกร้องให้ผู้นำรัฐออกมาชี้แจงว่านโยบายต่างๆที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจากสถิติย้อนหลังแต่ละปีเกิดเหตุเพลิงไหม้ในรัฐนี้เฉลี่ยกว่า 8,000 ครั้ง หัวจะปวด 7.บังเอิญว่าก่อนเพลิงไหม้ บริษัทประกันภัยต่างต่างพากันแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ของเจ้าของคฤหาสน์หรูหลายพันหลังในพื้นที่เพลิงไหม้พอดี ทำให้ไม่ได้รับเงินชดเชยค่าสินใหมในการสร้างใหม่ คงต้องขายหรือให้เช่าที่ดินในราคาถูก 8.บังเอิญในปี 2571 นคร ลอสแองเจลิสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก มีนักลงทุนหัวใสทำโครงการชื่อสมารท์ LA 2028 มีเป้าหมายเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นมหานครอัจฉริยะและยั่งยืน จะมีทีมนักกีฬาและผู้คนทั่วโลกมาเยือนจับจ่ายใช้สอย มีการระดมเงินทุนเครือข่ายผลประโยชน์จำนวนมากไปยังโครงการนี้ จัดการแบ่งเขตและแบ่งเค็ก การพัฒนาเมือง แม้แต่บริษัทประกันภัยต่างๆก็เอาด้วย 9.บังเอิญกองทุน BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดการสินทรัพย์มูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 391 ล้านล้านบาท ประกาศยกเลิกโครงการจัดการสินทรัพย์เท Zero ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์เช่นการปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง การวัดปล่อยก๊าซคาร์บอนประเมินว่านักธุรกิจเงินหนา หันมาให้ความสำคัญกับผลกำไรตอบแทนจับต้องได้จากการลงทุนมากกว่า นามอธรรมสมมุติในจินตนาการไฟบรรลัยกันนี้คงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดขึ้นอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปูทางไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาควบคุมได้ซึ่งตรงกับช่วงไฮไลท์กีฬาโอลิมปิกจากทั่วโลกพอดีนั่นเอง โปรดกดไลค์กดแชร์พร้อมกดปุ่มติดตามไว้แจ้งเตือนตอนต่อไป World Update - ซุปเปอร์ไฟบรรลัยกัลป์ วายร้ายหักเหลี่ยมโหด https://youtu.be/XgX-zhUajsk?si=ZJFUMzWvCh7AmKxT Cr.fb.นบพ์ รตต์ฉัตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 538 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dice เว็บไซต์หางานที่เน้นไปที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม เผยว่า ผู้เชี่ยวชาญและผู้จัดการที่ทำงานกับโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังมีความพึงพอใจในงานมากขึ้นด้วย การสำรวจนี้จัดทำขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี 2,835 คนเข้าร่วม

    เนื้อหาหลักจะประกอบด้วย:
    1) การเพิ่มขึ้นของเงินเดือน: ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมีรายได้เฉลี่ย 112,521 ดอลลาร์ต่อปี โดยผู้บริหารและผู้จัดการด้านไอทีมีรายได้สูงสุดเกือบ 170,000 ดอลลาร์ต่อปี ทักษะที่มีการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และทักษะที่เกี่ยวข้องกับ Amazon และ AWS

    2) เปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มเงินเดือน: การเปลี่ยนงานบ่อยเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการหารายได้ การเปลี่ยนงานอย่างมีกลยุทธ์อาจเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับการเติบโตของเงินเดือน

    3) ความพึงพอใจในงาน: ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงการ AI มีความพึงพอใจในงานสูงกว่าคู่แข่ง แม้จะควบคุมระดับเงินเดือนแล้วก็ตาม การมีส่วนร่วมในงาน AI อาจให้ประโยชน์ที่ไม่ใช่แค่เงินเดือน

    4) โอกาสที่เพิ่มขึ้น: ผู้ตอบแบบสอบถามหญิงที่เป็นผู้บุกเบิกในสาขาที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่กล่าวว่า โอกาสและวัฒนธรรมในที่ทำงานเปิดกว้างมากขึ้น

    https://www.zdnet.com/home-and-office/work-life/these-tech-skills-drove-the-biggest-salary-increases-over-the-past-year/
    Dice เว็บไซต์หางานที่เน้นไปที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม เผยว่า ผู้เชี่ยวชาญและผู้จัดการที่ทำงานกับโซลูชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังมีความพึงพอใจในงานมากขึ้นด้วย การสำรวจนี้จัดทำขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี 2,835 คนเข้าร่วม เนื้อหาหลักจะประกอบด้วย: 1) การเพิ่มขึ้นของเงินเดือน: ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมีรายได้เฉลี่ย 112,521 ดอลลาร์ต่อปี โดยผู้บริหารและผู้จัดการด้านไอทีมีรายได้สูงสุดเกือบ 170,000 ดอลลาร์ต่อปี ทักษะที่มีการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และทักษะที่เกี่ยวข้องกับ Amazon และ AWS 2) เปลี่ยนงานเพื่อเพิ่มเงินเดือน: การเปลี่ยนงานบ่อยเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการหารายได้ การเปลี่ยนงานอย่างมีกลยุทธ์อาจเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับการเติบโตของเงินเดือน 3) ความพึงพอใจในงาน: ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงการ AI มีความพึงพอใจในงานสูงกว่าคู่แข่ง แม้จะควบคุมระดับเงินเดือนแล้วก็ตาม การมีส่วนร่วมในงาน AI อาจให้ประโยชน์ที่ไม่ใช่แค่เงินเดือน 4) โอกาสที่เพิ่มขึ้น: ผู้ตอบแบบสอบถามหญิงที่เป็นผู้บุกเบิกในสาขาที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่กล่าวว่า โอกาสและวัฒนธรรมในที่ทำงานเปิดกว้างมากขึ้น https://www.zdnet.com/home-and-office/work-life/these-tech-skills-drove-the-biggest-salary-increases-over-the-past-year/
    WWW.ZDNET.COM
    These tech skills drove the biggest salary increases over the past year
    A new tech salaries report suggests that working with AI boosts both pay and satisfaction - but it also cautions that excessive job hopping can work against you.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1)

    ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่....

    โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย
    ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด”
    ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย”
    ..ชีวเคมี (Biochemistry)…
    อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!!
    Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน
    ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you
    (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด
    การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ
    การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell
    ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ”
    -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
    ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา
    ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน..
    Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่..
    ...จำไว้นะ..
    การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง
    เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม
    เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์
    เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร
    ...อีกครั้ง..
    มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา
    แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
    ..ข้อสังเกตุ..
    ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน...
    ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร
    เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1) ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่.... โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด” ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย” ..ชีวเคมี (Biochemistry)… อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!! Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ” -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน.. Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่.. ...จำไว้นะ.. การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์ เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร ...อีกครั้ง.. มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ..ข้อสังเกตุ.. ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน... ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mark Zuckerberg CEO ของ Meta ได้ประกาศว่าปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับพนักงาน โดยบริษัทจะลดพนักงานลง 5% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและกำจัดพนักงานที่มีผลงานต่ำ การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพของบริษัท

    Zuckerberg ได้แจ้งพนักงานผ่านบันทึกภายในว่า การลดพนักงานครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถจ้างพนักงานใหม่ที่มีแรงจูงใจมากขึ้น และการเลิกจ้างจะขึ้นอยู่กับผลงานของพนักงาน โดยปกติแล้ว Meta จะประเมินผลการทำงานของพนักงานในช่วงสิ้นปี แต่ในปีนี้บริษัทจะใช้กลยุทธ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในการประเมินผลการทำงาน

    Meta มีพนักงานประมาณ 72,000 คน และการลดพนักงาน 5% จะส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 3,600 คน พนักงานที่ได้รับผลกระทบจะได้รับแจ้งภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ การลดพนักงานครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Meta ทำ โดยในปี 2023 บริษัทได้เลิกจ้างพนักงานประมาณ 10,000 คน

    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Meta ได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในองค์กร ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีแรงจูงใจทางการเมือง การตัดสินใจเช่นนี้มักจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและอาจมีผลกระทบต่อการรักษาพนักงาน

    https://wccftech.com/metas-ceo-mark-zuckerberg-warns-of-a-challenging-year-ahead-plans-to-cut-5-of-workforce-to-swiftly-address-low-performance/
    Mark Zuckerberg CEO ของ Meta ได้ประกาศว่าปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับพนักงาน โดยบริษัทจะลดพนักงานลง 5% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและกำจัดพนักงานที่มีผลงานต่ำ การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพของบริษัท Zuckerberg ได้แจ้งพนักงานผ่านบันทึกภายในว่า การลดพนักงานครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถจ้างพนักงานใหม่ที่มีแรงจูงใจมากขึ้น และการเลิกจ้างจะขึ้นอยู่กับผลงานของพนักงาน โดยปกติแล้ว Meta จะประเมินผลการทำงานของพนักงานในช่วงสิ้นปี แต่ในปีนี้บริษัทจะใช้กลยุทธ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในการประเมินผลการทำงาน Meta มีพนักงานประมาณ 72,000 คน และการลดพนักงาน 5% จะส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 3,600 คน พนักงานที่ได้รับผลกระทบจะได้รับแจ้งภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ การลดพนักงานครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Meta ทำ โดยในปี 2023 บริษัทได้เลิกจ้างพนักงานประมาณ 10,000 คน การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Meta ได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในองค์กร ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีแรงจูงใจทางการเมือง การตัดสินใจเช่นนี้มักจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและอาจมีผลกระทบต่อการรักษาพนักงาน https://wccftech.com/metas-ceo-mark-zuckerberg-warns-of-a-challenging-year-ahead-plans-to-cut-5-of-workforce-to-swiftly-address-low-performance/
    WCCFTECH.COM
    Meta's CEO Mark Zuckerberg Warns Of A Challenging Year Ahead, Plans To Cut 5% Of Workforce To Swiftly Address Low Performance
    Meta's CEO Mark Zuckerberg in an internal memo, shared about his decision to cut 5 percent of its workforce based on performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • Arm บริษัทที่มีชื่อเสียงในการออกแบบสถาปัตยกรรมชุดคำสั่งและส่วนประกอบของโปรเซสเซอร์ กำลังพิจารณาเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้ โดยมีแผนที่จะเสนอการออกแบบชิปที่สมบูรณ์และชิปขนาดเล็ก (chiplets) ที่สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของลูกค้า Arm เอง นอกจากนี้ Arm ยังมีแผนที่จะเพิ่มราคาลิขสิทธิ์สูงสุดถึง 300%

    ในปี 2019 Arm ได้เปิดตัวโครงการ Picasso โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้จากสมาร์ทโฟนปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า กลยุทธ์นี้รวมถึงการเพิ่มอัตราค่าลิขสิทธิ์สำหรับส่วนประกอบชิปที่ออกแบบล่วงหน้าบนสถาปัตยกรรม Armv9 ถึง 300% ปัจจุบัน Arm ได้เปิดตัวแพ็คเกจ IP ของระบบคอมพิวเตอร์ (CSS) ซึ่งประกอบด้วย CPU และ GPU ที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ทำให้พันธมิตรของ Arm สามารถสร้างโปรเซสเซอร์สำหรับอุปกรณ์ลูกค้าหรือศูนย์ข้อมูลได้เร็วขึ้น

    Rene Haas CEO ของ Arm ได้เสนอแนวทางที่รุนแรงยิ่งขึ้นในการเพิ่มรายได้ของบริษัท โดยเสนอให้บริษัทเริ่มขายชิปขนาดเล็กที่สามารถใช้สร้างระบบในแพ็คเกจ (SiPs) ซึ่งจะช่วยให้พันธมิตรที่เกิดใหม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา IP ที่แตกต่างกัน เช่น CPU หรือ GPU ที่มีวัตถุประสงค์ทั่วไป

    กลยุทธ์ใหม่นี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของ Arm ที่จะเติบโตเกินกว่ารูปแบบการให้ลิขสิทธิ์แบบดั้งเดิม และขยายความร่วมมือกับผู้ผลิตอุปกรณ์ เช่น Samsung เพื่อเติบโตในตลาดพีซีและศูนย์ข้อมูล

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/arm-crafts-plan-to-raise-prices-by-up-to-300-percent-mulls-designing-own-chips-to-rival-competitors
    Arm บริษัทที่มีชื่อเสียงในการออกแบบสถาปัตยกรรมชุดคำสั่งและส่วนประกอบของโปรเซสเซอร์ กำลังพิจารณาเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้ โดยมีแผนที่จะเสนอการออกแบบชิปที่สมบูรณ์และชิปขนาดเล็ก (chiplets) ที่สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของลูกค้า Arm เอง นอกจากนี้ Arm ยังมีแผนที่จะเพิ่มราคาลิขสิทธิ์สูงสุดถึง 300% ในปี 2019 Arm ได้เปิดตัวโครงการ Picasso โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้จากสมาร์ทโฟนปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า กลยุทธ์นี้รวมถึงการเพิ่มอัตราค่าลิขสิทธิ์สำหรับส่วนประกอบชิปที่ออกแบบล่วงหน้าบนสถาปัตยกรรม Armv9 ถึง 300% ปัจจุบัน Arm ได้เปิดตัวแพ็คเกจ IP ของระบบคอมพิวเตอร์ (CSS) ซึ่งประกอบด้วย CPU และ GPU ที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ทำให้พันธมิตรของ Arm สามารถสร้างโปรเซสเซอร์สำหรับอุปกรณ์ลูกค้าหรือศูนย์ข้อมูลได้เร็วขึ้น Rene Haas CEO ของ Arm ได้เสนอแนวทางที่รุนแรงยิ่งขึ้นในการเพิ่มรายได้ของบริษัท โดยเสนอให้บริษัทเริ่มขายชิปขนาดเล็กที่สามารถใช้สร้างระบบในแพ็คเกจ (SiPs) ซึ่งจะช่วยให้พันธมิตรที่เกิดใหม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา IP ที่แตกต่างกัน เช่น CPU หรือ GPU ที่มีวัตถุประสงค์ทั่วไป กลยุทธ์ใหม่นี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของ Arm ที่จะเติบโตเกินกว่ารูปแบบการให้ลิขสิทธิ์แบบดั้งเดิม และขยายความร่วมมือกับผู้ผลิตอุปกรณ์ เช่น Samsung เพื่อเติบโตในตลาดพีซีและศูนย์ข้อมูล https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/arm-crafts-plan-to-raise-prices-by-up-to-300-percent-mulls-designing-own-chips-to-rival-competitors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • COAC(H)EOlogist ผสานศาสตร์ซึ่งเป็นความสำเร็จและความล้มเหลวของ CEO และวิธีการที่ CEO สร้างผลงานและผลลัพธ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นผ่านกระบวนการโค้ชหลากมิติแบบองค์รวม ถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ถอดรหัสด้วยวิธีการ “INSIGTSHACK”

    วันนี้เราเริ่มต้นกันด้วยกรณีศึกษาที่น่าสนใจขององค์กรชั้นนำ
    ย้อนกลับไปในยุค 80s Michael Dell หนุ่มน้อยไฟแรง ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ Dell จากห้องพักในหอพักมหาวิทยาลัย ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบคมและกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร Dell เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการธุรกิจ
    แล้ววันหนึ่ง เมื่อ Michael Dell ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO Dell ก็เริ่มสูญเสียพลังแห่งการบุกเบิก บริษัทเติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ความคล่องตัวลดลง และเริ่มห่างเหินจากลูกค้า Michael Dell ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขากลับมาบริหารงานอีกครั้ง และนำ Dell ออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร เสริมสร้าง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" และพา Dell กลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง

    ไม่เพียงแค่ Dell เท่านั้น บริษัทไอทีชั้นนำอย่าง HP และ Apple ก็เคยประสบปัญหาจากการสูญเสีย "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เช่นกัน

    Meg Whitman CEO ของ HP ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟู HP ด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง ลดขนาดองค์กร และเพิ่มการลงทุนใน R&D

    ส่วน Apple ทุกคนคงทราบดีถึงเรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

    เรื่องราวของ Dell, HP และ Apple สะท้อนให้เห็นว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร

    คำถามที่น่าใจคือแล้ว "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" คืออะไร? องค์ประกอบสำคัญมีอะไรบ้าง? และองค์กรของคุณจะรักษาจิตวิญญาณนี้ไว้ได้อย่างไร?

    🎯 ตอนนี้…คำถามสำหรับองค์กรของคุณ:
    •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่?
    •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่?
    •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่?
    .
    ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแนะนำกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับโแกาส และความไว้วางใจจากผู้ก่อตั้งองค์กรก่อนส่งต่อยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับบรรดาผู้ก่อตะ้งองค์กรหลายประเภท หลายขนาด ในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งต่างปรารถนาที่จะให้ “องค์กรที่ปลุกปั้นมากับมือเติบโต แข็งแกร่ง”
    บ้างก็สมตามเจตนาและความตั้งใจ บางแห่ง บางองค์กรรู้สึกอึดอัดใจ
    ในฐานะของผู้มีจิตวิญญาณของนักวินิจฉัย ที่ปรึกษาองค์กร โค้ชทางธุรกิจ และนักวิจัยองค์กรที่ศึกษาวิธีปฏิบัติที่ดีมามากมายย่อมต้องหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า
    คำถามบอกทิศ ... คำตอบบอกทาง ดังนั้นคำถามที่ดีมีชียไปกว่าครึ่ง “องค์กรในระดับโลกทำอย่างไร?”

    ในโลกธุรกิจ พลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งคือพลังงาน ความมุ่งมั่น และวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" นี้สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับบริษัท แม้ผู้ก่อตั้งจะไม่ได้บริหารงานแล้วก็ตาม แต่หากสูญเสียจิตวิญญาณนี้ไป บริษัทก็อาจสูญเสียคุณค่าอย่างรวดเร็ว
    องค์กรชั้นนำ Dell, Hewlett-Packard และ Apple ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และการเติบโตขององค์กร ทำให้บริษัทเหล่านี้เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง จนประสบปัญหาต่างๆ
    •Dell
    หลัง Michael Dell ลาออกจากตำแหน่ง CEO Dell เริ่มชะลอตัว จนเขาต้องกลับมาบริหารงานอีกครั้ง และตัดสินใจนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ (private) เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร
    •HP
    Meg Whitman CEO ของ HP พยายามกอบกู้บริษัทด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง แยก HP ออกเป็นสองบริษัท ลดจำนวนพนักงาน และเพิ่มการลงทุนใน R&D
    • Apple
    เรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

    จากการวิจัยพบว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
    1.พันธกิจแห่งการบุกเบิก: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงาน
    2.ความมุ่งมั่นในแนวหน้า: ให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานที่สัมผัสลูกค้าโดยตรง
    3.กรอบความคิดแบบเจ้าของ: รับผิดชอบต่อผลลัพธ์และเติบโตอย่างยั่งยืน
    .
    องค์กรที่รักษาจิตวิญญาณผู้ก่อตั้งไว้ได้ แม้เติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ก็ยังคงความคล่องตัว มีพลัง และดึงดูดคนเก่งได้
    .
    คำถามสำหรับองค์กรของคุณ:
    •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่?
    •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่?
    •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่?
    หากคำตอบคือ ... "ไม่"
    ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เพื่อพาองค์กรกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง

    Dell, HP และ Apple
    ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งอีกครั้ง
    และทำไมองค์กรคุณจึงควรทำเช่นเดียวกัน

    ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งและฟื้นคืนชีพองค์กรสู่วิสัยทัศน์ผู้ก่อตั้งกับบริการของเรา:
    เราช่วยองค์กรวิเคราะห์และฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ผ่านกระบวนการที่เข้มข้น
    •สัมภาษณ์ผู้บริหาร: เพื่อทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ ปัญหา และเป้าหมายขององค์กร
    •วิเคราะห์ข้อมูล: เพื่อประเมินสถานะ "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ในองค์กร
    •จัด Workshop: เพื่อสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับพนักงาน
    •พัฒนาแผนปฏิบัติการ: เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ
    ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!

    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ “LIFE ALIGNMENTOR”, แบรนด์ “10X CONSULTING” ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ - กลยุทธ์กว่า 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ

    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ
    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป
    #Dechritgroup
    #10Xconsulting
    #lifealignmentor
    พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก
    https://10-xconsulting.com
    ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี
    “ผสานความดีxความเก่ง”
    https://lifealignmentor.com
    COAC(H)EOlogist ผสานศาสตร์ซึ่งเป็นความสำเร็จและความล้มเหลวของ CEO และวิธีการที่ CEO สร้างผลงานและผลลัพธ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นผ่านกระบวนการโค้ชหลากมิติแบบองค์รวม ถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงที่ถอดรหัสด้วยวิธีการ “INSIGTSHACK” วันนี้เราเริ่มต้นกันด้วยกรณีศึกษาที่น่าสนใจขององค์กรชั้นนำ ย้อนกลับไปในยุค 80s Michael Dell หนุ่มน้อยไฟแรง ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ Dell จากห้องพักในหอพักมหาวิทยาลัย ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบคมและกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร Dell เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการธุรกิจ แล้ววันหนึ่ง เมื่อ Michael Dell ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO Dell ก็เริ่มสูญเสียพลังแห่งการบุกเบิก บริษัทเติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ความคล่องตัวลดลง และเริ่มห่างเหินจากลูกค้า Michael Dell ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขากลับมาบริหารงานอีกครั้ง และนำ Dell ออกจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร เสริมสร้าง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" และพา Dell กลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง ไม่เพียงแค่ Dell เท่านั้น บริษัทไอทีชั้นนำอย่าง HP และ Apple ก็เคยประสบปัญหาจากการสูญเสีย "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เช่นกัน Meg Whitman CEO ของ HP ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟู HP ด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง ลดขนาดองค์กร และเพิ่มการลงทุนใน R&D ส่วน Apple ทุกคนคงทราบดีถึงเรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม เรื่องราวของ Dell, HP และ Apple สะท้อนให้เห็นว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร คำถามที่น่าใจคือแล้ว "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" คืออะไร? องค์ประกอบสำคัญมีอะไรบ้าง? และองค์กรของคุณจะรักษาจิตวิญญาณนี้ไว้ได้อย่างไร? 🎯 ตอนนี้…คำถามสำหรับองค์กรของคุณ: •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่? •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่? •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่? . ประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแนะนำกว่า 30 ปี ทำให้ได้รับโแกาส และความไว้วางใจจากผู้ก่อตั้งองค์กรก่อนส่งต่อยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับบรรดาผู้ก่อตะ้งองค์กรหลายประเภท หลายขนาด ในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งต่างปรารถนาที่จะให้ “องค์กรที่ปลุกปั้นมากับมือเติบโต แข็งแกร่ง” บ้างก็สมตามเจตนาและความตั้งใจ บางแห่ง บางองค์กรรู้สึกอึดอัดใจ ในฐานะของผู้มีจิตวิญญาณของนักวินิจฉัย ที่ปรึกษาองค์กร โค้ชทางธุรกิจ และนักวิจัยองค์กรที่ศึกษาวิธีปฏิบัติที่ดีมามากมายย่อมต้องหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า คำถามบอกทิศ ... คำตอบบอกทาง ดังนั้นคำถามที่ดีมีชียไปกว่าครึ่ง “องค์กรในระดับโลกทำอย่างไร?” ในโลกธุรกิจ พลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งคือพลังงาน ความมุ่งมั่น และวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" นี้สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับบริษัท แม้ผู้ก่อตั้งจะไม่ได้บริหารงานแล้วก็ตาม แต่หากสูญเสียจิตวิญญาณนี้ไป บริษัทก็อาจสูญเสียคุณค่าอย่างรวดเร็ว องค์กรชั้นนำ Dell, Hewlett-Packard และ Apple ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และการเติบโตขององค์กร ทำให้บริษัทเหล่านี้เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง จนประสบปัญหาต่างๆ •Dell หลัง Michael Dell ลาออกจากตำแหน่ง CEO Dell เริ่มชะลอตัว จนเขาต้องกลับมาบริหารงานอีกครั้ง และตัดสินใจนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ (private) เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร •HP Meg Whitman CEO ของ HP พยายามกอบกู้บริษัทด้วยการย้อนกลับไปสู่หลักการดั้งเดิมของผู้ก่อตั้ง แยก HP ออกเป็นสองบริษัท ลดจำนวนพนักงาน และเพิ่มการลงทุนใน R&D • Apple เรื่องราวของ Steve Jobs ที่ออกจาก Apple แล้วบริษัทเริ่มมีปัญหา แต่เมื่อเขากลับมา Apple ก็กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม จากการวิจัยพบว่า "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก 1.พันธกิจแห่งการบุกเบิก: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงาน 2.ความมุ่งมั่นในแนวหน้า: ให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานที่สัมผัสลูกค้าโดยตรง 3.กรอบความคิดแบบเจ้าของ: รับผิดชอบต่อผลลัพธ์และเติบโตอย่างยั่งยืน . องค์กรที่รักษาจิตวิญญาณผู้ก่อตั้งไว้ได้ แม้เติบโตเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ก็ยังคงความคล่องตัว มีพลัง และดึงดูดคนเก่งได้ . คำถามสำหรับองค์กรของคุณ: •คุณยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งหรือไม่? •องค์กรของคุณมีความคล่องตัว รวดเร็ว และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีหรือไม่? •พนักงานของคุณมีแรงบันดาลใจและรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรหรือไม่? หากคำตอบคือ ... "ไม่" ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" เพื่อพาองค์กรกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง Dell, HP และ Apple ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งอีกครั้ง และทำไมองค์กรคุณจึงควรทำเช่นเดียวกัน ค้นพบวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งและฟื้นคืนชีพองค์กรสู่วิสัยทัศน์ผู้ก่อตั้งกับบริการของเรา: เราช่วยองค์กรวิเคราะห์และฟื้นฟู "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ผ่านกระบวนการที่เข้มข้น •สัมภาษณ์ผู้บริหาร: เพื่อทำความเข้าใจวิสัยทัศน์ ปัญหา และเป้าหมายขององค์กร •วิเคราะห์ข้อมูล: เพื่อประเมินสถานะ "จิตวิญญาณผู้ก่อตั้ง" ในองค์กร •จัด Workshop: เพื่อสร้างความเข้าใจและแรงบันดาลใจให้กับพนักงาน •พัฒนาแผนปฏิบัติการ: เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี! เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ “LIFE ALIGNMENTOR”, แบรนด์ “10X CONSULTING” ที่ปรึกษามืออาชีพแบรนด์เดียวในไทยที่มีประสบการณ์ตรงกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ - กลยุทธ์กว่า 3,000 โครงการ เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาธุรกิจและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ #เดชฤทธิ์กรุ๊ป #Dechritgroup #10Xconsulting #lifealignmentor พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก https://10-xconsulting.com ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี “ผสานความดีxความเก่ง” https://lifealignmentor.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • " ที่มาของคำว่าทรัมป์บ้า!!!!! "

    Foreign Policy : ทรัมป์เคยพ่ายแพ้ต่ออิหร่านมาแล้ว
    กลยุทธ์ "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) ของทรัมป์ในเวทีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน กลับกลายเป็นหมากที่ไม่ได้ผล เพราะอิหร่านมองทะลุถึงเจตนาและวิธีการของทรัมป์อย่างชัดเจน
    นิตยสาร ฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นสำคัญ โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีคนบ้า" ในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้นำที่คาดเดาไม่ได้และเต็มไปด้วยความอันตราย แต่คำถามสำคัญคือ วิธีการนี้สามารถบีบให้อิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ หรือกลับทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น?
    ทรัมป์เป็นที่รู้จักจากแนวทางที่ผิดแผกไปจากผู้นำทั่วไปในด้านการทูต หนึ่งในกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ทฤษฎีคนบ้า" ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็นในสมัยริชาร์ด นิกสัน แนวคิดนี้เชื่อว่า ผู้นำสามารถบีบให้คู่ต่อสู้ยอมอ่อนข้อได้โดยการแสดงออกถึงความไม่แน่นอนและการข่มขู่ที่ดูรุนแรง แต่สำหรับเวทีการปะทะกับอิหร่าน คำถามคือ ทฤษฎีนี้ช่วยทรัมป์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลึกสู่ความรุนแรง?

    ทรัมป์และกลยุทธ์การเจรจาที่อิหร่านไม่สะทกสะท้าน
    โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดถึงแนวทางการเจรจาของเขาอย่างภาคภูมิใจ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2018 เขากล่าวว่า "ผมเป็นนักเจรจาที่มักจะวางตัวเลือกที่หลากหลายไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาก้าวต่อไปของผมได้" หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของแนวทางนี้คือการข่มขู่ "ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์" เกาหลีเหนือ ในสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ แต่เมื่อใช้วิธีเดียวกันนี้กับอิหร่าน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์หวังไว้

    นโยบาย “กดดันสูงสุด” และความล้มเหลวในการบีบอิหร่าน
    ในปี 2018 ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) และเริ่มดำเนินนโยบาย "กดดันสูงสุด" (Maximum Pressure) ด้วยความหวังว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น เปิดเผยในหนังสือของเขาว่า ทรัมป์เชื่อมั่นว่า "อิหร่านจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ และในที่สุดจะกลับมาที่โต๊ะเจรจา"

    การตอบโต้ของอิหร่าน: ท้าทายทุกแรงกดดัน
    แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง อิหร่านไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการเจรจา แต่ยังขยายโครงการนิวเคลียร์และเพิ่มปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาคเพื่อแสดงถึงความไม่ยอมจำนน มูฮัมหมัด ญาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในขณะนั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ทรัมป์คิดว่าแรงกดดันจะทำให้เราอ่อนข้อ แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านยืนหยัดในหน้าความกดดันเสมอ" ความพยายามของทรัมป์ในการบีบอิหร่านด้วยนโยบายกดดันสูงสุดจึงกลายเป็นการเดินเกมที่ไม่ได้ผล อิหร่านตอบโต้ด้วยการยืนหยัดและแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ

    ปมร้อน: การสังหารสุไลมานีและความล้มเหลวของ "ทฤษฎีคนบ้า"
    หนึ่งในการตัดสินใจที่สร้างความสั่นสะเทือนที่สุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการออกคำสั่งให้สังหาร นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ในเดือนมกราคม 2020 การโจมตีนี้เกิดขึ้นใกล้สนามบินกรุงแบกแดด และนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน อิหร่านตอบโต้การสังหารสุไลมานีด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกันในอิรัก พร้อมประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) อีกต่อไป
    เมื่อ "ทฤษฎีคนบ้า" ไม่ได้ผล
    โรซานา แมคมานัส ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต อธิบายว่า "ทฤษฎีคนบ้า" จะได้ผลก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนจริงในบางเรื่อง แต่หากผู้นำนั้นดูไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป ความเชื่อถือในคำขู่จะลดลง และกลยุทธ์จะล้มเหลว ในกรณีของทรัมป์ นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า พฤติกรรมของเขาเริ่มคาดเดาได้มากเกินไป เช่น การตัดสินใจไม่ตอบโต้ทางทหารหลังจากอิหร่านยิงโดรนอเมริกันตกในเดือนมิถุนายน 2019 การกระทำดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการทำสงคราม การส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับคำขู่ของเขาอย่างจริงจัง นโยบาย "กดดันสูงสุด" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งหวังให้อิหร่านอ่อนข้อและยอมทำตามข้อตกลงที่เข้มงวดกว่าเดิม กลับกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง อิหร่านไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังใช้โอกาสนี้ขยายโครงการนิวเคลียร์และเสริมสร้างอิทธิพลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น
    เรซานา แมคมานัส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ออกโรงเตือนว่า "ผู้นำควรระวังไม่ให้ชื่อเสียงในความบ้าบิ่นกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง" เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้าใจเกมและการกระทำที่ดูเหมือนเหนือความคาดหมาย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกลับกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ

    ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจหวนกลับมาใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่เขาต้องพิจารณาคือคู่แข่ง โดยเฉพาะอิหร่าน ต่างคุ้นเคยกับเกมนี้ดีและพร้อมรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ทรัมป์ไม่สามารถพึ่งพาความคาดเดาไม่ได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะการเล่นเกมซ้ำที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจดี อาจกลายเป็นหายนะในทางการทูต

    (เรียบเรียงโดยสมาคมนักเรียนไทยในอีร่าน)
    " ที่มาของคำว่าทรัมป์บ้า!!!!! " Foreign Policy : ทรัมป์เคยพ่ายแพ้ต่ออิหร่านมาแล้ว กลยุทธ์ "ทฤษฎีคนบ้า" (Madman Theory) ของทรัมป์ในเวทีการเผชิญหน้ากับอิหร่าน กลับกลายเป็นหมากที่ไม่ได้ผล เพราะอิหร่านมองทะลุถึงเจตนาและวิธีการของทรัมป์อย่างชัดเจน นิตยสาร ฟอเรน โพลิซี (Foreign Policy) ซึ่งเป็นสื่อวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์บทความชิ้นสำคัญ โดยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีคนบ้า" ในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองให้ดูเป็นผู้นำที่คาดเดาไม่ได้และเต็มไปด้วยความอันตราย แต่คำถามสำคัญคือ วิธีการนี้สามารถบีบให้อิหร่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ หรือกลับทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้น? ทรัมป์เป็นที่รู้จักจากแนวทางที่ผิดแผกไปจากผู้นำทั่วไปในด้านการทูต หนึ่งในกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ "ทฤษฎีคนบ้า" ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็นในสมัยริชาร์ด นิกสัน แนวคิดนี้เชื่อว่า ผู้นำสามารถบีบให้คู่ต่อสู้ยอมอ่อนข้อได้โดยการแสดงออกถึงความไม่แน่นอนและการข่มขู่ที่ดูรุนแรง แต่สำหรับเวทีการปะทะกับอิหร่าน คำถามคือ ทฤษฎีนี้ช่วยทรัมป์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งดิ่งลึกสู่ความรุนแรง? ทรัมป์และกลยุทธ์การเจรจาที่อิหร่านไม่สะทกสะท้าน โดนัลด์ ทรัมป์เคยพูดถึงแนวทางการเจรจาของเขาอย่างภาคภูมิใจ โดยในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2018 เขากล่าวว่า "ผมเป็นนักเจรจาที่มักจะวางตัวเลือกที่หลากหลายไว้บนโต๊ะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาก้าวต่อไปของผมได้" หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของแนวทางนี้คือการข่มขู่ "ทำลายล้างอย่างสมบูรณ์" เกาหลีเหนือ ในสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติ แต่เมื่อใช้วิธีเดียวกันนี้กับอิหร่าน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่ทรัมป์หวังไว้ นโยบาย “กดดันสูงสุด” และความล้มเหลวในการบีบอิหร่าน ในปี 2018 ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) และเริ่มดำเนินนโยบาย "กดดันสูงสุด" (Maximum Pressure) ด้วยความหวังว่าอิหร่านจะยอมรับข้อตกลงใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในขณะนั้น เปิดเผยในหนังสือของเขาว่า ทรัมป์เชื่อมั่นว่า "อิหร่านจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้ และในที่สุดจะกลับมาที่โต๊ะเจรจา" การตอบโต้ของอิหร่าน: ท้าทายทุกแรงกดดัน แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง อิหร่านไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการเจรจา แต่ยังขยายโครงการนิวเคลียร์และเพิ่มปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาคเพื่อแสดงถึงความไม่ยอมจำนน มูฮัมหมัด ญาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านในขณะนั้น กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ทรัมป์คิดว่าแรงกดดันจะทำให้เราอ่อนข้อ แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านยืนหยัดในหน้าความกดดันเสมอ" ความพยายามของทรัมป์ในการบีบอิหร่านด้วยนโยบายกดดันสูงสุดจึงกลายเป็นการเดินเกมที่ไม่ได้ผล อิหร่านตอบโต้ด้วยการยืนหยัดและแสดงศักยภาพของตนเองให้เห็นอย่างชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศ ปมร้อน: การสังหารสุไลมานีและความล้มเหลวของ "ทฤษฎีคนบ้า" หนึ่งในการตัดสินใจที่สร้างความสั่นสะเทือนที่สุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการออกคำสั่งให้สังหาร นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน ในเดือนมกราคม 2020 การโจมตีนี้เกิดขึ้นใกล้สนามบินกรุงแบกแดด และนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน อิหร่านตอบโต้การสังหารสุไลมานีด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกันในอิรัก พร้อมประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ในข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) อีกต่อไป เมื่อ "ทฤษฎีคนบ้า" ไม่ได้ผล โรซานา แมคมานัส ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต อธิบายว่า "ทฤษฎีคนบ้า" จะได้ผลก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้เชื่อว่าผู้นำมีความไม่แน่นอนจริงในบางเรื่อง แต่หากผู้นำนั้นดูไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป ความเชื่อถือในคำขู่จะลดลง และกลยุทธ์จะล้มเหลว ในกรณีของทรัมป์ นักวิเคราะห์หลายคนเห็นว่า พฤติกรรมของเขาเริ่มคาดเดาได้มากเกินไป เช่น การตัดสินใจไม่ตอบโต้ทางทหารหลังจากอิหร่านยิงโดรนอเมริกันตกในเดือนมิถุนายน 2019 การกระทำดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทรัมป์ไม่ต้องการทำสงคราม การส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับคำขู่ของเขาอย่างจริงจัง นโยบาย "กดดันสูงสุด" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งหวังให้อิหร่านอ่อนข้อและยอมทำตามข้อตกลงที่เข้มงวดกว่าเดิม กลับกลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง อิหร่านไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ยังใช้โอกาสนี้ขยายโครงการนิวเคลียร์และเสริมสร้างอิทธิพลในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น เรซานา แมคมานัส นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต ออกโรงเตือนว่า "ผู้นำควรระวังไม่ให้ชื่อเสียงในความบ้าบิ่นกลายเป็นจุดอ่อนของตนเอง" เพราะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้าใจเกมและการกระทำที่ดูเหมือนเหนือความคาดหมาย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจกลับกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจหวนกลับมาใช้ "ทฤษฎีคนบ้า" อีกครั้ง สิ่งสำคัญที่เขาต้องพิจารณาคือคู่แข่ง โดยเฉพาะอิหร่าน ต่างคุ้นเคยกับเกมนี้ดีและพร้อมรับมือด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม ทรัมป์ไม่สามารถพึ่งพาความคาดเดาไม่ได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะการเล่นเกมซ้ำที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจดี อาจกลายเป็นหายนะในทางการทูต (เรียบเรียงโดยสมาคมนักเรียนไทยในอีร่าน)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทไทยเพิ่งชนะประมูลผลิตไฟจากโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียราคา 1.09 บาทตลอด25ปี แต่นายกฯจะให้กกพ.รับซื้อราคา 2.17 บาทตลอด 25 ปี!!??

    ข่าวจากฐานเศรษฐกิจว่าบริษัทGPSC ของไทยคว้าโซลาร์ฯ ในอินเดียกำลังผลิต 421 เมกฯเพิ่มไฟฟ้าสีเขียว ดันกำลังการผลิตในประเทศอินเดียพุ่งสูงกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ในราคา2.70 รูปี (0.03ดอลลาร์สหรัฐ) เทียบเป็นเงินไทย 1.09 บาท/หน่วย เป็นเวลา 25ปี

    ตามเงื่อนไขการประมูล ซึ่งจะมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า หรือ PPA ที่มีอายุสัญญารับซื้อเป็นเวลา 25 ปี แผนการดำเนินโครงการต้องให้แล้วเสร็จภายใน 18 เดือน โดยคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 750 ล้านหน่วยต่อปี สามารถจ่ายไฟฟ้าครอบคลุมภาคครัวเรือน ประมาณ 5 แสนครัวเรือนด้วยพลังงานสะอาด และยังมีส่วนสำคัญต่อการลดการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศเทียบเท่า 698,250 ตันต่อปี

    อินเดียประมูลซื้อขายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ลดลงตลอดอย่างน่าทึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 อินเดียประมูลซื้อไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ได้ในราคา 1.44 บาท/หน่วย พร้อมแบตเตอรี่

    แต่ประเทศไทยโดย คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ภายใต้นโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)ที่มีนายกรัฐมนตรี
    แพทองธารเป็นประธาน ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากแสงแดดในราคา 2.17 บาท/หน่วยโดยไม่มีแบตเตอรี่ เป็นเวลา25ปี และให้เวลาเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ 2-5 ปี (2570-2573) ตามแผนพัฒนาพลังงาน(PDP) 2018

    ต้องถามว่ากกพ.ประกาศทำตามมติ กพช. ที่ให้ล็อคทั้งชื่อบริษัท และ ราคา โดยไม่ใช่การประมูล เรียกว่าเหมือนการประกวดนางงามบริษัทที่ใช้ดุลยพินิจเป็นหลัก บริษัทที่ผ่านเข้ารอบดูเพียงคุณสมบัติ แต่ไม่ให้มีการประมูลราคาที่บริษัทจะขายในราคาต่ำที่สุดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้ไฟอย่างแท้จริง

    ที่น่าสนใจคือ บริษัทGPSC ที่ชนะการประมูลผลิตโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียในราคา 1.09 บาท ก็อยู่ในลิสต์รายชื่อบริษัทอันดับที่5 เสนอขายไฟฟ้า 118 เมกกะวัตต์ ที่กกพ.จะประกาศให้เป็นผู้มาทำสัญญาขายไฟในราคา 2.17 บาทโดยไม่มีแบตเตอรี่ (การมีแบตเตอรี่จะทำให้สามารถจ่ายไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน)

    ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) เสนอว่าสามารถผลิตได้ในราคา 1.50 บาท/หน่วย แต่ กกพ. ไม่ให้มาแข่งกับเอกชน ซึ่งที่จริงไม่ใช่การแข่งด้วยซ้ำ
    เพราะกพช. กำหนดราคาตายตัวไว้เลยที่2.17 บาท/หน่วย แสดงว่าจงใจให้บริษัทเอกชนได้กำไรเห็นๆ ไปยาวๆ 25ปี และไม่ต้องการให้กฟผ.ผลิตทั้งที่ทำได้ถูกกว่า เเละกฟผ.มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้าโดยตรง แต่กำลังจะทำให้ กฟผ.กลายเป็น กฟซ.
    หรือการไฟฟ้าฝ่ายซื้อ(ไฟแพง)จากเอกชนมาขายประชาชนเป็นหลัก

    ราคาพลังงานไฟฟ้าไม่มีทางถูกในระบบผูกขาดกินรวบของระบอบธุรกิจการเมือง

    ค่าไฟถูกจะเป็นเพียงกลยุทธ์ประชานิยมเพื่อหวังสร้างคะแนนเสียงชั่วครั้งชั่วคราวของรัฐบาลและพรรคการเมืองเท่านั้น

    ถ้าจะทำให้ค่าไฟราคาถูกอย่างเป็นธรรมได้ ต้องปรับโครงสร้างพลังงานให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่ผูกขาดเท่านั้น ที่ประชาชนจะได้ค่าไฟที่เป็นธรรมอย่างถาวร

    ประชาชนควรตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยโง่กว่ารัฐบาลประเทศอื่น หรือจงใจคอร์รัปชันเชิงนโยบายผ่องถ่ายกำไรมหาศาลให้กลุ่มธุรกิจเอกชนกันแน่??!!

    รสนา โตสิตระกูล
    10 มกราคม 2568
    บริษัทไทยเพิ่งชนะประมูลผลิตไฟจากโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียราคา 1.09 บาทตลอด25ปี แต่นายกฯจะให้กกพ.รับซื้อราคา 2.17 บาทตลอด 25 ปี!!?? ข่าวจากฐานเศรษฐกิจว่าบริษัทGPSC ของไทยคว้าโซลาร์ฯ ในอินเดียกำลังผลิต 421 เมกฯเพิ่มไฟฟ้าสีเขียว ดันกำลังการผลิตในประเทศอินเดียพุ่งสูงกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ในราคา2.70 รูปี (0.03ดอลลาร์สหรัฐ) เทียบเป็นเงินไทย 1.09 บาท/หน่วย เป็นเวลา 25ปี ตามเงื่อนไขการประมูล ซึ่งจะมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า หรือ PPA ที่มีอายุสัญญารับซื้อเป็นเวลา 25 ปี แผนการดำเนินโครงการต้องให้แล้วเสร็จภายใน 18 เดือน โดยคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 750 ล้านหน่วยต่อปี สามารถจ่ายไฟฟ้าครอบคลุมภาคครัวเรือน ประมาณ 5 แสนครัวเรือนด้วยพลังงานสะอาด และยังมีส่วนสำคัญต่อการลดการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศเทียบเท่า 698,250 ตันต่อปี อินเดียประมูลซื้อขายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ลดลงตลอดอย่างน่าทึ่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 อินเดียประมูลซื้อไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ได้ในราคา 1.44 บาท/หน่วย พร้อมแบตเตอรี่ แต่ประเทศไทยโดย คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ภายใต้นโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)ที่มีนายกรัฐมนตรี แพทองธารเป็นประธาน ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากแสงแดดในราคา 2.17 บาท/หน่วยโดยไม่มีแบตเตอรี่ เป็นเวลา25ปี และให้เวลาเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ 2-5 ปี (2570-2573) ตามแผนพัฒนาพลังงาน(PDP) 2018 ต้องถามว่ากกพ.ประกาศทำตามมติ กพช. ที่ให้ล็อคทั้งชื่อบริษัท และ ราคา โดยไม่ใช่การประมูล เรียกว่าเหมือนการประกวดนางงามบริษัทที่ใช้ดุลยพินิจเป็นหลัก บริษัทที่ผ่านเข้ารอบดูเพียงคุณสมบัติ แต่ไม่ให้มีการประมูลราคาที่บริษัทจะขายในราคาต่ำที่สุดซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้ไฟอย่างแท้จริง ที่น่าสนใจคือ บริษัทGPSC ที่ชนะการประมูลผลิตโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียในราคา 1.09 บาท ก็อยู่ในลิสต์รายชื่อบริษัทอันดับที่5 เสนอขายไฟฟ้า 118 เมกกะวัตต์ ที่กกพ.จะประกาศให้เป็นผู้มาทำสัญญาขายไฟในราคา 2.17 บาทโดยไม่มีแบตเตอรี่ (การมีแบตเตอรี่จะทำให้สามารถจ่ายไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน) ส่วนการไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) เสนอว่าสามารถผลิตได้ในราคา 1.50 บาท/หน่วย แต่ กกพ. ไม่ให้มาแข่งกับเอกชน ซึ่งที่จริงไม่ใช่การแข่งด้วยซ้ำ เพราะกพช. กำหนดราคาตายตัวไว้เลยที่2.17 บาท/หน่วย แสดงว่าจงใจให้บริษัทเอกชนได้กำไรเห็นๆ ไปยาวๆ 25ปี และไม่ต้องการให้กฟผ.ผลิตทั้งที่ทำได้ถูกกว่า เเละกฟผ.มีหน้าที่ผลิตไฟฟ้าโดยตรง แต่กำลังจะทำให้ กฟผ.กลายเป็น กฟซ. หรือการไฟฟ้าฝ่ายซื้อ(ไฟแพง)จากเอกชนมาขายประชาชนเป็นหลัก ราคาพลังงานไฟฟ้าไม่มีทางถูกในระบบผูกขาดกินรวบของระบอบธุรกิจการเมือง ค่าไฟถูกจะเป็นเพียงกลยุทธ์ประชานิยมเพื่อหวังสร้างคะแนนเสียงชั่วครั้งชั่วคราวของรัฐบาลและพรรคการเมืองเท่านั้น ถ้าจะทำให้ค่าไฟราคาถูกอย่างเป็นธรรมได้ ต้องปรับโครงสร้างพลังงานให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่ผูกขาดเท่านั้น ที่ประชาชนจะได้ค่าไฟที่เป็นธรรมอย่างถาวร ประชาชนควรตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยโง่กว่ารัฐบาลประเทศอื่น หรือจงใจคอร์รัปชันเชิงนโยบายผ่องถ่ายกำไรมหาศาลให้กลุ่มธุรกิจเอกชนกันแน่??!! รสนา โตสิตระกูล 10 มกราคม 2568
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า Arm กำลังพิจารณาการเข้าซื้อกิจการของ Ampere Computing ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Oracle เพื่อขยายฐานในตลาดศูนย์ข้อมูล

    การเข้าซื้อกิจการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นของ Arm ในการกระจายแหล่งรายได้และขยายฐานในตลาดศูนย์ข้อมูลที่มีมูลค่าสูง แม้ว่า Arm จะครองตลาดชิปมือถือและชิปฝังตัว แต่ตลาดศูนย์ข้อมูลยังคงถูกครอบครองโดยสถาปัตยกรรม x86

    Ampere Computing เป็นบริษัทที่ออกแบบโปรเซสเซอร์สำหรับระบบศูนย์ข้อมูลโดยใช้สถาปัตยกรรมของ Arm ซึ่งเป็นทางเลือกที่ประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์ x86 แบบดั้งเดิมจาก Intel และ AMD ผลิตภัณฑ์หลักของ Ampere เช่น โปรเซสเซอร์ Altra และ Altra Max ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ให้บริการคลาวด์เนื่องจากประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงและความสามารถในการจัดการงานที่ทันสมัย. การควบรวมกิจการหรือการเข้าซื้อกิจการอาจช่วยให้ Arm ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและฐานลูกค้าของ Ampere เพื่อเร่งการเจาะตลาดศูนย์ข้อมูล

    การเข้าซื้อกิจการนี้อาจสร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทอื่นๆ ในระบบนิเวศของ Arm ที่แข่งขันในตลาดเซิร์ฟเวอร์. นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการยังอาจดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Arm เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะต่อไปหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ล่าสุด

    SoftBank และ Arm จะต้องประเมินอย่างรอบคอบว่าการเข้าซื้อกิจการเต็มรูปแบบหรือการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Ampere จะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ระยะยาวของพวกเขามากกว่า. ขณะนี้การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น และยังไม่ชัดเจนว่า Arm จะดำเนินการเข้าซื้อกิจการเต็มรูปแบบหรือเลือกใช้รูปแบบความร่วมมืออื่นกับ Ampere แทน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/arm-considers-acquisition-of-oracle-backed-ampere-computing-to-expand-data-center-footprint
    มีรายงานว่า Arm กำลังพิจารณาการเข้าซื้อกิจการของ Ampere Computing ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Oracle เพื่อขยายฐานในตลาดศูนย์ข้อมูล การเข้าซื้อกิจการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นของ Arm ในการกระจายแหล่งรายได้และขยายฐานในตลาดศูนย์ข้อมูลที่มีมูลค่าสูง แม้ว่า Arm จะครองตลาดชิปมือถือและชิปฝังตัว แต่ตลาดศูนย์ข้อมูลยังคงถูกครอบครองโดยสถาปัตยกรรม x86 Ampere Computing เป็นบริษัทที่ออกแบบโปรเซสเซอร์สำหรับระบบศูนย์ข้อมูลโดยใช้สถาปัตยกรรมของ Arm ซึ่งเป็นทางเลือกที่ประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์ x86 แบบดั้งเดิมจาก Intel และ AMD ผลิตภัณฑ์หลักของ Ampere เช่น โปรเซสเซอร์ Altra และ Altra Max ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ให้บริการคลาวด์เนื่องจากประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่สูงและความสามารถในการจัดการงานที่ทันสมัย. การควบรวมกิจการหรือการเข้าซื้อกิจการอาจช่วยให้ Arm ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและฐานลูกค้าของ Ampere เพื่อเร่งการเจาะตลาดศูนย์ข้อมูล การเข้าซื้อกิจการนี้อาจสร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทอื่นๆ ในระบบนิเวศของ Arm ที่แข่งขันในตลาดเซิร์ฟเวอร์. นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการยังอาจดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานกำกับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Arm เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะต่อไปหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ล่าสุด SoftBank และ Arm จะต้องประเมินอย่างรอบคอบว่าการเข้าซื้อกิจการเต็มรูปแบบหรือการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Ampere จะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ระยะยาวของพวกเขามากกว่า. ขณะนี้การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น และยังไม่ชัดเจนว่า Arm จะดำเนินการเข้าซื้อกิจการเต็มรูปแบบหรือเลือกใช้รูปแบบความร่วมมืออื่นกับ Ampere แทน https://www.tomshardware.com/tech-industry/arm-considers-acquisition-of-oracle-backed-ampere-computing-to-expand-data-center-footprint
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Arm considers acquiring Ampere Computing to expand datacenter business
    Ampere designs processors for data center systems based on Arm's architecture
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดม้ามืดปราจีน รอบนี้วางแผนมาดีเกินกว่าจะปราชัย
    สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ปราจีนบุรีกำลังเป็นที่จับตา ใครจะมาวิน แม้ ส.จ.จอย ในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย และเป็นทายาทการเมืองของ “ส.จ.โต้ง” สามีผู้ล่วงลับ จะเป็นข่าวครึมโครมกว่าผู้สมัครรายอื่น แต่คนปราจีนฯ กลับให้น้ำหนักของคู่แข่งที่ชื่อ “กำนันศักดิ์” มากกว่า ส.จ.จอย
    หลังที่เมืองปราจีนเกิดสุญญากาศอำนาจ ส.จ.โต้ง ถูกล้อมฆ่า ส่วน “โกทร” ตกเป็นผู้ต้องหา ต้องอยู่ในคุกระหว่างสู้คดี นาทีนี้ “บ้านใหญ่” แห่งเมืองปราจีนไม่มีใครใหญ่กว่า “กำนันศักดิ์แห่งบ้านคลองรั้ง” อีกแล้ว
    กำนันศักดิ์มาครบทั้งบารมีทางการเมือง และฐานะทางการเงินที่แน่นปึ้ก ร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน สามารถลุยสนามเลือกตั้งได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งเงินใคร ต่างจาก ส.จ.จอย ซึ่งไม่มีเงินมากพอจะสู้ศึกเลือกตั้ง เพียงแต่ได้น้ำเลี้ยงจากพรรคเพื่อไทย และก็บรรดานักการเมืองขาใหญ่หลายคนที่ประกาศพร้อมช่วย
    ไม่ว่าจะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ และ เสี่ยเฮ้ง แต่กำนันศักดิ์ก็ใช่จะ “ข้ามาคนเดียว” ถึงจะลงสมัครในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม
    แต่จริงๆ แล้ว กำนันศักดิ์นี่แหละคือตัวตายตัวแทนของโกทร ซึ่งพรรคภูมิใจไทยหนุนหลังอยู่ การไม่ใช้ชื่อพรรคภูมิใจไทย ถือเป็นกลยุทธ์หาเสียง และการประสานความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ ได้ดีกว่า จะช่วยให้กำนันศักดิ์ได้คะแนนเสียง มากกว่าลงในนามพรรค เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยคุมพื้นที่ปราจีนบุรีมานาน ผ่านเครือข่ายบ้านใหญ่อย่างโกทร พอเกิดคดีสังหาร ส.จ.โต้งขึ้นมา พรรคภูมิใจไทยจึงพบว่าเวลานี้ ไม่เหลือคนในตระกูลวิลาวัลย์ ที่จะส่งลงเป็นตัวแทนของพรรคอีกแล้ว
    เพราะลูกสาวก็ถูกตัดสิทธิทางการเมือง น้องสาวก็โดนคดีทุจริตคาอยู่ใน ป.ป.ช.ถึง 15 คดี กำนันศักดิ์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งต้องการรักษาฐานอำนาจในพื้นที่ปราจีนบุรีไว้ตามเดิม
    งานนี้ไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นผู้สมัครอิสระ แต่กำนันศักดิ์มีพรรคภูมิใจไทยเป็นกองหนุนแน่นอน ในการตรึงป้อมค่ายเมืองปราจีนไม่ให้ถูกพรรคเพื่อไทยตีแตกอย่างแน่นอน ติดตาม
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    เปิดม้ามืดปราจีน รอบนี้วางแผนมาดีเกินกว่าจะปราชัย สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ปราจีนบุรีกำลังเป็นที่จับตา ใครจะมาวิน แม้ ส.จ.จอย ในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย และเป็นทายาทการเมืองของ “ส.จ.โต้ง” สามีผู้ล่วงลับ จะเป็นข่าวครึมโครมกว่าผู้สมัครรายอื่น แต่คนปราจีนฯ กลับให้น้ำหนักของคู่แข่งที่ชื่อ “กำนันศักดิ์” มากกว่า ส.จ.จอย หลังที่เมืองปราจีนเกิดสุญญากาศอำนาจ ส.จ.โต้ง ถูกล้อมฆ่า ส่วน “โกทร” ตกเป็นผู้ต้องหา ต้องอยู่ในคุกระหว่างสู้คดี นาทีนี้ “บ้านใหญ่” แห่งเมืองปราจีนไม่มีใครใหญ่กว่า “กำนันศักดิ์แห่งบ้านคลองรั้ง” อีกแล้ว กำนันศักดิ์มาครบทั้งบารมีทางการเมือง และฐานะทางการเงินที่แน่นปึ้ก ร่ำรวยเป็นพันๆ ล้าน สามารถลุยสนามเลือกตั้งได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งเงินใคร ต่างจาก ส.จ.จอย ซึ่งไม่มีเงินมากพอจะสู้ศึกเลือกตั้ง เพียงแต่ได้น้ำเลี้ยงจากพรรคเพื่อไทย และก็บรรดานักการเมืองขาใหญ่หลายคนที่ประกาศพร้อมช่วย ไม่ว่าจะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ และ เสี่ยเฮ้ง แต่กำนันศักดิ์ก็ใช่จะ “ข้ามาคนเดียว” ถึงจะลงสมัครในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม แต่จริงๆ แล้ว กำนันศักดิ์นี่แหละคือตัวตายตัวแทนของโกทร ซึ่งพรรคภูมิใจไทยหนุนหลังอยู่ การไม่ใช้ชื่อพรรคภูมิใจไทย ถือเป็นกลยุทธ์หาเสียง และการประสานความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ ได้ดีกว่า จะช่วยให้กำนันศักดิ์ได้คะแนนเสียง มากกว่าลงในนามพรรค เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยคุมพื้นที่ปราจีนบุรีมานาน ผ่านเครือข่ายบ้านใหญ่อย่างโกทร พอเกิดคดีสังหาร ส.จ.โต้งขึ้นมา พรรคภูมิใจไทยจึงพบว่าเวลานี้ ไม่เหลือคนในตระกูลวิลาวัลย์ ที่จะส่งลงเป็นตัวแทนของพรรคอีกแล้ว เพราะลูกสาวก็ถูกตัดสิทธิทางการเมือง น้องสาวก็โดนคดีทุจริตคาอยู่ใน ป.ป.ช.ถึง 15 คดี กำนันศักดิ์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งต้องการรักษาฐานอำนาจในพื้นที่ปราจีนบุรีไว้ตามเดิม งานนี้ไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นผู้สมัครอิสระ แต่กำนันศักดิ์มีพรรคภูมิใจไทยเป็นกองหนุนแน่นอน ในการตรึงป้อมค่ายเมืองปราจีนไม่ให้ถูกพรรคเพื่อไทยตีแตกอย่างแน่นอน ติดตาม ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 428 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลั่นหามาเล่า Ep.178 : ลบล้ม - เร่งรุ่ง

    เทคนิคจากการถอดประสบการณ์และการเรียนรู้หลังการให้คำปรึกษาแนะนำของวิทยากรที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์พัฒนาการจัดการตลอดเวลา 30 ปี

    รับฟังได้ที่ช่องทาง :
    https://youtu.be/RM3l7Vz4dh8
    https://youtu.be/27CpI3XNPCA
    https://youtu.be/tqri6kImwVM
    https://www.tiktok.com/@wasitprombutr/video/7457415104448007431?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7407669738484057617
    https://www.blockdit.com/posts/677e14e1cab7f1e04a7cb08c

    สนใจการพัฒนาทักษะแห่งอนาคตตอบโจทย์ทักษะสำคัญสำหรับปี 2025 โดยแบรนด์ 10X Consulting และ LIFE ALIGNMENTOR ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการ Accreditationด้านการพัฒนาศักยภาพบุคคล ทีม และองค์กรในระดับสากล เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาผลิตภาพของบุคลากร ทีมและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ

    เดชฤทธิ์ กรุ๊ป
    ที่ปรึกษากลยุทธ์การจัดการองค์กร ทีม และการยกระดับศักยภาพบุคลากรสู่ความเป็นเลิศด้วยกระบวนการ “พัฒนาคนให้เก่งสร้างทีมแกร่งกระบวนการเยี่ยมผลลัพธ์ยอด”
    ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor
    บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ
    #เดชฤทธิ์กรุ๊ป
    #Dechritgroup
    #10Xconsulting
    #lifealignmentor
    พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก
    www.10-xconsulting.com
    ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี
    “ผสานความดีxความเก่ง”
    www.lifealignmentor.com

    ติดต่อสอบถาม :
    LINE OFFICIAL: @10xconsulting, @lifealignmentor
    กลั่นหามาเล่า Ep.178 : ลบล้ม - เร่งรุ่ง เทคนิคจากการถอดประสบการณ์และการเรียนรู้หลังการให้คำปรึกษาแนะนำของวิทยากรที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์พัฒนาการจัดการตลอดเวลา 30 ปี รับฟังได้ที่ช่องทาง : https://youtu.be/RM3l7Vz4dh8 https://youtu.be/27CpI3XNPCA https://youtu.be/tqri6kImwVM https://www.tiktok.com/@wasitprombutr/video/7457415104448007431?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7407669738484057617 https://www.blockdit.com/posts/677e14e1cab7f1e04a7cb08c สนใจการพัฒนาทักษะแห่งอนาคตตอบโจทย์ทักษะสำคัญสำหรับปี 2025 โดยแบรนด์ 10X Consulting และ LIFE ALIGNMENTOR ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการ Accreditationด้านการพัฒนาศักยภาพบุคคล ทีม และองค์กรในระดับสากล เรามีทีมงานมืออาชีพซึ่งมีประสบการณ์พัฒนาผลิตภาพของบุคลากร ทีมและองค์กรมานานกว่า 30 ปี พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตพร้อมกับคุณ เดชฤทธิ์ กรุ๊ป ที่ปรึกษากลยุทธ์การจัดการองค์กร ทีม และการยกระดับศักยภาพบุคลากรสู่ความเป็นเลิศด้วยกระบวนการ “พัฒนาคนให้เก่งสร้างทีมแกร่งกระบวนการเยี่ยมผลลัพธ์ยอด” ผู้บริหารแบรนด์ 10X Consulting และ Life Alignmentor บริการครบเครื่องเรื่องพัฒนาศักยภาพ #เดชฤทธิ์กรุ๊ป #Dechritgroup #10Xconsulting #lifealignmentor พัฒนาองค์กรและผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก www.10-xconsulting.com ปั้นคนให้เป็นแชมป์ด้วยพลังทวี “ผสานความดีxความเก่ง” www.lifealignmentor.com ติดต่อสอบถาม : LINE OFFICIAL: @10xconsulting, @lifealignmentor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังหน่วยงานต่างๆ ของไต้หวันเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2024 มาอยู่ที่เฉลี่ย 2.4 ล้านครั้งต่อวัน โดยส่วนใหญ่เป็นปฏิบัติการของกองกำลังไซเบอร์ในจีน ตามข้อมูลจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไต้หวัน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไต้หวันร้องเรียนว่าถูกปักกิ่งข่มขู่ด้วยกลยุทธ์พื้นที่สีเทา (grey zone harrassment) ซึ่งมีตั้งแต่การเปิดซ้อมรบทางทหาร การส่งบอลลูนเข้าน่านฟ้าไต้หวัน และปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อที่จะบีบบังคับให้เกาะประชาธิปไตยแห่งนี้ยอมรับว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน

    รายงานของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไต้หวันที่เผยแพร่วานนี้ (5 ม.ค.) ระบุว่า เครือข่ายบริการแห่งรัฐบาลไต้หวัน (Government Service Network - GSN) ตรวจพบการโจมตีทางไซเบอร์ต่อหน่วยงานต่างๆ เฉลี่ย 2.4 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากค่าเฉลี่ย 1.2 ล้านครั้งต่อวันในปี 2023

    ทางสำนักงานยังออกมาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเหตุโจมตีเหล่านี้ โดยโทษว่าส่วนใหญ่เป็นฝีมือกองกำลังไซเบอร์จีน และมีเครือข่ายโทรคมนาคม การขนส่ง และหน่วยงานด้านกลาโหม เป็นเป้าหมายหลัก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000001338

    #MGROnline #ไต้หวัน #ปักกิ่ง
    การโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังหน่วยงานต่างๆ ของไต้หวันเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2024 มาอยู่ที่เฉลี่ย 2.4 ล้านครั้งต่อวัน โดยส่วนใหญ่เป็นปฏิบัติการของกองกำลังไซเบอร์ในจีน ตามข้อมูลจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไต้หวัน • ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไต้หวันร้องเรียนว่าถูกปักกิ่งข่มขู่ด้วยกลยุทธ์พื้นที่สีเทา (grey zone harrassment) ซึ่งมีตั้งแต่การเปิดซ้อมรบทางทหาร การส่งบอลลูนเข้าน่านฟ้าไต้หวัน และปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อที่จะบีบบังคับให้เกาะประชาธิปไตยแห่งนี้ยอมรับว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน • รายงานของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติไต้หวันที่เผยแพร่วานนี้ (5 ม.ค.) ระบุว่า เครือข่ายบริการแห่งรัฐบาลไต้หวัน (Government Service Network - GSN) ตรวจพบการโจมตีทางไซเบอร์ต่อหน่วยงานต่างๆ เฉลี่ย 2.4 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากค่าเฉลี่ย 1.2 ล้านครั้งต่อวันในปี 2023 • ทางสำนักงานยังออกมาให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเหตุโจมตีเหล่านี้ โดยโทษว่าส่วนใหญ่เป็นฝีมือกองกำลังไซเบอร์จีน และมีเครือข่ายโทรคมนาคม การขนส่ง และหน่วยงานด้านกลาโหม เป็นเป้าหมายหลัก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000001338 • #MGROnline #ไต้หวัน #ปักกิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts