• Apple เปิดตัวชิป AI Server “Baltra”

    Apple กำลังพัฒนาชิปเซิร์ฟเวอร์ AI รุ่นแรกของตนเองในชื่อรหัส Baltra โดยร่วมมือกับ Broadcom เพื่อสร้างระบบเครือข่ายที่ไม่ต้องพึ่งพา Nvidia การออกแบบนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปี 2026 และเริ่มใช้งานจริงในปี 2027 โดยใช้กระบวนการผลิต TSMC 3nm N3E จุดประสงค์หลักคือรองรับงาน AI inference ขนาดใหญ่ที่ Apple ต้องการสำหรับบริการ Apple Intelligence.

    จุดเด่นของ Baltra
    Baltra ถูกออกแบบมาเพื่อ AI inference ไม่ใช่การเทรนโมเดลใหม่ เนื่องจาก Apple ได้ทำสัญญาใช้โมเดล Gemini ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์จาก Google แล้ว การออกแบบชิปจึงเน้นไปที่ latency และ throughput โดยใช้สถาปัตยกรรมที่รองรับ low-precision math เช่น INT8 เพื่อให้เหมาะกับงาน inference ที่ต้องการความเร็วและประสิทธิภาพสูง.

    กลยุทธ์และความร่วมมือ
    Apple เลือกทำงานกับ Broadcom เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายสำหรับ Baltra และหลีกเลี่ยงการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด GPU สำหรับ AI อยู่ในปัจจุบัน การสร้างชิปเองยังช่วยให้ Apple ควบคุมต้นทุนและการออกแบบ ได้ดีกว่า รวมถึงเสริมแนวทาง vertical integration ที่บริษัทใช้กับ A-series และ M-series chips.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การมาของ Baltra แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังเข้าสู่การแข่งขันในตลาด AI server chips ที่มีผู้เล่นหลักอย่าง Nvidia, AMD และ Intel การพัฒนาในครั้งนี้อาจทำให้ Apple สามารถสร้างระบบคลาวด์ที่ปรับแต่งเองได้เต็มรูปแบบ และลดการพึ่งพาผู้ผลิตรายอื่นในงาน AI ขนาดใหญ่.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติ Baltra
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3E
    เน้นงาน AI inference ไม่ใช่การเทรนโมเดล
    รองรับ low-precision math เช่น INT8

    กลยุทธ์ของ Apple
    ร่วมมือกับ Broadcom พัฒนาเทคโนโลยีเครือข่าย
    หลีกเลี่ยงการพึ่งพา Nvidia
    เสริมแนวทาง vertical integration

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    Apple เข้าสู่ตลาด AI server chips
    แข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Intel
    ลดการพึ่งพาผู้ผลิตรายอื่นในงาน AI

    ข้อควรระวัง
    Baltra ยังไม่พร้อมใช้งานจริงจนถึงปี 2027
    ไม่เหมาะสำหรับการเทรนโมเดลใหม่
    ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ yield และการผลิตของ TSMC

    https://wccftech.com/apples-ai-server-chip-baltra-likely-to-be-used-primarily-for-ai-inference/
    🍏 Apple เปิดตัวชิป AI Server “Baltra” Apple กำลังพัฒนาชิปเซิร์ฟเวอร์ AI รุ่นแรกของตนเองในชื่อรหัส Baltra โดยร่วมมือกับ Broadcom เพื่อสร้างระบบเครือข่ายที่ไม่ต้องพึ่งพา Nvidia การออกแบบนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปี 2026 และเริ่มใช้งานจริงในปี 2027 โดยใช้กระบวนการผลิต TSMC 3nm N3E จุดประสงค์หลักคือรองรับงาน AI inference ขนาดใหญ่ที่ Apple ต้องการสำหรับบริการ Apple Intelligence. ⚡ จุดเด่นของ Baltra Baltra ถูกออกแบบมาเพื่อ AI inference ไม่ใช่การเทรนโมเดลใหม่ เนื่องจาก Apple ได้ทำสัญญาใช้โมเดล Gemini ขนาด 3 ล้านล้านพารามิเตอร์จาก Google แล้ว การออกแบบชิปจึงเน้นไปที่ latency และ throughput โดยใช้สถาปัตยกรรมที่รองรับ low-precision math เช่น INT8 เพื่อให้เหมาะกับงาน inference ที่ต้องการความเร็วและประสิทธิภาพสูง. 🔒 กลยุทธ์และความร่วมมือ Apple เลือกทำงานกับ Broadcom เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายสำหรับ Baltra และหลีกเลี่ยงการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด GPU สำหรับ AI อยู่ในปัจจุบัน การสร้างชิปเองยังช่วยให้ Apple ควบคุมต้นทุนและการออกแบบ ได้ดีกว่า รวมถึงเสริมแนวทาง vertical integration ที่บริษัทใช้กับ A-series และ M-series chips. 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การมาของ Baltra แสดงให้เห็นว่า Apple กำลังเข้าสู่การแข่งขันในตลาด AI server chips ที่มีผู้เล่นหลักอย่าง Nvidia, AMD และ Intel การพัฒนาในครั้งนี้อาจทำให้ Apple สามารถสร้างระบบคลาวด์ที่ปรับแต่งเองได้เต็มรูปแบบ และลดการพึ่งพาผู้ผลิตรายอื่นในงาน AI ขนาดใหญ่. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติ Baltra ➡️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3E ➡️ เน้นงาน AI inference ไม่ใช่การเทรนโมเดล ➡️ รองรับ low-precision math เช่น INT8 ✅ กลยุทธ์ของ Apple ➡️ ร่วมมือกับ Broadcom พัฒนาเทคโนโลยีเครือข่าย ➡️ หลีกเลี่ยงการพึ่งพา Nvidia ➡️ เสริมแนวทาง vertical integration ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ Apple เข้าสู่ตลาด AI server chips ➡️ แข่งขันกับ Nvidia, AMD และ Intel ➡️ ลดการพึ่งพาผู้ผลิตรายอื่นในงาน AI ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ Baltra ยังไม่พร้อมใช้งานจริงจนถึงปี 2027 ⛔ ไม่เหมาะสำหรับการเทรนโมเดลใหม่ ⛔ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ yield และการผลิตของ TSMC https://wccftech.com/apples-ai-server-chip-baltra-likely-to-be-used-primarily-for-ai-inference/
    WCCFTECH.COM
    Apple's AI Chip Baltra To Power Your iPhone's Next-Gen Features
    Apple is a vertical integration afficionado, with its custom silicon design efforts offering an apt illustration of this paradigm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความปรารถนาของ Sapphire ที่จะมีอิสระมากขึ้นในการออกแบบการ์ดจอ

    Edward Crisler ผู้จัดการ PR ของ Sapphire กล่าวในพอดแคสต์กับ Hardware Unboxed ว่า เขาอยากให้บริษัทมีอิสระในการออกแบบการ์ดจอมากกว่านี้ ปัจจุบัน AMD และ Nvidia กำหนดข้อจำกัดด้าน power delivery, memory capacity และ voltage control ทำให้ทุกการ์ดจากผู้ผลิตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ความแตกต่างจึงเหลือเพียง ดีไซน์ของชุดระบายความร้อนและบริการหลังการขาย.

    ข้อจำกัดที่ทำให้ Toxic หายไป
    Crisler ระบุว่า การ์ดจอซีรีส์ Toxic ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Sapphire ไม่สามารถออกมาได้ทุกเจนเนอเรชัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อกและพลังงานที่ AMD กำหนดไว้ Toxic เคยเป็นสัญลักษณ์ของการ์ดที่แรงที่สุด แต่ในยุคปัจจุบัน headroom สำหรับการปรับแต่งถูกลดลง จนไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเหมือนเดิม.

    ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
    เขายังกล่าวถึงการใช้ 12VHPWR connector ใน RX 9070 XT Nitro+ ที่มีปัญหาเพียง 3 เคส ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการใช้ อะแดปเตอร์ 16-pin ที่ผิดพลาด ไม่ใช่ตัวการ์ดหรือ PSU ของ Sapphire เอง นี่สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการออกแบบที่ปลอดภัย.

    มุมมองต่อการตลาดและข้อมูล
    Crisler ตั้งข้อสังเกตว่า Steam Hardware Survey ไม่ได้สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด เพราะมีเพียง 1/12 ของผู้ใช้ที่ถูกสุ่มให้ตอบ เขาเชื่อว่า AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่มักถูกเผยแพร่.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อจำกัดจาก AMD/Nvidia
    จำกัดการโอเวอร์คล็อก, power delivery และ memory capacity
    ทำให้การ์ดจากทุกแบรนด์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

    ผลกระทบต่อ Toxic Series
    ไม่สามารถออกทุกเจนเนอเรชัน
    Headroom สำหรับการปรับแต่งลดลง

    ความน่าเชื่อถือของ Sapphire
    ปัญหา 12VHPWR connector เกิดจากอะแดปเตอร์ ไม่ใช่ตัวการ์ด
    Sapphire ยืนยันความปลอดภัยของการออกแบบ

    มุมมองต่อข้อมูลตลาด
    Steam Survey อาจไม่แม่นยำ
    AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40%

    ข้อควรระวัง
    การจำกัดอิสระของ AIB partners อาจทำให้ตลาดขาดนวัตกรรม
    Toxic series อาจไม่กลับมาเต็มรูปแบบหากข้อจำกัดยังคงอยู่
    การตีความข้อมูลตลาดผิดพลาดอาจทำให้บริษัทวางกลยุทธ์คลาดเคลื่อน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/sapphire-pr-manager-wishes-amd-and-nvidia-would-let-partners-run-wild-with-design-wants-freedom-to-bring-back-toxic-line-more-often
    🎨 ความปรารถนาของ Sapphire ที่จะมีอิสระมากขึ้นในการออกแบบการ์ดจอ Edward Crisler ผู้จัดการ PR ของ Sapphire กล่าวในพอดแคสต์กับ Hardware Unboxed ว่า เขาอยากให้บริษัทมีอิสระในการออกแบบการ์ดจอมากกว่านี้ ปัจจุบัน AMD และ Nvidia กำหนดข้อจำกัดด้าน power delivery, memory capacity และ voltage control ทำให้ทุกการ์ดจากผู้ผลิตต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ความแตกต่างจึงเหลือเพียง ดีไซน์ของชุดระบายความร้อนและบริการหลังการขาย. ⚡ ข้อจำกัดที่ทำให้ Toxic หายไป Crisler ระบุว่า การ์ดจอซีรีส์ Toxic ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Sapphire ไม่สามารถออกมาได้ทุกเจนเนอเรชัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อกและพลังงานที่ AMD กำหนดไว้ Toxic เคยเป็นสัญลักษณ์ของการ์ดที่แรงที่สุด แต่ในยุคปัจจุบัน headroom สำหรับการปรับแต่งถูกลดลง จนไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากเหมือนเดิม. 🔒 ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เขายังกล่าวถึงการใช้ 12VHPWR connector ใน RX 9070 XT Nitro+ ที่มีปัญหาเพียง 3 เคส ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการใช้ อะแดปเตอร์ 16-pin ที่ผิดพลาด ไม่ใช่ตัวการ์ดหรือ PSU ของ Sapphire เอง นี่สะท้อนว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการออกแบบที่ปลอดภัย. 🌐 มุมมองต่อการตลาดและข้อมูล Crisler ตั้งข้อสังเกตว่า Steam Hardware Survey ไม่ได้สะท้อนตลาดจริงทั้งหมด เพราะมีเพียง 1/12 ของผู้ใช้ที่ถูกสุ่มให้ตอบ เขาเชื่อว่า AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าตัวเลขที่มักถูกเผยแพร่. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อจำกัดจาก AMD/Nvidia ➡️ จำกัดการโอเวอร์คล็อก, power delivery และ memory capacity ➡️ ทำให้การ์ดจากทุกแบรนด์มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน ✅ ผลกระทบต่อ Toxic Series ➡️ ไม่สามารถออกทุกเจนเนอเรชัน ➡️ Headroom สำหรับการปรับแต่งลดลง ✅ ความน่าเชื่อถือของ Sapphire ➡️ ปัญหา 12VHPWR connector เกิดจากอะแดปเตอร์ ไม่ใช่ตัวการ์ด ➡️ Sapphire ยืนยันความปลอดภัยของการออกแบบ ✅ มุมมองต่อข้อมูลตลาด ➡️ Steam Survey อาจไม่แม่นยำ ➡️ AMD อาจมีส่วนแบ่งตลาดเกมจริงสูงถึง 40% ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การจำกัดอิสระของ AIB partners อาจทำให้ตลาดขาดนวัตกรรม ⛔ Toxic series อาจไม่กลับมาเต็มรูปแบบหากข้อจำกัดยังคงอยู่ ⛔ การตีความข้อมูลตลาดผิดพลาดอาจทำให้บริษัทวางกลยุทธ์คลาดเคลื่อน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/sapphire-pr-manager-wishes-amd-and-nvidia-would-let-partners-run-wild-with-design-wants-freedom-to-bring-back-toxic-line-more-often
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV

    ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง.

    กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG
    LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้.

    ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล
    สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV.

    แนวโน้มในตลาด Smart TV
    ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ
    แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้

    กลยุทธ์ของ LG
    Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV”
    ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้
    ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์
    เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา

    แนวโน้มในตลาด
    Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้
    สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่
    การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว
    ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    📺 LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง. 🤖 กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้. ⚠️ ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV. 🌐 แนวโน้มในตลาด Smart TV ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ ➡️ แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ ✅ กลยุทธ์ของ LG ➡️ Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV” ➡️ ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้ ➡️ ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์ ➡️ เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา ✅ แนวโน้มในตลาด ➡️ Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้ ➡️ สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่ ⛔ การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว ⛔ ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดมืด SIM การ์ดกับการสร้างบอท

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เผยว่า มีตลาดมืดขนาดใหญ่สำหรับ SIM การ์ดทั้งจริงและเสมือน ที่ถูกใช้เพื่อสร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Amazon บริการเหล่านี้ทำให้กองทัพบอทสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น และถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดไลก์ ผู้ติดตาม และการแชร์ให้ดูเหมือนมีความนิยมจริง

    ราคาของการซื้อ “ความนิยมปลอม”
    การวิจัยพบว่าราคาในการยืนยันบัญชีปลอมแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มและประเทศต้นทางของ SIM เช่น
    WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อการยืนยัน
    Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ
    Facebook และ Shopify ถูกกว่ามาก เพียง 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ
    TikTok และ LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐ
    Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ

    ราคายังขึ้นลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ ราคายืนยันบัญชีบน WhatsApp และ Telegram จะพุ่งขึ้นกว่า 12–15% เพราะมีการใช้บอทเพื่อสร้างกระแสและโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

    ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
    กองทัพบอทเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่เพื่อการตลาด แต่ยังถูกนำไปใช้ใน แคมเปญทางการเมืองและการสร้างกระแสสังคม โดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น “rage bait” เพื่อดึงดูดการโต้เถียงและเพิ่มการมีส่วนร่วมปลอมๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใจผิดว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความนิยมจริง ทั้งที่เป็นการจัดฉากโดยกลุ่มที่มีผลประโยชน์

    ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
    นักวิจัยเสนอให้มีการควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ซึ่งสามารถเก็บ SIM ได้หลายร้อยใบในเครื่องเดียวเพื่อสร้างบัญชีปลอมจำนวนมหาศาล รวมถึงการบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM ที่ใช้ในการยืนยันบัญชี เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการใช้บอทในทางที่ผิด

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดมืด SIM การ์ด
    ใช้สร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์
    ทำให้กองทัพบอทปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่าย

    ราคาการยืนยันบัญชีปลอม
    WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์
    Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์
    Facebook/Shopify เพียง 0.08 ดอลลาร์
    TikTok/LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์
    Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์

    ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
    ใช้บอทสร้างกระแสปลอม เพิ่มยอดไลก์และผู้ติดตาม
    ใช้กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

    ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
    ควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms)
    บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/how-much-does-an-army-of-bots-cost-how-likes-and-clout-are-bought
    📱 ตลาดมืด SIM การ์ดกับการสร้างบอท งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เผยว่า มีตลาดมืดขนาดใหญ่สำหรับ SIM การ์ดทั้งจริงและเสมือน ที่ถูกใช้เพื่อสร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Amazon บริการเหล่านี้ทำให้กองทัพบอทสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น และถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดไลก์ ผู้ติดตาม และการแชร์ให้ดูเหมือนมีความนิยมจริง 💸 ราคาของการซื้อ “ความนิยมปลอม” การวิจัยพบว่าราคาในการยืนยันบัญชีปลอมแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มและประเทศต้นทางของ SIM เช่น 💠 WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อการยืนยัน 💠 Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 Facebook และ Shopify ถูกกว่ามาก เพียง 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 TikTok และ LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ ราคายังขึ้นลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ ราคายืนยันบัญชีบน WhatsApp และ Telegram จะพุ่งขึ้นกว่า 12–15% เพราะมีการใช้บอทเพื่อสร้างกระแสและโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ⚠️ ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง กองทัพบอทเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่เพื่อการตลาด แต่ยังถูกนำไปใช้ใน แคมเปญทางการเมืองและการสร้างกระแสสังคม โดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น “rage bait” เพื่อดึงดูดการโต้เถียงและเพิ่มการมีส่วนร่วมปลอมๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใจผิดว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความนิยมจริง ทั้งที่เป็นการจัดฉากโดยกลุ่มที่มีผลประโยชน์ 🛡️ ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา นักวิจัยเสนอให้มีการควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ซึ่งสามารถเก็บ SIM ได้หลายร้อยใบในเครื่องเดียวเพื่อสร้างบัญชีปลอมจำนวนมหาศาล รวมถึงการบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM ที่ใช้ในการยืนยันบัญชี เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการใช้บอทในทางที่ผิด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดมืด SIM การ์ด ➡️ ใช้สร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ➡️ ทำให้กองทัพบอทปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่าย ✅ ราคาการยืนยันบัญชีปลอม ➡️ WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์ ➡️ Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์ ➡️ Facebook/Shopify เพียง 0.08 ดอลลาร์ ➡️ TikTok/LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์ ➡️ Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์ ‼️ ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง ⛔ ใช้บอทสร้างกระแสปลอม เพิ่มยอดไลก์และผู้ติดตาม ⛔ ใช้กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ‼️ ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา ⛔ ควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ⛔ บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/how-much-does-an-army-of-bots-cost-how-likes-and-clout-are-bought
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How much does an army of bots cost? How likes and clout are bought
    Research has shown how SIM cards from the grey market are powering bot armies that fill social media with fake likes and comments to manipulate users and deliberately steer trends. A dollar gets you a dozen fake and 'verified' Facebook accounts posting on your behalf.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอป MAGA Messaging App ที่ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด

    มีรายงานว่าแอปแชทที่ถูกโปรโมตว่าเป็น “Super Secure MAGA Messaging App” เกิดเหตุการณ์รั่วไหลครั้งใหญ่ โดยข้อมูล หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ทั้งหมด ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจอย่างมาก เพราะแอปดังกล่าวเคลมว่ามีระบบความปลอดภัยสูงและเน้นการปกป้องข้อมูลส่วนตัว แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นทันที

    สาเหตุและผลกระทบ
    การรั่วไหลครั้งนี้เกิดจาก การตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ข้อมูลผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใดๆ ผลกระทบคือผู้ใช้จำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโทรก่อกวน (Spam Calls), การโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing) หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลไปเชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวอื่นเพื่อสร้างการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้น

    บทเรียนด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้แอปจะโฆษณาว่ามีความปลอดภัยสูง แต่หาก โครงสร้างระบบไม่ได้รับการตรวจสอบและป้องกันอย่างจริงจัง ก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ทันที ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำว่า ผู้ใช้ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม และควรเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) รวมถึงหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัวเกินความจำเป็น

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์รั่วไหลของแอป MAGA Messaging App
    ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ผู้ใช้ทั้งหมดถูกเปิดเผย
    เกิดจากการตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    เสี่ยงต่อการถูกโทรก่อกวนและสแปม
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งและการขโมยข้อมูลส่วนตัว

    บทเรียนด้านความปลอดภัย
    แอปที่โฆษณาว่าปลอดภัยอาจไม่จริง หากไม่มีการตรวจสอบระบบ
    ผู้ใช้ควรเปิดใช้งาน 2FA และระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว

    https://ericdaigle.ca/posts/super-secure-maga-messaging-app-leaks-everyones-phone-number/
    📱 แอป MAGA Messaging App ที่ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด มีรายงานว่าแอปแชทที่ถูกโปรโมตว่าเป็น “Super Secure MAGA Messaging App” เกิดเหตุการณ์รั่วไหลครั้งใหญ่ โดยข้อมูล หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ทั้งหมด ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจอย่างมาก เพราะแอปดังกล่าวเคลมว่ามีระบบความปลอดภัยสูงและเน้นการปกป้องข้อมูลส่วนตัว แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นทันที 🔎 สาเหตุและผลกระทบ การรั่วไหลครั้งนี้เกิดจาก การตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ข้อมูลผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใดๆ ผลกระทบคือผู้ใช้จำนวนมากเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโทรก่อกวน (Spam Calls), การโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing) หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลไปเชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวอื่นเพื่อสร้างการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้น ⚠️ บทเรียนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้แอปจะโฆษณาว่ามีความปลอดภัยสูง แต่หาก โครงสร้างระบบไม่ได้รับการตรวจสอบและป้องกันอย่างจริงจัง ก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ทันที ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำว่า ผู้ใช้ควรเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม และควรเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) รวมถึงหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัวเกินความจำเป็น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์รั่วไหลของแอป MAGA Messaging App ➡️ ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ผู้ใช้ทั้งหมดถูกเปิดเผย ➡️ เกิดจากการตั้งค่าฐานข้อมูลที่ไม่ปลอดภัย ‼️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโทรก่อกวนและสแปม ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบฟิชชิ่งและการขโมยข้อมูลส่วนตัว ‼️ บทเรียนด้านความปลอดภัย ⛔ แอปที่โฆษณาว่าปลอดภัยอาจไม่จริง หากไม่มีการตรวจสอบระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรเปิดใช้งาน 2FA และระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลส่วนตัว https://ericdaigle.ca/posts/super-secure-maga-messaging-app-leaks-everyones-phone-number/
    ERICDAIGLE.CA
    "Super secure" MAGA-themed messaging app leaks everyone's phone number
    You can be, do, and have whatever you want, except for not spilling user information
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing

    ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น

    ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ

    พลังใหม่ของ Scripter Functions
    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5
    ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น
    รองรับ light/dark mode ดีขึ้น
    Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น
    เพิ่มความสามารถใน scripter functions

    ผลต่อผู้ใช้
    นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น
    ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม

    https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    📰 Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น 🌗 ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ ⚙️ พลังใหม่ของ Scripter Functions สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ 🌍 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5 ➡️ ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น ➡️ รองรับ light/dark mode ดีขึ้น ➡️ Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มความสามารถใน scripter functions ✅ ผลต่อผู้ใช้ ➡️ นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    9TO5LINUX.COM
    Scribus 1.6.5 Open-Source Desktop Publishing App Released with Various Changes - 9to5Linux
    Scribus 1.6.5 free and open-source desktop publishing software is now available for download with various updates and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 โครงการที่ถูก Ubuntu ยกเลิก แต่เราก็ยังคิดถึงมันอยู่

    Ubuntu One: ความฝันคลาวด์ที่ไม่ยั่งยืน
    Ubuntu เคยเปิดตัว Ubuntu One เพื่อเป็นบริการคลาวด์เก็บไฟล์และซิงก์ข้อมูล คล้ายกับ iCloud ของ Apple โดยให้พื้นที่ฟรี 5GB และสามารถซื้อเพิ่มได้ รวมถึงมีบริการซื้อเพลงผ่าน Ubuntu One Music Store แต่สุดท้ายถูกยกเลิกในปี 2014 เพราะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ให้พื้นที่ฟรีมากกว่า และ Canonical ต้องการโฟกัสไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น

    Convergence และ Ubuntu Edge: ความพยายามสู่สมาร์ทโฟน
    Canonical เคยมีความฝันที่จะทำให้ Ubuntu รันได้ทั้งบน PC, Tablet และ Smartphone ผ่านแนวคิด Convergence และเปิดตัวโครงการ Ubuntu Edge สมาร์ทโฟนที่ใช้ Ubuntu โดยระดมทุนผ่าน crowdfunding ได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่ถึงเป้าหมาย 32 ล้าน ทำให้โครงการต้องปิดตัวไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังคงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีอย่าง Samsung DeX ในปัจจุบัน

    Ubuntu Unity และ Mir: การทดลองที่ไม่รอด
    Ubuntu เคยพัฒนา Unity Desktop Environment และ Mir Display Server เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย Canonical ต้องยกเลิก Unity ในปี 2017 และกลับมาใช้ GNOME ที่ปรับแต่งใหม่ ส่วน Mir ก็ถูกลดบทบาทไปใช้กับ IoT แทน ไม่ได้ถูกใช้ในเดสก์ท็อปอีกต่อไป

    Wubi และ Ubuntu Make: เครื่องมือที่ถูกลืม
    Wubi Installer เคยทำให้ผู้ใช้ Windows สามารถติดตั้ง Ubuntu ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขพาร์ทิชัน แต่ถูกยกเลิกเพราะมีปัญหาความเข้ากันได้
    Ubuntu Make เป็น CLI สำหรับติดตั้งเครื่องมือพัฒนา เช่น Atom หรือ VS Code แต่ถูกแทนที่ด้วย Snap ที่ใช้ง่ายกว่าและปลอดภัยกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการที่ถูกยกเลิก
    Ubuntu One (Cloud + Music Store)
    Ubuntu Edge และ Convergence (สมาร์ทโฟน Ubuntu)
    Unity Desktop และ Mir Display Server
    Wubi Installer และ Ubuntu Make

    เหตุผลหลักที่ล้มเหลว
    แข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า
    ขาดเงินทุนและการสนับสนุนจากผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่
    เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา
    การพัฒนาโครงการใหม่โดยไม่ประเมินตลาด อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์
    การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ อาจนำไปสู่การต่อต้านและความล้มเหลว

    https://itsfoss.com/projects-ditched-by-ubuntu/
    🏗️ 7 โครงการที่ถูก Ubuntu ยกเลิก แต่เราก็ยังคิดถึงมันอยู่ 🗂️ Ubuntu One: ความฝันคลาวด์ที่ไม่ยั่งยืน Ubuntu เคยเปิดตัว Ubuntu One เพื่อเป็นบริการคลาวด์เก็บไฟล์และซิงก์ข้อมูล คล้ายกับ iCloud ของ Apple โดยให้พื้นที่ฟรี 5GB และสามารถซื้อเพิ่มได้ รวมถึงมีบริการซื้อเพลงผ่าน Ubuntu One Music Store แต่สุดท้ายถูกยกเลิกในปี 2014 เพราะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ให้พื้นที่ฟรีมากกว่า และ Canonical ต้องการโฟกัสไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น 📱 Convergence และ Ubuntu Edge: ความพยายามสู่สมาร์ทโฟน Canonical เคยมีความฝันที่จะทำให้ Ubuntu รันได้ทั้งบน PC, Tablet และ Smartphone ผ่านแนวคิด Convergence และเปิดตัวโครงการ Ubuntu Edge สมาร์ทโฟนที่ใช้ Ubuntu โดยระดมทุนผ่าน crowdfunding ได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่ถึงเป้าหมาย 32 ล้าน ทำให้โครงการต้องปิดตัวไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังคงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีอย่าง Samsung DeX ในปัจจุบัน 🖥️ Ubuntu Unity และ Mir: การทดลองที่ไม่รอด Ubuntu เคยพัฒนา Unity Desktop Environment และ Mir Display Server เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย Canonical ต้องยกเลิก Unity ในปี 2017 และกลับมาใช้ GNOME ที่ปรับแต่งใหม่ ส่วน Mir ก็ถูกลดบทบาทไปใช้กับ IoT แทน ไม่ได้ถูกใช้ในเดสก์ท็อปอีกต่อไป 💿 Wubi และ Ubuntu Make: เครื่องมือที่ถูกลืม 💠 Wubi Installer เคยทำให้ผู้ใช้ Windows สามารถติดตั้ง Ubuntu ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขพาร์ทิชัน แต่ถูกยกเลิกเพราะมีปัญหาความเข้ากันได้ 💠 Ubuntu Make เป็น CLI สำหรับติดตั้งเครื่องมือพัฒนา เช่น Atom หรือ VS Code แต่ถูกแทนที่ด้วย Snap ที่ใช้ง่ายกว่าและปลอดภัยกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการที่ถูกยกเลิก ➡️ Ubuntu One (Cloud + Music Store) ➡️ Ubuntu Edge และ Convergence (สมาร์ทโฟน Ubuntu) ➡️ Unity Desktop และ Mir Display Server ➡️ Wubi Installer และ Ubuntu Make ✅ เหตุผลหลักที่ล้มเหลว ➡️ แข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า ➡️ ขาดเงินทุนและการสนับสนุนจากผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ➡️ เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา ⛔ การพัฒนาโครงการใหม่โดยไม่ประเมินตลาด อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ⛔ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ อาจนำไปสู่การต่อต้านและความล้มเหลว https://itsfoss.com/projects-ditched-by-ubuntu/
    ITSFOSS.COM
    7 Projects Killed by Ubuntu (But I Still Miss Them)
    Over the span of the past 15 years, Ubuntu started several projects. Not all of them are active today. And yet, they live in our memory.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude AI ทำงานผิดพลาดจนลบ Home Directory

    นักพัฒนารายหนึ่งเล่าว่าขณะใช้ Claude CLI เพื่อจัดการแพ็กเกจใน repository เก่า คำสั่งที่ถูกสร้างขึ้นกลับมีการขยายสัญลักษณ์ ~ อย่างผิดพลาด ทำให้คำสั่ง rm -rf tests/ patches/ plan/ ~/ ลบไฟล์ทั้งหมดใน Home Directory ของ macOS รวมถึง Desktop, Documents, Downloads และ Library ที่เก็บ Keychains และ Credential Store ของ Claude เอง

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น
    การลบครั้งนี้ทำให้ข้อมูลสำคัญสูญหาย เช่น credential, application data และไฟล์ผู้ใช้ทั้งหมดใน /Users/ ซึ่งแทบจะไม่สามารถกู้คืนได้ การสูญเสียนี้ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลการยืนยันตัวตนอาจถูกทำลายหรือสูญหายไป

    แนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอ
    วิธีแก้ไขที่นักพัฒนาหลายคนแนะนำคือการรัน Claude CLI ภายใน Docker container เพื่อจำกัดสิทธิ์และพื้นที่ทำงานของ AI ไม่ให้เข้าถึงระบบหลักโดยตรง หากเกิดความผิดพลาด คำสั่งที่เป็นอันตรายก็จะถูกจำกัดอยู่ใน container โดยไม่กระทบไฟล์จริงบนเครื่อง

    มุมมองจากวงการเทคโนโลยี
    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบโดยตรง หากไม่มีการจำกัดสิทธิ์หรือ sandbox ที่เหมาะสม AI อาจทำงานผิดพลาดและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักพัฒนาและองค์กรที่นำ AI มาใช้ใน workflow

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    Claude CLI รันคำสั่งผิดพลาด rm -rf ~/
    ลบข้อมูลทั้ง Home Directory รวมถึง Desktop, Documents และ Keychains

    ผลกระทบ
    สูญเสีย credential และ application data
    ข้อมูลผู้ใช้ใน /Users/ หายไปทั้งหมด

    แนวทางแก้ไข
    ใช้ Docker container เพื่อจำกัดสิทธิ์ AI
    ลดความเสี่ยงจากคำสั่งที่ผิดพลาด

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    การให้ AI เข้าถึงระบบโดยตรงเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล
    หากไม่มี sandbox หรือ isolation อาจเกิดความเสียหายใหญ่หลวง

    https://securityonline.info/data-disaster-claude-ai-executes-rm-rf-and-wipes-developers-mac-home-directory/
    💻 Claude AI ทำงานผิดพลาดจนลบ Home Directory นักพัฒนารายหนึ่งเล่าว่าขณะใช้ Claude CLI เพื่อจัดการแพ็กเกจใน repository เก่า คำสั่งที่ถูกสร้างขึ้นกลับมีการขยายสัญลักษณ์ ~ อย่างผิดพลาด ทำให้คำสั่ง rm -rf tests/ patches/ plan/ ~/ ลบไฟล์ทั้งหมดใน Home Directory ของ macOS รวมถึง Desktop, Documents, Downloads และ Library ที่เก็บ Keychains และ Credential Store ของ Claude เอง ⚠️ ผลกระทบที่เกิดขึ้น การลบครั้งนี้ทำให้ข้อมูลสำคัญสูญหาย เช่น credential, application data และไฟล์ผู้ใช้ทั้งหมดใน /Users/ ซึ่งแทบจะไม่สามารถกู้คืนได้ การสูญเสียนี้ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจากข้อมูลการยืนยันตัวตนอาจถูกทำลายหรือสูญหายไป 🛡️ แนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอ วิธีแก้ไขที่นักพัฒนาหลายคนแนะนำคือการรัน Claude CLI ภายใน Docker container เพื่อจำกัดสิทธิ์และพื้นที่ทำงานของ AI ไม่ให้เข้าถึงระบบหลักโดยตรง หากเกิดความผิดพลาด คำสั่งที่เป็นอันตรายก็จะถูกจำกัดอยู่ใน container โดยไม่กระทบไฟล์จริงบนเครื่อง 🌐 มุมมองจากวงการเทคโนโลยี เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ AI ที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบโดยตรง หากไม่มีการจำกัดสิทธิ์หรือ sandbox ที่เหมาะสม AI อาจทำงานผิดพลาดและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงได้ จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักพัฒนาและองค์กรที่นำ AI มาใช้ใน workflow 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ Claude CLI รันคำสั่งผิดพลาด rm -rf ~/ ➡️ ลบข้อมูลทั้ง Home Directory รวมถึง Desktop, Documents และ Keychains ✅ ผลกระทบ ➡️ สูญเสีย credential และ application data ➡️ ข้อมูลผู้ใช้ใน /Users/ หายไปทั้งหมด ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ ใช้ Docker container เพื่อจำกัดสิทธิ์ AI ➡️ ลดความเสี่ยงจากคำสั่งที่ผิดพลาด ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ การให้ AI เข้าถึงระบบโดยตรงเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูล ⛔ หากไม่มี sandbox หรือ isolation อาจเกิดความเสียหายใหญ่หลวง https://securityonline.info/data-disaster-claude-ai-executes-rm-rf-and-wipes-developers-mac-home-directory/
    SECURITYONLINE.INFO
    Data Disaster: Claude AI Executes rm -rf ~/ and Wipes Developer's Mac Home Directory
    A developer's Mac home directory was wiped after Claude AI executed an unconstrained rm -rf ~/ command. Experts urge using Docker to contain AI coding tools for safety.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Csaba Fitzl พบว่าช่องโหว่ Local Privilege Escalation (LPE) ใน macOS ที่เคยถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 2018 ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้วิธีใหม่ผ่านโฟลเดอร์ .localized ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของระบบไฟล์ macOS ที่ใช้จัดการชื่อแอปพลิเคชันซ้ำกัน ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถหลอกตัวติดตั้งแอปพลิเคชันให้วางไฟล์ผิดตำแหน่ง และเปิดทางให้รันโค้ดในสิทธิ์ root ได้

    วิธีการโจมตี
    ขั้นตอนการโจมตีมีลักษณะดังนี้:
    ผู้โจมตีสร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริงในโฟลเดอร์ /Applications
    เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปจริง macOS จะไม่เขียนทับ แต่ย้ายไปไว้ในโฟลเดอร์ /Applications/App.localized/
    ตัวติดตั้งยังคงเชื่อว่าแอปอยู่ในตำแหน่งเดิม และลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม
    แอปปลอมที่ผู้โจมตีสร้างจึงถูกเรียกใช้งานด้วยสิทธิ์ root

    สถานการณ์และผลกระทบ
    แม้ Apple เคยแก้ไขช่องโหว่เดิมใน macOS Sonoma และมีการออก CVE ใหม่ (CVE-2025-24099) แต่การใช้ .localized ทำให้ยังสามารถโจมตีได้อีกครั้ง ช่องโหว่นี้กระทบโดยตรงต่อ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูงในการติดตั้งเครื่องมือหรือ daemon หากผู้ใช้หรือองค์กรไม่ตรวจสอบเส้นทางการติดตั้งอย่างละเอียด อาจถูกยึดเครื่องได้ทันที

    มุมมองจากวงการไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของระบบไฟล์ macOS และการที่ Apple ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างครอบคลุม การโจมตีลักษณะนี้ง่ายต่อการนำไปใช้จริง เพียงแค่หลอกให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปที่มีชื่อซ้ำกับแอปปลอม จึงเป็นภัยคุกคามที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ที่ค้นพบ
    ใช้โฟลเดอร์ .localized เพื่อหลอกตำแหน่งติดตั้ง
    ทำให้โค้ดปลอมรันในสิทธิ์ root

    วิธีการโจมตี
    สร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริง
    ตัวติดตั้งลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม

    ผลกระทบ
    กระทบ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูง
    เสี่ยงต่อการถูกยึดเครื่องและขโมยข้อมูล

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    Apple ยังไม่แก้ไขได้อย่างครอบคลุม แม้มี CVE ใหม่
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบเส้นทางติดตั้งและหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access/
    🖥️ ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง นักวิจัยด้านความปลอดภัย Csaba Fitzl พบว่าช่องโหว่ Local Privilege Escalation (LPE) ใน macOS ที่เคยถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 2018 ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 โดยใช้วิธีใหม่ผ่านโฟลเดอร์ .localized ซึ่งเป็นฟีเจอร์ของระบบไฟล์ macOS ที่ใช้จัดการชื่อแอปพลิเคชันซ้ำกัน ช่องโหว่นี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถหลอกตัวติดตั้งแอปพลิเคชันให้วางไฟล์ผิดตำแหน่ง และเปิดทางให้รันโค้ดในสิทธิ์ root ได้ ⚡ วิธีการโจมตี ขั้นตอนการโจมตีมีลักษณะดังนี้: 💠 ผู้โจมตีสร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริงในโฟลเดอร์ /Applications 💠 เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปจริง macOS จะไม่เขียนทับ แต่ย้ายไปไว้ในโฟลเดอร์ /Applications/App.localized/ 💠 ตัวติดตั้งยังคงเชื่อว่าแอปอยู่ในตำแหน่งเดิม และลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม 💠 แอปปลอมที่ผู้โจมตีสร้างจึงถูกเรียกใช้งานด้วยสิทธิ์ root 🔒 สถานการณ์และผลกระทบ แม้ Apple เคยแก้ไขช่องโหว่เดิมใน macOS Sonoma และมีการออก CVE ใหม่ (CVE-2025-24099) แต่การใช้ .localized ทำให้ยังสามารถโจมตีได้อีกครั้ง ช่องโหว่นี้กระทบโดยตรงต่อ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูงในการติดตั้งเครื่องมือหรือ daemon หากผู้ใช้หรือองค์กรไม่ตรวจสอบเส้นทางการติดตั้งอย่างละเอียด อาจถูกยึดเครื่องได้ทันที 🌍 มุมมองจากวงการไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของระบบไฟล์ macOS และการที่ Apple ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างครอบคลุม การโจมตีลักษณะนี้ง่ายต่อการนำไปใช้จริง เพียงแค่หลอกให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปที่มีชื่อซ้ำกับแอปปลอม จึงเป็นภัยคุกคามที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ .localized เพื่อหลอกตำแหน่งติดตั้ง ➡️ ทำให้โค้ดปลอมรันในสิทธิ์ root ✅ วิธีการโจมตี ➡️ สร้างแอปปลอมชื่อเดียวกับแอปจริง ➡️ ตัวติดตั้งลงทะเบียน LaunchDaemon ชี้ไปที่แอปปลอม ✅ ผลกระทบ ➡️ กระทบ third-party installers ที่ต้องใช้สิทธิ์สูง ➡️ เสี่ยงต่อการถูกยึดเครื่องและขโมยข้อมูล ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ Apple ยังไม่แก้ไขได้อย่างครอบคลุม แม้มี CVE ใหม่ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบเส้นทางติดตั้งและหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access/
    SECURITYONLINE.INFO
    macOS LPE Flaw Resurfaces: .localized Directory Exploited to Hijack Installers and Gain Root Access
    A macOS LPE flaw resurfaces after 7 years, allowing unprivileged users to hijack third-party installers and gain root access. The exploit leverages the hidden .localized directory to confuse the installation path.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251215 #TechRadar

    iPadOS 26.2: อัปเดตใหม่ที่ทำให้การทำงานหลายแอปง่ายขึ้น
    Apple ปล่อย iPadOS 26.2 ให้ผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว จุดเด่นคือการปรับปรุงระบบ multitasking ที่เคยถูกถอดออกไปในเวอร์ชันก่อน ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถลากไอคอนแอปจาก Dock หรือ Spotlight ไปเปิดในโหมด Split View หรือ Slide Over ได้สะดวกขึ้น ทำให้การทำงานหลายแอปบนหน้าจอเดียวเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่ง Liquid Glass บนหน้าล็อกสกรีน, ระบบแจ้งเตือนเร่งด่วนใน Reminders, การรองรับตารางใน Freeform, การสร้าง chapter ด้วย AI ใน Podcasts และเนื้อเพลงแบบออฟไลน์ใน Apple Music รวมถึงการปรับปรุงการค้นหาเกมใน Apple Games และดีไซน์ใหม่ใน Apple News เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งาน iPad ให้ครบเครื่องมากขึ้น
    https://www.techradar.com/tablets/ipad/ipados-26-2-is-rolling-out-now-and-it-makes-multitasking-much-easier-heres-whats-new

    Biwin Mini SSD: สตอเรจจิ๋วที่เร็วแรง แต่อนาคตยังไม่แน่ชัด
    Biwin เปิดตัว Mini SSD รุ่น CL100 ที่มีขนาดเล็กมากเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. น้ำหนักแค่ 1 กรัม แต่ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 3700MB/s และเขียน 3400MB/s พร้อมความทนทานกันน้ำ กันฝุ่น และกันตกจากความสูง 3 เมตร ใช้ถอดเปลี่ยนแบบถาด SIM ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ยังมี RD510 Enclosure ที่แปลง Mini SSD ให้เป็นฮาร์ดดิสก์พกพาแบบ USB4 ความเร็วสูง จุดแข็งคือเล็ก ทน และเร็ว แต่ปัญหาคือยังไม่มีผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาร่วมมาตรฐานนี้ ทำให้อนาคตของ Mini SSD อาจซ้ำรอยกับฟอร์แมตเฉพาะที่เคยหายไปในอดีต หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท
    https://www.techradar.com/pro/is-this-the-next-minidisc-exciting-mini-ssd-format-could-suffer-fate-of-sonys-data-format-if-it-doesnt-get-further-backing

    AMD FSR Redstone: เทคโนโลยีอัปสเกลใหม่ที่ยังทำให้หลายคนงง
    AMD เปิดตัว FSR Redstone ที่รวม 4 เทคโนโลยี ได้แก่ FSR Upscaling, Frame Generation, Ray Regeneration และ Radiance Caching แต่การสื่อสารกลับทำให้ผู้ใช้สับสน เพราะบางฟีเจอร์เป็นของเดิมที่เปลี่ยนชื่อ บางฟีเจอร์ยังไม่พร้อมใช้งานจริง เช่น Radiance Caching ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง จุดที่น่าสนใจคือ Frame Generation แบบใหม่ใช้ AI สร้างเฟรมเสริม ทำให้ภาพลื่นขึ้นและคุณภาพดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้รองรับเฉพาะการ์ดจอ RDNA 4 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าอดใช้ แม้จะลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพงไปแล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงถูกมองว่าขาดความชัดเจน แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ AMD ไล่ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia
    https://www.techradar.com/computing/gpu/confused-about-amds-fsr-redstone-update-youre-not-alone-heres-what-it-all-means-for-pc-gamers

    Affinity & Canva: ปฏิวัติวงการด้วยซอฟต์แวร์ดีไซน์ฟรี
    Ash Hewson ซีอีโอของ Affinity ประกาศว่าแพลตฟอร์มดีไซน์ระดับโปรจะเปิดให้ใช้ฟรีทั้งหมด โดยร่วมมือกับ Canva เพื่อผลักดันแนวคิดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรถูกจำกัดด้วยราคา” การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการที่เคยถูกครอบงำด้วยซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิกแพง ๆ Affinity รุ่นใหม่รวมเครื่องมือเวกเตอร์ การแต่งภาพ และการจัดเลย์เอาต์ไว้ในที่เดียว ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำโดยไม่ลดทอนคุณภาพ จุดยืนคือไม่มีการซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการเก็บข้อมูลลับ และไม่มีการบังคับใช้ AI ที่ไม่โปร่งใส นี่คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์ดีไซน์สามารถเป็น “สาธารณประโยชน์” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ฟรีตลอดไป
    https://www.techradar.com/pro/software-services/affinity-ceo-reveals-why-canva-and-affinity-made-pro-design-software-free-and-what-that-means-for-creativity

    Amadeus: ซีรีส์ใหม่ที่เล่า rivalry ของ Mozart และ Salieri
    Sky เปิดตัวซีรีส์ Amadeus ที่หยิบเรื่องราวการแข่งขันและความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง Mozart และ Salieri มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบดราม่าเข้มข้น ซีรีส์นี้ผสมผสานความบันเทิงและความดราม่าได้อย่างลงตัว แม้บางตอนจะมีจังหวะช้าลง แต่การแสดงของ Will Sharpe และ Paul Bettany ถูกยกให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของพวกเขา จุดเด่นคือการตีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1984 และยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการเล่าเรื่องการสร้างบทละครของ Peter Shaffer เอง ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เล่าความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนพลังของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ชมยุคใหม่
    https://www.techradar.com/streaming/entertainment/amadeus-review-sky

    Toshiba เดินหน้าสู่ยุค HDD ความจุ 55TB
    Toshiba กำลังวางแผนพัฒนา HDD ที่มีความจุสูงถึง 55TB ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากรุ่น 40TB ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ความก้าวหน้าครั้งนี้เกิดจากการเพิ่มจำนวนแผ่นจาน (platters) และการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง MAMR และ HAMR ซึ่งช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก HDD รุ่น 10TB ในปี 2017 มาจนถึง 24TB ในปัจจุบัน และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การเปลี่ยนจากแผ่นอลูมิเนียมเป็นแก้วก็ช่วยให้ทนทานและบางลง ทำให้สามารถซ้อนแผ่นได้มากขึ้น ถือเป็นการปูทางสู่ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลขนาดมหึมา
    https://www.techradar.com/pro/toshiba-wants-to-launch-a-55tb-hard-drive-by-2030-40tb-model-set-to-appear-in-2026-new-slides-show

    Android 17 เตรียมเพิ่ม Motion Cues ลดอาการเมารถ
    Google กำลังพัฒนา Motion Cues ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 17 ที่ช่วยลดอาการเวียนหัวหรือเมารถเวลามองหน้าจอมือถือระหว่างการเดินทาง ฟีเจอร์นี้จะสร้างจุดเคลื่อนไหวบนหน้าจอให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวจริงของโทรศัพท์ ทำให้สมองไม่สับสนระหว่างภาพที่เห็นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Vehicle Motion Cues ที่ Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่การนำมาใช้ใน Android ต้องปรับระบบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถแสดงผลทับบนหน้าจอได้เต็มรูปแบบ หากการทดสอบผ่านไปด้วยดี เราอาจได้เห็น Motion Cues เปิดตัวพร้อม Android 17 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
    https://www.techradar.com/phones/android/android-17-could-finally-introduce-motion-cues-to-combat-motion-sickness-matching-the-same-feature-in-ios

    AI โจมตี SaaS ผ่านการปลอมแปลงตัวตน
    ภัยคุกคามใหม่ในโลกไซเบอร์ไม่ได้เริ่มจากมัลแวร์อีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่ถูกขโมยหรือสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนด้วย AI แฮกเกอร์ใช้เทคโนโลยีสร้างอีเมลปลอมที่เหมือนจริง สร้างภาพถ่ายหรือบุคคลเสมือนเพื่อหลอกลวง และแม้กระทั่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีที่ถูกขโมยเพื่อหาบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุด เมื่อได้ตัวตนที่น่าเชื่อถือแล้ว พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ SaaS ได้โดยตรงโดยไม่ถูกตรวจจับ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ “ตัวตน” กลายเป็นแนวรบหลักของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI
    https://www.techradar.com/pro/inside-the-ai-powered-assault-on-saas-why-identity-is-the-weakest-link

    สมาร์ทโฟนปี 2026 ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นอีกครั้ง
    แม้หลายคนจะรู้สึกเบื่อกับสมาร์ทโฟนที่ดูคล้ายกันไปหมด แต่ปี 2026 จะมีรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่น Xiaomi 17 Pro Max ที่มีหน้าจอด้านหลังและแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 7,500mAh, Samsung Galaxy Z TriFold ที่พับได้สามตอนกลายเป็นแท็บเล็ต 10 นิ้ว, iPhone Fold ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม iPhone 18 และอาจเป็นรุ่นแรกที่ไม่มีรอยพับให้เห็น รวมถึง OnePlus 16 ที่สืบต่อความแรงจากรุ่นก่อน และ Ayaneo Pocket Play ที่รวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมพกพาในเครื่องเดียว ทั้งหมดนี้คือการกลับมาของความตื่นเต้นในโลกสมาร์ทโฟน
    https://www.techradar.com/phones/bored-with-smartphones-these-5-upcoming-flagships-could-change-your-mind-in-2026

    รีวิว Ring Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัย 4K
    Ring เปิดตัว Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมความละเอียด 4K และซูมได้ถึง 10 เท่า ทำให้ภาพคมชัดกว่ารุ่นก่อนมาก กล้องนี้ต้องใช้ไฟบ้านเท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถบันทึกวิดีโอ 24/7 ได้เต็มรูปแบบ หากสมัครแพ็กเกจ Premium ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฟีเจอร์เด่นคือ Smart Video Search ที่ใช้ AI ค้นหาภาพจากคำ เช่น “คนใส่เสื้อสีแดง” และยังมีเสียงไซเรน 85dB รวมถึงระบบเสียงสองทางเพื่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่หน้ากล้อง แม้ราคาจะสูงและต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก แต่คุณภาพของภาพและความสามารถขั้นสูงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/home/home-security/ring-outdoor-cam-pro-review
    📌📡🟡 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟡📡📌 #รวมข่าวIT #20251215 #TechRadar 📱 iPadOS 26.2: อัปเดตใหม่ที่ทำให้การทำงานหลายแอปง่ายขึ้น Apple ปล่อย iPadOS 26.2 ให้ผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว จุดเด่นคือการปรับปรุงระบบ multitasking ที่เคยถูกถอดออกไปในเวอร์ชันก่อน ตอนนี้กลับมาอีกครั้ง คุณสามารถลากไอคอนแอปจาก Dock หรือ Spotlight ไปเปิดในโหมด Split View หรือ Slide Over ได้สะดวกขึ้น ทำให้การทำงานหลายแอปบนหน้าจอเดียวเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่ง Liquid Glass บนหน้าล็อกสกรีน, ระบบแจ้งเตือนเร่งด่วนใน Reminders, การรองรับตารางใน Freeform, การสร้าง chapter ด้วย AI ใน Podcasts และเนื้อเพลงแบบออฟไลน์ใน Apple Music รวมถึงการปรับปรุงการค้นหาเกมใน Apple Games และดีไซน์ใหม่ใน Apple News เรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตที่ยกระดับประสบการณ์ใช้งาน iPad ให้ครบเครื่องมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/tablets/ipad/ipados-26-2-is-rolling-out-now-and-it-makes-multitasking-much-easier-heres-whats-new 💾 Biwin Mini SSD: สตอเรจจิ๋วที่เร็วแรง แต่อนาคตยังไม่แน่ชัด Biwin เปิดตัว Mini SSD รุ่น CL100 ที่มีขนาดเล็กมากเพียง 15 x 17 x 1.4 มม. น้ำหนักแค่ 1 กรัม แต่ให้ความเร็วอ่านสูงสุด 3700MB/s และเขียน 3400MB/s พร้อมความทนทานกันน้ำ กันฝุ่น และกันตกจากความสูง 3 เมตร ใช้ถอดเปลี่ยนแบบถาด SIM ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ยังมี RD510 Enclosure ที่แปลง Mini SSD ให้เป็นฮาร์ดดิสก์พกพาแบบ USB4 ความเร็วสูง จุดแข็งคือเล็ก ทน และเร็ว แต่ปัญหาคือยังไม่มีผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาร่วมมาตรฐานนี้ ทำให้อนาคตของ Mini SSD อาจซ้ำรอยกับฟอร์แมตเฉพาะที่เคยหายไปในอดีต หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-this-the-next-minidisc-exciting-mini-ssd-format-could-suffer-fate-of-sonys-data-format-if-it-doesnt-get-further-backing 🎮 AMD FSR Redstone: เทคโนโลยีอัปสเกลใหม่ที่ยังทำให้หลายคนงง AMD เปิดตัว FSR Redstone ที่รวม 4 เทคโนโลยี ได้แก่ FSR Upscaling, Frame Generation, Ray Regeneration และ Radiance Caching แต่การสื่อสารกลับทำให้ผู้ใช้สับสน เพราะบางฟีเจอร์เป็นของเดิมที่เปลี่ยนชื่อ บางฟีเจอร์ยังไม่พร้อมใช้งานจริง เช่น Radiance Caching ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง จุดที่น่าสนใจคือ Frame Generation แบบใหม่ใช้ AI สร้างเฟรมเสริม ทำให้ภาพลื่นขึ้นและคุณภาพดีขึ้น แต่ทั้งหมดนี้รองรับเฉพาะการ์ดจอ RDNA 4 เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รุ่นเก่าอดใช้ แม้จะลงทุนซื้อการ์ดจอราคาแพงไปแล้ว การเปิดตัวครั้งนี้จึงถูกมองว่าขาดความชัดเจน แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ AMD ไล่ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/confused-about-amds-fsr-redstone-update-youre-not-alone-heres-what-it-all-means-for-pc-gamers 🎨 Affinity & Canva: ปฏิวัติวงการด้วยซอฟต์แวร์ดีไซน์ฟรี Ash Hewson ซีอีโอของ Affinity ประกาศว่าแพลตฟอร์มดีไซน์ระดับโปรจะเปิดให้ใช้ฟรีทั้งหมด โดยร่วมมือกับ Canva เพื่อผลักดันแนวคิดว่า “ความคิดสร้างสรรค์ไม่ควรถูกจำกัดด้วยราคา” การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการที่เคยถูกครอบงำด้วยซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิกแพง ๆ Affinity รุ่นใหม่รวมเครื่องมือเวกเตอร์ การแต่งภาพ และการจัดเลย์เอาต์ไว้ในที่เดียว ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำโดยไม่ลดทอนคุณภาพ จุดยืนคือไม่มีการซ่อนเงื่อนไข ไม่มีการเก็บข้อมูลลับ และไม่มีการบังคับใช้ AI ที่ไม่โปร่งใส นี่คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์ดีไซน์สามารถเป็น “สาธารณประโยชน์” ที่ทุกคนเข้าถึงได้ฟรีตลอดไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/affinity-ceo-reveals-why-canva-and-affinity-made-pro-design-software-free-and-what-that-means-for-creativity 🎼 Amadeus: ซีรีส์ใหม่ที่เล่า rivalry ของ Mozart และ Salieri Sky เปิดตัวซีรีส์ Amadeus ที่หยิบเรื่องราวการแข่งขันและความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่าง Mozart และ Salieri มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบดราม่าเข้มข้น ซีรีส์นี้ผสมผสานความบันเทิงและความดราม่าได้อย่างลงตัว แม้บางตอนจะมีจังหวะช้าลง แต่การแสดงของ Will Sharpe และ Paul Bettany ถูกยกให้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของพวกเขา จุดเด่นคือการตีความใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันภาพยนตร์ปี 1984 และยังเพิ่มมิติใหม่ด้วยการเล่าเรื่องการสร้างบทละครของ Peter Shaffer เอง ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่เล่าความขัดแย้ง แต่ยังสะท้อนพลังของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้ชมยุคใหม่ 🔗 https://www.techradar.com/streaming/entertainment/amadeus-review-sky 🖥️ Toshiba เดินหน้าสู่ยุค HDD ความจุ 55TB Toshiba กำลังวางแผนพัฒนา HDD ที่มีความจุสูงถึง 55TB ภายในปี 2030 โดยเริ่มจากรุ่น 40TB ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ความก้าวหน้าครั้งนี้เกิดจากการเพิ่มจำนวนแผ่นจาน (platters) และการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง MAMR และ HAMR ซึ่งช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลได้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิม เส้นทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก HDD รุ่น 10TB ในปี 2017 มาจนถึง 24TB ในปัจจุบัน และกำลังจะก้าวไปสู่ระดับที่ใหญ่ที่สุดในตลาด การเปลี่ยนจากแผ่นอลูมิเนียมเป็นแก้วก็ช่วยให้ทนทานและบางลง ทำให้สามารถซ้อนแผ่นได้มากขึ้น ถือเป็นการปูทางสู่ยุคใหม่ของการจัดเก็บข้อมูลขนาดมหึมา 🔗 https://www.techradar.com/pro/toshiba-wants-to-launch-a-55tb-hard-drive-by-2030-40tb-model-set-to-appear-in-2026-new-slides-show 📱 Android 17 เตรียมเพิ่ม Motion Cues ลดอาการเมารถ Google กำลังพัฒนา Motion Cues ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 17 ที่ช่วยลดอาการเวียนหัวหรือเมารถเวลามองหน้าจอมือถือระหว่างการเดินทาง ฟีเจอร์นี้จะสร้างจุดเคลื่อนไหวบนหน้าจอให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวจริงของโทรศัพท์ ทำให้สมองไม่สับสนระหว่างภาพที่เห็นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Vehicle Motion Cues ที่ Apple เปิดตัวใน iOS 18 แต่การนำมาใช้ใน Android ต้องปรับระบบความปลอดภัยเพื่อให้สามารถแสดงผลทับบนหน้าจอได้เต็มรูปแบบ หากการทดสอบผ่านไปด้วยดี เราอาจได้เห็น Motion Cues เปิดตัวพร้อม Android 17 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 🔗 https://www.techradar.com/phones/android/android-17-could-finally-introduce-motion-cues-to-combat-motion-sickness-matching-the-same-feature-in-ios 🔒 AI โจมตี SaaS ผ่านการปลอมแปลงตัวตน ภัยคุกคามใหม่ในโลกไซเบอร์ไม่ได้เริ่มจากมัลแวร์อีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ตัวตน” ที่ถูกขโมยหรือสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียนด้วย AI แฮกเกอร์ใช้เทคโนโลยีสร้างอีเมลปลอมที่เหมือนจริง สร้างภาพถ่ายหรือบุคคลเสมือนเพื่อหลอกลวง และแม้กระทั่งใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบัญชีที่ถูกขโมยเพื่อหาบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุด เมื่อได้ตัวตนที่น่าเชื่อถือแล้ว พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ SaaS ได้โดยตรงโดยไม่ถูกตรวจจับ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ “ตัวตน” กลายเป็นแนวรบหลักของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI 🔗 https://www.techradar.com/pro/inside-the-ai-powered-assault-on-saas-why-identity-is-the-weakest-link 📲 สมาร์ทโฟนปี 2026 ที่จะทำให้คุณตื่นเต้นอีกครั้ง แม้หลายคนจะรู้สึกเบื่อกับสมาร์ทโฟนที่ดูคล้ายกันไปหมด แต่ปี 2026 จะมีรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่น Xiaomi 17 Pro Max ที่มีหน้าจอด้านหลังและแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 7,500mAh, Samsung Galaxy Z TriFold ที่พับได้สามตอนกลายเป็นแท็บเล็ต 10 นิ้ว, iPhone Fold ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม iPhone 18 และอาจเป็นรุ่นแรกที่ไม่มีรอยพับให้เห็น รวมถึง OnePlus 16 ที่สืบต่อความแรงจากรุ่นก่อน และ Ayaneo Pocket Play ที่รวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมพกพาในเครื่องเดียว ทั้งหมดนี้คือการกลับมาของความตื่นเต้นในโลกสมาร์ทโฟน 🔗 https://www.techradar.com/phones/bored-with-smartphones-these-5-upcoming-flagships-could-change-your-mind-in-2026 🏡 รีวิว Ring Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัย 4K Ring เปิดตัว Outdoor Cam Pro กล้องรักษาความปลอดภัยที่มาพร้อมความละเอียด 4K และซูมได้ถึง 10 เท่า ทำให้ภาพคมชัดกว่ารุ่นก่อนมาก กล้องนี้ต้องใช้ไฟบ้านเท่านั้น แต่ข้อดีคือสามารถบันทึกวิดีโอ 24/7 ได้เต็มรูปแบบ หากสมัครแพ็กเกจ Premium ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฟีเจอร์เด่นคือ Smart Video Search ที่ใช้ AI ค้นหาภาพจากคำ เช่น “คนใส่เสื้อสีแดง” และยังมีเสียงไซเรน 85dB รวมถึงระบบเสียงสองทางเพื่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่หน้ากล้อง แม้ราคาจะสูงและต้องพึ่งพาการสมัครสมาชิก แต่คุณภาพของภาพและความสามารถขั้นสูงทำให้มันเป็นตัวเลือกที่จริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/home/home-security/ring-outdoor-cam-pro-review
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple Smart Glasses กับชิปใหม่ที่ไม่ใช่ iPhone

    รายงานล่าสุดเผยว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกอาจใช้ชิปที่ไม่ใช่ตระกูล iPhone A-series เพื่อแก้ปัญหาแบตเตอรี่ที่เป็นข้อจำกัดใหญ่ที่สุดของอุปกรณ์สวมใส่ประเภทนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า Apple จะเลือกใช้ ชิปจาก Apple Watch (SiP – System-in-Package) ที่มีความประหยัดพลังงานสูง

    ปัญหาแบตเตอรี่และแนวทางแก้ไข
    อุปกรณ์สวมใส่เช่นแว่นตาอัจฉริยะจำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่สามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้ หากใช้ชิป iPhone ที่กินพลังงานสูง แบตเตอรี่จะหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ชิป S10 จาก Apple Watch Ultra 3 สามารถทำงานได้ยาวนานถึง 42 ชั่วโมง และถึง 72 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน จึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ Smart Glasses

    ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี
    แม้จะไม่ใช้ชิป iPhone แต่ Smart Glasses จะยังคงรองรับฟีเจอร์หลัก เช่น การเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ Mac, การสั่งงาน Siri, การประมวลผล AI เบื้องต้น และการทำงานร่วมกับกล้องหลายตัวเพื่อแสดงภาพหรือข้อมูลเสริม โดยรุ่นแรกอาจยังไม่มีจอแสดงผลในตัว แต่จะทำงานผ่านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นแทน

    แผนการเปิดตัว
    มีรายงานว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกจะเปิดตัวในปี 2026 และรุ่นที่สองในปี 2027 ซึ่งอาจรองรับการทำงานสองระบบปฏิบัติการขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Apple พยายามสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาด AR/VR ที่ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    สรุปสาระสำคัญ
    การเลือกใช้ชิป
    ใช้ชิป Apple Watch SiP (S10) แทน A-series
    ประหยัดพลังงานมากกว่าและเหมาะกับแบตเตอรี่เล็ก

    ปัญหาที่แก้ไข
    ลดการใช้พลังงานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
    ทำให้อุปกรณ์เบาและใช้งานได้นานขึ้น

    ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี
    รองรับ Siri และ AI เบื้องต้น
    เชื่อมต่อกับ iPhone/Mac และกล้องหลายตัว

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    รุ่นแรกอาจไม่มีจอแสดงผลในตัว
    ต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้งานเต็มรูปแบบ

    https://wccftech.com/apple-smart-glasses-to-use-non-iphone-chipset-to-possibly-overcome-battery-life-issues/
    👓 Apple Smart Glasses กับชิปใหม่ที่ไม่ใช่ iPhone รายงานล่าสุดเผยว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกอาจใช้ชิปที่ไม่ใช่ตระกูล iPhone A-series เพื่อแก้ปัญหาแบตเตอรี่ที่เป็นข้อจำกัดใหญ่ที่สุดของอุปกรณ์สวมใส่ประเภทนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า Apple จะเลือกใช้ ชิปจาก Apple Watch (SiP – System-in-Package) ที่มีความประหยัดพลังงานสูง 🔋 ปัญหาแบตเตอรี่และแนวทางแก้ไข อุปกรณ์สวมใส่เช่นแว่นตาอัจฉริยะจำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา ทำให้ไม่สามารถใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้ หากใช้ชิป iPhone ที่กินพลังงานสูง แบตเตอรี่จะหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ชิป S10 จาก Apple Watch Ultra 3 สามารถทำงานได้ยาวนานถึง 42 ชั่วโมง และถึง 72 ชั่วโมงในโหมดประหยัดพลังงาน จึงถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ Smart Glasses 🛠️ ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี แม้จะไม่ใช้ชิป iPhone แต่ Smart Glasses จะยังคงรองรับฟีเจอร์หลัก เช่น การเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ Mac, การสั่งงาน Siri, การประมวลผล AI เบื้องต้น และการทำงานร่วมกับกล้องหลายตัวเพื่อแสดงภาพหรือข้อมูลเสริม โดยรุ่นแรกอาจยังไม่มีจอแสดงผลในตัว แต่จะทำงานผ่านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นแทน 🚀 แผนการเปิดตัว มีรายงานว่า Apple Smart Glasses รุ่นแรกจะเปิดตัวในปี 2026 และรุ่นที่สองในปี 2027 ซึ่งอาจรองรับการทำงานสองระบบปฏิบัติการขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Apple พยายามสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาด AR/VR ที่ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเลือกใช้ชิป ➡️ ใช้ชิป Apple Watch SiP (S10) แทน A-series ➡️ ประหยัดพลังงานมากกว่าและเหมาะกับแบตเตอรี่เล็ก ✅ ปัญหาที่แก้ไข ➡️ ลดการใช้พลังงานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ➡️ ทำให้อุปกรณ์เบาและใช้งานได้นานขึ้น ✅ ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะมี ➡️ รองรับ Siri และ AI เบื้องต้น ➡️ เชื่อมต่อกับ iPhone/Mac และกล้องหลายตัว ‼️ ข้อจำกัดและความท้าทาย ⛔ รุ่นแรกอาจไม่มีจอแสดงผลในตัว ⛔ ต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้งานเต็มรูปแบบ https://wccftech.com/apple-smart-glasses-to-use-non-iphone-chipset-to-possibly-overcome-battery-life-issues/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Smart Glasses Could Overcome Its Battery Problem While Still Retaining Top-Notch Features And Functionality Using A Non-iPhone Chipset
    The first pair of smart glasses from Apple could feature a non-iPhone chipset to address the battery life problems while also sporting a ton of functionality
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก้าวใหม่ของการเก็บข้อมูล: 5D Glass Storage

    สตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักรชื่อ SPhotonix ได้พัฒนาเทคโนโลยี 5D Memory Crystal ที่สามารถเก็บข้อมูลได้นานถึง 13.8 พันล้านปี ซึ่งเทียบเท่ากับอายุของจักรวาล! สื่อรายงานว่าบริษัทเตรียมนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่การทดสอบเชิงพาณิชย์ในศูนย์ข้อมูลภายใน 2 ปีข้างหน้า

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    สื่อกลางคือแผ่นแก้ว fused silica ที่ถูกยิงด้วยเลเซอร์ความเร็วสูงระดับ femtosecond เพื่อสร้างโครงสร้างนาโนที่บันทึกข้อมูลได้ใน 5 มิติ ได้แก่ พิกัดเชิงพื้นที่ (x, y, z), การจัดวาง และความเข้มของโครงสร้างนาโน ข้อมูลสามารถอ่านได้ด้วยแสงโพลาไรซ์ ทำให้แผ่นแก้วขนาด 5 นิ้วสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 360TB

    ประสิทธิภาพและต้นทุน
    ต้นแบบปัจจุบันมีความเร็วการเขียนประมาณ 4 MB/s และอ่านได้ 30 MB/s ซึ่งยังช้ากว่าระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วไป แต่บริษัทมีแผนพัฒนาให้ถึง 500 MB/s ภายใน 3–4 ปี ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอยู่ที่ราว 30,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องเขียน และ 6,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องอ่าน โดยคาดว่าจะมีรุ่นที่สามารถใช้งานภาคสนามได้ภายใน 18 เดือน

    ความหมายต่ออนาคต
    เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบให้เป็นสื่อเก็บข้อมูลแบบ air-gapped ที่ไม่ต้องใช้พลังงานในการรักษาข้อมูล เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารทางวิทยาศาสตร์, ข้อมูลทางการแพทย์, หรือบันทึกทางวัฒนธรรม หากพัฒนาได้จริง อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ทนทานและปลอดภัยกว่าการเก็บข้อมูลด้วยเทปหรือฮาร์ดดิสก์

    สรุปสาระสำคัญ
    เทคโนโลยี 5D Glass Storage
    ใช้เลเซอร์ femtosecond เขียนข้อมูลในแก้ว fused silica
    เก็บข้อมูลได้ถึง 360TB ต่อแผ่น

    ความทนทาน
    อายุการเก็บข้อมูลยาวนานถึง 13.8 พันล้านปี
    ไม่ต้องใช้พลังงานในการรักษาข้อมูล

    แผนการพัฒนา
    เตรียมทดสอบในศูนย์ข้อมูลภายใน 2 ปี
    ตั้งเป้าเพิ่มความเร็วอ่าน/เขียนถึง 500 MB/s

    ข้อจำกัด
    ความเร็วปัจจุบันยังต่ำมาก (4 MB/s เขียน, 30 MB/s อ่าน)
    ค่าอุปกรณ์สูง (30,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องเขียน, 6,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องอ่าน)

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/sphotonix-pushes-5d-glass-storage-toward-data-center-pilots
    💽 ก้าวใหม่ของการเก็บข้อมูล: 5D Glass Storage สตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักรชื่อ SPhotonix ได้พัฒนาเทคโนโลยี 5D Memory Crystal ที่สามารถเก็บข้อมูลได้นานถึง 13.8 พันล้านปี ซึ่งเทียบเท่ากับอายุของจักรวาล! สื่อรายงานว่าบริษัทเตรียมนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่การทดสอบเชิงพาณิชย์ในศูนย์ข้อมูลภายใน 2 ปีข้างหน้า 🔬 เทคโนโลยีเบื้องหลัง สื่อกลางคือแผ่นแก้ว fused silica ที่ถูกยิงด้วยเลเซอร์ความเร็วสูงระดับ femtosecond เพื่อสร้างโครงสร้างนาโนที่บันทึกข้อมูลได้ใน 5 มิติ ได้แก่ พิกัดเชิงพื้นที่ (x, y, z), การจัดวาง และความเข้มของโครงสร้างนาโน ข้อมูลสามารถอ่านได้ด้วยแสงโพลาไรซ์ ทำให้แผ่นแก้วขนาด 5 นิ้วสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 360TB ⚡ ประสิทธิภาพและต้นทุน ต้นแบบปัจจุบันมีความเร็วการเขียนประมาณ 4 MB/s และอ่านได้ 30 MB/s ซึ่งยังช้ากว่าระบบจัดเก็บข้อมูลทั่วไป แต่บริษัทมีแผนพัฒนาให้ถึง 500 MB/s ภายใน 3–4 ปี ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นอยู่ที่ราว 30,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องเขียน และ 6,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องอ่าน โดยคาดว่าจะมีรุ่นที่สามารถใช้งานภาคสนามได้ภายใน 18 เดือน 🌍 ความหมายต่ออนาคต เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบให้เป็นสื่อเก็บข้อมูลแบบ air-gapped ที่ไม่ต้องใช้พลังงานในการรักษาข้อมูล เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารทางวิทยาศาสตร์, ข้อมูลทางการแพทย์, หรือบันทึกทางวัฒนธรรม หากพัฒนาได้จริง อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่ทนทานและปลอดภัยกว่าการเก็บข้อมูลด้วยเทปหรือฮาร์ดดิสก์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เทคโนโลยี 5D Glass Storage ➡️ ใช้เลเซอร์ femtosecond เขียนข้อมูลในแก้ว fused silica ➡️ เก็บข้อมูลได้ถึง 360TB ต่อแผ่น ✅ ความทนทาน ➡️ อายุการเก็บข้อมูลยาวนานถึง 13.8 พันล้านปี ➡️ ไม่ต้องใช้พลังงานในการรักษาข้อมูล ✅ แผนการพัฒนา ➡️ เตรียมทดสอบในศูนย์ข้อมูลภายใน 2 ปี ➡️ ตั้งเป้าเพิ่มความเร็วอ่าน/เขียนถึง 500 MB/s ‼️ ข้อจำกัด ⛔ ความเร็วปัจจุบันยังต่ำมาก (4 MB/s เขียน, 30 MB/s อ่าน) ⛔ ค่าอุปกรณ์สูง (30,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องเขียน, 6,000 ดอลลาร์สำหรับเครื่องอ่าน) https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/sphotonix-pushes-5d-glass-storage-toward-data-center-pilots
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft แนะ 11 วิธีเร่งความเร็ว Windows

    Microsoft เผยแนวทางแก้ไขสำหรับผู้ใช้ที่พบว่าเครื่อง Windows ทำงานช้าลง โดยมีทั้งการปรับตั้งค่าซอฟต์แวร์และการจัดการฮาร์ดแวร์ วิธีการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบอัปเดต, การสแกนไวรัส, การลบไฟล์ชั่วคราว ไปจนถึงการปิดแอปที่รันพื้นหลังโดยไม่จำเป็น จุดสำคัญคือการจัดการทรัพยากรให้เหมาะสม เพื่อให้เครื่องกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น

    เทคนิคการปรับแต่งระบบ
    หนึ่งในคำแนะนำคือ ตรวจสอบ Startup Apps ผ่าน Task Manager เพื่อปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพร้อมระบบ นอกจากนี้ยังมีการ ลด Visual Effects โดยเลือกโหมด “Adjust for best performance” เพื่อให้เครื่องใช้ทรัพยากรน้อยลง อีกทั้งยังสามารถ ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance หากใช้เครื่องแบบเสียบไฟตลอดเวลา เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุด

    การจัดการพื้นที่และทรัพยากร
    Microsoft แนะนำให้ ลบไฟล์ชั่วคราวและโปรแกรมที่ไม่ใช้แล้ว ผ่าน Storage Sense และ Disk Cleanup รวมถึงการ ตรวจสอบโปรเซสที่กินทรัพยากรสูง แล้ว End task ได้ทันทีใน Task Manager อีกทั้งยังมีการ Defragment และ Optimize Drives เพื่อให้การอ่านเขียนข้อมูลเร็วขึ้น และการปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักเกินไป

    ทางเลือกเพิ่มเติม: รีสตาร์ทหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์
    หากวิธีทั้งหมดไม่ช่วยมากนัก Microsoft แนะนำให้ รีสตาร์ทเครื่อง เพื่อเคลียร์โปรเซสที่ค้างอยู่ และหากยังช้าอยู่ อาจพิจารณา อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น เปลี่ยนไปใช้ SSD หรือเพิ่ม RAM ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นผลโดยไม่ต้องซื้อคอมใหม่

    สรุปเป็นหัวข้อ
    วิธีแก้ปัญหา Windows ช้า
    ตรวจสอบและติดตั้ง Windows Update
    สแกนไวรัสด้วย Microsoft Defender หรือโปรแกรมอื่น
    ลบไฟล์ชั่วคราวด้วย Storage Sense และ Disk Cleanup
    ถอนการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น และปิด Background apps
    ปิด Startup apps ที่ไม่จำเป็นใน Task Manager
    ตรวจสอบโปรเซสที่กิน CPU/Memory แล้ว End task
    ลด Visual Effects เพื่อประหยัดทรัพยากร
    ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance
    Defragment และ Optimize Drives
    ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น
    ปิดแอปและแท็บเบราว์เซอร์ที่ไม่ใช้

    ทางเลือกเพิ่มเติม
    รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์โปรเซส
    อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น SSD หรือ RAM

    คำเตือน
    การปิดแอปหรือโปรเซสผิดอาจทำให้ระบบไม่เสถียร
    การปรับ Power Mode เป็น Best performance อาจทำให้แบตหมดเร็วขึ้น
    การ Defragment ไม่เหมาะกับ SSD เพราะอาจลดอายุการใช้งาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/14/windows-running-slow-microsofts-11-quick-fixes-to-speed-up-your-pc
    ⚡ Microsoft แนะ 11 วิธีเร่งความเร็ว Windows Microsoft เผยแนวทางแก้ไขสำหรับผู้ใช้ที่พบว่าเครื่อง Windows ทำงานช้าลง โดยมีทั้งการปรับตั้งค่าซอฟต์แวร์และการจัดการฮาร์ดแวร์ วิธีการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบอัปเดต, การสแกนไวรัส, การลบไฟล์ชั่วคราว ไปจนถึงการปิดแอปที่รันพื้นหลังโดยไม่จำเป็น จุดสำคัญคือการจัดการทรัพยากรให้เหมาะสม เพื่อให้เครื่องกลับมาทำงานได้เร็วขึ้น 🖥️ เทคนิคการปรับแต่งระบบ หนึ่งในคำแนะนำคือ ตรวจสอบ Startup Apps ผ่าน Task Manager เพื่อปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพร้อมระบบ นอกจากนี้ยังมีการ ลด Visual Effects โดยเลือกโหมด “Adjust for best performance” เพื่อให้เครื่องใช้ทรัพยากรน้อยลง อีกทั้งยังสามารถ ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance หากใช้เครื่องแบบเสียบไฟตลอดเวลา เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุด 🔧 การจัดการพื้นที่และทรัพยากร Microsoft แนะนำให้ ลบไฟล์ชั่วคราวและโปรแกรมที่ไม่ใช้แล้ว ผ่าน Storage Sense และ Disk Cleanup รวมถึงการ ตรวจสอบโปรเซสที่กินทรัพยากรสูง แล้ว End task ได้ทันทีใน Task Manager อีกทั้งยังมีการ Defragment และ Optimize Drives เพื่อให้การอ่านเขียนข้อมูลเร็วขึ้น และการปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนักเกินไป 🚀 ทางเลือกเพิ่มเติม: รีสตาร์ทหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ หากวิธีทั้งหมดไม่ช่วยมากนัก Microsoft แนะนำให้ รีสตาร์ทเครื่อง เพื่อเคลียร์โปรเซสที่ค้างอยู่ และหากยังช้าอยู่ อาจพิจารณา อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น เปลี่ยนไปใช้ SSD หรือเพิ่ม RAM ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นผลโดยไม่ต้องซื้อคอมใหม่ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ วิธีแก้ปัญหา Windows ช้า ➡️ ตรวจสอบและติดตั้ง Windows Update ➡️ สแกนไวรัสด้วย Microsoft Defender หรือโปรแกรมอื่น ➡️ ลบไฟล์ชั่วคราวด้วย Storage Sense และ Disk Cleanup ➡️ ถอนการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น และปิด Background apps ➡️ ปิด Startup apps ที่ไม่จำเป็นใน Task Manager ➡️ ตรวจสอบโปรเซสที่กิน CPU/Memory แล้ว End task ➡️ ลด Visual Effects เพื่อประหยัดทรัพยากร ➡️ ตั้งค่า Power Mode เป็น Best performance ➡️ Defragment และ Optimize Drives ➡️ ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น ➡️ ปิดแอปและแท็บเบราว์เซอร์ที่ไม่ใช้ ✅ ทางเลือกเพิ่มเติม ➡️ รีสตาร์ทเครื่องเพื่อเคลียร์โปรเซส ➡️ อัปเกรดฮาร์ดแวร์ เช่น SSD หรือ RAM ‼️ คำเตือน ⛔ การปิดแอปหรือโปรเซสผิดอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ⛔ การปรับ Power Mode เป็น Best performance อาจทำให้แบตหมดเร็วขึ้น ⛔ การ Defragment ไม่เหมาะกับ SSD เพราะอาจลดอายุการใช้งาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/14/windows-running-slow-microsofts-11-quick-fixes-to-speed-up-your-pc
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Windows running slow? Microsoft's 11 quick fixes to speed up your PC
    If Windows is feeling sluggish, there can be many reasons, from your computer's storage being almost full to too many programs starting with the operating system.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย

    บทความนี้อธิบายว่าไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย แม้ปัจจุบันหลายรุ่นจะรองรับทั้งสอง แต่ยังมีข้อยกเว้นจากบางแบรนด์และบางรุ่นที่เลือกไม่ใส่ Android Auto หรือแม้แต่เลิกใช้ระบบทั้งคู่

    ประวัติการพัฒนา CarPlay และ Android Auto
    Apple เปิดตัว CarPlay ในปี 2014 โดยเริ่มใช้ใน Kia Soul และ Ferrari FF ก่อนจะขยายไปยัง GM, Hyundai, Honda และ Volkswagen ในปี 2016 ส่วน Google เปิดตัว Android Auto ในปี 2015 โดยเริ่มจาก Hyundai และตามมาด้วย Chevrolet, GMC และ Honda ในปี 2016 แต่กว่าที่ Toyota จะรองรับ Android Auto ก็ต้องรอถึงปี 2018 และ BMW เพิ่งเพิ่มในปี 2020 ซึ่งช้ากว่า CarPlay หลายปี

    รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto
    แม้ปัจจุบันรถส่วนใหญ่จะมีทั้ง CarPlay และ Android Auto แต่ยังมีข้อยกเว้น เช่น:
    Toyota GR Supra 2025 ใช้ระบบ infotainment ที่พัฒนาจาก BMW ซึ่งไม่รองรับ Android Auto
    Rivian R1T และ Tesla เลือกใช้ระบบซอฟต์แวร์ภายใน ไม่รองรับทั้ง CarPlay และ Android Auto
    Porsche 718 Cayman และ Macan รองรับเฉพาะ CarPlay ทำให้ผู้ใช้ Android ต้องใช้ Bluetooth หรือแอปพื้นฐานของรถ

    แนวโน้มในอนาคต
    แม้ปัจจุบันผู้ใช้คาดหวังว่ารถใหม่จะรองรับทั้งสองระบบ แต่บางค่ายเริ่มวางแผนเลิกใช้ เช่น General Motors (GM) ที่ประกาศจะยกเลิก CarPlay และ Android Auto เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองบน Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CarPlay และ Android Auto ไม่ได้มาคู่เสมอไป
    CarPlay เปิดตัวก่อนและถูกนำไปใช้ในหลายแบรนด์เร็วกว่าของ Google
    Android Auto เข้ามาช้ากว่า ทำให้บางรุ่นยังไม่รองรับ

    รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto
    Toyota GR Supra 2025
    Rivian R1T และ Tesla
    Porsche 718 Cayman และ Macan

    แนวโน้มในอนาคต
    GM เตรียมเลิกใช้ CarPlay และ Android Auto
    หันไปใช้ Android Automotive OS ที่ฝังในรถ

    คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถใหม่
    อย่าคิดว่ารถที่มี CarPlay จะมี Android Auto เสมอ
    ควรตรวจสอบสเปก infotainment ก่อนซื้อ โดยเฉพาะรุ่นย่อยหรือรถ fleet

    https://www.slashgear.com/2049633/does-every-car-with-carplay-have-android-auto/
    🧭 ไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย บทความนี้อธิบายว่าไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย แม้ปัจจุบันหลายรุ่นจะรองรับทั้งสอง แต่ยังมีข้อยกเว้นจากบางแบรนด์และบางรุ่นที่เลือกไม่ใส่ Android Auto หรือแม้แต่เลิกใช้ระบบทั้งคู่ 📱 ประวัติการพัฒนา CarPlay และ Android Auto Apple เปิดตัว CarPlay ในปี 2014 โดยเริ่มใช้ใน Kia Soul และ Ferrari FF ก่อนจะขยายไปยัง GM, Hyundai, Honda และ Volkswagen ในปี 2016 ส่วน Google เปิดตัว Android Auto ในปี 2015 โดยเริ่มจาก Hyundai และตามมาด้วย Chevrolet, GMC และ Honda ในปี 2016 แต่กว่าที่ Toyota จะรองรับ Android Auto ก็ต้องรอถึงปี 2018 และ BMW เพิ่งเพิ่มในปี 2020 ซึ่งช้ากว่า CarPlay หลายปี 🚙 รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto แม้ปัจจุบันรถส่วนใหญ่จะมีทั้ง CarPlay และ Android Auto แต่ยังมีข้อยกเว้น เช่น: 💠 Toyota GR Supra 2025 ใช้ระบบ infotainment ที่พัฒนาจาก BMW ซึ่งไม่รองรับ Android Auto 💠 Rivian R1T และ Tesla เลือกใช้ระบบซอฟต์แวร์ภายใน ไม่รองรับทั้ง CarPlay และ Android Auto 💠 Porsche 718 Cayman และ Macan รองรับเฉพาะ CarPlay ทำให้ผู้ใช้ Android ต้องใช้ Bluetooth หรือแอปพื้นฐานของรถ 🛠️ แนวโน้มในอนาคต แม้ปัจจุบันผู้ใช้คาดหวังว่ารถใหม่จะรองรับทั้งสองระบบ แต่บางค่ายเริ่มวางแผนเลิกใช้ เช่น General Motors (GM) ที่ประกาศจะยกเลิก CarPlay และ Android Auto เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองบน Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CarPlay และ Android Auto ไม่ได้มาคู่เสมอไป ➡️ CarPlay เปิดตัวก่อนและถูกนำไปใช้ในหลายแบรนด์เร็วกว่าของ Google ➡️ Android Auto เข้ามาช้ากว่า ทำให้บางรุ่นยังไม่รองรับ ✅ รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto ➡️ Toyota GR Supra 2025 ➡️ Rivian R1T และ Tesla ➡️ Porsche 718 Cayman และ Macan ✅ แนวโน้มในอนาคต ➡️ GM เตรียมเลิกใช้ CarPlay และ Android Auto ➡️ หันไปใช้ Android Automotive OS ที่ฝังในรถ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถใหม่ ⛔ อย่าคิดว่ารถที่มี CarPlay จะมี Android Auto เสมอ ⛔ ควรตรวจสอบสเปก infotainment ก่อนซื้อ โดยเฉพาะรุ่นย่อยหรือรถ fleet https://www.slashgear.com/2049633/does-every-car-with-carplay-have-android-auto/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Does Every Car With Apple CarPlay Also Have Android Auto? - SlashGear
    Apple CarPlay and Android Auto now dominate the infotainment screens of cars around the world, but do cars ever feature one over the other today?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ทางเลือกแทน Apple CarPlay ที่หลายคนอาจไม่รู้จัก

    Magic Box – กล่องแปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ
    Magic Box เป็นอุปกรณ์ที่เสียบเข้ากับพอร์ต USB ของรถ แล้วหลอกให้รถคิดว่ากำลังรัน CarPlay แต่จริง ๆ แล้วมันส่งต่อระบบ Android OS เต็มรูปแบบ ไปยังหน้าจอรถ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปจาก Google Play Store ได้ทุกชนิด เช่น YouTube, Netflix, หรือแอปนำทางอื่น ๆ โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน

    GROM VLine / NavTool – อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่า
    สำหรับรถหรูรุ่นเก่าอย่าง Lexus หรือ Infiniti ที่ระบบ infotainment ล้าสมัย GROM VLine และ NavTool ช่วยเพิ่มความสามารถสมัยใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวเครื่องเสียงเดิม อุปกรณ์นี้เชื่อมต่อกับสายไฟเดิม ทำให้ยังคงใช้ฟังก์ชันเดิม เช่น ปุ่มบนพวงมาลัยและกล้องถอยหลัง แต่เพิ่มการรองรับ Google Maps, Waze และ Spotify ได้

    OpenAuto Pro – ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi
    สำหรับสายเทคนิค OpenAuto Pro เปิดโอกาสให้สร้างระบบ infotainment เองบน Raspberry Pi ผู้ใช้สามารถออกแบบหน้าจอ, เพิ่มเกจวัด OBD-II, หรือแม้แต่ควบคุมระบบปรับอากาศผ่านซอฟต์แวร์ที่เขียนเอง ถือเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด แต่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคพอสมควร

    Native Android Automotive OS – ระบบฝังตัวจากผู้ผลิต
    ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง GM และ Rivian กำลังเลิกใช้ CarPlay แล้วหันไปใช้ Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ทำให้แอปอย่าง Google Maps และ Spotify ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์รถ เช่น ตรวจสอบแบตเตอรี่ EV และแนะนำเส้นทางไปยังสถานีชาร์จ

    Aftermarket Android Head Units – จอใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม
    สำหรับรถรุ่นเก่า สามารถเปลี่ยนเครื่องเสียงเป็น Android Head Unit ที่มาพร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่และระบบ Android เต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์, เก็บเพลงในเครื่อง, และใช้แอปตรวจสอบเครื่องยนต์ผ่าน OBD-II ได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Magic Box
    แปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ
    ติดตั้งแอปได้ทุกชนิดจาก Google Play

    GROM VLine / NavTool
    อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่าโดยไม่เปลี่ยนเครื่องเสียง
    รองรับ Google Maps, Waze, Spotify

    OpenAuto Pro
    ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi
    เพิ่มเกจวัด OBD-II และปรับแต่งได้เต็มที่

    Android Automotive OS
    ระบบฝังตัวจากผู้ผลิตรถยนต์
    ทำงานโดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน

    Android Head Units
    จอสัมผัสใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม
    รองรับแผนที่ออฟไลน์และแอปตรวจสอบเครื่องยนต์

    คำเตือนด้านความปลอดภัยและการใช้งาน
    อุปกรณ์เสริมบางชนิดอาจทำให้หมดประกันรถ
    ระบบ DIY ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อความผิดพลาด

    https://www.slashgear.com/2049901/carplay-alternatives-you-didnt-realize-existed/
    🧭 5 ทางเลือกแทน Apple CarPlay ที่หลายคนอาจไม่รู้จัก 🚗 Magic Box – กล่องแปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ Magic Box เป็นอุปกรณ์ที่เสียบเข้ากับพอร์ต USB ของรถ แล้วหลอกให้รถคิดว่ากำลังรัน CarPlay แต่จริง ๆ แล้วมันส่งต่อระบบ Android OS เต็มรูปแบบ ไปยังหน้าจอรถ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปจาก Google Play Store ได้ทุกชนิด เช่น YouTube, Netflix, หรือแอปนำทางอื่น ๆ โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน 🏎️ GROM VLine / NavTool – อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่า สำหรับรถหรูรุ่นเก่าอย่าง Lexus หรือ Infiniti ที่ระบบ infotainment ล้าสมัย GROM VLine และ NavTool ช่วยเพิ่มความสามารถสมัยใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวเครื่องเสียงเดิม อุปกรณ์นี้เชื่อมต่อกับสายไฟเดิม ทำให้ยังคงใช้ฟังก์ชันเดิม เช่น ปุ่มบนพวงมาลัยและกล้องถอยหลัง แต่เพิ่มการรองรับ Google Maps, Waze และ Spotify ได้ 🛠️ OpenAuto Pro – ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi สำหรับสายเทคนิค OpenAuto Pro เปิดโอกาสให้สร้างระบบ infotainment เองบน Raspberry Pi ผู้ใช้สามารถออกแบบหน้าจอ, เพิ่มเกจวัด OBD-II, หรือแม้แต่ควบคุมระบบปรับอากาศผ่านซอฟต์แวร์ที่เขียนเอง ถือเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด แต่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคพอสมควร 🚙 Native Android Automotive OS – ระบบฝังตัวจากผู้ผลิต ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง GM และ Rivian กำลังเลิกใช้ CarPlay แล้วหันไปใช้ Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ทำให้แอปอย่าง Google Maps และ Spotify ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์รถ เช่น ตรวจสอบแบตเตอรี่ EV และแนะนำเส้นทางไปยังสถานีชาร์จ 📱 Aftermarket Android Head Units – จอใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม สำหรับรถรุ่นเก่า สามารถเปลี่ยนเครื่องเสียงเป็น Android Head Unit ที่มาพร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่และระบบ Android เต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์, เก็บเพลงในเครื่อง, และใช้แอปตรวจสอบเครื่องยนต์ผ่าน OBD-II ได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Magic Box ➡️ แปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ ➡️ ติดตั้งแอปได้ทุกชนิดจาก Google Play ✅ GROM VLine / NavTool ➡️ อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่าโดยไม่เปลี่ยนเครื่องเสียง ➡️ รองรับ Google Maps, Waze, Spotify ✅ OpenAuto Pro ➡️ ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi ➡️ เพิ่มเกจวัด OBD-II และปรับแต่งได้เต็มที่ ✅ Android Automotive OS ➡️ ระบบฝังตัวจากผู้ผลิตรถยนต์ ➡️ ทำงานโดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน ✅ Android Head Units ➡️ จอสัมผัสใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม ➡️ รองรับแผนที่ออฟไลน์และแอปตรวจสอบเครื่องยนต์ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัยและการใช้งาน ⛔ อุปกรณ์เสริมบางชนิดอาจทำให้หมดประกันรถ ⛔ ระบบ DIY ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อความผิดพลาด https://www.slashgear.com/2049901/carplay-alternatives-you-didnt-realize-existed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Alternatives To Apple CarPlay That You Didn't Realize Existed - SlashGear
    If you're an iPhone user, Apple CarPlay is not the end-all, be-all of hands-free navigation utilities. Check out these uncommon, but useful alternatives.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mixxx 2.5.4: เวอร์ชันใหม่สำหรับดีเจสายโอเพ่นซอร์ส

    ทีมพัฒนา Mixxx ได้ประกาศเปิดตัว Mixxx 2.5.4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุดของซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์ส จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์หลายรุ่น โดยเฉพาะ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีเจมืออาชีพและนักเล่นดนตรีอิสระ

    การปรับปรุงที่สำคัญ
    นอกจาก Korg และ Pioneer แล้ว Mixxx 2.5.4 ยังเพิ่มการรองรับและปรับปรุงการทำงานกับคอนโทรลเลอร์อื่น ๆ เช่น Numark NS6II, Traktor S4 MK3, และ Reloop Beatmix 2 ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น การอัปเดตนี้ยังแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม เพื่อให้การมิกซ์เพลงสดมีความเสถียรและตอบสนองได้ดีขึ้น

    ผลกระทบต่อวงการ DJ
    Mixxx ถือเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเปิดให้ใช้งานฟรีและมีชุมชนผู้พัฒนาที่แข็งแกร่ง การปรับปรุงในเวอร์ชัน 2.5.4 นี้ช่วยให้ดีเจทั้งมือใหม่และมืออาชีพสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่มีคุณภาพ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง

    แนวโน้มในอนาคต
    การพัฒนา Mixxx อย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชุมชนโอเพ่นซอร์สในการสร้างเครื่องมือที่แข่งขันได้กับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ การรองรับคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่ ๆ จะช่วยให้ Mixxx เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับดีเจที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับแต่งที่หลากหลาย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Mixxx 2.5.4 เปิดตัวแล้ว
    ปรับปรุงการรองรับ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ
    เพิ่มความเสถียรและแก้ไขบั๊ก

    การรองรับอุปกรณ์เพิ่มเติม
    รองรับ Numark NS6II, Traktor S4 MK3, Reloop Beatmix 2
    ทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ DJ หลากหลายขึ้น

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    ดีเจมือใหม่และมืออาชีพเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพฟรี
    ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    RC หรือเวอร์ชันทดสอบอาจยังมีบั๊ก ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในงานใหญ่
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของคอนโทรลเลอร์ก่อนใช้งานจริง

    https://9to5linux.com/mixxx-2-5-4-open-source-dj-app-improves-support-for-korg-kaoss-dj-pioneer-dj-cdj
    🎧 Mixxx 2.5.4: เวอร์ชันใหม่สำหรับดีเจสายโอเพ่นซอร์ส ทีมพัฒนา Mixxx ได้ประกาศเปิดตัว Mixxx 2.5.4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุดของซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์ส จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์หลายรุ่น โดยเฉพาะ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีเจมืออาชีพและนักเล่นดนตรีอิสระ ⚙️ การปรับปรุงที่สำคัญ นอกจาก Korg และ Pioneer แล้ว Mixxx 2.5.4 ยังเพิ่มการรองรับและปรับปรุงการทำงานกับคอนโทรลเลอร์อื่น ๆ เช่น Numark NS6II, Traktor S4 MK3, และ Reloop Beatmix 2 ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น การอัปเดตนี้ยังแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม เพื่อให้การมิกซ์เพลงสดมีความเสถียรและตอบสนองได้ดีขึ้น 🌐 ผลกระทบต่อวงการ DJ Mixxx ถือเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเปิดให้ใช้งานฟรีและมีชุมชนผู้พัฒนาที่แข็งแกร่ง การปรับปรุงในเวอร์ชัน 2.5.4 นี้ช่วยให้ดีเจทั้งมือใหม่และมืออาชีพสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่มีคุณภาพ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง 🔮 แนวโน้มในอนาคต การพัฒนา Mixxx อย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชุมชนโอเพ่นซอร์สในการสร้างเครื่องมือที่แข่งขันได้กับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ การรองรับคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่ ๆ จะช่วยให้ Mixxx เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับดีเจที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับแต่งที่หลากหลาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Mixxx 2.5.4 เปิดตัวแล้ว ➡️ ปรับปรุงการรองรับ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ ➡️ เพิ่มความเสถียรและแก้ไขบั๊ก ✅ การรองรับอุปกรณ์เพิ่มเติม ➡️ รองรับ Numark NS6II, Traktor S4 MK3, Reloop Beatmix 2 ➡️ ทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ DJ หลากหลายขึ้น ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ➡️ ดีเจมือใหม่และมืออาชีพเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพฟรี ➡️ ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ RC หรือเวอร์ชันทดสอบอาจยังมีบั๊ก ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในงานใหญ่ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของคอนโทรลเลอร์ก่อนใช้งานจริง https://9to5linux.com/mixxx-2-5-4-open-source-dj-app-improves-support-for-korg-kaoss-dj-pioneer-dj-cdj
    9TO5LINUX.COM
    Mixxx 2.5.4 Open-Source DJ App Improves Support for Korg KAOSS DJ, Pioneer DJ CDJ - 9to5Linux
    Mixxx 2.5.4 open-source virtual DJ software for performing live mixes is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar

    รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S
    เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า
    https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review

    มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร
    นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it

    ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA
    IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA
    https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function

    6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan

    Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่
    ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was

    Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era”
    Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน
    https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all

    EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035
    สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035

    ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI”
    ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย
    https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture

    สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ
    นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่
    https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know

    AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime”
    ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า
    https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it



    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar 🖥️ รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review 💻 มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it 🔌 ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA 🔗 https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function 🤖 6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan 🚗 Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่ ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was 🖌️ Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era” Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all 🚗 EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035 สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035 🤖 ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI” ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture 🛂 สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know ⚙️ AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime” ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it
    WWW.TECHRADAR.COM
    I tested the HHKB Professional Classic Type-S — a niche option for those prepared to learn a new keyboard layout to get Topre key mechanisms
    The HHKB Professional Classic Type-S is a radically deconstructed keyboard design that focuses on compact layout rather than easy adaptability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • การหายตัวไปของผู้สร้าง Bitcoin

    เมื่อปี 2010–2011 บุคคลลึกลับที่ใช้นามแฝง Satoshi Nakamoto ได้หยุดการสื่อสารกับชุมชนคริปโต หลังจากสร้าง Bitcoin และวางรากฐานระบบบล็อกเชนที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล ข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ “I’ve moved on to other things” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก

    ผลงานที่เปลี่ยนโลก
    Bitcoin ไม่เพียงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรก แต่ยังเป็นการปฏิวัติแนวคิดเรื่อง การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือรัฐบาล การออกแบบระบบ Proof-of-Work และบล็อกเชนที่โปร่งใสทำให้เกิดแรงบันดาลใจต่อคริปโตอื่น ๆ และต่อยอดไปสู่เทคโนโลยี Web3, NFT และ DeFi ในปัจจุบัน

    ปริศนาตัวตนที่ยังไม่คลี่คลาย
    แม้มีการคาดเดามากมายว่า Satoshi อาจเป็นนักพัฒนาจากญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่กลุ่มคน แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ตัวตนของเขายังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเทคโนโลยี และยิ่งทำให้ตำนานของ Bitcoin มีเสน่ห์มากขึ้น

    มรดกที่ยังคงอยู่
    แม้ผู้สร้างจะหายไป แต่ Bitcoin ยังคงเติบโตและเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดในโลก สะท้อนถึงพลังของแนวคิดที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรก และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้างคอยควบคุม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การหายตัวไปของ Satoshi Nakamoto
    ทิ้งข้อความสุดท้ายว่า “I’ve moved on to other things”

    ผลงานที่เปลี่ยนโลก
    Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกและวางรากฐานบล็อกเชน

    ปริศนาตัวตน
    ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Satoshi เป็นใครจนถึงปัจจุบัน

    มรดกที่ยังคงอยู่
    Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก

    ความไม่แน่นอนของตัวตน
    การไม่รู้ว่าใครคือผู้สร้าง อาจทำให้เกิดการคาดเดาและข่าวลือที่บิดเบือน

    ความเสี่ยงในตลาดคริปโต
    การขาดผู้นำที่ชัดเจนทำให้ Bitcoin ขึ้นอยู่กับแรงตลาดและการเก็งกำไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-creator-satoshi-disappeared-on-this-day-15-years-ago-leaving-a-final-public-message-ive-moved-on-to-other-things-true-identity-of-satoshi-nakamoto-entity-remains-unknown
    🕵️‍♂️ การหายตัวไปของผู้สร้าง Bitcoin เมื่อปี 2010–2011 บุคคลลึกลับที่ใช้นามแฝง Satoshi Nakamoto ได้หยุดการสื่อสารกับชุมชนคริปโต หลังจากสร้าง Bitcoin และวางรากฐานระบบบล็อกเชนที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล ข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ “I’ve moved on to other things” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก 💻 ผลงานที่เปลี่ยนโลก Bitcoin ไม่เพียงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรก แต่ยังเป็นการปฏิวัติแนวคิดเรื่อง การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือรัฐบาล การออกแบบระบบ Proof-of-Work และบล็อกเชนที่โปร่งใสทำให้เกิดแรงบันดาลใจต่อคริปโตอื่น ๆ และต่อยอดไปสู่เทคโนโลยี Web3, NFT และ DeFi ในปัจจุบัน 🌍 ปริศนาตัวตนที่ยังไม่คลี่คลาย แม้มีการคาดเดามากมายว่า Satoshi อาจเป็นนักพัฒนาจากญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่กลุ่มคน แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ตัวตนของเขายังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเทคโนโลยี และยิ่งทำให้ตำนานของ Bitcoin มีเสน่ห์มากขึ้น 📈 มรดกที่ยังคงอยู่ แม้ผู้สร้างจะหายไป แต่ Bitcoin ยังคงเติบโตและเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดในโลก สะท้อนถึงพลังของแนวคิดที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรก และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้างคอยควบคุม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การหายตัวไปของ Satoshi Nakamoto ➡️ ทิ้งข้อความสุดท้ายว่า “I’ve moved on to other things” ✅ ผลงานที่เปลี่ยนโลก ➡️ Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกและวางรากฐานบล็อกเชน ✅ ปริศนาตัวตน ➡️ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Satoshi เป็นใครจนถึงปัจจุบัน ✅ มรดกที่ยังคงอยู่ ➡️ Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก ‼️ ความไม่แน่นอนของตัวตน ⛔ การไม่รู้ว่าใครคือผู้สร้าง อาจทำให้เกิดการคาดเดาและข่าวลือที่บิดเบือน ‼️ ความเสี่ยงในตลาดคริปโต ⛔ การขาดผู้นำที่ชัดเจนทำให้ Bitcoin ขึ้นอยู่กับแรงตลาดและการเก็งกำไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-creator-satoshi-disappeared-on-this-day-15-years-ago-leaving-a-final-public-message-ive-moved-on-to-other-things-true-identity-of-satoshi-nakamoto-entity-remains-unknown
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “หนีโฆษณาและการติดตามด้วย Dumb TV – คู่มือจาก Ars Technica”

    Smart TV ในปัจจุบันมักมาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ฝังโฆษณาและฟังก์ชันติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ทำให้หลายคนเริ่มมองหา Dumb TV หรือทางเลือกอื่นที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม Dumb TV กลายเป็นสินค้าที่หายาก เนื่องจากผู้ผลิตทีวีส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากโฆษณาและข้อมูลผู้ใช้

    หนึ่งในคำแนะนำหลักคือการใช้ Apple TV box แทนระบบ Smart TV โดย Apple มีชื่อเสียงด้านการรักษาข้อมูลในระบบปิด และไม่มีฟังก์ชัน Automatic Content Recognition (ACR) ที่คอยติดตามสิ่งที่ผู้ใช้ดู นอกจากนี้ Apple TV ยังรองรับการสตรีม 4K/HDR ได้อย่างเสถียรและใช้งานง่ายสำหรับทุกคนในบ้าน

    สำหรับผู้ที่ยังอยากได้ Dumb TV จริง ๆ แบรนด์อย่าง Emerson, Westinghouse และ Sceptre ยังมีจำหน่าย แต่คุณภาพภาพและเสียงมักด้อยกว่า Smart TV รุ่นใหม่ ๆ เช่น ไม่มี OLED หรือความละเอียดสูง อีกทางเลือกคือการใช้ โปรเจ็กเตอร์ หรือ มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและให้คุณภาพภาพที่ดีในบางกรณี

    นอกจากนี้ บทความยังแนะนำการใช้ Home Theater PC (HTPC) หรือแม้แต่ เสาอากาศทีวี (TV Antenna) เพื่อดูช่องฟรีโดยไม่ถูกติดตาม ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมสิ่งที่ดูได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบโฆษณาของ Smart TV

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Smart TV มักมีโฆษณาและระบบติดตามผู้ใช้
    Apple TV เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย
    Dumb TV ยังมีจำหน่ายจาก Emerson, Westinghouse, Sceptre แต่คุณภาพด้อยกว่า
    โปรเจ็กเตอร์และมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอีกทางเลือกที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    HTPC และเสาอากาศทีวีช่วยให้ดูคอนเทนต์โดยไม่ถูกติดตาม

    ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet
    Apple TV ไม่มี ACR และมีชื่อเสียงด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว
    โปรเจ็กเตอร์ที่รองรับ HDCP 2.2 สามารถฉายภาพ 4K/HDR ได้
    เสาอากาศทีวีสมัยใหม่มีดีไซน์บางและสามารถรับช่องดิจิทัลได้หลากหลาย

    คำเตือน
    Dumb TV คุณภาพภาพและเสียงต่ำกว่า Smart TV รุ่นใหม่
    โปรเจ็กเตอร์ต้องใช้ห้องมืดและพื้นที่มาก
    มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ไม่มีฟังก์ชันทีวี เช่น TV tuner
    เสาอากาศทีวีไม่รองรับ 4K/HDR และอาจมีปัญหาสัญญาณในบางพื้นที่

    https://arstechnica.com/gadgets/2025/12/the-ars-technica-guide-to-dumb-tvs/
    📺 “หนีโฆษณาและการติดตามด้วย Dumb TV – คู่มือจาก Ars Technica” Smart TV ในปัจจุบันมักมาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ฝังโฆษณาและฟังก์ชันติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ทำให้หลายคนเริ่มมองหา Dumb TV หรือทางเลือกอื่นที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม Dumb TV กลายเป็นสินค้าที่หายาก เนื่องจากผู้ผลิตทีวีส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากโฆษณาและข้อมูลผู้ใช้ หนึ่งในคำแนะนำหลักคือการใช้ Apple TV box แทนระบบ Smart TV โดย Apple มีชื่อเสียงด้านการรักษาข้อมูลในระบบปิด และไม่มีฟังก์ชัน Automatic Content Recognition (ACR) ที่คอยติดตามสิ่งที่ผู้ใช้ดู นอกจากนี้ Apple TV ยังรองรับการสตรีม 4K/HDR ได้อย่างเสถียรและใช้งานง่ายสำหรับทุกคนในบ้าน สำหรับผู้ที่ยังอยากได้ Dumb TV จริง ๆ แบรนด์อย่าง Emerson, Westinghouse และ Sceptre ยังมีจำหน่าย แต่คุณภาพภาพและเสียงมักด้อยกว่า Smart TV รุ่นใหม่ ๆ เช่น ไม่มี OLED หรือความละเอียดสูง อีกทางเลือกคือการใช้ โปรเจ็กเตอร์ หรือ มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและให้คุณภาพภาพที่ดีในบางกรณี นอกจากนี้ บทความยังแนะนำการใช้ Home Theater PC (HTPC) หรือแม้แต่ เสาอากาศทีวี (TV Antenna) เพื่อดูช่องฟรีโดยไม่ถูกติดตาม ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมสิ่งที่ดูได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบโฆษณาของ Smart TV 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Smart TV มักมีโฆษณาและระบบติดตามผู้ใช้ ➡️ Apple TV เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย ➡️ Dumb TV ยังมีจำหน่ายจาก Emerson, Westinghouse, Sceptre แต่คุณภาพด้อยกว่า ➡️ โปรเจ็กเตอร์และมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอีกทางเลือกที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ HTPC และเสาอากาศทีวีช่วยให้ดูคอนเทนต์โดยไม่ถูกติดตาม ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet ➡️ Apple TV ไม่มี ACR และมีชื่อเสียงด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ โปรเจ็กเตอร์ที่รองรับ HDCP 2.2 สามารถฉายภาพ 4K/HDR ได้ ➡️ เสาอากาศทีวีสมัยใหม่มีดีไซน์บางและสามารถรับช่องดิจิทัลได้หลากหลาย ‼️ คำเตือน ⛔ Dumb TV คุณภาพภาพและเสียงต่ำกว่า Smart TV รุ่นใหม่ ⛔ โปรเจ็กเตอร์ต้องใช้ห้องมืดและพื้นที่มาก ⛔ มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ไม่มีฟังก์ชันทีวี เช่น TV tuner ⛔ เสาอากาศทีวีไม่รองรับ 4K/HDR และอาจมีปัญหาสัญญาณในบางพื้นที่ https://arstechnica.com/gadgets/2025/12/the-ars-technica-guide-to-dumb-tvs/
    ARSTECHNICA.COM
    How to break free from smart TV ads and tracking
    Sick of smart TVs? Here are your best options.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Apple ID ถูกล็อกถาวรจากบัตรของขวัญ – เมื่อชีวิตดิจิทัลพังทลาย”

    กรณีที่ปรากฏในบทความคือผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาและนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับ Apple ถูกล็อก Apple ID หลังจากพยายามใช้บัตรของขวัญมูลค่า 500 ดอลลาร์เพื่อชำระค่าบริการ iCloud+ ขนาด 6TB ผลคือบัญชีถูกปิดถาวร ทำให้สูญเสียการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ภาพถ่าย และอุปกรณ์กว่า 30,000 ดอลลาร์ที่กลายเป็น “อิฐดิจิทัล” ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ

    จากข้อมูลเพิ่มเติมในชุมชนผู้ใช้ Apple พบว่าปัญหาการถูกล็อกบัญชีหลังการใช้บัตรของขวัญเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายกรณี โดย Apple มักอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย เช่น การสงสัยว่ามีการละเมิดเงื่อนไข หรือการใช้รหัสที่ถูกมองว่าไม่ถูกต้อง แม้ผู้ใช้จะยืนยันความเป็นเจ้าของบัญชีแล้วก็ตาม แต่การปลดล็อกกลับทำได้ยากมาก

    นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Apple ID อาจถูกล็อกชั่วคราวหรือถาวรจากหลายสาเหตุ เช่น การพิมพ์รหัสผิดหลายครั้ง การใช้บัตรเครดิตหมดอายุ หรือการเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์/ประเทศที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งระบบอัตโนมัติของ Apple จะตีความว่าเป็นกิจกรรมที่น่าสงสัยและบังคับล็อกเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูล แต่ผลลัพธ์คือผู้ใช้ที่สุจริตกลับต้องเผชิญกับการสูญเสียการเข้าถึงบริการทั้งหมด

    สิ่งที่น่ากังวลคือ หากบัญชีถูกปิดถาวร ผู้ใช้ไม่เพียงเสียสิทธิ์การเข้าถึงบริการ แต่ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลสำคัญ เช่น รูปถ่าย ข้อความ และการซื้อแอปพลิเคชันที่เคยจ่ายเงินไปแล้ว ซึ่งทำให้เกิดคำถามใหญ่ต่อความสมดุลระหว่าง “ความปลอดภัย” และ “สิทธิของผู้ใช้” ในระบบนิเวศของ Apple

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    ผู้ใช้ถูกล็อก Apple ID หลังใช้บัตรของขวัญ 500 ดอลลาร์เพื่อชำระ iCloud+
    สูญเสียการเข้าถึงข้อมูล รูปถ่าย และอุปกรณ์กว่า 30,000 ดอลลาร์
    Apple Support ไม่สามารถให้คำตอบหรือปลดล็อกได้ และแนะนำให้สร้างบัญชีใหม่

    ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet
    ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยในชุมชนผู้ใช้ Apple โดยเฉพาะเมื่อใช้บัตรของขวัญ
    Apple ID อาจถูกล็อกจากสาเหตุอื่น เช่น บัตรเครดิตหมดอายุ หรือเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์แปลกใหม่
    การปลดล็อกต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตนที่ซับซ้อน และบางครั้งไม่สำเร็จ

    คำเตือน
    หาก Apple ID ถูกปิดถาวร ผู้ใช้จะสูญเสียสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและการซื้อทั้งหมด
    การสร้างบัญชีใหม่อาจถูกเชื่อมโยงกับบัญชีเดิมและถูกล็อกซ้ำ
    การพยายามปลดล็อกด้วยวิธีที่ไม่เป็นทางการ เช่น เครื่องมือของบุคคลที่สาม อาจละเมิดเงื่อนไขและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    https://hey.paris/posts/appleid/
    📰 “Apple ID ถูกล็อกถาวรจากบัตรของขวัญ – เมื่อชีวิตดิจิทัลพังทลาย” กรณีที่ปรากฏในบทความคือผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาและนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับ Apple ถูกล็อก Apple ID หลังจากพยายามใช้บัตรของขวัญมูลค่า 500 ดอลลาร์เพื่อชำระค่าบริการ iCloud+ ขนาด 6TB ผลคือบัญชีถูกปิดถาวร ทำให้สูญเสียการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ภาพถ่าย และอุปกรณ์กว่า 30,000 ดอลลาร์ที่กลายเป็น “อิฐดิจิทัล” ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ จากข้อมูลเพิ่มเติมในชุมชนผู้ใช้ Apple พบว่าปัญหาการถูกล็อกบัญชีหลังการใช้บัตรของขวัญเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายกรณี โดย Apple มักอ้างเหตุผลด้านความปลอดภัย เช่น การสงสัยว่ามีการละเมิดเงื่อนไข หรือการใช้รหัสที่ถูกมองว่าไม่ถูกต้อง แม้ผู้ใช้จะยืนยันความเป็นเจ้าของบัญชีแล้วก็ตาม แต่การปลดล็อกกลับทำได้ยากมาก นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Apple ID อาจถูกล็อกชั่วคราวหรือถาวรจากหลายสาเหตุ เช่น การพิมพ์รหัสผิดหลายครั้ง การใช้บัตรเครดิตหมดอายุ หรือการเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์/ประเทศที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งระบบอัตโนมัติของ Apple จะตีความว่าเป็นกิจกรรมที่น่าสงสัยและบังคับล็อกเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูล แต่ผลลัพธ์คือผู้ใช้ที่สุจริตกลับต้องเผชิญกับการสูญเสียการเข้าถึงบริการทั้งหมด สิ่งที่น่ากังวลคือ หากบัญชีถูกปิดถาวร ผู้ใช้ไม่เพียงเสียสิทธิ์การเข้าถึงบริการ แต่ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลสำคัญ เช่น รูปถ่าย ข้อความ และการซื้อแอปพลิเคชันที่เคยจ่ายเงินไปแล้ว ซึ่งทำให้เกิดคำถามใหญ่ต่อความสมดุลระหว่าง “ความปลอดภัย” และ “สิทธิของผู้ใช้” ในระบบนิเวศของ Apple 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ถูกล็อก Apple ID หลังใช้บัตรของขวัญ 500 ดอลลาร์เพื่อชำระ iCloud+ ➡️ สูญเสียการเข้าถึงข้อมูล รูปถ่าย และอุปกรณ์กว่า 30,000 ดอลลาร์ ➡️ Apple Support ไม่สามารถให้คำตอบหรือปลดล็อกได้ และแนะนำให้สร้างบัญชีใหม่ ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet ➡️ ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยในชุมชนผู้ใช้ Apple โดยเฉพาะเมื่อใช้บัตรของขวัญ ➡️ Apple ID อาจถูกล็อกจากสาเหตุอื่น เช่น บัตรเครดิตหมดอายุ หรือเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์แปลกใหม่ ➡️ การปลดล็อกต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตนที่ซับซ้อน และบางครั้งไม่สำเร็จ ‼️ คำเตือน ⛔ หาก Apple ID ถูกปิดถาวร ผู้ใช้จะสูญเสียสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและการซื้อทั้งหมด ⛔ การสร้างบัญชีใหม่อาจถูกเชื่อมโยงกับบัญชีเดิมและถูกล็อกซ้ำ ⛔ การพยายามปลดล็อกด้วยวิธีที่ไม่เป็นทางการ เช่น เครื่องมือของบุคคลที่สาม อาจละเมิดเงื่อนไขและเสี่ยงต่อความปลอดภัย https://hey.paris/posts/appleid/
    HEY.PARIS
    20 Years of Digital Life, Gone in an Instant, thanks to Apple
    Summary: A major brick-and-mortar store sold an Apple Gift Card that Apple seemingly took offence to, and locked out my entire Apple ID, effectively bricking my devices and my iCloud Account, Apple Developer ID, and everything associated with it, and I have no recourse. Can you help? Email paris AT paris.id.au (and read on for the details). ❤️ Here’s how Apple “Permanently” locked my Apple ID. I am writing this as a desperate measure.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • iPhone 17 กับจอ Ceramic Shield 2

    Apple เปิดตัว iPhone 17 พร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม ProMotion 120Hz ในรุ่นพื้นฐาน และใช้กระจก Ceramic Shield 2 ที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้นถึง 3 เท่า อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Anti-reflective coating ที่ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นแม้ในที่มีแสงจ้า เช่น กลางแดดหรือไฟในร่ม

    ปัญหาของฟิล์มกันรอยทั่วไป
    แม้คุณสมบัติใหม่นี้จะน่าสนใจ แต่หากผู้ใช้ติด ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไป คุณสมบัติ Anti-reflective จะถูกทำลายทันที เพราะแสงสะท้อนจะเกิดขึ้นบนผิวฟิล์มแทนที่จะถูกลดทอนโดยกระจก Ceramic Shield 2 เอง ทำให้ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้หายไป

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ต้องการปกป้องหน้าจอและยังคงใช้ฟีเจอร์ Anti-reflective ได้ อาจเลือกใช้ ฟิล์มกันรอยแบบ Matte หรือ Anti-glare ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับการเคลือบกันสะท้อน อย่างไรก็ตาม ฟิล์มประเภทนี้อาจทำให้หน้าจอดู “ฟุ้ง” หรือมีความคมชัดลดลงเล็กน้อย

    ข้อควรระวัง
    หากต้องการใช้คุณสมบัติใหม่นี้อย่างเต็มที่ ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง การปกป้องหน้าจอด้วยฟิล์ม หรือ การใช้งานหน้าจอเปล่าเพื่อคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความสะดวกของแต่ละคน

    สรุปสาระสำคัญ

    ข้อมูลจากข่าว
    iPhone 17 ใช้ Ceramic Shield 2
    มีคุณสมบัติ Anti-reflective coating
    ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นในที่สว่าง

    ข้อจำกัด
    ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไปทำให้ฟีเจอร์นี้หายไป
    ฟิล์ม Matte/Anti-glare ใช้แทนได้ แต่ลดความคมชัด

    ทางเลือกผู้ใช้
    ใช้ฟิล์ม Matte เพื่อรักษาคุณสมบัติ
    หรือไม่ใช้ฟิล์มเพื่อคุณภาพสูงสุด

    คำเตือน
    การใช้ฟิล์มทั่วไปทำให้ฟีเจอร์ Anti-reflective ไร้ประโยชน์
    ฟิล์ม Matte อาจทำให้ภาพไม่คมชัดเท่าหน้าจอเปล่า

    https://www.slashgear.com/2048768/iphone-17-anti-reflective-display-wont-work-traditional-screen-protector/
    📱 iPhone 17 กับจอ Ceramic Shield 2 Apple เปิดตัว iPhone 17 พร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม ProMotion 120Hz ในรุ่นพื้นฐาน และใช้กระจก Ceramic Shield 2 ที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้นถึง 3 เท่า อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Anti-reflective coating ที่ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นแม้ในที่มีแสงจ้า เช่น กลางแดดหรือไฟในร่ม 🛡️ ปัญหาของฟิล์มกันรอยทั่วไป แม้คุณสมบัติใหม่นี้จะน่าสนใจ แต่หากผู้ใช้ติด ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไป คุณสมบัติ Anti-reflective จะถูกทำลายทันที เพราะแสงสะท้อนจะเกิดขึ้นบนผิวฟิล์มแทนที่จะถูกลดทอนโดยกระจก Ceramic Shield 2 เอง ทำให้ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้หายไป 🌐 ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ ผู้ใช้ที่ต้องการปกป้องหน้าจอและยังคงใช้ฟีเจอร์ Anti-reflective ได้ อาจเลือกใช้ ฟิล์มกันรอยแบบ Matte หรือ Anti-glare ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับการเคลือบกันสะท้อน อย่างไรก็ตาม ฟิล์มประเภทนี้อาจทำให้หน้าจอดู “ฟุ้ง” หรือมีความคมชัดลดลงเล็กน้อย ⚠️ ข้อควรระวัง หากต้องการใช้คุณสมบัติใหม่นี้อย่างเต็มที่ ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง การปกป้องหน้าจอด้วยฟิล์ม หรือ การใช้งานหน้าจอเปล่าเพื่อคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความสะดวกของแต่ละคน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ iPhone 17 ใช้ Ceramic Shield 2 ➡️ มีคุณสมบัติ Anti-reflective coating ➡️ ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นในที่สว่าง ✅ ข้อจำกัด ➡️ ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไปทำให้ฟีเจอร์นี้หายไป ➡️ ฟิล์ม Matte/Anti-glare ใช้แทนได้ แต่ลดความคมชัด ✅ ทางเลือกผู้ใช้ ➡️ ใช้ฟิล์ม Matte เพื่อรักษาคุณสมบัติ ➡️ หรือไม่ใช้ฟิล์มเพื่อคุณภาพสูงสุด ‼️คำเตือน ⛔ การใช้ฟิล์มทั่วไปทำให้ฟีเจอร์ Anti-reflective ไร้ประโยชน์ ⛔ ฟิล์ม Matte อาจทำให้ภาพไม่คมชัดเท่าหน้าจอเปล่า https://www.slashgear.com/2048768/iphone-17-anti-reflective-display-wont-work-traditional-screen-protector/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This iPhone 17 Feature Won't Work If You Use A Traditional Screen Protector - SlashGear
    There are a number of new and notable features on the latest model of iPhone, but one feature can actually be rendered useless by a simple screen protector.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • “To” vs. “Too” vs. “Two”: Two Ways To Always Remember The Difference

    The words to, too, and two sound exactly alike but are used in completely different ways. They are classic examples of what we call homophones—words that are pronounced the same but have different meanings and spellings. Because they’re so similar, they often get mixed up in written language.

    In this article, we’ll give you everything you need to make sure you choose the right to, too, or too every time.

    Quick summary

    The extremely common word to is a preposition that can be used in many different ways, such as to indicate motion or direction toward something, as in Go to the store. The word too is an adverb most commonly meaning “also” (as in I’d like to go, too) or “to an excessive amount or degree” (as in Don’t add too much sugar). The word two is the number 2. The most common mistake involving the three words is using to when it should be too, or vice versa. So when you want to use to, don’t use too many o’s!

    to vs. too vs. two

    To is a very common word that performs many different functions, such as expressing direction (I’m driving to the office) or contact (Pin it to the wall), indicating an object or recipient (Give it to me), or setting a range (9 to 5) or limit (These go to 11).

    Too means “also” (I’m going, too) or “to an excessive degree” (too much). Two is the number 2.

    The words are used in very different ways: to is most commonly used as a preposition, while too is an adverb.

    Two is a number that can be used as a noun (I have two) or an adjective (two wheels).

    When to use to vs. too

    The most common mistake involving all three words is using to when it should be too, or vice versa.

    Here’s the best way to remember whether the spelling should be to or too: if you mean to, don’t use too many o’s!

    You can also remember that too means “also” because an extra o has tagged along, as if it had asked, “Can I come, too?”

    to late vs. too late

    When something doesn’t happen or someone or something doesn’t arrive or do something in time, we indicate this by using the set phrase too late, in which the adverb too indicates that an amount or degree has been exceeded.

    For example:

    - I’m sorry, I’m afraid you’re too late.
    - It was a case of too little too late.

    This doesn’t mean, however, that the words to and late will never appear next to each other in a sentence. It’s uncommon, but it can happen.

    For example: When I’m too late for the afternoon matinées, I like to have lunch, shop for a while, and go to late showings.

    Examples of how to use to, too, and two in a sentence
    - I tried to go to the movie, but I got to the theater too late.
    - My friend missed the show, too.
    - Tickets and popcorn cost too much anyway.
    - We went to get ice cream instead and the two of us both got three scoops—which was two scoops too many!

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    “To” vs. “Too” vs. “Two”: Two Ways To Always Remember The Difference The words to, too, and two sound exactly alike but are used in completely different ways. They are classic examples of what we call homophones—words that are pronounced the same but have different meanings and spellings. Because they’re so similar, they often get mixed up in written language. In this article, we’ll give you everything you need to make sure you choose the right to, too, or too every time. Quick summary The extremely common word to is a preposition that can be used in many different ways, such as to indicate motion or direction toward something, as in Go to the store. The word too is an adverb most commonly meaning “also” (as in I’d like to go, too) or “to an excessive amount or degree” (as in Don’t add too much sugar). The word two is the number 2. The most common mistake involving the three words is using to when it should be too, or vice versa. So when you want to use to, don’t use too many o’s! to vs. too vs. two To is a very common word that performs many different functions, such as expressing direction (I’m driving to the office) or contact (Pin it to the wall), indicating an object or recipient (Give it to me), or setting a range (9 to 5) or limit (These go to 11). Too means “also” (I’m going, too) or “to an excessive degree” (too much). Two is the number 2. The words are used in very different ways: to is most commonly used as a preposition, while too is an adverb. Two is a number that can be used as a noun (I have two) or an adjective (two wheels). When to use to vs. too The most common mistake involving all three words is using to when it should be too, or vice versa. Here’s the best way to remember whether the spelling should be to or too: if you mean to, don’t use too many o’s! You can also remember that too means “also” because an extra o has tagged along, as if it had asked, “Can I come, too?” to late vs. too late When something doesn’t happen or someone or something doesn’t arrive or do something in time, we indicate this by using the set phrase too late, in which the adverb too indicates that an amount or degree has been exceeded. For example: - I’m sorry, I’m afraid you’re too late. - It was a case of too little too late. This doesn’t mean, however, that the words to and late will never appear next to each other in a sentence. It’s uncommon, but it can happen. For example: When I’m too late for the afternoon matinées, I like to have lunch, shop for a while, and go to late showings. Examples of how to use to, too, and two in a sentence - I tried to go to the movie, but I got to the theater too late. - My friend missed the show, too. - Tickets and popcorn cost too much anyway. - We went to get ice cream instead and the two of us both got three scoops—which was two scoops too many! สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251213 #TechRadar

    นักลงทุนไต้หวันยังคงทุ่มกับ AI แม้มีเสียงเตือนเรื่อง “ฟองสบู่”
    เรื่องราวนี้เล่าถึงบรรยากาศการลงทุนในไต้หวันที่ยังคงคึกคัก แม้หลายฝ่ายกังวลว่า AI อาจกำลังสร้างฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไต้หวันกลับพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี TWII มีแนวโน้มแตะ 30,000 จุดในปี 2026 ขณะที่หุ้น TSMC ก็ยังเติบโตแข็งแรงกว่า 39% ในปีนี้ จุดสำคัญคือไต้หวันถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักของสถาปัตยกรรม AI ไม่ว่าจะเป็นชิปจาก Nvidia, Google หรือเจ้าอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าตลาดจะเอนเอียงไปทางไหน ไต้หวันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าพอร์ตลงทุนในเอเชียยังพึ่งพา AI มากเกินไป หากเกิดการแกว่งตัวแรงก็อาจกระทบหนักได้
    https://www.techradar.com/pro/investors-still-doubling-down-on-ai-in-taiwan-despite-bubble-fears

    “สถาปนิกแห่ง AI” ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของ Time
    ปีนี้นิตยสาร Time ไม่ได้เลือกผู้นำประเทศหรือดารา แต่ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับกลุ่มผู้สร้าง AI ที่เปลี่ยนโลก ทั้ง Sam Altman จาก OpenAI, Jensen Huang จาก Nvidia และทีมงานจาก Google, Meta, Anthropic พวกเขาไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่ยังทำให้มันเข้าถึงได้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ ChatGPT ที่มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ไปจนถึง Copilot ของ Microsoft และ Gemini ของ Google ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก เพราะชิปและโมเดล AI ถูกมองเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต่าง ๆ ต้องแข่งขันกัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-architects-of-ai-are-times-person-of-the-year-heres-why

    สภาขุนนางอังกฤษเสนอห้ามเด็กใช้ VPN
    ในสหราชอาณาจักร กลุ่มสมาชิกสภาขุนนางได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Children’s Wellbeing and Schools Bill โดยต้องการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ VPN หากผ่านการพิจารณา ผู้ให้บริการ VPN จะต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ด้วยวิธีที่ “มีประสิทธิภาพสูง” เช่น การยืนยันด้วยบัตรประชาชนหรือการสแกนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะ VPN ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว การบังคับตรวจสอบเช่นนี้อาจทำลายหลักการพื้นฐานของมันได้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/uk-lords-propose-ban-on-vpns-for-children

    อินเดียสั่ง VPN บล็อกเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลประชาชน
    รัฐบาลอินเดีย โดยกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MeitY) ได้ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN ต้องบล็อกเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แม้เจตนาจะเพื่อปกป้องข้อมูล แต่ก็ขัดกับหลักการของ VPN ที่ไม่เก็บบันทึกการใช้งานและเน้นความเป็นส่วนตัว หลายบริษัท VPN เคยถอนเซิร์ฟเวอร์ออกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ การสั่งการครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/india-orders-vpns-to-block-access-to-websites-that-unlawfully-expose-citizens-data

    หลอกลวงงานออนไลน์ “Task Scam” ทำเหยื่อสูญเงินนับล้าน
    งานวิจัยใหม่เผยว่ามีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Task Scam” หรือ “Gamified Job Scam” เพิ่มขึ้นถึง 485% ในปี 2025 วิธีการคือหลอกให้ผู้หางานทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น กดไลก์หรือรีวิวสินค้า แล้วจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะชักชวนให้โอนเงินหรือฝากคริปโตเพื่อทำงานต่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินได้ เหยื่อถูกหลอกให้ฝากเพิ่มเรื่อย ๆ จนสูญเงินรวมกว่า 6.8 ล้านดอลลาร์ในปีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากงานใดขอให้คุณจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงรายได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ควรหยุดทันที
    https://www.techradar.com/pro/security/task-scams-are-tricking-thousands-costing-jobseekers-millions

    Pentagon เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่
    สหรัฐฯ กำลังนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ามาใช้ในกองทัพ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มชื่อ GenAI.mil ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่กว่า 3 ล้านคนทั้งทหารและพลเรือนสามารถเข้าถึงโมเดล Gemini ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรัฐบาลได้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังไว้ใช้งาน แต่ก็มีเสียงกังวลจากผู้เชี่ยวชาญว่าระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเทคนิค prompt injection ซึ่งอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูล ขณะเดียวกันพนักงาน Google ก็ยังคงเงียบ แม้ในอดีตเคยออกมาประท้วงการใช้เทคโนโลยีของบริษัทในงานด้านการทหารมาแล้วหลายครั้ง เรื่องนี้จึงเป็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ต้องจับตา
    https://www.techradar.com/pro/security/pentagon-launches-new-gemini-based-ai-platform

    กลุ่มแฮ็กเกอร์รัสเซีย CyberVolk กลับมาอีกครั้ง
    กลุ่ม CyberVolk ที่เคยหายไปจากวงการไซเบอร์ช่วงหนึ่ง ได้กลับมาเปิดบริการ ransomware-as-a-service ให้กับผู้สนใจผ่าน Telegram แต่การกลับมาครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์นัก เพราะเครื่องมือเข้ารหัสที่ใช้มีช่องโหว่ใหญ่ คือคีย์เข้ารหัสถูกฝังไว้ตายตัว ทำให้เหยื่อสามารถถอดรหัสไฟล์ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดของผู้พัฒนาเอง จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แม้กลุ่มยังคงพยายามผสมผสานการโจมตีแบบ hacktivism กับการหาเงินจาก ransomware ก็ตาม
    https://www.techradar.com/pro/security/notorious-russian-cybercriminals-return-with-new-ransomware

    วิกฤต Flash Memory ที่ยืดเยื้อ
    ตลาดแฟลชเมมโมรีกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาพุ่งสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ต่างจากฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายกว่า เพราะแฟลชต้องใช้โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างหลายปี ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้เร็ว แม้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้ นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่แค่รอบขึ้นลงตามปกติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี
    https://www.techradar.com/pro/why-the-flash-crisis-will-last-much-longer-this-time

    รัสเซียขู่บล็อกบริการ Google ทั้งหมด
    รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาบล็อกบริการของ Google แบบเต็มรูปแบบ โดยให้เหตุผลว่าการเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้นอกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “บีบอ่อน” เพื่อผลักเทคโนโลยีสหรัฐออกจากรัสเซีย ก่อนหน้านี้ก็มีการบล็อกแพลตฟอร์มตะวันตกหลายแห่ง เช่น Roblox, FaceTime และ Snapchat รวมถึงการกดดันให้ใช้ VPN ยากขึ้นด้วย แนวทางนี้กำลังสร้างสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ม่านเหล็กดิจิทัล” ที่แยกรัสเซียออกจากโลกออนไลน์เสรี
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russia-threatens-to-block-all-google-services-in-a-soft-squeeze-of-us-tech

    Microsoft แจกธีมฟรีสำหรับ Windows 11
    ใครที่เบื่อหน้าจอ Windows 11 ตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโซนใหม่ใน Microsoft Store ที่รวมธีมกว่า 400 แบบมาให้เลือก ทั้งธีมเกมดัง ธรรมชาติ ไปจนถึงงานศิลป์ โดยมีธีมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 35 แบบ จุดประสงค์คือทำให้ผู้ใช้ปรับแต่งเครื่องได้ง่ายและสนุกขึ้น เพียงคลิกเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศหน้าจอได้ทันที ถือเป็นการจัดระเบียบครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้การหาธีมใน Store ค่อนข้างยุ่งยาก การอัปเดตนี้จึงช่วยให้การปรับแต่งเครื่องเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น
    https://www.techradar.com/computing/windows/bored-with-your-windows-11-desktop-microsoft-is-offering-a-free-upgrade-of-handpicked-themes-from-its-store

    Intel, AMD และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่า “เมินเฉยโดยเจตนา” ปล่อยชิปไปถึงรัสเซีย
    เรื่องนี้เริ่มจากกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Intel, AMD และ Texas Instruments โดยกล่าวหาว่าชิปที่บริษัทเหล่านี้ผลิตถูกนำไปใช้ในอาวุธของรัสเซียผ่านตัวแทนจำหน่ายรายอื่น ซึ่งนำไปสู่การโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคน ฝ่ายโจทก์มองว่าบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะ “หลับตา” ไม่สนใจเส้นทางการขายต่อ ขณะที่บริษัททั้งหมดออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าหยุดการขายให้รัสเซียตั้งแต่สงครามเริ่ม และปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์กันในศาลว่าใครควรรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
    https://www.techradar.com/pro/security/intel-amd-accused-of-willful-ignorance-in-allowing-chips-to-get-to-russia

    Workbooks เพิ่ม AI ในระบบ CRM เพื่อเสริมพลังทีมขาย
    แพลตฟอร์ม CRM ชื่อ Workbooks ได้ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในระบบ โดยมีทั้งเครื่องมือถอดเสียงการประชุมอัตโนมัติ (Scribe), ระบบโค้ชการขาย (Sales Coach), ระบบทำความสะอาดข้อมูล (Sales Hygiene) และตัวช่วยวิจัยลูกค้า (Research Agent) จุดประสงค์คือช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ทีมขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น แม้ปัจจุบันมีเพียง 16% ของบริษัทในสหราชอาณาจักรที่ใช้ AI ใน CRM แต่คาดว่าปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งใครที่เริ่มก่อนก็จะได้เปรียบในการแข่งขันทันที
    https://www.techradar.com/pro/software-services/workbooks-integrates-ai-promises-empowered-sales-teams

    EU ถูกวิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงในการอนุมัติ Broadcom ซื้อ VMware
    สมาคมผู้ให้บริการคลาวด์ CISPE ได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากที่ EU อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom พวกเขามองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ละเลยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น การขึ้นราคาที่รุนแรง การบังคับซื้อแบบแพ็กเกจ และการผูกขาดลูกค้า ซึ่งตอนนี้ผลกระทบก็เริ่มปรากฏแล้ว ทั้งราคาที่สูงขึ้นและสัญญาระยะยาวที่บังคับใช้กับหลายองค์กรในยุโรป หากศาลตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติ EU จะต้องกลับมาทบทวนดีลนี้ใหม่ภายใต้สภาพตลาดปัจจุบัน
    https://www.techradar.com/pro/eu-accused-of-ignoring-warning-signs-in-broadcoms-vmware-acquisition

    Salesforce ชี้โมเดลคิดค่าบริการ AI แบบ “ต่อผู้ใช้” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce อธิบายว่าบริษัทกำลังกลับไปใช้การคิดค่าบริการแบบ “ต่อที่นั่ง” สำหรับ AI หลังจากเคยทดลองโมเดลคิดตามการใช้งานหรือจำนวนบทสนทนา เหตุผลคือ ลูกค้าต้องการความแน่นอนและความยืดหยุ่นในการคำนวณค่าใช้จ่าย Salesforce เชื่อว่าบริการ AI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 3–10 เท่า จึงสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้โดยยังสมเหตุสมผล แม้บางบริษัทจะใช้ AI เพื่อเสริมกำลังคนแทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ทำให้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ยังคงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในสายตาของ Salesforce
    https://www.techradar.com/pro/salesforce-says-per-user-pricing-will-be-new-ai-norm

    พบมัลแวร์ใหม่บน MacOS ใช้ AI และเครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางแพร่กระจาย
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Huntress เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังมัลแวร์ AMOS ใช้เทคนิคใหม่ โดยสร้างบทสนทนาใน ChatGPT และ Grok ที่แฝงคำสั่งปลอมเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ดิสก์บน MacOS จากนั้นซื้อโฆษณาบน Google เพื่อดันบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ทำตามคำแนะนำก็จะติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว AMOS สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและกระเป๋าเงินคริปโต ทำให้การโจมตีครั้งนี้อันตรายยิ่งขึ้นเพราะอาศัยความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจ
    https://www.techradar.com/pro/security/new-macos-malware-exploits-trusted-ai-and-search-tools

    iOS 26.2 อัปเดตใหม่กับ 7 ฟีเจอร์สำคัญ
    Apple ปล่อย iOS 26.2 ให้ผู้ใช้ iPhone ได้อัปเดตกันแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ แต่หลายอย่างช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การตั้ง Reminder ที่มาพร้อมเสียงปลุกกันลืม, AirDrop ที่แชร์กับคนไม่อยู่ในรายชื่อได้สะดวกขึ้นผ่านโค้ด, ปรับแต่ง Liquid Glass ให้หน้าจอดูโปร่งใสตามใจ, Podcasts ที่สร้าง chapter ให้อัตโนมัติ, Sleep Score ที่ปรับเกณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ, Freeform ที่เพิ่มการทำตาราง และ Apple News ที่มี shortcut เข้าส่วนต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ยังมาพร้อมการแก้บั๊กและปรับปรุงความปลอดภัยด้วย
    https://www.techradar.com/phones/ios/ios-26-2-has-landed-here-are-the-7-biggest-new-features-for-your-iphone

    AI Regulation: บทเรียนจากยุคอินเทอร์เน็ต
    บทความนี้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ตที่แทบไม่มีการควบคุม จนกฎหมาย Telecom Act ปี 1996 เข้ามาจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่แตะเนื้อหาบนเว็บจริง ๆ ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าจะควบคุมอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกลางที่อยากให้เบา ๆ เพื่อแข่งขันกับจีน กับรัฐต่าง ๆ ที่อยากปกป้องประชาชนจากอคติและข้อมูลผิด ๆ บทความชี้ว่าหากไม่หาทางออกที่สมดุล อนาคต AI อาจอันตรายไม่ต่างจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ไร้การควบคุม
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/everyone-is-wrong-about-ai-regulation-and-the-history-of-the-internet-proves-it

    YouTube TV ได้อัปเดตใหม่กับ 5 ฟีเจอร์ที่รอคอย
    Google ปรับปรุงหน้าจอการดูวิดีโอบน YouTube สำหรับทีวีให้ใช้งานง่ายขึ้น ควบคุมต่าง ๆ ถูกจัดใหม่เป็นสามส่วนชัดเจน มีปุ่ม Description ให้ดูข้อมูลวิดีโอแทนการกดชื่อเรื่อง, ปุ่ม Subscribe ที่เห็นชัดตลอดเวลา, การย้ายตำแหน่งชื่อวิดีโอไปด้านบนซ้าย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการดู Live Sports อย่าง Multiview รวมถึง Display Mode สำหรับผู้ใช้ Music และ Premium ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ดู YouTube บนทีวีใกล้เคียงกับมือถือมากขึ้น
    https://www.techradar.com/televisions/youtube-finally-gets-the-tv-update-weve-been-waiting-for-and-there-are-5-handy-upgrades

    Intel เร่งซื้อ SambaNova สู้ศึกชิป AI ในโลกชิป AI ที่ AMD และ Nvidia ครองตลาด
    Intel กำลังพิจารณาซื้อ SambaNova Systems เพื่อเร่งตามให้ทัน โดย SambaNova เพิ่งโชว์ศักยภาพด้วยการรันโมเดล DeepSeek-R1 ได้เร็วและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปกติ การเข้าซื้อครั้งนี้อาจช่วยให้ Intel มีทางเลือกใหม่ในการแข่งขัน แต่ดีลยังอยู่ในขั้นต้นและไม่ผูกมัด ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าผู้เล่นรายอื่นสนใจเช่นกัน ทำให้การแย่งชิงครั้งนี้น่าจับตามอง
    https://www.techradar.com/pro/intel-set-to-buy-ai-chip-specialist-as-it-scrambles-to-catch-up-with-amd-nvidia

    แฮกเกอร์ปลอมเป็นตำรวจ หลอก Big Tech ขอข้อมูลผู้ใช้
    มีรายงานว่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งคำขอข้อมูลไปยังบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Google โดยใช้เทคนิค typosquatting สร้างอีเมลที่คล้ายของจริง หรือเจาะเข้าบัญชีอีเมลของเจ้าหน้าที่จริงเพื่อส่งคำขอ ทำให้บริษัทบางแห่งหลงเชื่อและส่งข้อมูลผู้ใช้ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทใหญ่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบคำขอเข้มงวดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง
    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-posing-as-law-enforcement-are-tricking-big-tech-to-get-access-to-private-data

    AMD เปิดตัว Radeon AI PRO R9700S การ์ดจอเงียบทรงพลังสำหรับงาน AI หนัก
    AMD กำลังสร้างความฮือฮาในวงการด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ Radeon AI PRO R9700S ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 32GB GDDR6 และระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling ทำให้สามารถทำงานได้อย่างเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีการ์ดหลายตัวติดตั้งอยู่ใน rack แน่น ๆ จุดเด่นคือพลังการประมวลผลสูงถึง 47.8 TFLOPS และรองรับ PCIe 5.0 x16 เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการฝึกโมเดลภาษาหรือการประมวลผลเชิงสร้างสรรค์ จุดที่น่าสนใจคือแม้จะไม่มีพัดลม แต่ยังคงใช้พลังงานสูงถึง 300W ซึ่งองค์กรที่นำไปใช้ต้องวางแผนการจัดการความร้อนอย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/did-amd-just-launch-the-fastest-silent-video-cards-ever-passively-cooled-32gb-ddr6-radeon-ai-pro-r9700s-debuts-with-ginormous-300w-tdp

    Zotac เปิดตัว Mini PC เล็กแต่แรง บรรจุ RTX 5060 Ti เต็มตัว
    Zotac สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว ZBOX MAGNUS EN275060TC ที่สามารถบรรจุการ์ดจอระดับ desktop อย่าง RTX 5060 Ti ขนาด 16GB ลงไปในเครื่องเล็กเพียง 2.65 ลิตรได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการส่งพลังงานผ่าน PCIe แบบ hybrid ทำให้ไม่ต้องใช้สายต่อพลังงานภายนอก ผลการทดสอบชี้ว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5070 Ti รุ่น laptop และยังคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับพลังที่ได้ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความร้อน แต่ถือเป็นการยกระดับ mini PC ให้สามารถแข่งขันกับเครื่องใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง
    https://www.techradar.com/pro/this-zotac-mini-pc-has-the-most-powerful-gpu-ever-bundled-in-a-pc-of-this-size-16gb-geforce-rtx-5060-ti-is-competitive-with-5070-ti-laptop-edition

    อดีตพนักงาน Accenture ถูก DoJ ตั้งข้อหาฉ้อโกงด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์
    ข่าวใหญ่ในสายความปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Accenture ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของระบบคลาวด์เพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล ทั้งที่จริงแล้วแพลตฟอร์มไม่ได้ผ่านมาตรฐาน FedRAMP ตามที่กำหนด การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลอกลวงและมีการส่งเอกสารปลอมเพื่อรักษาสัญญา หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปีในข้อหาฉ้อโกงและการขัดขวางการตรวจสอบ
    https://www.techradar.com/pro/security/former-accenture-employee-charged-by-doj-for-cloud-security-fraud

    สหรัฐฯ ยกเลิกการแบน Nvidia H200 หลัง Huawei Ascend 910C แรงจนท้าทายอำนาจโลก AI
    รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% ต่อการส่งออก หลังจากพบว่า Huawei กำลังพัฒนา Ascend 910C ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยระบบ CloudMatrix 384 ของ Huawei สามารถทำงานได้ถึง 300 petaflops และมีหน่วยความจำรวมมากกว่า Nvidia GB200 NVL72 แม้จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ
    https://www.techradar.com/pro/is-the-us-afraid-of-huawei-reports-hint-at-the-ascend-910c-accelerator-performance-to-justify-the-surprising-reversal-of-nvidias-h200-ai-gpu-ban-on-china

    ChatGPT เตรียมเปิดโหมดผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด
    OpenAI ประกาศว่าจะเปิดตัว “adult mode” สำหรับ ChatGPT ในปี 2026 โดยจะใช้ AI ตรวจจับอายุผู้ใช้จากพฤติกรรมการสนทนาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่ได้ จุดสำคัญคือไม่ได้หมายถึงการเปิดให้เข้าถึงเนื้อหาโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพูดคุยในหัวข้อที่ปัจจุบันถูกจำกัด เช่นเรื่องความสัมพันธ์ สุขภาพจิต หรือประเด็นที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก การพัฒนานี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความยืดหยุ่นและตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอการทดสอบระบบทำนายอายุให้แม่นยำก่อน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-adult-mode-is-coming-and-it-might-not-be-what-you-think-it-is

    AI Chatbots ก้าวสู่ชีวิตประจำวัน
    รายงานล่าสุดจาก Microsoft เผยให้เห็นว่า Copilot และ AI chatbot ไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว พวกเขาวิเคราะห์จากการสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้ง พบว่าการใช้งานบนเดสก์ท็อปมักจะเกี่ยวข้องกับงานระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ส่วนการใช้งานบนมือถือกลับเน้นเรื่องส่วนตัว เช่น สุขภาพและการใช้ชีวิต และเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การเขียนโปรแกรมที่พุ่งสูงในวันทำงาน การเล่นเกมที่มากขึ้นในวันหยุด และคำถามเชิงปรัชญาที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำงาน แต่ยังถูกใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการกับชีวิตประจำวันของตนเองด้วย
    https://www.techradar.com/pro/ai-chatbots-are-now-integrated-into-the-full-texture-of-human-life-microsoft-study-claims

    ChatGPT 5.2 ถูกวิจารณ์ว่า “ถอยหลัง”
    OpenAI เปิดตัว ChatGPT 5.2 โดยประกาศว่าเป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดที่เปิดให้ใช้งานทั่วไป แต่เสียงตอบรับจากผู้ใช้กลับไม่ค่อยดีนัก หลายคนใน Reddit บอกว่ามัน “น่าเบื่อ” และ “เป็นทางการเกินไป” จนรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตชีวา บางคนถึงกับบอกว่ามันแย่กว่าเวอร์ชัน 5.1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง และอาจเป็นเพียงเสียงจากกลุ่มเล็กที่ไม่พอใจ การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง OpenAI และ Google Gemini ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า OpenAI รีบปล่อยเวอร์ชันใหม่ออกมาเร็วเกินไปหรือไม่
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/chatgpt-5-2-branded-a-step-backwards-by-disappointed-early-users-heres-why
    📌📡🟣 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟣📡📌 #รวมข่าวIT #20251213 #TechRadar 📰 นักลงทุนไต้หวันยังคงทุ่มกับ AI แม้มีเสียงเตือนเรื่อง “ฟองสบู่” เรื่องราวนี้เล่าถึงบรรยากาศการลงทุนในไต้หวันที่ยังคงคึกคัก แม้หลายฝ่ายกังวลว่า AI อาจกำลังสร้างฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไต้หวันกลับพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี TWII มีแนวโน้มแตะ 30,000 จุดในปี 2026 ขณะที่หุ้น TSMC ก็ยังเติบโตแข็งแรงกว่า 39% ในปีนี้ จุดสำคัญคือไต้หวันถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักของสถาปัตยกรรม AI ไม่ว่าจะเป็นชิปจาก Nvidia, Google หรือเจ้าอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าตลาดจะเอนเอียงไปทางไหน ไต้หวันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าพอร์ตลงทุนในเอเชียยังพึ่งพา AI มากเกินไป หากเกิดการแกว่งตัวแรงก็อาจกระทบหนักได้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/investors-still-doubling-down-on-ai-in-taiwan-despite-bubble-fears 👥 “สถาปนิกแห่ง AI” ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของ Time ปีนี้นิตยสาร Time ไม่ได้เลือกผู้นำประเทศหรือดารา แต่ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับกลุ่มผู้สร้าง AI ที่เปลี่ยนโลก ทั้ง Sam Altman จาก OpenAI, Jensen Huang จาก Nvidia และทีมงานจาก Google, Meta, Anthropic พวกเขาไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่ยังทำให้มันเข้าถึงได้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ ChatGPT ที่มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ไปจนถึง Copilot ของ Microsoft และ Gemini ของ Google ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก เพราะชิปและโมเดล AI ถูกมองเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต่าง ๆ ต้องแข่งขันกัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-architects-of-ai-are-times-person-of-the-year-heres-why 🔒 สภาขุนนางอังกฤษเสนอห้ามเด็กใช้ VPN ในสหราชอาณาจักร กลุ่มสมาชิกสภาขุนนางได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Children’s Wellbeing and Schools Bill โดยต้องการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ VPN หากผ่านการพิจารณา ผู้ให้บริการ VPN จะต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ด้วยวิธีที่ “มีประสิทธิภาพสูง” เช่น การยืนยันด้วยบัตรประชาชนหรือการสแกนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะ VPN ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว การบังคับตรวจสอบเช่นนี้อาจทำลายหลักการพื้นฐานของมันได้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/uk-lords-propose-ban-on-vpns-for-children 🇮🇳 อินเดียสั่ง VPN บล็อกเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลประชาชน รัฐบาลอินเดีย โดยกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MeitY) ได้ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN ต้องบล็อกเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แม้เจตนาจะเพื่อปกป้องข้อมูล แต่ก็ขัดกับหลักการของ VPN ที่ไม่เก็บบันทึกการใช้งานและเน้นความเป็นส่วนตัว หลายบริษัท VPN เคยถอนเซิร์ฟเวอร์ออกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ การสั่งการครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/india-orders-vpns-to-block-access-to-websites-that-unlawfully-expose-citizens-data ⚠️ หลอกลวงงานออนไลน์ “Task Scam” ทำเหยื่อสูญเงินนับล้าน งานวิจัยใหม่เผยว่ามีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Task Scam” หรือ “Gamified Job Scam” เพิ่มขึ้นถึง 485% ในปี 2025 วิธีการคือหลอกให้ผู้หางานทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น กดไลก์หรือรีวิวสินค้า แล้วจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะชักชวนให้โอนเงินหรือฝากคริปโตเพื่อทำงานต่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินได้ เหยื่อถูกหลอกให้ฝากเพิ่มเรื่อย ๆ จนสูญเงินรวมกว่า 6.8 ล้านดอลลาร์ในปีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากงานใดขอให้คุณจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงรายได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ควรหยุดทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/task-scams-are-tricking-thousands-costing-jobseekers-millions 🛡️ Pentagon เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ สหรัฐฯ กำลังนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ามาใช้ในกองทัพ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มชื่อ GenAI.mil ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่กว่า 3 ล้านคนทั้งทหารและพลเรือนสามารถเข้าถึงโมเดล Gemini ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรัฐบาลได้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังไว้ใช้งาน แต่ก็มีเสียงกังวลจากผู้เชี่ยวชาญว่าระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเทคนิค prompt injection ซึ่งอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูล ขณะเดียวกันพนักงาน Google ก็ยังคงเงียบ แม้ในอดีตเคยออกมาประท้วงการใช้เทคโนโลยีของบริษัทในงานด้านการทหารมาแล้วหลายครั้ง เรื่องนี้จึงเป็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ต้องจับตา 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/pentagon-launches-new-gemini-based-ai-platform 💻 กลุ่มแฮ็กเกอร์รัสเซีย CyberVolk กลับมาอีกครั้ง กลุ่ม CyberVolk ที่เคยหายไปจากวงการไซเบอร์ช่วงหนึ่ง ได้กลับมาเปิดบริการ ransomware-as-a-service ให้กับผู้สนใจผ่าน Telegram แต่การกลับมาครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์นัก เพราะเครื่องมือเข้ารหัสที่ใช้มีช่องโหว่ใหญ่ คือคีย์เข้ารหัสถูกฝังไว้ตายตัว ทำให้เหยื่อสามารถถอดรหัสไฟล์ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดของผู้พัฒนาเอง จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แม้กลุ่มยังคงพยายามผสมผสานการโจมตีแบบ hacktivism กับการหาเงินจาก ransomware ก็ตาม 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/notorious-russian-cybercriminals-return-with-new-ransomware 💾 วิกฤต Flash Memory ที่ยืดเยื้อ ตลาดแฟลชเมมโมรีกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาพุ่งสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ต่างจากฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายกว่า เพราะแฟลชต้องใช้โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างหลายปี ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้เร็ว แม้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้ นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่แค่รอบขึ้นลงตามปกติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-the-flash-crisis-will-last-much-longer-this-time 🌐 รัสเซียขู่บล็อกบริการ Google ทั้งหมด รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาบล็อกบริการของ Google แบบเต็มรูปแบบ โดยให้เหตุผลว่าการเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้นอกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “บีบอ่อน” เพื่อผลักเทคโนโลยีสหรัฐออกจากรัสเซีย ก่อนหน้านี้ก็มีการบล็อกแพลตฟอร์มตะวันตกหลายแห่ง เช่น Roblox, FaceTime และ Snapchat รวมถึงการกดดันให้ใช้ VPN ยากขึ้นด้วย แนวทางนี้กำลังสร้างสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ม่านเหล็กดิจิทัล” ที่แยกรัสเซียออกจากโลกออนไลน์เสรี 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russia-threatens-to-block-all-google-services-in-a-soft-squeeze-of-us-tech 🎨 Microsoft แจกธีมฟรีสำหรับ Windows 11 ใครที่เบื่อหน้าจอ Windows 11 ตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโซนใหม่ใน Microsoft Store ที่รวมธีมกว่า 400 แบบมาให้เลือก ทั้งธีมเกมดัง ธรรมชาติ ไปจนถึงงานศิลป์ โดยมีธีมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 35 แบบ จุดประสงค์คือทำให้ผู้ใช้ปรับแต่งเครื่องได้ง่ายและสนุกขึ้น เพียงคลิกเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศหน้าจอได้ทันที ถือเป็นการจัดระเบียบครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้การหาธีมใน Store ค่อนข้างยุ่งยาก การอัปเดตนี้จึงช่วยให้การปรับแต่งเครื่องเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/bored-with-your-windows-11-desktop-microsoft-is-offering-a-free-upgrade-of-handpicked-themes-from-its-store 📰 Intel, AMD และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่า “เมินเฉยโดยเจตนา” ปล่อยชิปไปถึงรัสเซีย เรื่องนี้เริ่มจากกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Intel, AMD และ Texas Instruments โดยกล่าวหาว่าชิปที่บริษัทเหล่านี้ผลิตถูกนำไปใช้ในอาวุธของรัสเซียผ่านตัวแทนจำหน่ายรายอื่น ซึ่งนำไปสู่การโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคน ฝ่ายโจทก์มองว่าบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะ “หลับตา” ไม่สนใจเส้นทางการขายต่อ ขณะที่บริษัททั้งหมดออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าหยุดการขายให้รัสเซียตั้งแต่สงครามเริ่ม และปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์กันในศาลว่าใครควรรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/intel-amd-accused-of-willful-ignorance-in-allowing-chips-to-get-to-russia 🤖 Workbooks เพิ่ม AI ในระบบ CRM เพื่อเสริมพลังทีมขาย แพลตฟอร์ม CRM ชื่อ Workbooks ได้ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในระบบ โดยมีทั้งเครื่องมือถอดเสียงการประชุมอัตโนมัติ (Scribe), ระบบโค้ชการขาย (Sales Coach), ระบบทำความสะอาดข้อมูล (Sales Hygiene) และตัวช่วยวิจัยลูกค้า (Research Agent) จุดประสงค์คือช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ทีมขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น แม้ปัจจุบันมีเพียง 16% ของบริษัทในสหราชอาณาจักรที่ใช้ AI ใน CRM แต่คาดว่าปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งใครที่เริ่มก่อนก็จะได้เปรียบในการแข่งขันทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/workbooks-integrates-ai-promises-empowered-sales-teams ⚖️ EU ถูกวิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงในการอนุมัติ Broadcom ซื้อ VMware สมาคมผู้ให้บริการคลาวด์ CISPE ได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากที่ EU อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom พวกเขามองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ละเลยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น การขึ้นราคาที่รุนแรง การบังคับซื้อแบบแพ็กเกจ และการผูกขาดลูกค้า ซึ่งตอนนี้ผลกระทบก็เริ่มปรากฏแล้ว ทั้งราคาที่สูงขึ้นและสัญญาระยะยาวที่บังคับใช้กับหลายองค์กรในยุโรป หากศาลตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติ EU จะต้องกลับมาทบทวนดีลนี้ใหม่ภายใต้สภาพตลาดปัจจุบัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/eu-accused-of-ignoring-warning-signs-in-broadcoms-vmware-acquisition 💵 Salesforce ชี้โมเดลคิดค่าบริการ AI แบบ “ต่อผู้ใช้” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce อธิบายว่าบริษัทกำลังกลับไปใช้การคิดค่าบริการแบบ “ต่อที่นั่ง” สำหรับ AI หลังจากเคยทดลองโมเดลคิดตามการใช้งานหรือจำนวนบทสนทนา เหตุผลคือ ลูกค้าต้องการความแน่นอนและความยืดหยุ่นในการคำนวณค่าใช้จ่าย Salesforce เชื่อว่าบริการ AI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 3–10 เท่า จึงสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้โดยยังสมเหตุสมผล แม้บางบริษัทจะใช้ AI เพื่อเสริมกำลังคนแทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ทำให้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ยังคงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในสายตาของ Salesforce 🔗 https://www.techradar.com/pro/salesforce-says-per-user-pricing-will-be-new-ai-norm 🛡️ พบมัลแวร์ใหม่บน MacOS ใช้ AI และเครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางแพร่กระจาย นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Huntress เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังมัลแวร์ AMOS ใช้เทคนิคใหม่ โดยสร้างบทสนทนาใน ChatGPT และ Grok ที่แฝงคำสั่งปลอมเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ดิสก์บน MacOS จากนั้นซื้อโฆษณาบน Google เพื่อดันบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ทำตามคำแนะนำก็จะติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว AMOS สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและกระเป๋าเงินคริปโต ทำให้การโจมตีครั้งนี้อันตรายยิ่งขึ้นเพราะอาศัยความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/new-macos-malware-exploits-trusted-ai-and-search-tools 📱 iOS 26.2 อัปเดตใหม่กับ 7 ฟีเจอร์สำคัญ Apple ปล่อย iOS 26.2 ให้ผู้ใช้ iPhone ได้อัปเดตกันแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ แต่หลายอย่างช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การตั้ง Reminder ที่มาพร้อมเสียงปลุกกันลืม, AirDrop ที่แชร์กับคนไม่อยู่ในรายชื่อได้สะดวกขึ้นผ่านโค้ด, ปรับแต่ง Liquid Glass ให้หน้าจอดูโปร่งใสตามใจ, Podcasts ที่สร้าง chapter ให้อัตโนมัติ, Sleep Score ที่ปรับเกณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ, Freeform ที่เพิ่มการทำตาราง และ Apple News ที่มี shortcut เข้าส่วนต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ยังมาพร้อมการแก้บั๊กและปรับปรุงความปลอดภัยด้วย 🔗 https://www.techradar.com/phones/ios/ios-26-2-has-landed-here-are-the-7-biggest-new-features-for-your-iphone 🤖 AI Regulation: บทเรียนจากยุคอินเทอร์เน็ต บทความนี้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ตที่แทบไม่มีการควบคุม จนกฎหมาย Telecom Act ปี 1996 เข้ามาจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่แตะเนื้อหาบนเว็บจริง ๆ ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าจะควบคุมอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกลางที่อยากให้เบา ๆ เพื่อแข่งขันกับจีน กับรัฐต่าง ๆ ที่อยากปกป้องประชาชนจากอคติและข้อมูลผิด ๆ บทความชี้ว่าหากไม่หาทางออกที่สมดุล อนาคต AI อาจอันตรายไม่ต่างจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ไร้การควบคุม 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/everyone-is-wrong-about-ai-regulation-and-the-history-of-the-internet-proves-it 📺 YouTube TV ได้อัปเดตใหม่กับ 5 ฟีเจอร์ที่รอคอย Google ปรับปรุงหน้าจอการดูวิดีโอบน YouTube สำหรับทีวีให้ใช้งานง่ายขึ้น ควบคุมต่าง ๆ ถูกจัดใหม่เป็นสามส่วนชัดเจน มีปุ่ม Description ให้ดูข้อมูลวิดีโอแทนการกดชื่อเรื่อง, ปุ่ม Subscribe ที่เห็นชัดตลอดเวลา, การย้ายตำแหน่งชื่อวิดีโอไปด้านบนซ้าย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการดู Live Sports อย่าง Multiview รวมถึง Display Mode สำหรับผู้ใช้ Music และ Premium ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ดู YouTube บนทีวีใกล้เคียงกับมือถือมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/televisions/youtube-finally-gets-the-tv-update-weve-been-waiting-for-and-there-are-5-handy-upgrades 💻 Intel เร่งซื้อ SambaNova สู้ศึกชิป AI ในโลกชิป AI ที่ AMD และ Nvidia ครองตลาด Intel กำลังพิจารณาซื้อ SambaNova Systems เพื่อเร่งตามให้ทัน โดย SambaNova เพิ่งโชว์ศักยภาพด้วยการรันโมเดล DeepSeek-R1 ได้เร็วและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปกติ การเข้าซื้อครั้งนี้อาจช่วยให้ Intel มีทางเลือกใหม่ในการแข่งขัน แต่ดีลยังอยู่ในขั้นต้นและไม่ผูกมัด ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าผู้เล่นรายอื่นสนใจเช่นกัน ทำให้การแย่งชิงครั้งนี้น่าจับตามอง 🔗 https://www.techradar.com/pro/intel-set-to-buy-ai-chip-specialist-as-it-scrambles-to-catch-up-with-amd-nvidia 🛡️ แฮกเกอร์ปลอมเป็นตำรวจ หลอก Big Tech ขอข้อมูลผู้ใช้ มีรายงานว่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งคำขอข้อมูลไปยังบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Google โดยใช้เทคนิค typosquatting สร้างอีเมลที่คล้ายของจริง หรือเจาะเข้าบัญชีอีเมลของเจ้าหน้าที่จริงเพื่อส่งคำขอ ทำให้บริษัทบางแห่งหลงเชื่อและส่งข้อมูลผู้ใช้ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทใหญ่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบคำขอเข้มงวดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/hackers-posing-as-law-enforcement-are-tricking-big-tech-to-get-access-to-private-data 🖥️ AMD เปิดตัว Radeon AI PRO R9700S การ์ดจอเงียบทรงพลังสำหรับงาน AI หนัก AMD กำลังสร้างความฮือฮาในวงการด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ Radeon AI PRO R9700S ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 32GB GDDR6 และระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling ทำให้สามารถทำงานได้อย่างเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีการ์ดหลายตัวติดตั้งอยู่ใน rack แน่น ๆ จุดเด่นคือพลังการประมวลผลสูงถึง 47.8 TFLOPS และรองรับ PCIe 5.0 x16 เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการฝึกโมเดลภาษาหรือการประมวลผลเชิงสร้างสรรค์ จุดที่น่าสนใจคือแม้จะไม่มีพัดลม แต่ยังคงใช้พลังงานสูงถึง 300W ซึ่งองค์กรที่นำไปใช้ต้องวางแผนการจัดการความร้อนอย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/did-amd-just-launch-the-fastest-silent-video-cards-ever-passively-cooled-32gb-ddr6-radeon-ai-pro-r9700s-debuts-with-ginormous-300w-tdp 💻 Zotac เปิดตัว Mini PC เล็กแต่แรง บรรจุ RTX 5060 Ti เต็มตัว Zotac สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว ZBOX MAGNUS EN275060TC ที่สามารถบรรจุการ์ดจอระดับ desktop อย่าง RTX 5060 Ti ขนาด 16GB ลงไปในเครื่องเล็กเพียง 2.65 ลิตรได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการส่งพลังงานผ่าน PCIe แบบ hybrid ทำให้ไม่ต้องใช้สายต่อพลังงานภายนอก ผลการทดสอบชี้ว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5070 Ti รุ่น laptop และยังคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับพลังที่ได้ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความร้อน แต่ถือเป็นการยกระดับ mini PC ให้สามารถแข่งขันกับเครื่องใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-zotac-mini-pc-has-the-most-powerful-gpu-ever-bundled-in-a-pc-of-this-size-16gb-geforce-rtx-5060-ti-is-competitive-with-5070-ti-laptop-edition ⚖️ อดีตพนักงาน Accenture ถูก DoJ ตั้งข้อหาฉ้อโกงด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์ ข่าวใหญ่ในสายความปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Accenture ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของระบบคลาวด์เพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล ทั้งที่จริงแล้วแพลตฟอร์มไม่ได้ผ่านมาตรฐาน FedRAMP ตามที่กำหนด การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลอกลวงและมีการส่งเอกสารปลอมเพื่อรักษาสัญญา หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปีในข้อหาฉ้อโกงและการขัดขวางการตรวจสอบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/former-accenture-employee-charged-by-doj-for-cloud-security-fraud 🌐 สหรัฐฯ ยกเลิกการแบน Nvidia H200 หลัง Huawei Ascend 910C แรงจนท้าทายอำนาจโลก AI รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% ต่อการส่งออก หลังจากพบว่า Huawei กำลังพัฒนา Ascend 910C ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยระบบ CloudMatrix 384 ของ Huawei สามารถทำงานได้ถึง 300 petaflops และมีหน่วยความจำรวมมากกว่า Nvidia GB200 NVL72 แม้จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-the-us-afraid-of-huawei-reports-hint-at-the-ascend-910c-accelerator-performance-to-justify-the-surprising-reversal-of-nvidias-h200-ai-gpu-ban-on-china 🤖 ChatGPT เตรียมเปิดโหมดผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด OpenAI ประกาศว่าจะเปิดตัว “adult mode” สำหรับ ChatGPT ในปี 2026 โดยจะใช้ AI ตรวจจับอายุผู้ใช้จากพฤติกรรมการสนทนาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่ได้ จุดสำคัญคือไม่ได้หมายถึงการเปิดให้เข้าถึงเนื้อหาโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพูดคุยในหัวข้อที่ปัจจุบันถูกจำกัด เช่นเรื่องความสัมพันธ์ สุขภาพจิต หรือประเด็นที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก การพัฒนานี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความยืดหยุ่นและตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอการทดสอบระบบทำนายอายุให้แม่นยำก่อน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-adult-mode-is-coming-and-it-might-not-be-what-you-think-it-is 🧑‍💻 AI Chatbots ก้าวสู่ชีวิตประจำวัน รายงานล่าสุดจาก Microsoft เผยให้เห็นว่า Copilot และ AI chatbot ไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว พวกเขาวิเคราะห์จากการสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้ง พบว่าการใช้งานบนเดสก์ท็อปมักจะเกี่ยวข้องกับงานระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ส่วนการใช้งานบนมือถือกลับเน้นเรื่องส่วนตัว เช่น สุขภาพและการใช้ชีวิต และเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การเขียนโปรแกรมที่พุ่งสูงในวันทำงาน การเล่นเกมที่มากขึ้นในวันหยุด และคำถามเชิงปรัชญาที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำงาน แต่ยังถูกใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการกับชีวิตประจำวันของตนเองด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/ai-chatbots-are-now-integrated-into-the-full-texture-of-human-life-microsoft-study-claims 🤖 ChatGPT 5.2 ถูกวิจารณ์ว่า “ถอยหลัง” OpenAI เปิดตัว ChatGPT 5.2 โดยประกาศว่าเป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดที่เปิดให้ใช้งานทั่วไป แต่เสียงตอบรับจากผู้ใช้กลับไม่ค่อยดีนัก หลายคนใน Reddit บอกว่ามัน “น่าเบื่อ” และ “เป็นทางการเกินไป” จนรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตชีวา บางคนถึงกับบอกว่ามันแย่กว่าเวอร์ชัน 5.1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง และอาจเป็นเพียงเสียงจากกลุ่มเล็กที่ไม่พอใจ การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง OpenAI และ Google Gemini ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า OpenAI รีบปล่อยเวอร์ชันใหม่ออกมาเร็วเกินไปหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/chatgpt-5-2-branded-a-step-backwards-by-disappointed-early-users-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 553 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251213 #securityonline

    Core Banking System Flaw: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Fineract
    เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบธนาคารดิจิทัล Apache Fineract ที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีช่องโหว่หลักคือ IDOR (Insecure Direct Object Reference) ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนพารามิเตอร์ เช่น user ID หรือ account number เพื่อเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ นอกจากนี้ยังพบปัญหานโยบายรหัสผ่านที่อ่อนแอ และการเก็บ server key ที่ไม่ถูกป้องกันอย่างเหมาะสม ทีม Apache ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้อัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
    https://securityonline.info/core-banking-system-flaw-apache-fineract-idor-risks-authorization-bypass-customer-data-access

    React Patches Two New Flaws: ช่องโหว่ใหม่ใน React Server Components
    หลังจากที่ React เพิ่งแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงไปไม่นาน นักวิจัยก็พบช่องโหว่ใหม่อีกสองรายการ ช่องโหว่แรกคือการโจมตีแบบ DoS ที่สามารถทำให้เซิร์ฟเวอร์หยุดทำงานได้ทันทีด้วยการส่ง request ที่ออกแบบมาเฉพาะ ส่วนอีกช่องโหว่หนึ่งคือการเปิดเผย source code ของ server function ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง แม้จะไม่ถึงขั้นยึดระบบได้ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลภายใน ทีม React ได้ออกเวอร์ชันแก้ไขแล้วและแนะนำให้อัปเดตทันที
    https://securityonline.info/react-patches-two-new-flaws-risking-server-crashing-dos-and-source-code-disclosure

    Farewell, Tabs: Google เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Disco
    Google Labs กำลังทดลองเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Disco ที่ใช้ AI มาช่วยจัดการแท็บและสร้าง web apps แบบโต้ตอบได้ทันที จุดเด่นคือระบบ GenTab ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลจากเว็บให้กลายเป็น Progressive Web Apps เช่น การสร้าง itinerary ที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้เหมือนแอปจริงๆ เบราว์เซอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบบน macOS และเปิดให้ลงชื่อเข้าร่วมใน waitlist เท่านั้น ถือเป็นการทดลองที่อาจเปลี่ยนวิธีการใช้งานเว็บในอนาคต
    https://securityonline.info/farewell-tabs-googles-experimental-disco-browser-generates-web-apps-with-ai

    YouTube TV Plans: สตรีมมิ่งกำลังกลับไปเป็นเคเบิลอีกครั้ง
    YouTube TV ประกาศว่าจะปรับรูปแบบการสมัครสมาชิกใหม่ในปี 2026 โดยเปลี่ยนจากแพ็กเกจรวมทั้งหมดเป็นการเลือก bundle ตามความสนใจ เช่น Sports, News หรือ Family & Entertainment ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะหมวดที่ต้องการได้ ซึ่งอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายเพื่อคอนเทนต์ที่ไม่ดู อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่านี่คือการย้อนกลับไปสู่โมเดลเคเบิลทีวีในอดีตที่เคยถูกวิจารณ์ว่าไม่ยืดหยุ่น
    https://securityonline.info/youtube-tvs-new-subscription-bundles-is-streaming-becoming-cable-all-over-again

    The “USB-C of AI”: Google เปิดตัว Managed Servers สำหรับ MCP Protocol
    Google ประกาศสนับสนุนเต็มรูปแบบต่อ MCP (Model Context Protocol) ที่ถูกเรียกว่า “USB-C ของ AI” เพราะเป็นมาตรฐานกลางที่ทำให้ AI เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดย Google เปิดตัว managed servers ที่รองรับ MCP ทำให้ AI agents สามารถใช้งาน Google Maps, BigQuery และจัดการโครงสร้างพื้นฐานบน Cloud ได้โดยตรงโดยไม่ต้องสร้าง integration เอง นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ AI สามารถทำงานเชิงปฏิบัติได้จริงและปลอดภัยมากขึ้น
    https://securityonline.info/the-usb-c-of-ai-is-here-google-launches-managed-servers-for-mcp-protocol

    The AI Super-App: Photoshop & Adobe Express รวมพลังกับ ChatGPT
    Adobe กำลังยกระดับการใช้งาน AI โดยการรวม Photoshop และ Adobe Express เข้ากับ ChatGPT ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้านการออกแบบและแก้ไขภาพได้ด้วยข้อความ เช่น การปรับแต่งรูปภาพหรือสร้างงานกราฟิกใหม่โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมแยกต่างหาก นี่คือการก้าวสู่ “AI Super-App” ที่รวมเครื่องมือสร้างสรรค์เข้ากับระบบสนทนาอัจฉริยะ เพื่อให้การทำงานด้านครีเอทีฟเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น
    https://securityonline.info/the-ai-super-app-rises-photoshop-adobe-express-integrate-into-chatgpt

    The IP Wall Falls: Disney ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI
    Disney สร้างความฮือฮาด้วยการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI เพื่อเปิดสิทธิ์ใช้ตัวละครกว่า 200 ตัวในระบบ AI นั่นหมายความว่า AI จะสามารถเข้าถึงและใช้ตัวละครจากจักรวาล Disney ได้อย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกบันเทิงและเทคโนโลยี ที่อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ผสมผสานระหว่าง AI และตัวละครที่คนทั่วโลกคุ้นเคย
    https://securityonline.info/the-ip-wall-falls-disney-invests-1b-in-openai-to-license-200-characters-for-ai

    OpenAI Fights Back: เปิดตัว GPT-5.2 ท้าชน Gemini 3 Pro
    OpenAI เปิดตัว GPT-5.2 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Gemini 3 Pro ของ Google จุดเด่นคือการปรับปรุงความสามารถในการ reasoning และการทำงานร่วมกับระบบภายนอกได้ดียิ่งขึ้น GPT-5.2 ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ OpenAI เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโมเดลภาษา AI ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด
    https://securityonline.info/openai-fights-back-gpt-5-2-unveiled-to-rival-googles-gemini-3-pro

    Critical React2Shell Vulnerability: ช่องโหว่ใหม่โจมตีบริการ RSC ทั่วโลก
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบช่องโหว่ร้ายแรงชื่อ React2Shell (CVE-2025-55182) ที่กำลังถูกโจมตีเพิ่มขึ้นทั่วโลก ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อบริการที่ใช้ React Server Components (RSC) โดยผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลายองค์กรต้องเร่งอัปเดตและติดตั้งแพตช์เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรง
    https://securityonline.info/critical-react2shell-vulnerability-cve-2025-55182-analysis-surge-in-attacks-targeting-rsc-enabled-services-worldwide
    📌🔐🟣 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟣🔐📌 #รวมข่าวIT #20251213 #securityonline 🛡️ Core Banking System Flaw: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Fineract เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบธนาคารดิจิทัล Apache Fineract ที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีช่องโหว่หลักคือ IDOR (Insecure Direct Object Reference) ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนพารามิเตอร์ เช่น user ID หรือ account number เพื่อเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ นอกจากนี้ยังพบปัญหานโยบายรหัสผ่านที่อ่อนแอ และการเก็บ server key ที่ไม่ถูกป้องกันอย่างเหมาะสม ทีม Apache ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้อัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อความปลอดภัยสูงสุด 🔗 https://securityonline.info/core-banking-system-flaw-apache-fineract-idor-risks-authorization-bypass-customer-data-access ⚠️ React Patches Two New Flaws: ช่องโหว่ใหม่ใน React Server Components หลังจากที่ React เพิ่งแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงไปไม่นาน นักวิจัยก็พบช่องโหว่ใหม่อีกสองรายการ ช่องโหว่แรกคือการโจมตีแบบ DoS ที่สามารถทำให้เซิร์ฟเวอร์หยุดทำงานได้ทันทีด้วยการส่ง request ที่ออกแบบมาเฉพาะ ส่วนอีกช่องโหว่หนึ่งคือการเปิดเผย source code ของ server function ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง แม้จะไม่ถึงขั้นยึดระบบได้ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลภายใน ทีม React ได้ออกเวอร์ชันแก้ไขแล้วและแนะนำให้อัปเดตทันที 🔗 https://securityonline.info/react-patches-two-new-flaws-risking-server-crashing-dos-and-source-code-disclosure 🌐 Farewell, Tabs: Google เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Disco Google Labs กำลังทดลองเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Disco ที่ใช้ AI มาช่วยจัดการแท็บและสร้าง web apps แบบโต้ตอบได้ทันที จุดเด่นคือระบบ GenTab ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลจากเว็บให้กลายเป็น Progressive Web Apps เช่น การสร้าง itinerary ที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้เหมือนแอปจริงๆ เบราว์เซอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบบน macOS และเปิดให้ลงชื่อเข้าร่วมใน waitlist เท่านั้น ถือเป็นการทดลองที่อาจเปลี่ยนวิธีการใช้งานเว็บในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/farewell-tabs-googles-experimental-disco-browser-generates-web-apps-with-ai 📺 YouTube TV Plans: สตรีมมิ่งกำลังกลับไปเป็นเคเบิลอีกครั้ง YouTube TV ประกาศว่าจะปรับรูปแบบการสมัครสมาชิกใหม่ในปี 2026 โดยเปลี่ยนจากแพ็กเกจรวมทั้งหมดเป็นการเลือก bundle ตามความสนใจ เช่น Sports, News หรือ Family & Entertainment ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะหมวดที่ต้องการได้ ซึ่งอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายเพื่อคอนเทนต์ที่ไม่ดู อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่านี่คือการย้อนกลับไปสู่โมเดลเคเบิลทีวีในอดีตที่เคยถูกวิจารณ์ว่าไม่ยืดหยุ่น 🔗 https://securityonline.info/youtube-tvs-new-subscription-bundles-is-streaming-becoming-cable-all-over-again 🔌 The “USB-C of AI”: Google เปิดตัว Managed Servers สำหรับ MCP Protocol Google ประกาศสนับสนุนเต็มรูปแบบต่อ MCP (Model Context Protocol) ที่ถูกเรียกว่า “USB-C ของ AI” เพราะเป็นมาตรฐานกลางที่ทำให้ AI เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดย Google เปิดตัว managed servers ที่รองรับ MCP ทำให้ AI agents สามารถใช้งาน Google Maps, BigQuery และจัดการโครงสร้างพื้นฐานบน Cloud ได้โดยตรงโดยไม่ต้องสร้าง integration เอง นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ AI สามารถทำงานเชิงปฏิบัติได้จริงและปลอดภัยมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-usb-c-of-ai-is-here-google-launches-managed-servers-for-mcp-protocol 🎨 The AI Super-App: Photoshop & Adobe Express รวมพลังกับ ChatGPT Adobe กำลังยกระดับการใช้งาน AI โดยการรวม Photoshop และ Adobe Express เข้ากับ ChatGPT ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้านการออกแบบและแก้ไขภาพได้ด้วยข้อความ เช่น การปรับแต่งรูปภาพหรือสร้างงานกราฟิกใหม่โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมแยกต่างหาก นี่คือการก้าวสู่ “AI Super-App” ที่รวมเครื่องมือสร้างสรรค์เข้ากับระบบสนทนาอัจฉริยะ เพื่อให้การทำงานด้านครีเอทีฟเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-ai-super-app-rises-photoshop-adobe-express-integrate-into-chatgpt 🏰 The IP Wall Falls: Disney ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI Disney สร้างความฮือฮาด้วยการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI เพื่อเปิดสิทธิ์ใช้ตัวละครกว่า 200 ตัวในระบบ AI นั่นหมายความว่า AI จะสามารถเข้าถึงและใช้ตัวละครจากจักรวาล Disney ได้อย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกบันเทิงและเทคโนโลยี ที่อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ผสมผสานระหว่าง AI และตัวละครที่คนทั่วโลกคุ้นเคย 🔗 https://securityonline.info/the-ip-wall-falls-disney-invests-1b-in-openai-to-license-200-characters-for-ai 🤖 OpenAI Fights Back: เปิดตัว GPT-5.2 ท้าชน Gemini 3 Pro OpenAI เปิดตัว GPT-5.2 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Gemini 3 Pro ของ Google จุดเด่นคือการปรับปรุงความสามารถในการ reasoning และการทำงานร่วมกับระบบภายนอกได้ดียิ่งขึ้น GPT-5.2 ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ OpenAI เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโมเดลภาษา AI ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด 🔗 https://securityonline.info/openai-fights-back-gpt-5-2-unveiled-to-rival-googles-gemini-3-pro 🚨 Critical React2Shell Vulnerability: ช่องโหว่ใหม่โจมตีบริการ RSC ทั่วโลก นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบช่องโหว่ร้ายแรงชื่อ React2Shell (CVE-2025-55182) ที่กำลังถูกโจมตีเพิ่มขึ้นทั่วโลก ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อบริการที่ใช้ React Server Components (RSC) โดยผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลายองค์กรต้องเร่งอัปเดตและติดตั้งแพตช์เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรง 🔗 https://securityonline.info/critical-react2shell-vulnerability-cve-2025-55182-analysis-surge-in-attacks-targeting-rsc-enabled-services-worldwide
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • การพบเห็นซีพียูใหม่ Intel Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ในอินเดีย

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ถูกเพิ่มเข้ารายการสินค้าของร้านค้าปลีกในอินเดีย แม้ไม่มีรายละเอียดด้านราคาและสเปกเต็ม แต่การปรากฏชื่อรุ่นถือเป็นการยืนยันว่า Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Arrow Lake Refresh

    การต่อยอดจาก Arrow Lake
    ซีพียูรุ่น "Plus" นี้คาดว่าจะเป็นการปรับปรุงจาก Arrow Lake รุ่นแรก ที่เปิดตัวในปี 2024 โดยอาจมีการเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกา (clock speed) และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการพลังงาน เพื่อแข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุดในตลาด high-end desktop

    ตลาดและกลยุทธ์ Intel
    การพบเห็นในอินเดียสะท้อนว่า Intel กำลังเตรียมกระจายสินค้าไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นการประกอบเครื่องเอง (DIY PC) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของซีพียู high-end การเปิดตัวรุ่น "Plus" อาจเป็นการรักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนการมาถึงของสถาปัตยกรรมใหม่ในปี 2026

    แนวโน้มในอนาคต
    แม้ยังไม่มีข้อมูลราคา แต่คาดว่า Core Ultra 9 290K Plus จะเป็นรุ่นท็อปที่แข่งขันกับ Ryzen 9 series ส่วน Core Ultra 7 270K Plus จะจับตลาดระดับกลางถึงสูง การเปิดตัวอย่างเป็นทางการอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ของ Intel ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดซีพียูเดสก์ท็อป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การพบเห็นซีพียูใหม่
    Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus
    รายชื่อสินค้าปรากฏในร้านค้าปลีกอินเดีย

    การต่อยอดจาก Arrow Lake
    รุ่น "Plus" อาจเพิ่ม clock speed และปรับปรุงพลังงาน
    แข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุด

    กลยุทธ์ตลาด
    เน้นตลาด DIY PC และตลาดเกิดใหม่
    รักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนสถาปัตยกรรมใหม่

    แนวโน้มอนาคต
    Core Ultra 9 290K Plus จับตลาด high-end
    Core Ultra 7 270K Plus จับตลาด mid-high segment

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-7-270k-plus-and-core-ultra-9-290k-plus-spotted-at-indian-retailer-listings-appear-to-corroborate-prior-leaks-but-dont-reveal-pricing-or-new-info-for-upcoming-arrow-lake-refresh
    🖥️ การพบเห็นซีพียูใหม่ Intel Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ในอินเดีย รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ถูกเพิ่มเข้ารายการสินค้าของร้านค้าปลีกในอินเดีย แม้ไม่มีรายละเอียดด้านราคาและสเปกเต็ม แต่การปรากฏชื่อรุ่นถือเป็นการยืนยันว่า Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Arrow Lake Refresh ⚙️ การต่อยอดจาก Arrow Lake ซีพียูรุ่น "Plus" นี้คาดว่าจะเป็นการปรับปรุงจาก Arrow Lake รุ่นแรก ที่เปิดตัวในปี 2024 โดยอาจมีการเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกา (clock speed) และปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการพลังงาน เพื่อแข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุดในตลาด high-end desktop 🌐 ตลาดและกลยุทธ์ Intel การพบเห็นในอินเดียสะท้อนว่า Intel กำลังเตรียมกระจายสินค้าไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ที่เน้นการประกอบเครื่องเอง (DIY PC) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของซีพียู high-end การเปิดตัวรุ่น "Plus" อาจเป็นการรักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนการมาถึงของสถาปัตยกรรมใหม่ในปี 2026 🔮 แนวโน้มในอนาคต แม้ยังไม่มีข้อมูลราคา แต่คาดว่า Core Ultra 9 290K Plus จะเป็นรุ่นท็อปที่แข่งขันกับ Ryzen 9 series ส่วน Core Ultra 7 270K Plus จะจับตลาดระดับกลางถึงสูง การเปิดตัวอย่างเป็นทางการอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งจะเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ของ Intel ในการรักษาส่วนแบ่งตลาดซีพียูเดสก์ท็อป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การพบเห็นซีพียูใหม่ ➡️ Core Ultra 7 270K Plus และ Core Ultra 9 290K Plus ➡️ รายชื่อสินค้าปรากฏในร้านค้าปลีกอินเดีย ✅ การต่อยอดจาก Arrow Lake ➡️ รุ่น "Plus" อาจเพิ่ม clock speed และปรับปรุงพลังงาน ➡️ แข่งขันกับ AMD Ryzen รุ่นล่าสุด ✅ กลยุทธ์ตลาด ➡️ เน้นตลาด DIY PC และตลาดเกิดใหม่ ➡️ รักษาความสดใหม่ของไลน์ผลิตภัณฑ์ก่อนสถาปัตยกรรมใหม่ ✅ แนวโน้มอนาคต ➡️ Core Ultra 9 290K Plus จับตลาด high-end ➡️ Core Ultra 7 270K Plus จับตลาด mid-high segment https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-7-270k-plus-and-core-ultra-9-290k-plus-spotted-at-indian-retailer-listings-appear-to-corroborate-prior-leaks-but-dont-reveal-pricing-or-new-info-for-upcoming-arrow-lake-refresh
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts