• ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • 🛳 Diamond Princess และ Sapphire Princess เรือคู่แฝดสัญชาติญี่ปุ่นของสายเรือ Princess Cruise

    เตรียมเข้าประจำการที่โตเกียวตลอดฤดูกาลตั้งแต่ มี.ค. - ธ.ค. 2570 เส้นทางครอบคลุม 45 ท่าเรือ ใน 6 ประเทศ
    เพิ่มร้านอาหารใหม่ พัฒนาการเล่าเรื่องผ่านการแสดงสดบนเรือ พร้อมปรับปรุงรีโนเวทภายในเรือแบบจัดเต็ม 🤹🏻‍♀

    ดูเรือ Princess Cruises ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/1ab7e0

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือPrincessCruises #DiamondPrincess #SapphirePrincess #Japan #ล่องเรือญี่ปุ่น #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ข่าวเรือสำราญ #updates #News #CruiseDomain
    🛳 Diamond Princess และ Sapphire Princess เรือคู่แฝดสัญชาติญี่ปุ่นของสายเรือ Princess Cruise 🌸🎎 เตรียมเข้าประจำการที่โตเกียวตลอดฤดูกาลตั้งแต่ มี.ค. - ธ.ค. 2570 เส้นทางครอบคลุม 45 ท่าเรือ ใน 6 ประเทศ เพิ่มร้านอาหารใหม่ พัฒนาการเล่าเรื่องผ่านการแสดงสดบนเรือ พร้อมปรับปรุงรีโนเวทภายในเรือแบบจัดเต็ม 🤹🏻‍♀ ดูเรือ Princess Cruises ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/1ab7e0 ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือPrincessCruises #DiamondPrincess #SapphirePrincess #Japan #ล่องเรือญี่ปุ่น #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ข่าวเรือสำราญ #updates #News #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • STOP! ก่อนที่ข้อมือจะพังเพราะ "หัวไชโป้ว"
    เลิกเหนื่อยกับงานครัวซ้ำซาก! อัปเกรดชีวิตและธุรกิจด้วยเครื่องสับผักที่เร็วที่สุดในรุ่น!
    คุณกำลัง "ทิ้งเงิน" และ "ทิ้งโอกาส" ด้วยการให้คนงานมานั่งสับผักอยู่รึเปล่า?
    เครื่องตัดผัก Multi-Function Cutter คือคำตอบสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มองไปข้างหน้า! ไม่ใช่แค่เครื่องมือ... แต่มันคือ "เครื่องผลิตเวลาและกำไร" ให้คุณ!

    จบปัญหา "เส้นไม่เท่ากัน": สับหัวไชโป้วได้เส้นฝอยสวยคม เป๊ะตามมาตรฐาน 1-10 มม. ลูกค้าติดใจเพราะคุณภาพสม่ำเสมอทุกจาน!
    สปีดทะลุเพดาน: มอเตอร์ 2 แรงม้า จัดเต็มกำลังผลิต 660 กก./ชม.! งานเร่ง งานด่วน? "ให้เครื่องทำ, ส่วนคุณไปรับออเดอร์ใหม่!"
    งานสแตนเลส (เกรดพรีเมียม): ตัวเครื่องทนทาน สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย ไม่ต้องมาคอยซ่อมจุกจิกให้เสียอารมณ์

    คำนวณดูสิ! เครื่องนี้จะช่วยลดค่าแรงที่ต้องจ่ายรายเดือนไปได้มหาศาล! คืนทุนไว จนคุณต้องร้องว้าว!

    นี่คือเครื่องจักรที่คุณคู่ควร ถ้าคุณพร้อมที่จะโตแบบก้าวกระโดด!

    ด่วน! มาสัมผัสของจริงได้ที่:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กทม. 10330 (พร้อมโชว์สับให้ดูเลย!)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จ.-ศ. 8.30-17.00 น. | ส. 9.00-16.00 น.
    โทรปรึกษาฟรี: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชทเลย: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng หรือคลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องตัดผัก #เครื่องสับผัก #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัวอุตสาหกรรม #เครื่องสแตนเลส #Yoryonghahheng #ลดต้นทุน #เพิ่มกำไร #SMEไทย #ธุรกิจร้านอาหาร #โรงงานอาหาร #ครัวมืออาชีพ #FoodProcessing #หัวไชโป้ว #หัวไชโป้วเส้นฝอย #วัตถุดิบอาหาร #อาหารไทย #อาหารจีน #GenYKitchen #ProductivityHack #WorkSmartNotHard #สับไว #งานครัวสบายๆ #Efficiency #เครื่องทุ่นแรง #เจ้าของธุรกิจ #ลงทุน #คืนทุนไว #สปีดงาน
    🚨 STOP! ก่อนที่ข้อมือจะพังเพราะ "หัวไชโป้ว" 🔪 📢 เลิกเหนื่อยกับงานครัวซ้ำซาก! อัปเกรดชีวิตและธุรกิจด้วยเครื่องสับผักที่เร็วที่สุดในรุ่น! คุณกำลัง "ทิ้งเงิน" และ "ทิ้งโอกาส" ด้วยการให้คนงานมานั่งสับผักอยู่รึเปล่า? ⏱️ เครื่องตัดผัก Multi-Function Cutter คือคำตอบสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มองไปข้างหน้า! ไม่ใช่แค่เครื่องมือ... แต่มันคือ "เครื่องผลิตเวลาและกำไร" ให้คุณ! ✅ จบปัญหา "เส้นไม่เท่ากัน": สับหัวไชโป้วได้เส้นฝอยสวยคม เป๊ะตามมาตรฐาน 1-10 มม. ลูกค้าติดใจเพราะคุณภาพสม่ำเสมอทุกจาน! ✅ สปีดทะลุเพดาน: มอเตอร์ 2 แรงม้า จัดเต็มกำลังผลิต 660 กก./ชม.! งานเร่ง งานด่วน? "ให้เครื่องทำ, ส่วนคุณไปรับออเดอร์ใหม่!" ✅ งานสแตนเลส (เกรดพรีเมียม): ตัวเครื่องทนทาน สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย 💯 ไม่ต้องมาคอยซ่อมจุกจิกให้เสียอารมณ์ 💸 คำนวณดูสิ! เครื่องนี้จะช่วยลดค่าแรงที่ต้องจ่ายรายเดือนไปได้มหาศาล! คืนทุนไว จนคุณต้องร้องว้าว! 🔥 นี่คือเครื่องจักรที่คุณคู่ควร ถ้าคุณพร้อมที่จะโตแบบก้าวกระโดด! 📍 ด่วน! มาสัมผัสของจริงได้ที่: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กทม. 10330 (พร้อมโชว์สับให้ดูเลย!) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จ.-ศ. 8.30-17.00 น. | ส. 9.00-16.00 น. โทรปรึกษาฟรี: 📞 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชทเลย: 💬 m.me/yonghahheng LINE: 📱 @yonghahheng หรือคลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องตัดผัก #เครื่องสับผัก #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัวอุตสาหกรรม #เครื่องสแตนเลส #Yoryonghahheng #ลดต้นทุน #เพิ่มกำไร #SMEไทย #ธุรกิจร้านอาหาร #โรงงานอาหาร #ครัวมืออาชีพ #FoodProcessing #หัวไชโป้ว #หัวไชโป้วเส้นฝอย #วัตถุดิบอาหาร #อาหารไทย #อาหารจีน #GenYKitchen #ProductivityHack #WorkSmartNotHard #สับไว #งานครัวสบายๆ #Efficiency #เครื่องทุ่นแรง #เจ้าของธุรกิจ #ลงทุน #คืนทุนไว #สปีดงาน
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?”

    Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี.

    Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่

    สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง

    อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

    Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา

    Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน
    พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ

    อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini
    สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่

    Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่
    เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด

    อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี
    เช่น Black Friday และคริสต์มาส

    Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้
    ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่

    https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    🛍️🍎 หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?” Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี. Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา ✅ Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ➡️ พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ ✅ อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini ➡️ สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่ ✅ Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ ➡️ เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด ✅ อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี ➡️ เช่น Black Friday และคริสต์มาส ✅ Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้ ➡️ ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่ https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    WCCFTECH.COM
    When Apple Changes Its Retail Store Displays, Everyone Pays Attention - Here's Why
    When Apple launches new products, it goes through a litany of protocols, including one that involves preparing its store front displays.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI”

    แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI.

    Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว

    ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม

    แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ

    บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง

    M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s
    สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น

    คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s
    เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D

    M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s
    รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud
    เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud

    แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed
    เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด

    https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    🚀💾 หัวข้อข่าว: “M5 Pro vs M5 Max – ทำไมแบนด์วิดท์เพิ่ม 275GB/s ถึงคุ้มค่าหลายพันดอลลาร์สำหรับสายวิดีโอและ AI” แม้ Apple ยังไม่เปิดตัว M5 Pro และ M5 Max อย่างเป็นทางการ แต่บทวิเคราะห์จาก TechRadar ชี้ว่า ความต่างด้าน “memory bandwidth” ระหว่างสองรุ่นนี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนเกมสำหรับมืออาชีพด้านวิดีโอและ AI. Apple เพิ่งเปิดตัวชิป M5 ซึ่งมี unified memory bandwidth สูงถึง 153GB/s เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จาก M4 แต่สิ่งที่น่าจับตาคือเวอร์ชัน “Pro” และ “Max” ที่ยังไม่เปิดตัว แต่มีการคาดการณ์ว่า M5 Pro จะมี bandwidth สูงถึง 275GB/s และ M5 Max อาจทะลุ 550GB/s เลยทีเดียว ทำไม bandwidth ถึงสำคัญ? เพราะมันคือ “ท่อส่งข้อมูล” จากหน่วยความจำไปยังหน่วยประมวลผล ถ้าท่อกว้างขึ้น ข้อมูลก็ไหลได้เร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดต่อวิดีโอ 8K, การเรนเดอร์ 3D หรือการฝึกโมเดล AI ทำได้เร็วขึ้นและลื่นไหลกว่าเดิม แม้ CPU หรือ GPU จะมีพลังมากแค่ไหน แต่ถ้า memory bandwidth ไม่พอ ก็เหมือนรถซุปเปอร์คาร์ที่ติดคอขวดบนถนนแคบๆ บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า M5 Max อาจมีการเพิ่มช่องทาง memory interface เป็นสองเท่า ทำให้สามารถโหลด asset ขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องรอ cache และยังช่วยลดต้นทุน cloud สำหรับนักพัฒนา AI ที่ต้องการฝึกโมเดลบนเครื่อง ✅ M5 เพิ่ม memory bandwidth เป็น 153GB/s ➡️ สูงกว่า M4 ประมาณ 30% ช่วยให้แอปตอบสนองเร็วขึ้น ✅ คาดว่า M5 Pro จะมี bandwidth 275GB/s ➡️ เหมาะกับงานวิดีโอหลายเลเยอร์และการเรนเดอร์ 3D ✅ M5 Max อาจมี bandwidth สูงถึง 550GB/s ➡️ รองรับงาน AI ที่ต้องการโหลดข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ ✅ bandwidth สูงช่วยลดเวลาทำงานและต้นทุน cloud ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI บนเครื่องแทนการใช้ cloud ✅ แนวโน้มการออกแบบชิปเน้น bandwidth มากกว่า clock speed ➡️ เพื่อให้หน่วยประมวลผลทำงานได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ติดคอขวด https://www.techradar.com/pro/the-true-pro-tax-m5-pro-vs-m5-max-why-that-extra-275gb-s-of-memory-bandwidth-is-worth-thousands-of-dollars-for-video-and-ai-workflows
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next generation of Apple silicon could double memory bandwidth
    Apple hasn't announced the chips yet - but we have an idea of what to expect
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Apple M5 มาแรง แต่ M1 Max ยังไม่ยอมแพ้ – ศึกชิปแห่งยุคที่เลือกไม่ง่าย”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถือ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Max อยู่ แล้วจู่ๆ Apple ก็เปิดตัว M5 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เน้นประสิทธิภาพด้าน AI และการประหยัดพลังงาน คุณจะอัปเกรดดีไหม? บทความจาก TechRadar ชวนเรามาคิดให้ลึกขึ้น เพราะแม้ M5 จะใหม่กว่า แต่ M1 Max ก็ยังมีพลังดิบที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะงานกราฟิกและการประมวลผลหนักๆ

    Apple M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบา เร็ว และฉลาดขึ้น โดยเน้นการใช้งานทั่วไปและงานที่เกี่ยวกับ AI เช่น การแปลเสียงแบบเรียลไทม์ หรือการปรับภาพถ่ายอัตโนมัติ ส่วน M1 Max นั้นยังคงเป็นขุมพลังสำหรับสายโปรที่ต้องการ GPU แรงๆ และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 400GB/s ซึ่งมากกว่า M5 ถึงเกือบ 3 เท่า

    แม้ M5 จะมีคะแนน multi-core สูงกว่า M1 Max แต่ในงานที่ต้องใช้ GPU หนักๆ เช่น การเรนเดอร์ 3D หรือการตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์ M1 Max ยังทำได้ดีกว่า และถ้าคุณเป็นสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วแบบไม่สะดุด M1 Max ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าเกรงขาม

    แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องที่เบา เงียบ แบตอึด และรองรับงาน AI ได้ดี M5 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะใน iPad Pro และ MacBook รุ่นใหม่ที่เน้นความบางเบา

    M1 Max ยังแรงในงานกราฟิกและ throughput สูง
    มี GPU 32-core และ memory bandwidth สูงถึง 400GB/s
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์และเรนเดอร์ภาพ 3D

    M5 เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และ AI
    ใช้พลังงานน้อยลง เหมาะกับอุปกรณ์บางเบา
    Neural Engine ทำงานได้ถึง 133 TOPS เทียบกับ M1 Max ที่ 11 TOPS
    เหมาะกับงาน AI เช่น transcription และ photo enhancement

    คะแนน CPU multi-core ของ M5 สูงกว่า M1 Max
    M5 ได้ประมาณ 17,865 คะแนน ส่วน M1 Max ได้ 13,188
    เหมาะกับงานทั่วไปและการเขียนโค้ดที่เน้นความเร็วแบบ burst

    M5 มี GPU core น้อยกว่า M1 Max
    M5 มี GPU 10-core เท่านั้น
    ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักๆ หรือการเล่นเกมระดับสูง

    M5 Max (ยังไม่เปิดตัว) อาจเป็นตัวแทนที่แท้จริงของ M1 Max
    คาดว่าจะมี GPU 32-core และ memory bandwidth 550GB/s
    อาจรวมข้อดีของ M1 Max และ M5 เข้าด้วยกัน

    อย่ารีบอัปเกรดเป็น M5 หากคุณใช้ M1 Max เพื่อทำงานหนัก
    M5 ยังไม่สามารถแทนที่ M1 Max ได้ในงานกราฟิกหรือวิดีโอระดับโปร

    M5 ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ memory bandwidth สูง
    เช่น การ export วิดีโอจาก Final Cut Pro หรือการทำงานกับไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่

    อย่าคาดหวังว่า M5 จะให้ประสบการณ์เหมือน M1 Max
    แม้จะใหม่กว่า แต่ M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบาและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่ความแรงสูงสุด

    https://www.techradar.com/pro/stop-should-you-upgrade-your-m1-max-apple-mac-to-the-m5-gpu-and-memory-bandwidth-data-reveal-the-surprising-answer
    🧠💻 หัวข้อข่าว: “Apple M5 มาแรง แต่ M1 Max ยังไม่ยอมแพ้ – ศึกชิปแห่งยุคที่เลือกไม่ง่าย” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถือ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Max อยู่ แล้วจู่ๆ Apple ก็เปิดตัว M5 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เน้นประสิทธิภาพด้าน AI และการประหยัดพลังงาน คุณจะอัปเกรดดีไหม? บทความจาก TechRadar ชวนเรามาคิดให้ลึกขึ้น เพราะแม้ M5 จะใหม่กว่า แต่ M1 Max ก็ยังมีพลังดิบที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะงานกราฟิกและการประมวลผลหนักๆ Apple M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบา เร็ว และฉลาดขึ้น โดยเน้นการใช้งานทั่วไปและงานที่เกี่ยวกับ AI เช่น การแปลเสียงแบบเรียลไทม์ หรือการปรับภาพถ่ายอัตโนมัติ ส่วน M1 Max นั้นยังคงเป็นขุมพลังสำหรับสายโปรที่ต้องการ GPU แรงๆ และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 400GB/s ซึ่งมากกว่า M5 ถึงเกือบ 3 เท่า แม้ M5 จะมีคะแนน multi-core สูงกว่า M1 Max แต่ในงานที่ต้องใช้ GPU หนักๆ เช่น การเรนเดอร์ 3D หรือการตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์ M1 Max ยังทำได้ดีกว่า และถ้าคุณเป็นสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วแบบไม่สะดุด M1 Max ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าเกรงขาม แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องที่เบา เงียบ แบตอึด และรองรับงาน AI ได้ดี M5 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะใน iPad Pro และ MacBook รุ่นใหม่ที่เน้นความบางเบา ✅ M1 Max ยังแรงในงานกราฟิกและ throughput สูง ➡️ มี GPU 32-core และ memory bandwidth สูงถึง 400GB/s ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์และเรนเดอร์ภาพ 3D ✅ M5 เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และ AI ➡️ ใช้พลังงานน้อยลง เหมาะกับอุปกรณ์บางเบา ➡️ Neural Engine ทำงานได้ถึง 133 TOPS เทียบกับ M1 Max ที่ 11 TOPS ➡️ เหมาะกับงาน AI เช่น transcription และ photo enhancement ✅ คะแนน CPU multi-core ของ M5 สูงกว่า M1 Max ➡️ M5 ได้ประมาณ 17,865 คะแนน ส่วน M1 Max ได้ 13,188 ➡️ เหมาะกับงานทั่วไปและการเขียนโค้ดที่เน้นความเร็วแบบ burst ✅ M5 มี GPU core น้อยกว่า M1 Max ➡️ M5 มี GPU 10-core เท่านั้น ➡️ ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักๆ หรือการเล่นเกมระดับสูง ✅ M5 Max (ยังไม่เปิดตัว) อาจเป็นตัวแทนที่แท้จริงของ M1 Max ➡️ คาดว่าจะมี GPU 32-core และ memory bandwidth 550GB/s ➡️ อาจรวมข้อดีของ M1 Max และ M5 เข้าด้วยกัน ‼️ อย่ารีบอัปเกรดเป็น M5 หากคุณใช้ M1 Max เพื่อทำงานหนัก ⛔ M5 ยังไม่สามารถแทนที่ M1 Max ได้ในงานกราฟิกหรือวิดีโอระดับโปร ‼️ M5 ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ memory bandwidth สูง ⛔ เช่น การ export วิดีโอจาก Final Cut Pro หรือการทำงานกับไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่ ‼️ อย่าคาดหวังว่า M5 จะให้ประสบการณ์เหมือน M1 Max ⛔ แม้จะใหม่กว่า แต่ M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบาและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่ความแรงสูงสุด https://www.techradar.com/pro/stop-should-you-upgrade-your-m1-max-apple-mac-to-the-m5-gpu-and-memory-bandwidth-data-reveal-the-surprising-answer
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์

    ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน

    Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น”

    แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm
    สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ

    จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park
    พร้อมข้อความ “There is but one China in the world”
    ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน

    ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป
    เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ
    มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center

    ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์
    99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน
    หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก

    การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร
    มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี
    เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ

    ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน
    การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน
    การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร

    ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป
    การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก
    ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    🛰️ ดาวเทียมกับดราม่าชิปโลก: จีนโพสต์ภาพ Hsinchu สะเทือนวงการเซมิคอนดักเตอร์ ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนได้โพสต์ภาพถ่ายดาวเทียมของ “Hsinchu Science Park” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ซึ่งแม้จะไม่กล่าวถึงชิปโดยตรง แต่ภาพที่เลือกกลับเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกของไต้หวัน — สะท้อนเจตนาทางการเมืองที่ชัดเจน Hsinchu คือที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านอวกาศและชิปของไต้หวัน โดยเฉพาะ TSMC ที่มีโรงงานระดับสูงอย่าง Fab 12A, 12B, 20, 3, 5, 8, 2 และ Advanced Backend Fab 1 รวมถึง Global R&D Center ที่นักวิเคราะห์ระบุว่า “เป็นที่ที่ IP ของการผลิตชิประดับโลกถูกสร้างขึ้น” แม้จะเป็นโพสต์ธรรมดา แต่ในบริบทของความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเตือนโลกว่า “จุดอ่อนของเศรษฐกิจโลก” อยู่ที่นี่ เพราะกว่า 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน และหากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงักแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงระบบป้องกันประเทศ 💡 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: 💠 TSMC ถือเป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก โดยมีลูกค้าหลักอย่าง Apple, Nvidia, AMD และ Qualcomm 💠 สหรัฐฯ เคยเตือนว่า TSMC คือ “single point of failure” ของเศรษฐกิจโลก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 💠 การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทำให้ไต้หวันกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเศรษฐกิจ ✅ จีนโพสต์ภาพดาวเทียมของ Hsinchu Science Park ➡️ พร้อมข้อความ “There is but one China in the world” ➡️ ภาพแสดงศูนย์กลางการผลิตชิประดับโลกของไต้หวัน ✅ ความสำคัญของ Hsinchu ต่ออุตสาหกรรมชิป ➡️ เป็นที่ตั้งของ TSMC, MediaTek, UMC และหน่วยงานรัฐ ➡️ มีโรงงาน TSMC หลายแห่งและ Global R&D Center ✅ ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ 99% ของชิปประสิทธิภาพสูงผลิตในไต้หวัน ➡️ หากเกิดเหตุการณ์หยุดชะงัก อาจกระทบเศรษฐกิจโลก ✅ การตอบสนองจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ➡️ มีการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบบาชี ➡️ เพิ่มบทลงโทษการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ ‼️ ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ⛔ การซ้อมปิดล้อมช่องแคบไต้หวันโดยกองทัพเรือจีน ⛔ การตรวจสอบเรือสินค้าและการเคลื่อนไหวทางทหาร ‼️ ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานชิป ⛔ การพึ่งพา TSMC มากเกินไปในระดับโลก ⛔ ความล่าช้าในการกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่น เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายดาวเทียมธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าโลกกำลังพึ่งพาเทคโนโลยีจากพื้นที่เล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก 🌏💥 https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-posts-photo-of-taiwans-chip-hub-in-political-message
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • ปี 2026 กับ 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่องค์กรไม่ควรมองข้าม

    ในยุคที่แอปพลิเคชันกลายเป็นหัวใจของธุรกิจทุกประเภท ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “ข้อบังคับ” Hackread ได้รวบรวม 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่โดดเด่นที่สุดในปี 2026 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสแกนช่องโหว่ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยงเชิงธุรกิจและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบวงจร

    Apiiro – เครื่องมือที่เน้นการเชื่อมโยงช่องโหว่กับความเสี่ยงทางธุรกิจ
    มี Dynamic Risk Mapping, Shift-Left Security และ Compliance Dashboard อัตโนมัติ

    Acunetix – สแกนเว็บแอปแบบลึกและแม่นยำ
    รองรับ SPAs, GraphQL, WebSockets และมีระบบลด false positives

    Detectify – ใช้ข้อมูลจากนักเจาะระบบทั่วโลก
    มี Attack Surface Mapping และการสแกนแบบอัตโนมัติที่อัปเดตตามภัยคุกคามใหม่

    Burp Suite – เครื่องมือยอดนิยมของนักเจาะระบบ
    มี Proxy, Repeater, Intruder และระบบปลั๊กอินที่ปรับแต่งได้

    Veracode – แพลตฟอร์มรวม SAST, DAST, SCA และการฝึกอบรมนักพัฒนา
    มีระบบคะแนนความเสี่ยงและการบังคับใช้นโยบายอัตโนมัติ

    Nikto – เครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบเว็บเซิร์ฟเวอร์
    ตรวจพบไฟล์ต้องสงสัย, การตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย และมีฐานข้อมูลช่องโหว่ขนาดใหญ่

    Strobes – ระบบจัดการช่องโหว่แบบรวมศูนย์
    รวมผลจากหลายแหล่ง, จัดลำดับความเสี่ยง และเชื่อมต่อกับ Jira, Slack, ServiceNow

    Invicti (Netsparker) – สแกนช่องโหว่แบบ “พิสูจน์ได้”
    ลด false positives โดยการทดลองเจาะจริงในสภาพแวดล้อมควบคุม

    เกณฑ์การเลือกเครื่องมือที่ดี
    ตรวจพบช่องโหว่ได้ลึกและหลากหลาย
    รวมถึงช่องโหว่เชิงตรรกะและการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด

    ครอบคลุมทุกส่วนของระบบ
    ตั้งแต่ API, serverless, mobile backend ไปจนถึง container

    เชื่อมต่อกับ DevOps ได้ดี
    รองรับ pipeline, IDE และระบบ version control

    ให้คำแนะนำที่นักพัฒนานำไปใช้ได้จริง
    ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    ขยายได้ตามขนาดองค์กร
    ใช้ได้ทั้งกับแอปขนาดเล็กและระบบขนาดใหญ่

    เครื่องมือที่มี false positives มากเกินไปจะลดประสิทธิภาพทีม
    ทำให้ทีมพัฒนาไม่เชื่อถือผลลัพธ์และละเลยช่องโหว่จริง

    เครื่องมือที่ไม่รองรับการอัปเดตภัยคุกคามใหม่อาจล้าสมัยเร็ว
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ล่าสุดที่ยังไม่ถูกตรวจพบ

    https://hackread.com/top-application-security-tools-2026/
    🛡️ ปี 2026 กับ 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่องค์กรไม่ควรมองข้าม ในยุคที่แอปพลิเคชันกลายเป็นหัวใจของธุรกิจทุกประเภท ความปลอดภัยจึงไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “ข้อบังคับ” Hackread ได้รวบรวม 8 เครื่องมือรักษาความปลอดภัยแอปพลิเคชันที่โดดเด่นที่สุดในปี 2026 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสแกนช่องโหว่ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยงเชิงธุรกิจและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างครบวงจร ✅ Apiiro – เครื่องมือที่เน้นการเชื่อมโยงช่องโหว่กับความเสี่ยงทางธุรกิจ ➡️ มี Dynamic Risk Mapping, Shift-Left Security และ Compliance Dashboard อัตโนมัติ ✅ Acunetix – สแกนเว็บแอปแบบลึกและแม่นยำ ➡️ รองรับ SPAs, GraphQL, WebSockets และมีระบบลด false positives ✅ Detectify – ใช้ข้อมูลจากนักเจาะระบบทั่วโลก ➡️ มี Attack Surface Mapping และการสแกนแบบอัตโนมัติที่อัปเดตตามภัยคุกคามใหม่ ✅ Burp Suite – เครื่องมือยอดนิยมของนักเจาะระบบ ➡️ มี Proxy, Repeater, Intruder และระบบปลั๊กอินที่ปรับแต่งได้ ✅ Veracode – แพลตฟอร์มรวม SAST, DAST, SCA และการฝึกอบรมนักพัฒนา ➡️ มีระบบคะแนนความเสี่ยงและการบังคับใช้นโยบายอัตโนมัติ ✅ Nikto – เครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบเว็บเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ตรวจพบไฟล์ต้องสงสัย, การตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย และมีฐานข้อมูลช่องโหว่ขนาดใหญ่ ✅ Strobes – ระบบจัดการช่องโหว่แบบรวมศูนย์ ➡️ รวมผลจากหลายแหล่ง, จัดลำดับความเสี่ยง และเชื่อมต่อกับ Jira, Slack, ServiceNow ✅ Invicti (Netsparker) – สแกนช่องโหว่แบบ “พิสูจน์ได้” ➡️ ลด false positives โดยการทดลองเจาะจริงในสภาพแวดล้อมควบคุม 📌 เกณฑ์การเลือกเครื่องมือที่ดี ✅ ตรวจพบช่องโหว่ได้ลึกและหลากหลาย ➡️ รวมถึงช่องโหว่เชิงตรรกะและการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด ✅ ครอบคลุมทุกส่วนของระบบ ➡️ ตั้งแต่ API, serverless, mobile backend ไปจนถึง container ✅ เชื่อมต่อกับ DevOps ได้ดี ➡️ รองรับ pipeline, IDE และระบบ version control ✅ ให้คำแนะนำที่นักพัฒนานำไปใช้ได้จริง ➡️ ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ✅ ขยายได้ตามขนาดองค์กร ➡️ ใช้ได้ทั้งกับแอปขนาดเล็กและระบบขนาดใหญ่ ‼️ เครื่องมือที่มี false positives มากเกินไปจะลดประสิทธิภาพทีม ⛔ ทำให้ทีมพัฒนาไม่เชื่อถือผลลัพธ์และละเลยช่องโหว่จริง ‼️ เครื่องมือที่ไม่รองรับการอัปเดตภัยคุกคามใหม่อาจล้าสมัยเร็ว ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากช่องโหว่ล่าสุดที่ยังไม่ถูกตรวจพบ https://hackread.com/top-application-security-tools-2026/
    HACKREAD.COM
    8 Top Application Security Tools (2026 Edition)
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated

    เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น
    แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end

    ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ
    ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing

    Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง
    เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า

    ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด

    Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption
    แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager

    Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption
    ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน

    หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด
    เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม
    ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย

    มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า
    เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage

    https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    🔐 “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated ✅ เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น ➡️ แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ✅ ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์ ✅ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม ➡️ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing ✅ Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง ➡️ เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า ✅ ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด ✅ Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption ➡️ แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager ✅ Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน ‼️ หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด ⛔ เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์ ‼️ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม ⛔ ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า ⛔ เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You Shouldn't Store Passwords In Your Web Browser — Here's Why - SlashGear
    It's easy to think that the password managers your web browser recommends you to use are secure enough, but it's not as simple as you might imagine.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • “Sailfish OS” ระบบปฏิบัติการมือถือสายอิสระที่ยังยืนหยัด

    หากคุณเคยได้ยินชื่อ Nokia N9 หรือ MeeGo มาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่ามีระบบปฏิบัติการหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของความเปิดกว้างและอิสระจากยุคนั้น นั่นคือ Sailfish OS ซึ่งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยทีมงาน Jolla จากฟินแลนด์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนทั่วโลก

    Sailfish OS ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการมือถือทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจาก Linux แบบคลาสสิก ใช้ Qt และ Wayland เป็นแกนหลัก พร้อม UI ที่ออกแบบด้วย QML และ Sailfish Silica ซึ่งทำให้สามารถสร้างแอปที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังรองรับแอป Android ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ระบบนี้มีจุดเด่นคือ “อิสระจากบริษัทยักษ์ใหญ่” เพราะไม่มีพันธะกับ Google หรือ Apple และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการระบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้เอง

    Sailfish OS คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบมือถือที่ “ไม่ตามกระแส” แต่ “ควบคุมได้เอง” และยังคงยืนหยัดในโลกที่เต็มไปด้วยระบบปิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่

    จุดกำเนิดของ Sailfish OS มาจาก MeeGo ของ Nokia และ Intel
    MeeGo เคยเป็นระบบเปิดที่ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนถูกยกเลิก

    ทีมงานเดิมของ MeeGo ก่อตั้งบริษัท Jolla เพื่อสานต่อโครงการ
    เปิดตัว Sailfish OS รุ่นเบต้าในปี 2013 พร้อม Jolla smartphone

    Sailfish OS รองรับแอป Android ได้ดี
    ใช้ไลบรารีของ Android เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียง native

    มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่น Sailfish 4
    รองรับการใช้งานในองค์กรและภาครัฐ พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย

    สร้าง UI ด้วย QML และ Sailfish Silica
    ทำให้สามารถสร้างแอปที่ตอบสนองดีและมีเอกลักษณ์

    เป็นระบบเปิดที่ไม่มีพันธะกับบริษัทใหญ่
    มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ

    เหมาะกับองค์กรและผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
    มีความปลอดภัยสูงและสามารถควบคุมระบบได้เอง

    ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน
    ต้องการความเข้าใจด้านเทคนิคในการติดตั้งและใช้งาน

    แอปจาก Android อาจไม่ทำงานได้ 100%
    แม้รองรับ Android แต่บางแอปอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้

    https://sailfishos.org/info/
    📱 “Sailfish OS” ระบบปฏิบัติการมือถือสายอิสระที่ยังยืนหยัด หากคุณเคยได้ยินชื่อ Nokia N9 หรือ MeeGo มาก่อน คุณอาจไม่รู้ว่ามีระบบปฏิบัติการหนึ่งที่สืบทอดเจตนารมณ์ของความเปิดกว้างและอิสระจากยุคนั้น นั่นคือ Sailfish OS ซึ่งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยทีมงาน Jolla จากฟินแลนด์ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนทั่วโลก Sailfish OS ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการมือถือทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจาก Linux แบบคลาสสิก ใช้ Qt และ Wayland เป็นแกนหลัก พร้อม UI ที่ออกแบบด้วย QML และ Sailfish Silica ซึ่งทำให้สามารถสร้างแอปที่ลื่นไหลและตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังรองรับแอป Android ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้มีจุดเด่นคือ “อิสระจากบริษัทยักษ์ใหญ่” เพราะไม่มีพันธะกับ Google หรือ Apple และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับองค์กรหรือรัฐบาลที่ต้องการระบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้เอง Sailfish OS คือทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการระบบมือถือที่ “ไม่ตามกระแส” แต่ “ควบคุมได้เอง” และยังคงยืนหยัดในโลกที่เต็มไปด้วยระบบปิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 🛡️ ✅ จุดกำเนิดของ Sailfish OS มาจาก MeeGo ของ Nokia และ Intel ➡️ MeeGo เคยเป็นระบบเปิดที่ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนถูกยกเลิก ✅ ทีมงานเดิมของ MeeGo ก่อตั้งบริษัท Jolla เพื่อสานต่อโครงการ ➡️ เปิดตัว Sailfish OS รุ่นเบต้าในปี 2013 พร้อม Jolla smartphone ✅ Sailfish OS รองรับแอป Android ได้ดี ➡️ ใช้ไลบรารีของ Android เพื่อให้ทำงานได้ใกล้เคียง native ✅ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่น Sailfish 4 ➡️ รองรับการใช้งานในองค์กรและภาครัฐ พร้อมฟีเจอร์ใหม่มากมาย ✅ สร้าง UI ด้วย QML และ Sailfish Silica ➡️ ทำให้สามารถสร้างแอปที่ตอบสนองดีและมีเอกลักษณ์ ✅ เป็นระบบเปิดที่ไม่มีพันธะกับบริษัทใหญ่ ➡️ มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาเต็มรูปแบบ ✅ เหมาะกับองค์กรและผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ➡️ มีความปลอดภัยสูงและสามารถควบคุมระบบได้เอง ‼️ ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปทุกคน ⛔ ต้องการความเข้าใจด้านเทคนิคในการติดตั้งและใช้งาน ‼️ แอปจาก Android อาจไม่ทำงานได้ 100% ⛔ แม้รองรับ Android แต่บางแอปอาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ https://sailfishos.org/info/
    SAILFISHOS.ORG
    Info - Sailfish OS
    [et_pb_section fb_built=”1″ fullwidth=”on” _builder_version=”3.22″ background_image=”https://sailfishos.org/content/uploads/2018/10/Ambience_Hero_mainpage-1.jpg” da_is_popup=”off” da_exit_intent=”off” da_has_close=”on” da_alt_close=”off” da_dark_close=”off” da_not_modal=”on” da_is_singular=”off” da_with_loader=”off” da_has_shadow=”on” da_disable_devices=”off|off|off”][et_pb_fullwidth_header title=”Info” text_orientation=”center” background_overlay_color=”rgba(0,0,0,0)” admin_label=”Page title & ingress” module_class=”page-title-content” _builder_version=”3.17.6″ background_color=”rgba(126,190,197,0)” animation_style=”fade” animation_speed_curve=”ease-out” saved_tabs=”all” collapsed=”off”][/et_pb_fullwidth_header][/et_pb_section][et_pb_section fb_built=”1″ custom_padding_last_edited=”on|desktop” module_class=”section” _builder_version=”3.22″ custom_padding_tablet=”” custom_padding_phone=”” da_is_popup=”off” da_exit_intent=”off” da_has_close=”on” da_alt_close=”off” da_dark_close=”off” da_not_modal=”on” da_is_singular=”off” da_with_loader=”off” da_has_shadow=”on” da_disable_devices=”off|off|off”][et_pb_row module_class=”row-960″ _builder_version=”3.25″][et_pb_column type=”4_4″ _builder_version=”3.25″ custom_padding=”|||” custom_padding__hover=”|||”][et_pb_text admin_label=”Sailfish OS history” _builder_version=”3.27.4″ […]
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI

    Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่

    ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี

    ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่

    ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max

    Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026
    ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home
    ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท

    ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026
    iPhone 17e รุ่นประหยัด
    iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4)
    MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max)
    จอภาพภายนอกใหม่

    ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่
    Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี
    iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง
    iPhone พับได้รุ่นแรก
    Apple Watch รุ่นใหม่
    MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max
    พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses

    https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    📱 Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่ ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max ✅ Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 ➡️ ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home ➡️ ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026 ➡️ iPhone 17e รุ่นประหยัด ➡️ iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4) ➡️ MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max) ➡️ จอภาพภายนอกใหม่ ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ➡️ เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ➡️ Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี ➡️ iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ➡️ iPhone พับได้รุ่นแรก ➡️ Apple Watch รุ่นใหม่ ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max ➡️ พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    SECURITYONLINE.INFO
    The 2026 Surge: Apple's 15-Product Roadmap Includes Foldable iPhone & AI Smart Home
    Apple’s ambitious 2026 roadmap features 15+ major products: iPhone 18, a foldable iPhone, M6 MacBooks with touchscreens, and a massive Apple Intelligence rollout.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • Meta Quest 3 ผนึก Windows 11 เปิดประสบการณ์ Virtual Desktop สู่โลก Mixed Reality

    Microsoft และ Meta ร่วมกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Mixed Reality Link” ที่ให้ผู้ใช้ Meta Quest 3 และ Quest 3S สามารถสตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา

    ลองนึกภาพว่าคุณใส่แว่น Meta Quest 3 แล้วเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอลอยอยู่รอบตัวคุณในโลกเสมือน — นั่นคือสิ่งที่ Mixed Reality Link ทำได้ หลังจากเปิดตัวในเวอร์ชันพรีวิวช่วงปี 2024 ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ได้เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2025

    เมื่อคุณติดตั้งแอป Mixed Reality Link บน Windows 11 PC คุณสามารถสตรีมหน้าจอไปยังแว่น Meta Quest ได้ทันที โดยรองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D เหมือนกับที่ Vision Pro ของ Apple เคยทำ แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า

    นอกจากการสตรีมจากเครื่องส่วนตัวแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์อย่าง Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องเสมือนจากที่ไหนก็ได้

    Meta ยังเผยแผนเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่ “แทบแยกไม่ออกจากโลกจริง” พร้อมแว่น Ray-Ban รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ด้วย AI

    ฟีเจอร์ Mixed Reality Link เปิดให้ใช้งานบน Meta Quest 3 และ Quest 3S
    สตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง
    รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D
    ใช้งานร่วมกับ Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box

    จุดเด่นของ Mixed Reality Link
    สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่าย
    คล้ายกับ Vision Pro แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า
    Quest 3S เริ่มต้นเพียง $300 เทียบกับ Vision Pro ที่ $3,500

    แผนของ Meta ในโลก Mixed Reality
    เตรียมเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่สมจริงระดับสูง
    เปิดตัว Ray-Ban รุ่นใหม่พร้อม AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์
    มุ่งเน้นการขยายตลาด VR/AR ด้วยราคาที่เข้าถึงได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Mixed Reality
    ควรตรวจสอบความปลอดภัยของการเชื่อมต่อคลาวด์ก่อนใช้งาน
    หลีกเลี่ยงการใช้ในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย
    ควรพักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้งานแว่น VR เป็นเวลานาน

    โลกเสมือนจริงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป — ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และฟีเจอร์ที่ทรงพลัง Meta Quest 3 กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี.

    https://securityonline.info/meta-quest-3-gets-windows-11-virtual-desktop-bringing-mixed-reality-to-the-masses/
    🧠 Meta Quest 3 ผนึก Windows 11 เปิดประสบการณ์ Virtual Desktop สู่โลก Mixed Reality Microsoft และ Meta ร่วมกันเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Mixed Reality Link” ที่ให้ผู้ใช้ Meta Quest 3 และ Quest 3S สามารถสตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา ลองนึกภาพว่าคุณใส่แว่น Meta Quest 3 แล้วเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายจอลอยอยู่รอบตัวคุณในโลกเสมือน — นั่นคือสิ่งที่ Mixed Reality Link ทำได้ หลังจากเปิดตัวในเวอร์ชันพรีวิวช่วงปี 2024 ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ได้เปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2025 เมื่อคุณติดตั้งแอป Mixed Reality Link บน Windows 11 PC คุณสามารถสตรีมหน้าจอไปยังแว่น Meta Quest ได้ทันที โดยรองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D เหมือนกับที่ Vision Pro ของ Apple เคยทำ แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า นอกจากการสตรีมจากเครื่องส่วนตัวแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบริการคลาวด์อย่าง Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเครื่องเสมือนจากที่ไหนก็ได้ Meta ยังเผยแผนเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่ “แทบแยกไม่ออกจากโลกจริง” พร้อมแว่น Ray-Ban รุ่นใหม่ที่มีฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ด้วย AI ✅ ฟีเจอร์ Mixed Reality Link เปิดให้ใช้งานบน Meta Quest 3 และ Quest 3S ➡️ สตรีมหน้าจอ Windows 11 ไปยังแว่น VR ได้โดยตรง ➡️ รองรับการแสดงผลหลายหน้าจอในรูปแบบ 3D ➡️ ใช้งานร่วมกับ Windows 365, Azure Virtual Desktop และ Microsoft Dev Box ✅ จุดเด่นของ Mixed Reality Link ➡️ สร้างพื้นที่ทำงานเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ คล้ายกับ Vision Pro แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า ➡️ Quest 3S เริ่มต้นเพียง $300 เทียบกับ Vision Pro ที่ $3,500 ✅ แผนของ Meta ในโลก Mixed Reality ➡️ เตรียมเปิดตัวแว่น VR รุ่นใหม่ที่สมจริงระดับสูง ➡️ เปิดตัว Ray-Ban รุ่นใหม่พร้อม AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ➡️ มุ่งเน้นการขยายตลาด VR/AR ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Mixed Reality ⛔ ควรตรวจสอบความปลอดภัยของการเชื่อมต่อคลาวด์ก่อนใช้งาน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหรืออันตราย ⛔ ควรพักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้งานแว่น VR เป็นเวลานาน โลกเสมือนจริงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป — ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และฟีเจอร์ที่ทรงพลัง Meta Quest 3 กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราทำงานและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี. https://securityonline.info/meta-quest-3-gets-windows-11-virtual-desktop-bringing-mixed-reality-to-the-masses/
    SECURITYONLINE.INFO
    Meta Quest 3 Gets Windows 11 Virtual Desktop—Bringing Mixed Reality to the Masses
    Microsoft's Mixed Reality Link brings the Windows 11 virtual desktop experience to Meta Quest 3 users. It supports cloud PCs and challenges the expensive Apple Vision Pro.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • “Tap-and-Steal”: แอป Android กว่า 760 ตัวใช้ NFC/HCE ขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินทั่วโลก

    แคมเปญไซเบอร์ “Tap-and-Steal” ถูกเปิดโปงโดย Zimperium zLabs เผยให้เห็นการใช้เทคโนโลยี NFC และ Host Card Emulation (HCE) บน Android เพื่อขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินจากผู้ใช้ทั่วโลก โดยมีแอปอันตรายมากกว่า 760 ตัว ที่ถูกตรวจพบในปฏิบัติการนี้

    แฮกเกอร์สร้างแอปปลอมที่ดูเหมือนแอปธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ โดยใช้ไอคอนและอินเทอร์เฟซที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แอปจะขอให้ตั้งเป็นตัวจัดการ NFC เริ่มต้น จากนั้นจะใช้ฟีเจอร์ HCE เพื่อจำลองบัตรจ่ายเงินและดักจับข้อมูล EMV (Europay, Mastercard, Visa) จากการแตะบัตรหรืออุปกรณ์

    ข้อมูลที่ถูกขโมย เช่น หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสอุปกรณ์ จะถูกส่งไปยังช่องทาง Telegram ที่แฮกเกอร์ใช้ประสานงานและควบคุมระบบ โดยมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว และ Telegram bot หลายสิบตัว

    บางแอปทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “สแกนและแตะ” เพื่อดึงข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งและใช้ซื้อสินค้าจากอีกอุปกรณ์หนึ่งแบบเรียลไทม์

    แคมเปญ “Tap-and-Steal” ใช้ NFC/HCE บน Android
    แอปปลอมเลียนแบบธนาคารและหน่วยงานรัฐ
    ขอสิทธิ์เป็นตัวจัดการ NFC เพื่อดักจับข้อมูล EMV
    ใช้ HCE จำลองบัตรจ่ายเงินและส่งข้อมูลไปยัง Telegram

    โครงสร้างการควบคุมของแฮกเกอร์
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว
    ใช้ Telegram bot และช่องทางส่วนตัวในการส่งข้อมูล
    แอปบางตัวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “แตะเพื่อขโมย” แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลที่ถูกขโมย
    หมายเลขบัตร วันหมดอายุ รหัสอุปกรณ์
    ข้อมูล EMV ที่ใช้ในการทำธุรกรรม
    ถูกส่งไปยัง Telegram พร้อมระบุอุปกรณ์และภูมิภาค

    https://securityonline.info/tap-and-steal-over-760-android-apps-exploit-nfc-hce-for-payment-card-theft-in-global-financial-scam/
    📲 “Tap-and-Steal”: แอป Android กว่า 760 ตัวใช้ NFC/HCE ขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินทั่วโลก แคมเปญไซเบอร์ “Tap-and-Steal” ถูกเปิดโปงโดย Zimperium zLabs เผยให้เห็นการใช้เทคโนโลยี NFC และ Host Card Emulation (HCE) บน Android เพื่อขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินจากผู้ใช้ทั่วโลก โดยมีแอปอันตรายมากกว่า 760 ตัว ที่ถูกตรวจพบในปฏิบัติการนี้ แฮกเกอร์สร้างแอปปลอมที่ดูเหมือนแอปธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ โดยใช้ไอคอนและอินเทอร์เฟซที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แอปจะขอให้ตั้งเป็นตัวจัดการ NFC เริ่มต้น จากนั้นจะใช้ฟีเจอร์ HCE เพื่อจำลองบัตรจ่ายเงินและดักจับข้อมูล EMV (Europay, Mastercard, Visa) จากการแตะบัตรหรืออุปกรณ์ ข้อมูลที่ถูกขโมย เช่น หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสอุปกรณ์ จะถูกส่งไปยังช่องทาง Telegram ที่แฮกเกอร์ใช้ประสานงานและควบคุมระบบ โดยมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว และ Telegram bot หลายสิบตัว บางแอปทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “สแกนและแตะ” เพื่อดึงข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งและใช้ซื้อสินค้าจากอีกอุปกรณ์หนึ่งแบบเรียลไทม์ ✅ แคมเปญ “Tap-and-Steal” ใช้ NFC/HCE บน Android ➡️ แอปปลอมเลียนแบบธนาคารและหน่วยงานรัฐ ➡️ ขอสิทธิ์เป็นตัวจัดการ NFC เพื่อดักจับข้อมูล EMV ➡️ ใช้ HCE จำลองบัตรจ่ายเงินและส่งข้อมูลไปยัง Telegram ✅ โครงสร้างการควบคุมของแฮกเกอร์ ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว ➡️ ใช้ Telegram bot และช่องทางส่วนตัวในการส่งข้อมูล ➡️ แอปบางตัวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “แตะเพื่อขโมย” แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมย ➡️ หมายเลขบัตร วันหมดอายุ รหัสอุปกรณ์ ➡️ ข้อมูล EMV ที่ใช้ในการทำธุรกรรม ➡️ ถูกส่งไปยัง Telegram พร้อมระบุอุปกรณ์และภูมิภาค https://securityonline.info/tap-and-steal-over-760-android-apps-exploit-nfc-hce-for-payment-card-theft-in-global-financial-scam/
    SECURITYONLINE.INFO
    Tap-and-Steal: Over 760 Android Apps Exploit NFC/HCE for Payment Card Theft in Global Financial Scam
    Zimperium found 760+ Android apps exploiting NFC/HCE to steal payment data. The malware impersonates 20 banks across Russia, Poland, and Brazil, using Telegram for criminal coordination.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series

    ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro”

    Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด

    Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก

    Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB

    ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า

    เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico
    Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150
    Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M
    รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ
    พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ
    Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478)
    Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380)
    รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro
    เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC
    แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน
    Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน
    Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก”
    Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    🖥️ เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro” Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด 💠 Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก 💠 Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า ✅ เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico ➡️ Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150 ➡️ Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M ➡️ รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ ➡️ Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478) ➡️ Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380) ➡️ รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro ➡️ เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC ➡️ แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน ➡️ Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน ➡️ Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” ➡️ Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต!

    ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย!

    IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks

    ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย

    ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม

    Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร
    ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์
    รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS
    ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi

    ความสามารถของ IIAB
    เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์
    โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ
    สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน

    การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล
    ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ

    การติดตั้งและขยายข้อมูล
    โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org
    เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์
    ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้

    ข้อจำกัดของ IIAB
    ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้
    ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง
    อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล

    IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน

    https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    📦 “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต! ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย! IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม ✅ Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร ➡️ ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์ ➡️ รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS ➡️ ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi ✅ ความสามารถของ IIAB ➡️ เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ ➡️ โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ ➡️ สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน ✅ การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ ✅ การติดตั้งและขยายข้อมูล ➡️ โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org ➡️ เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์ ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้ ‼️ ข้อจำกัดของ IIAB ⛔ ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้ ⛔ ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง ⛔ อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Device Can Replace Google When You Need Information Without An Internet Connection - SlashGear
    More than half the world's population can connect to the internet, but for people in remote locations or extreme poverty this device can provide limited access.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • เปิดกรุสมบัติลับใน Windows: 5 แอปฯ ติดเครื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามี!

    คุณเคยใช้ Windows แค่เปิดเว็บหรือเล่นเกมเท่านั้นหรือเปล่า? ถ้าใช่...คุณอาจพลาดขุมทรัพย์ที่ Microsoft ซ่อนเอาไว้ในระบบปฏิบัติการของคุณ! วันนี้เราจะพาไปเปิดโลกของ 5 แอปฯ ที่ติดมากับ Windows โดยไม่ต้องโหลดเพิ่ม และบางตัวอาจช่วยชีวิตคุณจากไวรัสหรือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นแบบไม่รู้ตัว!

    Windows Sandbox: ห้องทดลองลับสำหรับไฟล์ต้องสงสัย
    ลองนึกภาพว่าคุณได้รับไฟล์แนบจากอีเมลที่ดูไม่น่าไว้ใจ แต่ก็อยากเปิดดู... Windows Sandbox คือคำตอบ! มันคือพื้นที่จำลองที่คุณสามารถเปิดไฟล์หรือเข้าเว็บอันตรายได้โดยไม่กระทบกับระบบจริงของคุณเลย

    Clipboard History: ย้อนอดีตสิ่งที่คุณเคยก๊อป
    เคยก๊อปข้อความไว้แล้วลืมวาง หรือเผลอก๊อปทับไปแล้วใช่ไหม? ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณเรียกดูประวัติการก๊อปทั้งหมดได้ง่ายๆ แค่กด Windows + V

    Microsoft Print to PDF: แปลงทุกอย่างเป็น PDF ง่ายนิดเดียว
    ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม! แค่สั่งพิมพ์แล้วเลือก “Print to PDF” ก็ได้ไฟล์ PDF พร้อมใช้งานทันที เหมาะมากสำหรับนักเรียน นักธุรกิจ หรือใครก็ตามที่ต้องส่งเอกสารแบบมืออาชีพ

    CharMap: แผนที่ลับของอักขระพิเศษ
    อยากพิมพ์สัญลักษณ์แปลกๆ เช่น ©, €, ¥ หรือแม้แต่ em dash (—) แต่ไม่รู้จะพิมพ์ยังไง? CharMap คือคลังอักขระที่คุณสามารถค้นหาและคัดลอกได้ทันที พร้อมบอกคีย์ลัดให้ด้วย!

    Phone Link: เชื่อมมือถือกับคอมแบบไร้รอยต่อ
    ส่งข้อความ รับสาย ดูรูป หรือแม้แต่ควบคุมแอปฯ บนมือถือผ่านคอมได้เลย! รองรับทั้ง Android และ iPhone ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับคนทำงานที่ไม่อยากหยิบมือถือบ่อยๆ

    https://www.slashgear.com/2008273/built-in-windows-apps-you-probably-dont-know-exist/
    🖥️ เปิดกรุสมบัติลับใน Windows: 5 แอปฯ ติดเครื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามี! คุณเคยใช้ Windows แค่เปิดเว็บหรือเล่นเกมเท่านั้นหรือเปล่า? ถ้าใช่...คุณอาจพลาดขุมทรัพย์ที่ Microsoft ซ่อนเอาไว้ในระบบปฏิบัติการของคุณ! วันนี้เราจะพาไปเปิดโลกของ 5 แอปฯ ที่ติดมากับ Windows โดยไม่ต้องโหลดเพิ่ม และบางตัวอาจช่วยชีวิตคุณจากไวรัสหรือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นแบบไม่รู้ตัว! 🧪 Windows Sandbox: ห้องทดลองลับสำหรับไฟล์ต้องสงสัย ลองนึกภาพว่าคุณได้รับไฟล์แนบจากอีเมลที่ดูไม่น่าไว้ใจ แต่ก็อยากเปิดดู... Windows Sandbox คือคำตอบ! มันคือพื้นที่จำลองที่คุณสามารถเปิดไฟล์หรือเข้าเว็บอันตรายได้โดยไม่กระทบกับระบบจริงของคุณเลย 📋 Clipboard History: ย้อนอดีตสิ่งที่คุณเคยก๊อป เคยก๊อปข้อความไว้แล้วลืมวาง หรือเผลอก๊อปทับไปแล้วใช่ไหม? ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณเรียกดูประวัติการก๊อปทั้งหมดได้ง่ายๆ แค่กด Windows + V 🖨️ Microsoft Print to PDF: แปลงทุกอย่างเป็น PDF ง่ายนิดเดียว ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม! แค่สั่งพิมพ์แล้วเลือก “Print to PDF” ก็ได้ไฟล์ PDF พร้อมใช้งานทันที เหมาะมากสำหรับนักเรียน นักธุรกิจ หรือใครก็ตามที่ต้องส่งเอกสารแบบมืออาชีพ 🔣 CharMap: แผนที่ลับของอักขระพิเศษ อยากพิมพ์สัญลักษณ์แปลกๆ เช่น ©, €, ¥ หรือแม้แต่ em dash (—) แต่ไม่รู้จะพิมพ์ยังไง? CharMap คือคลังอักขระที่คุณสามารถค้นหาและคัดลอกได้ทันที พร้อมบอกคีย์ลัดให้ด้วย! 📱 Phone Link: เชื่อมมือถือกับคอมแบบไร้รอยต่อ ส่งข้อความ รับสาย ดูรูป หรือแม้แต่ควบคุมแอปฯ บนมือถือผ่านคอมได้เลย! รองรับทั้ง Android และ iPhone ฟีเจอร์นี้เหมาะมากสำหรับคนทำงานที่ไม่อยากหยิบมือถือบ่อยๆ https://www.slashgear.com/2008273/built-in-windows-apps-you-probably-dont-know-exist/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Handy Built-In Windows Apps You Probably Didn't Know Exist - SlashGear
    Learn what hidden Windows tools can make your PC faster, safer, and more productive without installing a single extra app.
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • "ไม่สามารถปฏิเสธได้": เมื่อการสแกนใบหน้ากลายเป็นข้อบังคับ

    ICE ใช้แอปสแกนใบหน้า Mobile Fortify โดยไม่ให้ประชาชนปฏิเสธได้ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ข้อมูลจะถูกเก็บนานถึง 15 ปี

    ในเอกสารภายในของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ที่เปิดเผยโดย 404 Media พบว่า Immigration and Customs Enforcement (ICE) ได้ใช้แอปชื่อ Mobile Fortify เพื่อสแกนใบหน้าประชาชนบนท้องถนนเพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมือง โดยไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ แม้บุคคลนั้นจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม

    ภาพใบหน้าที่ถูกสแกนจะถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและการละเมิดข้อมูล

    แอป Mobile Fortify สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของรัฐบาลจำนวนมาก และเปรียบเทียบภาพใบหน้ากับคลังภาพกว่า 200 ล้านภาพ เพื่อดึงข้อมูลเช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขคนเข้าเมือง และคำสั่งเนรเทศ

    นักการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนออกโรงเตือน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง Bernie Sanders ได้เรียกร้องให้ ICE ยุติการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยชี้ว่า ระบบจดจำใบหน้าเหล่านี้มีความลำเอียงและไม่แม่นยำ โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การควบคุมตัวผิดพลาด เช่นกรณีพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิดพลาด

    การทดสอบโดย National Institute of Standards and Technology ในปี 2024 พบว่า ระบบจดจำใบหน้าให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อภาพมีคุณภาพต่ำ เบลอ หรือถ่ายจากมุมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของภาพที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะได้จากสมาร์ทโฟน

    ICE ใช้แอป Mobile Fortify สแกนใบหน้า
    ใช้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมืองของบุคคล

    ไม่สามารถปฏิเสธการสแกนได้
    แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

    ข้อมูลใบหน้าถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี
    ไม่สนใจสถานะหรือสัญชาติของบุคคลนั้น

    แอปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมาก
    เปรียบเทียบกับภาพกว่า 200 ล้านภาพเพื่อดึงข้อมูลส่วนบุคคล

    นักการเมืองเรียกร้องให้ยุติการใช้
    ชี้ว่าเทคโนโลยีมีความลำเอียงและไม่แม่นยำ

    มีกรณีควบคุมตัวผิดพลาด
    พลเมืองสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัว 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิด

    https://www.404media.co/you-cant-refuse-to-be-scanned-by-ices-facial-recognition-app-dhs-document-says/
    🕵️‍♂️ "ไม่สามารถปฏิเสธได้": เมื่อการสแกนใบหน้ากลายเป็นข้อบังคับ ICE ใช้แอปสแกนใบหน้า Mobile Fortify โดยไม่ให้ประชาชนปฏิเสธได้ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ข้อมูลจะถูกเก็บนานถึง 15 ปี ในเอกสารภายในของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ที่เปิดเผยโดย 404 Media พบว่า Immigration and Customs Enforcement (ICE) ได้ใช้แอปชื่อ Mobile Fortify เพื่อสแกนใบหน้าประชาชนบนท้องถนนเพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมือง โดยไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ แม้บุคคลนั้นจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม 📸 ภาพใบหน้าที่ถูกสแกนจะถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและการละเมิดข้อมูล 📱 แอป Mobile Fortify สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของรัฐบาลจำนวนมาก และเปรียบเทียบภาพใบหน้ากับคลังภาพกว่า 200 ล้านภาพ เพื่อดึงข้อมูลเช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขคนเข้าเมือง และคำสั่งเนรเทศ ⚠️ นักการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนออกโรงเตือน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง Bernie Sanders ได้เรียกร้องให้ ICE ยุติการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยชี้ว่า ระบบจดจำใบหน้าเหล่านี้มีความลำเอียงและไม่แม่นยำ โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การควบคุมตัวผิดพลาด เช่นกรณีพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิดพลาด 🌫️ การทดสอบโดย National Institute of Standards and Technology ในปี 2024 พบว่า ระบบจดจำใบหน้าให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อภาพมีคุณภาพต่ำ เบลอ หรือถ่ายจากมุมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของภาพที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะได้จากสมาร์ทโฟน ✅ ICE ใช้แอป Mobile Fortify สแกนใบหน้า ➡️ ใช้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมืองของบุคคล ✅ ไม่สามารถปฏิเสธการสแกนได้ ➡️ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ✅ ข้อมูลใบหน้าถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี ➡️ ไม่สนใจสถานะหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ✅ แอปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมาก ➡️ เปรียบเทียบกับภาพกว่า 200 ล้านภาพเพื่อดึงข้อมูลส่วนบุคคล ✅ นักการเมืองเรียกร้องให้ยุติการใช้ ➡️ ชี้ว่าเทคโนโลยีมีความลำเอียงและไม่แม่นยำ ✅ มีกรณีควบคุมตัวผิดพลาด ➡️ พลเมืองสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัว 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิด https://www.404media.co/you-cant-refuse-to-be-scanned-by-ices-facial-recognition-app-dhs-document-says/
    WWW.404MEDIA.CO
    You Can't Refuse To Be Scanned by ICE's Facial Recognition App, DHS Document Says
    Photos captured by Mobile Fortify will be stored for 15 years, regardless of immigration or citizenship status, the document says.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • Denmark ถอนข้อเสนอ “Chat Control” หลังเจอกระแสต้านหนักจาก EU และองค์กรสิทธิ

    รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเดนมาร์กประกาศถอนข้อเสนอร่างกฎหมาย “Chat Control” ที่จะบังคับให้แพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความผู้ใช้ แม้เป็นแบบเข้ารหัส (end-to-end) หลังเผชิญเสียงคัดค้านจากเยอรมนีและองค์กรด้านความเป็นส่วนตัว

    สาระสำคัญจากข่าว
    Chat Control คืออะไร? เป็นข้อเสนอของ EU ที่ต้องการให้แพลตฟอร์มสื่อสาร เช่น WhatsApp, Signal, Messenger ตรวจสอบข้อความผู้ใช้เพื่อป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) แม้ข้อความจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end

    เดนมาร์กนำกลับมาเสนออีกครั้งในช่วงดำรงตำแหน่งประธานสภายุโรป แต่หลังจากเยอรมนีประกาศไม่สนับสนุนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ข้อเสนอของเดนมาร์กก็ถูกถอนออกในวันที่ 30 ตุลาคม

    รัฐมนตรี Peter Hummelgaard ระบุว่าเดนมาร์กจะสนับสนุนการตรวจจับ CSAM แบบสมัครใจแทน โดยกล่าวว่า “หมายค้นจะไม่อยู่ในข้อเสนอใหม่ของ EU และจะยังคงเป็นเรื่องสมัครใจสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในการตรวจหาเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก”

    Meredith Whittaker ประธาน Signal Foundation คัดค้านอย่างหนัก เธอระบุว่า “สิ่งที่เสนอคือการสอดแนมแบบมวลชนที่เปิดเผยข้อความส่วนตัวของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นักข่าว หรือผู้เคลื่อนไหว” และขู่ว่า Signal จะถอนตัวจากตลาดยุโรปหากกฎหมายนี้ผ่าน

    การถอนข้อเสนอครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างการปกป้องเด็กกับการรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทิศทางนโยบายดิจิทัลของสหภาพยุโรปในอนาคต

    https://therecord.media/demark-reportedly-withdraws-chat-control-proposal
    🇩🇰 Denmark ถอนข้อเสนอ “Chat Control” หลังเจอกระแสต้านหนักจาก EU และองค์กรสิทธิ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเดนมาร์กประกาศถอนข้อเสนอร่างกฎหมาย “Chat Control” ที่จะบังคับให้แพลตฟอร์มสื่อสารต้องสแกนข้อความผู้ใช้ แม้เป็นแบบเข้ารหัส (end-to-end) หลังเผชิญเสียงคัดค้านจากเยอรมนีและองค์กรด้านความเป็นส่วนตัว 🔍 สาระสำคัญจากข่าว 💠 Chat Control คืออะไร? เป็นข้อเสนอของ EU ที่ต้องการให้แพลตฟอร์มสื่อสาร เช่น WhatsApp, Signal, Messenger ตรวจสอบข้อความผู้ใช้เพื่อป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) แม้ข้อความจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end 💠 เดนมาร์กนำกลับมาเสนออีกครั้งในช่วงดำรงตำแหน่งประธานสภายุโรป แต่หลังจากเยอรมนีประกาศไม่สนับสนุนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ข้อเสนอของเดนมาร์กก็ถูกถอนออกในวันที่ 30 ตุลาคม 💠 รัฐมนตรี Peter Hummelgaard ระบุว่าเดนมาร์กจะสนับสนุนการตรวจจับ CSAM แบบสมัครใจแทน โดยกล่าวว่า “หมายค้นจะไม่อยู่ในข้อเสนอใหม่ของ EU และจะยังคงเป็นเรื่องสมัครใจสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในการตรวจหาเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก” 💠 Meredith Whittaker ประธาน Signal Foundation คัดค้านอย่างหนัก เธอระบุว่า “สิ่งที่เสนอคือการสอดแนมแบบมวลชนที่เปิดเผยข้อความส่วนตัวของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นักข่าว หรือผู้เคลื่อนไหว” และขู่ว่า Signal จะถอนตัวจากตลาดยุโรปหากกฎหมายนี้ผ่าน การถอนข้อเสนอครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างการปกป้องเด็กกับการรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทิศทางนโยบายดิจิทัลของสหภาพยุโรปในอนาคต https://therecord.media/demark-reportedly-withdraws-chat-control-proposal
    THERECORD.MEDIA
    Denmark reportedly withdraws Chat Control proposal following controversy
    Earlier in its European Council presidency, Denmark had brought back a draft law which would have required scanning of electronic messages, sparking an intense backlash.
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • AMD เปิดตัว Sound Wave APU บนสถาปัตยกรรม ARM ผลิตด้วย TSMC 3nm เตรียมลุยตลาดมือถือและ Windows on ARM!

    AMD ก้าวเข้าสู่ตลาด ARM อย่างเป็นทางการด้วย APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 และผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 3nm โดยมีเป้าหมายสำหรับอุปกรณ์พกพา, โน้ตบุ๊ก Windows on ARM และอุปกรณ์ edge AI

    ข้อมูลจาก customs manifest และแหล่งข่าววงในเผยว่า AMD กำลังทดสอบ APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ที่ AMD ใช้มานานหลายทศวรรษ โดยผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 3nm N3B ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน Apple M3 และ Snapdragon X Elite

    จุดเด่นของ Sound Wave APU:
    ใช้ ARM64 architecture: เป็นครั้งแรกที่ AMD พัฒนา APU บน ARM แทน x86
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B: เทคโนโลยีระดับสูงที่ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีเยี่ยม
    รองรับ Windows on ARM: คาดว่าอาจใช้ในโน้ตบุ๊ก ultrathin หรือ Surface รุ่นใหม่
    มี NPU สำหรับ AI: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ เช่น Copilot และ LLM inference
    อาจมี iGPU Radeon รุ่นใหม่: เพื่อรองรับงานกราฟิกและเกมเบื้องต้น

    การเข้าสู่ตลาด ARM ของ AMD ถือเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มที่ Microsoft และ Qualcomm กำลังผลักดัน Windows on ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม ultrabook และอุปกรณ์ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ

    นี่คือก้าวสำคัญของ AMD ที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และหาก Sound Wave APU ทำได้ดี… เราอาจได้เห็น AMD ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในอนาคตก็เป็นได้.

    รายละเอียดของ Sound Wave APU
    ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86
    ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B node
    รองรับ Windows on ARM และ edge AI
    มี NPU สำหรับงาน AI และ inference
    อาจมี iGPU Radeon สำหรับงานกราฟิกเบื้องต้น

    บริบทของตลาด
    Microsoft ผลักดัน Windows on ARM อย่างจริงจัง
    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X Elite สำหรับโน้ตบุ๊ก
    Apple ใช้ ARM มานานแล้วใน Mac และ iPad
    AMD ต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาด ultrathin และ low-power

    คำเตือนจากข่าวนี้
    ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก AMD เกี่ยวกับสเปกเต็มหรือวันเปิดตัว
    การเข้าสู่ตลาด ARM ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem และ driver
    ต้องพิสูจน์ว่า Sound Wave APU จะสู้กับ Apple M3 และ Snapdragon X Elite ได้จริง

    https://www.guru3d.com/story/amd-enters-arm-market-with-sound-wave-apu-built-on-tsmc-3nm-process/
    📱🚀 AMD เปิดตัว Sound Wave APU บนสถาปัตยกรรม ARM ผลิตด้วย TSMC 3nm เตรียมลุยตลาดมือถือและ Windows on ARM! AMD ก้าวเข้าสู่ตลาด ARM อย่างเป็นทางการด้วย APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 และผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 3nm โดยมีเป้าหมายสำหรับอุปกรณ์พกพา, โน้ตบุ๊ก Windows on ARM และอุปกรณ์ edge AI ข้อมูลจาก customs manifest และแหล่งข่าววงในเผยว่า AMD กำลังทดสอบ APU รุ่นใหม่ชื่อ “Sound Wave” ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ที่ AMD ใช้มานานหลายทศวรรษ โดยผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 3nm N3B ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ใช้ใน Apple M3 และ Snapdragon X Elite จุดเด่นของ Sound Wave APU: 🎗️ ใช้ ARM64 architecture: เป็นครั้งแรกที่ AMD พัฒนา APU บน ARM แทน x86 🎗️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B: เทคโนโลยีระดับสูงที่ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีเยี่ยม 🎗️ รองรับ Windows on ARM: คาดว่าอาจใช้ในโน้ตบุ๊ก ultrathin หรือ Surface รุ่นใหม่ 🎗️ มี NPU สำหรับ AI: รองรับฟีเจอร์ AI PC เต็มรูปแบบ เช่น Copilot และ LLM inference 🎗️ อาจมี iGPU Radeon รุ่นใหม่: เพื่อรองรับงานกราฟิกและเกมเบื้องต้น การเข้าสู่ตลาด ARM ของ AMD ถือเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มที่ Microsoft และ Qualcomm กำลังผลักดัน Windows on ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม ultrabook และอุปกรณ์ edge computing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ นี่คือก้าวสำคัญของ AMD ที่อาจเปลี่ยนโฉมตลาดโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์พกพาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และหาก Sound Wave APU ทำได้ดี… เราอาจได้เห็น AMD ในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในอนาคตก็เป็นได้. ✅ รายละเอียดของ Sound Wave APU ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม ARM64 แทน x86 ➡️ ผลิตด้วย TSMC 3nm N3B node ➡️ รองรับ Windows on ARM และ edge AI ➡️ มี NPU สำหรับงาน AI และ inference ➡️ อาจมี iGPU Radeon สำหรับงานกราฟิกเบื้องต้น ✅ บริบทของตลาด ➡️ Microsoft ผลักดัน Windows on ARM อย่างจริงจัง ➡️ Qualcomm เปิดตัว Snapdragon X Elite สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ Apple ใช้ ARM มานานแล้วใน Mac และ iPad ➡️ AMD ต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาด ultrathin และ low-power ‼️ คำเตือนจากข่าวนี้ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลทางการจาก AMD เกี่ยวกับสเปกเต็มหรือวันเปิดตัว ⛔ การเข้าสู่ตลาด ARM ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ecosystem และ driver ⛔ ต้องพิสูจน์ว่า Sound Wave APU จะสู้กับ Apple M3 และ Snapdragon X Elite ได้จริง https://www.guru3d.com/story/amd-enters-arm-market-with-sound-wave-apu-built-on-tsmc-3nm-process/
    WWW.GURU3D.COM
    AMD Could Enter ARM Market with Sound Wave APU Built on TSMC 3nm Process
    AMD is expanding its processor portfolio beyond the x86 architecture with its first ARM-based APU, internally known as “Sound Wave. ” The chip’s existence was uncovered through customs import records, confirming several details about its design and purpose.
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน

    อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม

    Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่

    สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ:
    Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ
    Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง
    Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU
    Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย

    Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น

    จุดเด่นของ E-Series GPU
    ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8
    ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน
    Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน
    รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์
    รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL

    ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ
    ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้
    เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์
    ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination

    เปรียบเทียบกับ NVIDIA
    NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้
    Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน
    GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า

    https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    🚀🧠 Imagination Technologies เปิดตัว E-Series GPU สำหรับ AI ที่อาจเหนือกว่า NVIDIA ด้านความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน อดีตผู้ผลิต GPU ให้ Apple อย่าง Imagination Technologies เผยโฉม E-Series GPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และกราฟิก พร้อมชูจุดเด่นด้านการประมวลผลแบบ tile-based, การใช้พลังงานต่ำ และความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า NVIDIA ในบางแง่มุม Kristof Beets รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Imagination Technologies เปิดเผยว่า E-Series GPU รุ่นใหม่สามารถประมวลผลได้สูงถึง 200 TOPS สำหรับงาน INT8 และ FP8 ซึ่งเหมาะกับทั้ง edge AI และงาน training/inference ขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้ E-Series โดดเด่นคือ: 🎗️ Tile-based compute: คล้ายกับ tile-based rendering ในกราฟิก ทำให้ประหยัดพลังงานและลดการใช้หน่วยความจำ 🎗️ Burst Processor: สถาปัตยกรรมใหม่ที่ลด pipeline จาก 10 ขั้นตอนเหลือ 2 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณแบบต่อเนื่อง 🎗️ Matrix Multiply Acceleration: รองรับการคำนวณแบบ tensor โดยตรงใน GPU 🎗️ Subgroup exchange: ALU สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ในระดับฮาร์ดแวร์ 🎗️ รองรับ Vulkan, OpenCL และ API มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ AI ได้ง่าย Imagination ยังเน้นว่า GPU ของตนสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะเป็นบริษัท IP licensing ไม่ใช่ผู้ผลิตชิปโดยตรง ต่างจาก NVIDIA ที่ขายชิปแบบสำเร็จรูปเท่านั้น ✅ จุดเด่นของ E-Series GPU ➡️ ประมวลผลได้สูงสุด 200 TOPS สำหรับ INT8/FP8 ➡️ ใช้ tile-based compute เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ➡️ Burst Processor ลด pipeline เหลือ 2 ขั้นตอน ➡️ รองรับ matrix multiply และ subgroup exchange ในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับ API มาตรฐาน เช่น Vulkan และ OpenCL ✅ ความยืดหยุ่นด้านการออกแบบ ➡️ ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและฟีเจอร์ของ GPU ได้ ➡️ เหมาะกับตลาด edge AI, ยานยนต์, และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ ไม่จำกัดให้ใช้เฉพาะฮาร์ดแวร์ของ Imagination ✅ เปรียบเทียบกับ NVIDIA ➡️ NVIDIA มี tensor core ที่แรง แต่ปรับแต่งไม่ได้ ➡️ Imagination เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ GPU ของ Imagination อาจเหมาะกับงานเฉพาะทางมากกว่า https://wccftech.com/apples-former-gpu-supplier-imagination-tech-shares-ai-gpu-advantages-over-nvidia/
    WCCFTECH.COM
    Apple's Former GPU Supplier Imagination Tech Shares AI GPU Advantages Over NVIDIA
    As AI GPUs continue to dominate the technology conversation, we decided to sit down with Kristof Beets, Vice President of Product Management at Imagination Technologies. Imagination Technologies is one of the oldest GPU intellectual property firms in the world and has been known for previously supplying Apple GPUs for the iPhone and iPad. With GPUs being quite close to AI processing needs as well, our discussion with Kristof surrounded how Imagination Technologies' products are suitable for AI computing. He also compared them with NVIDIA's GPUs, and the conversation started off with Kristof giving us a presentation of Imagination's latest E-Series […]
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง!

    เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ!

    Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี!

    Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210
    นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP!

    ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น!

    ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ

    ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด!

    สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง!

    Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ!

    ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!

    ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น.
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    🔪🧊 ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง! 👋 เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? 🤦‍♀️ มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ! 🚨 Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี! ✨ Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210 นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP! ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น! 🥶 ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ 📐 ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด! 🛡️ สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง! 🚨 Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ! 🔥 ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ! 🛒 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น. โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379!

    Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379

    Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้

    แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก:
    iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน:
    แบตเตอรี่: $99
    จอแสดงผล: $329
    กล้องหน้า: $199
    ฝาหลัง: $159
    โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236

    iPhone Air:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล: $329
    อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน

    iPhone 17 Pro / Pro Max:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล Pro: $329
    จอแสดงผล Pro Max: $379
    อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air

    ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน

    https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    📱💸 เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379! Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379 Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้ แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก: 📍 iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: 🎗️ แบตเตอรี่: $99 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ กล้องหน้า: $199 🎗️ ฝาหลัง: $159 🎗️ โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236 📍 iPhone Air: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน 📍 iPhone 17 Pro / Pro Max: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล Pro: $329 🎗️ จอแสดงผล Pro Max: $379 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99 แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    WCCFTECH.COM
    Apple iPhone Air Battery Replacement Will Cost You $119, iPhone 17 Pro Max Display Will Set You Back By $379
    After releasing a self-repair manual for each of its iPhone 17 models, Apple has now made available the spare parts for the new lineup
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ

    ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ

    Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง

    ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น

    นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น

    ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ

    แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย
    รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram
    ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง
    อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้

    ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025
    จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี
    ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม

    ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล
    ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน
    มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี

    กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์
    มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
    กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด

    ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า
    การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    👮‍♀️ Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ ✅ แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย ➡️ รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ➡️ ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง ➡️ อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ ✅ ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025 ➡️ จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี ➡️ ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม ✅ ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล ➡️ ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน ➡️ มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี ‼️ กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์ ⛔ มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ ⛔ กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า ⛔ การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hong Kong’s Scameter app gets upgrade, AI tools to tackle social media scams
    Online employment and investment scams are on the rise, despite police recording a marginal increase in swindling cases.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • MOVEit โดนอีกแล้ว! ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ในโมดูล AS2 เสี่ยงทำระบบล่ม — Progress เร่งออกแพตช์อุดช่องโหว่

    Progress Software ออกแพตช์ด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน MOVEit Transfer ที่อาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS ผ่านโมดูล AS2 ซึ่งเป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัยในองค์กร

    MOVEit Transfer คือระบบจัดการไฟล์ที่องค์กรทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือคู่ค้า ล่าสุดพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-10932 ซึ่งเป็นช่องโหว่ “Uncontrolled Resource Consumption” หรือการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำกัด

    ช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล AS2 (Applicability Statement 2) ซึ่งใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบเข้ารหัสและลงลายเซ็นดิจิทัล หากถูกโจมตีด้วยคำขอ AS2 ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเจาะจง อาจทำให้ระบบล่มหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างรุนแรง

    Progress ได้ออกแพตช์สำหรับ MOVEit Transfer ทุกเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มฟีเจอร์ whitelist IP เพื่อจำกัดการเข้าถึงโมดูล AS2 โดยเฉพาะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ AS2 แนะนำให้ลบไฟล์ endpoint ที่เกี่ยวข้องออกชั่วคราวเพื่อปิดช่องทางโจมตี

    ช่องโหว่นี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่เนื่องจาก MOVEit เคยถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีในกรณี Clop ransomware มาก่อน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง

    ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ใน MOVEit Transfer
    เป็นช่องโหว่ Uncontrolled Resource Consumption
    อยู่ในโมดูล AS2 ที่ใช้แลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ DoS หากถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    2025.0.0 ก่อน 2025.0.3
    2024.1.0 ก่อน 2024.1.7
    2023.1.0 ก่อน 2023.1.16

    วิธีแก้ไขและป้องกัน
    อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ล่าสุด
    เพิ่ม whitelist IP สำหรับโมดูล AS2
    สำหรับผู้ไม่ใช้ AS2 ให้ลบไฟล์ AS2Rec2.ashx และ AS2Receiver.aspx ชั่วคราว

    https://securityonline.info/progress-patches-high-severity-vulnerability-in-moveit-transfer-as2-module-cve-2025-10932/
    🛡️ MOVEit โดนอีกแล้ว! ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ในโมดูล AS2 เสี่ยงทำระบบล่ม — Progress เร่งออกแพตช์อุดช่องโหว่ Progress Software ออกแพตช์ด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน MOVEit Transfer ที่อาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS ผ่านโมดูล AS2 ซึ่งเป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัยในองค์กร MOVEit Transfer คือระบบจัดการไฟล์ที่องค์กรทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือคู่ค้า ล่าสุดพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-10932 ซึ่งเป็นช่องโหว่ “Uncontrolled Resource Consumption” หรือการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำกัด ช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล AS2 (Applicability Statement 2) ซึ่งใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบเข้ารหัสและลงลายเซ็นดิจิทัล หากถูกโจมตีด้วยคำขอ AS2 ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเจาะจง อาจทำให้ระบบล่มหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างรุนแรง Progress ได้ออกแพตช์สำหรับ MOVEit Transfer ทุกเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มฟีเจอร์ whitelist IP เพื่อจำกัดการเข้าถึงโมดูล AS2 โดยเฉพาะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ AS2 แนะนำให้ลบไฟล์ endpoint ที่เกี่ยวข้องออกชั่วคราวเพื่อปิดช่องทางโจมตี ช่องโหว่นี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่เนื่องจาก MOVEit เคยถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีในกรณี Clop ransomware มาก่อน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ใน MOVEit Transfer ➡️ เป็นช่องโหว่ Uncontrolled Resource Consumption ➡️ อยู่ในโมดูล AS2 ที่ใช้แลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัย ➡️ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ DoS หากถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ 2025.0.0 ก่อน 2025.0.3 ➡️ 2024.1.0 ก่อน 2024.1.7 ➡️ 2023.1.0 ก่อน 2023.1.16 ✅ วิธีแก้ไขและป้องกัน ➡️ อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ล่าสุด ➡️ เพิ่ม whitelist IP สำหรับโมดูล AS2 ➡️ สำหรับผู้ไม่ใช้ AS2 ให้ลบไฟล์ AS2Rec2.ashx และ AS2Receiver.aspx ชั่วคราว https://securityonline.info/progress-patches-high-severity-vulnerability-in-moveit-transfer-as2-module-cve-2025-10932/
    SECURITYONLINE.INFO
    Progress Patches High-Severity Vulnerability in MOVEit Transfer AS2 Module (CVE-2025-10932)
    Progress patched a High-severity DoS flaw (CVE-2025-10932) in MOVEit Transfer’s AS2 module. The vulnerability allows unauthenticated attackers to exhaust server resources. Patch to v2025.0.3 immediately.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • Netflix ปรับเกม! ทดลองวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ หวังครองใจผู้ใช้มือถือ

    Netflix กำลังทดลองฟอร์แมตใหม่อย่างวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ เพื่อขยายประสบการณ์ความบันเทิงบนมือถือ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูคอนเทนต์สั้นและฟังเสียงระหว่างเดินทาง

    Netflix ไม่หยุดแค่ซีรีส์หรือหนังอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทกำลังทดลอง “วิดีโอแนวตั้ง” และ “พอดแคสต์” บนแอปมือถือ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ที่นิยมคอนเทนต์สั้น ดูง่าย ฟังสะดวก และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา

    วิดีโอแนวตั้งที่ Netflix กำลังทดลองมีลักษณะคล้ายกับ TikTok หรือ Instagram Reels โดยเน้นคลิปสั้นที่ดูได้ในแนวตั้งเต็มจอ ไม่ต้องหมุนมือถือ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “เสพความบันเทิงแบบเร็วๆ” ระหว่างพักเบรกหรือเดินทาง

    ในขณะเดียวกัน Netflix ยังเริ่มทดลอง “พอดแคสต์” ซึ่งเป็นทั้งเสียงจากรายการที่มีอยู่แล้ว และเนื้อหาพิเศษที่ผลิตขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, บทสัมภาษณ์นักแสดง หรือการเล่าเรื่องในรูปแบบเสียงล้วน

    การทดลองนี้ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในบางประเทศได้ลองใช้ก่อน หากผลตอบรับดี Netflix อาจเปิดให้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    วิดีโอแนวตั้งกลายเป็นเทรนด์หลักของคอนเทนต์มือถือ โดย TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
    พอดแคสต์เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดย Spotify และ Apple Podcasts ครองส่วนแบ่งหลัก
    การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Netflix สร้าง “ecosystem” ความบันเทิงที่ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง และเกม

    Netflix กำลังพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ “การดู” อีกต่อไป — แต่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งภาพและเสียง!

    Netflix ทดลองวิดีโอแนวตั้ง
    คลิปสั้นแบบเต็มจอในแนวตั้ง
    คล้าย TikTok, Reels, Shorts
    เหมาะกับการดูบนมือถือระหว่างเดินทาง

    ทดลองฟีเจอร์พอดแคสต์
    มีทั้งเสียงจากรายการเดิมและเนื้อหาใหม่
    เช่น เบื้องหลังซีรีส์, สัมภาษณ์, เรื่องเล่า
    ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชอบฟังระหว่างทำกิจกรรม

    กลยุทธ์ของ Netflix
    ขยายรูปแบบความบันเทิงให้หลากหลาย
    เจาะกลุ่มผู้ใช้มือถือที่ชอบคอนเทนต์สั้น
    แข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Spotify

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ
    อาจยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์หรือบัญชีผู้ใช้
    ความหลากหลายของคอนเทนต์อาจยังจำกัดในช่วงแรก

    https://securityonline.info/netflix-experiments-with-vertical-video-and-podcasts-redefining-mobile-entertainment/
    📱 Netflix ปรับเกม! ทดลองวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ หวังครองใจผู้ใช้มือถือ Netflix กำลังทดลองฟอร์แมตใหม่อย่างวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ เพื่อขยายประสบการณ์ความบันเทิงบนมือถือ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูคอนเทนต์สั้นและฟังเสียงระหว่างเดินทาง Netflix ไม่หยุดแค่ซีรีส์หรือหนังอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทกำลังทดลอง “วิดีโอแนวตั้ง” และ “พอดแคสต์” บนแอปมือถือ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ที่นิยมคอนเทนต์สั้น ดูง่าย ฟังสะดวก และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา วิดีโอแนวตั้งที่ Netflix กำลังทดลองมีลักษณะคล้ายกับ TikTok หรือ Instagram Reels โดยเน้นคลิปสั้นที่ดูได้ในแนวตั้งเต็มจอ ไม่ต้องหมุนมือถือ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “เสพความบันเทิงแบบเร็วๆ” ระหว่างพักเบรกหรือเดินทาง ในขณะเดียวกัน Netflix ยังเริ่มทดลอง “พอดแคสต์” ซึ่งเป็นทั้งเสียงจากรายการที่มีอยู่แล้ว และเนื้อหาพิเศษที่ผลิตขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, บทสัมภาษณ์นักแสดง หรือการเล่าเรื่องในรูปแบบเสียงล้วน การทดลองนี้ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในบางประเทศได้ลองใช้ก่อน หากผลตอบรับดี Netflix อาจเปิดให้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 วิดีโอแนวตั้งกลายเป็นเทรนด์หลักของคอนเทนต์มือถือ โดย TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน 💠 พอดแคสต์เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดย Spotify และ Apple Podcasts ครองส่วนแบ่งหลัก 💠 การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Netflix สร้าง “ecosystem” ความบันเทิงที่ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง และเกม Netflix กำลังพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ “การดู” อีกต่อไป — แต่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งภาพและเสียง! ✅ Netflix ทดลองวิดีโอแนวตั้ง ➡️ คลิปสั้นแบบเต็มจอในแนวตั้ง ➡️ คล้าย TikTok, Reels, Shorts ➡️ เหมาะกับการดูบนมือถือระหว่างเดินทาง ✅ ทดลองฟีเจอร์พอดแคสต์ ➡️ มีทั้งเสียงจากรายการเดิมและเนื้อหาใหม่ ➡️ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, สัมภาษณ์, เรื่องเล่า ➡️ ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชอบฟังระหว่างทำกิจกรรม ✅ กลยุทธ์ของ Netflix ➡️ ขยายรูปแบบความบันเทิงให้หลากหลาย ➡️ เจาะกลุ่มผู้ใช้มือถือที่ชอบคอนเทนต์สั้น ➡️ แข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Spotify ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ ⛔ อาจยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์หรือบัญชีผู้ใช้ ⛔ ความหลากหลายของคอนเทนต์อาจยังจำกัดในช่วงแรก https://securityonline.info/netflix-experiments-with-vertical-video-and-podcasts-redefining-mobile-entertainment/
    SECURITYONLINE.INFO
    Netflix Experiments with Vertical Video and Podcasts, Redefining Mobile Entertainment
    Netflix explores vertical video and podcast integration, signaling a new era of mobile entertainment without mimicking TikTok’s model.
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
More Results