• กรมเจรจาการค้าฯ ยัน เดินหน้าเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ ชี้ "การค้า" กับ "ความมั่นคง" ต้องแยกจากกัน
    https://www.thai-tai.tv/news/22418/
    .
    #ไทยไท #เจรจาการค้า #USTR #FTA #แยกการค้าความมั่นคง #กระทรวงพาณิชย์


    กรมเจรจาการค้าฯ ยัน เดินหน้าเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ ชี้ "การค้า" กับ "ความมั่นคง" ต้องแยกจากกัน https://www.thai-tai.tv/news/22418/ . #ไทยไท #เจรจาการค้า #USTR #FTA #แยกการค้าความมั่นคง #กระทรวงพาณิชย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows เจอแรงต้านแนวคิด Agentic OS

    เมื่อต้นเดือน Microsoft เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ของ Windows ในฐานะ “Agentic OS” ที่สามารถดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ แต่แนวคิดนี้กลับสร้างกระแสต่อต้านทันที ผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทไม่แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม เช่น ความเร็วที่ลดลง การออกแบบที่กระจัดกระจาย และการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้พัฒนา

    คำตอบจากผู้บริหาร Windows
    Pavan Davuluri ตอบกลับผ่านโพสต์บน X โดยยอมรับว่ามี “ความคิดเห็นจำนวนมาก” และทีมงานกำลังรับฟังทั้งจากระบบ Feedback และจากผู้ใช้โดยตรง เขาเน้นว่าบริษัท “ใส่ใจนักพัฒนา” และกำลังหารือเรื่องความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งาน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับปรุงเมื่อใด

    เสียงวิจารณ์จากชุมชน
    แม้คำตอบจะมีน้ำเสียงประนีประนอม แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา System Bloat, Hardware Lock-in และการผนวก Copilot เข้ามาโดยไม่แก้ไขปัญหาการออกแบบเดิม ความไม่ชัดเจนใน Roadmap ของ Agentic OS ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนารู้สึกว่าบริษัทไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกังวลจริงๆ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ช่องว่างระหว่าง “ข้อความสื่อสาร” และ “การลงมือแก้ไขจริง” ยังคงชัดเจน ผู้ใช้ทั่วไปและ Power User ต่างรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แต่จนถึงตอนนี้ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศแผนงานที่ชัดเจนว่าจะปรับปรุง Windows อย่างไรในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Agentic OS ของ Microsoft
    ระบบที่ทำงานแทนผู้ใช้อัตโนมัติ
    ถูกวิจารณ์ว่าละเลยปัญหาพื้นฐาน

    คำตอบจาก Pavan Davuluri
    ยอมรับว่ามี Feedback จำนวนมาก
    เน้นว่าบริษัทใส่ใจนักพัฒนา แต่ไม่ให้รายละเอียด

    ประเด็นที่ผู้ใช้กังวล
    System Bloat และ Hardware Lock-in
    Copilot ถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่แก้ปัญหา UX

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำยังคงอยู่
    ไม่มี Roadmap ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด การตอบกลับที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อมั่น หาก Microsoft ไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน อาจกระทบต่อการเลือกใช้ Windows ของนักพัฒนา ความไม่โปร่งใสใน Roadmap อาจทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-boss-posts-lacklustre-response-to-agentic-os-backlash
    📰 Windows เจอแรงต้านแนวคิด Agentic OS เมื่อต้นเดือน Microsoft เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ของ Windows ในฐานะ “Agentic OS” ที่สามารถดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ แต่แนวคิดนี้กลับสร้างกระแสต่อต้านทันที ผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทไม่แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม เช่น ความเร็วที่ลดลง การออกแบบที่กระจัดกระจาย และการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้พัฒนา 💬 คำตอบจากผู้บริหาร Windows Pavan Davuluri ตอบกลับผ่านโพสต์บน X โดยยอมรับว่ามี “ความคิดเห็นจำนวนมาก” และทีมงานกำลังรับฟังทั้งจากระบบ Feedback และจากผู้ใช้โดยตรง เขาเน้นว่าบริษัท “ใส่ใจนักพัฒนา” และกำลังหารือเรื่องความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งาน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับปรุงเมื่อใด ⚠️ เสียงวิจารณ์จากชุมชน แม้คำตอบจะมีน้ำเสียงประนีประนอม แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา System Bloat, Hardware Lock-in และการผนวก Copilot เข้ามาโดยไม่แก้ไขปัญหาการออกแบบเดิม ความไม่ชัดเจนใน Roadmap ของ Agentic OS ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนารู้สึกว่าบริษัทไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกังวลจริงๆ 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ช่องว่างระหว่าง “ข้อความสื่อสาร” และ “การลงมือแก้ไขจริง” ยังคงชัดเจน ผู้ใช้ทั่วไปและ Power User ต่างรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แต่จนถึงตอนนี้ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศแผนงานที่ชัดเจนว่าจะปรับปรุง Windows อย่างไรในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Agentic OS ของ Microsoft ➡️ ระบบที่ทำงานแทนผู้ใช้อัตโนมัติ ➡️ ถูกวิจารณ์ว่าละเลยปัญหาพื้นฐาน ✅ คำตอบจาก Pavan Davuluri ➡️ ยอมรับว่ามี Feedback จำนวนมาก ➡️ เน้นว่าบริษัทใส่ใจนักพัฒนา แต่ไม่ให้รายละเอียด ✅ ประเด็นที่ผู้ใช้กังวล ➡️ System Bloat และ Hardware Lock-in ➡️ Copilot ถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่แก้ปัญหา UX ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ➡️ ช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำยังคงอยู่ ➡️ ไม่มี Roadmap ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การตอบกลับที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อมั่น ⛔ หาก Microsoft ไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน อาจกระทบต่อการเลือกใช้ Windows ของนักพัฒนา ⛔ ความไม่โปร่งใสใน Roadmap อาจทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-boss-posts-lacklustre-response-to-agentic-os-backlash
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ศาลสหรัฐฯ ตัดสินโทษ 5 คน ช่วยแรงงานไอทีเกาหลีเหนือปลอมตัวเป็นชาวอเมริกัน”

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนมีบทบาทสำคัญในการจัดหาตัวตนปลอมให้แรงงานไอทีชาวเกาหลีเหนือ โดยใช้ ข้อมูลบัตรประชาชนจริงหรือขโมยมา เพื่อให้แรงงานเหล่านี้สามารถสมัครงานในบริษัทสหรัฐฯ ได้ พวกเขายังช่วย โฮสต์แล็ปท็อปที่บริษัทออกให้ ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ และใช้ Remote Desktop Software เพื่อสร้างภาพลวงตาว่าพนักงานทำงานอยู่ในประเทศ

    การกระทำเหล่านี้ทำให้เกาหลีเหนือได้รับรายได้กว่า 3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกนำไปใช้สนับสนุนโครงการอาวุธและกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ โดย FBI ย้ำว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลเปียงยางในการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรและหาเงินทุนจากแรงงานไอที

    วิธีการที่ใช้ในการหลอกลวง
    ใช้ ตัวตนปลอม ของพลเมืองสหรัฐฯ เพื่อสมัครงาน
    โฮสต์ อุปกรณ์ที่บริษัทออกให้ ในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหลอกว่าแรงงานอยู่ในประเทศ
    ใช้ Remote Desktop เพื่อทำงานจากต่างประเทศโดยไม่ถูกตรวจจับ
    ผู้ต้องหาบางรายได้รับค่าตอบแทนตั้งแต่ 3,000 ถึง 90,000 ดอลลาร์ สำหรับการช่วยเหลือ

    สรุปสาระสำคัญ
    การตัดสินโทษ
    มีผู้ต้องหา 5 คน (4 สหรัฐฯ, 1 ยูเครน) ถูกตัดสินโทษ
    ช่วยแรงงานไอทีเกาหลีเหนือปลอมตัวเป็นชาวอเมริกัน
    บริษัทสหรัฐฯ กว่า 240 แห่งตกเป็นเหยื่อ

    ผลกระทบ
    เกาหลีเหนือได้รับรายได้กว่า 3 ล้านดอลลาร์
    รายได้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธและกิจกรรมผิดกฎหมาย

    คำเตือน
    บริษัทสหรัฐฯ ต้องระวังการจ้างงานระยะไกลที่ใช้ตัวตนปลอม
    การตรวจสอบเอกสารและ IP Address เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
    ผู้ที่ช่วยเหลือแรงงานเกาหลีเหนืออาจถูกดำเนินคดีร้ายแรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/five-convicted-for-helping-north-korean-it-workers-pose-as-americans-and-secure-jobs-at-u-s-firms-over-240-companies-were-victimized-by-the-scam
    🕵️ “ศาลสหรัฐฯ ตัดสินโทษ 5 คน ช่วยแรงงานไอทีเกาหลีเหนือปลอมตัวเป็นชาวอเมริกัน” กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คนมีบทบาทสำคัญในการจัดหาตัวตนปลอมให้แรงงานไอทีชาวเกาหลีเหนือ โดยใช้ ข้อมูลบัตรประชาชนจริงหรือขโมยมา เพื่อให้แรงงานเหล่านี้สามารถสมัครงานในบริษัทสหรัฐฯ ได้ พวกเขายังช่วย โฮสต์แล็ปท็อปที่บริษัทออกให้ ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ และใช้ Remote Desktop Software เพื่อสร้างภาพลวงตาว่าพนักงานทำงานอยู่ในประเทศ การกระทำเหล่านี้ทำให้เกาหลีเหนือได้รับรายได้กว่า 3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกนำไปใช้สนับสนุนโครงการอาวุธและกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ โดย FBI ย้ำว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลเปียงยางในการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรและหาเงินทุนจากแรงงานไอที 💻 วิธีการที่ใช้ในการหลอกลวง 🔰 ใช้ ตัวตนปลอม ของพลเมืองสหรัฐฯ เพื่อสมัครงาน 🔰 โฮสต์ อุปกรณ์ที่บริษัทออกให้ ในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหลอกว่าแรงงานอยู่ในประเทศ 🔰 ใช้ Remote Desktop เพื่อทำงานจากต่างประเทศโดยไม่ถูกตรวจจับ 🔰 ผู้ต้องหาบางรายได้รับค่าตอบแทนตั้งแต่ 3,000 ถึง 90,000 ดอลลาร์ สำหรับการช่วยเหลือ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การตัดสินโทษ ➡️ มีผู้ต้องหา 5 คน (4 สหรัฐฯ, 1 ยูเครน) ถูกตัดสินโทษ ➡️ ช่วยแรงงานไอทีเกาหลีเหนือปลอมตัวเป็นชาวอเมริกัน ➡️ บริษัทสหรัฐฯ กว่า 240 แห่งตกเป็นเหยื่อ ✅ ผลกระทบ ➡️ เกาหลีเหนือได้รับรายได้กว่า 3 ล้านดอลลาร์ ➡️ รายได้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธและกิจกรรมผิดกฎหมาย ‼️ คำเตือน ⛔ บริษัทสหรัฐฯ ต้องระวังการจ้างงานระยะไกลที่ใช้ตัวตนปลอม ⛔ การตรวจสอบเอกสารและ IP Address เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ⛔ ผู้ที่ช่วยเหลือแรงงานเกาหลีเหนืออาจถูกดำเนินคดีร้ายแรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/five-convicted-for-helping-north-korean-it-workers-pose-as-americans-and-secure-jobs-at-u-s-firms-over-240-companies-were-victimized-by-the-scam
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bitfarm เลิกเหมือง Bitcoin หันสู่ AI เต็มตัวภายในปี 2027”

    Bitfarm ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเหมือง Bitcoin รายใหญ่ของโลก เผชิญปัญหาขาดทุนหนักในไตรมาส 3/2025 โดยรายงานตัวเลขขาดทุนสุทธิถึง 46 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 91% จากปีก่อน แม้ราคา Bitcoin จะพุ่งสูงสุดในเดือนตุลาคม แต่ความผันผวนทำให้บริษัทไม่สามารถพึ่งพาได้อย่างมั่นคง อีกทั้งเครื่องขุดรุ่นใหม่ T21 rigs ก็ทำงานได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ต้องลดเป้าหมาย Hashrate ลงถึง 14%

    เพื่อแก้ปัญหา Bitfarm จึงประกาศ Pivot ธุรกิจจาก Crypto Mining ไปสู่ AI Data Center โดยจะใช้กำลังไฟฟ้า 341 เมกะวัตต์ที่มีอยู่ในการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB300 NVL72 พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ทันสมัย บริษัทเชื่อว่าการให้บริการ GPU-as-a-Service จะสร้างรายได้มากกว่าการขุด Bitcoin ที่ผ่านมา

    นอกจากศูนย์ข้อมูลในรัฐวอชิงตันแล้ว Bitfarm ยังลงทุนเพิ่มใน Panther Creek, Pennsylvania ด้วยเงินทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังไฟฟ้าอย่างน้อย 350 เมกะวัตต์ รวมกับโครงการอื่น ๆ ทำให้บริษัทมีพลังงานใน Pipeline กว่า 1.3 กิกะวัตต์ ซึ่งอาจทำให้ Bitfarm กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด AI Data Center

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ การลงทุนหลายร้อยล้านถึงพันล้านดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนธุรกิจทั้งหมด อาจทำให้บริษัทเสี่ยงต่อการล้มละลายหากตลาด AI เกิดการชะลอตัวหรือแตกฟองสบู่

    สรุปสาระสำคัญ
    สถานการณ์ทางการเงินของ Bitfarm
    ขาดทุนสุทธิ 46 ล้านดอลลาร์ใน Q3/2025
    เครื่องขุด T21 ทำงานต่ำกว่าคาดการณ์ ลด Hashrate ลง 14%

    กลยุทธ์ Pivot สู่ AI
    จะเลิกทำเหมือง Bitcoin ภายในปี 2027
    ใช้กำลังไฟฟ้า 341 MW ติดตั้ง Nvidia GB300 NVL72
    ลงทุนเพิ่มในศูนย์ข้อมูล Pennsylvania 350 MW รวม Pipeline 1.3 GW

    คำเตือนและความเสี่ยง
    อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่
    การลงทุนมหาศาลอาจทำให้บริษัทเสี่ยงล้มละลายหากตลาด AI ชะลอตัว
    การละทิ้งธุรกิจ Bitcoin อาจทำให้สูญเสียฐานรายได้เดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/major-bitcoin-mining-firm-pivoting-to-ai-plans-to-fully-abandon-crypto-mining-by-2027-bitfarm-to-leverage-341-megawatt-capacity-for-ai-following-usd46-million-q3-loss
    🪙➡️⚡ “Bitfarm เลิกเหมือง Bitcoin หันสู่ AI เต็มตัวภายในปี 2027” Bitfarm ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเหมือง Bitcoin รายใหญ่ของโลก เผชิญปัญหาขาดทุนหนักในไตรมาส 3/2025 โดยรายงานตัวเลขขาดทุนสุทธิถึง 46 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 91% จากปีก่อน แม้ราคา Bitcoin จะพุ่งสูงสุดในเดือนตุลาคม แต่ความผันผวนทำให้บริษัทไม่สามารถพึ่งพาได้อย่างมั่นคง อีกทั้งเครื่องขุดรุ่นใหม่ T21 rigs ก็ทำงานได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ต้องลดเป้าหมาย Hashrate ลงถึง 14% เพื่อแก้ปัญหา Bitfarm จึงประกาศ Pivot ธุรกิจจาก Crypto Mining ไปสู่ AI Data Center โดยจะใช้กำลังไฟฟ้า 341 เมกะวัตต์ที่มีอยู่ในการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB300 NVL72 พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ทันสมัย บริษัทเชื่อว่าการให้บริการ GPU-as-a-Service จะสร้างรายได้มากกว่าการขุด Bitcoin ที่ผ่านมา นอกจากศูนย์ข้อมูลในรัฐวอชิงตันแล้ว Bitfarm ยังลงทุนเพิ่มใน Panther Creek, Pennsylvania ด้วยเงินทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังไฟฟ้าอย่างน้อย 350 เมกะวัตต์ รวมกับโครงการอื่น ๆ ทำให้บริษัทมีพลังงานใน Pipeline กว่า 1.3 กิกะวัตต์ ซึ่งอาจทำให้ Bitfarm กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด AI Data Center อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ การลงทุนหลายร้อยล้านถึงพันล้านดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนธุรกิจทั้งหมด อาจทำให้บริษัทเสี่ยงต่อการล้มละลายหากตลาด AI เกิดการชะลอตัวหรือแตกฟองสบู่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สถานการณ์ทางการเงินของ Bitfarm ➡️ ขาดทุนสุทธิ 46 ล้านดอลลาร์ใน Q3/2025 ➡️ เครื่องขุด T21 ทำงานต่ำกว่าคาดการณ์ ลด Hashrate ลง 14% ✅ กลยุทธ์ Pivot สู่ AI ➡️ จะเลิกทำเหมือง Bitcoin ภายในปี 2027 ➡️ ใช้กำลังไฟฟ้า 341 MW ติดตั้ง Nvidia GB300 NVL72 ➡️ ลงทุนเพิ่มในศูนย์ข้อมูล Pennsylvania 350 MW รวม Pipeline 1.3 GW ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ ⛔ การลงทุนมหาศาลอาจทำให้บริษัทเสี่ยงล้มละลายหากตลาด AI ชะลอตัว ⛔ การละทิ้งธุรกิจ Bitcoin อาจทำให้สูญเสียฐานรายได้เดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/major-bitcoin-mining-firm-pivoting-to-ai-plans-to-fully-abandon-crypto-mining-by-2027-bitfarm-to-leverage-341-megawatt-capacity-for-ai-following-usd46-million-q3-loss
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • “การ์ดจอ 3dfx Voodoo 2 เสี่ยงเสียหายจาก Pyroelectric Capacitors – ควรรีบทำ Preventive Maintenance”

    การ์ดจอ 3dfx Voodoo 2 ถือเป็นหนึ่งในฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังที่สุดในยุคปลาย 90s และยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักสะสมและผู้สร้างเครื่อง Retro PC แต่ล่าสุดช่อง YouTube Bits und Bolts พบว่า คาปาซิเตอร์ในวงจรพลังงานของ Voodoo 2 กำลังเสื่อมสภาพจากปรากฏการณ์ pyroelectric effect ซึ่งทำให้ค่าทางไฟฟ้าเปลี่ยนไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นหรือลดลง

    ผลคือการ์ดจะเริ่มมีอาการ ภาพผิดเพี้ยน (graphical corruption) หลังใช้งานไปสักระยะ และยิ่งตรวจสอบพบว่าคาปาซิเตอร์บางตัวร้อนผิดปกติเมื่อใช้กล้องตรวจจับความร้อน การเปลี่ยนคาปาซิเตอร์เหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ก็เป็นสัญญาณว่า ทุกการ์ด Voodoo 2 มีแนวโน้มจะเสียหายเมื่อเวลาผ่านไป

    นักรีโทรคอมพิวติ้งจึงแนะนำว่า หากคุณเป็นเจ้าของ Voodoo 2 ควรทำ Preventive Maintenance โดยการเปลี่ยนคาปาซิเตอร์ในวงจรพลังงานทั้งหมดตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาในการตรวจสอบทีละตัว และเพื่อยืดอายุการใช้งานของการ์ด

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาที่พบใน Voodoo 2
    คาปาซิเตอร์เสื่อมสภาพจาก pyroelectric effect
    ทำให้เกิดอาการภาพผิดเพี้ยนและการ์ดทำงานไม่เสถียร
    ทุกการ์ดมีแนวโน้มจะเสียหายเมื่อเวลาผ่านไป

    การตรวจสอบและแก้ไข
    ใช้กล้องตรวจจับความร้อนเพื่อหาคาปาซิเตอร์ที่ผิดปกติ
    เปลี่ยนคาปาซิเตอร์ที่ร้อนหรือเสื่อมสภาพ
    แนะนำให้เปลี่ยนทั้งหมดเพื่อป้องกันล่วงหน้า

    คำเตือนสำหรับนักสะสม
    หากไม่ทำ Preventive Maintenance การ์ดอาจเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้
    การซ่อมแซมทีหลังอาจใช้เวลามากและเสี่ยงต่อการสูญเสียชิ้นส่วนหายาก
    ปัญหานี้ไม่ใช่ “ถ้าเกิด” แต่เป็น “เมื่อเกิด”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/vintage-3dfx-voodoo-2-cards-may-inevitably-fail-due-to-pyroelectric-capacitors-retrocomputing-channel-investigates-and-recommends-preventive-maintenance
    🖥️ “การ์ดจอ 3dfx Voodoo 2 เสี่ยงเสียหายจาก Pyroelectric Capacitors – ควรรีบทำ Preventive Maintenance” การ์ดจอ 3dfx Voodoo 2 ถือเป็นหนึ่งในฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังที่สุดในยุคปลาย 90s และยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักสะสมและผู้สร้างเครื่อง Retro PC แต่ล่าสุดช่อง YouTube Bits und Bolts พบว่า คาปาซิเตอร์ในวงจรพลังงานของ Voodoo 2 กำลังเสื่อมสภาพจากปรากฏการณ์ pyroelectric effect ซึ่งทำให้ค่าทางไฟฟ้าเปลี่ยนไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นหรือลดลง ผลคือการ์ดจะเริ่มมีอาการ ภาพผิดเพี้ยน (graphical corruption) หลังใช้งานไปสักระยะ และยิ่งตรวจสอบพบว่าคาปาซิเตอร์บางตัวร้อนผิดปกติเมื่อใช้กล้องตรวจจับความร้อน การเปลี่ยนคาปาซิเตอร์เหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ก็เป็นสัญญาณว่า ทุกการ์ด Voodoo 2 มีแนวโน้มจะเสียหายเมื่อเวลาผ่านไป นักรีโทรคอมพิวติ้งจึงแนะนำว่า หากคุณเป็นเจ้าของ Voodoo 2 ควรทำ Preventive Maintenance โดยการเปลี่ยนคาปาซิเตอร์ในวงจรพลังงานทั้งหมดตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาในการตรวจสอบทีละตัว และเพื่อยืดอายุการใช้งานของการ์ด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาที่พบใน Voodoo 2 ➡️ คาปาซิเตอร์เสื่อมสภาพจาก pyroelectric effect ➡️ ทำให้เกิดอาการภาพผิดเพี้ยนและการ์ดทำงานไม่เสถียร ➡️ ทุกการ์ดมีแนวโน้มจะเสียหายเมื่อเวลาผ่านไป ✅ การตรวจสอบและแก้ไข ➡️ ใช้กล้องตรวจจับความร้อนเพื่อหาคาปาซิเตอร์ที่ผิดปกติ ➡️ เปลี่ยนคาปาซิเตอร์ที่ร้อนหรือเสื่อมสภาพ ➡️ แนะนำให้เปลี่ยนทั้งหมดเพื่อป้องกันล่วงหน้า ‼️ คำเตือนสำหรับนักสะสม ⛔ หากไม่ทำ Preventive Maintenance การ์ดอาจเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ ⛔ การซ่อมแซมทีหลังอาจใช้เวลามากและเสี่ยงต่อการสูญเสียชิ้นส่วนหายาก ⛔ ปัญหานี้ไม่ใช่ “ถ้าเกิด” แต่เป็น “เมื่อเกิด” https://www.tomshardware.com/tech-industry/vintage-3dfx-voodoo-2-cards-may-inevitably-fail-due-to-pyroelectric-capacitors-retrocomputing-channel-investigates-and-recommends-preventive-maintenance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm เปิดตัว Dragonwing IQ-X: พลัง AI 45 TOPS สำหรับโรงงานอัจฉริยะ

    Qualcomm ประกาศเปิดตัวซีรีส์ Dragonwing IQ-X ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อ Industrial PCs (IPCs) และระบบควบคุมในโรงงาน โดยใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งการทำงานแบบ Single-thread และ Multi-thread จุดเด่นคือการรวม Neural Processing Unit (NPU) ที่สามารถประมวลผล AI ได้สูงสุดถึง 45 TOPS ทำให้สามารถรันงาน AI ได้โดยตรงบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    ซีรีส์นี้ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm และมีคอร์ประสิทธิภาพสูง 8–12 คอร์ รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่รุนแรง โดยสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C นอกจากนี้ยังรองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC และเครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น Qt, CODESYS และ EtherCAT

    Qualcomm เน้นว่าการออกแบบ Dragonwing IQ-X ใช้ COM form factor ทำให้สามารถนำไปใช้แทนบอร์ดเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มโมดูล AI หรือมัลติมีเดียภายนอก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับใช้ในระบบอุตสาหกรรม

    ผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย เช่น Advantech, NEXCOM, Portwell, Congatec, Kontron, Tria และ SECO ได้เริ่มนำ Dragonwing IQ-X ไปใช้ในผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าอุปกรณ์เชิงพาณิชย์ที่ใช้ซีรีส์นี้จะเริ่มวางจำหน่ายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Dragonwing IQ-X เปิดตัวเพื่อ Industrial PCs
    ใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU พร้อม NPU 45 TOPS
    รองรับงาน AI เช่น Predictive Maintenance และ Defect Detection

    คุณสมบัติทางเทคนิค
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm
    มีคอร์ 8–12 คอร์ และรองรับอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C

    การรองรับซอฟต์แวร์
    รองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC
    ใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น Qt, CODESYS, EtherCAT

    การนำไปใช้จริง
    ใช้ COM form factor ลดต้นทุน BOM
    ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายเริ่มนำไปใช้แล้ว

    คำเตือนต่อผู้ใช้งานอุตสาหกรรม
    หากไม่อัปเดตระบบให้รองรับ AI อาจเสียเปรียบด้านประสิทธิภาพและต้นทุน
    การละเลยการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่อาจทำให้ระบบโรงงานล้าหลังในการแข่งขัน

    https://securityonline.info/qualcomm-launches-dragonwing-iq-x-oryon-cpu-brings-45-tops-edge-ai-to-factory-pcs/
    ⚙️ Qualcomm เปิดตัว Dragonwing IQ-X: พลัง AI 45 TOPS สำหรับโรงงานอัจฉริยะ Qualcomm ประกาศเปิดตัวซีรีส์ Dragonwing IQ-X ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อ Industrial PCs (IPCs) และระบบควบคุมในโรงงาน โดยใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งการทำงานแบบ Single-thread และ Multi-thread จุดเด่นคือการรวม Neural Processing Unit (NPU) ที่สามารถประมวลผล AI ได้สูงสุดถึง 45 TOPS ทำให้สามารถรันงาน AI ได้โดยตรงบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud ซีรีส์นี้ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm และมีคอร์ประสิทธิภาพสูง 8–12 คอร์ รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมที่รุนแรง โดยสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C นอกจากนี้ยังรองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC และเครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น Qt, CODESYS และ EtherCAT Qualcomm เน้นว่าการออกแบบ Dragonwing IQ-X ใช้ COM form factor ทำให้สามารถนำไปใช้แทนบอร์ดเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มโมดูล AI หรือมัลติมีเดียภายนอก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับใช้ในระบบอุตสาหกรรม ผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย เช่น Advantech, NEXCOM, Portwell, Congatec, Kontron, Tria และ SECO ได้เริ่มนำ Dragonwing IQ-X ไปใช้ในผลิตภัณฑ์แล้ว โดยคาดว่าอุปกรณ์เชิงพาณิชย์ที่ใช้ซีรีส์นี้จะเริ่มวางจำหน่ายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Dragonwing IQ-X เปิดตัวเพื่อ Industrial PCs ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Oryon CPU พร้อม NPU 45 TOPS ➡️ รองรับงาน AI เช่น Predictive Maintenance และ Defect Detection ✅ คุณสมบัติทางเทคนิค ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm ➡️ มีคอร์ 8–12 คอร์ และรองรับอุณหภูมิ –40°C ถึง 105°C ✅ การรองรับซอฟต์แวร์ ➡️ รองรับ Windows 11 IoT Enterprise LTSC ➡️ ใช้เครื่องมือมาตรฐาน เช่น Qt, CODESYS, EtherCAT ✅ การนำไปใช้จริง ➡️ ใช้ COM form factor ลดต้นทุน BOM ➡️ ผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายเริ่มนำไปใช้แล้ว ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้งานอุตสาหกรรม ⛔ หากไม่อัปเดตระบบให้รองรับ AI อาจเสียเปรียบด้านประสิทธิภาพและต้นทุน ⛔ การละเลยการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่อาจทำให้ระบบโรงงานล้าหลังในการแข่งขัน https://securityonline.info/qualcomm-launches-dragonwing-iq-x-oryon-cpu-brings-45-tops-edge-ai-to-factory-pcs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qualcomm Launches Dragonwing IQ-X: Oryon CPU Brings 45 TOPS Edge AI to Factory PCs
    Qualcomm launches Dragonwing IQ-X, its first industrial PC processor with Oryon CPUs, 45 TOPS of AI power, and a rugged design for factory edge controllers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรตัดสินให้การขายต่อ Windows และ Office perpetual licenses เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย

    คดีนี้เริ่มจากบริษัท ValueLicensing ที่ฟ้อง Microsoft เรื่องการห้ามขายต่อ perpetual licenses ของ Windows และ Office ศาลได้ตัดสินว่า ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อได้ตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

    ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ
    Microsoft พยายามอ้างว่าโปรแกรม Office มีองค์ประกอบเชิงกราฟิกและงานสร้างสรรค์ จึงควรได้รับการคุ้มครองในฐานะ “creative work” แต่ศาลเห็นว่า ไม่มีองค์ประกอบที่เพียงพอ ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าข่ายงานศิลปะหรือวรรณกรรมที่ห้ามขายต่อ

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค
    หากคำตัดสินนี้ถูกยืนยัน จะทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักรเปิดกว้างมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถซื้อ Windows หรือ Office ราคาถูกจากผู้ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ Microsoft สูญเสียรายได้มหาศาล โดยมีการประเมินว่า ค่าเสียหายอาจสูงถึง 270 ล้านปอนด์

    Microsoft เตรียมอุทธรณ์
    Microsoft แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยยังคงยืนยันว่าการขายต่อ license ขัดต่อสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในยุโรปเกี่ยวกับสิทธิการขายต่อซอฟต์แวร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ศาลสหราชอาณาจักรตัดสินให้ขายต่อ Windows และ Office license ได้
    ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อโดยไม่ผิดกฎหมาย

    ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ
    ศาลเห็นว่าโปรแกรมไม่เข้าข่าย “งานสร้างสรรค์” ที่ห้ามขายต่อ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด
    เปิดโอกาสให้ซื้อซอฟต์แวร์ราคาถูกจากตลาดมือสอง

    ความเสี่ยงต่อรายได้ของ Microsoft
    อาจสูญเสียรายได้มหาศาลและต้องจ่ายค่าเสียหาย 270 ล้านปอนด์

    ความไม่แน่นอนจากการอุทธรณ์
    หาก Microsoft ชนะการอุทธรณ์ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองอาจถูกจำกัดอีกครั้ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/microsoft-to-appeal-ruling-in-favor-of-reselling-perpetual-windows-licenses-uk-competition-court-says-fineprint-holds-no-ground-as-judges-throw-out-companys-creative-work-argument
    ⚖️ ศาลแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรตัดสินให้การขายต่อ Windows และ Office perpetual licenses เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย คดีนี้เริ่มจากบริษัท ValueLicensing ที่ฟ้อง Microsoft เรื่องการห้ามขายต่อ perpetual licenses ของ Windows และ Office ศาลได้ตัดสินว่า ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อได้ตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ 🎨 ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ Microsoft พยายามอ้างว่าโปรแกรม Office มีองค์ประกอบเชิงกราฟิกและงานสร้างสรรค์ จึงควรได้รับการคุ้มครองในฐานะ “creative work” แต่ศาลเห็นว่า ไม่มีองค์ประกอบที่เพียงพอ ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าข่ายงานศิลปะหรือวรรณกรรมที่ห้ามขายต่อ 💰 ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค หากคำตัดสินนี้ถูกยืนยัน จะทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักรเปิดกว้างมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถซื้อ Windows หรือ Office ราคาถูกจากผู้ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ Microsoft สูญเสียรายได้มหาศาล โดยมีการประเมินว่า ค่าเสียหายอาจสูงถึง 270 ล้านปอนด์ 🏛️ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ Microsoft แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยยังคงยืนยันว่าการขายต่อ license ขัดต่อสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในยุโรปเกี่ยวกับสิทธิการขายต่อซอฟต์แวร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ศาลสหราชอาณาจักรตัดสินให้ขายต่อ Windows และ Office license ได้ ➡️ ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อโดยไม่ผิดกฎหมาย ✅ ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ ➡️ ศาลเห็นว่าโปรแกรมไม่เข้าข่าย “งานสร้างสรรค์” ที่ห้ามขายต่อ ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด ➡️ เปิดโอกาสให้ซื้อซอฟต์แวร์ราคาถูกจากตลาดมือสอง ‼️ ความเสี่ยงต่อรายได้ของ Microsoft ⛔ อาจสูญเสียรายได้มหาศาลและต้องจ่ายค่าเสียหาย 270 ล้านปอนด์ ‼️ ความไม่แน่นอนจากการอุทธรณ์ ⛔ หาก Microsoft ชนะการอุทธรณ์ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองอาจถูกจำกัดอีกครั้ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/microsoft-to-appeal-ruling-in-favor-of-reselling-perpetual-windows-licenses-uk-competition-court-says-fineprint-holds-no-ground-as-judges-throw-out-companys-creative-work-argument
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตีไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ครั้งแรก

    Anthropic เปิดเผยว่ามีการใช้ Claude เวอร์ชันที่ถูกเจลเบรกเพื่อดำเนินการโจมตีไซเบอร์ต่อสถาบันกว่า 30 แห่ง รวมถึงบริษัทเทคโนโลยี การเงิน โรงงานเคมี และหน่วยงานรัฐบาล การโจมตีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ AI แบบ “agentic” ในการจัดการขั้นตอนต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ตลอดเวลา

    วิธีการโจมตีที่ซับซ้อน
    การโจมตีแบ่งออกเป็น 5 เฟส ตั้งแต่การสแกนระบบเบื้องต้น การค้นหาช่องโหว่ ไปจนถึงการขโมยข้อมูลและ credentials จุดสำคัญคือ AI สามารถทำงานได้เองถึง 80–90% ของเวลา โดยมนุษย์เพียงแค่ให้คำสั่งและตรวจสอบผลลัพธ์ ทำให้การโจมตีดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

    การหลอก AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์
    ผู้โจมตีใช้เทคนิค “context splitting” โดยแบ่งงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย และทำให้ Claude เชื่อว่ากำลังทำงานเพื่อการทดสอบระบบ (penetration testing) ไม่ใช่การโจมตีจริง วิธีนี้ช่วยหลีกเลี่ยงกลไกความปลอดภัยที่ถูกฝังไว้ในโมเดล

    ผลกระทบและการตอบสนอง
    Anthropic ได้บล็อกบัญชีที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนเหยื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเผยแพร่รายงานเพื่อช่วยอุตสาหกรรมพัฒนาแนวทางป้องกันใหม่ เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า AI ที่มีความสามารถเชิง “agency” สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่าย และอาจเป็นภัยคุกคามระดับชาติในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การโจมตีไซเบอร์ครั้งแรกที่ orchestrated โดย AI
    ใช้ Claude เวอร์ชันเจลเบรกโจมตีสถาบันกว่า 30 แห่ง

    AI ทำงานได้เองถึง 80–90%
    ลดการพึ่งพามนุษย์ ทำให้การโจมตีรวดเร็วและซับซ้อน

    เทคนิค context splitting
    หลอกให้ AI เชื่อว่ากำลังทำงานเพื่อการทดสอบระบบ

    ความเสี่ยงจาก AI agentic capabilities
    อาจถูกใช้ในทางที่ผิดและเป็นภัยคุกคามระดับชาติ

    การป้องกันยังไม่สมบูรณ์
    แม้มี safeguards แต่สามารถถูกหลอกให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/anthropic-says-it-has-foiled-the-first-ever-ai-orchestrated-cyber-attack-originating-from-china-company-alleges-attack-was-run-by-chinese-state-sponsored-group
    🛡️ การโจมตีไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ครั้งแรก Anthropic เปิดเผยว่ามีการใช้ Claude เวอร์ชันที่ถูกเจลเบรกเพื่อดำเนินการโจมตีไซเบอร์ต่อสถาบันกว่า 30 แห่ง รวมถึงบริษัทเทคโนโลยี การเงิน โรงงานเคมี และหน่วยงานรัฐบาล การโจมตีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ AI แบบ “agentic” ในการจัดการขั้นตอนต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ตลอดเวลา ⚙️ วิธีการโจมตีที่ซับซ้อน การโจมตีแบ่งออกเป็น 5 เฟส ตั้งแต่การสแกนระบบเบื้องต้น การค้นหาช่องโหว่ ไปจนถึงการขโมยข้อมูลและ credentials จุดสำคัญคือ AI สามารถทำงานได้เองถึง 80–90% ของเวลา โดยมนุษย์เพียงแค่ให้คำสั่งและตรวจสอบผลลัพธ์ ทำให้การโจมตีดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง 🔒 การหลอก AI ให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ ผู้โจมตีใช้เทคนิค “context splitting” โดยแบ่งงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย และทำให้ Claude เชื่อว่ากำลังทำงานเพื่อการทดสอบระบบ (penetration testing) ไม่ใช่การโจมตีจริง วิธีนี้ช่วยหลีกเลี่ยงกลไกความปลอดภัยที่ถูกฝังไว้ในโมเดล 🌐 ผลกระทบและการตอบสนอง Anthropic ได้บล็อกบัญชีที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนเหยื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเผยแพร่รายงานเพื่อช่วยอุตสาหกรรมพัฒนาแนวทางป้องกันใหม่ เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า AI ที่มีความสามารถเชิง “agency” สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ง่าย และอาจเป็นภัยคุกคามระดับชาติในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การโจมตีไซเบอร์ครั้งแรกที่ orchestrated โดย AI ➡️ ใช้ Claude เวอร์ชันเจลเบรกโจมตีสถาบันกว่า 30 แห่ง ✅ AI ทำงานได้เองถึง 80–90% ➡️ ลดการพึ่งพามนุษย์ ทำให้การโจมตีรวดเร็วและซับซ้อน ✅ เทคนิค context splitting ➡️ หลอกให้ AI เชื่อว่ากำลังทำงานเพื่อการทดสอบระบบ ‼️ ความเสี่ยงจาก AI agentic capabilities ⛔ อาจถูกใช้ในทางที่ผิดและเป็นภัยคุกคามระดับชาติ ‼️ การป้องกันยังไม่สมบูรณ์ ⛔ แม้มี safeguards แต่สามารถถูกหลอกให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/anthropic-says-it-has-foiled-the-first-ever-ai-orchestrated-cyber-attack-originating-from-china-company-alleges-attack-was-run-by-chinese-state-sponsored-group
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla Megapack – ทางออกสำหรับศูนย์ข้อมูล AI

    Tesla เปิดตัวการตลาดใหม่สำหรับ Megapack แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีการใช้พลังงานแบบผันผวนสูง โดยเฉพาะการฝึกโมเดลที่ใช้ GPU นับพันตัวพร้อมกัน ทำให้โหลดไฟฟ้าอาจแกว่งขึ้นลงถึง 90% ภายในเสี้ยววินาที Megapack ถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับความผันผวนเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าและความถี่

    ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า
    รายงานจาก North American Electric Reliability Corporation (NERC) เตือนว่าศูนย์ข้อมูล AI กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าแบบไม่เคยมีมาก่อน การซิงโครไนซ์ข้อมูลและการ checkpoint ของโมเดลทำให้โหลดไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ Tesla จึงนำเสนอ Megapack เป็น “buffer” ที่ตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชิงกล

    ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
    Tesla อ้างว่า Megapack ให้ “outsized value” โดยสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ สำหรับระบบที่ทำงาน 2 ชั่วโมงตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี จุดเด่นอีกอย่างคือการผลิตและส่งมอบได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยตอบโจทย์นักพัฒนา AI ที่กำลังรอคิวเชื่อมต่อไฟฟ้าจำนวนมากในสหรัฐฯ

    คำถามที่ยังค้างคา
    แม้ Megapack จะถูกมองว่าเป็นทางออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกบูรณาการเข้ากับโครงสร้างไฟฟ้าเดิมในรูปแบบใด เช่น จะใช้เป็น UPS ภายในศูนย์ข้อมูล หรือเป็น front-of-meter grid support รวมถึงประเด็นด้านค่าใช้จ่ายจริงและการคิดค่าบริการไฟฟ้า (demand charges) ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tesla เปิดตัว Megapack สำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    ลดความผันผวนของโหลดไฟฟ้าได้ถึง 90%

    ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า
    AI workloads ทำให้โหลดไฟฟ้าแกว่งขึ้นลงหลายเมกะวัตต์ในเสี้ยววินาที

    ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
    มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ในระบบ 2 ชั่วโมง อายุใช้งาน 20 ปี

    คำถามเรื่องการบูรณาการระบบ
    ยังไม่ชัดว่าจะใช้เป็น UPS หรือ grid support

    ความไม่โปร่งใสด้านต้นทุนจริง
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง demand charges และค่าใช้จ่ายรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-targets-ai-data-centers-with-megapack-as-grid-strain-fears-grow
    🔋 Tesla Megapack – ทางออกสำหรับศูนย์ข้อมูล AI Tesla เปิดตัวการตลาดใหม่สำหรับ Megapack แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีการใช้พลังงานแบบผันผวนสูง โดยเฉพาะการฝึกโมเดลที่ใช้ GPU นับพันตัวพร้อมกัน ทำให้โหลดไฟฟ้าอาจแกว่งขึ้นลงถึง 90% ภายในเสี้ยววินาที Megapack ถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับความผันผวนเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าและความถี่ ⚡ ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า รายงานจาก North American Electric Reliability Corporation (NERC) เตือนว่าศูนย์ข้อมูล AI กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าแบบไม่เคยมีมาก่อน การซิงโครไนซ์ข้อมูลและการ checkpoint ของโมเดลทำให้โหลดไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ Tesla จึงนำเสนอ Megapack เป็น “buffer” ที่ตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชิงกล 💰 ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ Tesla อ้างว่า Megapack ให้ “outsized value” โดยสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ สำหรับระบบที่ทำงาน 2 ชั่วโมงตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี จุดเด่นอีกอย่างคือการผลิตและส่งมอบได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยตอบโจทย์นักพัฒนา AI ที่กำลังรอคิวเชื่อมต่อไฟฟ้าจำนวนมากในสหรัฐฯ 🏗️ คำถามที่ยังค้างคา แม้ Megapack จะถูกมองว่าเป็นทางออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกบูรณาการเข้ากับโครงสร้างไฟฟ้าเดิมในรูปแบบใด เช่น จะใช้เป็น UPS ภายในศูนย์ข้อมูล หรือเป็น front-of-meter grid support รวมถึงประเด็นด้านค่าใช้จ่ายจริงและการคิดค่าบริการไฟฟ้า (demand charges) ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tesla เปิดตัว Megapack สำหรับศูนย์ข้อมูล AI ➡️ ลดความผันผวนของโหลดไฟฟ้าได้ถึง 90% ✅ ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า ➡️ AI workloads ทำให้โหลดไฟฟ้าแกว่งขึ้นลงหลายเมกะวัตต์ในเสี้ยววินาที ✅ ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ ➡️ มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ในระบบ 2 ชั่วโมง อายุใช้งาน 20 ปี ‼️ คำถามเรื่องการบูรณาการระบบ ⛔ ยังไม่ชัดว่าจะใช้เป็น UPS หรือ grid support ‼️ความไม่โปร่งใสด้านต้นทุนจริง ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง demand charges และค่าใช้จ่ายรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-targets-ai-data-centers-with-megapack-as-grid-strain-fears-grow
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว

    แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ

    โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน
    เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร

    มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ
    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว
    ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย

    เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ
    บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก

    Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด
    เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต

    ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก
    ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    🌏 สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ ⚙️ โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย 🔒 ความกังวลด้านความมั่นคง แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร 🏛️ มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว ➡️ ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย ✅ เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ ➡️ บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด ➡️ เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ⛔ บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต ‼️ ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก ⛔ ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese AI startup gets access to 2,300 banned Blackwell GPUs by exploiting cloud loophole — rents compute from Indonesian firm with 32 Nvidia GB200 server racks
    The company isn't listed in the U.S. Entity List, but some are concerned that blacklisted companies might use this route to gain access to the latest Nvidia hardware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ

    รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    AI Data Center จุดชนวนความต้องการ
    การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60%
    DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์

    AI Data Center เป็นตัวการหลัก
    ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ

    ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน
    อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี

    การกักตุนสินค้า (panic buying)
    ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    💾 Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI 🏗️ AI Data Center จุดชนวนความต้องการ การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 📈 ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60% ➡️ DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์ ✅ AI Data Center เป็นตัวการหลัก ➡️ ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ➡️ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน ⛔ อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี ‼️ การกักตุนสินค้า (panic buying) ⛔ ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชิปควอนตัมเชิงแสงจากจีน – ก้าวกระโดดครั้งใหญ่

    บริษัท CHIPX (Chip Hub for Integrated Photonics Xplore) ของจีนเปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสงที่ถูกเรียกว่า “อุตสาหกรรมเกรด” ตัวแรกของโลก โดยใช้เทคโนโลยี co-packaging รวมโฟตอนและอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันในแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนขนาด 6 นิ้ว ชิปนี้มีองค์ประกอบเชิงแสงกว่า 1,000 ชิ้นในพื้นที่เล็กมาก ทำให้มีความกะทัดรัดและสามารถติดตั้งได้รวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ต่างจากควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้เวลาหลายเดือน

    ประสิทธิภาพเหนือ GPU ของ Nvidia
    ผู้พัฒนาระบุว่าชิปใหม่นี้สามารถทำงานด้าน AI ได้เร็วกว่า GPU ของ Nvidia ถึง 1,000 เท่า และถูกนำไปใช้แล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น การบินและการเงิน จุดเด่นคือการใช้ แสง (photons) แทนกระแสไฟฟ้าในการประมวลผล ทำให้ไม่เกิดความร้อนและสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าอย่างมาก

    ปัญหาการผลิตและผลผลิตต่ำ
    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่การผลิตยังเป็นอุปสรรคใหญ่ ปัจจุบันโรงงานสามารถผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี โดยแต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไป ความเปราะบางของวัสดุที่ใช้ทำให้การผลิตจำนวนมากยังเป็นเรื่องท้าทาย

    ผลกระทบและการแข่งขันระดับโลก
    จีนตั้งเป้าที่จะนำหน้าประเทศตะวันตกในด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง หากคำกล่าวอ้างเรื่องความเร็ว 1,000 เท่าจริง นี่จะเป็นการพลิกโฉมวงการ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยทั่วโลกยังคงจับตาดูว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาการผลิตและเข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริงหรือไม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CHIPX เปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสง
    ใช้โฟตอนแทนกระแสไฟฟ้า ทำให้ไม่เกิดความร้อนและส่งข้อมูลได้เร็ว

    ประสิทธิภาพเหนือกว่า GPU ของ Nvidia
    อ้างว่าเร็วกว่า 1,000 เท่าในการประมวลผล AI

    การใช้งานจริงเริ่มต้นแล้ว
    ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการบินและการเงิน

    ผลผลิตต่ำและการผลิตยาก
    โรงงานผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี แต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป

    ความไม่แน่นอนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์
    หากไม่สามารถแก้ปัญหาการผลิตได้ อาจไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้จริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/new-chinese-optical-quantum-chip-allegedly-1-000x-faster-than-nvidia-gpus-for-processing-ai-workloads-but-yields-are-low
    ⚛️ ชิปควอนตัมเชิงแสงจากจีน – ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ บริษัท CHIPX (Chip Hub for Integrated Photonics Xplore) ของจีนเปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสงที่ถูกเรียกว่า “อุตสาหกรรมเกรด” ตัวแรกของโลก โดยใช้เทคโนโลยี co-packaging รวมโฟตอนและอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันในแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนขนาด 6 นิ้ว ชิปนี้มีองค์ประกอบเชิงแสงกว่า 1,000 ชิ้นในพื้นที่เล็กมาก ทำให้มีความกะทัดรัดและสามารถติดตั้งได้รวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ต่างจากควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้เวลาหลายเดือน 🚀 ประสิทธิภาพเหนือ GPU ของ Nvidia ผู้พัฒนาระบุว่าชิปใหม่นี้สามารถทำงานด้าน AI ได้เร็วกว่า GPU ของ Nvidia ถึง 1,000 เท่า และถูกนำไปใช้แล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น การบินและการเงิน จุดเด่นคือการใช้ แสง (photons) แทนกระแสไฟฟ้าในการประมวลผล ทำให้ไม่เกิดความร้อนและสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าอย่างมาก 🏭 ปัญหาการผลิตและผลผลิตต่ำ แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่การผลิตยังเป็นอุปสรรคใหญ่ ปัจจุบันโรงงานสามารถผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี โดยแต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไป ความเปราะบางของวัสดุที่ใช้ทำให้การผลิตจำนวนมากยังเป็นเรื่องท้าทาย 🌐 ผลกระทบและการแข่งขันระดับโลก จีนตั้งเป้าที่จะนำหน้าประเทศตะวันตกในด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง หากคำกล่าวอ้างเรื่องความเร็ว 1,000 เท่าจริง นี่จะเป็นการพลิกโฉมวงการ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยทั่วโลกยังคงจับตาดูว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาการผลิตและเข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริงหรือไม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CHIPX เปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสง ➡️ ใช้โฟตอนแทนกระแสไฟฟ้า ทำให้ไม่เกิดความร้อนและส่งข้อมูลได้เร็ว ✅ ประสิทธิภาพเหนือกว่า GPU ของ Nvidia ➡️ อ้างว่าเร็วกว่า 1,000 เท่าในการประมวลผล AI ✅ การใช้งานจริงเริ่มต้นแล้ว ➡️ ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการบินและการเงิน ‼️ ผลผลิตต่ำและการผลิตยาก ⛔ โรงงานผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี แต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป ‼️ ความไม่แน่นอนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์ ⛔ หากไม่สามารถแก้ปัญหาการผลิตได้ อาจไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้จริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/new-chinese-optical-quantum-chip-allegedly-1-000x-faster-than-nvidia-gpus-for-processing-ai-workloads-but-yields-are-low
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI และศูนย์ข้อมูล AI ขนาดมหึมา

    OpenAI มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานมหาศาลถึง 250 กิกะวัตต์ ภายในปี 2033 ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศอินเดีย! นอกจากนี้ยังต้องใช้ GPU จำนวนมหาศาลกว่า 30 ล้านตัวต่อปีเพื่อให้ระบบทำงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง

    สิ่งที่น่ากังวลคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะการใช้พลังงานระดับนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าสองเท่าของ ExxonMobil บริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และยังต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อนของเครื่องจักร ซึ่งอาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำในหลายภูมิภาค

    นอกจาก OpenAI แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น xAI ของ Elon Musk ก็มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นกัน ทำให้เกิดการแข่งขันที่อาจบีบทรัพยากรโลก ทั้งไฟฟ้า น้ำ และวัตถุดิบหายากที่ใช้ผลิตชิปขั้นสูง

    สรุปประเด็น
    OpenAI ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูล 250 GW ภายในปี 2033
    เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศอินเดีย

    ต้องใช้ GPU กว่า 30 ล้านตัวต่อปี
    เพื่อรองรับการทำงานต่อเนื่อง 24/7

    ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการปล่อย CO₂ มหาศาล
    มากกว่าสองเท่าของ ExxonMobil

    การใช้น้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อน
    อาจกระทบต่อชุมชนและทรัพยากรน้ำโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openais-colossal-ai-data-center-targets-would-consume-as-much-electricity-as-entire-nation-of-india-250gw-target-would-require-30-million-gpus-annually-to-ensure-continuous-operation-emit-twice-as-much-carbon-dioxide-as-exxonmobil
    ⚡ OpenAI และศูนย์ข้อมูล AI ขนาดมหึมา OpenAI มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานมหาศาลถึง 250 กิกะวัตต์ ภายในปี 2033 ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศอินเดีย! นอกจากนี้ยังต้องใช้ GPU จำนวนมหาศาลกว่า 30 ล้านตัวต่อปีเพื่อให้ระบบทำงานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง สิ่งที่น่ากังวลคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะการใช้พลังงานระดับนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าสองเท่าของ ExxonMobil บริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก และยังต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อนของเครื่องจักร ซึ่งอาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำในหลายภูมิภาค นอกจาก OpenAI แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น xAI ของ Elon Musk ก็มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นกัน ทำให้เกิดการแข่งขันที่อาจบีบทรัพยากรโลก ทั้งไฟฟ้า น้ำ และวัตถุดิบหายากที่ใช้ผลิตชิปขั้นสูง 📌 สรุปประเด็น ✅ OpenAI ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูล 250 GW ภายในปี 2033 ➡️ เทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศอินเดีย ✅ ต้องใช้ GPU กว่า 30 ล้านตัวต่อปี ➡️ เพื่อรองรับการทำงานต่อเนื่อง 24/7 ‼️ ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการปล่อย CO₂ มหาศาล ⛔ มากกว่าสองเท่าของ ExxonMobil ‼️ การใช้น้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อน ⛔ อาจกระทบต่อชุมชนและทรัพยากรน้ำโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openais-colossal-ai-data-center-targets-would-consume-as-much-electricity-as-entire-nation-of-india-250gw-target-would-require-30-million-gpus-annually-to-ensure-continuous-operation-emit-twice-as-much-carbon-dioxide-as-exxonmobil
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เตรียมขาย “AI Server” ทั้งชุด – แผนใหญ่ของ Jensen Huang

    เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกฮาร์ดแวร์ AI เมื่อ JP Morgan วิเคราะห์ว่า Nvidia กำลังจะไม่ขายแค่ GPU หรือชิ้นส่วน แต่จะขาย “AI Server” ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปีหน้า การทำเช่นนี้หมายถึง Nvidia จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และเหล่า ODM หรือผู้ผลิตรายอื่นจะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับการที่บริษัทไม่เพียงขายชิ้นส่วน แต่ขาย “หัวใจของระบบ” ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าไม่สามารถสร้างความแตกต่างทางฮาร์ดแวร์ได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ขณะเดียวกัน GPU รุ่น Rubin ยังใช้พลังงานสูงขึ้นถึง 1.8–2.3 kW ต่อชิป ซึ่งทำให้ระบบระบายความร้อนต้องซับซ้อนขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ Nvidia เลือกขายเป็นชุดสำเร็จรูป

    นอกจากนี้ JP Morgan ยังเผยว่า ชิป Vera Rubin ทั้ง 6 รุ่นได้เข้าสู่ขั้นตอน pre-production ที่ TSMC แล้ว และยังไม่มีการเลื่อนกำหนดการเปิดตัวในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าความต้องการ AI ยังคงสูงมาก และ Nvidia กำลังเดินเกมเพื่อครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ

    สรุป
    Nvidia เตรียมขาย AI Server ทั้งชุด
    เริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่รวม CPU, GPU, ระบบระบายความร้อน

    ODM จะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้าย
    เช่น ติดตั้งแชสซี, ระบบไฟ, และการทดสอบ

    Rubin GPU ใช้พลังงานสูงขึ้น
    จาก 1.4 kW เป็น 1.8–2.3 kW ต่อชิป

    ความเสี่ยงคือคู่ค้าเสียโอกาสสร้างความแตกต่าง
    อาจทำให้ตลาดแข่งขันน้อยลงและ Nvidia ครองอำนาจมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jp-morgan-says-nvidia-is-gearing-up-to-sell-entire-ai-servers-instead-of-just-ai-gpus-and-componentry-jensens-master-plan-of-vertical-integration-will-boost-profits-purportedly-starting-with-vera-rubin
    🖥️ Nvidia เตรียมขาย “AI Server” ทั้งชุด – แผนใหญ่ของ Jensen Huang เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกฮาร์ดแวร์ AI เมื่อ JP Morgan วิเคราะห์ว่า Nvidia กำลังจะไม่ขายแค่ GPU หรือชิ้นส่วน แต่จะขาย “AI Server” ที่ประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่จะเปิดตัวในปีหน้า การทำเช่นนี้หมายถึง Nvidia จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น และเหล่า ODM หรือผู้ผลิตรายอื่นจะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับการที่บริษัทไม่เพียงขายชิ้นส่วน แต่ขาย “หัวใจของระบบ” ทั้งหมด ทำให้คู่ค้าไม่สามารถสร้างความแตกต่างทางฮาร์ดแวร์ได้มากนัก แต่ก็ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการผลิต ขณะเดียวกัน GPU รุ่น Rubin ยังใช้พลังงานสูงขึ้นถึง 1.8–2.3 kW ต่อชิป ซึ่งทำให้ระบบระบายความร้อนต้องซับซ้อนขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ Nvidia เลือกขายเป็นชุดสำเร็จรูป นอกจากนี้ JP Morgan ยังเผยว่า ชิป Vera Rubin ทั้ง 6 รุ่นได้เข้าสู่ขั้นตอน pre-production ที่ TSMC แล้ว และยังไม่มีการเลื่อนกำหนดการเปิดตัวในครึ่งหลังปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าความต้องการ AI ยังคงสูงมาก และ Nvidia กำลังเดินเกมเพื่อครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ 📌 สรุป ✅ Nvidia เตรียมขาย AI Server ทั้งชุด ➡️ เริ่มจากแพลตฟอร์ม Vera Rubin ที่รวม CPU, GPU, ระบบระบายความร้อน ✅ ODM จะเหลือเพียงงานประกอบขั้นสุดท้าย ➡️ เช่น ติดตั้งแชสซี, ระบบไฟ, และการทดสอบ ✅ Rubin GPU ใช้พลังงานสูงขึ้น ➡️ จาก 1.4 kW เป็น 1.8–2.3 kW ต่อชิป ‼️ ความเสี่ยงคือคู่ค้าเสียโอกาสสร้างความแตกต่าง ⛔ อาจทำให้ตลาดแข่งขันน้อยลงและ Nvidia ครองอำนาจมากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jp-morgan-says-nvidia-is-gearing-up-to-sell-entire-ai-servers-instead-of-just-ai-gpus-and-componentry-jensens-master-plan-of-vertical-integration-will-boost-profits-purportedly-starting-with-vera-rubin
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ

    ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี

    สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม

    แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก

    สรุปประเด็น
    ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP
    พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ

    Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก
    มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่

    สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ
    แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน

    หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที
    GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี

    ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    🚀 ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศ สร้าง “T-Dome” ป้องกันขีปนาวุธ ไต้หวันประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP พร้อมพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล โดยตั้งชื่อว่า T-Dome เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากจีนที่อาจใช้ขีปนาวุธโจมตี สิ่งที่ทำให้โลกจับตามองคือคำเตือนจากนักวิจัยว่า หากจีนยิงขีปนาวุธเพียงลูกเดียวใส่ Hsinchu Science Park ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตชิปของ TSMC ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ GDP โลกหดตัว 6–10% และการผลิต iPhone อาจหยุดชะงักไปนานถึง 3 ปีเต็ม แม้สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรพยายามสร้างโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น TSMC ที่ลงทุนในรัฐแอริโซนา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวันได้ นี่ทำให้ไต้หวันยังคงเป็น “จุดเปราะบางที่สุด” ของห่วงโซ่อุปทานโลก 📌 สรุปประเด็น ✅ ไต้หวันเพิ่มงบป้องกันประเทศเป็น 5% ของ GDP ➡️ พัฒนาระบบ T-Dome ป้องกันภัยทางอากาศ ✅ Hsinchu Science Park เป็นหัวใจการผลิตชิปโลก ➡️ มี TSMC และบริษัทกว่า 600 แห่งตั้งอยู่ ✅ สหรัฐฯ พยายามสร้างโรงงานชิปในประเทศ ➡️ แต่ต้องใช้เวลา 20 ปีจึงจะลดการพึ่งพาไต้หวัน ‼️ หากจีนโจมตี Hsinchu จะกระทบเศรษฐกิจโลกทันที ⛔ GDP โลกอาจหดตัว 6–10% และ iPhone ขาดตลาด 3 ปี ‼️ ความเสี่ยงสูงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ⛔ ทำให้ทั้ง AI, รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมไฮเทคหยุดชะงัก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-to-up-defense-spending-and-develop-iron-dome-inspired-missile-protection-expert-warns-one-well-placed-chinese-missile-could-make-it-impossible-to-get-a-new-iphone-for-three-years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • คดี “Bitcoin Queen” – ฟอกเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์

    เรื่องราวของ Zhimin Qian หรือที่รู้จักกันว่า “Bitcoin Queen” กลายเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ เธอถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี หลังจากฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลอกนักลงทุนกว่า 128,000 รายในจีนระหว่างปี 2014–2017 ก่อนหลบหนีไปหลายประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอม

    การสืบสวนเริ่มต้นเมื่อเธอพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนด้วย Bitcoin ทำให้ตำรวจเริ่มติดตามและยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ซึ่งถือเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น แม้เธอจะใช้ชีวิตหรูหราและเดินทางหลบเลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ถูกจับในอังกฤษ

    สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอเคยวางแผนจะขาย Bitcoin เดือนละ 250,000 ดอลลาร์เพื่อใช้ชีวิต และถึงขั้นฝันอยากเป็น “ราชินีแห่ง Liberland” ประเทศเล็ก ๆ ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ความฝันก็จบลงเมื่อถูกจับและตัดสินโทษหนัก ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงว่าจีนและอังกฤษจะจัดการคืนเงินให้ผู้เสียหายอย่างไร

    สรุปประเด็น
    Zhimin Qian ถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี
    ฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์

    ตำรวจอังกฤษยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin
    ถือเป็นการยึดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    เธอใช้ชีวิตหรูหราและหลบหนีหลายประเทศ
    เลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    ผู้เสียหายกว่า 128,000 รายยังไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน
    การจัดการระหว่างรัฐบาลจีนและอังกฤษยังไม่ชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-queen-who-laundered-usd5-6-billion-in-illicit-funds-through-crypto-gets-nearly-12-years-in-prison-uk-court-hands-down-sentence
    💰 คดี “Bitcoin Queen” – ฟอกเงินกว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ เรื่องราวของ Zhimin Qian หรือที่รู้จักกันว่า “Bitcoin Queen” กลายเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ เธอถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี หลังจากฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหลอกนักลงทุนกว่า 128,000 รายในจีนระหว่างปี 2014–2017 ก่อนหลบหนีไปหลายประเทศด้วยพาสปอร์ตปลอม การสืบสวนเริ่มต้นเมื่อเธอพยายามซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนด้วย Bitcoin ทำให้ตำรวจเริ่มติดตามและยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ซึ่งถือเป็นการยึดคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น แม้เธอจะใช้ชีวิตหรูหราและเดินทางหลบเลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่สุดท้ายก็ถูกจับในอังกฤษ สิ่งที่น่าสนใจคือ เธอเคยวางแผนจะขาย Bitcoin เดือนละ 250,000 ดอลลาร์เพื่อใช้ชีวิต และถึงขั้นฝันอยากเป็น “ราชินีแห่ง Liberland” ประเทศเล็ก ๆ ระหว่างโครเอเชียและเซอร์เบีย แต่ความฝันก็จบลงเมื่อถูกจับและตัดสินโทษหนัก ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงว่าจีนและอังกฤษจะจัดการคืนเงินให้ผู้เสียหายอย่างไร 📌 สรุปประเด็น ✅ Zhimin Qian ถูกตัดสินจำคุกเกือบ 12 ปี ➡️ ฟอกเงินผ่านคริปโตมูลค่ากว่า 5.6 พันล้านดอลลาร์ ✅ ตำรวจอังกฤษยึดได้กว่า 61,000 Bitcoin ➡️ ถือเป็นการยึดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เธอใช้ชีวิตหรูหราและหลบหนีหลายประเทศ ➡️ เลี่ยงประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ‼️ ผู้เสียหายกว่า 128,000 รายยังไม่แน่ว่าจะได้เงินคืน ⛔ การจัดการระหว่างรัฐบาลจีนและอังกฤษยังไม่ชัดเจน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-queen-who-laundered-usd5-6-billion-in-illicit-funds-through-crypto-gets-nearly-12-years-in-prison-uk-court-hands-down-sentence
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตชิปในยุโรป – Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปจีน

    อุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อบริษัท Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการและปลด CEO ฝั่งจีน เหตุนี้ทำให้สายการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เสี่ยงสะดุด เนื่องจากชิปที่ Nexperia ผลิตเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ แต่จำเป็น เช่น MOSFET และวงจรควบคุมที่ใช้ในระบบถุงลมนิรภัยหรือหน้าต่างไฟฟ้า

    ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เช่น Volkswagen เตือนว่าหากสถานการณ์ไม่คลี่คลายภายในไม่กี่สัปดาห์ อาจเกิดการขาดแคลนชิปอย่างรุนแรง โรงงานในจีนที่ทำหน้าที่ประกอบและทดสอบชิปไม่สามารถดำเนินงานได้เต็มที่ ทำให้ซัพพลายเชนทั่วโลกสั่นคลอน แม้จีนจะผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกบางส่วน แต่ความขัดแย้งภายในยังไม่จบ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ชิปเหล่านี้แม้ราคาต่ำ แต่รถยนต์หนึ่งคันต้องใช้จำนวนมาก หากขาดไปแม้เพียงชิ้นเดียว รถก็ไม่สามารถผลิตได้ครบ ทำให้ผู้ผลิตต้องเร่งหาทางเลือกใหม่ แต่การหาซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ในระยะสั้นถือว่ายากมาก

    สรุปประเด็น
    Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปจีน
    เกิดจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการ

    ชิปที่ผลิตเป็นชิ้นส่วนเล็กแต่จำเป็นในรถยนต์
    ใช้ในระบบความปลอดภัยและควบคุมพื้นฐาน

    ผู้ผลิตรถยนต์เตือนว่ามีสต็อกเพียงไม่กี่สัปดาห์
    Volkswagen และค่ายอื่น ๆ กำลังจับตาใกล้ชิด

    หากไม่แก้ไขทันเวลา อุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปอาจหยุดชะงัก
    การหาซัพพลายเออร์ใหม่ในระยะสั้นเป็นเรื่องยากมาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/europes-carmakers-warn-of-chip-shortage-as-nexperia-halts-china-bound-wafer-shipments
    🚗 วิกฤตชิปในยุโรป – Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปจีน อุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปกำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อบริษัท Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน หลังรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการและปลด CEO ฝั่งจีน เหตุนี้ทำให้สายการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เสี่ยงสะดุด เนื่องจากชิปที่ Nexperia ผลิตเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ แต่จำเป็น เช่น MOSFET และวงจรควบคุมที่ใช้ในระบบถุงลมนิรภัยหรือหน้าต่างไฟฟ้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เช่น Volkswagen เตือนว่าหากสถานการณ์ไม่คลี่คลายภายในไม่กี่สัปดาห์ อาจเกิดการขาดแคลนชิปอย่างรุนแรง โรงงานในจีนที่ทำหน้าที่ประกอบและทดสอบชิปไม่สามารถดำเนินงานได้เต็มที่ ทำให้ซัพพลายเชนทั่วโลกสั่นคลอน แม้จีนจะผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกบางส่วน แต่ความขัดแย้งภายในยังไม่จบ สิ่งที่น่ากังวลคือ ชิปเหล่านี้แม้ราคาต่ำ แต่รถยนต์หนึ่งคันต้องใช้จำนวนมาก หากขาดไปแม้เพียงชิ้นเดียว รถก็ไม่สามารถผลิตได้ครบ ทำให้ผู้ผลิตต้องเร่งหาทางเลือกใหม่ แต่การหาซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ในระยะสั้นถือว่ายากมาก 📌 สรุปประเด็น ✅ Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปจีน ➡️ เกิดจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เข้าควบคุมกิจการ ✅ ชิปที่ผลิตเป็นชิ้นส่วนเล็กแต่จำเป็นในรถยนต์ ➡️ ใช้ในระบบความปลอดภัยและควบคุมพื้นฐาน ✅ ผู้ผลิตรถยนต์เตือนว่ามีสต็อกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ➡️ Volkswagen และค่ายอื่น ๆ กำลังจับตาใกล้ชิด ‼️ หากไม่แก้ไขทันเวลา อุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปอาจหยุดชะงัก ⛔ การหาซัพพลายเออร์ใหม่ในระยะสั้นเป็นเรื่องยากมาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/europes-carmakers-warn-of-chip-shortage-as-nexperia-halts-china-bound-wafer-shipments
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Zed คือสำนักงานเสมือนจริง"

    Zed Industries พัฒนาโปรแกรมแก้ไขโค้ดที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโปรแกรม แต่กลายเป็น “สำนักงานเสมือนจริง” ที่ทีมงานใช้ทำงานร่วมกันทั้งหมด ตั้งแต่การประชุม ไปจนถึงการแก้ไขโค้ดพร้อมกันแบบเรียลไทม์ จุดเด่นคือการทำงานร่วมกันที่ไร้รอยต่อ ไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือแชร์ลิงก์ซ้ำซ้อน ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้เหมือนนั่งทำงานข้างกัน แม้จะอยู่คนละซีกโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Zed ใช้เทคโนโลยี CRDTs เพื่อให้การแก้ไขไฟล์หลายคนพร้อมกันไม่เกิดความขัดแย้ง และยังมีระบบช่อง (channels) ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องประชุมเสมือนจริง มีทั้งพื้นที่สำหรับการประชุมใหญ่ การทำงานโครงการ และแม้แต่ “โต๊ะทำงานส่วนตัว” ของแต่ละคน ทำให้การทำงานแบบ remote มีความใกล้เคียงกับการทำงานในออฟฟิศจริงมากขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ:
    Zed เป็นสำนักงานเสมือนจริง
    ใช้สำหรับประชุม all-hands, retrospectives, demos
    มีระบบ channels และ subchannels สำหรับโครงการและงานส่วนตัว

    จุดเด่นของ Zed
    ใช้ CRDTs ป้องกันความขัดแย้งในการแก้ไขไฟล์
    มีระบบเสียงและแชร์หน้าจอในตัว ไม่ต้องใช้ Zoom/Slack

    การใช้งานจริง
    ทีมงานใช้ Zed สร้าง Zed เอง
    มีการเปิดช่องสาธารณะให้คนภายนอกเข้ามาดูการทำงาน

    คำเตือน
    หากระบบ collaboration ล้มเหลว อาจกระทบการทำงานทั้งบริษัท
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อความยืดหยุ่น

    https://zed.dev/blog/zed-is-our-office
    💻 "Zed คือสำนักงานเสมือนจริง" Zed Industries พัฒนาโปรแกรมแก้ไขโค้ดที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโปรแกรม แต่กลายเป็น “สำนักงานเสมือนจริง” ที่ทีมงานใช้ทำงานร่วมกันทั้งหมด ตั้งแต่การประชุม ไปจนถึงการแก้ไขโค้ดพร้อมกันแบบเรียลไทม์ จุดเด่นคือการทำงานร่วมกันที่ไร้รอยต่อ ไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือแชร์ลิงก์ซ้ำซ้อน ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้เหมือนนั่งทำงานข้างกัน แม้จะอยู่คนละซีกโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ Zed ใช้เทคโนโลยี CRDTs เพื่อให้การแก้ไขไฟล์หลายคนพร้อมกันไม่เกิดความขัดแย้ง และยังมีระบบช่อง (channels) ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องประชุมเสมือนจริง มีทั้งพื้นที่สำหรับการประชุมใหญ่ การทำงานโครงการ และแม้แต่ “โต๊ะทำงานส่วนตัว” ของแต่ละคน ทำให้การทำงานแบบ remote มีความใกล้เคียงกับการทำงานในออฟฟิศจริงมากขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ Zed เป็นสำนักงานเสมือนจริง ➡️ ใช้สำหรับประชุม all-hands, retrospectives, demos ➡️ มีระบบ channels และ subchannels สำหรับโครงการและงานส่วนตัว ✅ จุดเด่นของ Zed ➡️ ใช้ CRDTs ป้องกันความขัดแย้งในการแก้ไขไฟล์ ➡️ มีระบบเสียงและแชร์หน้าจอในตัว ไม่ต้องใช้ Zoom/Slack ✅ การใช้งานจริง ➡️ ทีมงานใช้ Zed สร้าง Zed เอง ➡️ มีการเปิดช่องสาธารณะให้คนภายนอกเข้ามาดูการทำงาน ‼️ คำเตือน ⛔ หากระบบ collaboration ล้มเหลว อาจกระทบการทำงานทั้งบริษัท ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อความยืดหยุ่น https://zed.dev/blog/zed-is-our-office
    ZED.DEV
    Zed Is Our Office - Zed Blog
    From the Zed Blog: A look at how we use Zed's native collaboration features to run our entire company.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโอไฮโอ

    Google ลงนามสัญญากับ TotalEnergies เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากฟาร์ม Montpelier ในรัฐโอไฮโอ เป็นเวลา 15 ปี รวมปริมาณกว่า 1.5 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ฟาร์มนี้มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และจะส่งพลังงานส่วนใหญ่ไปยังศูนย์ข้อมูลของ Google

    แม้จะเป็นข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อกังวลว่าพลังงานที่ผลิตได้อาจไม่เหลือให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

    อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นสัญญาณบวกที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ TotalEnergies เองก็มีแผนลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ รวมกว่า 10 กิกะวัตต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/google-strikes-massive-deal-to-buy-1-5-terawatt-hours-of-ohio-solar-capacity-15-year-deal-will-see-most-of-50-megawatt-solar-farms-capacity-diverted-to-data-centers
    ☀️ Google ซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากโอไฮโอ Google ลงนามสัญญากับ TotalEnergies เพื่อซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากฟาร์ม Montpelier ในรัฐโอไฮโอ เป็นเวลา 15 ปี รวมปริมาณกว่า 1.5 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ฟาร์มนี้มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และจะส่งพลังงานส่วนใหญ่ไปยังศูนย์ข้อมูลของ Google แม้จะเป็นข่าวดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีข้อกังวลว่าพลังงานที่ผลิตได้อาจไม่เหลือให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ เนื่องจากศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานมหาศาล อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ซึ่งอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานหมุนเวียนถือเป็นสัญญาณบวกที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และ TotalEnergies เองก็มีแผนลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐฯ รวมกว่า 10 กิกะวัตต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/google-strikes-massive-deal-to-buy-1-5-terawatt-hours-of-ohio-solar-capacity-15-year-deal-will-see-most-of-50-megawatt-solar-farms-capacity-diverted-to-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเร่งใช้ชิป AI พัฒนาเอง หลังถูกจำกัดการนำเข้า

    รัฐบาลจีนเริ่มเข้ามากำกับดูแลการจัดสรรชิป AI ระดับสูง เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขาดแคลน GPU ของ Nvidia บริษัทคลาวด์รายใหญ่ในจีน เช่น Alibaba และ Baidu จึงหันมาใช้ชิปที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910B และรุ่นใหม่ 910C ซึ่งแม้จะไม่แรงเท่า Nvidia แต่ก็ถูกนำมาใช้จริงในงานฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จีนต้องเขียนซอฟต์แวร์ใหม่และปรับโครงสร้างงานให้เข้ากับชิปที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ปัญหาที่ตามมาคือแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่ยังไม่เพียงพอ และการผลิต HBM ในประเทศยังไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การผลักดันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนลดการพึ่งพาต่างชาติ

    นอกจากนั้นยังมีการใช้วิธีเลี่ยง เช่น การนำชิป Nvidia มือสองเข้ามา หรือใช้บริษัทสาขาในต่างประเทศเพื่อฝึกโมเดล แต่แนวโน้มชัดเจนว่าตลาดจีนกำลังหันไปพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น

    จีนหันมาใช้ชิป AI ที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910C
    ถูกใช้จริงในการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่

    Alibaba และ Baidu ปรับแพลตฟอร์มให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์จีน
    ลดการพึ่งพา Nvidia

    รัฐบาลจีนเข้ามากำกับการจัดสรรชิปโดยตรง
    เน้นให้โครงการรัฐและคลาวด์ใช้ชิปในประเทศ

    ชิปจีนยังด้อยกว่า Nvidia ในด้านประสิทธิภาพ
    อาจทำให้การฝึกโมเดลใช้เวลานานขึ้น

    ปัญหาหน่วยความจำ HBM ยังไม่ถูกแก้ไข
    เสี่ยงต่อการชะลอการพัฒนา AI ในประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinas-ai-chip-pivot-accelerates-as-us-export-restrictions-bite
    🇨🇳 จีนเร่งใช้ชิป AI พัฒนาเอง หลังถูกจำกัดการนำเข้า รัฐบาลจีนเริ่มเข้ามากำกับดูแลการจัดสรรชิป AI ระดับสูง เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกจากสหรัฐฯ ทำให้เกิดการขาดแคลน GPU ของ Nvidia บริษัทคลาวด์รายใหญ่ในจีน เช่น Alibaba และ Baidu จึงหันมาใช้ชิปที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910B และรุ่นใหม่ 910C ซึ่งแม้จะไม่แรงเท่า Nvidia แต่ก็ถูกนำมาใช้จริงในงานฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้จีนต้องเขียนซอฟต์แวร์ใหม่และปรับโครงสร้างงานให้เข้ากับชิปที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ปัญหาที่ตามมาคือแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่ยังไม่เพียงพอ และการผลิต HBM ในประเทศยังไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การผลักดันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนลดการพึ่งพาต่างชาติ นอกจากนั้นยังมีการใช้วิธีเลี่ยง เช่น การนำชิป Nvidia มือสองเข้ามา หรือใช้บริษัทสาขาในต่างประเทศเพื่อฝึกโมเดล แต่แนวโน้มชัดเจนว่าตลาดจีนกำลังหันไปพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น ✅ จีนหันมาใช้ชิป AI ที่ผลิตเอง เช่น Huawei Ascend 910C ➡️ ถูกใช้จริงในการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ✅ Alibaba และ Baidu ปรับแพลตฟอร์มให้ทำงานบนฮาร์ดแวร์จีน ➡️ ลดการพึ่งพา Nvidia ✅ รัฐบาลจีนเข้ามากำกับการจัดสรรชิปโดยตรง ➡️ เน้นให้โครงการรัฐและคลาวด์ใช้ชิปในประเทศ ‼️ ชิปจีนยังด้อยกว่า Nvidia ในด้านประสิทธิภาพ ⛔ อาจทำให้การฝึกโมเดลใช้เวลานานขึ้น ‼️ ปัญหาหน่วยความจำ HBM ยังไม่ถูกแก้ไข ⛔ เสี่ยงต่อการชะลอการพัฒนา AI ในประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chinas-ai-chip-pivot-accelerates-as-us-export-restrictions-bite
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์

    หน่วยงานความปลอดภัยไซเบอร์ของจีน (CVERC) กล่าวหาว่าสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin จำนวน 127,272 เหรียญ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์ จากการแฮ็กในปี 2020 โดยเชื่อมโยงกับบริษัท Prince Group ของ Chen Zhi ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกิจหลอกลวงในกัมพูชา ขณะที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงินและการฉ้อโกง

    สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนคือ Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้การยึดหรือการอ้างสิทธิ์เป็นเรื่องยากต่อการพิสูจน์ และยังมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ประเด็นนี้ร้อนแรงขึ้น

    กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงของการถือครองคริปโต เพราะแม้จะมีมูลค่ามหาศาล แต่หากถูกยึดหรือแฮ็กก็ยากที่จะติดตามหรือเรียกร้องสิทธิ์คืนได้ และยังมีประเด็นว่าการแฮ็กครั้งนี้อาจเป็นการปฏิบัติการระดับรัฐ ไม่ใช่แค่แฮ็กเกอร์ทั่วไป

    จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin 127,272 เหรียญ
    มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์

    สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงิน
    เชื่อมโยงกับ Chen Zhi และ Prince Group

    ความเสี่ยงของการถือครองคริปโต
    ไม่มีเขตอำนาจชัดเจน ทำให้ยากต่อการปกป้องสิทธิ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/china-accuses-washington-of-stealing-usd13-billion-worth-of-bitcoin-in-alleged-hack-127-272-tokens-seized-from-prince-group-after-owner-chen-zhi-was-indicted-for-wire-fraud-and-money-laundering-u-s-alleges
    💰 จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์ หน่วยงานความปลอดภัยไซเบอร์ของจีน (CVERC) กล่าวหาว่าสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin จำนวน 127,272 เหรียญ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์ จากการแฮ็กในปี 2020 โดยเชื่อมโยงกับบริษัท Prince Group ของ Chen Zhi ที่ถูกกล่าวหาว่าทำธุรกิจหลอกลวงในกัมพูชา ขณะที่สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงินและการฉ้อโกง สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนคือ Bitcoin ไม่ได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้การยึดหรือการอ้างสิทธิ์เป็นเรื่องยากต่อการพิสูจน์ และยังมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ประเด็นนี้ร้อนแรงขึ้น กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงของการถือครองคริปโต เพราะแม้จะมีมูลค่ามหาศาล แต่หากถูกยึดหรือแฮ็กก็ยากที่จะติดตามหรือเรียกร้องสิทธิ์คืนได้ และยังมีประเด็นว่าการแฮ็กครั้งนี้อาจเป็นการปฏิบัติการระดับรัฐ ไม่ใช่แค่แฮ็กเกอร์ทั่วไป ✅ จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ขโมย Bitcoin 127,272 เหรียญ ➡️ มูลค่ากว่า 13 พันล้านดอลลาร์ ✅ สหรัฐฯ ยืนยันว่าเป็นการยึดทรัพย์จากการฟอกเงิน ➡️ เชื่อมโยงกับ Chen Zhi และ Prince Group ‼️ ความเสี่ยงของการถือครองคริปโต ⛔ ไม่มีเขตอำนาจชัดเจน ทำให้ยากต่อการปกป้องสิทธิ์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/china-accuses-washington-of-stealing-usd13-billion-worth-of-bitcoin-in-alleged-hack-127-272-tokens-seized-from-prince-group-after-owner-chen-zhi-was-indicted-for-wire-fraud-and-money-laundering-u-s-alleges
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kyocera พัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารใต้น้ำด้วยเลเซอร์

    บริษัท Kyocera จากญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยี Underwater Optical Communications (UWOC) ที่ใช้เลเซอร์ในการส่งข้อมูลใต้น้ำ ความเร็วสูงสุดถึง 5.2 Gbps ซึ่งเร็วกว่าระบบสื่อสารใต้น้ำแบบเสียงที่ทำได้เพียงไม่กี่ Mbps เท่านั้น จุดเด่นคือสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์จากโดรนใต้น้ำ เช่น ภาพถ่ายความละเอียดสูง วิดีโอสด และข้อมูลจากเซ็นเซอร์

    เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างใต้น้ำ เช่น ท่อส่งน้ำมัน สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือแม้แต่การติดตามสัตว์ทะเลที่ติดแท็กไว้ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร เช่น การสื่อสารกับโดรนใต้น้ำจากเรือดำน้ำหรือเรือรบ

    อย่างไรก็ตาม UWOC มีข้อจำกัดคือระยะทางสั้น (ประมาณ 100 เมตร) และต้องใช้การมองเห็นตรง ๆ ระหว่างตัวส่งและตัวรับ หากมีสิ่งกีดขวาง เช่น ปลา หรือความขุ่นของน้ำ ก็อาจทำให้สัญญาณขาดหายได้ แต่ข้อดีคือยากต่อการดักฟังเมื่อเทียบกับสัญญาณเสียงที่กระจายไปทุกทิศทาง

    Kyocera พัฒนา UWOC ด้วยเลเซอร์ความเร็ว 5.2 Gbps
    เหมาะสำหรับโดรนใต้น้ำและการตรวจสอบโครงสร้าง

    มีศักยภาพใช้ในงานทหารและติดตามสัตว์ทะเล
    สามารถสื่อสารกับหลายเซ็นเซอร์พร้อมกัน

    ระยะทางจำกัดและต้องใช้ line-of-sight
    สิ่งกีดขวางหรือความขุ่นของน้ำอาจทำให้สัญญาณขาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/kyocera-develops-wireless-underwater-optical-communications-technology-uses-lasers-to-achieve-5-2-gbps-at-short-distances
    🌊 Kyocera พัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารใต้น้ำด้วยเลเซอร์ บริษัท Kyocera จากญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยี Underwater Optical Communications (UWOC) ที่ใช้เลเซอร์ในการส่งข้อมูลใต้น้ำ ความเร็วสูงสุดถึง 5.2 Gbps ซึ่งเร็วกว่าระบบสื่อสารใต้น้ำแบบเสียงที่ทำได้เพียงไม่กี่ Mbps เท่านั้น จุดเด่นคือสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์จากโดรนใต้น้ำ เช่น ภาพถ่ายความละเอียดสูง วิดีโอสด และข้อมูลจากเซ็นเซอร์ เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างใต้น้ำ เช่น ท่อส่งน้ำมัน สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือแม้แต่การติดตามสัตว์ทะเลที่ติดแท็กไว้ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร เช่น การสื่อสารกับโดรนใต้น้ำจากเรือดำน้ำหรือเรือรบ อย่างไรก็ตาม UWOC มีข้อจำกัดคือระยะทางสั้น (ประมาณ 100 เมตร) และต้องใช้การมองเห็นตรง ๆ ระหว่างตัวส่งและตัวรับ หากมีสิ่งกีดขวาง เช่น ปลา หรือความขุ่นของน้ำ ก็อาจทำให้สัญญาณขาดหายได้ แต่ข้อดีคือยากต่อการดักฟังเมื่อเทียบกับสัญญาณเสียงที่กระจายไปทุกทิศทาง ✅ Kyocera พัฒนา UWOC ด้วยเลเซอร์ความเร็ว 5.2 Gbps ➡️ เหมาะสำหรับโดรนใต้น้ำและการตรวจสอบโครงสร้าง ✅ มีศักยภาพใช้ในงานทหารและติดตามสัตว์ทะเล ➡️ สามารถสื่อสารกับหลายเซ็นเซอร์พร้อมกัน ‼️ ระยะทางจำกัดและต้องใช้ line-of-sight ⛔ สิ่งกีดขวางหรือความขุ่นของน้ำอาจทำให้สัญญาณขาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/kyocera-develops-wireless-underwater-optical-communications-technology-uses-lasers-to-achieve-5-2-gbps-at-short-distances
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นธุรกิจใหม่

    เรื่องนี้เล่าเหมือนการเดินทางของอดีต CISO หลายคนที่เบื่อกับข้อจำกัดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ไม่พอ เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม หรือการเมืองภายในบริษัท พวกเขาเลือกที่จะออกมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เคยเจอและพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้

    Paul Hadjy ก่อตั้ง Horangi เพื่อเน้นความปลอดภัยบนคลาวด์ในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมากนัก เขาเชื่อว่าการทำให้ลูกค้าเห็นความปลอดภัยชัดเจนจะสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ส่วน Joe Silva ก่อตั้ง Spektion เพราะเบื่อกับการแก้ปัญหาช่องโหว่ซ้ำ ๆ แบบ “Groundhog Day” เขาอยากเปลี่ยนการจัดการช่องโหว่จากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องวิศวกรรมที่แก้ได้จริง

    Chris Pierson ก่อตั้ง BlackCloak เพื่อปกป้องชีวิตดิจิทัลของผู้บริหารนอกเหนือจากไฟร์วอลล์องค์กร เพราะเขาเห็นว่าผู้โจมตีเริ่มเล็งเป้าหมายไปที่บ้านและชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร ส่วน Michael Coates อดีต CISO ของ Twitter ก่อตั้ง Altitude Networks เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ก่อนจะขายกิจการและไปทำกองทุนลงทุนด้านความปลอดภัย

    การก่อตั้งบริษัทใหม่จากอดีต CISO
    Horangi เน้นความปลอดภัยคลาวด์ในเอเชีย
    Spektion แก้ปัญหาช่องโหว่แบบเชิงวิศวกรรม
    BlackCloak ปกป้องชีวิตดิจิทัลผู้บริหาร
    Altitude Networks ตรวจสอบการแชร์ไฟล์บนคลาวด์

    ความเสี่ยงและความท้าทายของผู้ก่อตั้ง
    เงินทุนใกล้หมดและต้องตัดค่าใช้จ่าย
    ความเครียดจากการตัดสินใจที่ยากและการรับผิดชอบทั้งหมด
    การโจมตีที่เล็งเป้าหมายไปยังชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร

    https://www.csoonline.com/article/4084574/the-security-leaders-who-turned-their-frustrations-into-companies.html
    🛡️ ผู้นำด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนความหงุดหงิดเป็นธุรกิจใหม่ เรื่องนี้เล่าเหมือนการเดินทางของอดีต CISO หลายคนที่เบื่อกับข้อจำกัดในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ไม่พอ เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม หรือการเมืองภายในบริษัท พวกเขาเลือกที่จะออกมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่เคยเจอและพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัย” ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้ Paul Hadjy ก่อตั้ง Horangi เพื่อเน้นความปลอดภัยบนคลาวด์ในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมากนัก เขาเชื่อว่าการทำให้ลูกค้าเห็นความปลอดภัยชัดเจนจะสร้างความไว้วางใจและกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ ส่วน Joe Silva ก่อตั้ง Spektion เพราะเบื่อกับการแก้ปัญหาช่องโหว่ซ้ำ ๆ แบบ “Groundhog Day” เขาอยากเปลี่ยนการจัดการช่องโหว่จากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องวิศวกรรมที่แก้ได้จริง Chris Pierson ก่อตั้ง BlackCloak เพื่อปกป้องชีวิตดิจิทัลของผู้บริหารนอกเหนือจากไฟร์วอลล์องค์กร เพราะเขาเห็นว่าผู้โจมตีเริ่มเล็งเป้าหมายไปที่บ้านและชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร ส่วน Michael Coates อดีต CISO ของ Twitter ก่อตั้ง Altitude Networks เพื่อแก้ปัญหาการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ที่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ก่อนจะขายกิจการและไปทำกองทุนลงทุนด้านความปลอดภัย ✅ การก่อตั้งบริษัทใหม่จากอดีต CISO ➡️ Horangi เน้นความปลอดภัยคลาวด์ในเอเชีย ➡️ Spektion แก้ปัญหาช่องโหว่แบบเชิงวิศวกรรม ➡️ BlackCloak ปกป้องชีวิตดิจิทัลผู้บริหาร ➡️ Altitude Networks ตรวจสอบการแชร์ไฟล์บนคลาวด์ ‼️ ความเสี่ยงและความท้าทายของผู้ก่อตั้ง ⛔ เงินทุนใกล้หมดและต้องตัดค่าใช้จ่าย ⛔ ความเครียดจากการตัดสินใจที่ยากและการรับผิดชอบทั้งหมด ⛔ การโจมตีที่เล็งเป้าหมายไปยังชีวิตส่วนตัวของผู้บริหาร https://www.csoonline.com/article/4084574/the-security-leaders-who-turned-their-frustrations-into-companies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The security leaders who turned their frustrations into companies
    Former CISOs share their experience after successfully founding security companies. CSO spoke to Paul Hadjy, Joe Silva, Chris Pierson and Michael Coates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท”

    วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา

    เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์

    สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum
    การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ

    Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ
    ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ
    ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์
    คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน

    ความสำคัญของ First-Mover Advantage
    ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง
    ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก
    การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    🚀 หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท” วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum 🔰 การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น 🔰 อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ ✅ Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ ➡️ ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์ ➡️ คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน ✅ ความสำคัญของ First-Mover Advantage ➡️ ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง ⛔ ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก ⛔ การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitwise sparks industry scramble with Solana ETF launch
    (Reuters) -Crypto firm Bitwise Asset Management's successful push to launch the first U.S. spot Solana ETF while the Securities and Exchange Commission was shut down has upended the regulatory playbook and forced competitors to rethink their product plans, said industry executives.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: Rockwell Automation แก้ไขช่องโหว่ Privilege Escalation ใน Verve Asset Manager

    Rockwell Automation ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิ์ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin และจัดการบัญชีผู้ใช้ได้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจนระบบ ICS/OT หยุดทำงาน

    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบจากการทดสอบภายในของ Rockwell Automation โดยพบว่า API ของ Verve Asset Manager ไม่ได้บังคับตรวจสอบสิทธิ์อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียง read-only สามารถ:
    อ่านข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด
    แก้ไขข้อมูลผู้ใช้
    ลบบัญชีผู้ใช้ รวมถึงบัญชี admin

    ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถ ยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ และอาจลบหรือปิดกั้นบัญชี admin เพื่อทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่อันตรายมากสำหรับระบบ ICS (Industrial Control Systems) และ OT (Operational Technology) ที่ Verve Asset Manager ใช้ในการจัดการ

    Rockwell Automation ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์สูงสุดในระบบ
    ระบบ ICS/OT มักใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิต และสาธารณูปโภค หากถูกโจมตีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่
    CVSS 9.9 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด
    แนวโน้มการโจมตี ICS/OT เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่ม APT ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ช่องโหว่ CVE-2025-11862 ใน Verve Asset Manager
    ผู้ใช้ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin ผ่าน API

    ผลกระทบต่อระบบ ICS/OT
    อาจทำให้ผู้โจมตีควบคุมระบบ, ลบบัญชี admin, และหยุดการทำงาน

    แพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42
    Rockwell Automation แนะนำให้อัปเดตทันที

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้งาน Verve Asset Manager
    หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและระบบหยุดชะงัก
    ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับ Critical (CVSS 9.9) ต้องจัดการโดยด่วน

    https://securityonline.info/rockwell-automation-fixes-critical-privilege-escalation-flaw-in-verve-asset-manager-cve-2025-11862-cvss-9-9/
    ⚠️ ข่าวใหญ่: Rockwell Automation แก้ไขช่องโหว่ Privilege Escalation ใน Verve Asset Manager Rockwell Automation ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิ์ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin และจัดการบัญชีผู้ใช้ได้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจนระบบ ICS/OT หยุดทำงาน ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบจากการทดสอบภายในของ Rockwell Automation โดยพบว่า API ของ Verve Asset Manager ไม่ได้บังคับตรวจสอบสิทธิ์อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียง read-only สามารถ: 🪲 อ่านข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด 🪲 แก้ไขข้อมูลผู้ใช้ 🪲 ลบบัญชีผู้ใช้ รวมถึงบัญชี admin ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถ ยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ และอาจลบหรือปิดกั้นบัญชี admin เพื่อทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่อันตรายมากสำหรับระบบ ICS (Industrial Control Systems) และ OT (Operational Technology) ที่ Verve Asset Manager ใช้ในการจัดการ Rockwell Automation ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์สูงสุดในระบบ 💠 ระบบ ICS/OT มักใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิต และสาธารณูปโภค หากถูกโจมตีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่ 💠 CVSS 9.9 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด 💠 แนวโน้มการโจมตี ICS/OT เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่ม APT ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-11862 ใน Verve Asset Manager ➡️ ผู้ใช้ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin ผ่าน API ✅ ผลกระทบต่อระบบ ICS/OT ➡️ อาจทำให้ผู้โจมตีควบคุมระบบ, ลบบัญชี admin, และหยุดการทำงาน ✅ แพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 ➡️ Rockwell Automation แนะนำให้อัปเดตทันที ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้งาน Verve Asset Manager ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและระบบหยุดชะงัก ⛔ ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับ Critical (CVSS 9.9) ต้องจัดการโดยด่วน https://securityonline.info/rockwell-automation-fixes-critical-privilege-escalation-flaw-in-verve-asset-manager-cve-2025-11862-cvss-9-9/
    SECURITYONLINE.INFO
    Rockwell Automation Fixes Critical Privilege Escalation Flaw in Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9)
    Rockwell patched a critical API flaw (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) in Verve Asset Manager, allowing read-only users to escalate privileges and fully compromise OT systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts