• Operation Sentinel: Interpol ผนึก 19 ชาติแอฟริกา จับ 574 ผู้ต้องสงสัย — ถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 ตัว ปิดลิงก์มุ่งร้ายกว่า 6,000 รายการ

    ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของ Interpol ภายใต้ชื่อ Operation Sentinel ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 27 พฤศจิกายน สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยด้านอาชญากรรมไซเบอร์ได้มากถึง 574 รายใน 19 ประเทศทั่วแอฟริกา พร้อมทั้งปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงินได้ราว 3 ล้านดอลลาร์ จากการถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 สายพันธุ์ที่ใช้โจมตีองค์กรในภูมิภาคนี้

    ภัยคุกคามหลักที่พบในปฏิบัติการครั้งนี้คือ Business Email Compromise (BEC), การกรรโชกดิจิทัล และแรนซัมแวร์ ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 21 ล้านดอลลาร์ หนึ่งในคดีใหญ่เกิดขึ้นในเซเนกัล เมื่อแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบอีเมลของบริษัทพลังงานรายใหญ่และพยายามสั่งโอนเงิน 7.9 ล้านดอลลาร์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีปลายทางได้ทันเวลา

    ในกานา เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์มัลแวร์ขั้นสูงจนสร้าง เครื่องมือถอดรหัสเอง ช่วยกู้ข้อมูลได้เกือบ 30TB จากทั้งหมด 100TB ที่ถูกเข้ารหัส พร้อมระบุสายพันธุ์แรนซัมแวร์ที่ใช้โจมตีได้สำเร็จ นี่สะท้อนให้เห็นว่าศูนย์ปฏิบัติการไซเบอร์ในแอฟริกากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเริ่มมีความสามารถด้าน Forensics ที่ทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น

    Interpol ระบุว่าการโจมตีไซเบอร์ในแอฟริกากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกว่า 30% ของอาชญากรรมที่รายงานในแอฟริกาตะวันตกและตะวันออกเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ และสองในสามของประเทศสมาชิกระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์มีสัดส่วนระดับ “กลางถึงสูง” ของคดีทั้งหมด ปฏิบัติการ Sentinel จึงเป็นสัญญาณว่าภูมิภาคนี้กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องรับมือภัยไซเบอร์อย่างจริงจังและเป็นระบบมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผลลัพธ์สำคัญจาก Operation Sentinel
    จับกุมผู้ต้องสงสัย 574 รายใน 19 ประเทศแอฟริกา
    ปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงิน 3 ล้านดอลลาร์
    ถอดรหัสแรนซัมแวร์ได้ 6 สายพันธุ์ ช่วยกู้ข้อมูลจำนวนมาก
    คดีใหญ่ในเซเนกัล: ป้องกันการโอนเงินผิดกฎหมาย 7.9 ล้านดอลลาร์ ได้ทันเวลา

    ความเสี่ยงและสัญญาณเตือนจากข้อมูลในข่าว
    BEC ยังคงเป็นภัยอันดับหนึ่ง ในหลายประเทศแอฟริกา
    แรนซัมแวร์ยังคงโจมตีสถาบันการเงินและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างต่อเนื่อง
    อาชญากรรมไซเบอร์คิดเป็น 30% ของคดีทั้งหมด ในบางภูมิภาคของแอฟริกา
    เครือข่ายอาชญากรมีความร่วมมือข้ามประเทศมากขึ้น ทำให้ตรวจจับยากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/interpol-led-cybercrime-crackdown-results-in-574-arrests-in-19-african-nations-decrypts-six-ransomware-variants-operation-sentinel-disrupts-rings-that-caused-usd21-million-in-losses-recovers-usd3-million
    🛡️🌍 Operation Sentinel: Interpol ผนึก 19 ชาติแอฟริกา จับ 574 ผู้ต้องสงสัย — ถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 ตัว ปิดลิงก์มุ่งร้ายกว่า 6,000 รายการ ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของ Interpol ภายใต้ชื่อ Operation Sentinel ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 27 พฤศจิกายน สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยด้านอาชญากรรมไซเบอร์ได้มากถึง 574 รายใน 19 ประเทศทั่วแอฟริกา พร้อมทั้งปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงินได้ราว 3 ล้านดอลลาร์ จากการถอดรหัสแรนซัมแวร์ 6 สายพันธุ์ที่ใช้โจมตีองค์กรในภูมิภาคนี้ ภัยคุกคามหลักที่พบในปฏิบัติการครั้งนี้คือ Business Email Compromise (BEC), การกรรโชกดิจิทัล และแรนซัมแวร์ ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 21 ล้านดอลลาร์ หนึ่งในคดีใหญ่เกิดขึ้นในเซเนกัล เมื่อแฮกเกอร์เข้าควบคุมระบบอีเมลของบริษัทพลังงานรายใหญ่และพยายามสั่งโอนเงิน 7.9 ล้านดอลลาร์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่อายัดบัญชีปลายทางได้ทันเวลา ในกานา เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์มัลแวร์ขั้นสูงจนสร้าง เครื่องมือถอดรหัสเอง ช่วยกู้ข้อมูลได้เกือบ 30TB จากทั้งหมด 100TB ที่ถูกเข้ารหัส พร้อมระบุสายพันธุ์แรนซัมแวร์ที่ใช้โจมตีได้สำเร็จ นี่สะท้อนให้เห็นว่าศูนย์ปฏิบัติการไซเบอร์ในแอฟริกากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเริ่มมีความสามารถด้าน Forensics ที่ทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น Interpol ระบุว่าการโจมตีไซเบอร์ในแอฟริกากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกว่า 30% ของอาชญากรรมที่รายงานในแอฟริกาตะวันตกและตะวันออกเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ และสองในสามของประเทศสมาชิกระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์มีสัดส่วนระดับ “กลางถึงสูง” ของคดีทั้งหมด ปฏิบัติการ Sentinel จึงเป็นสัญญาณว่าภูมิภาคนี้กำลังก้าวสู่ยุคที่ต้องรับมือภัยไซเบอร์อย่างจริงจังและเป็นระบบมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผลลัพธ์สำคัญจาก Operation Sentinel ➡️ จับกุมผู้ต้องสงสัย 574 รายใน 19 ประเทศแอฟริกา ➡️ ปิดลิงก์อันตรายกว่า 6,000 รายการ และกู้คืนเงิน 3 ล้านดอลลาร์ ➡️ ถอดรหัสแรนซัมแวร์ได้ 6 สายพันธุ์ ช่วยกู้ข้อมูลจำนวนมาก ➡️ คดีใหญ่ในเซเนกัล: ป้องกันการโอนเงินผิดกฎหมาย 7.9 ล้านดอลลาร์ ได้ทันเวลา ‼️ ความเสี่ยงและสัญญาณเตือนจากข้อมูลในข่าว ⛔ BEC ยังคงเป็นภัยอันดับหนึ่ง ในหลายประเทศแอฟริกา ⛔ แรนซัมแวร์ยังคงโจมตีสถาบันการเงินและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างต่อเนื่อง ⛔ อาชญากรรมไซเบอร์คิดเป็น 30% ของคดีทั้งหมด ในบางภูมิภาคของแอฟริกา ⛔ เครือข่ายอาชญากรมีความร่วมมือข้ามประเทศมากขึ้น ทำให้ตรวจจับยากขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/interpol-led-cybercrime-crackdown-results-in-574-arrests-in-19-african-nations-decrypts-six-ransomware-variants-operation-sentinel-disrupts-rings-that-caused-usd21-million-in-losses-recovers-usd3-million
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷

    #รวมข่าวIT #20251223 #securityonline

    Hardware‑Accelerated BitLocker: ยุคใหม่ของการเข้ารหัสที่ไม่กิน FPS อีกต่อไป
    Microsoft เปิดตัว BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งย้ายภาระการเข้ารหัสจาก CPU ไปยังเอนจินเฉพาะในคอนโทรลเลอร์ NVMe ทำให้ Windows 11 สามารถรักษาความเร็วอ่าน–เขียนระดับเกือบเนทีฟแม้เปิดการเข้ารหัสเต็มระบบ ต่างจากแบบเดิมที่ใช้ซอฟต์แวร์ล้วนและกินทรัพยากรจนกระทบ FPS ในเกมหรือโหลดงานหนักอย่างคอมไพล์โค้ดและเรนเดอร์วิดีโอ เทคโนโลยีใหม่นี้ยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยการเก็บกุญแจเข้ารหัสในฮาร์ดแวร์ที่แยกตัว ลดโอกาสโจมตีหน่วยความจำ พร้อมประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยจะเปิดใช้ใน Windows 11 24H2–25H2 บนอุปกรณ์ที่มี NVMe controller รุ่นใหม่และ CPU ที่มี crypto engine ในตัว เช่น Intel Core Ultra, AMD Ryzen และ Snapdragon X ซึ่งหมายความว่า HDD และ SATA SSD จะไม่รองรับแน่นอน
    https://securityonline.info/unlocking-the-speed-of-light-how-hardware-accelerated-bitlocker-saves-your-fps/

    The Payroll Trap: แคมเปญ Quishing ใหม่ใช้ QR + CAPTCHA ปลอมเพื่อขโมยเงินเดือนพนักงาน
    แคมเปญฟิชชิงรูปแบบใหม่กำลังพุ่งเป้าไปที่พนักงานโดยใช้ QR code เพื่อหลบระบบความปลอดภัยขององค์กร ก่อนล่อให้เหยื่อสแกนด้วยมือถือส่วนตัวและพาออกนอกเครือข่ายบริษัท จากนั้นหน้าเว็บปลอมจะใช้ CAPTCHA หลอกเพื่อดึงอีเมลและกระตุ้นให้กรอกรหัสผ่าน โดยโครงสร้างหลังบ้านใช้โดเมนหมุนเวียนและ URL เฉพาะรายเหยื่อ ทำให้สืบสวนได้ยากขึ้น สะท้อนการยกระดับฟิชชิงที่ผสานเทคนิคและจิตวิทยาอย่างแนบเนียน
    https://securityonline.info/the-payroll-trap-new-quishing-campaign-uses-fake-captchas-to-hijack-employee-paychecks

    Zero‑Day Linksys: ช่องโหว่ Auth Bypass เปิดทางแฮ็กเกอร์ยึดเราเตอร์โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
    นักวิจัยพบช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ Linksys E9450‑SG ที่ทำให้ผู้โจมตีบนเครือข่ายท้องถิ่นสามารถเปิด Telnet และเข้าถึงสิทธิ์ root ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน เพียงส่งคำขอ URL ที่เจาะจงไปยัง endpoint ที่ผิดพลาดของเฟิร์มแวร์ แม้จะไม่ถูกโจมตีจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง แต่ความเสี่ยงต่อผู้ที่มีผู้ใช้ร่วมเครือข่ายหรือ Wi‑Fi รั่วไหลยังสูงมาก
    https://securityonline.info/zero-day-alert-linksys-auth-bypass-lets-hackers-hijack-routers-without-passwords

    Wonderland: มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้ Telegram ควบคุมแบบสองทางเพื่อดูดเงินเหยื่อ
    รายงานจาก Group‑IB เผยการระบาดของมัลแวร์ “Wonderland” ในเอเชียกลาง ซึ่งพัฒนาไปไกลจากโทรจันทั่วไป โดยใช้ dropper ปลอมตัวเป็นไฟล์อัปเดตหรือมีเดียเพื่อหลบการตรวจจับ ก่อนปล่อย payload ที่สื่อสารกับผู้โจมตีแบบ real‑time ผ่าน C2 ทำให้สั่งรัน USSD, ส่ง SMS และขยายการติดเชื้อผ่าน Telegram ของเหยื่อได้โดยอัตโนมัติ แสดงถึงวิวัฒนาการของอาชญากรรมมือถือที่ซับซ้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
    https://securityonline.info/wonderland-unleashed-new-android-dropper-malware-hijacks-telegram-to-drain-bank-accounts

    EchoGather: แคมเปญจารกรรมไซเบอร์ใช้ XLL + เอกสาร AI‑ปลอมเพื่อเจาะองค์กรรัสเซีย
    กลุ่ม Paper Werewolf ปรับยุทธวิธีใหม่ด้วยการใช้ไฟล์ XLL ซึ่งเป็น DLL ที่ Excel โหลดตรง ทำให้รันโค้ดได้โดยไม่ติดข้อจำกัดของมาโคร พร้อมเทคนิคหน่วงเวลาการทำงานเพื่อหลบระบบตรวจจับ เมื่อ payload ทำงานจะติดตั้ง backdoor “EchoGather” สำหรับเก็บข้อมูลและสั่งงานผ่าน HTTPS ขณะเดียวกันเอกสารล่อเหยื่อที่แนบมากลับถูกสร้างด้วย AI และมีข้อผิดพลาดหลายจุด สะท้อนการผสมผสานระหว่างเทคนิคขั้นสูงและความลวกของมนุษย์
    https://securityonline.info/ai-generated-decoys-xll-stealth-inside-the-new-echogather-cyber-espionage-campaign

    React2Shell Exploited: EtherRAT ใช้ Node.js ปลอมตัวเพื่อล่าคริปโตจากเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก
    แคมเปญโจมตีอัตโนมัติใช้ช่องโหว่ React2Shell เพื่อฝัง EtherRAT บนเซิร์ฟเวอร์ โดยดาวน์โหลด Node.js เวอร์ชันจริงมาติดตั้งเพื่อรันสคริปต์โจมตี ทำให้ยากต่อการตรวจจับ จากนั้นมัลแวร์จะเชื่อมต่อ RPC ของ Ethereum เพื่อทำธุรกรรมกับสัญญาเฉพาะ เป้าหมายคือขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลจากระบบที่ถูกยึดแบบไร้การเจาะจงประเทศ ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ process Node.js แปลกปลอมและโฟลเดอร์ซ่อนใน home path
    https://securityonline.info/react2shell-exploited-new-etherrat-malware-hunts-for-crypto-via-node-js

    M‑Files Identity Hijack: ช่องโหว่ให้พนักงานขโมยตัวตนกันเองได้เงียบ ๆ
    แพลตฟอร์มจัดการเอกสาร M‑Files ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดทางให้ “ผู้ใช้ภายใน” สามารถดัก session token ของเพื่อนร่วมงานและสวมรอยเข้าถึงข้อมูลลับได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย ทำให้การตรวจสอบย้อนหลังแทบเป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกช่องโหว่ทำให้ข้อมูลจาก vault เก่ารั่วไหลไปยัง vault ใหม่โดยไม่ตั้งใจ สะท้อนความเสี่ยงของระบบที่องค์กรพึ่งพาในงานเอกสารระดับ mission‑critical และจำเป็นต้องอัปเดตแพตช์ทันทีเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้
    https://securityonline.info/identity-theft-in-m-files-high-severity-flaw-lets-insiders-hijack-user-accounts-and-access-sensitive-data

    Purchase Order Deception: แคมเปญจารกรรมใช้ loader อเนกประสงค์โจมตีอุตสาหกรรมยุโรป–ตะวันออกกลาง
    รายงานใหม่เผยแคมเปญที่ใช้ “unified commodity loader” เป็นแกนกลางในการส่ง RAT หลายตระกูลเข้าโจมตีบริษัทผลิตและหน่วยงานรัฐในอิตาลี ฟินแลนด์ และซาอุฯ โดยซ่อน payload ไว้ในภาพผ่าน steganography และดัดแปลงไลบรารีโอเพ่นซอร์สให้กลายเป็นม้าโทรจันที่ตรวจจับยาก พร้อมเทคนิคหลอก UAC แบบแนบเนียน ทำให้แคมเปญนี้เป็นตัวอย่างของการยกระดับ tradecraft ในตลาดมัลแวร์เชิงพาณิชย์
    https://securityonline.info/purchase-order-deception-sophisticated-loader-targets-manufacturing-giants-in-italy-finland-and-saudi-arabia

    Prince of Persia APT กลับมาพร้อมมัลแวร์ควบคุมผ่าน Telegram หลังเงียบไปหลายปี
    กลุ่ม APT สายอิหร่าน “Prince of Persia / Infy” ถูกพบว่ายังปฏิบัติการอยู่และได้อัปเกรดเครื่องมือใหม่ เช่น Tonnerre v50 ที่สื่อสารผ่าน Telegram group และใช้ DGA ซับซ้อนเพื่อหลบการบล็อก โครงสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่อย่าง Foudre v34 และ Tonnerre v50 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนี้ไม่ได้หายไป แต่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นและตรวจจับยากกว่าเดิม พร้อมหลักฐานว่ามีมนุษย์ควบคุมการโจมตีแบบ real‑time
    https://securityonline.info/iranian-prince-of-persia-apt-resurfaces-with-telegram-controlled-stealth-malware

    Ransomware Cartel: Qilin–DragonForce–LockBit รวมตัวแบบสิ้นหวังท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐ
    ท่ามกลางการกวาดล้างของหน่วยงานรัฐทั่วโลก กลุ่ม Qilin, DragonForce และ LockBit ประกาศตั้ง “คาร์เทล” ร่วมกัน แต่รายงานชี้ว่าการรวมตัวนี้เป็นเพียงความพยายามประคองชื่อเสียงของ LockBit ที่แทบไม่เหลือกิจกรรมจริงแล้ว ขณะที่ Qilin กลับได้ประโยชน์ด้านการตลาดและดึง affiliate ใหม่มากกว่า ภาพรวมสะท้อนการแตกตัวของ ecosystem ransomware และการเปลี่ยนไปสู่โมเดล “ขู่กรรโชกข้อมูลอย่างเดียว” ที่เสี่ยงน้อยกว่าเดิม
    https://securityonline.info/a-desperate-cartel-inside-the-unlikely-alliance-of-qilin-dragonforce-and-a-fading-lockbit

    Scripted Sparrow: เครื่องจักร BEC ระดับอุตสาหกรรมยิงอีเมลหลอกลวงกว่า 3 ล้านฉบับต่อเดือน
    กลุ่มอาชญากร “Scripted Sparrow” ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในการส่งอีเมล BEC โดยปลอมเป็นบริษัทเทรนนิ่งผู้บริหาร พร้อมแนบประวัติการสนทนาปลอมระหว่างผู้บริหารกับที่ปรึกษาเพื่อหลอกฝ่ายบัญชีให้จ่ายเงิน กลยุทธ์ใหม่คือส่งอีเมล “ลืมแนบไฟล์” เพื่อบังคับให้เหยื่อตอบกลับ ทำให้การสนทนากลายเป็น trusted thread และเปิดทางให้ส่งบัญชีม้าได้อย่างปลอดภัย การวิเคราะห์พบสมาชิกกระจายหลายทวีปและใช้เทคนิคปลอมตำแหน่ง GPS เพื่อหลบการติดตาม
    https://securityonline.info/the-3-million-email-siege-inside-scripted-sparrows-global-industrialized-bec-machine

    MongoDB Memory Leak: ช่องโหว่ zlib ทำข้อมูลหลุดโดยไม่ต้องล็อกอิน
    ช่องโหว่ร้ายแรงใน MongoDB (CVE‑2025‑14847) เปิดทางให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลจาก heap memory ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เพียงส่งคำขอที่เจาะจงไปยังส่วนที่ใช้ zlib compression ทำให้เซิร์ฟเวอร์ตอบกลับด้วยข้อมูลที่ยังไม่ได้ล้าง ซึ่งอาจรวมถึง query ล่าสุดหรือ credential ที่ค้างอยู่ใน RAM ช่องโหว่นี้กระทบแทบทุกเวอร์ชันย้อนหลังหลายปี และผู้ดูแลระบบถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีหรือปิดการใช้ zlib ชั่วคราวเพื่อหยุดการรั่วไหล
    https://securityonline.info/critical-unauthenticated-mongodb-flaw-leaks-sensitive-data-via-zlib-compression

    Anna’s Archive อ้างดูด Spotify 300TB จุดชนวนสอบสวนการรั่วไหลครั้งใหญ่
    กลุ่มเงา Anna’s Archive ระบุว่าสามารถ mirror คลังเพลงของ Spotify ได้กว่า 300TB ครอบคลุม 86 ล้านแทร็กที่คิดเป็น 99.6% ของยอดฟังทั้งหมด โดยใช้วิธีเก็บ metadata 256 ล้านรายการและหลุดไฟล์เสียงบางส่วนผ่านการเลี่ยง DRM แม้ Spotify จะยืนยันเพียงว่ามีการเข้าถึงข้อมูลบางส่วน แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์และความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจะถูกนำไปสร้างแพลตฟอร์มสตรีมเถื่อนหรือใช้เทรนโมเดล AI
    https://securityonline.info/annas-archive-claims-300tb-spotify-mirror-forcing-an-investigation-into-a-massive-music-data-leak

    Windows DWM EoP: ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์ด้วยเทคนิค “วาดทับ” พร้อม PoC เผยแพร่แล้ว
    ช่องโหว่ใน Desktop Window Manager (DWM) ของ Windows เปิดทางให้ผู้ใช้ในเครื่องยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น SYSTEM ผ่านการจัดการกราฟิกผิดพลาด โดยมี PoC เผยแพร่แล้วแม้รายงานฉบับเต็มจะถูกล็อกให้เฉพาะผู้สนับสนุน เหตุการณ์นี้เพิ่มแรงกดดันให้ Microsoft ต้องเร่งแพตช์ เพราะเป็นช่องโหว่ที่ผู้โจมตีสามารถใช้ร่วมกับบั๊กอื่นเพื่อยึดระบบได้อย่างรวดเร็ว
    https://securityonline.info/windows-dwm-flaw-lets-local-users-paint-their-way-to-system-privileges-poc-publishes

    Alphabet ทุ่ม $4.75B ซื้อ Intersect Power เพื่อควบคุมไฟฟ้าป้อน Gemini และศูนย์ข้อมูล
    Alphabet เดินเกมเชิงโครงสร้างด้วยการซื้อ Intersect Power เพื่อแก้ปัญหาพลังงานที่กำลังกลายเป็นคอขวดของการแข่งขัน AI โดยดีลนี้ทำให้ Google ควบคุมโครงการพลังงานหมุนเวียนหลายกิกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างติดกับดาต้าเซ็นเตอร์ในเท็กซัส การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าศึก AI ไม่ได้วัดกันที่ชิปหรือโมเดลอีกต่อไป แต่คือใครสร้างโรงไฟฟ้าได้เร็วกว่า
    https://securityonline.info/the-grid-is-the-goal-alphabets-4-75b-bet-to-own-the-power-plants-behind-gemini

    Android Toll: Google เก็บค่าติดตั้ง $2.85 ต่อแอปเมื่อใช้ลิงก์ดาวน์โหลดภายนอก
    ภายใต้แรงกดดันจากคดี Epic vs Google ศาลบีบให้ Google เปิด Play Store ให้ลิงก์ออกไปดาวน์โหลดภายนอกได้ แต่ Google เสนอโมเดลใหม่ที่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมสูง—คิด $2.85 ต่อการติดตั้งแอป และ $3.65 สำหรับเกม หากผู้ใช้ติดตั้งภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลิกลิงก์ พร้อมเก็บส่วนแบ่ง 10–20% สำหรับการจ่ายเงินผ่านระบบของนักพัฒนาเอง ทำให้แม้จะ “เปิด” ระบบ แต่ต้นทุนจริงอาจสูงจนผู้พัฒนาหลายรายไม่อยากออกจาก ecosystem
    https://securityonline.info/the-android-toll-google-to-charge-2-85-per-install-for-external-app-links
    📌🔐🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷🔐📌 #รวมข่าวIT #20251223 #securityonline ⚡ Hardware‑Accelerated BitLocker: ยุคใหม่ของการเข้ารหัสที่ไม่กิน FPS อีกต่อไป Microsoft เปิดตัว BitLocker แบบเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งย้ายภาระการเข้ารหัสจาก CPU ไปยังเอนจินเฉพาะในคอนโทรลเลอร์ NVMe ทำให้ Windows 11 สามารถรักษาความเร็วอ่าน–เขียนระดับเกือบเนทีฟแม้เปิดการเข้ารหัสเต็มระบบ ต่างจากแบบเดิมที่ใช้ซอฟต์แวร์ล้วนและกินทรัพยากรจนกระทบ FPS ในเกมหรือโหลดงานหนักอย่างคอมไพล์โค้ดและเรนเดอร์วิดีโอ เทคโนโลยีใหม่นี้ยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยการเก็บกุญแจเข้ารหัสในฮาร์ดแวร์ที่แยกตัว ลดโอกาสโจมตีหน่วยความจำ พร้อมประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยจะเปิดใช้ใน Windows 11 24H2–25H2 บนอุปกรณ์ที่มี NVMe controller รุ่นใหม่และ CPU ที่มี crypto engine ในตัว เช่น Intel Core Ultra, AMD Ryzen และ Snapdragon X ซึ่งหมายความว่า HDD และ SATA SSD จะไม่รองรับแน่นอน 🔗 https://securityonline.info/unlocking-the-speed-of-light-how-hardware-accelerated-bitlocker-saves-your-fps/ 🧾 The Payroll Trap: แคมเปญ Quishing ใหม่ใช้ QR + CAPTCHA ปลอมเพื่อขโมยเงินเดือนพนักงาน แคมเปญฟิชชิงรูปแบบใหม่กำลังพุ่งเป้าไปที่พนักงานโดยใช้ QR code เพื่อหลบระบบความปลอดภัยขององค์กร ก่อนล่อให้เหยื่อสแกนด้วยมือถือส่วนตัวและพาออกนอกเครือข่ายบริษัท จากนั้นหน้าเว็บปลอมจะใช้ CAPTCHA หลอกเพื่อดึงอีเมลและกระตุ้นให้กรอกรหัสผ่าน โดยโครงสร้างหลังบ้านใช้โดเมนหมุนเวียนและ URL เฉพาะรายเหยื่อ ทำให้สืบสวนได้ยากขึ้น สะท้อนการยกระดับฟิชชิงที่ผสานเทคนิคและจิตวิทยาอย่างแนบเนียน 🔗 https://securityonline.info/the-payroll-trap-new-quishing-campaign-uses-fake-captchas-to-hijack-employee-paychecks 📡 Zero‑Day Linksys: ช่องโหว่ Auth Bypass เปิดทางแฮ็กเกอร์ยึดเราเตอร์โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน นักวิจัยพบช่องโหว่ร้ายแรงในเราเตอร์ Linksys E9450‑SG ที่ทำให้ผู้โจมตีบนเครือข่ายท้องถิ่นสามารถเปิด Telnet และเข้าถึงสิทธิ์ root ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน เพียงส่งคำขอ URL ที่เจาะจงไปยัง endpoint ที่ผิดพลาดของเฟิร์มแวร์ แม้จะไม่ถูกโจมตีจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง แต่ความเสี่ยงต่อผู้ที่มีผู้ใช้ร่วมเครือข่ายหรือ Wi‑Fi รั่วไหลยังสูงมาก 🔗 https://securityonline.info/zero-day-alert-linksys-auth-bypass-lets-hackers-hijack-routers-without-passwords 📱 Wonderland: มัลแวร์ Android รุ่นใหม่ใช้ Telegram ควบคุมแบบสองทางเพื่อดูดเงินเหยื่อ รายงานจาก Group‑IB เผยการระบาดของมัลแวร์ “Wonderland” ในเอเชียกลาง ซึ่งพัฒนาไปไกลจากโทรจันทั่วไป โดยใช้ dropper ปลอมตัวเป็นไฟล์อัปเดตหรือมีเดียเพื่อหลบการตรวจจับ ก่อนปล่อย payload ที่สื่อสารกับผู้โจมตีแบบ real‑time ผ่าน C2 ทำให้สั่งรัน USSD, ส่ง SMS และขยายการติดเชื้อผ่าน Telegram ของเหยื่อได้โดยอัตโนมัติ แสดงถึงวิวัฒนาการของอาชญากรรมมือถือที่ซับซ้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว 🔗 https://securityonline.info/wonderland-unleashed-new-android-dropper-malware-hijacks-telegram-to-drain-bank-accounts 🧩 EchoGather: แคมเปญจารกรรมไซเบอร์ใช้ XLL + เอกสาร AI‑ปลอมเพื่อเจาะองค์กรรัสเซีย กลุ่ม Paper Werewolf ปรับยุทธวิธีใหม่ด้วยการใช้ไฟล์ XLL ซึ่งเป็น DLL ที่ Excel โหลดตรง ทำให้รันโค้ดได้โดยไม่ติดข้อจำกัดของมาโคร พร้อมเทคนิคหน่วงเวลาการทำงานเพื่อหลบระบบตรวจจับ เมื่อ payload ทำงานจะติดตั้ง backdoor “EchoGather” สำหรับเก็บข้อมูลและสั่งงานผ่าน HTTPS ขณะเดียวกันเอกสารล่อเหยื่อที่แนบมากลับถูกสร้างด้วย AI และมีข้อผิดพลาดหลายจุด สะท้อนการผสมผสานระหว่างเทคนิคขั้นสูงและความลวกของมนุษย์ 🔗 https://securityonline.info/ai-generated-decoys-xll-stealth-inside-the-new-echogather-cyber-espionage-campaign 💰 React2Shell Exploited: EtherRAT ใช้ Node.js ปลอมตัวเพื่อล่าคริปโตจากเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก แคมเปญโจมตีอัตโนมัติใช้ช่องโหว่ React2Shell เพื่อฝัง EtherRAT บนเซิร์ฟเวอร์ โดยดาวน์โหลด Node.js เวอร์ชันจริงมาติดตั้งเพื่อรันสคริปต์โจมตี ทำให้ยากต่อการตรวจจับ จากนั้นมัลแวร์จะเชื่อมต่อ RPC ของ Ethereum เพื่อทำธุรกรรมกับสัญญาเฉพาะ เป้าหมายคือขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลจากระบบที่ถูกยึดแบบไร้การเจาะจงประเทศ ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ process Node.js แปลกปลอมและโฟลเดอร์ซ่อนใน home path 🔗 https://securityonline.info/react2shell-exploited-new-etherrat-malware-hunts-for-crypto-via-node-js 🕵️‍♂️ M‑Files Identity Hijack: ช่องโหว่ให้พนักงานขโมยตัวตนกันเองได้เงียบ ๆ แพลตฟอร์มจัดการเอกสาร M‑Files ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงที่เปิดทางให้ “ผู้ใช้ภายใน” สามารถดัก session token ของเพื่อนร่วมงานและสวมรอยเข้าถึงข้อมูลลับได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย ทำให้การตรวจสอบย้อนหลังแทบเป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกันอีกช่องโหว่ทำให้ข้อมูลจาก vault เก่ารั่วไหลไปยัง vault ใหม่โดยไม่ตั้งใจ สะท้อนความเสี่ยงของระบบที่องค์กรพึ่งพาในงานเอกสารระดับ mission‑critical และจำเป็นต้องอัปเดตแพตช์ทันทีเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้ 🔗 https://securityonline.info/identity-theft-in-m-files-high-severity-flaw-lets-insiders-hijack-user-accounts-and-access-sensitive-data 📦 Purchase Order Deception: แคมเปญจารกรรมใช้ loader อเนกประสงค์โจมตีอุตสาหกรรมยุโรป–ตะวันออกกลาง รายงานใหม่เผยแคมเปญที่ใช้ “unified commodity loader” เป็นแกนกลางในการส่ง RAT หลายตระกูลเข้าโจมตีบริษัทผลิตและหน่วยงานรัฐในอิตาลี ฟินแลนด์ และซาอุฯ โดยซ่อน payload ไว้ในภาพผ่าน steganography และดัดแปลงไลบรารีโอเพ่นซอร์สให้กลายเป็นม้าโทรจันที่ตรวจจับยาก พร้อมเทคนิคหลอก UAC แบบแนบเนียน ทำให้แคมเปญนี้เป็นตัวอย่างของการยกระดับ tradecraft ในตลาดมัลแวร์เชิงพาณิชย์ 🔗 https://securityonline.info/purchase-order-deception-sophisticated-loader-targets-manufacturing-giants-in-italy-finland-and-saudi-arabia 🕌 Prince of Persia APT กลับมาพร้อมมัลแวร์ควบคุมผ่าน Telegram หลังเงียบไปหลายปี กลุ่ม APT สายอิหร่าน “Prince of Persia / Infy” ถูกพบว่ายังปฏิบัติการอยู่และได้อัปเกรดเครื่องมือใหม่ เช่น Tonnerre v50 ที่สื่อสารผ่าน Telegram group และใช้ DGA ซับซ้อนเพื่อหลบการบล็อก โครงสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่อย่าง Foudre v34 และ Tonnerre v50 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนี้ไม่ได้หายไป แต่กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นและตรวจจับยากกว่าเดิม พร้อมหลักฐานว่ามีมนุษย์ควบคุมการโจมตีแบบ real‑time 🔗 https://securityonline.info/iranian-prince-of-persia-apt-resurfaces-with-telegram-controlled-stealth-malware 🤝 Ransomware Cartel: Qilin–DragonForce–LockBit รวมตัวแบบสิ้นหวังท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐ ท่ามกลางการกวาดล้างของหน่วยงานรัฐทั่วโลก กลุ่ม Qilin, DragonForce และ LockBit ประกาศตั้ง “คาร์เทล” ร่วมกัน แต่รายงานชี้ว่าการรวมตัวนี้เป็นเพียงความพยายามประคองชื่อเสียงของ LockBit ที่แทบไม่เหลือกิจกรรมจริงแล้ว ขณะที่ Qilin กลับได้ประโยชน์ด้านการตลาดและดึง affiliate ใหม่มากกว่า ภาพรวมสะท้อนการแตกตัวของ ecosystem ransomware และการเปลี่ยนไปสู่โมเดล “ขู่กรรโชกข้อมูลอย่างเดียว” ที่เสี่ยงน้อยกว่าเดิม 🔗 https://securityonline.info/a-desperate-cartel-inside-the-unlikely-alliance-of-qilin-dragonforce-and-a-fading-lockbit 📨 Scripted Sparrow: เครื่องจักร BEC ระดับอุตสาหกรรมยิงอีเมลหลอกลวงกว่า 3 ล้านฉบับต่อเดือน กลุ่มอาชญากร “Scripted Sparrow” ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในการส่งอีเมล BEC โดยปลอมเป็นบริษัทเทรนนิ่งผู้บริหาร พร้อมแนบประวัติการสนทนาปลอมระหว่างผู้บริหารกับที่ปรึกษาเพื่อหลอกฝ่ายบัญชีให้จ่ายเงิน กลยุทธ์ใหม่คือส่งอีเมล “ลืมแนบไฟล์” เพื่อบังคับให้เหยื่อตอบกลับ ทำให้การสนทนากลายเป็น trusted thread และเปิดทางให้ส่งบัญชีม้าได้อย่างปลอดภัย การวิเคราะห์พบสมาชิกกระจายหลายทวีปและใช้เทคนิคปลอมตำแหน่ง GPS เพื่อหลบการติดตาม 🔗 https://securityonline.info/the-3-million-email-siege-inside-scripted-sparrows-global-industrialized-bec-machine 🛢️ MongoDB Memory Leak: ช่องโหว่ zlib ทำข้อมูลหลุดโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ร้ายแรงใน MongoDB (CVE‑2025‑14847) เปิดทางให้ผู้โจมตีดึงข้อมูลจาก heap memory ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เพียงส่งคำขอที่เจาะจงไปยังส่วนที่ใช้ zlib compression ทำให้เซิร์ฟเวอร์ตอบกลับด้วยข้อมูลที่ยังไม่ได้ล้าง ซึ่งอาจรวมถึง query ล่าสุดหรือ credential ที่ค้างอยู่ใน RAM ช่องโหว่นี้กระทบแทบทุกเวอร์ชันย้อนหลังหลายปี และผู้ดูแลระบบถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีหรือปิดการใช้ zlib ชั่วคราวเพื่อหยุดการรั่วไหล 🔗 https://securityonline.info/critical-unauthenticated-mongodb-flaw-leaks-sensitive-data-via-zlib-compression 🎧 Anna’s Archive อ้างดูด Spotify 300TB จุดชนวนสอบสวนการรั่วไหลครั้งใหญ่ กลุ่มเงา Anna’s Archive ระบุว่าสามารถ mirror คลังเพลงของ Spotify ได้กว่า 300TB ครอบคลุม 86 ล้านแทร็กที่คิดเป็น 99.6% ของยอดฟังทั้งหมด โดยใช้วิธีเก็บ metadata 256 ล้านรายการและหลุดไฟล์เสียงบางส่วนผ่านการเลี่ยง DRM แม้ Spotify จะยืนยันเพียงว่ามีการเข้าถึงข้อมูลบางส่วน แต่เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์และความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจะถูกนำไปสร้างแพลตฟอร์มสตรีมเถื่อนหรือใช้เทรนโมเดล AI 🔗 https://securityonline.info/annas-archive-claims-300tb-spotify-mirror-forcing-an-investigation-into-a-massive-music-data-leak 🖼️ Windows DWM EoP: ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์ด้วยเทคนิค “วาดทับ” พร้อม PoC เผยแพร่แล้ว ช่องโหว่ใน Desktop Window Manager (DWM) ของ Windows เปิดทางให้ผู้ใช้ในเครื่องยกระดับสิทธิ์ขึ้นเป็น SYSTEM ผ่านการจัดการกราฟิกผิดพลาด โดยมี PoC เผยแพร่แล้วแม้รายงานฉบับเต็มจะถูกล็อกให้เฉพาะผู้สนับสนุน เหตุการณ์นี้เพิ่มแรงกดดันให้ Microsoft ต้องเร่งแพตช์ เพราะเป็นช่องโหว่ที่ผู้โจมตีสามารถใช้ร่วมกับบั๊กอื่นเพื่อยึดระบบได้อย่างรวดเร็ว 🔗 https://securityonline.info/windows-dwm-flaw-lets-local-users-paint-their-way-to-system-privileges-poc-publishes ⚡ Alphabet ทุ่ม $4.75B ซื้อ Intersect Power เพื่อควบคุมไฟฟ้าป้อน Gemini และศูนย์ข้อมูล Alphabet เดินเกมเชิงโครงสร้างด้วยการซื้อ Intersect Power เพื่อแก้ปัญหาพลังงานที่กำลังกลายเป็นคอขวดของการแข่งขัน AI โดยดีลนี้ทำให้ Google ควบคุมโครงการพลังงานหมุนเวียนหลายกิกะวัตต์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างติดกับดาต้าเซ็นเตอร์ในเท็กซัส การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่าศึก AI ไม่ได้วัดกันที่ชิปหรือโมเดลอีกต่อไป แต่คือใครสร้างโรงไฟฟ้าได้เร็วกว่า 🔗 https://securityonline.info/the-grid-is-the-goal-alphabets-4-75b-bet-to-own-the-power-plants-behind-gemini 📱 Android Toll: Google เก็บค่าติดตั้ง $2.85 ต่อแอปเมื่อใช้ลิงก์ดาวน์โหลดภายนอก ภายใต้แรงกดดันจากคดี Epic vs Google ศาลบีบให้ Google เปิด Play Store ให้ลิงก์ออกไปดาวน์โหลดภายนอกได้ แต่ Google เสนอโมเดลใหม่ที่ซับซ้อนและมีค่าธรรมเนียมสูง—คิด $2.85 ต่อการติดตั้งแอป และ $3.65 สำหรับเกม หากผู้ใช้ติดตั้งภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลิกลิงก์ พร้อมเก็บส่วนแบ่ง 10–20% สำหรับการจ่ายเงินผ่านระบบของนักพัฒนาเอง ทำให้แม้จะ “เปิด” ระบบ แต่ต้นทุนจริงอาจสูงจนผู้พัฒนาหลายรายไม่อยากออกจาก ecosystem 🔗 https://securityonline.info/the-android-toll-google-to-charge-2-85-per-install-for-external-app-links
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • Resideo ถูกฟ้อง: ปมรีแบรนด์กล้องจีนที่เคยรั่วไหลข้อมูล — คดีความใหม่สะเทือนวงการสมาร์ทโฮมสหรัฐฯ

    อุตสาหกรรมสมาร์ทโฮมในสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อ Nebraska Attorney General Mike Hilgers เตรียมฟ้องบริษัท Resideo ผู้ผลิตอุปกรณ์สมาร์ทโฮมรายใหญ่ หลังถูกกล่าวหาว่า นำกล้องจากผู้ผลิตจีนที่ถูกแบนอย่าง Hikvision และ Dahua มารีแบรนด์ขายใหม่ ภายใต้ชื่อ Capture โดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มาให้ผู้บริโภครับรู้

    Hikvision และ Dahua ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีจำกัดตั้งแต่ปี 2022 เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง และมีประวัติถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องช่องโหว่ความปลอดภัย รวมถึงความเป็นไปได้ในการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลที่สาม เช่น หน่วยงานรัฐของจีน ทำให้การนำสินค้าจากสองบริษัทนี้กลับมาขายในตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่ง

    คดีนี้ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดสมาร์ทโฮมราคาประหยัด ซึ่งมักพึ่งพา OEM จากจีนที่มีประวัติด้านความปลอดภัยไม่ดีนัก หลายรัฐในสหรัฐฯ เริ่มดำเนินคดีลักษณะเดียวกัน เช่น Texas ที่ฟ้องผู้ผลิตทีวีหลายรายเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยอัตโนมัติ หรือ Arizona ที่ฟ้อง Temu เรื่องข้อมูลและสินค้าปลอม ทำให้เห็นว่ารัฐต่างๆ กำลังเข้มงวดกับอุปกรณ์ IoT มากขึ้นเรื่อยๆ

    ด้วยจำนวนอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่ใช้ OEM จากจีนจำนวนมากในตลาดสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าคดีนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่กฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม ทั้งในด้านความโปร่งใสของซัพพลายเชนและมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    สิ่งที่เกิดขึ้นในคดี Resideo
    Resideo ถูกกล่าวหาว่ารีแบรนด์กล้องจาก Hikvision และ Dahua ซึ่งถูกแบนในสหรัฐฯ
    Nebraska AG ระบุว่าบริษัทละเมิด Consumer Protection Act และ Deceptive Trade Practices Act
    กล้องถูกขายภายใต้แบรนด์ Capture ระหว่างปี 2021–2022 โดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มา
    สินค้าจากสองบริษัทจีนมีประวัติด้านช่องโหว่และ backdoor มานานหลายปี

    ความเสี่ยงและผลกระทบต่อผู้บริโภค–อุตสาหกรรม
    ความเสี่ยงด้าน ความเป็นส่วนตัว จากกล้องที่เคยมีประวัติรั่วไหลข้อมูล
    ความไม่โปร่งใสของซัพพลายเชน ทำให้ผู้บริโภคไม่รู้ว่ากำลังใช้สินค้าจากผู้ผลิตที่ถูกแบน
    แนวโน้มรัฐต่างๆ ฟ้องบริษัท IoT เพิ่มขึ้น อาจทำให้ตลาดสมาร์ทโฮมถูกตรวจสอบเข้มงวดกว่าเดิม
    ความเสี่ยงต่อแบรนด์ใหญ่ที่ใช้ OEM จีน หากไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อาจถูกฟ้องเช่นกัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-smart-home-company-accused-of-rebranding-footage-leaking-chinese-cameras-nebraska-ag-to-sue-resideo-over-selling-banned-security-cameras
    🕵️‍♂️📹 Resideo ถูกฟ้อง: ปมรีแบรนด์กล้องจีนที่เคยรั่วไหลข้อมูล — คดีความใหม่สะเทือนวงการสมาร์ทโฮมสหรัฐฯ อุตสาหกรรมสมาร์ทโฮมในสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อ Nebraska Attorney General Mike Hilgers เตรียมฟ้องบริษัท Resideo ผู้ผลิตอุปกรณ์สมาร์ทโฮมรายใหญ่ หลังถูกกล่าวหาว่า นำกล้องจากผู้ผลิตจีนที่ถูกแบนอย่าง Hikvision และ Dahua มารีแบรนด์ขายใหม่ ภายใต้ชื่อ Capture โดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มาให้ผู้บริโภครับรู้ Hikvision และ Dahua ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีจำกัดตั้งแต่ปี 2022 เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง และมีประวัติถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องช่องโหว่ความปลอดภัย รวมถึงความเป็นไปได้ในการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลที่สาม เช่น หน่วยงานรัฐของจีน ทำให้การนำสินค้าจากสองบริษัทนี้กลับมาขายในตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่ง คดีนี้ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดสมาร์ทโฮมราคาประหยัด ซึ่งมักพึ่งพา OEM จากจีนที่มีประวัติด้านความปลอดภัยไม่ดีนัก หลายรัฐในสหรัฐฯ เริ่มดำเนินคดีลักษณะเดียวกัน เช่น Texas ที่ฟ้องผู้ผลิตทีวีหลายรายเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยอัตโนมัติ หรือ Arizona ที่ฟ้อง Temu เรื่องข้อมูลและสินค้าปลอม ทำให้เห็นว่ารัฐต่างๆ กำลังเข้มงวดกับอุปกรณ์ IoT มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจำนวนอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่ใช้ OEM จากจีนจำนวนมากในตลาดสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าคดีนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่กฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดกว่าเดิม ทั้งในด้านความโปร่งใสของซัพพลายเชนและมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ✅ สิ่งที่เกิดขึ้นในคดี Resideo ➡️ Resideo ถูกกล่าวหาว่ารีแบรนด์กล้องจาก Hikvision และ Dahua ซึ่งถูกแบนในสหรัฐฯ ➡️ Nebraska AG ระบุว่าบริษัทละเมิด Consumer Protection Act และ Deceptive Trade Practices Act ➡️ กล้องถูกขายภายใต้แบรนด์ Capture ระหว่างปี 2021–2022 โดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มา ➡️ สินค้าจากสองบริษัทจีนมีประวัติด้านช่องโหว่และ backdoor มานานหลายปี ‼️ ความเสี่ยงและผลกระทบต่อผู้บริโภค–อุตสาหกรรม ⛔ ความเสี่ยงด้าน ความเป็นส่วนตัว จากกล้องที่เคยมีประวัติรั่วไหลข้อมูล ⛔ ความไม่โปร่งใสของซัพพลายเชน ทำให้ผู้บริโภคไม่รู้ว่ากำลังใช้สินค้าจากผู้ผลิตที่ถูกแบน ⛔ แนวโน้มรัฐต่างๆ ฟ้องบริษัท IoT เพิ่มขึ้น อาจทำให้ตลาดสมาร์ทโฮมถูกตรวจสอบเข้มงวดกว่าเดิม ⛔ ความเสี่ยงต่อแบรนด์ใหญ่ที่ใช้ OEM จีน หากไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อาจถูกฟ้องเช่นกัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/us-smart-home-company-accused-of-rebranding-footage-leaking-chinese-cameras-nebraska-ag-to-sue-resideo-over-selling-banned-security-cameras
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tissue Sectioning Market and Its Role in Modern Laboratory Science

    The Tissue Sectioning Market analysis
    reflects the growing importance of accurate tissue preparation in medical and scientific laboratories. Tissue sectioning is a foundational process used to cut biological samples into extremely thin slices so they can be examined under a microscope. This step is critical in pathology, histology, and biomedical research, as even minor inaccuracies can affect diagnostic interpretation and research outcomes.

    Tissue sectioning supports a wide range of applications, including cancer diagnosis, neurological studies, organ pathology, and pharmaceutical research. Laboratories rely on tools such as microtomes and cryostats to achieve uniform thickness while preserving tissue integrity. As diagnostic techniques become more advanced, the demand for consistent and precise tissue preparation continues to increase. This has led to improvements in equipment design, blade materials, and operator safety features.

    One of the key strengths of the Tissue Sectioning Market is its adaptability across different laboratory environments. Large hospitals may focus on automated systems that handle high sample volumes efficiently, while smaller laboratories often depend on manual or semi-automated solutions that provide control and flexibility. This diversity ensures that tissue sectioning tools remain relevant across clinical, academic, and industrial settings. Ease of use and reliability are especially valued, as they help reduce preparation time and minimize sample loss.

    Technological advancements are also shaping how tissue sectioning is performed. Modern equipment often includes digital controls, programmable thickness settings, and ergonomic designs that reduce operator fatigue. These features not only improve workflow efficiency but also enhance reproducibility, which is essential for consistent diagnostic results. In addition, improved blade durability and coating technologies help maintain sharpness over extended use, ensuring clean and smooth tissue slices.

    Get Full Reports:https://www.marketresearchfuture.com/reports/tissue-sectioning-market-30619

    Another important factor influencing the Tissue Sectioning Market is the growing emphasis on early disease detection. As healthcare providers prioritize preventive diagnostics, the number of biopsies and tissue examinations continues to rise. This directly increases the need for reliable sectioning tools that can deliver accurate results without compromising sample quality. Research institutions also contribute to demand, as tissue analysis remains central to drug development and biological studies.

    Looking ahead, tissue sectioning is expected to benefit from further integration with digital pathology and automated laboratory systems. These advancements aim to improve speed, accuracy, and data consistency while reducing manual intervention. As laboratories evolve to meet increasing diagnostic and research demands, tissue sectioning will remain a vital process that supports scientific discovery and patient care.
    Tissue Sectioning Market and Its Role in Modern Laboratory Science The Tissue Sectioning Market analysis reflects the growing importance of accurate tissue preparation in medical and scientific laboratories. Tissue sectioning is a foundational process used to cut biological samples into extremely thin slices so they can be examined under a microscope. This step is critical in pathology, histology, and biomedical research, as even minor inaccuracies can affect diagnostic interpretation and research outcomes. Tissue sectioning supports a wide range of applications, including cancer diagnosis, neurological studies, organ pathology, and pharmaceutical research. Laboratories rely on tools such as microtomes and cryostats to achieve uniform thickness while preserving tissue integrity. As diagnostic techniques become more advanced, the demand for consistent and precise tissue preparation continues to increase. This has led to improvements in equipment design, blade materials, and operator safety features. One of the key strengths of the Tissue Sectioning Market is its adaptability across different laboratory environments. Large hospitals may focus on automated systems that handle high sample volumes efficiently, while smaller laboratories often depend on manual or semi-automated solutions that provide control and flexibility. This diversity ensures that tissue sectioning tools remain relevant across clinical, academic, and industrial settings. Ease of use and reliability are especially valued, as they help reduce preparation time and minimize sample loss. Technological advancements are also shaping how tissue sectioning is performed. Modern equipment often includes digital controls, programmable thickness settings, and ergonomic designs that reduce operator fatigue. These features not only improve workflow efficiency but also enhance reproducibility, which is essential for consistent diagnostic results. In addition, improved blade durability and coating technologies help maintain sharpness over extended use, ensuring clean and smooth tissue slices. Get Full Reports:https://www.marketresearchfuture.com/reports/tissue-sectioning-market-30619 Another important factor influencing the Tissue Sectioning Market is the growing emphasis on early disease detection. As healthcare providers prioritize preventive diagnostics, the number of biopsies and tissue examinations continues to rise. This directly increases the need for reliable sectioning tools that can deliver accurate results without compromising sample quality. Research institutions also contribute to demand, as tissue analysis remains central to drug development and biological studies. Looking ahead, tissue sectioning is expected to benefit from further integration with digital pathology and automated laboratory systems. These advancements aim to improve speed, accuracy, and data consistency while reducing manual intervention. As laboratories evolve to meet increasing diagnostic and research demands, tissue sectioning will remain a vital process that supports scientific discovery and patient care.
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Tissue Sectioning Market Size, Share, Trends, Report 2035
    Tissue Sectioning Market share is projected to reach USD 1.8 Billion By 2035, at a 2.92 % CAGR by driving industry size, top company analysis, segments research, trends and forecast report 2025 to 2035 | MRFR
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮ็กครั้งใหญ่โจมตีหน่วยงานน้ำของโรมาเนีย: คอมพิวเตอร์ 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware

    การโจมตีครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างพื้นฐานของโรมาเนีย เมื่อหน่วยงานบริหารจัดการน้ำถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เข้ารหัสข้อมูลผ่าน BitLocker ของ Windows ส่งผลให้คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องใน 10 จาก 11 สำนักงานภูมิภาคต้องหยุดทำงานทันที แม้ระบบควบคุมการจ่ายน้ำจริงจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ระบบสนับสนุนทั้งหมด เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส ฐานข้อมูล และ GIS กลับถูกทำให้ใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

    ผู้โจมตีไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มใด แต่ทิ้งข้อความให้หน่วยงานติดต่อกลับภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานในยุโรปช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีเดนมาร์กที่เคยถูกแฮ็กจนแรงดันน้ำผิดปกติและท่อแตกหลายจุดในปี 2024 เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บ้านเรือนกว่า 500 หลังไม่มีน้ำใช้ชั่วคราว และกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบสาธารณูปโภคกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของสงครามไซเบอร์ยุคใหม่

    หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของโรมาเนีย (DNSC) ระบุว่ายังไม่ทราบช่องทางการโจมตี แต่ยืนยันว่าผู้โจมตีใช้ BitLocker ในการเข้ารหัสข้อมูลแทนที่จะใช้เครื่องมือเฉพาะทางแบบ ransomware กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนว่าการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนเสมอไป ขณะนี้ DNSC และหน่วยข่าวกรองกำลังเร่งกู้ระบบและตรวจสอบความเสียหายเพิ่มเติม

    เหตุการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับแนวโน้มการโจมตีที่หลายประเทศในยุโรปมองว่าเป็น “สงครามลูกผสม” โดยเฉพาะการโจมตีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มที่สนับสนุนรัสเซีย เช่น Z‑Pentest และ NoName057(16) ที่เคยโจมตีระบบน้ำและเว็บไซต์ของเดนมาร์ก รวมถึง Fancy Bear ที่ถูกกล่าวหาว่าโจมตีระบบควบคุมการบินของเยอรมนีในปี 2024 ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์น้อยเกินไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ขนาดความเสียหายและผลกระทบ
    คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware
    ระบบสนับสนุน เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส และฐานข้อมูลหยุดทำงาน

    ระบบน้ำยังทำงานได้ตามปกติ
    ระบบควบคุมการจ่ายน้ำไม่ถูกโจมตีโดยตรง
    การควบคุมยังทำผ่านศูนย์สั่งการและการสื่อสารเสียง

    รูปแบบการโจมตีและการสืบสวน
    ผู้โจมตีไม่ประกาศตัว แต่ทิ้งข้อความให้ติดต่อภายใน 7 วัน
    ใช้ BitLocker ของ Windows ในการเข้ารหัสข้อมูล

    ความเสี่ยงและสัญญาณเตือน
    โครงสร้างพื้นฐานยุโรปกำลังเป็นเป้าหมายของ “สงครามลูกผสม”
    เคยมีกรณีเดนมาร์กถูกโจมตีจนท่อแตกและบ้านเรือนขาดน้ำ
    ความปลอดภัยไซเบอร์ยังเป็นเรื่องที่หลายหน่วยงานให้ความสำคัญต่ำเกินไป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/1-000-computers-taken-offline-in-romanian-water-management-authority-hack-ransomware-takes-bitlocker-encrypted-systems-down
    🚨 แฮ็กครั้งใหญ่โจมตีหน่วยงานน้ำของโรมาเนีย: คอมพิวเตอร์ 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware การโจมตีครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างพื้นฐานของโรมาเนีย เมื่อหน่วยงานบริหารจัดการน้ำถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เข้ารหัสข้อมูลผ่าน BitLocker ของ Windows ส่งผลให้คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องใน 10 จาก 11 สำนักงานภูมิภาคต้องหยุดทำงานทันที แม้ระบบควบคุมการจ่ายน้ำจริงจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ระบบสนับสนุนทั้งหมด เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส ฐานข้อมูล และ GIS กลับถูกทำให้ใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ผู้โจมตีไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มใด แต่ทิ้งข้อความให้หน่วยงานติดต่อกลับภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานในยุโรปช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีเดนมาร์กที่เคยถูกแฮ็กจนแรงดันน้ำผิดปกติและท่อแตกหลายจุดในปี 2024 เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บ้านเรือนกว่า 500 หลังไม่มีน้ำใช้ชั่วคราว และกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบสาธารณูปโภคกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของสงครามไซเบอร์ยุคใหม่ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของโรมาเนีย (DNSC) ระบุว่ายังไม่ทราบช่องทางการโจมตี แต่ยืนยันว่าผู้โจมตีใช้ BitLocker ในการเข้ารหัสข้อมูลแทนที่จะใช้เครื่องมือเฉพาะทางแบบ ransomware กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนว่าการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนเสมอไป ขณะนี้ DNSC และหน่วยข่าวกรองกำลังเร่งกู้ระบบและตรวจสอบความเสียหายเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับแนวโน้มการโจมตีที่หลายประเทศในยุโรปมองว่าเป็น “สงครามลูกผสม” โดยเฉพาะการโจมตีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มที่สนับสนุนรัสเซีย เช่น Z‑Pentest และ NoName057(16) ที่เคยโจมตีระบบน้ำและเว็บไซต์ของเดนมาร์ก รวมถึง Fancy Bear ที่ถูกกล่าวหาว่าโจมตีระบบควบคุมการบินของเยอรมนีในปี 2024 ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์น้อยเกินไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ขนาดความเสียหายและผลกระทบ ➡️ คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware ➡️ ระบบสนับสนุน เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส และฐานข้อมูลหยุดทำงาน ✅ ระบบน้ำยังทำงานได้ตามปกติ ➡️ ระบบควบคุมการจ่ายน้ำไม่ถูกโจมตีโดยตรง ➡️ การควบคุมยังทำผ่านศูนย์สั่งการและการสื่อสารเสียง ✅ รูปแบบการโจมตีและการสืบสวน ➡️ ผู้โจมตีไม่ประกาศตัว แต่ทิ้งข้อความให้ติดต่อภายใน 7 วัน ➡️ ใช้ BitLocker ของ Windows ในการเข้ารหัสข้อมูล ‼️ ความเสี่ยงและสัญญาณเตือน ⛔ โครงสร้างพื้นฐานยุโรปกำลังเป็นเป้าหมายของ “สงครามลูกผสม” ⛔ เคยมีกรณีเดนมาร์กถูกโจมตีจนท่อแตกและบ้านเรือนขาดน้ำ ⛔ ความปลอดภัยไซเบอร์ยังเป็นเรื่องที่หลายหน่วยงานให้ความสำคัญต่ำเกินไป https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/1-000-computers-taken-offline-in-romanian-water-management-authority-hack-ransomware-takes-bitlocker-encrypted-systems-down
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    1,000 computers taken offline in Romanian water management authority hack
    No group has claimed the attack yet, and thankfully, water is still flowing in Romania.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251222 #TechRadar

    RAM ปลอมระบาดหนัก — ผู้ใช้ถูกหลอกด้วยสเปกเกินจริงและชิปรีไซเคิล
    รายงานเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญปัญหา RAM ปลอมที่ถูกขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยผู้ผลิตเถื่อนใช้ชิปรีไซเคิลหรือชิปคุณภาพต่ำมารีแบรนด์เป็นรุ่นความเร็วสูง ทำให้ผู้ใช้พบอาการเครื่องล่ม ประสิทธิภาพตก หรืออายุการใช้งานสั้นลงอย่างมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความต้องการ RAM ความเร็วสูงเพิ่มขึ้นจากงาน AI และเกมมิ่ง แต่ผู้ซื้อจำนวนมากไม่รู้วิธีตรวจสอบของแท้ ส่งผลให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสได้ง่าย
    https://www.techradar.com/computing/memory/watch-out-ram-rip-offs-are-now-in-vogue-so-heres-how-to-avoid-falling-for-high-end-memory-scams

    “Data คือเลือดหล่อเลี้ยงองค์กร” — Veeam ชี้ความมั่นคงของข้อมูลคือเงื่อนไขสำคัญของ AI
    CEO ของ Veeam อธิบายว่าทุกอุตสาหกรรมกำลังพึ่งพา AI มากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม ทั้งจากมัลแวร์ที่ใช้ AI, ปริมาณข้อมูลที่ไม่เป็นโครงสร้างมหาศาล และการขาดระบบควบคุมข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้หลายโปรเจกต์ล้มเหลว เขาย้ำว่า “ไม่มี AI หากไม่มีความปลอดภัยของข้อมูล” และชูแพลตฟอร์มของ Veeam ที่รวมความปลอดภัย การกำกับดูแล และความยืดหยุ่นของข้อมูลไว้ในระบบเดียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ AI ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
    https://www.techradar.com/pro/it-doesnt-matter-which-industry-you-belong-to-data-is-your-lifeblood-veeam-ceo-tells-us-why-getting-security-and-resiliency-right-is-the-key-to-unleashing-the-power-of-ai

    ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสร้างใน “สภาพอากาศผิดประเภท” ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล
    รายงานใหม่เผยว่าเกือบ 7,000 จาก 8,808 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุณหภูมิไม่เหมาะสมต่อการทำงาน (ต่ำกว่า 18°C หรือสูงกว่า 27°C) ทำให้ต้องใช้พลังงานในการทำความเย็นมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะในประเทศร้อนอย่างสิงคโปร์ที่มีศูนย์ข้อมูลกว่า 1.4GW แม้อุณหภูมิแตะ 33°C ตลอดปี แนวโน้มนี้กำลังสร้างภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้า และคาดว่าความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในปี 2030
    https://www.techradar.com/pro/no-wonder-theres-a-bubble-study-claims-nearly-all-of-the-worlds-data-centers-are-built-in-the-wrong-climate

    GhostPairing — เทคนิคใหม่ที่แฮ็ก WhatsApp ได้โดยไม่ต้องเจาะรหัสผ่าน
    นักวิจัยเตือนถึงการโจมตีแบบ GhostPairing ที่อาศัยฟีเจอร์ “Linked Devices” ของ WhatsApp เอง โดยหลอกเหยื่อผ่านลิงก์ปลอมให้กรอกเบอร์โทรและยืนยันรหัสเชื่อมอุปกรณ์ ทำให้แฮ็กเกอร์ผูกเบราว์เซอร์ของตนเข้ากับบัญชีเหยื่อได้ทันที เมื่อสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถอ่านข้อความ ส่งข้อความแทนเหยื่อ และดึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ วิธีตรวจสอบเดียวที่เชื่อถือได้คือเข้าไปดูรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเมนู Linked Devices แล้วลบสิ่งที่ไม่รู้จัก
    https://www.techradar.com/pro/whatsapp-user-warning-hackers-are-hijacking-accounts-without-any-need-to-crack-the-authentication-so-be-on-your-guard

    วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กล่าวหา Big Tech ผลักภาระค่าไฟของศูนย์ข้อมูลให้ประชาชน
    วุฒิสมาชิก 3 คนส่งจดหมายถึงบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ถามเหตุผลที่ค่าไฟในพื้นที่ที่มีดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากพุ่งสูงขึ้น แม้บริษัทจะอ้างว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง แต่โครงสร้างค่าไฟของรัฐกลับผลักต้นทุนการขยายโครงข่ายไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ทั่วไป ขณะที่ศูนย์ข้อมูล AI สมัยใหม่ใช้ไฟระดับ “เมืองหนึ่งทั้งเมือง” ทำให้หลายรัฐต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเป็นพันล้านดอลลาร์
    https://www.techradar.com/pro/tech-companies-have-paid-lip-service-us-government-is-asking-ai-giants-why-data-centers-are-leading-to-rising-bills

    หลุดใหม่ชี้ Samsung Galaxy S26 จะเปิดตัวกุมภาพันธ์ แต่ขายจริงอาจต้องรอถึงมีนาคม
    ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุว่า Galaxy S26 Series จะเปิดตัวในงาน Unpacked เดือนกุมภาพันธ์ แต่จะวางขายจริงในเดือนมีนาคม ซึ่งช้ากว่ารุ่น S25 ที่เปิดตัวตั้งแต่มกราคม สาเหตุคาดว่ามาจากการปรับไลน์ผลิตภัณฑ์ เช่น การยกเลิก S26 Edge แล้วนำ S26+ กลับมา รวมถึงความไม่ลงตัวด้านชื่อรุ่นและสเปกภายใน ทำให้กำหนดการเลื่อนออกไปเล็กน้อย
    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/a-new-leak-may-have-revealed-samsungs-launch-window-for-the-galaxy-s26-series-but-they-might-not-go-on-sale-right-away

    LG เปิดตัวเทคโนโลยี OLED รุ่นใหม่ “Tandem WOLED / RGB Tandem 2.0” พร้อมรีแบรนด์ครั้งใหญ่
    LG Display เตรียมยกระดับตลาดทีวีและมอนิเตอร์ปี 2026 ด้วยการรีแบรนด์เทคโนโลยีจอเป็น “Tandem WOLED” และ “Tandem OLED” พร้อมโชว์ Primary RGB Tandem 2.0 ที่คาดว่าจะเพิ่มความสว่างและประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังเผยพาเนลใหม่หลายรุ่น เช่น มอนิเตอร์โค้ง 39 นิ้ว 5K และจอ 27 นิ้วความหนาแน่นสูง ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางการผลักดัน OLED ให้ตอบโจทย์ทั้งเกมมิ่งและทีวีระดับพรีเมียมในปีหน้า
    https://www.techradar.com/televisions/lg-announces-next-gen-version-of-its-best-oled-tv-tech-oh-and-its-changing-the-name

    Google Gemini กำลังจะเข้าไปอยู่ในตู้เย็น Samsung เพื่อช่วยจัดการอาหารและลดของเสีย
    Samsung เตรียมเปิดตัวตู้เย็น Bespoke AI Family Hub ที่ติดตั้ง Google Gemini ซึ่งจะใช้กล้องภายในวิเคราะห์อาหารที่มีอยู่ แนะนำเมนู แจ้งเตือนของใกล้หมดอายุ และจัดการพลังงานให้เหมาะสม รวมถึงรองรับสั่งงานด้วยเสียง ฟีเจอร์นี้อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกของ “AI ในเครื่องใช้ไฟฟ้า” ที่ให้ประโยชน์จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมขยายไปยังตู้แช่ไวน์รุ่นใหม่ด้วย
    https://www.techradar.com/home/smart-home/google-gemini-is-now-heading-to-fridges-and-it-might-actually-be-useful

    ช่องโหว่ในแชตบอท Eurostar เกือบทำให้ข้อมูลลูกค้าเสี่ยงถูกโจมตี
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าแชตบอท AI ของ Eurostar มีช่องโหว่หลายจุด เช่น การตรวจสอบข้อความย้อนหลังไม่ดีพอ ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งอันตรายหรือสคริปต์ HTML ได้ แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลลูกค้าไม่เคยเชื่อมต่อกับระบบนี้ แต่เหตุการณ์สะท้อนความเสี่ยงจากการนำ AI มาใช้เร็วเกินไปในองค์กร โดยเฉพาะเมื่อระบบยังไม่ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างรัดกุม
    https://www.techradar.com/pro/security/eurostar-chatbot-security-flaws-almost-left-customers-exposed-to-data-theft-and-more

    NordVPN เปิดแพ็กเกจ OpenWrt แบบโอเพ่นซอร์สสำหรับเราท์เตอร์ ปรับแต่งได้ลึกระดับ sysadmin
    NordVPN เปิดตัวแพ็กเกจ Linux แบบ headless สำหรับ OpenWrt ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้ง VPN ครอบคลุมทั้งเครือข่ายได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับการตั้งค่าผ่านไฟล์ JSON และเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมอัตโนมัติผ่าน API สะท้อนทิศทางของ NordVPN ที่ผลักดันความโปร่งใสและโอเพ่นซอร์สอย่างจริงจัง รวมถึงเตรียมเพิ่ม UI แบบเว็บในอนาคตเพื่อให้เข้าถึงได้กว้างขึ้น
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nord-vpn-ups-its-game-in-open-source-with-linux-based-package-for-openwrt-routers

    Google ดึงอดีตพนักงานกลับเข้าบริษัทจำนวนมากเพื่อเร่งเกม AI
    รายงานเผยว่า 20% ของวิศวกร AI ที่ Google จ้างในปี 2025 เป็น “boomerang hires” หรืออดีตพนักงานที่กลับมาใหม่ สะท้อนการแข่งขันด้าน AI ที่รุนแรงจนบริษัทต้องดึงบุคลากรที่คุ้นเคยกับระบบภายในกลับมาเสริมทัพ พร้อมทั้งเพิ่มการดึงตัวจากคู่แข่งอย่าง Microsoft, Amazon และ Apple ขณะที่ตลาดยังจับตาว่า Google จะเร่งพัฒนา Gemini และโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ทันคู่แข่งได้เร็วเพียงใด
    https://www.techradar.com/pro/quite-a-few-of-the-ai-software-engineers-hired-by-google-in-2025-were-actually-ex-employees

    Google–Apple เตือนพนักงาน H‑1B หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกสหรัฐ
    Google และ Apple ส่งสัญญาณเตือนพนักงานที่ถือวีซ่า H‑1B ให้หยุดเดินทางต่างประเทศชั่วคราว เพราะกระบวนการตรวจสอบวีซ่ากลับเข้าประเทศเข้มงวดขึ้นและอาจล่าช้านานหลายเดือน โดยเฉพาะหลังมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียใหม่ของรัฐบาล ทำให้หลายคนเสี่ยง “ติดค้าง” ต่างประเทศ ขณะเดียวกันสถานทูตบางแห่งมีคิวสัมภาษณ์ยาวถึง 12 เดือน สะท้อนแรงกดดันด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่กระทบแรงงานทักษะสูงจำนวนมาก
    https://www.techradar.com/pro/google-and-apple-employees-on-us-visas-apparently-told-to-avoid-international-travel

    ศาลสหรัฐบล็อกกฎหมายตรวจสอบอายุผู้ใช้โซเชียลของรัฐลุยเซียนา
    ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับกฎหมาย Act 456 ของรัฐลุยเซียนาอย่างถาวร หลังพบว่ากฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลตรวจสอบอายุผู้ใช้ทุกคนและขอความยินยอมจากผู้ปกครองนั้นละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว โดยศาลชี้ว่ารัฐไม่สามารถใช้อำนาจ “ควบคุมความคิดที่เด็กควรเข้าถึง” ได้ และมีวิธีปกป้องเด็กที่จำกัดสิทธิน้อยกว่านี้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/federal-judge-blocks-louisianas-social-media-age-verification-law-heres-why

    ผู้ให้บริการเทคโนโลยี NHS England ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์
    DXS International ผู้ให้บริการระบบข้อมูลให้ NHS England เปิดเผยว่าเผชิญเหตุแรนซัมแวร์โจมตีเซิร์ฟเวอร์สำนักงาน แม้บริการทางคลินิกยังทำงานได้ตามปกติ แต่กลุ่มแฮ็กเกอร์ DevMan อ้างว่าขโมยข้อมูลกว่า 300GB ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกค่าไถ่หรือการรั่วไหลในอนาคต เหตุการณ์นี้สะท้อนความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนด้านสาธารณสุขที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสหราชอาณาจักร
    https://www.techradar.com/pro/security/nhs-england-tech-provider-reveals-data-breach-dxs-international-hit-by-ransomware

    iRobot ยืนยัน Roomba ยังใช้งานได้ปกติหลังการเทกโอเวอร์
    หลัง iRobot ถูกเทกโอเวอร์โดยบริษัท Picea ท่ามกลางกระบวนการล้มละลาย ผู้ใช้ Roomba จำนวนมากกังวลเรื่องแอป การอัปเดต และการรับประกัน แต่ CEO ของ iRobot ออกมายืนยันว่าทุกอย่าง “ยังเป็นปกติ” ทั้งแอป การสนับสนุน และการอัปเดตเฟิร์มแวร์จะดำเนินต่อไป พร้อมเผยว่าบริษัทกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2026
    https://www.techradar.com/home/robot-vacuums/its-business-as-usual-the-app-is-working-warranties-will-be-honored-irobot-ceo-reassures-roomba-owners-following-takeover

    ChatGPT เพิ่มโหมดปรับบุคลิก เลือกได้ตั้งแต่สุภาพมืออาชีพถึงเพื่อนสายแซ่บ
    OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ Personalization ใหม่ใน ChatGPT ให้ผู้ใช้ปรับ “บุคลิก” ของโมเดลได้ เช่น ระดับความอบอุ่น ความกระตือรือร้น การใช้หัวข้อย่อย และอีโมจิ ทำให้ผู้ใช้ควบคุมโทนการตอบได้ละเอียดขึ้น ตั้งแต่สไตล์คอร์ปอเรตจริงจังไปจนถึงเพื่อนสนิทสายเมาท์ พร้อมผสานกับ Base Style เดิม เช่น Professional, Friendly หรือ Cynical เพื่อสร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัว
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-new-personality-settings-let-you-pick-the-vibe-and-it-ranges-from-corporate-calm-to-chaotic-bestie
    📌📡🟡 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟡📡📌 #รวมข่าวIT #20251222 #TechRadar 💾 RAM ปลอมระบาดหนัก — ผู้ใช้ถูกหลอกด้วยสเปกเกินจริงและชิปรีไซเคิล รายงานเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญปัญหา RAM ปลอมที่ถูกขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยผู้ผลิตเถื่อนใช้ชิปรีไซเคิลหรือชิปคุณภาพต่ำมารีแบรนด์เป็นรุ่นความเร็วสูง ทำให้ผู้ใช้พบอาการเครื่องล่ม ประสิทธิภาพตก หรืออายุการใช้งานสั้นลงอย่างมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความต้องการ RAM ความเร็วสูงเพิ่มขึ้นจากงาน AI และเกมมิ่ง แต่ผู้ซื้อจำนวนมากไม่รู้วิธีตรวจสอบของแท้ ส่งผลให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสได้ง่าย 🔗 https://www.techradar.com/computing/memory/watch-out-ram-rip-offs-are-now-in-vogue-so-heres-how-to-avoid-falling-for-high-end-memory-scams 🧠 “Data คือเลือดหล่อเลี้ยงองค์กร” — Veeam ชี้ความมั่นคงของข้อมูลคือเงื่อนไขสำคัญของ AI CEO ของ Veeam อธิบายว่าทุกอุตสาหกรรมกำลังพึ่งพา AI มากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม ทั้งจากมัลแวร์ที่ใช้ AI, ปริมาณข้อมูลที่ไม่เป็นโครงสร้างมหาศาล และการขาดระบบควบคุมข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้หลายโปรเจกต์ล้มเหลว เขาย้ำว่า “ไม่มี AI หากไม่มีความปลอดภัยของข้อมูล” และชูแพลตฟอร์มของ Veeam ที่รวมความปลอดภัย การกำกับดูแล และความยืดหยุ่นของข้อมูลไว้ในระบบเดียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ AI ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย 🔗 https://www.techradar.com/pro/it-doesnt-matter-which-industry-you-belong-to-data-is-your-lifeblood-veeam-ceo-tells-us-why-getting-security-and-resiliency-right-is-the-key-to-unleashing-the-power-of-ai 🌡️ ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสร้างใน “สภาพอากาศผิดประเภท” ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล รายงานใหม่เผยว่าเกือบ 7,000 จาก 8,808 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุณหภูมิไม่เหมาะสมต่อการทำงาน (ต่ำกว่า 18°C หรือสูงกว่า 27°C) ทำให้ต้องใช้พลังงานในการทำความเย็นมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะในประเทศร้อนอย่างสิงคโปร์ที่มีศูนย์ข้อมูลกว่า 1.4GW แม้อุณหภูมิแตะ 33°C ตลอดปี แนวโน้มนี้กำลังสร้างภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้า และคาดว่าความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในปี 2030 🔗 https://www.techradar.com/pro/no-wonder-theres-a-bubble-study-claims-nearly-all-of-the-worlds-data-centers-are-built-in-the-wrong-climate 🕵️‍♂️ GhostPairing — เทคนิคใหม่ที่แฮ็ก WhatsApp ได้โดยไม่ต้องเจาะรหัสผ่าน นักวิจัยเตือนถึงการโจมตีแบบ GhostPairing ที่อาศัยฟีเจอร์ “Linked Devices” ของ WhatsApp เอง โดยหลอกเหยื่อผ่านลิงก์ปลอมให้กรอกเบอร์โทรและยืนยันรหัสเชื่อมอุปกรณ์ ทำให้แฮ็กเกอร์ผูกเบราว์เซอร์ของตนเข้ากับบัญชีเหยื่อได้ทันที เมื่อสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถอ่านข้อความ ส่งข้อความแทนเหยื่อ และดึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ วิธีตรวจสอบเดียวที่เชื่อถือได้คือเข้าไปดูรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเมนู Linked Devices แล้วลบสิ่งที่ไม่รู้จัก 🔗 https://www.techradar.com/pro/whatsapp-user-warning-hackers-are-hijacking-accounts-without-any-need-to-crack-the-authentication-so-be-on-your-guard ⚡ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กล่าวหา Big Tech ผลักภาระค่าไฟของศูนย์ข้อมูลให้ประชาชน วุฒิสมาชิก 3 คนส่งจดหมายถึงบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ถามเหตุผลที่ค่าไฟในพื้นที่ที่มีดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากพุ่งสูงขึ้น แม้บริษัทจะอ้างว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง แต่โครงสร้างค่าไฟของรัฐกลับผลักต้นทุนการขยายโครงข่ายไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ทั่วไป ขณะที่ศูนย์ข้อมูล AI สมัยใหม่ใช้ไฟระดับ “เมืองหนึ่งทั้งเมือง” ทำให้หลายรัฐต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเป็นพันล้านดอลลาร์ 🔗 https://www.techradar.com/pro/tech-companies-have-paid-lip-service-us-government-is-asking-ai-giants-why-data-centers-are-leading-to-rising-bills 📱 หลุดใหม่ชี้ Samsung Galaxy S26 จะเปิดตัวกุมภาพันธ์ แต่ขายจริงอาจต้องรอถึงมีนาคม ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุว่า Galaxy S26 Series จะเปิดตัวในงาน Unpacked เดือนกุมภาพันธ์ แต่จะวางขายจริงในเดือนมีนาคม ซึ่งช้ากว่ารุ่น S25 ที่เปิดตัวตั้งแต่มกราคม สาเหตุคาดว่ามาจากการปรับไลน์ผลิตภัณฑ์ เช่น การยกเลิก S26 Edge แล้วนำ S26+ กลับมา รวมถึงความไม่ลงตัวด้านชื่อรุ่นและสเปกภายใน ทำให้กำหนดการเลื่อนออกไปเล็กน้อย 🔗 https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/a-new-leak-may-have-revealed-samsungs-launch-window-for-the-galaxy-s26-series-but-they-might-not-go-on-sale-right-away 🖥️ LG เปิดตัวเทคโนโลยี OLED รุ่นใหม่ “Tandem WOLED / RGB Tandem 2.0” พร้อมรีแบรนด์ครั้งใหญ่ LG Display เตรียมยกระดับตลาดทีวีและมอนิเตอร์ปี 2026 ด้วยการรีแบรนด์เทคโนโลยีจอเป็น “Tandem WOLED” และ “Tandem OLED” พร้อมโชว์ Primary RGB Tandem 2.0 ที่คาดว่าจะเพิ่มความสว่างและประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังเผยพาเนลใหม่หลายรุ่น เช่น มอนิเตอร์โค้ง 39 นิ้ว 5K และจอ 27 นิ้วความหนาแน่นสูง ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางการผลักดัน OLED ให้ตอบโจทย์ทั้งเกมมิ่งและทีวีระดับพรีเมียมในปีหน้า 🔗 https://www.techradar.com/televisions/lg-announces-next-gen-version-of-its-best-oled-tv-tech-oh-and-its-changing-the-name 🧊 Google Gemini กำลังจะเข้าไปอยู่ในตู้เย็น Samsung เพื่อช่วยจัดการอาหารและลดของเสีย Samsung เตรียมเปิดตัวตู้เย็น Bespoke AI Family Hub ที่ติดตั้ง Google Gemini ซึ่งจะใช้กล้องภายในวิเคราะห์อาหารที่มีอยู่ แนะนำเมนู แจ้งเตือนของใกล้หมดอายุ และจัดการพลังงานให้เหมาะสม รวมถึงรองรับสั่งงานด้วยเสียง ฟีเจอร์นี้อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกของ “AI ในเครื่องใช้ไฟฟ้า” ที่ให้ประโยชน์จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมขยายไปยังตู้แช่ไวน์รุ่นใหม่ด้วย 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/google-gemini-is-now-heading-to-fridges-and-it-might-actually-be-useful 🚨 ช่องโหว่ในแชตบอท Eurostar เกือบทำให้ข้อมูลลูกค้าเสี่ยงถูกโจมตี นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าแชตบอท AI ของ Eurostar มีช่องโหว่หลายจุด เช่น การตรวจสอบข้อความย้อนหลังไม่ดีพอ ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งอันตรายหรือสคริปต์ HTML ได้ แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลลูกค้าไม่เคยเชื่อมต่อกับระบบนี้ แต่เหตุการณ์สะท้อนความเสี่ยงจากการนำ AI มาใช้เร็วเกินไปในองค์กร โดยเฉพาะเมื่อระบบยังไม่ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างรัดกุม 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/eurostar-chatbot-security-flaws-almost-left-customers-exposed-to-data-theft-and-more 🔐 NordVPN เปิดแพ็กเกจ OpenWrt แบบโอเพ่นซอร์สสำหรับเราท์เตอร์ ปรับแต่งได้ลึกระดับ sysadmin NordVPN เปิดตัวแพ็กเกจ Linux แบบ headless สำหรับ OpenWrt ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้ง VPN ครอบคลุมทั้งเครือข่ายได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับการตั้งค่าผ่านไฟล์ JSON และเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมอัตโนมัติผ่าน API สะท้อนทิศทางของ NordVPN ที่ผลักดันความโปร่งใสและโอเพ่นซอร์สอย่างจริงจัง รวมถึงเตรียมเพิ่ม UI แบบเว็บในอนาคตเพื่อให้เข้าถึงได้กว้างขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nord-vpn-ups-its-game-in-open-source-with-linux-based-package-for-openwrt-routers 🔄 Google ดึงอดีตพนักงานกลับเข้าบริษัทจำนวนมากเพื่อเร่งเกม AI รายงานเผยว่า 20% ของวิศวกร AI ที่ Google จ้างในปี 2025 เป็น “boomerang hires” หรืออดีตพนักงานที่กลับมาใหม่ สะท้อนการแข่งขันด้าน AI ที่รุนแรงจนบริษัทต้องดึงบุคลากรที่คุ้นเคยกับระบบภายในกลับมาเสริมทัพ พร้อมทั้งเพิ่มการดึงตัวจากคู่แข่งอย่าง Microsoft, Amazon และ Apple ขณะที่ตลาดยังจับตาว่า Google จะเร่งพัฒนา Gemini และโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ทันคู่แข่งได้เร็วเพียงใด 🔗 https://www.techradar.com/pro/quite-a-few-of-the-ai-software-engineers-hired-by-google-in-2025-were-actually-ex-employees 🛂 Google–Apple เตือนพนักงาน H‑1B หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกสหรัฐ Google และ Apple ส่งสัญญาณเตือนพนักงานที่ถือวีซ่า H‑1B ให้หยุดเดินทางต่างประเทศชั่วคราว เพราะกระบวนการตรวจสอบวีซ่ากลับเข้าประเทศเข้มงวดขึ้นและอาจล่าช้านานหลายเดือน โดยเฉพาะหลังมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียใหม่ของรัฐบาล ทำให้หลายคนเสี่ยง “ติดค้าง” ต่างประเทศ ขณะเดียวกันสถานทูตบางแห่งมีคิวสัมภาษณ์ยาวถึง 12 เดือน สะท้อนแรงกดดันด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่กระทบแรงงานทักษะสูงจำนวนมาก 🔗 https://www.techradar.com/pro/google-and-apple-employees-on-us-visas-apparently-told-to-avoid-international-travel ⚖️ ศาลสหรัฐบล็อกกฎหมายตรวจสอบอายุผู้ใช้โซเชียลของรัฐลุยเซียนา ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับกฎหมาย Act 456 ของรัฐลุยเซียนาอย่างถาวร หลังพบว่ากฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลตรวจสอบอายุผู้ใช้ทุกคนและขอความยินยอมจากผู้ปกครองนั้นละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว โดยศาลชี้ว่ารัฐไม่สามารถใช้อำนาจ “ควบคุมความคิดที่เด็กควรเข้าถึง” ได้ และมีวิธีปกป้องเด็กที่จำกัดสิทธิน้อยกว่านี้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/federal-judge-blocks-louisianas-social-media-age-verification-law-heres-why 🏥 ผู้ให้บริการเทคโนโลยี NHS England ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ DXS International ผู้ให้บริการระบบข้อมูลให้ NHS England เปิดเผยว่าเผชิญเหตุแรนซัมแวร์โจมตีเซิร์ฟเวอร์สำนักงาน แม้บริการทางคลินิกยังทำงานได้ตามปกติ แต่กลุ่มแฮ็กเกอร์ DevMan อ้างว่าขโมยข้อมูลกว่า 300GB ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกค่าไถ่หรือการรั่วไหลในอนาคต เหตุการณ์นี้สะท้อนความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนด้านสาธารณสุขที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสหราชอาณาจักร 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/nhs-england-tech-provider-reveals-data-breach-dxs-international-hit-by-ransomware 🤖 iRobot ยืนยัน Roomba ยังใช้งานได้ปกติหลังการเทกโอเวอร์ หลัง iRobot ถูกเทกโอเวอร์โดยบริษัท Picea ท่ามกลางกระบวนการล้มละลาย ผู้ใช้ Roomba จำนวนมากกังวลเรื่องแอป การอัปเดต และการรับประกัน แต่ CEO ของ iRobot ออกมายืนยันว่าทุกอย่าง “ยังเป็นปกติ” ทั้งแอป การสนับสนุน และการอัปเดตเฟิร์มแวร์จะดำเนินต่อไป พร้อมเผยว่าบริษัทกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/home/robot-vacuums/its-business-as-usual-the-app-is-working-warranties-will-be-honored-irobot-ceo-reassures-roomba-owners-following-takeover 🎭 ChatGPT เพิ่มโหมดปรับบุคลิก เลือกได้ตั้งแต่สุภาพมืออาชีพถึงเพื่อนสายแซ่บ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ Personalization ใหม่ใน ChatGPT ให้ผู้ใช้ปรับ “บุคลิก” ของโมเดลได้ เช่น ระดับความอบอุ่น ความกระตือรือร้น การใช้หัวข้อย่อย และอีโมจิ ทำให้ผู้ใช้ควบคุมโทนการตอบได้ละเอียดขึ้น ตั้งแต่สไตล์คอร์ปอเรตจริงจังไปจนถึงเพื่อนสนิทสายเมาท์ พร้อมผสานกับ Base Style เดิม เช่น Professional, Friendly หรือ Cynical เพื่อสร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัว 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-new-personality-settings-let-you-pick-the-vibe-and-it-ranges-from-corporate-calm-to-chaotic-bestie
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • Biren เปิดตัว IPO ในฮ่องกง — มังกรตัวใหม่ในศึกชิงบัลลังก์ AI GPU จาก Nvidia

    Biren Intelligent Technology ผู้ผลิต GPU ชั้นนำของจีนเริ่มกระบวนการ bookbuilding สำหรับการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าระดมทุนสูงสุดถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิต GPU จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าจดทะเบียนในฮ่องกง และสะท้อนความเร่งรีบของบริษัทจีนที่ต้องการเงินทุนเพื่อเร่งพัฒนา AI accelerators ท่ามกลางความต้องการมหาศาลจากตลาดโลก

    การเข้าตลาดของ Biren เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์ทอัพ GPU จีนกำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดย Moore Threads และ MetaX ต่างสร้างสถิติราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการซื้อขาย ทำให้ทั้งสามบริษัท รวมถึง Enflame ถูกเรียกว่า “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีน ซึ่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือท้าทายความเป็นเจ้าตลาดของ Nvidia ในตลาด AI accelerator

    แม้ Biren จะเริ่มมีรายได้จากโซลูชันคอมพิวติ้งอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2023 แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอย่างหนัก โดยขาดทุนเกือบ 9 พันล้านหยวนในครึ่งแรกของปี 2025 จากการลงทุนด้าน R&D และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Biren ยังได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น

    การเข้าตลาดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการประกาศจุดยืนของจีนในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก โดย Biren, MiniMax, Zhipu และบริษัท AI อื่นๆ ต่างเร่งเข้าตลาดเพื่อเสริมทุนและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ในขณะที่การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ภายในจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Biren เปิดตัว IPO มูลค่าสูงสุด 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    เป็นผู้ผลิต GPU จีนรายแรกที่เข้าตลาดฮ่องกง
    เสนอขายหุ้น 247.7 ล้านหุ้น ราคา 17–19.60 ดอลลาร์ฮ่องกง

    กระแส “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีนกำลังมาแรง
    Moore Threads และ MetaX ทำราคาหุ้นพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
    ทั้งหมดมีเป้าหมายท้าทาย Nvidia ในตลาด AI accelerator

    Biren มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ยังขาดทุนหนัก
    รายได้ปี 2023 อยู่ที่ 336.8 ล้านหยวน
    ขาดทุนครึ่งแรกปี 2025 เกือบ 9 พันล้านหยวนจากการลงทุน R&D

    ความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการเมืองและซัพพลายเชน
    ถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศยากขึ้น
    ต้องพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งยังไม่สมบูรณ์

    การแข่งขันในตลาด AI จีนกำลังรุนแรงขึ้น
    MiniMax และ Zhipu ก็เตรียมเข้าตลาดเช่นกัน
    บริษัทต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งทั้งในและนอกประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/biren-kicks-off-hong-kong-ipo
    🐉 Biren เปิดตัว IPO ในฮ่องกง — มังกรตัวใหม่ในศึกชิงบัลลังก์ AI GPU จาก Nvidia Biren Intelligent Technology ผู้ผลิต GPU ชั้นนำของจีนเริ่มกระบวนการ bookbuilding สำหรับการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าระดมทุนสูงสุดถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิต GPU จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าจดทะเบียนในฮ่องกง และสะท้อนความเร่งรีบของบริษัทจีนที่ต้องการเงินทุนเพื่อเร่งพัฒนา AI accelerators ท่ามกลางความต้องการมหาศาลจากตลาดโลก การเข้าตลาดของ Biren เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์ทอัพ GPU จีนกำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดย Moore Threads และ MetaX ต่างสร้างสถิติราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการซื้อขาย ทำให้ทั้งสามบริษัท รวมถึง Enflame ถูกเรียกว่า “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีน ซึ่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือท้าทายความเป็นเจ้าตลาดของ Nvidia ในตลาด AI accelerator แม้ Biren จะเริ่มมีรายได้จากโซลูชันคอมพิวติ้งอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2023 แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอย่างหนัก โดยขาดทุนเกือบ 9 พันล้านหยวนในครึ่งแรกของปี 2025 จากการลงทุนด้าน R&D และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Biren ยังได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น การเข้าตลาดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการประกาศจุดยืนของจีนในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก โดย Biren, MiniMax, Zhipu และบริษัท AI อื่นๆ ต่างเร่งเข้าตลาดเพื่อเสริมทุนและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ในขณะที่การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ภายในจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Biren เปิดตัว IPO มูลค่าสูงสุด 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ เป็นผู้ผลิต GPU จีนรายแรกที่เข้าตลาดฮ่องกง ➡️ เสนอขายหุ้น 247.7 ล้านหุ้น ราคา 17–19.60 ดอลลาร์ฮ่องกง ✅ กระแส “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีนกำลังมาแรง ➡️ Moore Threads และ MetaX ทำราคาหุ้นพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ➡️ ทั้งหมดมีเป้าหมายท้าทาย Nvidia ในตลาด AI accelerator ✅ Biren มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ยังขาดทุนหนัก ➡️ รายได้ปี 2023 อยู่ที่ 336.8 ล้านหยวน ➡️ ขาดทุนครึ่งแรกปี 2025 เกือบ 9 พันล้านหยวนจากการลงทุน R&D ‼️ ความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการเมืองและซัพพลายเชน ⛔ ถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศยากขึ้น ⛔ ต้องพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ ‼️ การแข่งขันในตลาด AI จีนกำลังรุนแรงขึ้น ⛔ MiniMax และ Zhipu ก็เตรียมเข้าตลาดเช่นกัน ⛔ บริษัทต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งทั้งในและนอกประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/biren-kicks-off-hong-kong-ipo
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's premier GPU maker Biren kicks off Hong Kong IPO — GPU startups vying for Nvidia's crown race to fund AI chip development
    Shanghai-based Biren is targeting up to US$624 million in what would be the first Hong Kong listing by a mainland GPU developer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • NIST เตือนเซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจคลาดเคลื่อน — เมื่อ “เวลามาตรฐานของโลก” สะดุดเพราะไฟดับ

    เหตุขัดข้องครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อศูนย์ NIST ที่ Boulder, Colorado สูญเสียไฟฟ้าระดับยูทิลิตี้ในช่วงลมแรงที่ทำให้สายไฟเสียหายและมีการปิดระบบเพื่อป้องกันไฟป่า ผลกระทบหนักที่สุดคือการที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในจุดสำคัญของโซ่สัญญาณ ทำให้ atomic ensemble time scale NIST‑F4 ซึ่งเป็นหัวใจของ Internet Time Service หยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ time‑a‑b ถึง time‑e‑b รวมถึง ntp‑b.nist.gov อาจให้เวลาที่ไม่ถูกต้อง

    แม้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ยังตอบสนองคำขอ NTP ได้ แต่ NIST เตือนว่ามันอาจไม่ได้อ้างอิงแหล่งเวลาที่ถูกต้อง และอาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์บางตัวเพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิดพลาด ปัญหานี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ที่ Gaithersburg ซึ่งทำให้เวลาคลาดเคลื่อนถึง –10 มิลลิวินาที แสดงให้เห็นว่าระบบเวลามาตรฐานของสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากเหตุการณ์โครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น

    แม้ความคลาดเคลื่อนระดับไมโครวินาทีจะไม่กระทบผู้ใช้ทั่วไป แต่สำหรับระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การเงิน 고‑frequency, การซิงก์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์, ระบบไฟฟ้า, และ GPS — ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจสร้างความเสียหายเป็นลูกโซ่ได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้ใช้งานระดับ critical ต้องตรวจสอบหลายแหล่งเวลาเสมอ และเหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นว่าการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเพียงจุดเดียวเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ

    NIST ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะกู้คืนระบบทั้งหมดเมื่อใด แต่ยืนยันว่าบริการ time.nist.gov ซึ่งใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดข้ามหลายภูมิภาคไม่ได้รับผลกระทบ เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าการออกแบบระบบเวลาในระดับประเทศต้องมีความทนทานต่อความล้มเหลวมากกว่าที่เป็นอยู่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุไฟดับทำให้ระบบเวลาหลัก NIST‑F4 สะดุด
    เกิดจากลมแรงทำให้สายไฟเสียหายและระบบป้องกันไฟป่าตัดไฟ
    เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในตำแหน่งสำคัญของโซ่สัญญาณ

    เซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจให้เวลาคลาดเคลื่อน
    time‑a‑b ถึง time‑e‑b และ ntp‑b.nist.gov ได้รับผลกระทบ
    อาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิด

    บริการหลัก time.nist.gov ไม่ได้รับผลกระทบ
    ใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดหลายภูมิภาค
    ผู้ใช้ทั่วไปจึงไม่เห็นผลกระทบโดยตรง

    ความเสี่ยงเชิงระบบจากความคลาดเคลื่อนของเวลา
    กระทบระบบการเงิน, ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงาน, และ GPS
    ความผิดพลาดระดับไมโครวินาทีอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่

    โครงสร้างพื้นฐานเวลาของประเทศยังเปราะบาง
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในเดือนเดียว
    การพึ่งพาแหล่งเวลาเดียวเป็นความเสี่ยงที่ต้องแก้ไข

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nist-warns-of-potential-inaccuracies-on-boulder-time-servers-after-power-failure
    ⏱️ NIST เตือนเซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจคลาดเคลื่อน — เมื่อ “เวลามาตรฐานของโลก” สะดุดเพราะไฟดับ เหตุขัดข้องครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อศูนย์ NIST ที่ Boulder, Colorado สูญเสียไฟฟ้าระดับยูทิลิตี้ในช่วงลมแรงที่ทำให้สายไฟเสียหายและมีการปิดระบบเพื่อป้องกันไฟป่า ผลกระทบหนักที่สุดคือการที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในจุดสำคัญของโซ่สัญญาณ ทำให้ atomic ensemble time scale NIST‑F4 ซึ่งเป็นหัวใจของ Internet Time Service หยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ time‑a‑b ถึง time‑e‑b รวมถึง ntp‑b.nist.gov อาจให้เวลาที่ไม่ถูกต้อง แม้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ยังตอบสนองคำขอ NTP ได้ แต่ NIST เตือนว่ามันอาจไม่ได้อ้างอิงแหล่งเวลาที่ถูกต้อง และอาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์บางตัวเพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิดพลาด ปัญหานี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ที่ Gaithersburg ซึ่งทำให้เวลาคลาดเคลื่อนถึง –10 มิลลิวินาที แสดงให้เห็นว่าระบบเวลามาตรฐานของสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากเหตุการณ์โครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น แม้ความคลาดเคลื่อนระดับไมโครวินาทีจะไม่กระทบผู้ใช้ทั่วไป แต่สำหรับระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การเงิน 고‑frequency, การซิงก์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์, ระบบไฟฟ้า, และ GPS — ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจสร้างความเสียหายเป็นลูกโซ่ได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้ใช้งานระดับ critical ต้องตรวจสอบหลายแหล่งเวลาเสมอ และเหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นว่าการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเพียงจุดเดียวเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ NIST ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะกู้คืนระบบทั้งหมดเมื่อใด แต่ยืนยันว่าบริการ time.nist.gov ซึ่งใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดข้ามหลายภูมิภาคไม่ได้รับผลกระทบ เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าการออกแบบระบบเวลาในระดับประเทศต้องมีความทนทานต่อความล้มเหลวมากกว่าที่เป็นอยู่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุไฟดับทำให้ระบบเวลาหลัก NIST‑F4 สะดุด ➡️ เกิดจากลมแรงทำให้สายไฟเสียหายและระบบป้องกันไฟป่าตัดไฟ ➡️ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในตำแหน่งสำคัญของโซ่สัญญาณ ✅ เซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจให้เวลาคลาดเคลื่อน ➡️ time‑a‑b ถึง time‑e‑b และ ntp‑b.nist.gov ได้รับผลกระทบ ➡️ อาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิด ✅ บริการหลัก time.nist.gov ไม่ได้รับผลกระทบ ➡️ ใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดหลายภูมิภาค ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปจึงไม่เห็นผลกระทบโดยตรง ‼️ ความเสี่ยงเชิงระบบจากความคลาดเคลื่อนของเวลา ⛔ กระทบระบบการเงิน, ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงาน, และ GPS ⛔ ความผิดพลาดระดับไมโครวินาทีอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ ‼️ โครงสร้างพื้นฐานเวลาของประเทศยังเปราะบาง ⛔ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในเดือนเดียว ⛔ การพึ่งพาแหล่งเวลาเดียวเป็นความเสี่ยงที่ต้องแก้ไข https://www.tomshardware.com/tech-industry/nist-warns-of-potential-inaccuracies-on-boulder-time-servers-after-power-failure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • EUV ของ ASML ถูกใช้สร้าง “นาโนพอร์” ทางการแพทย์แบบจำนวนมาก — จุดตัดใหม่ของเซมิคอนดักเตอร์และไบโอเทค

    IMEC ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการใช้เครื่อง EUV lithography ของ ASML—เครื่องจักรที่ปกติใช้ผลิตชิประดับ 3nm—มาสร้าง “nanopores” บนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ได้อย่างสม่ำเสมอและแม่นยำสูง นาโนพอร์เหล่านี้คือรูขนาดเพียง ~10 นาโนเมตร เล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ราว 10,000 เท่า และสามารถใช้เป็นเซนเซอร์ระดับโมเลกุลที่ตรวจจับไวรัส โปรตีน หรือ DNA ได้จากสัญญาณกระแสไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปเมื่อโมเลกุลไหลผ่าน

    ความสำคัญของงานนี้อยู่ที่ “การผลิตจำนวนมาก” ซึ่งเป็นสิ่งที่วงการไบโอเซนเซอร์ขาดหายมานาน เพราะเดิมทีการสร้าง nanopores ต้องใช้เทคนิคเฉพาะทางในห้องแล็บที่ช้า แพง และไม่สามารถทำซ้ำได้ในระดับอุตสาหกรรม การใช้ EUV ซึ่งมีความละเอียดระดับอะตอม ทำให้สามารถผลิต nanopores ที่มีขนาดสม่ำเสมอทั่วทั้งเวเฟอร์ได้เป็นครั้งแรก เปิดประตูสู่การสร้างอุปกรณ์ตรวจจับโรคแบบพกพาและต้นทุนต่ำ

    นอกจากการตรวจจับโมเลกุลแล้ว IMEC ยังชี้ว่าการควบคุมขนาด nanopore อย่างละเอียดสามารถนำไปใช้ด้านการกรองโมเลกุลเฉพาะชนิด หรือแม้แต่การจัดเก็บข้อมูลในระดับโมเลกุล ซึ่งเป็นแนวคิด emerging ที่หลายสถาบันวิจัยกำลังทดลองอยู่ ความแม่นยำของ EUV ทำให้การสร้างโครงสร้างระดับนาโนเพื่อการจัดเก็บข้อมูลมีความเป็นไปได้มากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม แม้ความก้าวหน้านี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็มีข้อจำกัดเชิงอุตสาหกรรม เพราะเครื่อง EUV ของ ASML เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพงและมีความต้องการสูงจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้การนำไปใช้ในงานไบโอเมดิคัลอาจยังไม่แพร่หลายทันที แต่ IMEC ยืนยันว่านี่คือก้าวแรกสู่ “mass production ที่คุ้มค่า” ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมอุปกรณ์ตรวจโรคในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    IMEC ใช้เครื่อง EUV ของ ASML ผลิต nanopores ได้ทั้งเวเฟอร์
    ขนาดสม่ำเสมอระดับ ~10 นาโนเมตร
    เป็นครั้งแรกที่ทำได้ในระดับอุตสาหกรรม

    นาโนพอร์ช่วยตรวจจับโมเลกุลได้อย่างแม่นยำ
    ใช้การเปลี่ยนแปลงของกระแสไอออนเป็นสัญญาณ
    ตรวจจับไวรัส โปรตีน หรือ DNA ได้

    เปิดทางสู่อุปกรณ์ตรวจโรคแบบพกพาและต้นทุนต่ำ
    เดิมการผลิต nanopores ช้าและแพง
    EUV ทำให้ mass production เป็นไปได้จริง

    ข้อจำกัดด้านอุตสาหกรรมและต้นทุน
    เครื่อง EUV มีราคาแพงและมีคิวการใช้งานยาว
    การนำไปใช้ในไบโอเมดิคัลอาจยังไม่แพร่หลายทันที

    ความเสี่ยงด้านการพึ่งพาเทคโนโลยีระดับสูง
    การผลิตต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานระดับเซมิคอนดักเตอร์
    หาก supply chain EUV สะดุด อาจกระทบงานวิจัยไบโอเมดิคัลด้วย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/surprising-biomedical-application-found-for-asmls-chipmaking-euv-lithography-machines-they-can-mass-produce-nanopores-for-molecular-sensing
    🔬 EUV ของ ASML ถูกใช้สร้าง “นาโนพอร์” ทางการแพทย์แบบจำนวนมาก — จุดตัดใหม่ของเซมิคอนดักเตอร์และไบโอเทค IMEC ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการใช้เครื่อง EUV lithography ของ ASML—เครื่องจักรที่ปกติใช้ผลิตชิประดับ 3nm—มาสร้าง “nanopores” บนเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ได้อย่างสม่ำเสมอและแม่นยำสูง นาโนพอร์เหล่านี้คือรูขนาดเพียง ~10 นาโนเมตร เล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ราว 10,000 เท่า และสามารถใช้เป็นเซนเซอร์ระดับโมเลกุลที่ตรวจจับไวรัส โปรตีน หรือ DNA ได้จากสัญญาณกระแสไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปเมื่อโมเลกุลไหลผ่าน ความสำคัญของงานนี้อยู่ที่ “การผลิตจำนวนมาก” ซึ่งเป็นสิ่งที่วงการไบโอเซนเซอร์ขาดหายมานาน เพราะเดิมทีการสร้าง nanopores ต้องใช้เทคนิคเฉพาะทางในห้องแล็บที่ช้า แพง และไม่สามารถทำซ้ำได้ในระดับอุตสาหกรรม การใช้ EUV ซึ่งมีความละเอียดระดับอะตอม ทำให้สามารถผลิต nanopores ที่มีขนาดสม่ำเสมอทั่วทั้งเวเฟอร์ได้เป็นครั้งแรก เปิดประตูสู่การสร้างอุปกรณ์ตรวจจับโรคแบบพกพาและต้นทุนต่ำ นอกจากการตรวจจับโมเลกุลแล้ว IMEC ยังชี้ว่าการควบคุมขนาด nanopore อย่างละเอียดสามารถนำไปใช้ด้านการกรองโมเลกุลเฉพาะชนิด หรือแม้แต่การจัดเก็บข้อมูลในระดับโมเลกุล ซึ่งเป็นแนวคิด emerging ที่หลายสถาบันวิจัยกำลังทดลองอยู่ ความแม่นยำของ EUV ทำให้การสร้างโครงสร้างระดับนาโนเพื่อการจัดเก็บข้อมูลมีความเป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ความก้าวหน้านี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็มีข้อจำกัดเชิงอุตสาหกรรม เพราะเครื่อง EUV ของ ASML เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพงและมีความต้องการสูงจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้การนำไปใช้ในงานไบโอเมดิคัลอาจยังไม่แพร่หลายทันที แต่ IMEC ยืนยันว่านี่คือก้าวแรกสู่ “mass production ที่คุ้มค่า” ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมอุปกรณ์ตรวจโรคในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ IMEC ใช้เครื่อง EUV ของ ASML ผลิต nanopores ได้ทั้งเวเฟอร์ ➡️ ขนาดสม่ำเสมอระดับ ~10 นาโนเมตร ➡️ เป็นครั้งแรกที่ทำได้ในระดับอุตสาหกรรม ✅ นาโนพอร์ช่วยตรวจจับโมเลกุลได้อย่างแม่นยำ ➡️ ใช้การเปลี่ยนแปลงของกระแสไอออนเป็นสัญญาณ ➡️ ตรวจจับไวรัส โปรตีน หรือ DNA ได้ ✅ เปิดทางสู่อุปกรณ์ตรวจโรคแบบพกพาและต้นทุนต่ำ ➡️ เดิมการผลิต nanopores ช้าและแพง ➡️ EUV ทำให้ mass production เป็นไปได้จริง ‼️ ข้อจำกัดด้านอุตสาหกรรมและต้นทุน ⛔ เครื่อง EUV มีราคาแพงและมีคิวการใช้งานยาว ⛔ การนำไปใช้ในไบโอเมดิคัลอาจยังไม่แพร่หลายทันที ‼️ ความเสี่ยงด้านการพึ่งพาเทคโนโลยีระดับสูง ⛔ การผลิตต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานระดับเซมิคอนดักเตอร์ ⛔ หาก supply chain EUV สะดุด อาจกระทบงานวิจัยไบโอเมดิคัลด้วย https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/surprising-biomedical-application-found-for-asmls-chipmaking-euv-lithography-machines-they-can-mass-produce-nanopores-for-molecular-sensing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ทดสอบสร้าง Minesweeper: Codex ชนะขาด — Gemini พังยับแบบไม่มีเกมให้เล่น

    การทดสอบล่าสุดจาก Ars Technica เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของ “ความสามารถจริง” ของ AI coding agents ยุคใหม่ เมื่อถูกสั่งให้สร้างเกม Minesweeper เวอร์ชันเว็บแบบครบฟีเจอร์ ทั้งเสียงประกอบ รองรับมือถือ และมี “เกมเพลย์ทวิสต์” เพิ่มเติม ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละโมเดลอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับที่ “พร้อมใช้งานจริง” ไปจนถึง “เปิดเกมไม่ได้เลย”

    OpenAI Codex (GPT‑5) ทำผลงานโดดเด่นที่สุด ได้คะแนน 9/10 ด้วยฟีเจอร์ครบถ้วน ทั้งระบบ chording ที่ผู้เล่นระดับโปรต้องการ เสียงเอฟเฟกต์แบบยุคคลาสสิก และ UI ที่ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ ในขณะที่ Claude Code ทำงานเร็วกว่าและสวยกว่า แต่ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง ส่วน Mistral Vibe แม้จะทำงานได้ แต่ขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่นเสียงและเกมเพลย์พิเศษ

    ด้านที่น่าตกใจที่สุดคือ Google Gemini CLI ซึ่งล้มเหลวแบบสิ้นเชิง — ไม่มีตาราง ไม่มีเกม ไม่มีการเล่นใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะใช้เวลารันโค้ดนานเป็นชั่วโมง และยังคงขอ dependency เพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะได้รับโอกาสแก้ตัวด้วยกติกาใหม่ก็ตาม ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่าง “คะแนน benchmark” กับ “ความสามารถใช้งานจริง” ที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ในวงการ AI

    การทดสอบนี้จึงเป็นเหมือนภาพ snapshot ของยุค AI coding agents ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการ “สร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้จริง” อาจกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในยุคหลัง benchmark ซึ่งกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    OpenAI Codex ชนะการทดสอบแบบขาดลอย
    ฟีเจอร์ครบ: chording, เสียง, UI มือถือ–เดสก์ท็อป
    มี “Lucky Sweep” เป็นเกมเพลย์ทวิสต์
    พร้อมใช้งานจริงที่สุดในบรรดา 4 โมเดล

    Claude Code ทำงานเร็วและสวยที่สุด
    ใช้เวลาเขียนโค้ดครึ่งหนึ่งของ Codex
    UI เรียบร้อย เสียงดี
    ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง

    Mistral Vibe ทำงานได้ แต่ยังไม่สมบูรณ์
    ไม่มีเสียง ไม่มี chording
    ปุ่ม Custom ใช้งานไม่ได้
    คะแนน 4/10 แม้ภาพรวมดีกว่าที่คิด

    Gemini CLI ล้มเหลวแบบใช้งานไม่ได้
    ไม่มีตาราง ไม่มีเกม
    ใช้เวลารันโค้ดนานมาก
    ขอ dependency เพิ่มไม่หยุด
    ได้คะแนน 0/10

    Benchmark ไม่ได้สะท้อนความสามารถใช้งานจริง
    Gemini มักชนะ benchmark แต่ล้มเหลวในงานจริง

    AI coding agents ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์
    แม้ Codex จะดีที่สุด แต่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขก่อนใช้งานจริง

    การทดสอบนี้เป็นเพียง snapshot ของสถานการณ์ปัจจุบัน
    โมเดลอาจถูกอัปเดตและเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ในเวลาอันสั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/turns-out-ai-can-actually-build-competent-minesweeper-clones-four-ai-coding-agents-put-to-the-test-reveal-openais-codex-as-the-best-while-googles-gemini-cli-as-the-worst
    🧩 AI ทดสอบสร้าง Minesweeper: Codex ชนะขาด — Gemini พังยับแบบไม่มีเกมให้เล่น การทดสอบล่าสุดจาก Ars Technica เผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของ “ความสามารถจริง” ของ AI coding agents ยุคใหม่ เมื่อถูกสั่งให้สร้างเกม Minesweeper เวอร์ชันเว็บแบบครบฟีเจอร์ ทั้งเสียงประกอบ รองรับมือถือ และมี “เกมเพลย์ทวิสต์” เพิ่มเติม ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละโมเดลอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับที่ “พร้อมใช้งานจริง” ไปจนถึง “เปิดเกมไม่ได้เลย” OpenAI Codex (GPT‑5) ทำผลงานโดดเด่นที่สุด ได้คะแนน 9/10 ด้วยฟีเจอร์ครบถ้วน ทั้งระบบ chording ที่ผู้เล่นระดับโปรต้องการ เสียงเอฟเฟกต์แบบยุคคลาสสิก และ UI ที่ใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ ในขณะที่ Claude Code ทำงานเร็วกว่าและสวยกว่า แต่ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง ส่วน Mistral Vibe แม้จะทำงานได้ แต่ขาดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่นเสียงและเกมเพลย์พิเศษ ด้านที่น่าตกใจที่สุดคือ Google Gemini CLI ซึ่งล้มเหลวแบบสิ้นเชิง — ไม่มีตาราง ไม่มีเกม ไม่มีการเล่นใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะใช้เวลารันโค้ดนานเป็นชั่วโมง และยังคงขอ dependency เพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะได้รับโอกาสแก้ตัวด้วยกติกาใหม่ก็ตาม ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่าง “คะแนน benchmark” กับ “ความสามารถใช้งานจริง” ที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ในวงการ AI การทดสอบนี้จึงเป็นเหมือนภาพ snapshot ของยุค AI coding agents ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด และเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการ “สร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้จริง” อาจกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในยุคหลัง benchmark ซึ่งกำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ OpenAI Codex ชนะการทดสอบแบบขาดลอย ➡️ ฟีเจอร์ครบ: chording, เสียง, UI มือถือ–เดสก์ท็อป ➡️ มี “Lucky Sweep” เป็นเกมเพลย์ทวิสต์ ➡️ พร้อมใช้งานจริงที่สุดในบรรดา 4 โมเดล ✅ Claude Code ทำงานเร็วและสวยที่สุด ➡️ ใช้เวลาเขียนโค้ดครึ่งหนึ่งของ Codex ➡️ UI เรียบร้อย เสียงดี ➡️ ขาด chording ทำให้คะแนนลดลง ✅ Mistral Vibe ทำงานได้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ ไม่มีเสียง ไม่มี chording ➡️ ปุ่ม Custom ใช้งานไม่ได้ ➡️ คะแนน 4/10 แม้ภาพรวมดีกว่าที่คิด ✅ Gemini CLI ล้มเหลวแบบใช้งานไม่ได้ ➡️ ไม่มีตาราง ไม่มีเกม ➡️ ใช้เวลารันโค้ดนานมาก ➡️ ขอ dependency เพิ่มไม่หยุด ➡️ ได้คะแนน 0/10 ‼️ Benchmark ไม่ได้สะท้อนความสามารถใช้งานจริง ⛔ Gemini มักชนะ benchmark แต่ล้มเหลวในงานจริง ‼️ AI coding agents ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์ ⛔ แม้ Codex จะดีที่สุด แต่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขก่อนใช้งานจริง ‼️ การทดสอบนี้เป็นเพียง snapshot ของสถานการณ์ปัจจุบัน ⛔ โมเดลอาจถูกอัปเดตและเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ในเวลาอันสั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/turns-out-ai-can-actually-build-competent-minesweeper-clones-four-ai-coding-agents-put-to-the-test-reveal-openais-codex-as-the-best-while-googles-gemini-cli-as-the-worst
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตหน่วยความจำโลกดันราคา PC ปี 2026 พุ่งสูงสุด 8% — ผู้ผลิตบางรายถึงขั้นขายเครื่อง “ไม่มี RAM”

    รายงานล่าสุดจาก IDC ชี้ว่าอุตสาหกรรมพีซีกำลังเข้าสู่ช่วง “พายุราคา” ครั้งใหญ่ในปี 2026 เนื่องจากวิกฤตหน่วยความจำ NAND และ DRAM ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับราคาพีซีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2025 และมีแนวโน้มว่าราคาจะพุ่งสูงสุดถึง 8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนชิปหน่วยความจำที่ถูกดูดไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI อย่างมหาศาล

    บริษัทใหญ่ทั้ง Dell และ Lenovo ต่างประกาศขึ้นราคาพีซีสูงสุดถึง 15% ขณะที่ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้วิธีสุดขั้ว เช่น การขายพีซีแบบ “ไม่มี RAM” เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อแรมเอง เนื่องจากต้นทุนสูงจนไม่สามารถใส่มาในเครื่องได้โดยไม่ขาดทุน นอกจากนี้ Framework ยังหยุดขาย RAM แบบแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกว้านซื้อไปปั่นราคา ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดหน่วยความจำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากการที่ผู้ผลิตชิปเลือกทุ่มกำลังผลิตไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI รุ่นใหม่ ทำให้ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดลำดับความสำคัญลงอย่างหนัก แม้ผู้ผลิตจะสามารถสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังผลิตได้ แต่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด AI ที่อาจเกิดฟองสบู่ได้ทุกเมื่อ

    IDC เตือนว่าผู้บริโภคควรเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ RAM และ SSD ที่อาจขึ้นราคาอีกตลอดปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำว่าหากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็วกว่าเดิม แต่ถ้าระบบยังใช้งานได้ดี อาจรอให้ตลาดกลับมาสมดุล ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการด้าน AI จะชะลอตัวลงเมื่อใด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    IDC คาดราคา PC ปี 2026 เพิ่มขึ้น 4–8%
    เกิดจากวิกฤต DRAM และ NAND ทั่วโลก
    ตลาดพีซีอาจหดตัวสูงสุดถึง 8.9%

    ผู้ผลิตเริ่มขึ้นราคาหนัก
    Dell และ Lenovo ปรับขึ้นสูงสุด 15%
    บางรายขายพีซี “ไม่มี RAM” ให้ลูกค้าหามาใส่เอง

    HBM แย่งกำลังผลิตจาก DRAM/NAND
    ผู้ผลิตทุ่มกำลังผลิตให้ชิป AI เพราะกำไรสูงกว่า
    โรงงานใหม่ใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาหลายปี

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภค
    ถ้าจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็ว
    ถ้าระบบยังดี อาจรอจนตลาดนิ่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/idc-expects-average-pc-prices-to-jump-by-up-to-8-percent-in-2026-due-to-crushing-memory-shortages-some-vendors-already-selling-pre-builts-without-ram
    💥 วิกฤตหน่วยความจำโลกดันราคา PC ปี 2026 พุ่งสูงสุด 8% — ผู้ผลิตบางรายถึงขั้นขายเครื่อง “ไม่มี RAM” รายงานล่าสุดจาก IDC ชี้ว่าอุตสาหกรรมพีซีกำลังเข้าสู่ช่วง “พายุราคา” ครั้งใหญ่ในปี 2026 เนื่องจากวิกฤตหน่วยความจำ NAND และ DRAM ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับราคาพีซีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2025 และมีแนวโน้มว่าราคาจะพุ่งสูงสุดถึง 8% ในปีหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขาดแคลนชิปหน่วยความจำที่ถูกดูดไปใช้ในศูนย์ข้อมูล AI อย่างมหาศาล บริษัทใหญ่ทั้ง Dell และ Lenovo ต่างประกาศขึ้นราคาพีซีสูงสุดถึง 15% ขณะที่ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้วิธีสุดขั้ว เช่น การขายพีซีแบบ “ไม่มี RAM” เพื่อให้ลูกค้าหาซื้อแรมเอง เนื่องจากต้นทุนสูงจนไม่สามารถใส่มาในเครื่องได้โดยไม่ขาดทุน นอกจากนี้ Framework ยังหยุดขาย RAM แบบแยกชิ้นเพื่อป้องกันการกว้านซื้อไปปั่นราคา ซึ่งสะท้อนถึงความตึงตัวของตลาดหน่วยความจำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สาเหตุหลักของวิกฤตนี้มาจากการที่ผู้ผลิตชิปเลือกทุ่มกำลังผลิตไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI รุ่นใหม่ ทำให้ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดลำดับความสำคัญลงอย่างหนัก แม้ผู้ผลิตจะสามารถสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังผลิตได้ แต่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาหลายปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของตลาด AI ที่อาจเกิดฟองสบู่ได้ทุกเมื่อ IDC เตือนว่าผู้บริโภคควรเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ RAM และ SSD ที่อาจขึ้นราคาอีกตลอดปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญบางรายแนะนำว่าหากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็วกว่าเดิม แต่ถ้าระบบยังใช้งานได้ดี อาจรอให้ตลาดกลับมาสมดุล ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 10 ปี ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการด้าน AI จะชะลอตัวลงเมื่อใด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ IDC คาดราคา PC ปี 2026 เพิ่มขึ้น 4–8% ➡️ เกิดจากวิกฤต DRAM และ NAND ทั่วโลก ➡️ ตลาดพีซีอาจหดตัวสูงสุดถึง 8.9% ✅ ผู้ผลิตเริ่มขึ้นราคาหนัก ➡️ Dell และ Lenovo ปรับขึ้นสูงสุด 15% ➡️ บางรายขายพีซี “ไม่มี RAM” ให้ลูกค้าหามาใส่เอง ✅ HBM แย่งกำลังผลิตจาก DRAM/NAND ➡️ ผู้ผลิตทุ่มกำลังผลิตให้ชิป AI เพราะกำไรสูงกว่า ➡️ โรงงานใหม่ใช้เงินมหาศาลและใช้เวลาหลายปี ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภค ➡️ ถ้าจำเป็นต้องอัปเกรด ควรทำเร็ว ➡️ ถ้าระบบยังดี อาจรอจนตลาดนิ่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/idc-expects-average-pc-prices-to-jump-by-up-to-8-percent-in-2026-due-to-crushing-memory-shortages-some-vendors-already-selling-pre-builts-without-ram
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • AltaVista: ตำนานเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิก UI สะอาด–เร็วแรง แต่พ่ายแพ้ต่อยุคเว็บพอร์ทัลและการเปลี่ยนมือหลายครั้ง

    สามทศวรรษก่อน AltaVista ถือเป็นหนึ่งในเสิร์ชเอนจินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยอินเทอร์เฟซที่สะอาด รวดเร็ว และระบบจัดทำดัชนีเว็บที่เหนือกว่าคู่แข่งในเวลานั้น เปิดตัวในปี 1995 พร้อมฐานข้อมูลเว็บกว่า 16 ล้านหน้า ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น AltaVista กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การค้นหาข้อมูลบนเว็บกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก

    ความสำเร็จของ AltaVista ส่วนหนึ่งมาจากพลังประมวลผลของ DEC Alpha 8400 Turbolaser ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงสุดในยุคนั้น ทำให้สามารถรองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างเว็บครอว์เลอร์ “Scooter” และระบบจัดทำดัชนี “TurboVista” ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเสิร์ชเอนจินแบบไดเรกทอรีที่ครองตลาดในเวลานั้น เช่น Yahoo Directory หรือ Lycos

    อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Google เปิดตัว PageRank ในปี 1998 ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีคุณภาพสูงกว่า AltaVista อย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ AltaVista ถูกขายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ DEC → Compaq → CMGI → Overture → Yahoo! ทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์ขาดความเสถียร และถูกบังคับให้เปลี่ยนจากเสิร์ชเอนจินเรียบง่ายไปเป็น “เว็บพอร์ทัล” ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและฟีเจอร์เกินจำเป็น จนสูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไปในที่สุด

    แม้ AltaVista จะถูกปิดตัวในปี 2013 แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต ทั้งในฐานะผู้บุกเบิก UI แบบมินิมอลที่ Google นำไปต่อยอด และในฐานะบทเรียนสำคัญของการบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ต้องรักษาแก่นหลักของตัวเองให้มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AltaVista คือเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิกยุคแรกของอินเทอร์เน็ต
    เปิดตัวปี 1995 พร้อมฐานข้อมูล 16 ล้านหน้า
    UI สะอาด รวดเร็ว และเหนือกว่าเสิร์ชแบบไดเรกทอรีในยุคนั้น

    พลังของ DEC Alpha ทำให้ AltaVista เร็วกว่าใคร
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ DEC Alpha 8400 Turbolaser
    รองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวัน

    Google เปลี่ยนเกมด้วย PageRank
    อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์
    ผลลัพธ์แม่นยำกว่า ทำให้ผู้ใช้ย้ายไป Google อย่างรวดเร็ว

    การเปลี่ยนมือหลายครั้งทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์สั่นคลอน
    ถูกบังคับให้กลายเป็นเว็บพอร์ทัลที่สูญเสียเอกลักษณ์
    ปิดตัวในปี 2013 หลังถูก Yahoo! ซื้อกิจการ

    ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด
    การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์บ่อยครั้งคือความเสี่ยงใหญ่
    ทำให้แบรนด์สูญเสียเอกลักษณ์และฐานผู้ใช้

    การไล่ตามคู่แข่งโดยไม่ยึดจุดแข็งของตัวเอง
    AltaVista พยายามเป็นเว็บพอร์ทัลเหมือน Yahoo จนลืมจุดเด่นด้านการค้นหา

    เทคโนโลยีใหม่สามารถล้มยักษ์ได้เสมอ
    PageRank ของ Google คือบทเรียนว่าความแม่นยำสำคัญกว่า “ความเร็วเพียงอย่างเดียว”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/search-pioneer-altavistas-star-shone-bright-with-a-clean-and-minimal-ui-30-years-ago-engine-lost-momentum-after-multiple-ownership-changes-and-the-embrace-of-the-web-portal-trend
    🔍 AltaVista: ตำนานเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิก UI สะอาด–เร็วแรง แต่พ่ายแพ้ต่อยุคเว็บพอร์ทัลและการเปลี่ยนมือหลายครั้ง สามทศวรรษก่อน AltaVista ถือเป็นหนึ่งในเสิร์ชเอนจินที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ด้วยอินเทอร์เฟซที่สะอาด รวดเร็ว และระบบจัดทำดัชนีเว็บที่เหนือกว่าคู่แข่งในเวลานั้น เปิดตัวในปี 1995 พร้อมฐานข้อมูลเว็บกว่า 16 ล้านหน้า ซึ่งถือว่าใหญ่โตมากในยุคนั้น AltaVista กลายเป็นประตูสู่โลกออนไลน์ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การค้นหาข้อมูลบนเว็บกลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ความสำเร็จของ AltaVista ส่วนหนึ่งมาจากพลังประมวลผลของ DEC Alpha 8400 Turbolaser ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับสูงสุดในยุคนั้น ทำให้สามารถรองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สถาปัตยกรรมที่ผสานระหว่างเว็บครอว์เลอร์ “Scooter” และระบบจัดทำดัชนี “TurboVista” ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าเสิร์ชเอนจินแบบไดเรกทอรีที่ครองตลาดในเวลานั้น เช่น Yahoo Directory หรือ Lycos อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Google เปิดตัว PageRank ในปี 1998 ซึ่งเป็นอัลกอริทึมที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ทำให้ผลลัพธ์การค้นหามีคุณภาพสูงกว่า AltaVista อย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ AltaVista ถูกขายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ DEC → Compaq → CMGI → Overture → Yahoo! ทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์ขาดความเสถียร และถูกบังคับให้เปลี่ยนจากเสิร์ชเอนจินเรียบง่ายไปเป็น “เว็บพอร์ทัล” ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและฟีเจอร์เกินจำเป็น จนสูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไปในที่สุด แม้ AltaVista จะถูกปิดตัวในปี 2013 แต่ร่องรอยของมันยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต ทั้งในฐานะผู้บุกเบิก UI แบบมินิมอลที่ Google นำไปต่อยอด และในฐานะบทเรียนสำคัญของการบริหารผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่ต้องรักษาแก่นหลักของตัวเองให้มั่นคงท่ามกลางการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AltaVista คือเสิร์ชเอนจินผู้บุกเบิกยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ➡️ เปิดตัวปี 1995 พร้อมฐานข้อมูล 16 ล้านหน้า ➡️ UI สะอาด รวดเร็ว และเหนือกว่าเสิร์ชแบบไดเรกทอรีในยุคนั้น ✅ พลังของ DEC Alpha ทำให้ AltaVista เร็วกว่าใคร ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ DEC Alpha 8400 Turbolaser ➡️ รองรับคำค้นจากหลักแสนสู่หลักสิบล้านครั้งต่อวัน ✅ Google เปลี่ยนเกมด้วย PageRank ➡️ อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของลิงก์ ➡️ ผลลัพธ์แม่นยำกว่า ทำให้ผู้ใช้ย้ายไป Google อย่างรวดเร็ว ✅ การเปลี่ยนมือหลายครั้งทำให้ทิศทางผลิตภัณฑ์สั่นคลอน ➡️ ถูกบังคับให้กลายเป็นเว็บพอร์ทัลที่สูญเสียเอกลักษณ์ ➡️ ปิดตัวในปี 2013 หลังถูก Yahoo! ซื้อกิจการ ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / ข้อจำกัด ‼️ การเปลี่ยนทิศทางผลิตภัณฑ์บ่อยครั้งคือความเสี่ยงใหญ่ ⛔ ทำให้แบรนด์สูญเสียเอกลักษณ์และฐานผู้ใช้ ‼️ การไล่ตามคู่แข่งโดยไม่ยึดจุดแข็งของตัวเอง ⛔ AltaVista พยายามเป็นเว็บพอร์ทัลเหมือน Yahoo จนลืมจุดเด่นด้านการค้นหา ‼️ เทคโนโลยีใหม่สามารถล้มยักษ์ได้เสมอ ⛔ PageRank ของ Google คือบทเรียนว่าความแม่นยำสำคัญกว่า “ความเร็วเพียงอย่างเดียว” https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/search-pioneer-altavistas-star-shone-bright-with-a-clean-and-minimal-ui-30-years-ago-engine-lost-momentum-after-multiple-ownership-changes-and-the-embrace-of-the-web-portal-trend
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • CENI: จีนเปิดใช้งานเครือข่ายวิจัยระดับชาติ — โอนข้อมูล 72TB ข้ามระยะทาง 1,000 กม. ด้วยความเร็วใกล้ 100 Gbps

    จีนประกาศเปิดใช้งาน China Environment for Network Innovation (CENI) เครือข่ายวิจัยระดับชาติที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต รองรับงานด้าน AI, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และระบบที่ต้องการ deterministic networking จุดเด่นคือการทดสอบโอนข้อมูล 72TB จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังมณฑลหูเป่ย ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1.6 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น throughput ใกล้เคียง 100 Gbps.

    CENI ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ต้องการปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น FAST ที่ผลิตข้อมูลมากกว่า 100TB ต่อวัน ซึ่งเกินความสามารถของเครือข่ายสาธารณะทั่วไป เครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 40 เมือง, ใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงยาวกว่า 55,000 กิโลเมตร, และรองรับการสร้าง virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่ายพร้อมกัน ผ่านเทคโนโลยี DWDM 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณ.

    สิ่งที่ทำให้ CENI แตกต่างคือแนวคิด deterministic networking — การรับประกัน latency, jitter และ packet delivery แบบคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเทอร์เน็ตทั่วไปทำไม่ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญสำหรับงาน AI distributed training, real‑time robotics, และระบบควบคุมโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ นักวิจัยจีนยังเปรียบ CENI กับบทบาทของ ARPANET ในสหรัฐฯ ที่เคยเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตยุคแรก.

    แม้การทดสอบจะเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม แต่ขนาดของโครงการและความสามารถที่แสดงออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างเครือข่ายระดับประเทศที่รองรับงานข้อมูลยุค AI ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในอนาคตทั่วโลก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CENI คือเครือข่ายวิจัยระดับชาติของจีน
    ออกแบบเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต
    รองรับงาน AI และ data‑intensive workloads

    ทดสอบโอนข้อมูล 72TB ข้าม 1,000 กม. ใน 1.6 ชั่วโมง
    throughput ใกล้ 100 Gbps
    ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ FAST

    โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับประเทศ
    ครอบคลุม 40 เมือง
    ใยแก้วนำแสงกว่า 55,000 กม.
    รองรับ virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่าย

    รองรับ deterministic networking
    ควบคุม latency และ jitter ได้แม่นยำ
    เหมาะกับ AI, robotics, และ real‑time systems

    ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน
    ผลทดสอบเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม
    ประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างเมื่อใช้งานเต็มรูปแบบ

    deterministic networking ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมาก
    ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลต่อระบบทั้งเครือข่าย

    โครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ต้องใช้งบประมาณและการดูแลสูงมาก
    อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-switches-on-ceni-research-network-with-72tb-transfer-test-across-1000km
    🌐⚡ CENI: จีนเปิดใช้งานเครือข่ายวิจัยระดับชาติ — โอนข้อมูล 72TB ข้ามระยะทาง 1,000 กม. ด้วยความเร็วใกล้ 100 Gbps จีนประกาศเปิดใช้งาน China Environment for Network Innovation (CENI) เครือข่ายวิจัยระดับชาติที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต รองรับงานด้าน AI, วิทยาศาสตร์ข้อมูล และระบบที่ต้องการ deterministic networking จุดเด่นคือการทดสอบโอนข้อมูล 72TB จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุ FAST ในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังมณฑลหูเป่ย ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตร ภายในเวลาเพียง 1.6 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น throughput ใกล้เคียง 100 Gbps. CENI ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์งานวิจัยที่ต้องการปริมาณข้อมูลมหาศาล เช่น FAST ที่ผลิตข้อมูลมากกว่า 100TB ต่อวัน ซึ่งเกินความสามารถของเครือข่ายสาธารณะทั่วไป เครือข่ายนี้ครอบคลุมกว่า 40 เมือง, ใช้โครงข่ายใยแก้วนำแสงยาวกว่า 55,000 กิโลเมตร, และรองรับการสร้าง virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่ายพร้อมกัน ผ่านเทคโนโลยี DWDM 100 Gbps ต่อช่องสัญญาณ. สิ่งที่ทำให้ CENI แตกต่างคือแนวคิด deterministic networking — การรับประกัน latency, jitter และ packet delivery แบบคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเทอร์เน็ตทั่วไปทำไม่ได้ นี่คือคุณสมบัติสำคัญสำหรับงาน AI distributed training, real‑time robotics, และระบบควบคุมโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ นักวิจัยจีนยังเปรียบ CENI กับบทบาทของ ARPANET ในสหรัฐฯ ที่เคยเป็นรากฐานของอินเทอร์เน็ตยุคแรก. แม้การทดสอบจะเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม แต่ขนาดของโครงการและความสามารถที่แสดงออกมาชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างเครือข่ายระดับประเทศที่รองรับงานข้อมูลยุค AI ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในอนาคตทั่วโลก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CENI คือเครือข่ายวิจัยระดับชาติของจีน ➡️ ออกแบบเพื่อทดสอบสถาปัตยกรรมเครือข่ายยุคอนาคต ➡️ รองรับงาน AI และ data‑intensive workloads ✅ ทดสอบโอนข้อมูล 72TB ข้าม 1,000 กม. ใน 1.6 ชั่วโมง ➡️ throughput ใกล้ 100 Gbps ➡️ ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ FAST ✅ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับประเทศ ➡️ ครอบคลุม 40 เมือง ➡️ ใยแก้วนำแสงกว่า 55,000 กม. ➡️ รองรับ virtual networks มากกว่า 4,000 เครือข่าย ✅ รองรับ deterministic networking ➡️ ควบคุม latency และ jitter ได้แม่นยำ ➡️ เหมาะกับ AI, robotics, และ real‑time systems ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน ‼️ ผลทดสอบเกิดในสภาพแวดล้อมควบคุม ⛔ ประสิทธิภาพจริงอาจแตกต่างเมื่อใช้งานเต็มรูปแบบ ‼️ deterministic networking ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมาก ⛔ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลต่อระบบทั้งเครือข่าย ‼️ โครงสร้างพื้นฐานระดับนี้ต้องใช้งบประมาณและการดูแลสูงมาก ⛔ อาจไม่เหมาะกับประเทศที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือพื้นที่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-switches-on-ceni-research-network-with-72tb-transfer-test-across-1000km
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 ปีแห่ง “HODL” — จากโพสต์เมาๆ สู่กลยุทธ์ลงทุนที่ทำกำไร 16,666%

    ย้อนกลับไปวันที่ 18 ธันวาคม 2013 ผู้ใช้ชื่อ GameKyuubi บนฟอรั่ม Bitcointalk ได้โพสต์ข้อความที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความเมา พร้อมพิมพ์ผิดคำว่า “HOLD” กลายเป็น “HODL” โดยบอกว่าตัวเองเป็น “นักเทรดที่ห่วย” และจะไม่ขายแม้ราคา Bitcoin จะร่วงหนัก ข้อความนั้นกลายเป็นมีมระดับตำนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม “ถือยาวไม่ขาย” ที่ครองใจนักลงทุนคริปโตทั่วโลก.

    ในเวลานั้น Bitcoin มีราคาเพียง $523 ต่อ 1 BTC ซึ่งถือว่าตกลงมามากจากจุดสูงสุด $1,132 ในเดือนก่อนหน้า แต่ถ้าใคร “HODL” จริงตามโพสต์นั้นและถือยาวมาถึงวันนี้ มูลค่าจะพุ่งขึ้นเป็นกว่า $87,623 ต่อ BTC หรือคิดเป็นกำไร 16,666% ตามข้อมูลในข่าว นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของพลังการถือยาวในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่าง Bitcoin.

    แม้คำว่า HODL จะเกิดจากความเมา แต่วงการคริปโตได้ตีความใหม่ให้เป็น “Hold On for Dear Life” หรือ “จับไว้ให้แน่น” ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดสั้นๆ ที่ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อการขาดทุน การถือยาวจึงกลายเป็นทั้งวัฒนธรรมและกลยุทธ์ที่นักลงทุนจำนวนมากยึดถือ โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนหนัก.

    อย่างไรก็ตาม แม้ตัวอย่างนี้จะดูสวยงาม แต่นักลงทุนแบบดั้งเดิมเตือนว่ากลยุทธ์ HODL อาจไม่เหมาะกับทุกคน เพราะการไม่ตัดขาดทุนเลยอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง การจัดการความเสี่ยงและการวางแผนจึงยังเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะอยู่ในโลกคริปโตที่เต็มไปด้วยความเชื่อและวัฒนธรรมเฉพาะตัวก็ตาม.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ต้นกำเนิด HODL มาจากโพสต์เมาๆ ของ GameKyuubi ปี 2013
    พิมพ์ผิดจาก “HOLD” เป็น “HODL” แต่กลายเป็นมีมระดับโลก
    เกิดขึ้นช่วงราคา BTC ร่วงหนักจนชุมชนตื่นตระหนก

    การถือ 1 BTC จากปี 2013 ถึงวันนี้ให้ผลตอบแทน 16,666%
    จาก $523 → มากกว่า $87,000
    เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการถือยาวในสินทรัพย์ผันผวน

    HODL ถูกตีความใหม่เป็น “Hold On for Dear Life”
    กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของนักลงทุนคริปโต
    เน้นความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดรายวัน

    ข่าวชี้ว่ากลยุทธ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจในวงการคริปโต
    แม้จะเริ่มจากความเมา แต่กลายเป็นหลักคิดที่ทรงพลัง

    ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน
    กลยุทธ์ HODL ไม่เหมาะกับทุกคน
    การไม่ตัดขาดทุนอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในตลาดผันผวน

    การตีความ “ถือยาว” อาจทำให้มองข้ามความเสี่ยงจริง
    นักลงทุนบางรายอาจเข้าใจผิดว่า HODL คือวิธีที่ปลอดภัยเสมอ

    ข้อมูลในข่าวชี้ว่าควรระวังการมองอดีตเป็นตัวชี้อนาคต
    ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลลัพธ์ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/hodlers-began-hodling-bitcoin-12-years-ago-iconic-whisky-fuelled-investment-strategy-would-have-turned-usd523-into-over-usd87-000-a-16-666-percent-gain
    🥃🚀 12 ปีแห่ง “HODL” — จากโพสต์เมาๆ สู่กลยุทธ์ลงทุนที่ทำกำไร 16,666% ย้อนกลับไปวันที่ 18 ธันวาคม 2013 ผู้ใช้ชื่อ GameKyuubi บนฟอรั่ม Bitcointalk ได้โพสต์ข้อความที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความเมา พร้อมพิมพ์ผิดคำว่า “HOLD” กลายเป็น “HODL” โดยบอกว่าตัวเองเป็น “นักเทรดที่ห่วย” และจะไม่ขายแม้ราคา Bitcoin จะร่วงหนัก ข้อความนั้นกลายเป็นมีมระดับตำนาน และเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม “ถือยาวไม่ขาย” ที่ครองใจนักลงทุนคริปโตทั่วโลก. ในเวลานั้น Bitcoin มีราคาเพียง $523 ต่อ 1 BTC ซึ่งถือว่าตกลงมามากจากจุดสูงสุด $1,132 ในเดือนก่อนหน้า แต่ถ้าใคร “HODL” จริงตามโพสต์นั้นและถือยาวมาถึงวันนี้ มูลค่าจะพุ่งขึ้นเป็นกว่า $87,623 ต่อ BTC หรือคิดเป็นกำไร 16,666% ตามข้อมูลในข่าว นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของพลังการถือยาวในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่าง Bitcoin. แม้คำว่า HODL จะเกิดจากความเมา แต่วงการคริปโตได้ตีความใหม่ให้เป็น “Hold On for Dear Life” หรือ “จับไว้ให้แน่น” ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดสั้นๆ ที่ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อการขาดทุน การถือยาวจึงกลายเป็นทั้งวัฒนธรรมและกลยุทธ์ที่นักลงทุนจำนวนมากยึดถือ โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนหนัก. อย่างไรก็ตาม แม้ตัวอย่างนี้จะดูสวยงาม แต่นักลงทุนแบบดั้งเดิมเตือนว่ากลยุทธ์ HODL อาจไม่เหมาะกับทุกคน เพราะการไม่ตัดขาดทุนเลยอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง การจัดการความเสี่ยงและการวางแผนจึงยังเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะอยู่ในโลกคริปโตที่เต็มไปด้วยความเชื่อและวัฒนธรรมเฉพาะตัวก็ตาม. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ต้นกำเนิด HODL มาจากโพสต์เมาๆ ของ GameKyuubi ปี 2013 ➡️ พิมพ์ผิดจาก “HOLD” เป็น “HODL” แต่กลายเป็นมีมระดับโลก ➡️ เกิดขึ้นช่วงราคา BTC ร่วงหนักจนชุมชนตื่นตระหนก ✅ การถือ 1 BTC จากปี 2013 ถึงวันนี้ให้ผลตอบแทน 16,666% ➡️ จาก $523 → มากกว่า $87,000 ➡️ เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการถือยาวในสินทรัพย์ผันผวน ✅ HODL ถูกตีความใหม่เป็น “Hold On for Dear Life” ➡️ กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของนักลงทุนคริปโต ➡️ เน้นความเชื่อมั่นระยะยาวมากกว่าการเทรดรายวัน ✅ ข่าวชี้ว่ากลยุทธ์นี้ยังเป็นแรงบันดาลใจในวงการคริปโต ➡️ แม้จะเริ่มจากความเมา แต่กลายเป็นหลักคิดที่ทรงพลัง ⚠️ ประเด็นที่ควรระวัง / คำเตือน ‼️ กลยุทธ์ HODL ไม่เหมาะกับทุกคน ⛔ การไม่ตัดขาดทุนอาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักในตลาดผันผวน ‼️ การตีความ “ถือยาว” อาจทำให้มองข้ามความเสี่ยงจริง ⛔ นักลงทุนบางรายอาจเข้าใจผิดว่า HODL คือวิธีที่ปลอดภัยเสมอ ‼️ ข้อมูลในข่าวชี้ว่าควรระวังการมองอดีตเป็นตัวชี้อนาคต ⛔ ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลลัพธ์ในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/hodlers-began-hodling-bitcoin-12-years-ago-iconic-whisky-fuelled-investment-strategy-would-have-turned-usd523-into-over-usd87-000-a-16-666-percent-gain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • NitroGen: โมเดล AI เล่นเกมได้กว่า 1,000 เกม และอาจเป็นก้าวสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่

    งานวิจัย NitroGen จากทีมร่วมของ Nvidia, Stanford, Caltech และสถาบันอื่นๆ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการ AI และหุ่นยนต์ ด้วยการพัฒนาโมเดลที่สามารถเรียนรู้การเล่นเกมกว่า 1,000 เกมจากวิดีโอสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมง จุดเด่นคือ NitroGen ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เล่นเกมเก่ง” เพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นโมเดลที่เข้าใจการกระทำ (actions) ในโลกที่ซับซ้อน — แนวคิดที่คล้าย “GPT for actions” ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของ AI ที่มีร่างกาย (embodied AI) ในอนาคต.

    สิ่งที่น่าสนใจคือ NitroGen ถูกสร้างบนสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ซึ่งเดิมทีออกแบบมาสำหรับหุ่นยนต์โดยเฉพาะ การนำโมเดลนี้ไปฝึกในโลกเกมที่เต็มไปด้วยกฎ ฟิสิกส์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำกลับไปใช้ในโลกจริงได้ เช่น การควบคุมมอเตอร์ การตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คุ้นเคย และการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด.

    ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า NitroGen สามารถเล่นเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG, platformer, racing ไปจนถึง battle royale และยังทำงานได้ดีในเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% นี่เป็นสัญญาณว่าการเรียนรู้จาก “โลกจำลอง” อาจเป็นทางลัดสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานในโลกจริงได้อย่างยืดหยุ่น.

    ในมุมกว้างขึ้น นักวิจัยมองว่าโมเดลแบบ NitroGen จะช่วยลดต้นทุนการฝึกหุ่นยนต์ในโลกจริง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การใช้วิดีโอเกมเป็นสนามฝึกจึงเป็นทั้งทางเลือกที่ปลอดภัย เร็ว และมีความหลากหลายมากกว่าโลกจริงหลายเท่า นอกจากนี้ การเปิดซอร์สโค้ดและน้ำหนักโมเดลยังช่วยให้ชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกสามารถทดลอง ปรับแต่ง และสร้างนวัตกรรมต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    NitroGen คือโมเดล AI ที่ฝึกจากวิดีโอเกมกว่า 1,000 เกม
    ใช้ข้อมูลจากสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมงในการเรียนรู้การควบคุมเกม
    รองรับเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG ถึง battle royale

    พื้นฐานโมเดลมาจากสถาปัตยกรรม GROOT N1.5
    เดิมออกแบบเพื่อหุ่นยนต์ ทำให้โมเดลมีศักยภาพด้าน embodied AI

    ผลทดสอบแสดงให้เห็นความสามารถในการเล่นเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52%

    เปิดซอร์สเพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด
    ทั้งน้ำหนักโมเดล โค้ด และชุดข้อมูลพร้อมให้ทดลองใช้งาน

    คำเตือน / ประเด็นที่ควรจับตา
    การใช้วิดีโอเกมเป็นฐานฝึกอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมโลกจริงทั้งหมด
    ฟิสิกส์ในเกมอาจไม่ตรงกับโลกจริง ทำให้เกิดช่องว่างในการนำไปใช้กับหุ่นยนต์

    โมเดลที่เรียนรู้จากข้อมูลสาธารณะอาจมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์หรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะวิดีโอที่มีข้อมูลผู้เล่นหรือ UI เฉพาะเกม

    การพัฒนา embodied AI ที่มีความสามารถสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    หากระบบควบคุมไม่รัดกุม อาจเกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-led-nitrogen-is-a-generalist-video-gaming-ai-that-can-play-any-title-research-also-has-big-implications-for-robotics
    🎮 NitroGen: โมเดล AI เล่นเกมได้กว่า 1,000 เกม และอาจเป็นก้าวสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่ งานวิจัย NitroGen จากทีมร่วมของ Nvidia, Stanford, Caltech และสถาบันอื่นๆ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการ AI และหุ่นยนต์ ด้วยการพัฒนาโมเดลที่สามารถเรียนรู้การเล่นเกมกว่า 1,000 เกมจากวิดีโอสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมง จุดเด่นคือ NitroGen ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เล่นเกมเก่ง” เพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นโมเดลที่เข้าใจการกระทำ (actions) ในโลกที่ซับซ้อน — แนวคิดที่คล้าย “GPT for actions” ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของ AI ที่มีร่างกาย (embodied AI) ในอนาคต. สิ่งที่น่าสนใจคือ NitroGen ถูกสร้างบนสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ซึ่งเดิมทีออกแบบมาสำหรับหุ่นยนต์โดยเฉพาะ การนำโมเดลนี้ไปฝึกในโลกเกมที่เต็มไปด้วยกฎ ฟิสิกส์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำกลับไปใช้ในโลกจริงได้ เช่น การควบคุมมอเตอร์ การตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คุ้นเคย และการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด. ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า NitroGen สามารถเล่นเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG, platformer, racing ไปจนถึง battle royale และยังทำงานได้ดีในเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% นี่เป็นสัญญาณว่าการเรียนรู้จาก “โลกจำลอง” อาจเป็นทางลัดสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานในโลกจริงได้อย่างยืดหยุ่น. ในมุมกว้างขึ้น นักวิจัยมองว่าโมเดลแบบ NitroGen จะช่วยลดต้นทุนการฝึกหุ่นยนต์ในโลกจริง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การใช้วิดีโอเกมเป็นสนามฝึกจึงเป็นทั้งทางเลือกที่ปลอดภัย เร็ว และมีความหลากหลายมากกว่าโลกจริงหลายเท่า นอกจากนี้ การเปิดซอร์สโค้ดและน้ำหนักโมเดลยังช่วยให้ชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกสามารถทดลอง ปรับแต่ง และสร้างนวัตกรรมต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ NitroGen คือโมเดล AI ที่ฝึกจากวิดีโอเกมกว่า 1,000 เกม ➡️ ใช้ข้อมูลจากสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมงในการเรียนรู้การควบคุมเกม ➡️ รองรับเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG ถึง battle royale ✅ พื้นฐานโมเดลมาจากสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ➡️ เดิมออกแบบเพื่อหุ่นยนต์ ทำให้โมเดลมีศักยภาพด้าน embodied AI ✅ ผลทดสอบแสดงให้เห็นความสามารถในการเล่นเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ➡️ มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% ✅ เปิดซอร์สเพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด ➡️ ทั้งน้ำหนักโมเดล โค้ด และชุดข้อมูลพร้อมให้ทดลองใช้งาน ⚠️ คำเตือน / ประเด็นที่ควรจับตา ‼️ การใช้วิดีโอเกมเป็นฐานฝึกอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมโลกจริงทั้งหมด ⛔ ฟิสิกส์ในเกมอาจไม่ตรงกับโลกจริง ทำให้เกิดช่องว่างในการนำไปใช้กับหุ่นยนต์ ‼️ โมเดลที่เรียนรู้จากข้อมูลสาธารณะอาจมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์หรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะวิดีโอที่มีข้อมูลผู้เล่นหรือ UI เฉพาะเกม ‼️ การพัฒนา embodied AI ที่มีความสามารถสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ หากระบบควบคุมไม่รัดกุม อาจเกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-led-nitrogen-is-a-generalist-video-gaming-ai-that-can-play-any-title-research-also-has-big-implications-for-robotics
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันพิจารณากฎ N-2 สำหรับการส่งออก

    รัฐบาลไต้หวันกังวลว่าการขยายโรงงานของ TSMC ในสหรัฐฯ อาจทำให้ความเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศลดลง จึงเสนอ N-2 rule ที่อนุญาตให้ส่งออกเฉพาะเทคโนโลยีที่ล้าหลังจากระดับสูงสุดในประเทศอย่างน้อยสองเจเนอเรชัน เดิมทีใช้กฎ N-1 ที่อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังเพียงหนึ่งเจเนอเรชัน

    ผลกระทบต่อการขยายโรงงานในสหรัฐฯ
    หากกฎใหม่ถูกบังคับใช้ โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนา ซึ่งปัจจุบันผลิตชิปที่ระดับ N4/N5 จะยังสอดคล้องกับกฎ แต่เมื่อโรงงานเฟส 2 เริ่มผลิตที่ระดับ N3 ในปี 2027 อาจไม่เป็นไปตามข้อกำหนด เพราะ N3 ถือว่าล้าหลังเพียงหนึ่งเจเนอเรชันจาก N2 ที่จะผลิตในไต้หวัน

    มิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
    การจำกัดการส่งออกนี้สะท้อนถึงความพยายามของไต้หวันในการรักษาความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีและป้องกันการสูญเสียทรัพยากรบุคคลด้าน R&D ไปต่างประเทศ รัฐบาลยังเน้นว่าบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนาจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการรั่วไหลของทรัพย์สินทางปัญญา

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    แม้กฎนี้จะช่วยรักษาความเป็นผู้นำของไต้หวัน แต่ก็อาจทำให้การลงทุนในสหรัฐฯ ชะลอตัว และกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศ อีกทั้งยังสร้างความไม่แน่นอนให้กับลูกค้าและพันธมิตรที่ต้องการใช้เทคโนโลยีล่าสุดในตลาดโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ
    กฎ N-2 ที่เสนอโดยไต้หวัน
    อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังอย่างน้อย 2 เจเนอเรชัน
    เดิมใช้กฎ N-1 ที่ล้าหลังเพียง 1 เจเนอเรชัน

    ผลกระทบต่อโรงงานในสหรัฐฯ
    Fab 21 เฟส 1 (N4/N5) ยังสอดคล้องกับกฎ
    Fab 21 เฟส 2 (N3) ในปี 2027 อาจไม่สอดคล้อง

    มิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
    รักษาความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีของไต้หวัน
    ควบคุมบุคลากร R&D และป้องกันการรั่วไหลของ IP

    คำเตือนและความท้าทาย
    อาจทำให้การลงทุนในสหรัฐฯ ชะลอตัว
    กระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศ
    สร้างความไม่แน่นอนให้กับลูกค้าและพันธมิตร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-considers-tsmc-export-ban-that-would-prevent-manufacturing-its-newest-chip-nodes-in-u-s-limit-exports-to-two-generations-behind-leading-edge-nodes-could-slow-down-u-s-expansion
    🏭 ไต้หวันพิจารณากฎ N-2 สำหรับการส่งออก รัฐบาลไต้หวันกังวลว่าการขยายโรงงานของ TSMC ในสหรัฐฯ อาจทำให้ความเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศลดลง จึงเสนอ N-2 rule ที่อนุญาตให้ส่งออกเฉพาะเทคโนโลยีที่ล้าหลังจากระดับสูงสุดในประเทศอย่างน้อยสองเจเนอเรชัน เดิมทีใช้กฎ N-1 ที่อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังเพียงหนึ่งเจเนอเรชัน ⚡ ผลกระทบต่อการขยายโรงงานในสหรัฐฯ หากกฎใหม่ถูกบังคับใช้ โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในรัฐแอริโซนา ซึ่งปัจจุบันผลิตชิปที่ระดับ N4/N5 จะยังสอดคล้องกับกฎ แต่เมื่อโรงงานเฟส 2 เริ่มผลิตที่ระดับ N3 ในปี 2027 อาจไม่เป็นไปตามข้อกำหนด เพราะ N3 ถือว่าล้าหลังเพียงหนึ่งเจเนอเรชันจาก N2 ที่จะผลิตในไต้หวัน 🌐 มิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ การจำกัดการส่งออกนี้สะท้อนถึงความพยายามของไต้หวันในการรักษาความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีและป้องกันการสูญเสียทรัพยากรบุคคลด้าน R&D ไปต่างประเทศ รัฐบาลยังเน้นว่าบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนาจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการรั่วไหลของทรัพย์สินทางปัญญา ⚠️ ข้อควรระวังและความท้าทาย แม้กฎนี้จะช่วยรักษาความเป็นผู้นำของไต้หวัน แต่ก็อาจทำให้การลงทุนในสหรัฐฯ ชะลอตัว และกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศ อีกทั้งยังสร้างความไม่แน่นอนให้กับลูกค้าและพันธมิตรที่ต้องการใช้เทคโนโลยีล่าสุดในตลาดโลก 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ กฎ N-2 ที่เสนอโดยไต้หวัน ➡️ อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังอย่างน้อย 2 เจเนอเรชัน ➡️ เดิมใช้กฎ N-1 ที่ล้าหลังเพียง 1 เจเนอเรชัน ✅ ผลกระทบต่อโรงงานในสหรัฐฯ ➡️ Fab 21 เฟส 1 (N4/N5) ยังสอดคล้องกับกฎ ➡️ Fab 21 เฟส 2 (N3) ในปี 2027 อาจไม่สอดคล้อง ✅ มิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ➡️ รักษาความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีของไต้หวัน ➡️ ควบคุมบุคลากร R&D และป้องกันการรั่วไหลของ IP ‼️ คำเตือนและความท้าทาย ⛔ อาจทำให้การลงทุนในสหรัฐฯ ชะลอตัว ⛔ กระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างประเทศ ⛔ สร้างความไม่แน่นอนให้กับลูกค้าและพันธมิตร https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-considers-tsmc-export-ban-that-would-prevent-manufacturing-its-newest-chip-nodes-in-u-s-limit-exports-to-two-generations-behind-leading-edge-nodes-could-slow-down-u-s-expansion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • Prusa เปิดตัว Open Community License

    Josef Prusa และทีมงาน Prusa Research ประกาศเปิดตัว OCL (Open Community License) ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่สำหรับการแชร์ไฟล์ฮาร์ดแวร์โอเพ่นซอร์ส จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้สร้างสามารถแบ่งปันงานออกแบบกับผู้ใช้ทั่วไปได้อย่างอิสระ แต่ยังคงมีข้อกำหนดที่ป้องกันไม่ให้บริษัทนำไปใช้เชิงพาณิชย์โดยไม่ขออนุญาต

    ปัญหาที่นำไปสู่การสร้าง OCL
    ในอดีตงานออกแบบของ Prusa เช่น MMU1 multiplexer ถูกบริษัทอื่นนำไปใช้เชิงพาณิชย์โดยไม่ให้เครดิตหรือแบ่งปันการปรับปรุงกลับคืน ทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สเสียประโยชน์ และบางครั้งถึงขั้นถูกโจมตีด้วยการจดสิทธิบัตรทับงานที่เผยแพร่ฟรี เช่นกรณีโมเดล Lucky 13 ที่ถูก “patent troll” ขโมยไปจดสิทธิบัตรและเรียกค่าลิขสิทธิ์

    สิทธิและข้อกำหนดใน OCL
    OCL อนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปและนักออกแบบสามารถ แก้ไข, แชร์, และใช้ภายในเชิงพาณิชย์ ได้ เช่น การใช้ในโรงงานผลิตหรือการสร้างอะไหล่ แต่ห้ามขายเครื่องพิมพ์หรือดีไซน์ที่ดัดแปลงโดยตรงโดยไม่ทำสัญญาเพิ่มเติม ข้อกำหนดนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่างการเปิดกว้างกับการปกป้องสิทธิของผู้สร้าง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    OCL ถือเป็นการยกระดับการปกป้องงานโอเพ่นซอร์สในเชิงกฎหมาย โดยเพิ่มเครื่องมือให้ผู้สร้างสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ง่ายขึ้นหากมีการละเมิด นอกจากนี้ยังรวมถึง สิทธิในการซ่อม (Right-to-Repair) และการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้ฝึก AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นประเด็นร้อนในวงการเทคโนโลยีปัจจุบัน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปิดตัว OCL โดย Prusa Research
    เฟรมเวิร์กใหม่เพื่อแชร์งานออกแบบโอเพ่นซอร์สอย่างปลอดภัย
    ป้องกันการนำไปใช้เชิงพาณิชย์โดยไม่ให้เครดิต

    ปัญหาที่นำไปสู่ OCL
    งานออกแบบถูกบริษัทอื่นนำไปใช้โดยไม่แบ่งปันกลับ
    กรณี Lucky 13 ถูกจดสิทธิบัตรทับและเรียกค่าลิขสิทธิ์

    สิทธิและข้อกำหนดใน OCL
    ใช้, แก้ไข, แชร์ และใช้ภายในเชิงพาณิชย์ได้
    ห้ามขายเครื่องหรือดีไซน์ดัดแปลงโดยตรง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เพิ่มเครื่องมือทางกฎหมายให้ผู้สร้างโอเพ่นซอร์ส
    รวมสิทธิในการซ่อมและการป้องกันการใช้ข้อมูลฝึก AI

    คำเตือนและข้อจำกัด
    หากบริษัทละเมิด OCL อาจถูกดำเนินคดีได้ง่ายขึ้น
    ผู้ใช้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์ที่ใช้ยังอยู่ภายใต้ OCL

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/prusa-research-introduces-the-open-community-license-to-protect-open-source-3d-printing-hardware-new-rules-aimed-at-addressing-industry-abuses
    🖨️ Prusa เปิดตัว Open Community License Josef Prusa และทีมงาน Prusa Research ประกาศเปิดตัว OCL (Open Community License) ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่สำหรับการแชร์ไฟล์ฮาร์ดแวร์โอเพ่นซอร์ส จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้สร้างสามารถแบ่งปันงานออกแบบกับผู้ใช้ทั่วไปได้อย่างอิสระ แต่ยังคงมีข้อกำหนดที่ป้องกันไม่ให้บริษัทนำไปใช้เชิงพาณิชย์โดยไม่ขออนุญาต ⚡ ปัญหาที่นำไปสู่การสร้าง OCL ในอดีตงานออกแบบของ Prusa เช่น MMU1 multiplexer ถูกบริษัทอื่นนำไปใช้เชิงพาณิชย์โดยไม่ให้เครดิตหรือแบ่งปันการปรับปรุงกลับคืน ทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สเสียประโยชน์ และบางครั้งถึงขั้นถูกโจมตีด้วยการจดสิทธิบัตรทับงานที่เผยแพร่ฟรี เช่นกรณีโมเดล Lucky 13 ที่ถูก “patent troll” ขโมยไปจดสิทธิบัตรและเรียกค่าลิขสิทธิ์ 🌍 สิทธิและข้อกำหนดใน OCL OCL อนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปและนักออกแบบสามารถ แก้ไข, แชร์, และใช้ภายในเชิงพาณิชย์ ได้ เช่น การใช้ในโรงงานผลิตหรือการสร้างอะไหล่ แต่ห้ามขายเครื่องพิมพ์หรือดีไซน์ที่ดัดแปลงโดยตรงโดยไม่ทำสัญญาเพิ่มเติม ข้อกำหนดนี้ช่วยสร้างสมดุลระหว่างการเปิดกว้างกับการปกป้องสิทธิของผู้สร้าง ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม OCL ถือเป็นการยกระดับการปกป้องงานโอเพ่นซอร์สในเชิงกฎหมาย โดยเพิ่มเครื่องมือให้ผู้สร้างสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ง่ายขึ้นหากมีการละเมิด นอกจากนี้ยังรวมถึง สิทธิในการซ่อม (Right-to-Repair) และการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้ฝึก AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นประเด็นร้อนในวงการเทคโนโลยีปัจจุบัน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปิดตัว OCL โดย Prusa Research ➡️ เฟรมเวิร์กใหม่เพื่อแชร์งานออกแบบโอเพ่นซอร์สอย่างปลอดภัย ➡️ ป้องกันการนำไปใช้เชิงพาณิชย์โดยไม่ให้เครดิต ✅ ปัญหาที่นำไปสู่ OCL ➡️ งานออกแบบถูกบริษัทอื่นนำไปใช้โดยไม่แบ่งปันกลับ ➡️ กรณี Lucky 13 ถูกจดสิทธิบัตรทับและเรียกค่าลิขสิทธิ์ ✅ สิทธิและข้อกำหนดใน OCL ➡️ ใช้, แก้ไข, แชร์ และใช้ภายในเชิงพาณิชย์ได้ ➡️ ห้ามขายเครื่องหรือดีไซน์ดัดแปลงโดยตรง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เพิ่มเครื่องมือทางกฎหมายให้ผู้สร้างโอเพ่นซอร์ส ➡️ รวมสิทธิในการซ่อมและการป้องกันการใช้ข้อมูลฝึก AI ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ หากบริษัทละเมิด OCL อาจถูกดำเนินคดีได้ง่ายขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์ที่ใช้ยังอยู่ภายใต้ OCL https://www.tomshardware.com/3d-printing/prusa-research-introduces-the-open-community-license-to-protect-open-source-3d-printing-hardware-new-rules-aimed-at-addressing-industry-abuses
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Prusa Research introduces the Open Community License to protect open source 3D Printing hardware — new rules aimed at addressing industry abuses
    Full STEP and Fusion CAD files for the CORE One+ and CORE One L are now available on Printables under the new OCL license.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูล Stargate ได้ไฟเขียว

    โครงการ Stargate ของ OpenAI และ Oracle ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากเมืองดีทรอยต์ราว 40 ไมล์ ได้รับอนุมัติให้ใช้พลังงานมหาศาลถึง 1.4GW เพื่อรองรับเป้าหมายการสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีความจุรวมกว่า 5GW ถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

    ขั้นตอนอนุมัติที่ถูกวิจารณ์
    DTE Energy ยื่นคำร้องแบบ ex parte motion ทำให้การอนุมัติผ่านไปโดยไม่ต้องมีการไต่สวนหรือเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น คณะกรรมการ MPSC ลงมติเป็นเอกฉันท์ 3-0 เพื่ออนุมัติสัญญา ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากรู้สึกว่าถูก “ตัดสิทธิ์” ในการมีส่วนร่วม

    ความกังวลของชุมชน
    ชาวบ้านและนักการเมืองบางส่วนกังวลว่าโครงการนี้จะทำให้ ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอาจกระทบต่อ คุณภาพน้ำในพื้นที่ แม้กฎหมายรัฐมิชิแกนปี 2024 จะกำหนดว่าศูนย์ข้อมูลไม่สามารถผลักภาระค่าไฟไปยังประชาชนเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หลายคนยังไม่มั่นใจในมาตรการป้องกัน

    กลไกป้องกันของสัญญา
    สัญญาระหว่าง DTE และ Green Chile Ventures (บริษัทย่อยของ Oracle) กำหนดให้ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟฟ้าอย่างน้อย 80% ของกำลังที่สัญญาไว้ แม้จะไม่ได้ใช้งานจริง เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าใช้จ่ายตกไปที่ผู้บริโภคทั่วไป อีกทั้งสัญญามีอายุยาวถึง 19 ปี ทำให้ DTE สามารถคืนทุนได้โดยไม่ต้องผลักภาระไปยังชุมชน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การอนุมัติจาก MPSC
    อนุมัติให้ DTE จ่ายไฟ 1.4GW ให้ศูนย์ข้อมูล Stargate
    ใช้กระบวนการ ex parte motion โดยไม่เปิดให้คัดค้าน

    รายละเอียดโครงการ
    Stargate มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW
    ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากดีทรอยต์ 40 ไมล์

    ความกังวลของชุมชน
    เสี่ยงค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
    อาจกระทบคุณภาพน้ำในพื้นที่

    กลไกป้องกันในสัญญา
    ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟขั้นต่ำ 80% ของสัญญา
    สัญญามีอายุ 19 ปี ป้องกันไม่ให้ภาระตกที่ประชาชน

    คำเตือนและข้อวิจารณ์
    การอนุมัติแบบไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างความไม่ไว้วางใจ
    ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายยังคงเป็นข้อกังวล

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openais-stargate-data-center-gets-approval-to-receive-1-4-gigawatts-of-power-in-michigan-some-residents-furious-as-energy-company-is-given-go-ahead-by-regulatory-body-without-hearing-opposition
    ⚡ ศูนย์ข้อมูล Stargate ได้ไฟเขียว โครงการ Stargate ของ OpenAI และ Oracle ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากเมืองดีทรอยต์ราว 40 ไมล์ ได้รับอนุมัติให้ใช้พลังงานมหาศาลถึง 1.4GW เพื่อรองรับเป้าหมายการสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีความจุรวมกว่า 5GW ถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ 🏛️ ขั้นตอนอนุมัติที่ถูกวิจารณ์ DTE Energy ยื่นคำร้องแบบ ex parte motion ทำให้การอนุมัติผ่านไปโดยไม่ต้องมีการไต่สวนหรือเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น คณะกรรมการ MPSC ลงมติเป็นเอกฉันท์ 3-0 เพื่ออนุมัติสัญญา ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากรู้สึกว่าถูก “ตัดสิทธิ์” ในการมีส่วนร่วม 🌍 ความกังวลของชุมชน ชาวบ้านและนักการเมืองบางส่วนกังวลว่าโครงการนี้จะทำให้ ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอาจกระทบต่อ คุณภาพน้ำในพื้นที่ แม้กฎหมายรัฐมิชิแกนปี 2024 จะกำหนดว่าศูนย์ข้อมูลไม่สามารถผลักภาระค่าไฟไปยังประชาชนเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หลายคนยังไม่มั่นใจในมาตรการป้องกัน 🛡️ กลไกป้องกันของสัญญา สัญญาระหว่าง DTE และ Green Chile Ventures (บริษัทย่อยของ Oracle) กำหนดให้ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟฟ้าอย่างน้อย 80% ของกำลังที่สัญญาไว้ แม้จะไม่ได้ใช้งานจริง เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าใช้จ่ายตกไปที่ผู้บริโภคทั่วไป อีกทั้งสัญญามีอายุยาวถึง 19 ปี ทำให้ DTE สามารถคืนทุนได้โดยไม่ต้องผลักภาระไปยังชุมชน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การอนุมัติจาก MPSC ➡️ อนุมัติให้ DTE จ่ายไฟ 1.4GW ให้ศูนย์ข้อมูล Stargate ➡️ ใช้กระบวนการ ex parte motion โดยไม่เปิดให้คัดค้าน ✅ รายละเอียดโครงการ ➡️ Stargate มีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW ➡️ ตั้งอยู่ที่ Saline Township ห่างจากดีทรอยต์ 40 ไมล์ ✅ ความกังวลของชุมชน ➡️ เสี่ยงค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ➡️ อาจกระทบคุณภาพน้ำในพื้นที่ ✅ กลไกป้องกันในสัญญา ➡️ ผู้พัฒนาโครงการต้องจ่ายค่าไฟขั้นต่ำ 80% ของสัญญา ➡️ สัญญามีอายุ 19 ปี ป้องกันไม่ให้ภาระตกที่ประชาชน ‼️ คำเตือนและข้อวิจารณ์ ⛔ การอนุมัติแบบไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างความไม่ไว้วางใจ ⛔ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายยังคงเป็นข้อกังวล https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openais-stargate-data-center-gets-approval-to-receive-1-4-gigawatts-of-power-in-michigan-some-residents-furious-as-energy-company-is-given-go-ahead-by-regulatory-body-without-hearing-opposition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตัดสินคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี

    ศาลกลางเมืองเซินเจิ้นได้ตัดสินลงโทษผู้ต้องหาทั้งหมด 27 คนในคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี โดยผู้ต้องหาหลัก หวัง อู่ปิน (Wang Wubin) ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี และปรับเป็นเงิน 1 ล้านหยวน ขณะที่ผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 4 เดือนถึง 5 ปี พร้อมค่าปรับตามระดับการมีส่วนร่วมและปริมาณที่ลักลอบส่งออก

    ความสำคัญของแอนติโมนี
    แอนติโมนีถือเป็น แร่เชิงกลยุทธ์ ที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ชิปอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และการใช้งานด้านกลาโหม โดยเฉพาะการผสมกับซิลิคอนเพื่อผลิตไดโอดและทรานซิสเตอร์ หรือการผสมกับอินเดียมและแกลเลียมเพื่อสร้างเซ็นเซอร์อินฟราเรดและเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้การควบคุมการส่งออกมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    บริบททางการค้าและการเมือง
    จีนเพิ่งมีการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ และยกเลิกการห้ามส่งออกแร่บางชนิด เช่น แกลเลียม, เจอร์เมเนียม และแอนติโมนี แต่ยังคงต้องมีใบอนุญาตการส่งออกอย่างเข้มงวด การลักลอบครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบบควบคุมของรัฐ และเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าที่ฮ่องกงและเส้นทางผ่านไทยและเม็กซิโก

    ผลกระทบและคำเตือน
    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้าน ห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์ ที่อาจถูกลักลอบเพื่อเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า หากไม่มีการควบคุมเข้มงวด อาจกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงระดับโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การตัดสินคดีในจีน
    ผู้ต้องหาหลักถูกจำคุก 12 ปี และปรับ 1 ล้านหยวน
    ผู้ต้องหาอีก 26 คนถูกลงโทษจำคุก 4 เดือนถึง 5 ปี

    ความสำคัญของแอนติโมนี
    ใช้ในเซมิคอนดักเตอร์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และกลาโหม
    เป็นแร่เชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี

    บริบททางการค้าโลก
    จีนยกเลิกการห้ามส่งออกบางแร่ แต่ยังต้องมีใบอนุญาต
    มีการลักลอบผ่านฮ่องกง ไทย และเม็กซิโก

    คำเตือนและผลกระทบ
    การลักลอบส่งออกบั่นทอนระบบควบคุมของรัฐ
    เสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์
    อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-convicts-27-people-for-smuggling-antimony-166-tons-of-mineral-used-for-semiconductor-manufacturing-exported-without-licenses-court-decides
    ⚖️ การตัดสินคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี ศาลกลางเมืองเซินเจิ้นได้ตัดสินลงโทษผู้ต้องหาทั้งหมด 27 คนในคดีลักลอบส่งออกแอนติโมนี โดยผู้ต้องหาหลัก หวัง อู่ปิน (Wang Wubin) ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี และปรับเป็นเงิน 1 ล้านหยวน ขณะที่ผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 4 เดือนถึง 5 ปี พร้อมค่าปรับตามระดับการมีส่วนร่วมและปริมาณที่ลักลอบส่งออก 🧪 ความสำคัญของแอนติโมนี แอนติโมนีถือเป็น แร่เชิงกลยุทธ์ ที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ชิปอิเล็กทรอนิกส์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และการใช้งานด้านกลาโหม โดยเฉพาะการผสมกับซิลิคอนเพื่อผลิตไดโอดและทรานซิสเตอร์ หรือการผสมกับอินเดียมและแกลเลียมเพื่อสร้างเซ็นเซอร์อินฟราเรดและเซลล์แสงอาทิตย์ ทำให้การควบคุมการส่งออกมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี 🌍 บริบททางการค้าและการเมือง จีนเพิ่งมีการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ และยกเลิกการห้ามส่งออกแร่บางชนิด เช่น แกลเลียม, เจอร์เมเนียม และแอนติโมนี แต่ยังคงต้องมีใบอนุญาตการส่งออกอย่างเข้มงวด การลักลอบครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการท้าทายต่อระบบควบคุมของรัฐ และเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าที่ฮ่องกงและเส้นทางผ่านไทยและเม็กซิโก ⚠️ ผลกระทบและคำเตือน เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงด้าน ห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์ ที่อาจถูกลักลอบเพื่อเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า หากไม่มีการควบคุมเข้มงวด อาจกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงระดับโลก 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การตัดสินคดีในจีน ➡️ ผู้ต้องหาหลักถูกจำคุก 12 ปี และปรับ 1 ล้านหยวน ➡️ ผู้ต้องหาอีก 26 คนถูกลงโทษจำคุก 4 เดือนถึง 5 ปี ✅ ความสำคัญของแอนติโมนี ➡️ ใช้ในเซมิคอนดักเตอร์, แบตเตอรี่, วัสดุทนไฟ และกลาโหม ➡️ เป็นแร่เชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี ✅ บริบททางการค้าโลก ➡️ จีนยกเลิกการห้ามส่งออกบางแร่ แต่ยังต้องมีใบอนุญาต ➡️ มีการลักลอบผ่านฮ่องกง ไทย และเม็กซิโก ‼️ คำเตือนและผลกระทบ ⛔ การลักลอบส่งออกบั่นทอนระบบควบคุมของรัฐ ⛔ เสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานแร่เชิงกลยุทธ์ ⛔ อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และความมั่นคงโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-convicts-27-people-for-smuggling-antimony-166-tons-of-mineral-used-for-semiconductor-manufacturing-exported-without-licenses-court-decides
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์บนเรือเฟอร์รี: ภัยคุกคามใหม่

    รายงานจากฝรั่งเศสระบุว่าเรือเฟอร์รี Fantastic ของบริษัท Grandi Navi Veloci ถูกพบว่ามีการติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ขณะจอดที่ท่าเรือเมือง Sète ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มัลแวร์นี้สามารถเปิดทางให้บุคคลภายนอกเข้าควบคุมระบบภายในเรือได้ ซึ่งรวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือและการจัดการ

    การสอบสวนและข้อกล่าวหา
    เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจับกุมลูกเรือชาวลัตเวียที่เพิ่งเข้ามาประจำการ โดยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการติดตั้งมัลแวร์ ขณะที่ลูกเรือชาวบัลแกเรียอีกคนถูกปล่อยตัวไป เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการพยายามโจมตีระบบประมวลผลข้อมูลโดยกลุ่มที่อาจมีความเชื่อมโยงกับ “มหาอำนาจต่างชาติ” แม้รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสจะไม่ระบุชื่อประเทศ แต่ยอมรับว่าลักษณะการแทรกแซงเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุโรป

    ความเปราะบางของระบบเดินเรือ
    เรือสมัยใหม่ใช้ทั้ง PC มาตรฐาน, industrial controllers และ embedded systems ในการจัดการตั้งแต่เส้นทางเดินเรือจนถึงการบริหารลูกเรือ แม้ระบบที่สำคัญด้านความปลอดภัยควรถูกแยกออกจากเครือข่ายทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติหลายครั้งกลับใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ lateral movement หากมัลแวร์เข้าถึงระบบที่ไม่ถูกแยกอย่างเหมาะสม

    ผลกระทบและคำเตือน
    เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือ แต่ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของระบบขนส่งสมัยใหม่ ที่ IT และ OT (Operational Technology) ยังมีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจน หากไม่มีมาตรการแยกเครือข่ายและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อาจเปิดทางให้การโจมตีจากรัฐหรือองค์กรอาชญากรรมเกิดขึ้นได้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    พบมัลแวร์ RAT บนเรือเฟอร์รี Fantastic
    ลูกเรือชาวลัตเวียถูกจับกุมในฝรั่งเศส

    การสอบสวนและข้อกล่าวหา
    ถูกสงสัยว่าเป็นการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ของ “มหาอำนาจต่างชาติ”
    รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสยืนยันว่าเป็นรูปแบบการแทรกแซงที่เกิดบ่อยในยุโรป

    ความเปราะบางของระบบเดินเรือ
    ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันระหว่าง IT และระบบควบคุมเดินเรือ
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ lateral movement

    คำเตือนและผลกระทบ
    หากไม่แยกเครือข่าย IT และ OT อย่างเข้มงวด อาจถูกโจมตีจากภายนอก
    การโจมตีลักษณะนี้อาจกระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือและการขนส่งโดยรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/french-ferry-malware-arrest-exposes-fragile-boundaries-between-ship-it-and-navigation-systems
    🚢 มัลแวร์บนเรือเฟอร์รี: ภัยคุกคามใหม่ รายงานจากฝรั่งเศสระบุว่าเรือเฟอร์รี Fantastic ของบริษัท Grandi Navi Veloci ถูกพบว่ามีการติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ขณะจอดที่ท่าเรือเมือง Sète ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มัลแวร์นี้สามารถเปิดทางให้บุคคลภายนอกเข้าควบคุมระบบภายในเรือได้ ซึ่งรวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือและการจัดการ 🕵️ การสอบสวนและข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจับกุมลูกเรือชาวลัตเวียที่เพิ่งเข้ามาประจำการ โดยสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการติดตั้งมัลแวร์ ขณะที่ลูกเรือชาวบัลแกเรียอีกคนถูกปล่อยตัวไป เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการพยายามโจมตีระบบประมวลผลข้อมูลโดยกลุ่มที่อาจมีความเชื่อมโยงกับ “มหาอำนาจต่างชาติ” แม้รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสจะไม่ระบุชื่อประเทศ แต่ยอมรับว่าลักษณะการแทรกแซงเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุโรป ⚡ ความเปราะบางของระบบเดินเรือ เรือสมัยใหม่ใช้ทั้ง PC มาตรฐาน, industrial controllers และ embedded systems ในการจัดการตั้งแต่เส้นทางเดินเรือจนถึงการบริหารลูกเรือ แม้ระบบที่สำคัญด้านความปลอดภัยควรถูกแยกออกจากเครือข่ายทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติหลายครั้งกลับใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ lateral movement หากมัลแวร์เข้าถึงระบบที่ไม่ถูกแยกอย่างเหมาะสม ⚠️ ผลกระทบและคำเตือน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือ แต่ยังสะท้อนถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของระบบขนส่งสมัยใหม่ ที่ IT และ OT (Operational Technology) ยังมีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจน หากไม่มีมาตรการแยกเครือข่ายและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อาจเปิดทางให้การโจมตีจากรัฐหรือองค์กรอาชญากรรมเกิดขึ้นได้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ พบมัลแวร์ RAT บนเรือเฟอร์รี Fantastic ➡️ ลูกเรือชาวลัตเวียถูกจับกุมในฝรั่งเศส ✅ การสอบสวนและข้อกล่าวหา ➡️ ถูกสงสัยว่าเป็นการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ของ “มหาอำนาจต่างชาติ” ➡️ รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศสยืนยันว่าเป็นรูปแบบการแทรกแซงที่เกิดบ่อยในยุโรป ✅ ความเปราะบางของระบบเดินเรือ ➡️ ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันระหว่าง IT และระบบควบคุมเดินเรือ ➡️ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ lateral movement ‼️ คำเตือนและผลกระทบ ⛔ หากไม่แยกเครือข่าย IT และ OT อย่างเข้มงวด อาจถูกโจมตีจากภายนอก ⛔ การโจมตีลักษณะนี้อาจกระทบต่อความปลอดภัยของการเดินเรือและการขนส่งโดยรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/french-ferry-malware-arrest-exposes-fragile-boundaries-between-ship-it-and-navigation-systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกาหลีเหนือกับสถิติการโจรกรรมคริปโต

    รายงานจาก Chainalysis ระบุว่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเกาหลีเหนือสามารถขโมยคริปโตได้มากถึง 2.02 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกมา โดยรวมแล้วตั้งแต่เริ่มมีการติดตาม เกาหลีเหนือได้ขโมยไปแล้วกว่า 6.75 พันล้านดอลลาร์ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อแพลตฟอร์มคริปโต แต่ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับรัฐบาลที่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    หนึ่งในวิธีที่ DPRK ใช้คือการส่งคนไปแฝงตัวเป็น IT professionals ในบริษัทเป้าหมาย เพื่อเข้าถึงระบบภายในและหาช่องโหว่ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง ประกาศรับสมัครงานปลอม ที่บังคับให้ผู้สมัครติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น credentials, source code และ SSO access ได้ อีกทั้งยังมีการหลอกผู้บริหารด้วยข้อเสนอซื้อกิจการปลอม เพื่อใช้กระบวนการตรวจสอบข้อมูลในการเจาะระบบ

    การโจมตีครั้งใหญ่: ByBit Hack
    เหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดคือการโจมตีแพลตฟอร์ม ByBit ที่สูญเงินไปกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง FBI ยืนยันว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์จาก DPRK การโจมตีครั้งนี้คิดเป็นเกือบ 75% ของมูลค่าที่ DPRK ขโมยไปในปีเดียว และสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกเป้าหมายที่ใหญ่และมีผลกระทบสูง

    แนวโน้มและคำเตือน
    แม้จำนวนการโจมตีโดยรวมจะลดลง แต่ความเสียหายกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจาก DPRK มุ่งเป้าไปที่องค์กรใหญ่และระบบที่มีมูลค่าสูง แพลตฟอร์ม DeFi หลายแห่งเริ่มมีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งขึ้น ทำให้แฮกเกอร์หันไปโจมตี exchange, custodians และกระเป๋าเงินส่วนบุคคล ที่มีการป้องกันอ่อนแอกว่า

    สรุปเป็นหัวข้อ
    สถิติการโจรกรรมคริปโตของ DPRK
    ปี 2025 ขโมยได้ 2.02 พันล้านดอลลาร์
    รวมตั้งแต่เริ่มบันทึกกว่า 6.75 พันล้านดอลลาร์

    เทคนิคการโจมตี
    แฝงตัวเป็น IT professionals ในบริษัทเป้าหมาย
    ประกาศรับสมัครงานปลอมพร้อมมัลแวร์
    หลอกผู้บริหารด้วยข้อเสนอซื้อกิจการ

    เหตุการณ์สำคัญ
    ByBit สูญเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์
    FBI ยืนยันเป็นฝีมือ DPRK

    คำเตือนและแนวโน้ม
    จำนวนการโจมตีลดลง แต่ความเสียหายเพิ่มขึ้น
    เป้าหมายหลักคือ exchange, custodians และกระเป๋าเงินส่วนบุคคล
    สะท้อนว่าระบบที่อ่อนแอยังคงเสี่ยงสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/north-korean-hackers-steal-a-record-usd2-billion-in-crypto-in-2025-including-single-heist-worth-usd1-5-billion-report-claims-rogue-state-accounts-for-60-percent-of-all-reported-crypto-thefts-this-year-usd6-75-billion-total-since-records-began
    💰 เกาหลีเหนือกับสถิติการโจรกรรมคริปโต รายงานจาก Chainalysis ระบุว่าแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเกาหลีเหนือสามารถขโมยคริปโตได้มากถึง 2.02 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกมา โดยรวมแล้วตั้งแต่เริ่มมีการติดตาม เกาหลีเหนือได้ขโมยไปแล้วกว่า 6.75 พันล้านดอลลาร์ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อแพลตฟอร์มคริปโต แต่ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับรัฐบาลที่ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ 🕵️ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน หนึ่งในวิธีที่ DPRK ใช้คือการส่งคนไปแฝงตัวเป็น IT professionals ในบริษัทเป้าหมาย เพื่อเข้าถึงระบบภายในและหาช่องโหว่ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง ประกาศรับสมัครงานปลอม ที่บังคับให้ผู้สมัครติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมัลแวร์นี้สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น credentials, source code และ SSO access ได้ อีกทั้งยังมีการหลอกผู้บริหารด้วยข้อเสนอซื้อกิจการปลอม เพื่อใช้กระบวนการตรวจสอบข้อมูลในการเจาะระบบ ⚡ การโจมตีครั้งใหญ่: ByBit Hack เหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดคือการโจมตีแพลตฟอร์ม ByBit ที่สูญเงินไปกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง FBI ยืนยันว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์จาก DPRK การโจมตีครั้งนี้คิดเป็นเกือบ 75% ของมูลค่าที่ DPRK ขโมยไปในปีเดียว และสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกเป้าหมายที่ใหญ่และมีผลกระทบสูง ⚠️ แนวโน้มและคำเตือน แม้จำนวนการโจมตีโดยรวมจะลดลง แต่ความเสียหายกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจาก DPRK มุ่งเป้าไปที่องค์กรใหญ่และระบบที่มีมูลค่าสูง แพลตฟอร์ม DeFi หลายแห่งเริ่มมีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งขึ้น ทำให้แฮกเกอร์หันไปโจมตี exchange, custodians และกระเป๋าเงินส่วนบุคคล ที่มีการป้องกันอ่อนแอกว่า 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ สถิติการโจรกรรมคริปโตของ DPRK ➡️ ปี 2025 ขโมยได้ 2.02 พันล้านดอลลาร์ ➡️ รวมตั้งแต่เริ่มบันทึกกว่า 6.75 พันล้านดอลลาร์ ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ แฝงตัวเป็น IT professionals ในบริษัทเป้าหมาย ➡️ ประกาศรับสมัครงานปลอมพร้อมมัลแวร์ ➡️ หลอกผู้บริหารด้วยข้อเสนอซื้อกิจการ ✅ เหตุการณ์สำคัญ ➡️ ByBit สูญเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ FBI ยืนยันเป็นฝีมือ DPRK ‼️ คำเตือนและแนวโน้ม ⛔ จำนวนการโจมตีลดลง แต่ความเสียหายเพิ่มขึ้น ⛔ เป้าหมายหลักคือ exchange, custodians และกระเป๋าเงินส่วนบุคคล ⛔ สะท้อนว่าระบบที่อ่อนแอยังคงเสี่ยงสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/north-korean-hackers-steal-a-record-usd2-billion-in-crypto-in-2025-including-single-heist-worth-usd1-5-billion-report-claims-rogue-state-accounts-for-60-percent-of-all-reported-crypto-thefts-this-year-usd6-75-billion-total-since-records-began
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ดันราคา DRAM พุ่งสูง: G.Skill เตือนผู้ซื้อ

    หนึ่งในผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ G.Skill ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงสาเหตุที่ราคา DRAM โดยเฉพาะ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยระบุว่า ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเป็นตัวการสำคัญ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนทั่วโลกและผลักดันให้ต้นทุนการจัดหาชิปสูงขึ้นตามไปด้วย

    ราคาของ DDR5 ในหลายภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึง 3–4 เท่า ภายในเวลาเพียงสองเดือน ส่งผลให้การประกอบพีซีใหม่กลายเป็นเรื่องยากขึ้นอย่างมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ RAM บางชุดสูงเกือบเทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าราคาที่พุ่งสูงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2026–2028

    G.Skill ระบุว่าต้นทุนการจัดหาชิปจากผู้ผลิต IC เพิ่มขึ้นอย่างมาก และราคาที่บริษัทตั้งจำหน่ายสะท้อนถึงต้นทุนที่สูงขึ้นในตลาดโลก โดยแนะนำให้ผู้ซื้อ “ระมัดระวัง” และตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความผันผวนสูงและอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    แม้บางฝ่ายเชื่อว่าราคาอาจเริ่มทรงตัวภายใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับราคาก่อนหน้านี้ยังคงเป็นเรื่องยากและอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้ตลาดพีซีและผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนต่อเนื่อง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    สาเหตุราคาพุ่งสูง
    ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ทำให้เกิดภาวะขาดแคลน DRAM ทั่วโลก

    การเพิ่มขึ้นของราคา DDR5
    ราคาพุ่งขึ้น 3–4 เท่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    RAM DDR5 บางชุดมีราคาสูงเกือบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง

    คำแนะนำจาก G.Skill
    ผู้ซื้อควรระมัดระวังและตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจ

    คำเตือนด้านแนวโน้มราคา
    ราคามีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026–2028
    แม้บางฝ่ายคาดว่าจะทรงตัวใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับเดิมอาจใช้เวลานานมาก

    https://wccftech.com/g-skill-blames-ai-industry-for-sky-high-dram-prices/
    💾 AI ดันราคา DRAM พุ่งสูง: G.Skill เตือนผู้ซื้อ หนึ่งในผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ G.Skill ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงสาเหตุที่ราคา DRAM โดยเฉพาะ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยระบุว่า ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเป็นตัวการสำคัญ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนทั่วโลกและผลักดันให้ต้นทุนการจัดหาชิปสูงขึ้นตามไปด้วย ราคาของ DDR5 ในหลายภูมิภาคเพิ่มขึ้นถึง 3–4 เท่า ภายในเวลาเพียงสองเดือน ส่งผลให้การประกอบพีซีใหม่กลายเป็นเรื่องยากขึ้นอย่างมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ RAM บางชุดสูงเกือบเทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าราคาที่พุ่งสูงนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างน้อยจนถึงปี 2026–2028 G.Skill ระบุว่าต้นทุนการจัดหาชิปจากผู้ผลิต IC เพิ่มขึ้นอย่างมาก และราคาที่บริษัทตั้งจำหน่ายสะท้อนถึงต้นทุนที่สูงขึ้นในตลาดโลก โดยแนะนำให้ผู้ซื้อ “ระมัดระวัง” และตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความผันผวนสูงและอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า แม้บางฝ่ายเชื่อว่าราคาอาจเริ่มทรงตัวภายใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับราคาก่อนหน้านี้ยังคงเป็นเรื่องยากและอาจใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้ตลาดพีซีและผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนต่อเนื่อง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ สาเหตุราคาพุ่งสูง ➡️ ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ทำให้เกิดภาวะขาดแคลน DRAM ทั่วโลก ✅ การเพิ่มขึ้นของราคา DDR5 ➡️ ราคาพุ่งขึ้น 3–4 เท่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ RAM DDR5 บางชุดมีราคาสูงเกือบเท่ากับการ์ดจอระดับสูง ✅ คำแนะนำจาก G.Skill ➡️ ผู้ซื้อควรระมัดระวังและตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจ ‼️ คำเตือนด้านแนวโน้มราคา ⛔ ราคามีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026–2028 ⛔ แม้บางฝ่ายคาดว่าจะทรงตัวใน 6–8 เดือน แต่การกลับไปสู่ระดับเดิมอาจใช้เวลานานมาก https://wccftech.com/g-skill-blames-ai-industry-for-sky-high-dram-prices/
    WCCFTECH.COM
    G.Skill Blames AI Industry For Sky-High DRAM Prices; Says "Purchasers Should Be Mindful" Of Prices
    G.Skill has released a short statement regarding the sky-high DRAM prices. It blamed the AI industry for such memory volatility.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • Texas Instruments เปิดโรงงานใหม่ ผลิตชิปวันละหลายสิบล้าน

    Texas Instruments (TI) ประกาศเปิดโรงงานผลิตเวเฟอร์ 300 มิลลิเมตร แห่งใหม่ที่เมือง Sherman รัฐเท็กซัส หลังจากลงทุนกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ โดยโรงงานนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่แห่งที่ TI วางแผนสร้างเพื่อเสริมกำลังการผลิตในสหรัฐฯ โรงงานแรก (SM1) เริ่มเดินเครื่องแล้ว และพร้อมส่งมอบชิปให้ลูกค้าในตลาดทันที

    โรงงาน SM1 จะเน้นผลิตชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟส่องสว่างในรถยนต์ และระบบพลังงานในศูนย์ข้อมูล ไม่ได้มุ่งผลิตชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับคอมพิวเตอร์ขั้นสูงเหมือน Intel หรือ TSMC แต่จะเน้นตลาดที่ต้องการความเสถียรและการผลิตในปริมาณมหาศาล ซึ่ง TI มองว่าเป็นจุดแข็งของบริษัท

    การลงทุนครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Made in USA” เพื่อเสริมความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ TI คาดว่าโรงงานทั้งสี่แห่งใน Sherman จะสร้างงานโดยตรงกว่า 3,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน TI ก็ทยอยปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มิลลิเมตร เพื่อปรับสมดุลกำลังการผลิตไปสู่มาตรฐานใหม่

    นอกจากการเพิ่มกำลังผลิตแล้ว TI ยังเน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น การลดการใช้พลังงานขณะสแตนด์บาย การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน และการลดสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) เพื่อให้ชิปที่ผลิตออกมามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และศูนย์ข้อมูลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การลงทุนครั้งใหญ่ของ TI
    มูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ สร้างโรงงาน 4 แห่งที่ Sherman, Texas

    โรงงาน SM1 เริ่มผลิตแล้ว
    เน้นชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น รถยนต์และศูนย์ข้อมูล

    ผลกระทบต่อการจ้างงาน
    คาดว่าจะสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่งในพื้นที่

    การปรับสมดุลกำลังการผลิต
    ปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มม. เพื่อย้ายไปสู่มาตรฐาน 300 มม.

    การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานสแตนด์บาย เพิ่มความหนาแน่น และลด EMI

    คำเตือนด้านการแข่งขันและห่วงโซ่อุปทาน
    TI ไม่ได้ผลิตชิปขั้นสูงสำหรับ AI หรือ HPC อาจเสียเปรียบในตลาดประสิทธิภาพสูง
    แม้จะช่วยเสริมความมั่นคง แต่การลงทุนมหาศาลยังเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/new-texas-instruments-fab-will-pump-out-tens-of-millions-of-chips-per-day-first-300mm-fab-starts-production-after-usd60-billion-investment
    🏭 Texas Instruments เปิดโรงงานใหม่ ผลิตชิปวันละหลายสิบล้าน Texas Instruments (TI) ประกาศเปิดโรงงานผลิตเวเฟอร์ 300 มิลลิเมตร แห่งใหม่ที่เมือง Sherman รัฐเท็กซัส หลังจากลงทุนกว่า 60 พันล้านดอลลาร์ โดยโรงงานนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่แห่งที่ TI วางแผนสร้างเพื่อเสริมกำลังการผลิตในสหรัฐฯ โรงงานแรก (SM1) เริ่มเดินเครื่องแล้ว และพร้อมส่งมอบชิปให้ลูกค้าในตลาดทันที โรงงาน SM1 จะเน้นผลิตชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟส่องสว่างในรถยนต์ และระบบพลังงานในศูนย์ข้อมูล ไม่ได้มุ่งผลิตชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับคอมพิวเตอร์ขั้นสูงเหมือน Intel หรือ TSMC แต่จะเน้นตลาดที่ต้องการความเสถียรและการผลิตในปริมาณมหาศาล ซึ่ง TI มองว่าเป็นจุดแข็งของบริษัท การลงทุนครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Made in USA” เพื่อเสริมความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ TI คาดว่าโรงงานทั้งสี่แห่งใน Sherman จะสร้างงานโดยตรงกว่า 3,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน TI ก็ทยอยปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มิลลิเมตร เพื่อปรับสมดุลกำลังการผลิตไปสู่มาตรฐานใหม่ นอกจากการเพิ่มกำลังผลิตแล้ว TI ยังเน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เช่น การลดการใช้พลังงานขณะสแตนด์บาย การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน และการลดสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) เพื่อให้ชิปที่ผลิตออกมามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และศูนย์ข้อมูลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การลงทุนครั้งใหญ่ของ TI ➡️ มูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ สร้างโรงงาน 4 แห่งที่ Sherman, Texas ✅ โรงงาน SM1 เริ่มผลิตแล้ว ➡️ เน้นชิปสำหรับระบบพลังงาน เช่น รถยนต์และศูนย์ข้อมูล ✅ ผลกระทบต่อการจ้างงาน ➡️ คาดว่าจะสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่งในพื้นที่ ✅ การปรับสมดุลกำลังการผลิต ➡️ ปิดโรงงานเก่าที่ผลิตเวเฟอร์ 150 มม. เพื่อย้ายไปสู่มาตรฐาน 300 มม. ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานสแตนด์บาย เพิ่มความหนาแน่น และลด EMI ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขันและห่วงโซ่อุปทาน ⛔ TI ไม่ได้ผลิตชิปขั้นสูงสำหรับ AI หรือ HPC อาจเสียเปรียบในตลาดประสิทธิภาพสูง ⛔ แม้จะช่วยเสริมความมั่นคง แต่การลงทุนมหาศาลยังเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/new-texas-instruments-fab-will-pump-out-tens-of-millions-of-chips-per-day-first-300mm-fab-starts-production-after-usd60-billion-investment
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ใช้พลังงานและน้ำมากกว่า Bitcoin Mining

    รายงานจาก Alex de Vries-Gao นักวิจัยจาก VU Amsterdam Institute for Environmental Studies ระบุว่า ความต้องการพลังงานของ AI อาจสูงถึง 23 กิกะวัตต์ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานของ Bitcoin mining ทั้งปี 2024 นอกจากนี้ยังคาดว่า AI จะใช้น้ำระหว่าง 312.5 ถึง 764.6 พันล้านลิตร สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล เทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภคในหนึ่งปี

    แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นการประมาณ แต่ก็สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้ทรัพยากรจริงในรายงานความยั่งยืน ทำให้การประเมินต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลการลงทุนและการติดตั้งฮาร์ดแวร์

    ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมาก โดยคาดว่า AI อาจสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศในปี 2022 นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขุดแร่ การผลิตชิป และการกำจัดอุปกรณ์

    นักการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อการใช้ทรัพยากรของ AI โดยมีการเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำอย่างละเอียด รวมถึงข้อเสนอให้ชะลอการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การใช้พลังงานของ AI
    คาดว่าจะสูงถึง 23GW ในปี 2025 มากกว่า Bitcoin mining ปี 2024

    การใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน
    อยู่ระหว่าง 312.5–764.6 พันล้านลิตร เทียบเท่าน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภค

    การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ใกล้เคียงกับการปล่อยของประเทศสิงคโปร์ในปี 2022

    ความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี
    ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำในรายงานความยั่งยืน

    คำเตือนด้านสิ่งแวดล้อม
    ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน
    การขยายศูนย์ข้อมูล AI อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำและพลังงานของประชาชนในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-surpasses-2024-bitcoin-mining-in-energy-usage-uses-more-h20-than-the-bottles-of-water-people-drink-globally-study-claims-says-ai-demand-could-hit-23gw-and-up-to-764-billion-liters-of-water-in-2025
    ⚡ AI ใช้พลังงานและน้ำมากกว่า Bitcoin Mining รายงานจาก Alex de Vries-Gao นักวิจัยจาก VU Amsterdam Institute for Environmental Studies ระบุว่า ความต้องการพลังงานของ AI อาจสูงถึง 23 กิกะวัตต์ในปี 2025 ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานของ Bitcoin mining ทั้งปี 2024 นอกจากนี้ยังคาดว่า AI จะใช้น้ำระหว่าง 312.5 ถึง 764.6 พันล้านลิตร สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล เทียบเท่ากับปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภคในหนึ่งปี แม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นการประมาณ แต่ก็สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูล AI ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้ทรัพยากรจริงในรายงานความยั่งยืน ทำให้การประเมินต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลการลงทุนและการติดตั้งฮาร์ดแวร์ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังรวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงมาก โดยคาดว่า AI อาจสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสิงคโปร์ทั้งประเทศในปี 2022 นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขุดแร่ การผลิตชิป และการกำจัดอุปกรณ์ นักการเมืองในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อการใช้ทรัพยากรของ AI โดยมีการเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำอย่างละเอียด รวมถึงข้อเสนอให้ชะลอการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การใช้พลังงานของ AI ➡️ คาดว่าจะสูงถึง 23GW ในปี 2025 มากกว่า Bitcoin mining ปี 2024 ✅ การใช้น้ำเพื่อระบายความร้อน ➡️ อยู่ระหว่าง 312.5–764.6 พันล้านลิตร เทียบเท่าน้ำดื่มบรรจุขวดที่คนทั้งโลกบริโภค ✅ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ➡️ เฉลี่ย 56 ล้านตันต่อปี ใกล้เคียงกับการปล่อยของประเทศสิงคโปร์ในปี 2022 ✅ ความโปร่งใสของบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและน้ำในรายงานความยั่งยืน ‼️ คำเตือนด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่าที่รายงาน เนื่องจากไม่ได้รวมผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูล AI อาจกระทบต่อทรัพยากรน้ำและพลังงานของประชาชนในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-surpasses-2024-bitcoin-mining-in-energy-usage-uses-more-h20-than-the-bottles-of-water-people-drink-globally-study-claims-says-ai-demand-could-hit-23gw-and-up-to-764-billion-liters-of-water-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon จับได้พนักงานปลอมจากเกาหลีเหนือด้วย Keystroke Lag

    Amazon เปิดเผยกรณีการตรวจจับพนักงานปลอมจากเกาหลีเหนือที่พยายามแฝงตัวเข้ามาทำงานในฝ่าย IT ของบริษัทในสหรัฐฯ โดยใช้วิธีการ Remote Control ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในอเมริกา แต่จริง ๆ แล้วถูกควบคุมจากต่างประเทศ ความผิดปกติที่นำไปสู่การจับได้คือ ความหน่วงในการพิมพ์ (Keystroke Lag) ที่มากกว่า 110 มิลลิวินาที ซึ่งสูงกว่าค่าปกติของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ที่มักอยู่ในระดับไม่กี่สิบมิลลิวินาที

    Stephen Schmidt, Chief Security Officer ของ Amazon ระบุว่า บริษัทได้สกัดกั้นความพยายามแฝงตัวของเกาหลีเหนือมากกว่า 1,800 ครั้งตั้งแต่ปี 2024 และจำนวนความพยายามยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส การแฝงตัวเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลเกาหลีเหนือ รวมถึงอาจใช้เพื่อการจารกรรมหรือก่อวินาศกรรม

    การตรวจจับครั้งนี้เกิดขึ้นจากระบบเฝ้าระวังที่แจ้งเตือนพฤติกรรมผิดปกติของพนักงานใหม่ ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยตรวจสอบและพบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ ถูกควบคุมจากระยะไกลโดยบุคคลในเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังพบผู้หญิงชาวอเมริกันที่ช่วยจัดหางานให้กับแรงงานเกาหลีเหนือถูกตัดสินจำคุกไปก่อนหน้านี้

    กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการแฝงตัวในองค์กรขนาดใหญ่ และความสำคัญของการตรวจสอบพฤติกรรมดิจิทัลที่ละเอียดอ่อน เช่น ความหน่วงของการพิมพ์ หรือการใช้ภาษาและสำนวนที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นเบาะแสสำคัญในการตรวจจับผู้แฝงตัว

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    การตรวจจับด้วย Keystroke Lag
    พบความหน่วงมากกว่า 110 มิลลิวินาที ซึ่งผิดปกติสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ

    จำนวนความพยายามแฝงตัว
    Amazon สกัดกั้นได้มากกว่า 1,800 ครั้งตั้งแต่ปี 2024 และยังเพิ่มขึ้น 27% ต่อไตรมาส

    เป้าหมายของการแฝงตัว
    เพื่อสร้างรายได้ให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ และอาจใช้เพื่อจารกรรมหรือก่อวินาศกรรม

    การดำเนินคดีที่เกี่ยวข้อง
    ผู้หญิงชาวอเมริกันที่ช่วยจัดหางานให้แรงงานเกาหลีเหนือถูกตัดสินจำคุกแล้ว

    คำเตือนด้านความปลอดภัยองค์กร
    การแฝงตัวอาจเกิดขึ้นได้แม้ในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด
    พฤติกรรมดิจิทัลเล็ก ๆ เช่น ความหน่วงของการพิมพ์ หรือการใช้ภาษา อาจเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/north-korean-infiltrator-caught-working-in-amazon-it-department-thanks-to-lag-110ms-keystroke-input-raises-red-flags-over-true-location
    🛡️ Amazon จับได้พนักงานปลอมจากเกาหลีเหนือด้วย Keystroke Lag Amazon เปิดเผยกรณีการตรวจจับพนักงานปลอมจากเกาหลีเหนือที่พยายามแฝงตัวเข้ามาทำงานในฝ่าย IT ของบริษัทในสหรัฐฯ โดยใช้วิธีการ Remote Control ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในอเมริกา แต่จริง ๆ แล้วถูกควบคุมจากต่างประเทศ ความผิดปกติที่นำไปสู่การจับได้คือ ความหน่วงในการพิมพ์ (Keystroke Lag) ที่มากกว่า 110 มิลลิวินาที ซึ่งสูงกว่าค่าปกติของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ที่มักอยู่ในระดับไม่กี่สิบมิลลิวินาที Stephen Schmidt, Chief Security Officer ของ Amazon ระบุว่า บริษัทได้สกัดกั้นความพยายามแฝงตัวของเกาหลีเหนือมากกว่า 1,800 ครั้งตั้งแต่ปี 2024 และจำนวนความพยายามยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส การแฝงตัวเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลเกาหลีเหนือ รวมถึงอาจใช้เพื่อการจารกรรมหรือก่อวินาศกรรม การตรวจจับครั้งนี้เกิดขึ้นจากระบบเฝ้าระวังที่แจ้งเตือนพฤติกรรมผิดปกติของพนักงานใหม่ ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยตรวจสอบและพบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ ถูกควบคุมจากระยะไกลโดยบุคคลในเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังพบผู้หญิงชาวอเมริกันที่ช่วยจัดหางานให้กับแรงงานเกาหลีเหนือถูกตัดสินจำคุกไปก่อนหน้านี้ กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการแฝงตัวในองค์กรขนาดใหญ่ และความสำคัญของการตรวจสอบพฤติกรรมดิจิทัลที่ละเอียดอ่อน เช่น ความหน่วงของการพิมพ์ หรือการใช้ภาษาและสำนวนที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นเบาะแสสำคัญในการตรวจจับผู้แฝงตัว 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ การตรวจจับด้วย Keystroke Lag ➡️ พบความหน่วงมากกว่า 110 มิลลิวินาที ซึ่งผิดปกติสำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ✅ จำนวนความพยายามแฝงตัว ➡️ Amazon สกัดกั้นได้มากกว่า 1,800 ครั้งตั้งแต่ปี 2024 และยังเพิ่มขึ้น 27% ต่อไตรมาส ✅ เป้าหมายของการแฝงตัว ➡️ เพื่อสร้างรายได้ให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ และอาจใช้เพื่อจารกรรมหรือก่อวินาศกรรม ✅ การดำเนินคดีที่เกี่ยวข้อง ➡️ ผู้หญิงชาวอเมริกันที่ช่วยจัดหางานให้แรงงานเกาหลีเหนือถูกตัดสินจำคุกแล้ว ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัยองค์กร ⛔ การแฝงตัวอาจเกิดขึ้นได้แม้ในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ⛔ พฤติกรรมดิจิทัลเล็ก ๆ เช่น ความหน่วงของการพิมพ์ หรือการใช้ภาษา อาจเป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/north-korean-infiltrator-caught-working-in-amazon-it-department-thanks-to-lag-110ms-keystroke-input-raises-red-flags-over-true-location
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts