• “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล”

    ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง

    กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์”

    ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย

    ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น

    แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน
    17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง
    24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล
    35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว
    26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI
    16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI
    20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก
    พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI
    ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ
    การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม
    การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน
    การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ
    หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    🤖 “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล” ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์” ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน ➡️ 17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง ➡️ 24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล ➡️ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว ➡️ 26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI ➡️ 16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI ➡️ 20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก ➡️ พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI ➡️ ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ ➡️ การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน ➡️ การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ ➡️ หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • “GIMP 3.0.6 มาแล้ว! รองรับแปรง Photoshop ดีขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบสำหรับสายกราฟิก”

    GIMP 3.0.6 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สชื่อดัง ได้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญ ทั้งในด้านการรองรับแปรง Photoshop (.ABR), การจัดการพาเลตสี, การส่งออก SVG และการใช้งานฟิลเตอร์แบบไม่ทำลายภาพ (non-destructive filters)

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือการเพิ่ม toggle ในหน้าต่าง Brushes และ Fonts เพื่อให้พรีวิวของแปรงและฟอนต์สามารถปรับตามธีมสีของโปรแกรมได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับค่า alpha, การนำเข้า ACB palettes แบบ CMYK และ Lab ได้ดีขึ้น รวมถึงการกรองรูปแบบไฟล์พาเลตในหน้าต่างนำเข้า

    GIMP 3.0.6 ยังปรับปรุงการใช้งานฟิลเตอร์ให้มีความไวต่อบริบทมากขึ้น เช่น ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่สามารถใช้แบบ non-destructive ได้โดยอัตโนมัติ และเพิ่มความสามารถในการใช้ฟิลเตอร์กับช่องสีแบบไม่ทำลายภาพ

    ด้านการใช้งานทั่วไปก็มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การซูมใน grid และ list view ด้วย scroll หรือ gesture, การแสดง undo สำหรับการล็อกเนื้อหา, การปรับขนาดภาพให้ตรงกับเลเยอร์โดยไม่สนใจ selection, และการแก้ไขการสร้าง layer mask ให้มีความทึบเต็มเมื่อไม่มี alpha

    เครื่องมือ Text ก็ได้รับการปรับปรุงให้เปลี่ยนสีเฉพาะเมื่อผู้ใช้ยืนยันเท่านั้น ส่วนเครื่องมือ Transform ก็สามารถ preview แบบ multi-layer ได้แล้ว และเครื่องมือ Foreground Selection จะไม่สร้าง selection หากไม่มีการวาด stroke

    ปลั๊กอินต่าง ๆ ก็ได้รับการอัปเดต เช่น Print plug-in ที่มีหน้าต่างปรับแต่งใหม่สำหรับ Flatpak/Snap, Jigsaw plug-in ที่สามารถวาดบนเลเยอร์โปร่งใสได้, และ Sphere Designer ที่เปลี่ยนมาใช้ spin scale

    รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลายมากขึ้น เช่น JPEG 2000, TIFF, DDS, SVG, PSP, ICNS, DICOM, WBMP, Farbfeld, XWD และ ILBM รวมถึงการส่งออกไฟล์ FITS และ C Source/HTML แบบ non-interactive

    ในส่วนของ GUI มีการปรับปรุงการซูมพรีวิวข้อมูล, การตั้งชื่อที่สอดคล้องกันมากขึ้น, การจัดการหน้าต่าง และการปรับ CSS เพื่อให้สไตล์อินเทอร์เฟซดูดีขึ้น

    GIMP 3.0.6 พร้อมให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ AppImage, Flatpak และ source tarball สำหรับผู้ที่ต้องการคอมไพล์เอง โดย AppImage เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak มีการปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS รวมถึงมี nightly build สำหรับ AArch64 แล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GIMP 3.0.6 เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025
    รองรับแปรง Photoshop (.ABR) ได้ดีขึ้น
    เพิ่ม toggle ให้พรีวิวแปรงและฟอนต์ปรับตามธีมสี
    ปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับ alpha และ ACB palettes แบบ CMYK/Lab
    ฟิลเตอร์สามารถใช้แบบ non-destructive กับช่องสีได้
    ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่รองรับแบบ non-destructive โดยอัตโนมัติ
    ปรับปรุงการซูมใน grid/list view ด้วย scroll และ gesture
    เครื่องมือ Text และ Transform ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานแม่นยำขึ้น
    ปลั๊กอิน Print, Jigsaw, Sphere Designer ได้รับการอัปเดต
    รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลาย เช่น JPEG 2000, TIFF, SVG, ICNS
    ส่งออกไฟล์ FITS และ HTML/C Source แบบ non-interactive ได้
    GUI ปรับปรุงการซูมพรีวิว, การตั้งชื่อ, การจัดการหน้าต่าง และ CSS
    AppImage สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak ปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS
    มี nightly build สำหรับ AArch64 พร้อมให้ใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GIMP เป็นโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่ใช้แทน Photoshop ได้ในหลายกรณี
    PhotoGIMP เป็นแพตช์ที่ปรับ GIMP ให้มีอินเทอร์เฟซคล้าย Photoshop มากขึ้น
    Flatpak เป็นระบบติดตั้งแอปแบบ sandbox ที่นิยมใน Linux
    AppImage เป็นไฟล์รันตรงที่ไม่ต้องติดตั้ง เหมาะกับผู้ใช้ Linux ทุก distro
    GIMP 3.0 ใช้ GTK3 และรองรับ Wayland, HiDPI, และ multi-layer selection

    https://9to5linux.com/gimp-3-0-6-is-now-available-for-download-with-improved-photoshop-brush-support
    🖌️ “GIMP 3.0.6 มาแล้ว! รองรับแปรง Photoshop ดีขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบสำหรับสายกราฟิก” GIMP 3.0.6 เวอร์ชันล่าสุดของโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สชื่อดัง ได้เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญ ทั้งในด้านการรองรับแปรง Photoshop (.ABR), การจัดการพาเลตสี, การส่งออก SVG และการใช้งานฟิลเตอร์แบบไม่ทำลายภาพ (non-destructive filters) หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือการเพิ่ม toggle ในหน้าต่าง Brushes และ Fonts เพื่อให้พรีวิวของแปรงและฟอนต์สามารถปรับตามธีมสีของโปรแกรมได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับค่า alpha, การนำเข้า ACB palettes แบบ CMYK และ Lab ได้ดีขึ้น รวมถึงการกรองรูปแบบไฟล์พาเลตในหน้าต่างนำเข้า GIMP 3.0.6 ยังปรับปรุงการใช้งานฟิลเตอร์ให้มีความไวต่อบริบทมากขึ้น เช่น ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่สามารถใช้แบบ non-destructive ได้โดยอัตโนมัติ และเพิ่มความสามารถในการใช้ฟิลเตอร์กับช่องสีแบบไม่ทำลายภาพ ด้านการใช้งานทั่วไปก็มีการปรับปรุงหลายจุด เช่น การซูมใน grid และ list view ด้วย scroll หรือ gesture, การแสดง undo สำหรับการล็อกเนื้อหา, การปรับขนาดภาพให้ตรงกับเลเยอร์โดยไม่สนใจ selection, และการแก้ไขการสร้าง layer mask ให้มีความทึบเต็มเมื่อไม่มี alpha เครื่องมือ Text ก็ได้รับการปรับปรุงให้เปลี่ยนสีเฉพาะเมื่อผู้ใช้ยืนยันเท่านั้น ส่วนเครื่องมือ Transform ก็สามารถ preview แบบ multi-layer ได้แล้ว และเครื่องมือ Foreground Selection จะไม่สร้าง selection หากไม่มีการวาด stroke ปลั๊กอินต่าง ๆ ก็ได้รับการอัปเดต เช่น Print plug-in ที่มีหน้าต่างปรับแต่งใหม่สำหรับ Flatpak/Snap, Jigsaw plug-in ที่สามารถวาดบนเลเยอร์โปร่งใสได้, และ Sphere Designer ที่เปลี่ยนมาใช้ spin scale รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลายมากขึ้น เช่น JPEG 2000, TIFF, DDS, SVG, PSP, ICNS, DICOM, WBMP, Farbfeld, XWD และ ILBM รวมถึงการส่งออกไฟล์ FITS และ C Source/HTML แบบ non-interactive ในส่วนของ GUI มีการปรับปรุงการซูมพรีวิวข้อมูล, การตั้งชื่อที่สอดคล้องกันมากขึ้น, การจัดการหน้าต่าง และการปรับ CSS เพื่อให้สไตล์อินเทอร์เฟซดูดีขึ้น GIMP 3.0.6 พร้อมให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ AppImage, Flatpak และ source tarball สำหรับผู้ที่ต้องการคอมไพล์เอง โดย AppImage เวอร์ชันนี้สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak มีการปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS รวมถึงมี nightly build สำหรับ AArch64 แล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GIMP 3.0.6 เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ รองรับแปรง Photoshop (.ABR) ได้ดีขึ้น ➡️ เพิ่ม toggle ให้พรีวิวแปรงและฟอนต์ปรับตามธีมสี ➡️ ปรับปรุงการนำเข้าพาเลตสี เช่น รองรับ alpha และ ACB palettes แบบ CMYK/Lab ➡️ ฟิลเตอร์สามารถใช้แบบ non-destructive กับช่องสีได้ ➡️ ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ที่ไม่รองรับแบบ non-destructive โดยอัตโนมัติ ➡️ ปรับปรุงการซูมใน grid/list view ด้วย scroll และ gesture ➡️ เครื่องมือ Text และ Transform ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานแม่นยำขึ้น ➡️ ปลั๊กอิน Print, Jigsaw, Sphere Designer ได้รับการอัปเดต ➡️ รองรับการนำเข้าไฟล์ภาพหลากหลาย เช่น JPEG 2000, TIFF, SVG, ICNS ➡️ ส่งออกไฟล์ FITS และ HTML/C Source แบบ non-interactive ได้ ➡️ GUI ปรับปรุงการซูมพรีวิว, การตั้งชื่อ, การจัดการหน้าต่าง และ CSS ➡️ AppImage สร้างบน Debian 13 “Trixie” และ Flatpak ปรับปรุงระบบแคชด้วย ORAS ➡️ มี nightly build สำหรับ AArch64 พร้อมให้ใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GIMP เป็นโปรแกรมแต่งภาพโอเพ่นซอร์สที่ใช้แทน Photoshop ได้ในหลายกรณี ➡️ PhotoGIMP เป็นแพตช์ที่ปรับ GIMP ให้มีอินเทอร์เฟซคล้าย Photoshop มากขึ้น ➡️ Flatpak เป็นระบบติดตั้งแอปแบบ sandbox ที่นิยมใน Linux ➡️ AppImage เป็นไฟล์รันตรงที่ไม่ต้องติดตั้ง เหมาะกับผู้ใช้ Linux ทุก distro ➡️ GIMP 3.0 ใช้ GTK3 และรองรับ Wayland, HiDPI, และ multi-layer selection https://9to5linux.com/gimp-3-0-6-is-now-available-for-download-with-improved-photoshop-brush-support
    9TO5LINUX.COM
    GIMP 3.0.6 Is Now Available for Download with Improved Photoshop Brush Support - 9to5Linux
    GIMP 3.0.6 open-source image editor is now available for download with improved Photoshop brush support and many other changes.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • “Jules Tools: Google เปิดตัว CLI และ API สำหรับ AI Coding Agent — เชื่อมต่อเวิร์กโฟลว์นักพัฒนาแบบไร้รอยต่อ”

    หลังจากเปิดตัว “Jules” ไปเมื่อสองเดือนก่อน Google ก็เดินหน้าขยายความสามารถของ AI coding agent ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว “Jules Tools” ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือใหม่ที่ประกอบด้วย CLI (Command-Line Interface) และ API สาธารณะ เพื่อให้ Jules เข้าไปอยู่ในเวิร์กโฟลว์ของนักพัฒนาได้อย่างลื่นไหล

    Jules Tools ถูกออกแบบมาให้ “เบาและเร็ว” โดยสามารถเรียกใช้งาน Jules ได้จากเทอร์มินัลโดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเว็บหรือ GitHub อีกต่อไป นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ Jules แก้บั๊ก, สร้างโค้ดใหม่, หรือปรับปรุงโมดูลต่าง ๆ ได้แบบ asynchronous — ทำงานเบื้องหลังโดยไม่รบกวนการเขียนโค้ดหลัก

    นอกจากนี้ Google ยังเปิด API ของ Jules ให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น นักพัฒนาสามารถนำ API ไปเชื่อมกับระบบ CI/CD, IDE หรือแม้แต่ Slack เพื่อให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมี pull request หรือการเปลี่ยนแปลงใน repository

    Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจบริบทของโปรเจกต์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจำประวัติการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับคำแนะนำให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ Jules กลายเป็นเหมือน “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ที่รู้จักสไตล์การเขียนโค้ดของคุณ

    แม้จะมีคู่แข่งในตลาด AI coding agent มากมาย เช่น GitHub Copilot หรือ Claude Code แต่ Jules แตกต่างตรงที่เน้นการทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเวิร์กโฟลว์ของทีมได้อย่างยืดหยุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google เปิดตัว Jules Tools ซึ่งประกอบด้วย CLI และ API สำหรับ AI coding agent Jules
    CLI ช่วยให้เรียกใช้งาน Jules จากเทอร์มินัลได้โดยตรงแบบ asynchronous
    API เปิดให้ใช้งานสาธารณะแล้ว สามารถเชื่อมกับ CI/CD, IDE, Slack ฯลฯ
    Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่เข้าใจบริบทโปรเจกต์และจดจำประวัติผู้ใช้
    นักพัฒนาสามารถใช้ Jules เพื่อแก้บั๊ก, สร้างโค้ด, ปรับปรุงโมดูล ได้แบบไม่ต้องออกจากเทอร์มินัล
    Jules Tools รองรับการติดตั้งผ่าน Python หรือ Node.js และใช้ GitHub token หรือ API key
    สามารถใช้ Jules เพื่อ enforce coding style และลดเวลาในการ review โค้ด
    Jules ทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก เหมาะกับงานที่มีขอบเขตชัดเจน
    Google มีแผนสร้าง plugin สำหรับ IDE เพิ่มเติมในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini 2.5 เป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถด้าน memory และ context tracking สูง
    การทำงานแบบ asynchronous ช่วยลด context switching และเพิ่ม productivity
    การเชื่อมต่อกับ CI/CD pipeline ช่วยให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด
    การใช้ CLI ทำให้ไม่ต้องพึ่งพา IDE ใด IDE หนึ่ง — ใช้งานได้ทุกที่ที่มีเทอร์มินัล
    API ของ Jules สามารถใช้สร้างระบบ automation สำหรับทีม devops ได้

    https://www.techradar.com/pro/googles-ai-coding-agent-jules-is-getting-new-command-line-tools
    🧑‍💻 “Jules Tools: Google เปิดตัว CLI และ API สำหรับ AI Coding Agent — เชื่อมต่อเวิร์กโฟลว์นักพัฒนาแบบไร้รอยต่อ” หลังจากเปิดตัว “Jules” ไปเมื่อสองเดือนก่อน Google ก็เดินหน้าขยายความสามารถของ AI coding agent ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว “Jules Tools” ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือใหม่ที่ประกอบด้วย CLI (Command-Line Interface) และ API สาธารณะ เพื่อให้ Jules เข้าไปอยู่ในเวิร์กโฟลว์ของนักพัฒนาได้อย่างลื่นไหล Jules Tools ถูกออกแบบมาให้ “เบาและเร็ว” โดยสามารถเรียกใช้งาน Jules ได้จากเทอร์มินัลโดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเว็บหรือ GitHub อีกต่อไป นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ Jules แก้บั๊ก, สร้างโค้ดใหม่, หรือปรับปรุงโมดูลต่าง ๆ ได้แบบ asynchronous — ทำงานเบื้องหลังโดยไม่รบกวนการเขียนโค้ดหลัก นอกจากนี้ Google ยังเปิด API ของ Jules ให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น นักพัฒนาสามารถนำ API ไปเชื่อมกับระบบ CI/CD, IDE หรือแม้แต่ Slack เพื่อให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมี pull request หรือการเปลี่ยนแปลงใน repository Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจบริบทของโปรเจกต์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจำประวัติการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับคำแนะนำให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ Jules กลายเป็นเหมือน “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ที่รู้จักสไตล์การเขียนโค้ดของคุณ แม้จะมีคู่แข่งในตลาด AI coding agent มากมาย เช่น GitHub Copilot หรือ Claude Code แต่ Jules แตกต่างตรงที่เน้นการทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเวิร์กโฟลว์ของทีมได้อย่างยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google เปิดตัว Jules Tools ซึ่งประกอบด้วย CLI และ API สำหรับ AI coding agent Jules ➡️ CLI ช่วยให้เรียกใช้งาน Jules จากเทอร์มินัลได้โดยตรงแบบ asynchronous ➡️ API เปิดให้ใช้งานสาธารณะแล้ว สามารถเชื่อมกับ CI/CD, IDE, Slack ฯลฯ ➡️ Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่เข้าใจบริบทโปรเจกต์และจดจำประวัติผู้ใช้ ➡️ นักพัฒนาสามารถใช้ Jules เพื่อแก้บั๊ก, สร้างโค้ด, ปรับปรุงโมดูล ได้แบบไม่ต้องออกจากเทอร์มินัล ➡️ Jules Tools รองรับการติดตั้งผ่าน Python หรือ Node.js และใช้ GitHub token หรือ API key ➡️ สามารถใช้ Jules เพื่อ enforce coding style และลดเวลาในการ review โค้ด ➡️ Jules ทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก เหมาะกับงานที่มีขอบเขตชัดเจน ➡️ Google มีแผนสร้าง plugin สำหรับ IDE เพิ่มเติมในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini 2.5 เป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถด้าน memory และ context tracking สูง ➡️ การทำงานแบบ asynchronous ช่วยลด context switching และเพิ่ม productivity ➡️ การเชื่อมต่อกับ CI/CD pipeline ช่วยให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด ➡️ การใช้ CLI ทำให้ไม่ต้องพึ่งพา IDE ใด IDE หนึ่ง — ใช้งานได้ทุกที่ที่มีเทอร์มินัล ➡️ API ของ Jules สามารถใช้สร้างระบบ automation สำหรับทีม devops ได้ https://www.techradar.com/pro/googles-ai-coding-agent-jules-is-getting-new-command-line-tools
    WWW.TECHRADAR.COM
    Google's AI coding agent Jules is getting new command line tools
    Google says Jules Tools is a new “lightweight” CLI
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • “MatrixPDF เปลี่ยนไฟล์ PDF ธรรมดาให้กลายเป็นกับดักมัลแวร์ — แค่คลิกก็อาจโดนขโมยข้อมูล”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Varonis ได้เปิดเผยเครื่องมือใหม่ชื่อว่า “MatrixPDF” ซึ่งกำลังถูกขายในเครือข่าย dark web โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สร้างไฟล์ PDF ที่ดูเหมือนปกติ แต่แฝงกลไกฟิชชิ่งและมัลแวร์ไว้ภายในอย่างแนบเนียน

    MatrixPDF ถูกโฆษณาว่าเป็น “เครื่องมือระดับมืออาชีพ” สำหรับการจำลองสถานการณ์ฟิชชิ่ง โดยมีฟีเจอร์ครบครัน เช่น การนำเข้าไฟล์แบบ drag-and-drop, การเบลอเนื้อหาเพื่อหลอกว่าเป็นเอกสารปลอดภัย, การฝัง JavaScript เพื่อเรียกใช้งานลิงก์อันตราย และการหลบเลี่ยงระบบกรองของ Gmail

    ผู้โจมตีสามารถใช้ MatrixPDF เพื่อฝังลิงก์ payload ลงในไฟล์ PDF ซึ่งจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อเหยื่อคลิก หรือแม้แต่ทันทีที่เปิดไฟล์ โดยไม่ต้องมีการติดตั้งมัลแวร์ในตัวไฟล์เลย ทำให้สามารถหลบเลี่ยงระบบสแกนของอีเมลได้ง่ายขึ้น

    นอกจากนี้ MatrixPDF ยังสามารถจำลองหน้าต่างระบบปลอม เช่น “ดาวน์โหลดเอกสาร” หรือ “เปิดเอกสารปลอดภัย” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิก และเมื่อคลิกแล้ว ระบบจะเปิดเว็บไซต์ภายนอกที่อาจมีมัลแวร์หรือแบบฟอร์มหลอกขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน Gmail หรือ Microsoft 365

    สิ่งที่น่ากังวลคือไฟล์ PDF ที่สร้างด้วย MatrixPDF สามารถผ่านการสแกนของ Gmail ได้ เพราะไม่มีโค้ดอันตรายฝังอยู่ในตัวไฟล์โดยตรง แต่จะเรียกใช้งานลิงก์ภายนอกเมื่อผู้ใช้คลิก ซึ่ง Gmail ถือว่าเป็นการกระทำโดยผู้ใช้เอง จึงไม่บล็อก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MatrixPDF เป็นเครื่องมือสร้างไฟล์ PDF ฟิชชิ่งที่ขายใน dark web
    รองรับการฝัง JavaScript เพื่อเรียกใช้งานลิงก์ payload โดยอัตโนมัติ
    มีฟีเจอร์เบลอเนื้อหา, ใส่ไอคอนปลอม, และจำลองหน้าต่างระบบเพื่อหลอกผู้ใช้
    สามารถหลบเลี่ยงระบบกรองของ Gmail ได้ เพราะไม่มีมัลแวร์ในตัวไฟล์
    ใช้เทคนิค redirect ไปยังเว็บไซต์อันตรายเมื่อผู้ใช้คลิก
    Gmail preview สามารถแสดงไฟล์ PDF โดยไม่แจ้งเตือนความเสี่ยง
    MatrixPDF ถูกโฆษณาว่าใช้สำหรับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย แต่ถูกนำไปใช้โจมตีจริง
    ผู้ใช้สามารถป้องกันได้โดยปิด JavaScript ใน PDF reader และใช้ระบบกรองอีเมลขั้นสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PDF เป็นไฟล์ที่ผู้ใช้ทั่วไปเชื่อถือมากกว่าประเภทอื่น เช่น .exe หรือ .zip
    JavaScript ใน PDF สามารถใช้เรียกใช้งาน URL, แสดงข้อความ, หรือจำลองหน้าต่างระบบ
    การฝังลิงก์ใน PDF โดยไม่ใช้ hyperlink แบบปกติช่วยหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ระบบ sandbox ของอีเมลไม่สามารถบล็อกการเรียกใช้งานลิงก์ภายนอกได้
    เครื่องมือ AI สำหรับกรองอีเมลสามารถตรวจจับ overlay และ redirect ได้แม่นยำขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/this-new-phishing-kit-turns-pdf-files-into-malware-heres-how-to-stay-safe
    📄 “MatrixPDF เปลี่ยนไฟล์ PDF ธรรมดาให้กลายเป็นกับดักมัลแวร์ — แค่คลิกก็อาจโดนขโมยข้อมูล” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Varonis ได้เปิดเผยเครื่องมือใหม่ชื่อว่า “MatrixPDF” ซึ่งกำลังถูกขายในเครือข่าย dark web โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สร้างไฟล์ PDF ที่ดูเหมือนปกติ แต่แฝงกลไกฟิชชิ่งและมัลแวร์ไว้ภายในอย่างแนบเนียน MatrixPDF ถูกโฆษณาว่าเป็น “เครื่องมือระดับมืออาชีพ” สำหรับการจำลองสถานการณ์ฟิชชิ่ง โดยมีฟีเจอร์ครบครัน เช่น การนำเข้าไฟล์แบบ drag-and-drop, การเบลอเนื้อหาเพื่อหลอกว่าเป็นเอกสารปลอดภัย, การฝัง JavaScript เพื่อเรียกใช้งานลิงก์อันตราย และการหลบเลี่ยงระบบกรองของ Gmail ผู้โจมตีสามารถใช้ MatrixPDF เพื่อฝังลิงก์ payload ลงในไฟล์ PDF ซึ่งจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อเหยื่อคลิก หรือแม้แต่ทันทีที่เปิดไฟล์ โดยไม่ต้องมีการติดตั้งมัลแวร์ในตัวไฟล์เลย ทำให้สามารถหลบเลี่ยงระบบสแกนของอีเมลได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ MatrixPDF ยังสามารถจำลองหน้าต่างระบบปลอม เช่น “ดาวน์โหลดเอกสาร” หรือ “เปิดเอกสารปลอดภัย” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้คลิก และเมื่อคลิกแล้ว ระบบจะเปิดเว็บไซต์ภายนอกที่อาจมีมัลแวร์หรือแบบฟอร์มหลอกขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน Gmail หรือ Microsoft 365 สิ่งที่น่ากังวลคือไฟล์ PDF ที่สร้างด้วย MatrixPDF สามารถผ่านการสแกนของ Gmail ได้ เพราะไม่มีโค้ดอันตรายฝังอยู่ในตัวไฟล์โดยตรง แต่จะเรียกใช้งานลิงก์ภายนอกเมื่อผู้ใช้คลิก ซึ่ง Gmail ถือว่าเป็นการกระทำโดยผู้ใช้เอง จึงไม่บล็อก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MatrixPDF เป็นเครื่องมือสร้างไฟล์ PDF ฟิชชิ่งที่ขายใน dark web ➡️ รองรับการฝัง JavaScript เพื่อเรียกใช้งานลิงก์ payload โดยอัตโนมัติ ➡️ มีฟีเจอร์เบลอเนื้อหา, ใส่ไอคอนปลอม, และจำลองหน้าต่างระบบเพื่อหลอกผู้ใช้ ➡️ สามารถหลบเลี่ยงระบบกรองของ Gmail ได้ เพราะไม่มีมัลแวร์ในตัวไฟล์ ➡️ ใช้เทคนิค redirect ไปยังเว็บไซต์อันตรายเมื่อผู้ใช้คลิก ➡️ Gmail preview สามารถแสดงไฟล์ PDF โดยไม่แจ้งเตือนความเสี่ยง ➡️ MatrixPDF ถูกโฆษณาว่าใช้สำหรับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย แต่ถูกนำไปใช้โจมตีจริง ➡️ ผู้ใช้สามารถป้องกันได้โดยปิด JavaScript ใน PDF reader และใช้ระบบกรองอีเมลขั้นสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PDF เป็นไฟล์ที่ผู้ใช้ทั่วไปเชื่อถือมากกว่าประเภทอื่น เช่น .exe หรือ .zip ➡️ JavaScript ใน PDF สามารถใช้เรียกใช้งาน URL, แสดงข้อความ, หรือจำลองหน้าต่างระบบ ➡️ การฝังลิงก์ใน PDF โดยไม่ใช้ hyperlink แบบปกติช่วยหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ระบบ sandbox ของอีเมลไม่สามารถบล็อกการเรียกใช้งานลิงก์ภายนอกได้ ➡️ เครื่องมือ AI สำหรับกรองอีเมลสามารถตรวจจับ overlay และ redirect ได้แม่นยำขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/this-new-phishing-kit-turns-pdf-files-into-malware-heres-how-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • “AMD Fluid Motion Frames 3 โผล่ในไดรเวอร์ใหม่ — เตรียมใช้ AI จาก FSR 4 ยกระดับการสร้างเฟรมแบบไดรเวอร์”

    AMD กำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี Fluid Motion Frames รุ่นที่ 3 (AFMF 3) ซึ่งถูกค้นพบในไดรเวอร์เวอร์ชันพรีวิวของ Adrenalin 25.20 โดยผู้ใช้งานในฟอรัม Guru3D ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกมจาก AMD GPU Profile Manager แม้ในหน้าควบคุมของไดรเวอร์จะยังไม่แสดงฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ

    AFMF คือเทคโนโลยีการสร้างเฟรมที่ทำงานในระดับไดรเวอร์ โดยออกแบบมาเพื่อเพิ่มเฟรมเรตในเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation โดยตรง ซึ่งในเวอร์ชันใหม่ AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 ที่มีคุณภาพสูงกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าอย่าง AFMF 2.1 ที่ยังใช้การปรับแต่งแบบเก่า

    ไดรเวอร์ใหม่นี้ยังมาพร้อมการอัปเดตด้าน AI จำนวนมาก เช่น รองรับ Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview เพื่อเสริมการทำงานของ LLM บน GPU ตระกูล RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11

    แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า AFMF 3 จะมาพร้อมกับไดรเวอร์ 25.20 หรือเวอร์ชันถัดไป แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่รวมการสร้างเฟรมด้วย ML และการเรนเดอร์ ray tracing สำหรับสถาปัตยกรรม RDNA 4

    อย่างไรก็ตาม FSR 4 และ AFMF 3 อาจรองรับเฉพาะ GPU รุ่น RX 9000 เท่านั้น เนื่องจากโมเดล ML ที่ใช้ต้องการความสามารถเฉพาะของ RDNA 4 แม้จะมีหลักฐานว่ามีการปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้ แต่ AMD ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AFMF 3 ถูกค้นพบในไดรเวอร์พรีวิว Adrenalin 25.20 ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกม
    AFMF เป็นเทคโนโลยีสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์สำหรับเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation
    AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 เพื่อเพิ่มคุณภาพการสร้างเฟรม
    ไดรเวอร์ใหม่มีการอัปเดตด้าน AI เช่น Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview
    รองรับ GPU RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11
    FSR Redstone จะรวมการสร้างเฟรมด้วย ML และ ray tracing สำหรับ RDNA 4
    มีความเป็นไปได้ว่า AFMF 3 จะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ในไดรเวอร์เวอร์ชันถัดไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AFMF 2.1 ใช้ AI-optimized enhancements แต่ยังด้อยกว่าคุณภาพของ FSR 4
    Nvidia เปิดตัว Smooth Motion บน RTX 40 series กดดันให้ AMD พัฒนา AFMF
    FSR 4 ถูกปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้โดยชุมชน modder แต่ยังไม่มีการประกาศจาก AMD
    DLSS 4 ของ Nvidia ยังเหนือกว่า FSR 4 ในด้านคุณภาพภาพและการสร้างเฟรม
    AMD HYPR-RX เป็นระบบเปิดใช้งานฟีเจอร์รวม เช่น AFMF, Radeon Chill และอื่น ๆ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/amd-fluid-motion-frames-3-spotted-in-the-upcoming-amd-adrenalin-25-20-driver-branch-could-lean-on-ai-model-used-in-fsr-4
    🖥️ “AMD Fluid Motion Frames 3 โผล่ในไดรเวอร์ใหม่ — เตรียมใช้ AI จาก FSR 4 ยกระดับการสร้างเฟรมแบบไดรเวอร์” AMD กำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี Fluid Motion Frames รุ่นที่ 3 (AFMF 3) ซึ่งถูกค้นพบในไดรเวอร์เวอร์ชันพรีวิวของ Adrenalin 25.20 โดยผู้ใช้งานในฟอรัม Guru3D ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกมจาก AMD GPU Profile Manager แม้ในหน้าควบคุมของไดรเวอร์จะยังไม่แสดงฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ AFMF คือเทคโนโลยีการสร้างเฟรมที่ทำงานในระดับไดรเวอร์ โดยออกแบบมาเพื่อเพิ่มเฟรมเรตในเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation โดยตรง ซึ่งในเวอร์ชันใหม่ AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 ที่มีคุณภาพสูงกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าอย่าง AFMF 2.1 ที่ยังใช้การปรับแต่งแบบเก่า ไดรเวอร์ใหม่นี้ยังมาพร้อมการอัปเดตด้าน AI จำนวนมาก เช่น รองรับ Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview เพื่อเสริมการทำงานของ LLM บน GPU ตระกูล RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11 แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า AFMF 3 จะมาพร้อมกับไดรเวอร์ 25.20 หรือเวอร์ชันถัดไป แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่รวมการสร้างเฟรมด้วย ML และการเรนเดอร์ ray tracing สำหรับสถาปัตยกรรม RDNA 4 อย่างไรก็ตาม FSR 4 และ AFMF 3 อาจรองรับเฉพาะ GPU รุ่น RX 9000 เท่านั้น เนื่องจากโมเดล ML ที่ใช้ต้องการความสามารถเฉพาะของ RDNA 4 แม้จะมีหลักฐานว่ามีการปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้ แต่ AMD ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AFMF 3 ถูกค้นพบในไดรเวอร์พรีวิว Adrenalin 25.20 ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกม ➡️ AFMF เป็นเทคโนโลยีสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์สำหรับเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation ➡️ AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 เพื่อเพิ่มคุณภาพการสร้างเฟรม ➡️ ไดรเวอร์ใหม่มีการอัปเดตด้าน AI เช่น Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview ➡️ รองรับ GPU RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11 ➡️ FSR Redstone จะรวมการสร้างเฟรมด้วย ML และ ray tracing สำหรับ RDNA 4 ➡️ มีความเป็นไปได้ว่า AFMF 3 จะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ในไดรเวอร์เวอร์ชันถัดไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AFMF 2.1 ใช้ AI-optimized enhancements แต่ยังด้อยกว่าคุณภาพของ FSR 4 ➡️ Nvidia เปิดตัว Smooth Motion บน RTX 40 series กดดันให้ AMD พัฒนา AFMF ➡️ FSR 4 ถูกปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้โดยชุมชน modder แต่ยังไม่มีการประกาศจาก AMD ➡️ DLSS 4 ของ Nvidia ยังเหนือกว่า FSR 4 ในด้านคุณภาพภาพและการสร้างเฟรม ➡️ AMD HYPR-RX เป็นระบบเปิดใช้งานฟีเจอร์รวม เช่น AFMF, Radeon Chill และอื่น ๆ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/amd-fluid-motion-frames-3-spotted-in-the-upcoming-amd-adrenalin-25-20-driver-branch-could-lean-on-ai-model-used-in-fsr-4
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • “รวมไฟล์ PDF ขนาดใหญ่แบบมือโปร — เคล็ดลับจัดการเอกสารยุคดิจิทัลให้ลื่นไหล ปลอดภัย และไม่พลาดหน้า”

    ในยุคที่เอกสารดิจิทัลกลายเป็นหัวใจของการทำงาน การจัดการไฟล์ PDF ขนาดใหญ่จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีหลายไฟล์แยกกัน เช่น รายงาน, สัญญา, หรือพอร์ตโฟลิโอ การรวมไฟล์ PDF ออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องรู้เทคนิคเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

    การรวมไฟล์ PDF ไม่ใช่แค่การเอาหลายไฟล์มาต่อกัน — แต่คือการจัดระเบียบเอกสารให้เข้าถึงง่าย ลดความซับซ้อน และเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในงานที่ต้องส่งต่อหรือพิมพ์ใช้งานจริง

    สิ่งสำคัญคือการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม ซึ่งควรมี UI ที่ใช้งานง่าย, รองรับไฟล์ขนาดใหญ่, และมีระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสไฟล์ขณะอัปโหลดและดาวน์โหลด รวมถึงการลบไฟล์อัตโนมัติหลังประมวลผลเสร็จ

    ก่อนรวมไฟล์ ควรจัดเรียงลำดับให้เรียบร้อย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ตามลำดับที่ต้องการ เพื่อให้การรวมออกมาเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างชัดเจน และลดเวลาการแก้ไขภายหลัง

    หลังรวมแล้ว อย่าลืมใช้ฟีเจอร์ “Preview” เพื่อตรวจสอบว่าหน้าทั้งหมดอยู่ครบและเรียงถูกต้อง จากนั้นจึงดาวน์โหลดและสำรองไฟล์ไว้ในที่ปลอดภัย เช่น Cloud หรือ External Drive เพื่อป้องกันการสูญหาย

    หากพบปัญหา เช่น หน้าหายหรือไฟล์เสีย ควรกลับไปตรวจสอบไฟล์ต้นฉบับ หรือทดลองใช้เครื่องมืออื่นที่มีความเสถียรมากกว่า นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น การแยกหน้า, การแปลงไฟล์, หรือการแก้ไข PDF ที่ช่วยให้การจัดการเอกสารมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    การรวมไฟล์ PDF ช่วยจัดระเบียบเอกสารให้เข้าถึงง่ายและดูเป็นมืออาชีพ
    เหมาะกับงานรายงาน, พรีเซนต์, พอร์ตโฟลิโอ และเอกสารที่ต้องส่งต่อ
    ควรเลือกเครื่องมือที่มี UI ใช้งานง่ายและรองรับไฟล์ขนาดใหญ่
    เครื่องมือที่ดีควรมีระบบเข้ารหัสและลบไฟล์อัตโนมัติหลังใช้งาน
    ควรจัดเรียงไฟล์ก่อนอัปโหลด เช่น เปลี่ยนชื่อไฟล์ตามลำดับ
    ใช้ฟีเจอร์ Preview เพื่อตรวจสอบความถูกต้องก่อนดาวน์โหลด
    สำรองไฟล์ที่รวมแล้วไว้ใน Cloud หรือ External Drive เพื่อความปลอดภัย
    หากพบปัญหา ควรตรวจสอบไฟล์ต้นฉบับหรือเปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้
    มีฟีเจอร์เสริม เช่น การแยกหน้า, แปลงไฟล์, และแก้ไข PDF เพิ่มความยืดหยุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เครื่องมือยอดนิยม เช่น PDF24, ConvertMorph, Adobe Acrobat Pro มีฟีเจอร์ครบครัน
    PDF24 ทำงานบนเบราว์เซอร์ ไม่ต้องติดตั้ง และลบไฟล์อัตโนมัติหลังใช้งาน
    ConvertMorph ประมวลผลไฟล์ในเครื่องผู้ใช้ ไม่อัปโหลดขึ้นเซิร์ฟเวอร์ เพิ่มความปลอดภัย
    Adobe Acrobat Pro เหมาะกับงานซับซ้อน เช่น การจัดหน้า, ใส่สารบัญ, และแก้ไขเนื้อหา
    การรวมไฟล์ PDF ไม่ลดคุณภาพของเอกสารต้นฉบับ เช่น รูปภาพหรือฟอนต์

    https://hackread.com/tips-for-merging-large-pdf-files-online/
    📄 “รวมไฟล์ PDF ขนาดใหญ่แบบมือโปร — เคล็ดลับจัดการเอกสารยุคดิจิทัลให้ลื่นไหล ปลอดภัย และไม่พลาดหน้า” ในยุคที่เอกสารดิจิทัลกลายเป็นหัวใจของการทำงาน การจัดการไฟล์ PDF ขนาดใหญ่จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีหลายไฟล์แยกกัน เช่น รายงาน, สัญญา, หรือพอร์ตโฟลิโอ การรวมไฟล์ PDF ออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องรู้เทคนิคเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด การรวมไฟล์ PDF ไม่ใช่แค่การเอาหลายไฟล์มาต่อกัน — แต่คือการจัดระเบียบเอกสารให้เข้าถึงง่าย ลดความซับซ้อน และเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในงานที่ต้องส่งต่อหรือพิมพ์ใช้งานจริง สิ่งสำคัญคือการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม ซึ่งควรมี UI ที่ใช้งานง่าย, รองรับไฟล์ขนาดใหญ่, และมีระบบความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสไฟล์ขณะอัปโหลดและดาวน์โหลด รวมถึงการลบไฟล์อัตโนมัติหลังประมวลผลเสร็จ ก่อนรวมไฟล์ ควรจัดเรียงลำดับให้เรียบร้อย เช่น การเปลี่ยนชื่อไฟล์ตามลำดับที่ต้องการ เพื่อให้การรวมออกมาเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างชัดเจน และลดเวลาการแก้ไขภายหลัง หลังรวมแล้ว อย่าลืมใช้ฟีเจอร์ “Preview” เพื่อตรวจสอบว่าหน้าทั้งหมดอยู่ครบและเรียงถูกต้อง จากนั้นจึงดาวน์โหลดและสำรองไฟล์ไว้ในที่ปลอดภัย เช่น Cloud หรือ External Drive เพื่อป้องกันการสูญหาย หากพบปัญหา เช่น หน้าหายหรือไฟล์เสีย ควรกลับไปตรวจสอบไฟล์ต้นฉบับ หรือทดลองใช้เครื่องมืออื่นที่มีความเสถียรมากกว่า นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น การแยกหน้า, การแปลงไฟล์, หรือการแก้ไข PDF ที่ช่วยให้การจัดการเอกสารมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ การรวมไฟล์ PDF ช่วยจัดระเบียบเอกสารให้เข้าถึงง่ายและดูเป็นมืออาชีพ ➡️ เหมาะกับงานรายงาน, พรีเซนต์, พอร์ตโฟลิโอ และเอกสารที่ต้องส่งต่อ ➡️ ควรเลือกเครื่องมือที่มี UI ใช้งานง่ายและรองรับไฟล์ขนาดใหญ่ ➡️ เครื่องมือที่ดีควรมีระบบเข้ารหัสและลบไฟล์อัตโนมัติหลังใช้งาน ➡️ ควรจัดเรียงไฟล์ก่อนอัปโหลด เช่น เปลี่ยนชื่อไฟล์ตามลำดับ ➡️ ใช้ฟีเจอร์ Preview เพื่อตรวจสอบความถูกต้องก่อนดาวน์โหลด ➡️ สำรองไฟล์ที่รวมแล้วไว้ใน Cloud หรือ External Drive เพื่อความปลอดภัย ➡️ หากพบปัญหา ควรตรวจสอบไฟล์ต้นฉบับหรือเปลี่ยนเครื่องมือที่ใช้ ➡️ มีฟีเจอร์เสริม เช่น การแยกหน้า, แปลงไฟล์, และแก้ไข PDF เพิ่มความยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เครื่องมือยอดนิยม เช่น PDF24, ConvertMorph, Adobe Acrobat Pro มีฟีเจอร์ครบครัน ➡️ PDF24 ทำงานบนเบราว์เซอร์ ไม่ต้องติดตั้ง และลบไฟล์อัตโนมัติหลังใช้งาน ➡️ ConvertMorph ประมวลผลไฟล์ในเครื่องผู้ใช้ ไม่อัปโหลดขึ้นเซิร์ฟเวอร์ เพิ่มความปลอดภัย ➡️ Adobe Acrobat Pro เหมาะกับงานซับซ้อน เช่น การจัดหน้า, ใส่สารบัญ, และแก้ไขเนื้อหา ➡️ การรวมไฟล์ PDF ไม่ลดคุณภาพของเอกสารต้นฉบับ เช่น รูปภาพหรือฟอนต์ https://hackread.com/tips-for-merging-large-pdf-files-online/
    HACKREAD.COM
    Tips for Merging Large PDF Files Online
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์

    หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99

    Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail

    ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้

    สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน
    Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน
    Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium
    Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB
    ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด
    ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้
    ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent
    Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk
    Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard
    Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้
    ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้
    GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี
    Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google

    https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    🤖 “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?” ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99 Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน ➡️ Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ➡️ Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium ➡️ Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB ➡️ ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด ➡️ ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้ ➡️ ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent ➡️ Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk ➡️ Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard ➡️ Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้ ➡️ ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้ ➡️ GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี ➡️ Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Gemini And ChatGPT Price Differences - Here's How Much They Cost - SlashGear
    Gemini costs $19.99/month for the AI Pro plan, while ChatGPT Plus runs $20/month. There are more tiers and plans available for both depending on the usage.
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • “AI Coding Trap: เมื่อโค้ดเร็วไม่ใช่คำตอบ — นักพัฒนาต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมให้กับ LLM ที่ไม่รู้จักโต”

    บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง

    Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่

    เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น

    บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก

    ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
    ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม
    นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน
    LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล
    การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง
    ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD
    การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding”
    AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination
    Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy
    Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy
    การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable

    https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
    🧠 “AI Coding Trap: เมื่อโค้ดเร็วไม่ใช่คำตอบ — นักพัฒนาต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมให้กับ LLM ที่ไม่รู้จักโต” บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่ เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง ➡️ ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม ➡️ นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน ➡️ LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล ➡️ การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง ➡️ ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD ➡️ การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding” ➡️ AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination ➡️ Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy ➡️ Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy ➡️ การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
    CHRISLOY.DEV
    The AI coding trap | Chris Loy
    If you ever watch someone “coding”, you might see them spending far more time staring into space than typing on their keyboard.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • CV vs. Resume: What Are The Differences?

    When applying for jobs, you’ll need to prove to prospective employers that you have plenty of experience and accomplishments. In order to do this, you’ll need to show them either a CV or a resume. For American workers, these two terms are often used interchangeably to refer to a document that lists a person’s past work and major accomplishments. However, there are several differences between the two and confusing one for the other could majorly hurt your chances of landing that coveted position. To avoid disaster, let’s learn more about the difference between a CV and a resume.

    What is a CV?
    CV is short for curriculum vitae. A CV is a document that lists in detail a person’s education, certifications, professional background, professional expertise, publications (books, research papers, etc.), teaching experience, presentations, awards, grants, and research projects. A CV is compiled by a person applying for a job, fellowship, grant, or international career position.

    Typically, a CV is tailored to fit whatever position a person is applying for, with more relevant or valuable skills and experiences prioritized over others. A CV usually begins with a person’s educational qualifications, such as university degrees, fellowships, grants, and teaching experience. Most CVs are quite long and detailed, often listing many years worth of a person’s accomplishments and published works. Depending on the person, a CV that lists all of a person’s published books, lectures, and research papers could potentially be many pages in length.

    CV vs. resume
    In general, CVs and resumes often contain similar information, are often both used to apply for jobs, and are both used to list a person’s experiences, skills, and accomplishments. The main differences between the two often have to do with length, what information is specifically listed, and what type of position a person is applying for. The purpose and specifics of CVs and resumes also vary depending on whether a person lives/works in the US/Canada versus another country.

    When to use a CV
    While it depends on the specific occasion, CVs are typically used in the United States and Canada when a person is applying for a fellowship, grant, or a job specifically in academia, medicine, or a research field. All of these are typically more concerned with a person’s credentials and expertise and thus require a detailed account of a person’s educational and research background.

    Outside of the US and Canada, CVs are typically used as the standard document that a person submits when applying to a job in any field. If an American or Canadian citizen is applying for an international position, they will typically need to submit a CV rather than a resume.

    When to use a resume
    In general, a resume is the document that most American and Canadian companies expect from an applicant looking for a job. Besides the particular fields mentioned above, most businesses in America and Canada will ask an applicant to submit a resume rather than a CV. Generally speaking, businesses are more interested in an applicant’s career experiences, prior jobs, training, skills, and career accomplishments than academic accomplishments.

    When applying for a job, most Americans and Canadians will be required to submit a resume (and possibly a cover letter). This shorter, more concise document is often preferred if a company uses automated review software or receives a large number of applications.

    Most of the time, an organization will make it clear whether they require a CV, resume, or even both. If you live in Canada or the US, you should expect to need a resume most of the time. If you live anywhere else, you should expect to write a CV. If you are unsure which is needed, it is best to ask for clarification.

    What is a resume?
    A resume is a summary of a person’s past work experience, career accomplishments, personal accomplishments, skills, and qualifications. A resume is the document that Americans and Canadians need to have when applying for most jobs.

    Like a CV, a resume is typically adjusted to fit the specific job that a person is applying for, with more important or relevant experiences and accomplishments given priority. Typically, resumes are relatively short, usually only being one or two pages in length. In general, resumes lead with job histories and career accomplishments. While CVs tend to emphasize a person’s academic credentials, a resume tends to focus much more on what a person has done in their past work and how they can use that to succeed at a new job.

    In our comprehensive resume guide, we’ve provided three sample resumes you can use to follow along in this series and create your own format.

    CV vs. resume
    In general, CVs and resumes often contain similar information, are often both used to apply for jobs, and are both used to list a person’s experiences, skills, and accomplishments. The main differences between the two often have to do with length, what information is specifically listed, and what type of position a person is applying for. The purpose and specifics of CVs and resumes also vary depending on whether a person lives/works in the US/Canada versus another country.

    When to use a CV
    While it depends on the specific occasion, CVs are typically used in the United States and Canada when a person is applying for a fellowship, grant, or a job specifically in academia, medicine, or a research field. All of these are typically more concerned with a person’s credentials and expertise and thus require a detailed account of a person’s educational and research background.

    Outside of the US and Canada, CVs are typically used as the standard document that a person submits when applying to a job in any field. If an American or Canadian citizen is applying for an international position, they will typically need to submit a CV rather than a resume.

    When to use a resume
    In general, a resume is the document that most American and Canadian companies expect from an applicant looking for a job. Besides the particular fields mentioned above, most businesses in America and Canada will ask an applicant to submit a resume rather than a CV. Generally speaking, businesses are more interested in an applicant’s career experiences, prior jobs, training, skills, and career accomplishments than academic accomplishments.

    When applying for a job, most Americans and Canadians will be required to submit a resume (and possibly a cover letter). This shorter, more concise document is often preferred if a company uses automated review software or receives a large number of applications.

    Most of the time, an organization will make it clear whether they require a CV, resume, or even both. If you live in Canada or the US, you should expect to need a resume most of the time. If you live anywhere else, you should expect to write a CV. If you are unsure which is needed, it is best to ask for clarification.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    CV vs. Resume: What Are The Differences? When applying for jobs, you’ll need to prove to prospective employers that you have plenty of experience and accomplishments. In order to do this, you’ll need to show them either a CV or a resume. For American workers, these two terms are often used interchangeably to refer to a document that lists a person’s past work and major accomplishments. However, there are several differences between the two and confusing one for the other could majorly hurt your chances of landing that coveted position. To avoid disaster, let’s learn more about the difference between a CV and a resume. What is a CV? CV is short for curriculum vitae. A CV is a document that lists in detail a person’s education, certifications, professional background, professional expertise, publications (books, research papers, etc.), teaching experience, presentations, awards, grants, and research projects. A CV is compiled by a person applying for a job, fellowship, grant, or international career position. Typically, a CV is tailored to fit whatever position a person is applying for, with more relevant or valuable skills and experiences prioritized over others. A CV usually begins with a person’s educational qualifications, such as university degrees, fellowships, grants, and teaching experience. Most CVs are quite long and detailed, often listing many years worth of a person’s accomplishments and published works. Depending on the person, a CV that lists all of a person’s published books, lectures, and research papers could potentially be many pages in length. CV vs. resume In general, CVs and resumes often contain similar information, are often both used to apply for jobs, and are both used to list a person’s experiences, skills, and accomplishments. The main differences between the two often have to do with length, what information is specifically listed, and what type of position a person is applying for. The purpose and specifics of CVs and resumes also vary depending on whether a person lives/works in the US/Canada versus another country. When to use a CV While it depends on the specific occasion, CVs are typically used in the United States and Canada when a person is applying for a fellowship, grant, or a job specifically in academia, medicine, or a research field. All of these are typically more concerned with a person’s credentials and expertise and thus require a detailed account of a person’s educational and research background. Outside of the US and Canada, CVs are typically used as the standard document that a person submits when applying to a job in any field. If an American or Canadian citizen is applying for an international position, they will typically need to submit a CV rather than a resume. When to use a resume In general, a resume is the document that most American and Canadian companies expect from an applicant looking for a job. Besides the particular fields mentioned above, most businesses in America and Canada will ask an applicant to submit a resume rather than a CV. Generally speaking, businesses are more interested in an applicant’s career experiences, prior jobs, training, skills, and career accomplishments than academic accomplishments. When applying for a job, most Americans and Canadians will be required to submit a resume (and possibly a cover letter). This shorter, more concise document is often preferred if a company uses automated review software or receives a large number of applications. Most of the time, an organization will make it clear whether they require a CV, resume, or even both. If you live in Canada or the US, you should expect to need a resume most of the time. If you live anywhere else, you should expect to write a CV. If you are unsure which is needed, it is best to ask for clarification. What is a resume? A resume is a summary of a person’s past work experience, career accomplishments, personal accomplishments, skills, and qualifications. A resume is the document that Americans and Canadians need to have when applying for most jobs. Like a CV, a resume is typically adjusted to fit the specific job that a person is applying for, with more important or relevant experiences and accomplishments given priority. Typically, resumes are relatively short, usually only being one or two pages in length. In general, resumes lead with job histories and career accomplishments. While CVs tend to emphasize a person’s academic credentials, a resume tends to focus much more on what a person has done in their past work and how they can use that to succeed at a new job. In our comprehensive resume guide, we’ve provided three sample resumes you can use to follow along in this series and create your own format. CV vs. resume In general, CVs and resumes often contain similar information, are often both used to apply for jobs, and are both used to list a person’s experiences, skills, and accomplishments. The main differences between the two often have to do with length, what information is specifically listed, and what type of position a person is applying for. The purpose and specifics of CVs and resumes also vary depending on whether a person lives/works in the US/Canada versus another country. When to use a CV While it depends on the specific occasion, CVs are typically used in the United States and Canada when a person is applying for a fellowship, grant, or a job specifically in academia, medicine, or a research field. All of these are typically more concerned with a person’s credentials and expertise and thus require a detailed account of a person’s educational and research background. Outside of the US and Canada, CVs are typically used as the standard document that a person submits when applying to a job in any field. If an American or Canadian citizen is applying for an international position, they will typically need to submit a CV rather than a resume. When to use a resume In general, a resume is the document that most American and Canadian companies expect from an applicant looking for a job. Besides the particular fields mentioned above, most businesses in America and Canada will ask an applicant to submit a resume rather than a CV. Generally speaking, businesses are more interested in an applicant’s career experiences, prior jobs, training, skills, and career accomplishments than academic accomplishments. When applying for a job, most Americans and Canadians will be required to submit a resume (and possibly a cover letter). This shorter, more concise document is often preferred if a company uses automated review software or receives a large number of applications. Most of the time, an organization will make it clear whether they require a CV, resume, or even both. If you live in Canada or the US, you should expect to need a resume most of the time. If you live anywhere else, you should expect to write a CV. If you are unsure which is needed, it is best to ask for clarification. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • “AI Coding Assistants: เครื่องมือเร่งงานที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลา — เมื่อความเร็วกลายเป็นช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยองค์กร”

    ในยุคที่ AI เข้ามาช่วยเขียนโค้ดให้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ลึกและซับซ้อนมากขึ้น งานวิจัยจาก Apiiro และบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเผยว่า AI coding assistants เช่น GitHub Copilot, GPT-5 หรือ Claude Code อาจช่วยลด syntax error ได้จริง แต่กลับเพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation, การออกแบบระบบที่ไม่ปลอดภัย และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ

    ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ยังรวมถึง “พฤติกรรมใหม่” ของนักพัฒนา เช่น การสร้าง pull request ขนาดใหญ่ที่รวมหลายไฟล์และหลายบริการในครั้งเดียว ทำให้ทีมรีวิวโค้ดตรวจสอบได้ยากขึ้น และอาจปล่อยช่องโหว่เข้าสู่ production โดยไม่รู้ตัว

    ที่น่ากังวลคือ “shadow engineers” หรือผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาโดยตรง เช่น ฝ่ายธุรกิจหรือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ที่ใช้ AI เขียนสคริปต์หรือแดชบอร์ดโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบมีช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกมองเห็นมาก่อน

    ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า AI coding assistants มักสร้างโค้ดที่ “verbose” หรือยาวเกินจำเป็น และอาจรวม dependency หรือการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัยเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น การ hardcode secret key หรือการเปิดสิทธิ์ให้กับโมดูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    แม้จะมีข้อดีด้าน productivity แต่การใช้ AI coding assistants โดยไม่มีการวางระบบตรวจสอบที่ดี อาจทำให้องค์กร “เร่งงานแต่เร่งความเสี่ยงไปพร้อมกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายบริษัทเริ่มตระหนักและปรับแนวทาง เช่น การใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน, การจำกัดขนาด pull request, และการบังคับใช้การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของ CI/CD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI coding assistants ลด syntax error และ logic bug ได้จริง
    แต่เพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation และ design flaw
    Pull request จาก AI มักมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ทำให้ตรวจสอบยาก
    Shadow engineers ใช้ AI เขียนโค้ดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย
    ระบบ SAST, DAST และ manual review ยังไม่พร้อมรับมือกับโค้ดที่สร้างโดย AI
    AI มักสร้างโค้ด verbose และรวม dependency ที่ไม่จำเป็น
    Apiiro พบว่า AI-generated code สร้างช่องโหว่ใหม่กว่า 10,000 รายการต่อเดือน
    การใช้ AI coding assistants ต้องมีระบบตรวจสอบและความรับผิดชอบจากนักพัฒนา
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน และบังคับใช้ security policy

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GitHub Copilot เพิ่ม productivity ได้ถึง 3–4 เท่า แต่เพิ่มช่องโหว่ 10 เท่าในบางกรณี
    AI coding assistants มีความแม่นยำในการเขียนโค้ด TypeScript มากกว่า PHP
    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรมี traceability เช่น ระบุว่าโมเดลใดเป็นผู้สร้าง
    การใช้ AI ในการพัฒนา cloud-native apps ต้องมีการจัดการ secret และ credential อย่างรัดกุม
    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรเปรียบเสมือน “นักพัฒนาฝึกหัด” ที่ต้องมี senior ตรวจสอบเสมอ

    https://www.csoonline.com/article/4062720/ai-coding-assistants-amplify-deeper-cybersecurity-risks.html
    🧠 “AI Coding Assistants: เครื่องมือเร่งงานที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลา — เมื่อความเร็วกลายเป็นช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยองค์กร” ในยุคที่ AI เข้ามาช่วยเขียนโค้ดให้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ลึกและซับซ้อนมากขึ้น งานวิจัยจาก Apiiro และบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเผยว่า AI coding assistants เช่น GitHub Copilot, GPT-5 หรือ Claude Code อาจช่วยลด syntax error ได้จริง แต่กลับเพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation, การออกแบบระบบที่ไม่ปลอดภัย และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ยังรวมถึง “พฤติกรรมใหม่” ของนักพัฒนา เช่น การสร้าง pull request ขนาดใหญ่ที่รวมหลายไฟล์และหลายบริการในครั้งเดียว ทำให้ทีมรีวิวโค้ดตรวจสอบได้ยากขึ้น และอาจปล่อยช่องโหว่เข้าสู่ production โดยไม่รู้ตัว ที่น่ากังวลคือ “shadow engineers” หรือผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาโดยตรง เช่น ฝ่ายธุรกิจหรือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ที่ใช้ AI เขียนสคริปต์หรือแดชบอร์ดโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบมีช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกมองเห็นมาก่อน ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า AI coding assistants มักสร้างโค้ดที่ “verbose” หรือยาวเกินจำเป็น และอาจรวม dependency หรือการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัยเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น การ hardcode secret key หรือการเปิดสิทธิ์ให้กับโมดูลที่ไม่ควรเข้าถึง แม้จะมีข้อดีด้าน productivity แต่การใช้ AI coding assistants โดยไม่มีการวางระบบตรวจสอบที่ดี อาจทำให้องค์กร “เร่งงานแต่เร่งความเสี่ยงไปพร้อมกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายบริษัทเริ่มตระหนักและปรับแนวทาง เช่น การใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน, การจำกัดขนาด pull request, และการบังคับใช้การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของ CI/CD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI coding assistants ลด syntax error และ logic bug ได้จริง ➡️ แต่เพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation และ design flaw ➡️ Pull request จาก AI มักมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ทำให้ตรวจสอบยาก ➡️ Shadow engineers ใช้ AI เขียนโค้ดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ระบบ SAST, DAST และ manual review ยังไม่พร้อมรับมือกับโค้ดที่สร้างโดย AI ➡️ AI มักสร้างโค้ด verbose และรวม dependency ที่ไม่จำเป็น ➡️ Apiiro พบว่า AI-generated code สร้างช่องโหว่ใหม่กว่า 10,000 รายการต่อเดือน ➡️ การใช้ AI coding assistants ต้องมีระบบตรวจสอบและความรับผิดชอบจากนักพัฒนา ➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน และบังคับใช้ security policy ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GitHub Copilot เพิ่ม productivity ได้ถึง 3–4 เท่า แต่เพิ่มช่องโหว่ 10 เท่าในบางกรณี ➡️ AI coding assistants มีความแม่นยำในการเขียนโค้ด TypeScript มากกว่า PHP ➡️ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรมี traceability เช่น ระบุว่าโมเดลใดเป็นผู้สร้าง ➡️ การใช้ AI ในการพัฒนา cloud-native apps ต้องมีการจัดการ secret และ credential อย่างรัดกุม ➡️ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรเปรียบเสมือน “นักพัฒนาฝึกหัด” ที่ต้องมี senior ตรวจสอบเสมอ https://www.csoonline.com/article/4062720/ai-coding-assistants-amplify-deeper-cybersecurity-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI coding assistants amplify deeper cybersecurity risks
    Although capable of reducing trivial mistakes, AI coding copilots leave enterprises at risk of increased insecure coding patterns, exposed secrets, and cloud misconfigurations, research reveals.
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • “Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ ‘Ask AI’ ถามคำศัพท์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ — เมื่อการอ่านอีบุ๊กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้น”

    Calibre โปรแกรมจัดการอีบุ๊กยอดนิยมแบบโอเพ่นซอร์ส ได้ออกเวอร์ชันใหม่ 8.11 โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจคือ “Ask AI” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแถบ Dictionary Lookup ของโปรแกรมอ่านอีบุ๊ก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความในหนังสือ แล้วถาม AI ได้ทันทีว่าเนื้อหานั้นหมายถึงอะไร หรือมีบริบทอย่างไร

    ฟีเจอร์นี้รองรับโมเดล AI หลากหลายจากผู้ให้บริการฟรี เช่น Google, OpenRouter, GitHub หรือแม้แต่การใช้งานแบบ local ผ่าน Ollama โดยผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองก่อนใช้งาน ซึ่งหมายความว่า Calibre จะไม่โหลดโค้ด AI ใด ๆ หากผู้ใช้ไม่เปิดใช้งานเอง

    นอกจากนั้น Calibre 8.11 ยังเพิ่มตัวเลือกใน Preferences ให้แสดงคีย์ลัดของแต่ละหมวดใน tooltip เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้น และมีการปรับปรุงแหล่งข่าวหลายแห่ง เช่น The New York Times, The Economist และ New York Review of Books

    ด้านการแก้ไขบั๊กก็มีหลายรายการ เช่น ปัญหาในการเพิ่ม icon rule ใน Tag browser, การแปลงไฟล์ PDB ที่มี header ผิดรูปแบบ, และการเซ็น DLL บน Windows ที่ต้องเซ็นทั้ง .dll และ .pyd เพื่อให้ระบบยอมรับ

    ในส่วนของ E-book Viewer ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การแก้ไขปัญหา highlight ซ้ำซ้อน, การจัดการ footnote popup ด้วยปุ่ม Esc, และการแก้ลิงก์ที่ไม่ทำงานในหนังสือขนาดใหญ่

    Calibre 8.11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 รวมถึงเวอร์ชัน Flatpak บน Flathub.

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ “Ask AI” ในแถบ Dictionary Lookup
    รองรับโมเดล AI จาก Google, OpenRouter, GitHub และ Ollama แบบ local
    ฟีเจอร์ AI จะไม่ถูกโหลดจนกว่าผู้ใช้จะตั้งค่าเอง
    เพิ่มตัวเลือกแสดงคีย์ลัดใน tooltip ของ Preferences
    ปรับปรุงแหล่งข่าว เช่น NYT, Economist, El Diplo, NYRB
    แก้บั๊กใน Tag browser, PDB conversion, และ DLL signing บน Windows
    ปรับปรุง E-book Viewer เช่น highlight, footnote popup, และลิงก์ในหนังสือขนาดใหญ่
    รองรับการดาวน์โหลดแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64
    สามารถติดตั้งผ่าน Flatpak บน Flathub ได้ทันที

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ollama เป็นระบบรันโมเดล AI แบบ local ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    OpenRouter เป็นแพลตฟอร์มที่รวมโมเดล AI จากหลายค่ายไว้ในที่เดียว
    การใช้ AI ในการอ่านหนังสือช่วยให้เข้าใจบริบทเชิงลึก เช่น ความหมายแฝงหรือการอ้างอิง
    Calibre เป็นหนึ่งในโปรแกรมจัดการอีบุ๊กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux
    การแสดงคีย์ลัดใน tooltip ช่วยลด learning curve สำหรับผู้ใช้ใหม่

    https://9to5linux.com/calibre-8-11-e-book-manager-adds-an-ask-ai-tab-to-the-dictionary-lookup-panel
    📚 “Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ ‘Ask AI’ ถามคำศัพท์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ — เมื่อการอ่านอีบุ๊กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้น” Calibre โปรแกรมจัดการอีบุ๊กยอดนิยมแบบโอเพ่นซอร์ส ได้ออกเวอร์ชันใหม่ 8.11 โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจคือ “Ask AI” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแถบ Dictionary Lookup ของโปรแกรมอ่านอีบุ๊ก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความในหนังสือ แล้วถาม AI ได้ทันทีว่าเนื้อหานั้นหมายถึงอะไร หรือมีบริบทอย่างไร ฟีเจอร์นี้รองรับโมเดล AI หลากหลายจากผู้ให้บริการฟรี เช่น Google, OpenRouter, GitHub หรือแม้แต่การใช้งานแบบ local ผ่าน Ollama โดยผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองก่อนใช้งาน ซึ่งหมายความว่า Calibre จะไม่โหลดโค้ด AI ใด ๆ หากผู้ใช้ไม่เปิดใช้งานเอง นอกจากนั้น Calibre 8.11 ยังเพิ่มตัวเลือกใน Preferences ให้แสดงคีย์ลัดของแต่ละหมวดใน tooltip เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้น และมีการปรับปรุงแหล่งข่าวหลายแห่ง เช่น The New York Times, The Economist และ New York Review of Books ด้านการแก้ไขบั๊กก็มีหลายรายการ เช่น ปัญหาในการเพิ่ม icon rule ใน Tag browser, การแปลงไฟล์ PDB ที่มี header ผิดรูปแบบ, และการเซ็น DLL บน Windows ที่ต้องเซ็นทั้ง .dll และ .pyd เพื่อให้ระบบยอมรับ ในส่วนของ E-book Viewer ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การแก้ไขปัญหา highlight ซ้ำซ้อน, การจัดการ footnote popup ด้วยปุ่ม Esc, และการแก้ลิงก์ที่ไม่ทำงานในหนังสือขนาดใหญ่ Calibre 8.11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 รวมถึงเวอร์ชัน Flatpak บน Flathub. ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ “Ask AI” ในแถบ Dictionary Lookup ➡️ รองรับโมเดล AI จาก Google, OpenRouter, GitHub และ Ollama แบบ local ➡️ ฟีเจอร์ AI จะไม่ถูกโหลดจนกว่าผู้ใช้จะตั้งค่าเอง ➡️ เพิ่มตัวเลือกแสดงคีย์ลัดใน tooltip ของ Preferences ➡️ ปรับปรุงแหล่งข่าว เช่น NYT, Economist, El Diplo, NYRB ➡️ แก้บั๊กใน Tag browser, PDB conversion, และ DLL signing บน Windows ➡️ ปรับปรุง E-book Viewer เช่น highlight, footnote popup, และลิงก์ในหนังสือขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการดาวน์โหลดแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 ➡️ สามารถติดตั้งผ่าน Flatpak บน Flathub ได้ทันที ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ollama เป็นระบบรันโมเดล AI แบบ local ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ OpenRouter เป็นแพลตฟอร์มที่รวมโมเดล AI จากหลายค่ายไว้ในที่เดียว ➡️ การใช้ AI ในการอ่านหนังสือช่วยให้เข้าใจบริบทเชิงลึก เช่น ความหมายแฝงหรือการอ้างอิง ➡️ Calibre เป็นหนึ่งในโปรแกรมจัดการอีบุ๊กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux ➡️ การแสดงคีย์ลัดใน tooltip ช่วยลด learning curve สำหรับผู้ใช้ใหม่ https://9to5linux.com/calibre-8-11-e-book-manager-adds-an-ask-ai-tab-to-the-dictionary-lookup-panel
    9TO5LINUX.COM
    Calibre 8.11 E-Book Manager Adds an "Ask AI" Tab to the Dictionary Lookup Panel - 9to5Linux
    Calibre 8.11 open-source e-book management software is now available for download with an "Ask AI" tab to the dictionary lookup panel.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • “PlanetScale เปิดตัวบริการ Postgres อย่างเป็นทางการ — พร้อมระบบ sharding ใหม่ ‘Neki’ ที่เขย่าตลาดฐานข้อมูลระดับองค์กร”

    หลังจากอยู่ในช่วง private preview มานาน ในที่สุด PlanetScale ก็เปิดตัวบริการ PlanetScale for Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดยเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม PlanetScale ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์นักพัฒนาที่เหนือระดับ

    PlanetScale ซึ่งเดิมเน้นการให้บริการฐานข้อมูล MySQL ผ่านระบบ sharding ที่ชื่อว่า Vitess ได้ขยายความสามารถมาสู่โลกของ Postgres โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Neki” ซึ่งไม่ใช่การ fork Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ เพื่อให้รองรับการทำงานแบบกระจายข้อมูล (sharding) บน Postgres ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Neki ถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และมีแผนจะเปิดเป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ workload ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น real-time analytics, multi-tenant SaaS, หรือระบบฐานข้อมูลที่ต้องการความพร้อมใช้งานระดับสูง

    PlanetScale for Postgres ยังมาพร้อมระบบ Metal ที่ให้ IOPS ไม่จำกัด และระบบ migration guide สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจากผู้ให้บริการ Postgres รายอื่น โดยมีทีมขายพร้อมช่วยเหลือการย้ายระบบขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PlanetScale เปิดตัวบริการฐานข้อมูล Postgres อย่างเป็นทางการ (GA)
    ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านระบบ PlanetScale
    ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ “Neki” สำหรับการทำ sharding บน Postgres
    Neki ไม่ใช่ fork ของ Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์
    มีแผนเปิด Neki เป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต
    รองรับการใช้งานกับ workload ขนาดใหญ่และซับซ้อน
    ระบบ Metal ให้ IOPS ไม่จำกัดสำหรับฐานข้อมูล Postgres
    มี migration guide และทีมขายช่วยเหลือการย้ายระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vitess เป็นระบบ sharding ที่พัฒนาโดย YouTube และใช้กับ MySQL มานาน
    PlanetScale เป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่เน้น developer experience และ scalability
    ตลาดฐานข้อมูล Postgres เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    Supabase และ Neon เป็นคู่แข่งที่เน้น Postgres เช่นกัน แต่ยังไม่มีระบบ sharding ที่เทียบเท่า
    การเปิดตัว Neki อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่

    https://planetscale.com/blog/planetscale-for-postgres-is-generally-available
    🛠️ “PlanetScale เปิดตัวบริการ Postgres อย่างเป็นทางการ — พร้อมระบบ sharding ใหม่ ‘Neki’ ที่เขย่าตลาดฐานข้อมูลระดับองค์กร” หลังจากอยู่ในช่วง private preview มานาน ในที่สุด PlanetScale ก็เปิดตัวบริการ PlanetScale for Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดยเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม PlanetScale ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์นักพัฒนาที่เหนือระดับ PlanetScale ซึ่งเดิมเน้นการให้บริการฐานข้อมูล MySQL ผ่านระบบ sharding ที่ชื่อว่า Vitess ได้ขยายความสามารถมาสู่โลกของ Postgres โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Neki” ซึ่งไม่ใช่การ fork Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ เพื่อให้รองรับการทำงานแบบกระจายข้อมูล (sharding) บน Postgres ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Neki ถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และมีแผนจะเปิดเป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ workload ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น real-time analytics, multi-tenant SaaS, หรือระบบฐานข้อมูลที่ต้องการความพร้อมใช้งานระดับสูง PlanetScale for Postgres ยังมาพร้อมระบบ Metal ที่ให้ IOPS ไม่จำกัด และระบบ migration guide สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจากผู้ให้บริการ Postgres รายอื่น โดยมีทีมขายพร้อมช่วยเหลือการย้ายระบบขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PlanetScale เปิดตัวบริการฐานข้อมูล Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านระบบ PlanetScale ➡️ ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ “Neki” สำหรับการทำ sharding บน Postgres ➡️ Neki ไม่ใช่ fork ของ Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ ➡️ มีแผนเปิด Neki เป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต ➡️ รองรับการใช้งานกับ workload ขนาดใหญ่และซับซ้อน ➡️ ระบบ Metal ให้ IOPS ไม่จำกัดสำหรับฐานข้อมูล Postgres ➡️ มี migration guide และทีมขายช่วยเหลือการย้ายระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vitess เป็นระบบ sharding ที่พัฒนาโดย YouTube และใช้กับ MySQL มานาน ➡️ PlanetScale เป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่เน้น developer experience และ scalability ➡️ ตลาดฐานข้อมูล Postgres เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ Supabase และ Neon เป็นคู่แข่งที่เน้น Postgres เช่นกัน แต่ยังไม่มีระบบ sharding ที่เทียบเท่า ➡️ การเปิดตัว Neki อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่ https://planetscale.com/blog/planetscale-for-postgres-is-generally-available
    PLANETSCALE.COM
    PlanetScale for Postgres is now GA — PlanetScale
    PlanetScale for Postgres is now generally available.
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • ‘เพจดัง’ เห็นใจเขมร ซัดสื่อไทยทำข่าวปลุกปั่นครอบงำความคิด สร้างความเกลียดชังดูถูกคนกัมพูชา ยกย่อง 'ทหารไทย' เกินจริงกระตุ้นชาตินิยม
    https://www.thai-tai.tv/news/21567/
    .
    #ไทยไท #ตุ๊ดส์review #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ชายแดนไทยกัมพูชา #รู้เท่าทันสื่อ
    ‘เพจดัง’ เห็นใจเขมร ซัดสื่อไทยทำข่าวปลุกปั่นครอบงำความคิด สร้างความเกลียดชังดูถูกคนกัมพูชา ยกย่อง 'ทหารไทย' เกินจริงกระตุ้นชาตินิยม https://www.thai-tai.tv/news/21567/ . #ไทยไท #ตุ๊ดส์review #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ชายแดนไทยกัมพูชา #รู้เท่าทันสื่อ
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • ScaleFlux CSD 5320 — SSD ที่บีบอัดข้อมูลได้ทันที พร้อมทะลุขีดจำกัดความเร็วและความจุของ PCIe Gen5

    ในโลกของศูนย์ข้อมูลที่ต้องรับมือกับข้อมูลมหาศาลทุกวินาที ScaleFlux ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ CSD 5320 ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “ฉลาด” ด้วยการบีบอัดข้อมูลแบบเรียลไทม์ในตัวฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องพึ่ง CPU ของระบบหลักเลยแม้แต่นิดเดียว

    CSD 5320 เป็น SSD ระดับองค์กรที่ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 ที่รวมเอา ARM processor และ hardware acceleration สำหรับการบีบอัด/คลายข้อมูลโดยเฉพาะ ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าความจุ NAND จริงถึง 4 เท่าในบางกรณี และยังลดการเขียนซ้ำซ้อนซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมาก

    ผลการทดสอบจาก TweakTown และ WebProNews รายงานว่า SSD รุ่นนี้สามารถอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องได้ถึง 14GB/s และเขียนได้มากกว่า 13GB/s เมื่อใช้กับข้อมูลที่บีบอัดได้ดี ส่วนการทำงานแบบสุ่ม (random IOPS) ก็แตะระดับ 3.3 ล้าน IOPS ซึ่งสูงกว่าหลายรุ่นในตลาด PCIe Gen5

    นอกจากความเร็วแล้ว จุดเด่นของ CSD 5320 คือ “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” ที่เหนือกว่า SSD ทั่วไปถึง 3 เท่า และสามารถลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลในงานที่มีข้อมูลซ้ำซ้อน เช่น log, database, หรือ workload ด้าน AI/ML ที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุ

    แม้จะมีรุ่นเริ่มต้นที่ 7.68TB แต่เมื่อรวมเทคโนโลยีบีบอัดแล้วสามารถขยายได้ถึง 256TB ในการใช้งานจริง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน SSD ที่มีความจุสูงที่สุดในตลาดองค์กร ณ ตอนนี้

    ScaleFlux เปิดตัว SSD CSD 5320 สำหรับองค์กร
    ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 แบบ custom
    มีระบบบีบอัด/คลายข้อมูลในตัวโดยไม่ใช้ CPU หลัก

    ความเร็วทะลุขีดจำกัดของ Gen5 SSD ทั่วไป
    อ่านต่อเนื่องได้มากกว่า 14GB/s / เขียนได้มากกว่า 13GB/s
    Random IOPS สูงถึง 3.3 ล้านใน workload แบบองค์กร

    เพิ่มความจุได้มากกว่าความจุ NAND จริง
    บีบอัดข้อมูลได้สูงสุด 4 เท่า
    รุ่น 7.68TB สามารถใช้งานจริงได้ถึง 256TB

    ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า SSD ทั่วไป
    ลด write amplification / ยืดอายุการใช้งาน
    เหมาะกับงาน AI, ML, database, log analytics

    มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    รองรับ compressible workload ได้ดีที่สุดในตลาด
    ใช้ได้กับศูนย์ข้อมูลที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่

    https://www.techradar.com/pro/like-nothing-else-out-there-scaleflux-extraordinary-ssd-compresses-datasets-on-the-fly-and-delivers-equally-extraordinary-performance-says-review
    📰 ScaleFlux CSD 5320 — SSD ที่บีบอัดข้อมูลได้ทันที พร้อมทะลุขีดจำกัดความเร็วและความจุของ PCIe Gen5 ในโลกของศูนย์ข้อมูลที่ต้องรับมือกับข้อมูลมหาศาลทุกวินาที ScaleFlux ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ CSD 5320 ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ “ฉลาด” ด้วยการบีบอัดข้อมูลแบบเรียลไทม์ในตัวฮาร์ดแวร์ โดยไม่ต้องพึ่ง CPU ของระบบหลักเลยแม้แต่นิดเดียว CSD 5320 เป็น SSD ระดับองค์กรที่ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 ที่รวมเอา ARM processor และ hardware acceleration สำหรับการบีบอัด/คลายข้อมูลโดยเฉพาะ ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าความจุ NAND จริงถึง 4 เท่าในบางกรณี และยังลดการเขียนซ้ำซ้อนซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมาก ผลการทดสอบจาก TweakTown และ WebProNews รายงานว่า SSD รุ่นนี้สามารถอ่านข้อมูลแบบต่อเนื่องได้ถึง 14GB/s และเขียนได้มากกว่า 13GB/s เมื่อใช้กับข้อมูลที่บีบอัดได้ดี ส่วนการทำงานแบบสุ่ม (random IOPS) ก็แตะระดับ 3.3 ล้าน IOPS ซึ่งสูงกว่าหลายรุ่นในตลาด PCIe Gen5 นอกจากความเร็วแล้ว จุดเด่นของ CSD 5320 คือ “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” ที่เหนือกว่า SSD ทั่วไปถึง 3 เท่า และสามารถลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลในงานที่มีข้อมูลซ้ำซ้อน เช่น log, database, หรือ workload ด้าน AI/ML ที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุ แม้จะมีรุ่นเริ่มต้นที่ 7.68TB แต่เมื่อรวมเทคโนโลยีบีบอัดแล้วสามารถขยายได้ถึง 256TB ในการใช้งานจริง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน SSD ที่มีความจุสูงที่สุดในตลาดองค์กร ณ ตอนนี้ ✅ ScaleFlux เปิดตัว SSD CSD 5320 สำหรับองค์กร ➡️ ใช้ PCIe Gen5 x4 พร้อมชิป SFX 5000 แบบ custom ➡️ มีระบบบีบอัด/คลายข้อมูลในตัวโดยไม่ใช้ CPU หลัก ✅ ความเร็วทะลุขีดจำกัดของ Gen5 SSD ทั่วไป ➡️ อ่านต่อเนื่องได้มากกว่า 14GB/s / เขียนได้มากกว่า 13GB/s ➡️ Random IOPS สูงถึง 3.3 ล้านใน workload แบบองค์กร ✅ เพิ่มความจุได้มากกว่าความจุ NAND จริง ➡️ บีบอัดข้อมูลได้สูงสุด 4 เท่า ➡️ รุ่น 7.68TB สามารถใช้งานจริงได้ถึง 256TB ✅ ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า SSD ทั่วไป ➡️ ลด write amplification / ยืดอายุการใช้งาน ➡️ เหมาะกับงาน AI, ML, database, log analytics ✅ มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ รองรับ compressible workload ได้ดีที่สุดในตลาด ➡️ ใช้ได้กับศูนย์ข้อมูลที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่ https://www.techradar.com/pro/like-nothing-else-out-there-scaleflux-extraordinary-ssd-compresses-datasets-on-the-fly-and-delivers-equally-extraordinary-performance-says-review
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • Honor MagicPad 3 — แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปกแรง แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับสายทำงาน

    Honor เปิดตัว MagicPad 3 แท็บเล็ต Android ขนาด 13.3 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ น้ำหนักเบา และสเปกที่ดูดีบนกระดาษ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่ามีหลายจุดที่ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการทำงานอย่างจริงจัง

    MagicPad 3 ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียดสูง 3200 x 2136 พิกเซล รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมในระดับกลาง มี RAM สูงสุด 16GB และพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง

    แต่จุดที่น่าผิดหวังคือการใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็เป็นรุ่นเก่ากว่า 2 ปี ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในยุคที่แอปและระบบปฏิบัติการพัฒนาเร็วมาก อีกทั้ง MagicPad 3 ยังไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือการเปิด 3 แอปพร้อมกัน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีในมือถือ Honor รุ่นใหม่อย่าง Magic V5

    นอกจากนี้ MagicPad 3 ยังไม่แถมคีย์บอร์ดมาในกล่อง และเมื่อซื้อเพิ่มก็พบว่าทัชแพดมีปัญหาเรื่องความแม่นยำ ส่วนซอฟต์แวร์ MagicOS 9 ที่ครอบบน Android 15 ก็ยังคงหน้าตาแบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่าที่ควร

    แม้จะมีจุดเด่นด้านแบตเตอรี่และหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi Pad 7 หรือ OnePlus Pad 3 ที่มีชิปใหม่กว่าและราคาดีกว่า MagicPad 3 จึงอาจเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปมากกว่าการทำงานจริงจัง

    Honor MagicPad 3 เปิดตัวพร้อมหน้าจอใหญ่และสเปกกลาง-สูง
    หน้าจอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3200 x 2136 พิกเซล
    รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits

    ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และ RAM สูงสุด 16GB
    แม้เป็นชิปรุ่นเก่า แต่ยังใช้งานทั่วไปได้ลื่น
    มีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB

    แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ใช้งานได้ยาวนาน
    รองรับชาร์จไว 66W (ปลั๊กยุโรป)
    ใช้เทคโนโลยี silicon-carbon ที่ชาร์จเร็วและทนทาน

    ระบบปฏิบัติการ MagicOS 9 บน Android 15
    ยังใช้ UI แบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่ารุ่นมือถือใหม่
    ไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือเปิด 3 แอปพร้อมกัน

    ไม่แถมคีย์บอร์ดในกล่อง และอุปกรณ์เสริมมีข้อจำกัด
    คีย์บอร์ดมีปัญหาทัชแพดไม่แม่นยำ
    ขาตั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น บนเครื่องบิน

    https://www.slashgear.com/1972266/honor-magicpad-3-review-2025/
    📰 Honor MagicPad 3 — แท็บเล็ตจอใหญ่ สเปกแรง แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับสายทำงาน Honor เปิดตัว MagicPad 3 แท็บเล็ต Android ขนาด 13.3 นิ้ว ที่มาพร้อมดีไซน์บางเฉียบ น้ำหนักเบา และสเปกที่ดูดีบนกระดาษ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่ามีหลายจุดที่ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแท็บเล็ตเพื่อการทำงานอย่างจริงจัง MagicPad 3 ใช้หน้าจอ LCD ความละเอียดสูง 3200 x 2136 พิกเซล รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมในระดับกลาง มี RAM สูงสุด 16GB และพื้นที่เก็บข้อมูลถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ที่ใช้งานได้ยาวนานหลายชั่วโมง แต่จุดที่น่าผิดหวังคือการใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งแม้จะเร็ว แต่ก็เป็นรุ่นเก่ากว่า 2 ปี ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในยุคที่แอปและระบบปฏิบัติการพัฒนาเร็วมาก อีกทั้ง MagicPad 3 ยังไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือการเปิด 3 แอปพร้อมกัน ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีในมือถือ Honor รุ่นใหม่อย่าง Magic V5 นอกจากนี้ MagicPad 3 ยังไม่แถมคีย์บอร์ดมาในกล่อง และเมื่อซื้อเพิ่มก็พบว่าทัชแพดมีปัญหาเรื่องความแม่นยำ ส่วนซอฟต์แวร์ MagicOS 9 ที่ครอบบน Android 15 ก็ยังคงหน้าตาแบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่าที่ควร แม้จะมีจุดเด่นด้านแบตเตอรี่และหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xiaomi Pad 7 หรือ OnePlus Pad 3 ที่มีชิปใหม่กว่าและราคาดีกว่า MagicPad 3 จึงอาจเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานทั่วไปมากกว่าการทำงานจริงจัง ✅ Honor MagicPad 3 เปิดตัวพร้อมหน้าจอใหญ่และสเปกกลาง-สูง ➡️ หน้าจอ LCD ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3200 x 2136 พิกเซล ➡️ รีเฟรชเรต 165Hz และความสว่างสูงสุด 1,000 nits ✅ ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 และ RAM สูงสุด 16GB ➡️ แม้เป็นชิปรุ่นเก่า แต่ยังใช้งานทั่วไปได้ลื่น ➡️ มีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 1TB ✅ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 12,450 mAh ใช้งานได้ยาวนาน ➡️ รองรับชาร์จไว 66W (ปลั๊กยุโรป) ➡️ ใช้เทคโนโลยี silicon-carbon ที่ชาร์จเร็วและทนทาน ✅ ระบบปฏิบัติการ MagicOS 9 บน Android 15 ➡️ ยังใช้ UI แบบเก่า ไม่ทันสมัยเท่ารุ่นมือถือใหม่ ➡️ ไม่รองรับการแบ่งหน้าจอแบบ 90/10 หรือเปิด 3 แอปพร้อมกัน ✅ ไม่แถมคีย์บอร์ดในกล่อง และอุปกรณ์เสริมมีข้อจำกัด ➡️ คีย์บอร์ดมีปัญหาทัชแพดไม่แม่นยำ ➡️ ขาตั้งไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เช่น บนเครื่องบิน https://www.slashgear.com/1972266/honor-magicpad-3-review-2025/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Honor's New Android Tablet Checks The Right Boxes, But Using It Left Me Frustrated - SlashGear
    Honor's MagicPad 3 is the latest midrange tablet available with features that look great from the outset but leave us with some questions about what's missed.
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • “Intel Core Ultra 3 205: ซีพียูระดับเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา — แรงเกินคาด แซง Core i3 และ i5 รุ่นก่อนหน้า”

    Intel กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจในตลาดซีพียูระดับเริ่มต้น ด้วยการเปิดตัว Core Ultra 3 205 ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดของตระกูล Arrow Lake สำหรับเดสก์ท็อป แม้ยังไม่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่รีวิวจาก Bulls Lab ในเกาหลีใต้ได้เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าทึ่งเกินคาด

    Core Ultra 3 205 ใช้สถาปัตยกรรมแบบ hybrid มี 4 P-core ที่เร่งได้ถึง 4.9 GHz และ 4 E-core ที่เร่งได้ถึง 4.4 GHz เมื่อจับคู่กับเมนบอร์ด H810 และแรม DDR5 32GB พบว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้ลื่นไหล เปิดหลายแท็บเบราว์เซอร์พร้อมกัน และดูวิดีโอ YouTube 8K โดยใช้พลังงานต่ำ

    ผลการทดสอบ Cinebench R23 พบว่าได้คะแนน multi-core สูงถึง 13,394 ซึ่งมากกว่า Core i3-14100 ถึง 48% และคะแนน single-core ที่ 1,983 ก็ยังเหนือกว่า Core i5-14400 ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ iGPU ที่ติดมากับชิปยังใช้ Xe-core 2 ตัว ทำให้เล่นเกมเบา ๆ อย่าง DOTA และ Valorant ได้สบาย ๆ

    ราคาที่คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ $140 หรือ 199,000 วอน ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบเครื่องราคาประหยัด โดย Bulls Lab ยังพบว่ามีพีซีสำเร็จรูปที่ใช้ชิปนี้พร้อม RAM 8GB และ SSD 500GB วางขายในราคาเพียง $360

    แม้จะดูน่าสนใจ แต่ Intel ยังไม่เปิดตัวชิปนี้ในช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และอาจวางขายเฉพาะในตลาด OEM หรือพีซีสำเร็จรูปเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบเครื่อง DIY เข้าถึงได้ยาก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Core Ultra 3 205 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นในตระกูล Arrow Lake
    ใช้ hybrid architecture: 4 P-core (สูงสุด 4.9 GHz) + 4 E-core (สูงสุด 4.4 GHz)
    ทดสอบกับเมนบอร์ด H810 และ RAM DDR5 32GB
    ใช้งานทั่วไปลื่นไหล ดู YouTube 8K ได้โดยใช้พลังงานต่ำ

    ผลการทดสอบประสิทธิภาพ
    Cinebench R23 multi-core: 13,394 คะแนน (สูงกว่า Core i3-14100 ถึง 48%)
    Single-core: 1,983 คะแนน (เหนือกว่า Core i5-14400)
    iGPU ใช้ Xe-core 2 ตัว เล่นเกมเบา ๆ ได้ดี
    ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Core Ultra 5 225 ในด้านกราฟิก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้พลังงานสูงสุด 65W — แนะนำให้ใช้ฮีตซิงก์จากผู้ผลิตอื่นแทนของ Intel
    ราคา CPU ประมาณ $140 และพีซีสำเร็จรูปอยู่ที่ $360
    รองรับ DDR5 ความเร็วสูงถึง 6400 MHz และมี L2 cache ขนาด 16MB
    ผลิตบนกระบวนการ 3nm — เล็กกว่า Core i3-14100 ที่ใช้ 10nm

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-3-205-delivers-impressive-results-in-early-review-reportedly-surpasses-previous-gen-core-i3-14100-and-core-i5-14400
    ⚙️ “Intel Core Ultra 3 205: ซีพียูระดับเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา — แรงเกินคาด แซง Core i3 และ i5 รุ่นก่อนหน้า” Intel กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจในตลาดซีพียูระดับเริ่มต้น ด้วยการเปิดตัว Core Ultra 3 205 ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดของตระกูล Arrow Lake สำหรับเดสก์ท็อป แม้ยังไม่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่รีวิวจาก Bulls Lab ในเกาหลีใต้ได้เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าทึ่งเกินคาด Core Ultra 3 205 ใช้สถาปัตยกรรมแบบ hybrid มี 4 P-core ที่เร่งได้ถึง 4.9 GHz และ 4 E-core ที่เร่งได้ถึง 4.4 GHz เมื่อจับคู่กับเมนบอร์ด H810 และแรม DDR5 32GB พบว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้ลื่นไหล เปิดหลายแท็บเบราว์เซอร์พร้อมกัน และดูวิดีโอ YouTube 8K โดยใช้พลังงานต่ำ ผลการทดสอบ Cinebench R23 พบว่าได้คะแนน multi-core สูงถึง 13,394 ซึ่งมากกว่า Core i3-14100 ถึง 48% และคะแนน single-core ที่ 1,983 ก็ยังเหนือกว่า Core i5-14400 ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ iGPU ที่ติดมากับชิปยังใช้ Xe-core 2 ตัว ทำให้เล่นเกมเบา ๆ อย่าง DOTA และ Valorant ได้สบาย ๆ ราคาที่คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ $140 หรือ 199,000 วอน ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบเครื่องราคาประหยัด โดย Bulls Lab ยังพบว่ามีพีซีสำเร็จรูปที่ใช้ชิปนี้พร้อม RAM 8GB และ SSD 500GB วางขายในราคาเพียง $360 แม้จะดูน่าสนใจ แต่ Intel ยังไม่เปิดตัวชิปนี้ในช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และอาจวางขายเฉพาะในตลาด OEM หรือพีซีสำเร็จรูปเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบเครื่อง DIY เข้าถึงได้ยาก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Core Ultra 3 205 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นในตระกูล Arrow Lake ➡️ ใช้ hybrid architecture: 4 P-core (สูงสุด 4.9 GHz) + 4 E-core (สูงสุด 4.4 GHz) ➡️ ทดสอบกับเมนบอร์ด H810 และ RAM DDR5 32GB ➡️ ใช้งานทั่วไปลื่นไหล ดู YouTube 8K ได้โดยใช้พลังงานต่ำ ✅ ผลการทดสอบประสิทธิภาพ ➡️ Cinebench R23 multi-core: 13,394 คะแนน (สูงกว่า Core i3-14100 ถึง 48%) ➡️ Single-core: 1,983 คะแนน (เหนือกว่า Core i5-14400) ➡️ iGPU ใช้ Xe-core 2 ตัว เล่นเกมเบา ๆ ได้ดี ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Core Ultra 5 225 ในด้านกราฟิก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้พลังงานสูงสุด 65W — แนะนำให้ใช้ฮีตซิงก์จากผู้ผลิตอื่นแทนของ Intel ➡️ ราคา CPU ประมาณ $140 และพีซีสำเร็จรูปอยู่ที่ $360 ➡️ รองรับ DDR5 ความเร็วสูงถึง 6400 MHz และมี L2 cache ขนาด 16MB ➡️ ผลิตบนกระบวนการ 3nm — เล็กกว่า Core i3-14100 ที่ใช้ 10nm https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-3-205-delivers-impressive-results-in-early-review-reportedly-surpasses-previous-gen-core-i3-14100-and-core-i5-14400
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก GNOME 3.18 ถึง GNOME 49: เมื่อ Dash to Panel กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผู้ใช้เลือกเองได้

    Dash to Panel ซึ่งเป็นหนึ่งใน GNOME Shell Extension ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้ออกเวอร์ชันใหม่ v69 ที่รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น ความฉลาด และการปรับแต่งที่ลึกขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมหน้าจอของตนเองแบบละเอียด

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระบบ intellihide ได้แก่ reveal delay, hide from window on monitor, และ disable cursor reveal ซึ่งช่วยให้การซ่อน/แสดงแผงควบคุมมีความแม่นยำและไม่รบกวนการใช้งาน

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านการจัดการหน้าต่าง เช่น การเพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอนแบบไม่ grouped, การแสดงหมายเลข workspace บน preview, และการ sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation

    Dash to Panel v69 ยังแก้ไขบั๊กจำนวนมาก เช่น shortcut Super+V และ Super+S ที่ไม่ทำงานเมื่อแผงถูกซ่อนไว้, ปัญหา intellihide ที่บล็อก input, การเปลี่ยน primary monitor เมื่อถอดสาย, และการ scroll preview ที่ไม่เสถียร

    ที่น่าสนใจคือการเพิ่มระบบติดตั้งแบบ system-wide และการปรับแต่งขอบแผง (panel border styling) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ deploy ได้ง่ายขึ้นในองค์กรหรือสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใช้หลายคน

    การรองรับ GNOME 49
    Dash to Panel v69 รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ
    ปรับปรุงให้ทำงานได้เสถียรกับ desktop environment รุ่นล่าสุด

    ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ Intellihide
    เพิ่ม reveal delay เพื่อควบคุมเวลาการแสดงแผง
    เพิ่ม hide from window on monitor เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงแผงเมื่อมีหน้าต่างอยู่
    เพิ่ม disable cursor reveal เพื่อป้องกันการแสดงแผงโดยไม่ตั้งใจ

    การจัดการหน้าต่างและ workspace
    เพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอน
    แสดงหมายเลข workspace บน window preview
    sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation เพื่อความสอดคล้อง

    การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ
    แก้ปัญหา shortcut Super+V และ Super+S ไม่ทำงาน
    แก้ปัญหา intellihide บล็อก input และ scroll preview ไม่เสถียร
    แก้ปัญหาการเปลี่ยน primary monitor และ animation บน unlock

    การปรับปรุงด้าน deployment และ UI
    รองรับการติดตั้งแบบ system-wide สำหรับองค์กร
    เพิ่ม panel border styling เพื่อปรับแต่งขอบแผง
    ยกเลิก GTK4 FileChooser และเพิ่มข้อความขอบคุณ Zorin OS

    https://9to5linux.com/dash-to-panel-gnome-shell-extension-gets-gnome-49-support-and-new-features
    🎙️ เรื่องเล่าจาก GNOME 3.18 ถึง GNOME 49: เมื่อ Dash to Panel กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผู้ใช้เลือกเองได้ Dash to Panel ซึ่งเป็นหนึ่งใน GNOME Shell Extension ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้ออกเวอร์ชันใหม่ v69 ที่รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น ความฉลาด และการปรับแต่งที่ลึกขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมหน้าจอของตนเองแบบละเอียด ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระบบ intellihide ได้แก่ reveal delay, hide from window on monitor, และ disable cursor reveal ซึ่งช่วยให้การซ่อน/แสดงแผงควบคุมมีความแม่นยำและไม่รบกวนการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านการจัดการหน้าต่าง เช่น การเพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอนแบบไม่ grouped, การแสดงหมายเลข workspace บน preview, และการ sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation Dash to Panel v69 ยังแก้ไขบั๊กจำนวนมาก เช่น shortcut Super+V และ Super+S ที่ไม่ทำงานเมื่อแผงถูกซ่อนไว้, ปัญหา intellihide ที่บล็อก input, การเปลี่ยน primary monitor เมื่อถอดสาย, และการ scroll preview ที่ไม่เสถียร ที่น่าสนใจคือการเพิ่มระบบติดตั้งแบบ system-wide และการปรับแต่งขอบแผง (panel border styling) ที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถ deploy ได้ง่ายขึ้นในองค์กรหรือสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใช้หลายคน ✅ การรองรับ GNOME 49 ➡️ Dash to Panel v69 รองรับ GNOME 49 อย่างเป็นทางการ ➡️ ปรับปรุงให้ทำงานได้เสถียรกับ desktop environment รุ่นล่าสุด ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในระบบ Intellihide ➡️ เพิ่ม reveal delay เพื่อควบคุมเวลาการแสดงแผง ➡️ เพิ่ม hide from window on monitor เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงแผงเมื่อมีหน้าต่างอยู่ ➡️ เพิ่ม disable cursor reveal เพื่อป้องกันการแสดงแผงโดยไม่ตั้งใจ ✅ การจัดการหน้าต่างและ workspace ➡️ เพิ่ม context action สำหรับการปิดหน้าต่างทั้งหมดจากไอคอน ➡️ แสดงหมายเลข workspace บน window preview ➡️ sync เมนู alt-tab กับ workspace isolation เพื่อความสอดคล้อง ✅ การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงระบบ ➡️ แก้ปัญหา shortcut Super+V และ Super+S ไม่ทำงาน ➡️ แก้ปัญหา intellihide บล็อก input และ scroll preview ไม่เสถียร ➡️ แก้ปัญหาการเปลี่ยน primary monitor และ animation บน unlock ✅ การปรับปรุงด้าน deployment และ UI ➡️ รองรับการติดตั้งแบบ system-wide สำหรับองค์กร ➡️ เพิ่ม panel border styling เพื่อปรับแต่งขอบแผง ➡️ ยกเลิก GTK4 FileChooser และเพิ่มข้อความขอบคุณ Zorin OS https://9to5linux.com/dash-to-panel-gnome-shell-extension-gets-gnome-49-support-and-new-features
    9TO5LINUX.COM
    Dash to Panel GNOME Shell Extension Gets GNOME 49 Support and New Features - 9to5Linux
    GNOME Shell extension Dash to Panel gets a major update with new features, bug fixes, and support for the GNOME 49 desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตแบบ ‘เปิดสวิตช์’ พร้อม ISO สำหรับนักทดสอบ แต่ยังไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น”

    Microsoft ปล่อยไฟล์ ISO สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 แล้วในวันที่ 10 กันยายน 2025 หลังจากมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านหน้า Windows Insider สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งแบบ clean install หรืออัปเกรดด้วยตนเองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Windows 11 25H2 ไม่ใช่การอัปเดตแบบเปลี่ยนระบบทั้งหมด แต่เป็น “enablement package” หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ถูกฝังไว้แล้วในเวอร์ชัน 24H2 โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้การอัปเดตเร็วขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง และไม่กระทบกับระบบหลัก

    แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การลบเครื่องมือเก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMIC ออกจากระบบ รวมถึงการเปิดให้ผู้ดูแลระบบในองค์กรสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น เพื่อให้การจัดการเครื่องในองค์กรง่ายขึ้น

    สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การอัปเดตนี้อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 และยังไม่มีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ยกเว้นในเครื่องที่รองรับ Copilot+ ซึ่งต้องใช้ NPU ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 40 TOPS

    รายละเอียดของ Windows 11 25H2
    ปล่อย ISO สำหรับนักทดสอบเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025
    ใช้รูปแบบ “enablement package” — เปิดฟีเจอร์ที่ฝังไว้ใน 24H2
    อัปเดตเร็วขึ้น ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด และใช้พื้นที่น้อย
    Build 26200.5074 อยู่ใน Release Preview Channel

    การเปลี่ยนแปลงในระบบ
    ลบเครื่องมือเก่า เช่น PowerShell 2.0 และ WMIC
    ผู้ดูแลระบบสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2
    รองรับการอัปเดตแบบ in-place หรือ clean install ผ่าน ISO

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์ใหม่ถูกฝังไว้ใน 24H2 แล้ว — 25H2 แค่เปิดใช้งาน
    การอัปเดตแบบนี้เคยใช้ใน Windows 10 ระหว่าง 1903 กับ 1909
    เครื่องที่ใช้ Copilot+ จะได้ฟีเจอร์ AI เพิ่มเติม แต่ต้องมี NPU 40+ TOPS
    การอัปเดตนี้จะรีเซ็ตรอบการสนับสนุนใหม่ — 24 เดือนสำหรับทั่วไป, 36 เดือนสำหรับองค์กร

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-25h2-isos-released
    🖥️ “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตแบบ ‘เปิดสวิตช์’ พร้อม ISO สำหรับนักทดสอบ แต่ยังไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น” Microsoft ปล่อยไฟล์ ISO สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 แล้วในวันที่ 10 กันยายน 2025 หลังจากมีความล่าช้าเล็กน้อย โดยเปิดให้ดาวน์โหลดผ่านหน้า Windows Insider สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งแบบ clean install หรืออัปเกรดด้วยตนเองก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ Windows 11 25H2 ไม่ใช่การอัปเดตแบบเปลี่ยนระบบทั้งหมด แต่เป็น “enablement package” หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่ถูกฝังไว้แล้วในเวอร์ชัน 24H2 โดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด ทำให้การอัปเดตเร็วขึ้น ใช้พื้นที่น้อยลง และไม่กระทบกับระบบหลัก แม้จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น การลบเครื่องมือเก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMIC ออกจากระบบ รวมถึงการเปิดให้ผู้ดูแลระบบในองค์กรสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น เพื่อให้การจัดการเครื่องในองค์กรง่ายขึ้น สำหรับผู้ใช้ทั่วไป การอัปเดตนี้อาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะไม่มีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 และยังไม่มีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ยกเว้นในเครื่องที่รองรับ Copilot+ ซึ่งต้องใช้ NPU ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 40 TOPS ✅ รายละเอียดของ Windows 11 25H2 ➡️ ปล่อย ISO สำหรับนักทดสอบเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2025 ➡️ ใช้รูปแบบ “enablement package” — เปิดฟีเจอร์ที่ฝังไว้ใน 24H2 ➡️ อัปเดตเร็วขึ้น ไม่ต้องติดตั้งใหม่ทั้งหมด และใช้พื้นที่น้อย ➡️ Build 26200.5074 อยู่ใน Release Preview Channel ✅ การเปลี่ยนแปลงในระบบ ➡️ ลบเครื่องมือเก่า เช่น PowerShell 2.0 และ WMIC ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถถอนการติดตั้งแอปจาก Microsoft Store ได้มากขึ้น ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านประสิทธิภาพจากเวอร์ชัน 24H2 ➡️ รองรับการอัปเดตแบบ in-place หรือ clean install ผ่าน ISO ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ถูกฝังไว้ใน 24H2 แล้ว — 25H2 แค่เปิดใช้งาน ➡️ การอัปเดตแบบนี้เคยใช้ใน Windows 10 ระหว่าง 1903 กับ 1909 ➡️ เครื่องที่ใช้ Copilot+ จะได้ฟีเจอร์ AI เพิ่มเติม แต่ต้องมี NPU 40+ TOPS ➡️ การอัปเดตนี้จะรีเซ็ตรอบการสนับสนุนใหม่ — 24 เดือนสำหรับทั่วไป, 36 เดือนสำหรับองค์กร https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-25h2-isos-released
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Windows 11 25H2 ISOs released after delays — upgrade switches on some features, now available for insiders
    Microsoft's fall update is now just a download away, but support won’t be available until general availability later this year.
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • “Intel Arc Pro B50 พลิกเกมเวิร์กสเตชัน — แซงหน้า Nvidia RTX A1000 ทั้งด้าน AI และงานสร้างสรรค์ ด้วยราคาที่จับต้องได้”

    Intel สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเวิร์กสเตชันด้วยการเปิดตัว Arc Pro B50 การ์ดจอระดับมืออาชีพรุ่นใหม่ที่แม้จะมีขนาดเล็กและราคาย่อมเยา แต่กลับสามารถเอาชนะ Nvidia RTX A1000 ได้ในหลายด้าน ทั้งงาน AI, การเรนเดอร์ Blender และแอป Adobe ที่ใช้ GPU หนัก ๆ

    Arc Pro B50 ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับซีรีส์ Battlemage สำหรับผู้บริโภค โดยมี 16 Xe2 cores และ 128 XMX matrix engines พร้อมหน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ที่มีเพียง 8GB และให้แบนด์วิดท์สูงถึง 224GB/s

    การ์ดนี้ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กเพียง 168 มม. ใช้พลังงานแค่ 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม และมาพร้อมพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 ถึง 4 ช่อง ซึ่งเหนือกว่าพอร์ต 1.4a ของ A1000 อย่างชัดเจน

    ในการทดสอบจริง Arc Pro B50 ทำคะแนนเหนือกว่า A1000 ในหลายแอป เช่น Photoshop (ดีกว่า 7%), Premiere Pro (ดีกว่า 20%) และ Blender (ดีกว่า 20%) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ Nvidia เคยครองตลาดมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังทำคะแนนสูงกว่าใน MLPerf และ Procyon AI benchmarks โดยเฉพาะด้าน computer vision และ text generation

    แม้จะมีจุดอ่อนในบางแอป เช่น Revit และ Inventor ที่ A1000 ยังทำงานได้เร็วกว่า แต่ในภาพรวม Arc Pro B50 ถือเป็นการ์ดที่ให้ความคุ้มค่าสูงมากในราคาเพียง $350 และได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ

    จุดเด่นของ Intel Arc Pro B50
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 พร้อม 16 Xe2 cores และ 128 XMX engines
    หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ถึง 2 เท่า
    แบนด์วิดท์ 224GB/s และ FP8 compute สูงถึง 170 TOPS
    ขนาดเล็ก 168 มม. ใช้พลังงานเพียง 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม

    ประสิทธิภาพในการใช้งานจริง
    Photoshop ดีกว่า A1000 ประมาณ 7% โดยเฉพาะงาน GPU-heavy
    Premiere Pro ดีกว่าเกือบ 20% ในงานตัดต่อวิดีโอ
    Blender เรนเดอร์เร็วกว่า A1000 ถึง 20% — พลิกเกมจากเดิมที่ Nvidia ครอง
    MLPerf และ Procyon AI แสดงผลลัพธ์ดีกว่าในงาน computer vision และ text generation

    ความเหมาะสมกับงานมืออาชีพ
    ได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ เช่น Adobe, Autodesk
    มีพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 จำนวน 4 ช่อง — รองรับจอความละเอียดสูง
    เหมาะกับงาน CAD, การตัดต่อ, โมเดล AI ขนาดเล็ก และงานสร้างสรรค์
    ราคาขายเพียง $350 — คุ้มค่ากว่าการ์ดระดับเดียวกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xe2 cores รองรับ SIMD16 — ดีกว่ารุ่นก่อนที่รองรับแค่ SIMD8
    มี dual media engine รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอ 8K 10-bit
    มีการพัฒนา containerized Linux สำหรับงาน LLM โดยเฉพาะ
    Arc Pro B50 ใช้ GPU BMG-G21 ที่ Intel ปรับแต่งให้เหมาะกับต้นทุน

    https://www.techradar.com/pro/an-impressive-little-gpu-reviewers-surprised-by-intel-arc-pro-b50-gpus-superior-display-against-nvidias-rtx-a1000
    🎨 “Intel Arc Pro B50 พลิกเกมเวิร์กสเตชัน — แซงหน้า Nvidia RTX A1000 ทั้งด้าน AI และงานสร้างสรรค์ ด้วยราคาที่จับต้องได้” Intel สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเวิร์กสเตชันด้วยการเปิดตัว Arc Pro B50 การ์ดจอระดับมืออาชีพรุ่นใหม่ที่แม้จะมีขนาดเล็กและราคาย่อมเยา แต่กลับสามารถเอาชนะ Nvidia RTX A1000 ได้ในหลายด้าน ทั้งงาน AI, การเรนเดอร์ Blender และแอป Adobe ที่ใช้ GPU หนัก ๆ Arc Pro B50 ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับซีรีส์ Battlemage สำหรับผู้บริโภค โดยมี 16 Xe2 cores และ 128 XMX matrix engines พร้อมหน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ที่มีเพียง 8GB และให้แบนด์วิดท์สูงถึง 224GB/s การ์ดนี้ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กเพียง 168 มม. ใช้พลังงานแค่ 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม และมาพร้อมพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 ถึง 4 ช่อง ซึ่งเหนือกว่าพอร์ต 1.4a ของ A1000 อย่างชัดเจน ในการทดสอบจริง Arc Pro B50 ทำคะแนนเหนือกว่า A1000 ในหลายแอป เช่น Photoshop (ดีกว่า 7%), Premiere Pro (ดีกว่า 20%) และ Blender (ดีกว่า 20%) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ Nvidia เคยครองตลาดมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังทำคะแนนสูงกว่าใน MLPerf และ Procyon AI benchmarks โดยเฉพาะด้าน computer vision และ text generation แม้จะมีจุดอ่อนในบางแอป เช่น Revit และ Inventor ที่ A1000 ยังทำงานได้เร็วกว่า แต่ในภาพรวม Arc Pro B50 ถือเป็นการ์ดที่ให้ความคุ้มค่าสูงมากในราคาเพียง $350 และได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ ✅ จุดเด่นของ Intel Arc Pro B50 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe2 พร้อม 16 Xe2 cores และ 128 XMX engines ➡️ หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 16GB — มากกว่า A1000 ถึง 2 เท่า ➡️ แบนด์วิดท์ 224GB/s และ FP8 compute สูงถึง 170 TOPS ➡️ ขนาดเล็ก 168 มม. ใช้พลังงานเพียง 70W ไม่ต้องต่อไฟเพิ่ม ✅ ประสิทธิภาพในการใช้งานจริง ➡️ Photoshop ดีกว่า A1000 ประมาณ 7% โดยเฉพาะงาน GPU-heavy ➡️ Premiere Pro ดีกว่าเกือบ 20% ในงานตัดต่อวิดีโอ ➡️ Blender เรนเดอร์เร็วกว่า A1000 ถึง 20% — พลิกเกมจากเดิมที่ Nvidia ครอง ➡️ MLPerf และ Procyon AI แสดงผลลัพธ์ดีกว่าในงาน computer vision และ text generation ✅ ความเหมาะสมกับงานมืออาชีพ ➡️ ได้รับการรับรองจากซอฟต์แวร์มืออาชีพกว่า 50 รายการ เช่น Adobe, Autodesk ➡️ มีพอร์ต Mini DisplayPort 2.1 จำนวน 4 ช่อง — รองรับจอความละเอียดสูง ➡️ เหมาะกับงาน CAD, การตัดต่อ, โมเดล AI ขนาดเล็ก และงานสร้างสรรค์ ➡️ ราคาขายเพียง $350 — คุ้มค่ากว่าการ์ดระดับเดียวกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xe2 cores รองรับ SIMD16 — ดีกว่ารุ่นก่อนที่รองรับแค่ SIMD8 ➡️ มี dual media engine รองรับการเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอ 8K 10-bit ➡️ มีการพัฒนา containerized Linux สำหรับงาน LLM โดยเฉพาะ ➡️ Arc Pro B50 ใช้ GPU BMG-G21 ที่ Intel ปรับแต่งให้เหมาะกับต้นทุน https://www.techradar.com/pro/an-impressive-little-gpu-reviewers-surprised-by-intel-arc-pro-b50-gpus-superior-display-against-nvidias-rtx-a1000
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • “Honor Magic V5: มือถือพับได้ที่บางที่สุดในโลก พร้อมแบต 5,820mAh และกล้อง 100x — แต่ยังเข้าอเมริกาไม่ได้!”

    ถ้าคุณกำลังมองหามือถือพับได้ที่ไม่ใช่แค่ “พับได้” แต่ยังบางเฉียบ แบตอึด กล้องแรง และใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้แบบลื่นไหล — Honor Magic V5 คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 แม้จะยังไม่วางขายในสหรัฐฯ ก็ตาม

    Magic V5 เปิดตัวในยุโรปและเอเชีย พร้อมสเปกระดับเรือธง: ชิป Snapdragon 8 Elite, RAM 16GB, ความจุ 512GB และแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 5,820mAh ที่ใช้งานได้ถึง 2 วันเต็ม รองรับชาร์จเร็ว 66W และชาร์จไร้สาย 50W พร้อม reverse charging ด้วย

    หน้าจอด้านในขนาด 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ส่วนหน้าจอด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว ก็ยังรองรับ HDR และ Dolby Vision ทั้งคู่มีรีเฟรชเรต 120Hz และรองรับปากกา Stylus พร้อมเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอยขีดข่วน

    กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว: กล้องหลัก 50MP, กล้อง Ultra-wide 50MP และกล้อง Telephoto 64MP ที่ซูมได้ 3.5x แบบออปติคอล และสูงสุด 100x แบบดิจิทัล พร้อมระบบกันสั่น OIS และ AI Zoom ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้ในระยะไกล ส่วนกล้องหน้า 20MP มีทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K

    จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ multitasking แบบใหม่ที่เรียกว่า “Quick Layout” ซึ่งให้ผู้ใช้เปิด 2–3 แอปพร้อมกันได้ทันที โดยใช้การจัดวางแบบ 90/10 หรือแบบแยกแนวตั้งแนวนอน เหมาะกับการทำงานหรือดูคอนเทนต์หลายอย่างพร้อมกัน

    ตัวเครื่องบางเพียง 8.8 มม. เมื่อพับ และ 4.1 มม. เมื่อกางออก น้ำหนัก 217 กรัม พร้อมบอดี้ที่ทนทานระดับ IP58/IP59 กันน้ำและฝุ่นได้ดีเยี่ยม มีให้เลือก 4 สี: Ivory White, Black, Dawn Gold และ Reddish Brown

    สเปกหลักของ Honor Magic V5
    ชิป Snapdragon 8 Elite + GPU Adreno 830
    RAM 16GB + ROM 512GB
    แบตเตอรี่ 5,820mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W และไร้สาย 50W
    รองรับ reverse charging และระบบจัดการพลังงานแบบใหม่

    หน้าจอและดีไซน์
    หน้าจอด้านใน 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความละเอียด 2172×2352
    หน้าจอด้านนอก 6.43 นิ้ว OLED ความละเอียด 2376×1060
    ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ทั้งสองจอ
    รองรับ Stylus และเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอย

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัก 50MP f/1.6 + Ultra-wide 50MP f/2.0 + Telephoto 64MP f/2.5
    ซูมออปติคอล 3.5x และดิจิทัลสูงสุด 100x
    กล้องหน้า 20MP ทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K
    ระบบ AI Zoom, Motion Sensing Capture และ Enhanced Portraits

    ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์
    รัน Android 15 + MagicOS 9.0.1
    รองรับ multitasking แบบ Quick Layout เปิด 2–3 แอปพร้อมกัน
    มีฟีเจอร์ AI เช่น real-time translation, transcription, image-to-video
    รองรับ Google Gemini AI และระบบ Multi-Flex

    ความทนทานและการออกแบบ
    ตัวเครื่องบาง 8.8 มม. (พับ) / 4.1 มม. (กาง) น้ำหนัก 217 กรัม
    กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58/IP59
    บานพับ Super Steel Hinge รองรับการพับมากกว่า 500,000 ครั้ง
    มีให้เลือก 4 สี พร้อมดีไซน์แบบหนังเทียมและโลหะพรีเมียม

    ราคาและการวางจำหน่าย
    วางขายในยุโรปและเอเชีย ราคาเริ่มต้น £1,699.99 / €1,999.90
    ยังไม่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ
    มีจำหน่ายผ่าน Honor Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก

    https://www.slashgear.com/1963624/honor-magic-v5-review-foldable/
    📱 “Honor Magic V5: มือถือพับได้ที่บางที่สุดในโลก พร้อมแบต 5,820mAh และกล้อง 100x — แต่ยังเข้าอเมริกาไม่ได้!” ถ้าคุณกำลังมองหามือถือพับได้ที่ไม่ใช่แค่ “พับได้” แต่ยังบางเฉียบ แบตอึด กล้องแรง และใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้แบบลื่นไหล — Honor Magic V5 คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2025 แม้จะยังไม่วางขายในสหรัฐฯ ก็ตาม Magic V5 เปิดตัวในยุโรปและเอเชีย พร้อมสเปกระดับเรือธง: ชิป Snapdragon 8 Elite, RAM 16GB, ความจุ 512GB และแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 5,820mAh ที่ใช้งานได้ถึง 2 วันเต็ม รองรับชาร์จเร็ว 66W และชาร์จไร้สาย 50W พร้อม reverse charging ด้วย หน้าจอด้านในขนาด 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ส่วนหน้าจอด้านนอกขนาด 6.43 นิ้ว ก็ยังรองรับ HDR และ Dolby Vision ทั้งคู่มีรีเฟรชเรต 120Hz และรองรับปากกา Stylus พร้อมเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอยขีดข่วน กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว: กล้องหลัก 50MP, กล้อง Ultra-wide 50MP และกล้อง Telephoto 64MP ที่ซูมได้ 3.5x แบบออปติคอล และสูงสุด 100x แบบดิจิทัล พร้อมระบบกันสั่น OIS และ AI Zoom ที่ช่วยให้ภาพคมชัดแม้ในระยะไกล ส่วนกล้องหน้า 20MP มีทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ multitasking แบบใหม่ที่เรียกว่า “Quick Layout” ซึ่งให้ผู้ใช้เปิด 2–3 แอปพร้อมกันได้ทันที โดยใช้การจัดวางแบบ 90/10 หรือแบบแยกแนวตั้งแนวนอน เหมาะกับการทำงานหรือดูคอนเทนต์หลายอย่างพร้อมกัน ตัวเครื่องบางเพียง 8.8 มม. เมื่อพับ และ 4.1 มม. เมื่อกางออก น้ำหนัก 217 กรัม พร้อมบอดี้ที่ทนทานระดับ IP58/IP59 กันน้ำและฝุ่นได้ดีเยี่ยม มีให้เลือก 4 สี: Ivory White, Black, Dawn Gold และ Reddish Brown ✅ สเปกหลักของ Honor Magic V5 ➡️ ชิป Snapdragon 8 Elite + GPU Adreno 830 ➡️ RAM 16GB + ROM 512GB ➡️ แบตเตอรี่ 5,820mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W และไร้สาย 50W ➡️ รองรับ reverse charging และระบบจัดการพลังงานแบบใหม่ ✅ หน้าจอและดีไซน์ ➡️ หน้าจอด้านใน 7.95 นิ้ว OLED LTPO ความละเอียด 2172×2352 ➡️ หน้าจอด้านนอก 6.43 นิ้ว OLED ความละเอียด 2376×1060 ➡️ ความสว่างสูงสุด 5,000 nits ทั้งสองจอ ➡️ รองรับ Stylus และเทคโนโลยี NanoCrystal Shield กันรอย ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัก 50MP f/1.6 + Ultra-wide 50MP f/2.0 + Telephoto 64MP f/2.5 ➡️ ซูมออปติคอล 3.5x และดิจิทัลสูงสุด 100x ➡️ กล้องหน้า 20MP ทั้งด้านในและด้านนอก รองรับวิดีโอ 4K ➡️ ระบบ AI Zoom, Motion Sensing Capture และ Enhanced Portraits ✅ ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ ➡️ รัน Android 15 + MagicOS 9.0.1 ➡️ รองรับ multitasking แบบ Quick Layout เปิด 2–3 แอปพร้อมกัน ➡️ มีฟีเจอร์ AI เช่น real-time translation, transcription, image-to-video ➡️ รองรับ Google Gemini AI และระบบ Multi-Flex ✅ ความทนทานและการออกแบบ ➡️ ตัวเครื่องบาง 8.8 มม. (พับ) / 4.1 มม. (กาง) น้ำหนัก 217 กรัม ➡️ กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP58/IP59 ➡️ บานพับ Super Steel Hinge รองรับการพับมากกว่า 500,000 ครั้ง ➡️ มีให้เลือก 4 สี พร้อมดีไซน์แบบหนังเทียมและโลหะพรีเมียม ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ วางขายในยุโรปและเอเชีย ราคาเริ่มต้น £1,699.99 / €1,999.90 ➡️ ยังไม่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ ➡️ มีจำหน่ายผ่าน Honor Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก https://www.slashgear.com/1963624/honor-magic-v5-review-foldable/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Honor Magic V5: Better Value And A Monster Battery, But Can It Beat The Competition? - SlashGear
    Honor Magic V5 delivers the best big foldable smartphone yet, complete with performance to beat most -- but is it worth the cash?
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่

    ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง

    AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ

    การเติบโตของ AI Data Center
    Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย
    Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026
    รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์
    ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี
    คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4%

    ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
    โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering
    side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU
    ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025
    TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง
    GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU
    ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain
    การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0
    การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
    ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน
    การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง

    แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา
    ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด
    ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack
    ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor
    ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์
    คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ

    https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    🏭 “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่ ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ ✅ การเติบโตของ AI Data Center ➡️ Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย ➡️ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ➡️ ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4% ✅ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ➡️ โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering ➡️ side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU ➡️ ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง ➡️ GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU ➡️ ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing ✅ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain ➡️ การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0 ➡️ การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ➡️ ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน ➡️ การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง ✅ แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา ➡️ ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด ➡️ ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack ➡️ ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor ➡️ ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์ ➡️ คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The importance of reviewing AI data centers’ policies
    As the race to invest in AI tools, technologies and capabilities continues, it is critical for cybersecurity leaders to not only look at whether the AI-embedded software is secure but also to scrutinize whether the AI data centers are secure as well.
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Sanity: เมื่อ AI กลายเป็นทีมงานที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า แต่ยังช่วยให้เราส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า

    Vincent Quigley วิศวกรอาวุโสจาก Sanity ได้แชร์ประสบการณ์ 6 สัปดาห์ในการใช้ Claude Code ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะใน Zed editor ที่รองรับ Claude แบบ native แล้ว

    เขาเปรียบ Claude Code ว่าเป็น “นักพัฒนาฝึกหัดที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า” และนั่นคือเหตุผลที่ workflow ของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง: ไม่ใช่การรอให้ AI สร้างโค้ดที่สมบูรณ์ในครั้งเดียว แต่คือการทำงานร่วมกันแบบ iterative ที่เริ่มจาก “95% ขยะ” แล้วค่อย ๆ refine จนกลายเป็นโค้ดที่ใช้ได้จริง

    Vincent ใช้ Claude.md เป็นไฟล์บริบทที่รวม architecture, pattern, gotchas และลิงก์เอกสาร เพื่อให้ Claude เริ่มต้นจาก attempt ที่สองแทนที่จะต้องอธิบายใหม่ทุกครั้ง และยังเชื่อม Claude เข้ากับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only เพื่อให้ AI เข้าใจระบบได้ลึกขึ้น

    เขายังใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา และใช้ multibuffer ใน Zed เพื่อ review โค้ดแบบ granular—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk พร้อม task list ที่แสดงใน sidebar แบบ real-time

    แม้ Claude จะช่วย review โค้ดได้ดี แต่ Vincent ย้ำว่า “วิศวกรต้องรับผิดชอบโค้ดที่ตัวเองส่ง” ไม่ว่าจะเขียนเองหรือ AI เขียนให้ และการไม่มี emotional attachment กับโค้ดที่ไม่ได้พิมพ์เอง กลับทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น

    วิธีทำงานร่วมกับ Claude Code
    ใช้ Claude.md เพื่อสร้างบริบทให้ AI เข้าใจระบบ
    เชื่อม Claude กับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only
    ใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา

    การทำงานใน Zed ผ่าน ACP
    Claude Code ทำงานแบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP)
    รองรับ multibuffer review, syntax highlight, และ task list ใน sidebar
    สามารถใช้ slash command เพื่อสร้าง workflow แบบกำหนดเอง

    กระบวนการ iterative ที่ใช้ Claude
    Attempt แรก: 95% ขยะ แต่ช่วยให้เข้าใจระบบ
    Attempt สอง: เริ่มมีโครงสร้างที่ใช้ได้
    Attempt สาม: ได้โค้ดที่สามารถนำไป iterate ต่อได้จริง

    การ review โค้ดที่ AI สร้าง
    Claude ช่วยตรวจ test coverage, bug และเสนอ improvement
    วิศวกรต้อง review และรับผิดชอบโค้ดที่ส่ง
    ไม่มี emotional attachment ทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบมากขึ้น

    ผลลัพธ์และต้นทุน
    ส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า
    ลดเวลาทำ boilerplate และงานซ้ำ
    ค่าใช้จ่ายประมาณ $1000–1500 ต่อเดือนต่อวิศวกรที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ

    https://www.sanity.io/blog/first-attempt-will-be-95-garbage
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Sanity: เมื่อ AI กลายเป็นทีมงานที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า แต่ยังช่วยให้เราส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า Vincent Quigley วิศวกรอาวุโสจาก Sanity ได้แชร์ประสบการณ์ 6 สัปดาห์ในการใช้ Claude Code ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยเฉพาะใน Zed editor ที่รองรับ Claude แบบ native แล้ว เขาเปรียบ Claude Code ว่าเป็น “นักพัฒนาฝึกหัดที่ลืมทุกอย่างทุกเช้า” และนั่นคือเหตุผลที่ workflow ของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง: ไม่ใช่การรอให้ AI สร้างโค้ดที่สมบูรณ์ในครั้งเดียว แต่คือการทำงานร่วมกันแบบ iterative ที่เริ่มจาก “95% ขยะ” แล้วค่อย ๆ refine จนกลายเป็นโค้ดที่ใช้ได้จริง Vincent ใช้ Claude.md เป็นไฟล์บริบทที่รวม architecture, pattern, gotchas และลิงก์เอกสาร เพื่อให้ Claude เริ่มต้นจาก attempt ที่สองแทนที่จะต้องอธิบายใหม่ทุกครั้ง และยังเชื่อม Claude เข้ากับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only เพื่อให้ AI เข้าใจระบบได้ลึกขึ้น เขายังใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา และใช้ multibuffer ใน Zed เพื่อ review โค้ดแบบ granular—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk พร้อม task list ที่แสดงใน sidebar แบบ real-time แม้ Claude จะช่วย review โค้ดได้ดี แต่ Vincent ย้ำว่า “วิศวกรต้องรับผิดชอบโค้ดที่ตัวเองส่ง” ไม่ว่าจะเขียนเองหรือ AI เขียนให้ และการไม่มี emotional attachment กับโค้ดที่ไม่ได้พิมพ์เอง กลับทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้น ✅ วิธีทำงานร่วมกับ Claude Code ➡️ ใช้ Claude.md เพื่อสร้างบริบทให้ AI เข้าใจระบบ ➡️ เชื่อม Claude กับ Linear, Notion, GitHub และฐานข้อมูลแบบ read-only ➡️ ใช้ Claude หลาย instance พร้อมกัน โดยแบ่งงานเป็นคนละปัญหา ✅ การทำงานใน Zed ผ่าน ACP ➡️ Claude Code ทำงานแบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ➡️ รองรับ multibuffer review, syntax highlight, และ task list ใน sidebar ➡️ สามารถใช้ slash command เพื่อสร้าง workflow แบบกำหนดเอง ✅ กระบวนการ iterative ที่ใช้ Claude ➡️ Attempt แรก: 95% ขยะ แต่ช่วยให้เข้าใจระบบ ➡️ Attempt สอง: เริ่มมีโครงสร้างที่ใช้ได้ ➡️ Attempt สาม: ได้โค้ดที่สามารถนำไป iterate ต่อได้จริง ✅ การ review โค้ดที่ AI สร้าง ➡️ Claude ช่วยตรวจ test coverage, bug และเสนอ improvement ➡️ วิศวกรต้อง review และรับผิดชอบโค้ดที่ส่ง ➡️ ไม่มี emotional attachment ทำให้ review ได้ตรงจุดและกล้าลบมากขึ้น ✅ ผลลัพธ์และต้นทุน ➡️ ส่งงานได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า ➡️ ลดเวลาทำ boilerplate และงานซ้ำ ➡️ ค่าใช้จ่ายประมาณ $1000–1500 ต่อเดือนต่อวิศวกรที่ใช้ AI เต็มรูปแบบ https://www.sanity.io/blog/first-attempt-will-be-95-garbage
    WWW.SANITY.IO
    First attempt will be 95% garbage: A staff engineer's 6-week journey with Claude Code | Sanity
    This started as an internal Sanity workshop where I demoed how I actually use AI. Spoiler: it's running multiple agents like a small team with daily amnesia.
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศาลยุโรป: เมื่อการส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรต้องผ่านด่านความเป็นส่วนตัว

    ย้อนกลับไปในปี 2023 สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ลงนามในข้อตกลงใหม่ชื่อว่า “Trans-Atlantic Data Privacy Framework” เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เช่นธนาคาร, ผู้ผลิตรถยนต์, และผู้ให้บริการคลาวด์สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของชาวยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้าอย่าง Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกศาลยุโรปตัดสินว่าไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัว

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินให้ข้อตกลงใหม่นี้ “มีผลบังคับใช้ต่อไป” โดยปฏิเสธคำร้องของนักการเมืองฝรั่งเศส Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ยังไม่เป็นอิสระ และการเก็บข้อมูลยังเป็นแบบ “ครอบคลุมเกินไป”

    ศาลระบุว่า หน่วยงาน Data Protection Review Court (DPRC) ของสหรัฐฯ มีโครงสร้างที่มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระ เช่น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล และหน่วยข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้โดยตรง

    แม้จะเป็นชัยชนะของข้อตกลงนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยังไม่จบ” เพราะนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว เช่น Max Schrems และองค์กร NYOB อาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป (CJEU) ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงนี้ในอนาคตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Privacy Shield

    การตัดสินของศาลทั่วไป EU
    รับรองความถูกต้องของข้อตกลง Trans-Atlantic Data Privacy Framework
    ปฏิเสธคำร้องของ Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระ
    ระบุว่า DPRC มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระและไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยข่าวกรอง

    ความสำคัญของข้อตกลงนี้ต่อธุรกิจ
    ช่วยให้บริษัทสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลจาก EU ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย
    ส่งผลต่อธุรกิจที่ใช้คลาวด์, ระบบเงินเดือน, และการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามประเทศ
    ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานแบบข้ามพรมแดน

    โครงสร้างของ DPRC
    ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งพร้อมเงื่อนไขที่ป้องกันการถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล
    หน่วยงานข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของศาลได้
    มีระบบร้องเรียนสำหรับพลเมืองยุโรปที่ข้อมูลถูกใช้งานโดยบริษัทสหรัฐฯ

    ความเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว
    Max Schrems และองค์กร NYOB เคยยื่นฟ้องจน Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกยกเลิก
    มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล CJEU เพื่อทบทวนข้อตกลงใหม่
    องค์กรต่าง ๆ ควรเตรียมแผนสำรอง เช่น Standard Contractual Clauses (SCCs)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/eu-court-backs-latest-data-transfer-deal-agreed-by-us-and-eu
    🎙️ เรื่องเล่าจากศาลยุโรป: เมื่อการส่งข้อมูลข้ามมหาสมุทรต้องผ่านด่านความเป็นส่วนตัว ย้อนกลับไปในปี 2023 สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ลงนามในข้อตกลงใหม่ชื่อว่า “Trans-Atlantic Data Privacy Framework” เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เช่นธนาคาร, ผู้ผลิตรถยนต์, และผู้ให้บริการคลาวด์สามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลของชาวยุโรปไปยังเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้าอย่าง Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกศาลยุโรปตัดสินว่าไม่ผ่านมาตรฐานความเป็นส่วนตัว ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ศาลทั่วไปของสหภาพยุโรป (EU General Court) ได้ตัดสินให้ข้อตกลงใหม่นี้ “มีผลบังคับใช้ต่อไป” โดยปฏิเสธคำร้องของนักการเมืองฝรั่งเศส Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ยังไม่เป็นอิสระ และการเก็บข้อมูลยังเป็นแบบ “ครอบคลุมเกินไป” ศาลระบุว่า หน่วยงาน Data Protection Review Court (DPRC) ของสหรัฐฯ มีโครงสร้างที่มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระ เช่น ผู้พิพากษาไม่สามารถถูกถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล และหน่วยข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานได้โดยตรง แม้จะเป็นชัยชนะของข้อตกลงนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ยังไม่จบ” เพราะนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว เช่น Max Schrems และองค์กร NYOB อาจยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดของสหภาพยุโรป (CJEU) ได้อีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การยกเลิกข้อตกลงนี้ในอนาคตเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Privacy Shield ✅ การตัดสินของศาลทั่วไป EU ➡️ รับรองความถูกต้องของข้อตกลง Trans-Atlantic Data Privacy Framework ➡️ ปฏิเสธคำร้องของ Philippe Latombe ที่อ้างว่าระบบร้องเรียนของสหรัฐฯ ไม่เป็นอิสระ ➡️ ระบุว่า DPRC มีหลักประกันด้านความเป็นอิสระและไม่ถูกแทรกแซงจากหน่วยข่าวกรอง ✅ ความสำคัญของข้อตกลงนี้ต่อธุรกิจ ➡️ ช่วยให้บริษัทสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลจาก EU ไปยังสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย ➡️ ส่งผลต่อธุรกิจที่ใช้คลาวด์, ระบบเงินเดือน, และการวิเคราะห์ข้อมูลข้ามประเทศ ➡️ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายสำหรับบริษัทที่ดำเนินงานแบบข้ามพรมแดน ✅ โครงสร้างของ DPRC ➡️ ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งพร้อมเงื่อนไขที่ป้องกันการถอดถอนโดยไม่มีเหตุผล ➡️ หน่วยงานข่าวกรองไม่สามารถแทรกแซงการทำงานของศาลได้ ➡️ มีระบบร้องเรียนสำหรับพลเมืองยุโรปที่ข้อมูลถูกใช้งานโดยบริษัทสหรัฐฯ ✅ ความเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ Max Schrems และองค์กร NYOB เคยยื่นฟ้องจน Safe Harbour และ Privacy Shield ถูกยกเลิก ➡️ มีแนวโน้มว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาล CJEU เพื่อทบทวนข้อตกลงใหม่ ➡️ องค์กรต่าง ๆ ควรเตรียมแผนสำรอง เช่น Standard Contractual Clauses (SCCs) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/03/eu-court-backs-latest-data-transfer-deal-agreed-by-us-and-eu
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU court backs latest data transfer deal agreed by US and EU
    BRUSSELS (Reuters) -A data transfer deal agreed by the European Union and the United States two years ago to replace two previous pacts rejected by a higher tribunal was given the green light by Europe's second-highest court on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล

    ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด

    ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ

    นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently.

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว

    https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently. เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    HACKREAD.COM
    Hidden Commands in Images Exploit AI Chatbots and Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • ⭕️ดีมากค่ะ ทริปเซี่ยงไฮ้ หางโจว  ดูแลดี บริการดี อาหารอร่อย ที่พักดีมากค่ะ ⭕️

    #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #หางโจว #เซี่ยงไฮ้ จากคุณนงนภัสนะคะ เมื่อวันที่ 7-11 ส.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ
    ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com
    แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ

    ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ
    ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ
    แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า

    Travel License: 11/11450
    โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น

    #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    ⭕️ดีมากค่ะ ทริปเซี่ยงไฮ้ หางโจว  ดูแลดี บริการดี อาหารอร่อย ที่พักดีมากค่ะ ⭕️ 💜 #รีวิว #REVIEW เส้นทาง #หางโจว #เซี่ยงไฮ้ จากคุณนงนภัสนะคะ💜 เมื่อวันที่ 7-11 ส.ค.68 ที่ผ่านมานะคะ📍 ❤️ขอขอบพระคุณมากๆเลยนะคะที่ไว้ใจทาง eTravelWay.com แอดมินประทับใจเสมอที่เห็นภาพสวยๆจากผู้เดินทาง และเป็นกำลังใจกับพวกเราค่ะ😘 📸 ทุกภาพคือกำลังใจสำคัญของพวกเราค่ะ ขอบคุณจากใจอีกครั้งนะคะ 🌈✨ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้า 💼✈️ ✔️Travel License: 11/11450 ✔️โอนบัญชีชื่อ บริษัท วีอาร์ เอเจนซี ทราเวล แอนด์ เทรด จำกัด เท่านั้น #ขอบคุณลูกค้าที่ไว้ใจ #ทีมงานมีความสุขเสมอ #eTravelWay #รีวิวจากผู้เดินทาง #กำลังใจในการทำงาน #เที่ยวกับเราไม่ผิดหวัง 💙 ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
More Results