• ภาพชาวยูเครนใน Dnepropetrovsk กำลังหลบหนีการบังคับจับตัวเข้าสู่แนวหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมแพ้!! มันก็เลยเป็นออกมาแบบที่เห็น 😂
    ภาพชาวยูเครนใน Dnepropetrovsk กำลังหลบหนีการบังคับจับตัวเข้าสู่แนวหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมแพ้!! มันก็เลยเป็นออกมาแบบที่เห็น 😂
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 211 Views 18 0 Reviews
  • กระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงาน เมื่อคืนที่ผ่านมา ระบบป้องกันภัยทางอากาศทำการยิงสกัดกั้นโดรนของยูเครน รวมทั้งสิ้น 337 ลำ ในพื้นที่ของภูมิภาคต่างๆต่อไปนี้:

    ▫️ โดรน 91 ลำ เหนือภูมิภาคมอสโก (Moscow region)
    ▫️ โดรน 126 ลำ เหนือภูมิภาคเคิร์ส (Kursk region
    ▫️ โดรน 38 ลำ เหนือภูมิภาคบรันสค์ (Bryansk region)
    ▫️ โดรน 25 ลำ เหนือภูมิภาคเบลโกรอด (Belgorod region)
    ▫️ โดรน 22 ลำ เหนือภูมิภาคไรซาน (Ryazan region)
    ▫️ โดรน 10 ลำ เหนือภูมิภาคคาลูกา (Kaluga region)
    ▫️ โดรน 8 ลำ เหนือภูมิภาคลีเปตสค์ (Lipetsk region)
    ▫️ โดรน 8 ลำ เหนือภูมิภาคโอเรล (Orel region)
    ▫️ โดรน 6 ลำ เหนือภูมิภาคโวโรเนซ (Voronezh region)
    ▫️ โดรน 3 ลำ เหนือภูมิภาคนิจนีย์นอฟโกรอด (Nizhniy Novgorod)
    กระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงาน เมื่อคืนที่ผ่านมา ระบบป้องกันภัยทางอากาศทำการยิงสกัดกั้นโดรนของยูเครน รวมทั้งสิ้น 337 ลำ ในพื้นที่ของภูมิภาคต่างๆต่อไปนี้: ▫️ โดรน 91 ลำ เหนือภูมิภาคมอสโก (Moscow region) ▫️ โดรน 126 ลำ เหนือภูมิภาคเคิร์ส (Kursk region ▫️ โดรน 38 ลำ เหนือภูมิภาคบรันสค์ (Bryansk region) ▫️ โดรน 25 ลำ เหนือภูมิภาคเบลโกรอด (Belgorod region) ▫️ โดรน 22 ลำ เหนือภูมิภาคไรซาน (Ryazan region) ▫️ โดรน 10 ลำ เหนือภูมิภาคคาลูกา (Kaluga region) ▫️ โดรน 8 ลำ เหนือภูมิภาคลีเปตสค์ (Lipetsk region) ▫️ โดรน 8 ลำ เหนือภูมิภาคโอเรล (Orel region) ▫️ โดรน 6 ลำ เหนือภูมิภาคโวโรเนซ (Voronezh region) ▫️ โดรน 3 ลำ เหนือภูมิภาคนิจนีย์นอฟโกรอด (Nizhniy Novgorod)
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • Microsoft ได้ประกาศว่าจะหยุดสนับสนุน Microsoft Publisher ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันในชุด Microsoft Office ที่ออกแบบมาสำหรับงานด้านการออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น โบรชัวร์ ปฏิทิน หรือนามบัตร โดยจะยุติการใช้งานในเดือนตุลาคมปี 2026 นี่หมายความว่าเวอร์ชันต่าง ๆ ของ Publisher ตั้งแต่ปี 2007 จนถึง 2021 รวมถึง Publisher สำหรับ Microsoft 365 จะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยหรือคุณสมบัติใหม่อีกต่อไป

    Publisher นั้นเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่ได้เป็นนักออกแบบมืออาชีพ เช่น โรงเรียน องค์กรไม่แสวงหากำไร และธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งชื่นชอบความง่ายดายของเครื่องมือที่ใช้ลากวาง (drag-and-drop) และเทมเพลตสำเร็จรูปที่หลากหลาย แต่ Microsoft มองว่าผู้ใช้งานสามารถหันไปใช้แอปพลิเคชันอื่นในชุด Office อย่าง Word หรือ PowerPoint แทนได้ แม้จะไม่สามารถรองรับงานบางประเภทได้เต็มประสิทธิภาพก็ตาม

    Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานแปลงไฟล์ .pub ที่สร้างใน Publisher เป็น PDF หรือ Word (DOCX) หากยังต้องการแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต การแปลงไฟล์นี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเลือกที่ “File” > “Save As” และเลือกฟอร์แมตที่ต้องการ นอกจากนี้ Microsoft ยังแนะนำให้ผู้ใช้งานที่มีไฟล์จำนวนมากใช้มาโครเพื่อช่วยในกระบวนการนี้

    สำหรับผู้ที่ต้องการซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถสูงขึ้น Microsoft แนะนำให้ลองใช้แอปพลิเคชันออกแบบจากบุคคลที่สาม เช่น:
    - Canva (แบบสมัครสมาชิก)
    - Adobe InDesign (แบบสมัครสมาชิก)
    - Affinity Publisher (จ่ายครั้งเดียว)

    สำหรับผู้ใช้งานที่มี Publisher เวอร์ชัน “Perpetual” ซึ่งไม่ต้องพึ่ง Microsoft 365 ยังคงสามารถใช้งานต่อได้แม้หลังปี 2026 แต่ต้องยอมรับว่าจะไม่มีการสนับสนุนด้านความปลอดภัยหรือฟีเจอร์ใหม่อีกต่อไป

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-shares-guidance-on-upcoming-publisher-deprecation/
    Microsoft ได้ประกาศว่าจะหยุดสนับสนุน Microsoft Publisher ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันในชุด Microsoft Office ที่ออกแบบมาสำหรับงานด้านการออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น โบรชัวร์ ปฏิทิน หรือนามบัตร โดยจะยุติการใช้งานในเดือนตุลาคมปี 2026 นี่หมายความว่าเวอร์ชันต่าง ๆ ของ Publisher ตั้งแต่ปี 2007 จนถึง 2021 รวมถึง Publisher สำหรับ Microsoft 365 จะไม่ได้รับการอัปเดตความปลอดภัยหรือคุณสมบัติใหม่อีกต่อไป Publisher นั้นเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่ได้เป็นนักออกแบบมืออาชีพ เช่น โรงเรียน องค์กรไม่แสวงหากำไร และธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งชื่นชอบความง่ายดายของเครื่องมือที่ใช้ลากวาง (drag-and-drop) และเทมเพลตสำเร็จรูปที่หลากหลาย แต่ Microsoft มองว่าผู้ใช้งานสามารถหันไปใช้แอปพลิเคชันอื่นในชุด Office อย่าง Word หรือ PowerPoint แทนได้ แม้จะไม่สามารถรองรับงานบางประเภทได้เต็มประสิทธิภาพก็ตาม Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้งานแปลงไฟล์ .pub ที่สร้างใน Publisher เป็น PDF หรือ Word (DOCX) หากยังต้องการแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต การแปลงไฟล์นี้สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเลือกที่ “File” > “Save As” และเลือกฟอร์แมตที่ต้องการ นอกจากนี้ Microsoft ยังแนะนำให้ผู้ใช้งานที่มีไฟล์จำนวนมากใช้มาโครเพื่อช่วยในกระบวนการนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถสูงขึ้น Microsoft แนะนำให้ลองใช้แอปพลิเคชันออกแบบจากบุคคลที่สาม เช่น: - Canva (แบบสมัครสมาชิก) - Adobe InDesign (แบบสมัครสมาชิก) - Affinity Publisher (จ่ายครั้งเดียว) สำหรับผู้ใช้งานที่มี Publisher เวอร์ชัน “Perpetual” ซึ่งไม่ต้องพึ่ง Microsoft 365 ยังคงสามารถใช้งานต่อได้แม้หลังปี 2026 แต่ต้องยอมรับว่าจะไม่มีการสนับสนุนด้านความปลอดภัยหรือฟีเจอร์ใหม่อีกต่อไป https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/microsoft-shares-guidance-on-upcoming-publisher-deprecation/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft shares guidance on upcoming Publisher deprecation
    Microsoft has published guidance for users of Microsoft Publisher as it will no longer be supported after October 2026 and removed from Microsoft 365.
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • ทาง Singapore Exchange (SGX) กำลังวางแผนเปิดตัว Bitcoin Perpetual Futures ซึ่งเป็นฟิวเจอร์สชนิดหนึ่งที่ไม่มีวันหมดอายุในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยเป้าหมายหลักคือกลุ่มลูกค้าสถาบันและนักลงทุนระดับมืออาชีพ ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดสกุลเงินดิจิทัลสำหรับนักลงทุนกลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ฟิวเจอร์สดังกล่าวจะจำกัดการเข้าถึงสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย เพื่อควบคุมความเสี่ยงและความผันผวนในตลาด

    การเปิดตัวฟิวเจอร์สตัวใหม่นี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญสำหรับตลาดสกุลเงินดิจิทัลในเอเชีย และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การพัฒนาของ SGX ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาด

    Bitcoin Perpetual Futures คือเครื่องมือการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในกรณีที่ราคาของ Bitcoin ขึ้นหรือลง โดยไม่ต้องกังวลกับวันหมดอายุของสัญญา แต่ต้องอาศัยการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบเนื่องจากความผันผวนสูง หากประสบความสำเร็จ การเปิดตัวฟิวเจอร์สนี้อาจช่วยให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างฐานการเงินของ SGX ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    การจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันแสดงถึงความพยายามของ SGX ในการบริหารความเสี่ยงในตลาดที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ตลาดคริปโต ความเคลื่อนไหวนี้อาจจุดประกายให้ตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียเริ่มต้นพิจารณาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สกุลเงินดิจิทัลที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดโดยรวม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/10/singapore-exchange-to-roll-out-open-ended-bitcoin-futures-listing-bloomberg-reports
    ทาง Singapore Exchange (SGX) กำลังวางแผนเปิดตัว Bitcoin Perpetual Futures ซึ่งเป็นฟิวเจอร์สชนิดหนึ่งที่ไม่มีวันหมดอายุในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยเป้าหมายหลักคือกลุ่มลูกค้าสถาบันและนักลงทุนระดับมืออาชีพ ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดสกุลเงินดิจิทัลสำหรับนักลงทุนกลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ฟิวเจอร์สดังกล่าวจะจำกัดการเข้าถึงสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย เพื่อควบคุมความเสี่ยงและความผันผวนในตลาด การเปิดตัวฟิวเจอร์สตัวใหม่นี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญสำหรับตลาดสกุลเงินดิจิทัลในเอเชีย และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การพัฒนาของ SGX ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาด Bitcoin Perpetual Futures คือเครื่องมือการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในกรณีที่ราคาของ Bitcoin ขึ้นหรือลง โดยไม่ต้องกังวลกับวันหมดอายุของสัญญา แต่ต้องอาศัยการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบเนื่องจากความผันผวนสูง หากประสบความสำเร็จ การเปิดตัวฟิวเจอร์สนี้อาจช่วยให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างฐานการเงินของ SGX ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันแสดงถึงความพยายามของ SGX ในการบริหารความเสี่ยงในตลาดที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ตลาดคริปโต ความเคลื่อนไหวนี้อาจจุดประกายให้ตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียเริ่มต้นพิจารณาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สกุลเงินดิจิทัลที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดโดยรวม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/10/singapore-exchange-to-roll-out-open-ended-bitcoin-futures-listing-bloomberg-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore Exchange to roll out open-ended bitcoin futures listing, Bloomberg reports
    (Reuters) - The Singapore Exchange plans to list bitcoin perpetual futures in the second half of 2025, targeting institutional clients and professional investors, Bloomberg News reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • What Do You Like To Be Called? Words For Types Of Nicknames

    A nickname by any other name would smell just as sweet. Okay, so maybe that’s not how the saying goes, but we happen to think it’s true anyway. Nicknames are names that are substituted for the proper name of a person or place, like calling LeBron James “King James.”

    Nicknames are created for many different reasons. Sometimes they evolve naturally out of close association with someone. Other times, they may take hold based on qualities or features someone is well known for. There are a lot of different types of nicknames, as well as words we can use to describe them. From pet name to internet handle, here are 11 other words to use to talk about nicknames and the unique history of each one.

    pet name

    A pet name is a nickname that might exist within a family or close relationship. It means “a name or a term of address used to express affection for a person, thing, etc.” The term has been around for more than 100 years, first appearing in English between 1910 and 1915. Because pet names are typically affectionate, they’re nicknames you might hear a parent using for a child or siblings using to identify one another. A pet name probably isn’t something you’d hear in less familiar settings.

    AKA

    AKA (or A.K.A.) stands for “also known as.” If you have a nickname, you are “also known as” that name. This abbreviation, which entered English in the late 1940s, is used by law enforcement to specify an alias. But it’s also commonly used to indicate that a person goes by another name in many different settings. And it can be used facetiously to share extra information about someone. For example, My sister, AKA the most organized person in the entire world, somehow forgot my birthday.

    handle

    In the digital age, most of us have some kind of handle. That’s “a username, as on a social media website.” And yes, that counts as a type of nickname. It’s another name you’re known by, after all, even if it’s only among online friends. The word has existed in English since before the year 900, though it didn’t come to be associated with names until the 1830s, when it was used more generally to mean “nickname.” The term eventually came to include radio nicknames, and later, usernames on the internet.

    sobriquet

    Say nickname, but make it fancy. Essentially, that’s what sobriquet does. This word, borrowed from French, literally means “nickname.” In many cases, sobriquet indicates playfulness or a nickname that is used in jest. This might mean a childhood pet name or a funny name used between friends. The word sobriquet entered English in the 1600s.

    moniker

    Any name you go by can be considered a moniker. This term simply means “a person’s name, especially a nickname or alias.” The origins of this word aren’t exactly clear. One possibility is that it’s associated with monk, as nuns and monks frequently change their names upon taking their vows. It may also be a permutation, or transformation, of the Old Irish ainm, meaning “name.”

    pen name

    Sometimes nicknames are used for professional reasons, as is demonstrated by the phrase pen name. A pen name is “a pseudonym used by an author.” This might be a variation of their real name or a different name entirely. Mark Twain, for example, is a pen name used by Samuel Langhorne Clemens. Meanwhile George R. R. Martin is the author’s real name, but R. R. is used in place of Richard Raymond. Pen name is a translation of the French nom de plume, and it has been in use in English since the 1800s.

    byname

    What’s your byname? A byname is “a secondary name,” whether that’s a surname, a nickname, or something else. This term may be used to describe any type of nickname, rather than only nicknames that are familiar or used for a specific purpose. Think of it as another way of saying “a name you go by.” Though it’s not commonly used now, the word byname has existed in English since the 1300s.

    cognomen

    We bet you didn’t know you have a cognomen. While this word might look like the name of some kind of scary medical condition, it actually means “any name, especially a nickname.” Nomen means “name” in Latin, and co or cog means “with.” This 19th century word, then, literally means “with name,” and it can be broadly used to talk about any type of nickname.

    appellation

    A more official nickname might also be called an appellation. This word, which entered English in the early 1400s, means “a name, title, or designation.” Often, an appellation indicates a more official or well-known designation than just a familiar nickname. Think: Alexander The Great or the early American leaders known as The Founding Fathers. An appellation may also include an official title, such as doctor, bishop, or duke.

    term of endearment

    Nicknames are for lovers, at least in this case. A term of endearment is a nickname that shows esteem, affection, or love. This may be more personal, like a pet name, or it might include commonly used affectionate names, like honey, baby, or sweetie. Terms of endearment are typically reserved for intimate relationships, though some could also apply to family or close friends.

    nom de guerre

    Authors aren’t the only people who sometimes change their names. A nom de guerre is another way of saying pseudonym. It’s “an assumed name, under which a person fights, paints, writes, etc.” In French, nom de guerre meant “a war name,” or a name taken by a soldier upon entering the armed services. In English, it’s more generally understood to mean any kind of assumed name, whether it’s Stefani Germanotta being known as the musician “Lady Gaga” or Erik Weisz assuming the magician name of “Harry Houdini.”

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    What Do You Like To Be Called? Words For Types Of Nicknames A nickname by any other name would smell just as sweet. Okay, so maybe that’s not how the saying goes, but we happen to think it’s true anyway. Nicknames are names that are substituted for the proper name of a person or place, like calling LeBron James “King James.” Nicknames are created for many different reasons. Sometimes they evolve naturally out of close association with someone. Other times, they may take hold based on qualities or features someone is well known for. There are a lot of different types of nicknames, as well as words we can use to describe them. From pet name to internet handle, here are 11 other words to use to talk about nicknames and the unique history of each one. pet name A pet name is a nickname that might exist within a family or close relationship. It means “a name or a term of address used to express affection for a person, thing, etc.” The term has been around for more than 100 years, first appearing in English between 1910 and 1915. Because pet names are typically affectionate, they’re nicknames you might hear a parent using for a child or siblings using to identify one another. A pet name probably isn’t something you’d hear in less familiar settings. AKA AKA (or A.K.A.) stands for “also known as.” If you have a nickname, you are “also known as” that name. This abbreviation, which entered English in the late 1940s, is used by law enforcement to specify an alias. But it’s also commonly used to indicate that a person goes by another name in many different settings. And it can be used facetiously to share extra information about someone. For example, My sister, AKA the most organized person in the entire world, somehow forgot my birthday. handle In the digital age, most of us have some kind of handle. That’s “a username, as on a social media website.” And yes, that counts as a type of nickname. It’s another name you’re known by, after all, even if it’s only among online friends. The word has existed in English since before the year 900, though it didn’t come to be associated with names until the 1830s, when it was used more generally to mean “nickname.” The term eventually came to include radio nicknames, and later, usernames on the internet. sobriquet Say nickname, but make it fancy. Essentially, that’s what sobriquet does. This word, borrowed from French, literally means “nickname.” In many cases, sobriquet indicates playfulness or a nickname that is used in jest. This might mean a childhood pet name or a funny name used between friends. The word sobriquet entered English in the 1600s. moniker Any name you go by can be considered a moniker. This term simply means “a person’s name, especially a nickname or alias.” The origins of this word aren’t exactly clear. One possibility is that it’s associated with monk, as nuns and monks frequently change their names upon taking their vows. It may also be a permutation, or transformation, of the Old Irish ainm, meaning “name.” pen name Sometimes nicknames are used for professional reasons, as is demonstrated by the phrase pen name. A pen name is “a pseudonym used by an author.” This might be a variation of their real name or a different name entirely. Mark Twain, for example, is a pen name used by Samuel Langhorne Clemens. Meanwhile George R. R. Martin is the author’s real name, but R. R. is used in place of Richard Raymond. Pen name is a translation of the French nom de plume, and it has been in use in English since the 1800s. byname What’s your byname? A byname is “a secondary name,” whether that’s a surname, a nickname, or something else. This term may be used to describe any type of nickname, rather than only nicknames that are familiar or used for a specific purpose. Think of it as another way of saying “a name you go by.” Though it’s not commonly used now, the word byname has existed in English since the 1300s. cognomen We bet you didn’t know you have a cognomen. While this word might look like the name of some kind of scary medical condition, it actually means “any name, especially a nickname.” Nomen means “name” in Latin, and co or cog means “with.” This 19th century word, then, literally means “with name,” and it can be broadly used to talk about any type of nickname. appellation A more official nickname might also be called an appellation. This word, which entered English in the early 1400s, means “a name, title, or designation.” Often, an appellation indicates a more official or well-known designation than just a familiar nickname. Think: Alexander The Great or the early American leaders known as The Founding Fathers. An appellation may also include an official title, such as doctor, bishop, or duke. term of endearment Nicknames are for lovers, at least in this case. A term of endearment is a nickname that shows esteem, affection, or love. This may be more personal, like a pet name, or it might include commonly used affectionate names, like honey, baby, or sweetie. Terms of endearment are typically reserved for intimate relationships, though some could also apply to family or close friends. nom de guerre Authors aren’t the only people who sometimes change their names. A nom de guerre is another way of saying pseudonym. It’s “an assumed name, under which a person fights, paints, writes, etc.” In French, nom de guerre meant “a war name,” or a name taken by a soldier upon entering the armed services. In English, it’s more generally understood to mean any kind of assumed name, whether it’s Stefani Germanotta being known as the musician “Lady Gaga” or Erik Weisz assuming the magician name of “Harry Houdini.” Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • เต็มคาราเบล!!
    สัญญาณแจ้งเตือนของยูเครน บ่งบอกถึงการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่นับตั้งแต่ต้นปี 2025!

    🔴 มีรายงานการโจมตีแบบผสมผสาน – ขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธพิสัยไกล และโดรน
    • รายงานระบุว่าเป้าหมายความเร็วสูงกำลังมุ่งหน้าสู่ฐานทัพทหารและโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน
    • มีรายงานตรวจพบเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-95MS จำนวน 10 ลำ กำลังบินอยู่กลางอากาศ
    • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kalibr ถูกปล่อยจากทะเลดำ คาดว่าจะเข้าสู่น่านฟ้าของยูเครนภายใน 20-30 นาที
    • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kh-101/Kh-555 ที่ปล่อยจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ Tu-95MS จะถึงชายแดนของยูเครนภายในเวลา 05:10 - 06:10 น. ตามเวลามอสโก
    • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kalibr ถูกตรวจพบในภูมิภาค Kherson มุ่งหน้าสู่โอเดสซา (Odessa)
    • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kalibr อีกกลุ่ม มุ่งหน้าสู่ Krivoy Rog

    🔴 และยังมีรายงานตรวจพบขีปนาวุธร่อน ตามภูมิภาคต่อไป:
    • ทะเลดำ → ภูมิภาค Nikolaev
    • ภูมิภาค Kherson → ภูมิภาค Nikolaev
    • ภูมิภาค Kherson → Krivoy Rog
    • ภูมิภาค Dnepropetrovsk → ภูมิภาค Kirovograd
    • รายงานการระเบิดในโอเดสซา หลังจากขีปนาวุธโจมตีเป้าหมาย
    • พบขีปนาวุธเหนือภูมิภาค Kharkov และ Poltava
    • ขีปนาวุธ Kalibrs บินเหนือ Alexandria มุ่งหน้าสู่ภูมิภาค Cherkasy และ Poltava
    • ตรวจพบขีปนาวุธมุ่งหน้าสู่ Mirgorod ในภูมิภาค Poltava
    • ขีปนาวุธร่อน Kalibr หลายลูกบินข้ามภูมิภาค Odessa มุ่งหน้าสู่ Vinnytsia และ Cherkassy

    🔴 ขณะนี้เริ่มทะยอยมีรายงานผลกระทบและการโจมตีอย่างต่อเนื่อง


    เต็มคาราเบล!! สัญญาณแจ้งเตือนของยูเครน บ่งบอกถึงการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่นับตั้งแต่ต้นปี 2025! 🔴 มีรายงานการโจมตีแบบผสมผสาน – ขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธพิสัยไกล และโดรน • รายงานระบุว่าเป้าหมายความเร็วสูงกำลังมุ่งหน้าสู่ฐานทัพทหารและโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน • มีรายงานตรวจพบเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-95MS จำนวน 10 ลำ กำลังบินอยู่กลางอากาศ • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kalibr ถูกปล่อยจากทะเลดำ คาดว่าจะเข้าสู่น่านฟ้าของยูเครนภายใน 20-30 นาที • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kh-101/Kh-555 ที่ปล่อยจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ Tu-95MS จะถึงชายแดนของยูเครนภายในเวลา 05:10 - 06:10 น. ตามเวลามอสโก • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kalibr ถูกตรวจพบในภูมิภาค Kherson มุ่งหน้าสู่โอเดสซา (Odessa) • มีรายงานขีปนาวุธร่อน Kalibr อีกกลุ่ม มุ่งหน้าสู่ Krivoy Rog 🔴 และยังมีรายงานตรวจพบขีปนาวุธร่อน ตามภูมิภาคต่อไป: • ทะเลดำ → ภูมิภาค Nikolaev • ภูมิภาค Kherson → ภูมิภาค Nikolaev • ภูมิภาค Kherson → Krivoy Rog • ภูมิภาค Dnepropetrovsk → ภูมิภาค Kirovograd • รายงานการระเบิดในโอเดสซา หลังจากขีปนาวุธโจมตีเป้าหมาย • พบขีปนาวุธเหนือภูมิภาค Kharkov และ Poltava • ขีปนาวุธ Kalibrs บินเหนือ Alexandria มุ่งหน้าสู่ภูมิภาค Cherkasy และ Poltava • ตรวจพบขีปนาวุธมุ่งหน้าสู่ Mirgorod ในภูมิภาค Poltava • ขีปนาวุธร่อน Kalibr หลายลูกบินข้ามภูมิภาค Odessa มุ่งหน้าสู่ Vinnytsia และ Cherkassy 🔴 ขณะนี้เริ่มทะยอยมีรายงานผลกระทบและการโจมตีอย่างต่อเนื่อง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • "สหรัฐกำลังเตรียมวางแผนกดดันให้มีการเลือกตั้งในยูเครน"

    รายงานจากสำนักข่าว Politico ระบุว่า ทีมงานของทรัมป์กำลังเจรจาลับๆ กับคู่แข่งทางการเมืองของเซเลนสกี

    ผู้ช่วยของทรัมป์ได้เข้าพบกับบุคคลสำคัญฝ่ายค้านอย่างยูเลีย ทิโมเชนโก (Yulia Tymoshenko) อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นสมาชิกระดับสูงของพรรคของ เปโตร โปโรเชนโก (Petro Poroshenko) อดีตประธานาธิบดีของยูเครน

    ตามคำกล่าวของสมาชิกรัฐสภายูเครน 3 คนและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศของพรรครีพับลิกัน การเจรจาเน้นไปที่การเลือกตั้งก่อนกำหนด แม้ว่ายูเครนจะมีกฎอัยการศึกก็ตาม

    พวกเขาเชื่อว่าเซเลนสกีจะพ่ายแพ้เนื่องจาก ประชาชนเบื่อหน่ายและไม่พอใจจากการทำสงครามต่อเนื่องมาสามปีของเซเลนสกี รวมทั้งข่าวการทุจริตเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศจากทีมงานของเซเลนสกีที่มีอย่างต่อเนื่อง

    "สหรัฐกำลังเตรียมวางแผนกดดันให้มีการเลือกตั้งในยูเครน" รายงานจากสำนักข่าว Politico ระบุว่า ทีมงานของทรัมป์กำลังเจรจาลับๆ กับคู่แข่งทางการเมืองของเซเลนสกี ผู้ช่วยของทรัมป์ได้เข้าพบกับบุคคลสำคัญฝ่ายค้านอย่างยูเลีย ทิโมเชนโก (Yulia Tymoshenko) อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นสมาชิกระดับสูงของพรรคของ เปโตร โปโรเชนโก (Petro Poroshenko) อดีตประธานาธิบดีของยูเครน ตามคำกล่าวของสมาชิกรัฐสภายูเครน 3 คนและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศของพรรครีพับลิกัน การเจรจาเน้นไปที่การเลือกตั้งก่อนกำหนด แม้ว่ายูเครนจะมีกฎอัยการศึกก็ตาม พวกเขาเชื่อว่าเซเลนสกีจะพ่ายแพ้เนื่องจาก ประชาชนเบื่อหน่ายและไม่พอใจจากการทำสงครามต่อเนื่องมาสามปีของเซเลนสกี รวมทั้งข่าวการทุจริตเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศจากทีมงานของเซเลนสกีที่มีอย่างต่อเนื่อง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • Google ได้พยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Trump ให้ละเว้นแผนการแยกส่วนบริษัท โดยอ้างว่าอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ การพูดคุยนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ DoJ ภายใต้การบริหารของ Biden เคยดำเนินการตรวจสอบ Google และตัดสินว่า Google ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (antitrust laws) ด้วยข้อตกลงการค้นหาของตน

    Google ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้นหากับพันธมิตรทางเทคโนโลยีเพื่อจำกัดมาตรการแก้ไขที่ DoJ คิดไว้ และในขณะนี้ Google กำลังพยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมภายใต้การบริหารของ Trump ให้มีแนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาด

    Peter Schottenfels โฆษกของ Google ได้กล่าวว่า การแยกส่วนธุรกิจของ Google จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Google กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์

    แนวทางของ Google สอดคล้องกับการแถลงล่าสุดของประธานาธิบดี Trump และ VP JD Vance ที่ต่อต้านการกำกับดูแลที่มากเกินไปจากรัฐบาล โดยทำเนียบขาวเคยชี้ให้เห็นว่านโยบายของยุโรปเกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีและเรื่องต่างๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น Digital Markets Act และ Digital Services Act กำลังพยายามเปลี่ยนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ให้เป็นแหล่งรายได้

    Google กำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการแยกส่วนบริษัทและรักษาสถานะการผูกขาดของตน โดยการพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีกับการบริหารของ Trump และการอ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าว

    https://www.techspot.com/news/107036-google-asks-trump-administration-avoid-tearing-company-apart.html
    Google ได้พยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ) ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Trump ให้ละเว้นแผนการแยกส่วนบริษัท โดยอ้างว่าอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ การพูดคุยนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ DoJ ภายใต้การบริหารของ Biden เคยดำเนินการตรวจสอบ Google และตัดสินว่า Google ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด (antitrust laws) ด้วยข้อตกลงการค้นหาของตน Google ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้นหากับพันธมิตรทางเทคโนโลยีเพื่อจำกัดมาตรการแก้ไขที่ DoJ คิดไว้ และในขณะนี้ Google กำลังพยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมภายใต้การบริหารของ Trump ให้มีแนวทางที่ยืดหยุ่นมากขึ้นต่อข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาด Peter Schottenfels โฆษกของ Google ได้กล่าวว่า การแยกส่วนธุรกิจของ Google จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Google กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ แนวทางของ Google สอดคล้องกับการแถลงล่าสุดของประธานาธิบดี Trump และ VP JD Vance ที่ต่อต้านการกำกับดูแลที่มากเกินไปจากรัฐบาล โดยทำเนียบขาวเคยชี้ให้เห็นว่านโยบายของยุโรปเกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีและเรื่องต่างๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น Digital Markets Act และ Digital Services Act กำลังพยายามเปลี่ยนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ให้เป็นแหล่งรายได้ Google กำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการแยกส่วนบริษัทและรักษาสถานะการผูกขาดของตน โดยการพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีกับการบริหารของ Trump และการอ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการโน้มน้าว https://www.techspot.com/news/107036-google-asks-trump-administration-avoid-tearing-company-apart.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google presses Trump's DOJ to abandon breakup plans, citing national security
    Google is trying to convince the Trump administration that breaking up the company could have chilling effects on US national security. Quoting unnamed sources familiar with the...
    0 Comments 0 Shares 182 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌ็อง-โนเอล บาร์โรต์ (Jean-Noël Barrot) ล่าสุดแสดงความรู้สึกมึนงงหลังมีรายงานรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีธ เฮกเซธ (Pete Hegseth) มีรายงานสั่งให้ยุติปฏิบัติการต่อต้านรัสเซียทางไซเบอร์ชั่วคราว
    .
    โพลิติโกของสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (3 มี.ค.) ว่า กลายเป็นประเด็นล่าสุดของการเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศสหรัฐฯ แบบ 360 องศาที่ดูเหมือนทำให้ “รัสเซีย” ได้เปรียบส่งผลทำให้เป็นที่กังขาในสายตาทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรป
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌ็อง-โนเอล บาร์โรต์ (Jean-Noël Barrot) วันจันทร์ (3) ออกมาแสดงความเห็นสถานีวิทยุฟรานซ์อินเตอร์ (France Inter) ว่า “ผมมีปัญหาเล็กน้อยในความเข้าใจ (การตัดสินใจของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีธ เฮกเซธ)”
    .
    รัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวว่า บรรดาชาติสมาชิกสหภาพยุโรปมักตกเป็นเป้าการโจมตีทางไซเบอร์จากรัสเซีย
    .
    นิวสวีกของสหรัฐฯ รายงานว่า คำสั่งของเฮกเซธเป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวที่จะนำประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กลับสู่โต๊ะเจรจาสงครามยูเครน แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมอสโกและวอชิงตัน อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส
    .
    The Record สื่อความมั่นคงทางไซเบอร์เป็นสื่อแรกที่รายงานคำสั่งรัฐมนตรีกลาโหมเพนตากอนที่ออกคำสั่งให้ยุติปฏิบัติการต่อต้านคู่อริรัสเซียเมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.)
    .
    สำนักงานกองบัญชาการไซเบอร์สหรัฐฯ USCYBERCOM (U.S. Cyber Command) ภายใต้กองทัพสหรัฐฯ ก่อตั้งมานานกว่า 10 ปีมีผู้ปฏิบัติการไม่กี่ร้อยคนประจำฐานที่ฟอร์ตมีด (Fort Meade) รัฐแมรีแลนด์
    .
    “คำสั่งนี้ไม่ใช้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ NSA ที่เฮกเซธทำหน้าที่บริหารหรือสัญญาณของตัวเองในการทำงานด้านข่าวกรองที่มีเป้าหมายไปที่รัสเซีย” The Record ชี้
    .
    ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สกล่าวว่า คำสั่งของเจ้ากระทรวงเพนตากอนออกมาก่อนเกิดศึกหน้าจอโทรทัศน์ที่ทำเนียบขาวระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ที่เป็นส่วนหนึ่งของการกลับมาประเมินอีกครั้งในปฏิบัติการทั้งหมดต่อต้านรัสเซียที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ
    .
    ขณะที่เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้งหลายกล่าวว่า มันเป็นเรื่องปกติสำหรับปฏิบัติการทางการทหารที่จะมีการหยุดพักชั่วคราวระหว่างการเจรจาทางการทูต ซึ่งการถอยออกมาจากปฏิบัติการทางไซเบอร์ต่อต้านรัสเซียอาจเป็นเหมือนการเดิมพันเพราะเกมจะอยู่ในมือของประธานาธิบดีปูตินที่จะยอมเคลื่อนไหวในลักษณะที่คล้ายกันหรือไม่
    .
    ทั้งนี้ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผยได้กล่าวต่อ CNN ว่า การสั่งหยุดพักชั่วคราวถือเป็นความหายนะครั้งใหญ่ ขณะที่ผู้นำเสียงข้างน้อยพรรคเดโมแครตในสภาสูงสหรัฐฯ ชัค ชูเมอร์ (Chuck Schumer) ออกมาโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า มันอาจเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่อาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้รัสเซีย
    .
    อย่างไรก็ตามในวันอาทิตย์ (2) สำนักงานความมั่นคงโครงสร้างพื้นฐานและไซเบอร์สหรัฐฯ (U.S. Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) แถลงบนแพลตฟอร์ม X ว่า ภารกิจของสำนักงานในการปกป้องภัยคุกคามทางไซเบอร์ทุกรูปแบบรวมถึงจาก “รัสเซีย” ไม่เปลี่ยนแปลง
    .
    โพลิติโกรายงานว่า ความเคลื่อนไหวของเพนตากอนครั้งสำคัญนี้ทำให้มีความประหลาดใจอย่างมากในยุโรปที่ “รัสเซีย” ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามหลักในทางไซเบอร์ควบคู่ไปกับ “จีน”
    .
    ซึ่งทั้งเจ้าหน้าฝรั่งเศสและประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง ต่างออกมากล่าวหา “รัสเซีย” หลายครั้งที่ปูตินใช้สงครามไฮบริดต่อฝรั่งเศสผ่านทางการโจมตีทางไซเบอร์ “รัสเซียกำลังโจมตีพวกเราผ่านทางข้อมูลทางไซเบอร์”
    .
    มาครงกล่าวในเดือนที่ผ่านมาอ้างว่า “มอสโกกำลังแสวงหาเพื่อสร้างความไร้เสถียรภาพต่อประชาธิปไตยของพวกเรา”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021231
    ..............
    Sondhi X
    รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌ็อง-โนเอล บาร์โรต์ (Jean-Noël Barrot) ล่าสุดแสดงความรู้สึกมึนงงหลังมีรายงานรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีธ เฮกเซธ (Pete Hegseth) มีรายงานสั่งให้ยุติปฏิบัติการต่อต้านรัสเซียทางไซเบอร์ชั่วคราว . โพลิติโกของสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (3 มี.ค.) ว่า กลายเป็นประเด็นล่าสุดของการเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศสหรัฐฯ แบบ 360 องศาที่ดูเหมือนทำให้ “รัสเซีย” ได้เปรียบส่งผลทำให้เป็นที่กังขาในสายตาทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรป . รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌ็อง-โนเอล บาร์โรต์ (Jean-Noël Barrot) วันจันทร์ (3) ออกมาแสดงความเห็นสถานีวิทยุฟรานซ์อินเตอร์ (France Inter) ว่า “ผมมีปัญหาเล็กน้อยในความเข้าใจ (การตัดสินใจของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีธ เฮกเซธ)” . รัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวว่า บรรดาชาติสมาชิกสหภาพยุโรปมักตกเป็นเป้าการโจมตีทางไซเบอร์จากรัสเซีย . นิวสวีกของสหรัฐฯ รายงานว่า คำสั่งของเฮกเซธเป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวที่จะนำประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กลับสู่โต๊ะเจรจาสงครามยูเครน แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมอสโกและวอชิงตัน อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส . The Record สื่อความมั่นคงทางไซเบอร์เป็นสื่อแรกที่รายงานคำสั่งรัฐมนตรีกลาโหมเพนตากอนที่ออกคำสั่งให้ยุติปฏิบัติการต่อต้านคู่อริรัสเซียเมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) . สำนักงานกองบัญชาการไซเบอร์สหรัฐฯ USCYBERCOM (U.S. Cyber Command) ภายใต้กองทัพสหรัฐฯ ก่อตั้งมานานกว่า 10 ปีมีผู้ปฏิบัติการไม่กี่ร้อยคนประจำฐานที่ฟอร์ตมีด (Fort Meade) รัฐแมรีแลนด์ . “คำสั่งนี้ไม่ใช้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ NSA ที่เฮกเซธทำหน้าที่บริหารหรือสัญญาณของตัวเองในการทำงานด้านข่าวกรองที่มีเป้าหมายไปที่รัสเซีย” The Record ชี้ . ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สกล่าวว่า คำสั่งของเจ้ากระทรวงเพนตากอนออกมาก่อนเกิดศึกหน้าจอโทรทัศน์ที่ทำเนียบขาวระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ที่เป็นส่วนหนึ่งของการกลับมาประเมินอีกครั้งในปฏิบัติการทั้งหมดต่อต้านรัสเซียที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ . ขณะที่เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้งหลายกล่าวว่า มันเป็นเรื่องปกติสำหรับปฏิบัติการทางการทหารที่จะมีการหยุดพักชั่วคราวระหว่างการเจรจาทางการทูต ซึ่งการถอยออกมาจากปฏิบัติการทางไซเบอร์ต่อต้านรัสเซียอาจเป็นเหมือนการเดิมพันเพราะเกมจะอยู่ในมือของประธานาธิบดีปูตินที่จะยอมเคลื่อนไหวในลักษณะที่คล้ายกันหรือไม่ . ทั้งนี้ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผยได้กล่าวต่อ CNN ว่า การสั่งหยุดพักชั่วคราวถือเป็นความหายนะครั้งใหญ่ ขณะที่ผู้นำเสียงข้างน้อยพรรคเดโมแครตในสภาสูงสหรัฐฯ ชัค ชูเมอร์ (Chuck Schumer) ออกมาโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า มันอาจเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่อาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้รัสเซีย . อย่างไรก็ตามในวันอาทิตย์ (2) สำนักงานความมั่นคงโครงสร้างพื้นฐานและไซเบอร์สหรัฐฯ (U.S. Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) แถลงบนแพลตฟอร์ม X ว่า ภารกิจของสำนักงานในการปกป้องภัยคุกคามทางไซเบอร์ทุกรูปแบบรวมถึงจาก “รัสเซีย” ไม่เปลี่ยนแปลง . โพลิติโกรายงานว่า ความเคลื่อนไหวของเพนตากอนครั้งสำคัญนี้ทำให้มีความประหลาดใจอย่างมากในยุโรปที่ “รัสเซีย” ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามหลักในทางไซเบอร์ควบคู่ไปกับ “จีน” . ซึ่งทั้งเจ้าหน้าฝรั่งเศสและประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง ต่างออกมากล่าวหา “รัสเซีย” หลายครั้งที่ปูตินใช้สงครามไฮบริดต่อฝรั่งเศสผ่านทางการโจมตีทางไซเบอร์ “รัสเซียกำลังโจมตีพวกเราผ่านทางข้อมูลทางไซเบอร์” . มาครงกล่าวในเดือนที่ผ่านมาอ้างว่า “มอสโกกำลังแสวงหาเพื่อสร้างความไร้เสถียรภาพต่อประชาธิปไตยของพวกเรา” . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000021231 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 Comments 0 Shares 2105 Views 0 Reviews
  • สหรัฐอเมริกาจะไม่ถือว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สำคัญอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อ Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียและประธานาธิบดี Vladimir Putin ให้เป็นปกติ โดยได้ประกาศคำสั่งจาก Pete Hegseth รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ US Cyber Command หยุดการวางแผนและปฏิบัติการทางดิจิทัลกับรัสเซียทั้งหมด

    แม้ว่าการหยุดการปฏิบัติการนี้จะไม่รวมถึง National Security Agency (NSA) แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของ US Cyber Command โดย Liesyl Franz รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า สหรัฐฯ ยังคงกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์จากประเทศอื่น ๆ เช่น จีนและอิหร่าน แต่ไม่ได้ระบุถึงรัสเซียเป็นภัยคุกคามหลัก

    ในขณะที่แหล่งข่าวจาก Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ชี้ว่าเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งไม่ให้ติดตามหรือรายงานภัยคุกคามจากรัสเซียอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม Tricia McLaughlin โฆษกของ CISA ยืนยันว่า CISA ยังคงมุ่งมั่นในการแก้ไขภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั้งหมดต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงภัยคุกคามจากรัสเซีย

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ พยายามลดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย และให้ความสำคัญกับภัยคุกคามจากประเทศอื่น ๆ มากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/106993-us-no-longer-prioritizes-russia-major-cyber-threat.html
    สหรัฐอเมริกาจะไม่ถือว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สำคัญอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อ Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามปรับความสัมพันธ์กับรัสเซียและประธานาธิบดี Vladimir Putin ให้เป็นปกติ โดยได้ประกาศคำสั่งจาก Pete Hegseth รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ US Cyber Command หยุดการวางแผนและปฏิบัติการทางดิจิทัลกับรัสเซียทั้งหมด แม้ว่าการหยุดการปฏิบัติการนี้จะไม่รวมถึง National Security Agency (NSA) แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของ US Cyber Command โดย Liesyl Franz รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า สหรัฐฯ ยังคงกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์จากประเทศอื่น ๆ เช่น จีนและอิหร่าน แต่ไม่ได้ระบุถึงรัสเซียเป็นภัยคุกคามหลัก ในขณะที่แหล่งข่าวจาก Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) ชี้ว่าเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งไม่ให้ติดตามหรือรายงานภัยคุกคามจากรัสเซียอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม Tricia McLaughlin โฆษกของ CISA ยืนยันว่า CISA ยังคงมุ่งมั่นในการแก้ไขภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั้งหมดต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงภัยคุกคามจากรัสเซีย การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ พยายามลดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย และให้ความสำคัญกับภัยคุกคามจากประเทศอื่น ๆ มากขึ้น https://www.techspot.com/news/106993-us-no-longer-prioritizes-russia-major-cyber-threat.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The United States no longer prioritizes Russia as a major cyber threat
    According to a US official familiar with the matter (via The Record), new Defense Secretary Pete Hegseth has ordered US Cyber Command to "stand down from all...
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • เคาะวันเปิด LRT3 มาเลเซีย 30 กันยายน 2025

    ในที่สุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสายชาห์อลัม (Shah Alam Line) หรือ LRT3 รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างสถานีบันดาร์ อูตามา (Bandar Utama) กับสถานีโยฮัน เซเตีย (Johan Setia) มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังส่งมอบโครงการให้กับบริษัท ปราซารานา (Prasarana) ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ระบุว่าความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 98.16%

    สำหรับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายที่ 3 (LRT3) ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนลำดับที่ 11 ในหุบเขาแคลง มีระยะทาง 37 กิโลเมตร รวมทั้งอุโมงค์ความยาว 2 กิโลเมตร พาดผ่านเขตเปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ชาห์อลัม (Shah Alam) และแคลง (Klang) รองรับประชากรมากกว่า 2 ล้านคน มีสถานีรถไฟฟ้า 20 สถานี และอีก 5 สถานีที่ก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมที่จอดรถ 6 สถานี รองรับรถยนต์รวม 2,000 คัน

    ส่วนขบวนรถมี 3 ตู้ รวม 22 ขบวน ผลิตโดยบริษัท CRRC Corporation รองรับผู้โดยสารสูงสุด 18,630 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการความถี่ทุก 6 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 67,000 เที่ยวคนต่อวัน

    จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีบันดาร์ อูตามา ใกล้กับศูนย์การค้าวันอูตามา (1 Utama) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ผ่านสถานที่สำคัญอย่างสนามกีฬาชาห์อลัม (Stadium Shah Alam) มัสยิดสุลต่านซาลาฮุดดินอับดุลอาซิซ (Masjid Sultan Salahuddin Abdul Aziz Shah) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยียูไอทีเอ็ม (UiTM) โครงการไอ-ซิตี้ (i-City) สวนสนุกไอ-ซิตี้ ธีมพาร์ค (i-City Theme Park) มัสยิดบันดาร์ดิราจาแคลงอูตารา (Masjid Bandar Diraja Klang Utara)

    มีสถานีเชื่อมต่อ ได้แก่ 1. สถานีบันดาร์ อูตามา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายกาจัง (MRT Kajang Line) เส้นทางระหว่างสถานีควาซาดามานซารา (Kwasa Damansara) กับสถานีกาจัง (Kajang) ผ่านสถานีบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) และสถานีตุนราซัคเอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange)

    2. สถานีเกลนมารี 2 (Glenmarie 2) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) เส้นทางระหว่างสถานีปูตราไฮต์ (Putra Heights) กับสถานีกอมบัค (Gombak) ผ่านสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) และสถานีเคแอลซีซี (KLCC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์

    อนึ่ง ที่สถานีเซคชันตูจู (Seksyen 7) บริเวณเขต 7 ของรัฐสลังงอร์ มีศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจากประเทศไทย ลงทุนร่วมกับไอ-เบอร์ฮัด (I-Berhad) เปิดให้บริการเมื่อปี 2562

    #Newskit
    เคาะวันเปิด LRT3 มาเลเซีย 30 กันยายน 2025 ในที่สุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาสายชาห์อลัม (Shah Alam Line) หรือ LRT3 รัฐสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย เชื่อมระหว่างสถานีบันดาร์ อูตามา (Bandar Utama) กับสถานีโยฮัน เซเตีย (Johan Setia) มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หลังส่งมอบโครงการให้กับบริษัท ปราซารานา (Prasarana) ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย เปิดเผยเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) ระบุว่าความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 98.16% สำหรับโครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายที่ 3 (LRT3) ถือเป็นระบบขนส่งมวลชนลำดับที่ 11 ในหุบเขาแคลง มีระยะทาง 37 กิโลเมตร รวมทั้งอุโมงค์ความยาว 2 กิโลเมตร พาดผ่านเขตเปตาลิง จายา (Petaling Jaya) ชาห์อลัม (Shah Alam) และแคลง (Klang) รองรับประชากรมากกว่า 2 ล้านคน มีสถานีรถไฟฟ้า 20 สถานี และอีก 5 สถานีที่ก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมที่จอดรถ 6 สถานี รองรับรถยนต์รวม 2,000 คัน ส่วนขบวนรถมี 3 ตู้ รวม 22 ขบวน ผลิตโดยบริษัท CRRC Corporation รองรับผู้โดยสารสูงสุด 18,630 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการความถี่ทุก 6 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วน คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 67,000 เที่ยวคนต่อวัน จุดเริ่มต้นอยู่ที่สถานีบันดาร์ อูตามา ใกล้กับศูนย์การค้าวันอูตามา (1 Utama) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ผ่านสถานที่สำคัญอย่างสนามกีฬาชาห์อลัม (Stadium Shah Alam) มัสยิดสุลต่านซาลาฮุดดินอับดุลอาซิซ (Masjid Sultan Salahuddin Abdul Aziz Shah) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยียูไอทีเอ็ม (UiTM) โครงการไอ-ซิตี้ (i-City) สวนสนุกไอ-ซิตี้ ธีมพาร์ค (i-City Theme Park) มัสยิดบันดาร์ดิราจาแคลงอูตารา (Masjid Bandar Diraja Klang Utara) มีสถานีเชื่อมต่อ ได้แก่ 1. สถานีบันดาร์ อูตามา เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที สายกาจัง (MRT Kajang Line) เส้นทางระหว่างสถานีควาซาดามานซารา (Kwasa Damansara) กับสถานีกาจัง (Kajang) ผ่านสถานีบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) และสถานีตุนราซัคเอ็กซ์เชนจ์ (Tun Razak Exchange) 2. สถานีเกลนมารี 2 (Glenmarie 2) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า LRT สายเกลานา จายา (Kelana Jaya Line) เส้นทางระหว่างสถานีปูตราไฮต์ (Putra Heights) กับสถานีกอมบัค (Gombak) ผ่านสถานีเคแอล เซ็นทรัล (KL Sentral) และสถานีเคแอลซีซี (KLCC) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ อนึ่ง ที่สถานีเซคชันตูจู (Seksyen 7) บริเวณเขต 7 ของรัฐสลังงอร์ มีศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาจากประเทศไทย ลงทุนร่วมกับไอ-เบอร์ฮัด (I-Berhad) เปิดให้บริการเมื่อปี 2562 #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก

    เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว

    แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286

    #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ออกมาโต้รัฐมนตรีเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ก่อนหน้ายืนยันรับประกันสวัสดิภาพหมูเด้งและสวนสัตว์เขาเขียวได้มาตรฐานว่า ให้ความสนใจหมูเด้งเป็นพิเศษ เนื่องมาจากกระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าเช่นฮิปโปแคระสูญเสียธรรมชาติดั้งเดิมความเป็นสัตว์ป่าของตัวเองไป แต่ไม่ตอบคำเชิญเข้ามาดูหมูเด้งถึงสวนสัตว์เขาเขียว ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำธนาคารพัฒนาเอเชีย (AsDB) สวนกระแสแบนบุกเยือน “หมูเด้ง” ถึงที่โพสต์ชื่นชมพี่เบนซ์ที่อุทิศตัวจนหมูเด้งมีชื่อไปทั่วโลก • เจสัน เบเกอร์ (Jason Baker) รองประธานอาวุโสกลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ PETA ชื่อดังออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.พ. มายังผู้จัดการออนไลน์ ตอบโต้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน หลังข่าว PETA จับมือ Born Free รณรงค์ไม่ให้นักท่องเที่ยวในอังกฤษเดินทางบินเข้ามาชมหมูเด้งในไทยออกมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว • แถลงการณ์ PETA ที่ออกมาในวันเดียวกัน (25) กับการแถลงของรัฐมนตรีเฉลิมชัย โดยทางกลุ่มแถลงยังคงโจมตีไปที่กระแสความโด่งดังหมูเด้งที่มาจากการกักขังในสวนสัตว์เป็นสำคัญ PETA จุดยืนการรณรงค์หมูเด้งเนื่องมาจากทางกลุ่มต้องการให้ข้อมูลว่า สัตว์ที่ถูกกักกันนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีความรู้สึกเหมือนเช่นมนุษย์ และไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงได้ตามข้ออ้างของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000020286 • #MGROnline #กลุ่มอนุรักษ์สิทธิสัตว์ #PETA #หมูเด้ง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • กองทัพรัสเซียโจมตีฐานฝึกของกองทัพยูเครนในภูมิภาคดนีโปรเปตรอฟสค์ (Dnepropetrovsk) ด้วยขีปนาวุธ "Iskander" ส่งผลให้ทหารยูเครนเสียชีวิต 150 นาย และครูฝึกชาวต่างชาติเสียชีวิต 30 นาย ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
    กองทัพรัสเซียโจมตีฐานฝึกของกองทัพยูเครนในภูมิภาคดนีโปรเปตรอฟสค์ (Dnepropetrovsk) ด้วยขีปนาวุธ "Iskander" ส่งผลให้ทหารยูเครนเสียชีวิต 150 นาย และครูฝึกชาวต่างชาติเสียชีวิต 30 นาย ตามรายงานของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
    0 Comments 0 Shares 225 Views 13 0 Reviews
  • 1 มี.ค.2568 - กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไล่ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกจากทำเนียบขาว หลังจากโต้เถียงกัน ส่อแววล้มข้อตกลงสันติภาพ รวมทั้งข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายาก

    ล่าสุด รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

    ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน

    1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย

    2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)

    4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้

    5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่

    1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว

    2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ

    3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล

    4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ

    5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ

    6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง

    ที่มา ไทยโพสต์
    1 มี.ค.2568 - กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไล่ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกจากทำเนียบขาว หลังจากโต้เถียงกัน ส่อแววล้มข้อตกลงสันติภาพ รวมทั้งข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายาก ล่าสุด รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน 1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย 2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) 4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ 5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ 6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่ 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง ที่มา ไทยโพสต์
    Like
    Love
    2
    1 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • OpenAI ได้เปิดตัวโมเดล GPT-4.5 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า "Orion" โดยโมเดลนี้เป็นโมเดลสุดท้ายที่ไม่ได้ใช้การคิดอย่างลำดับขั้น (non-chain-of-thought) แต่จะนำเสนอมิติใหม่ในเรื่องความสามารถในการสนทนาและความแม่นยำในการตอบคำถาม

    เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 OpenAI ได้ประกาศเปิดตัว GPT-4.5 ในรูปแบบวิจัย ซึ่ง OpenAI อ้างว่าเป็นโมเดลที่ใหญ่ที่สุดและมีความรู้มากที่สุดในขณะนี้ ผู้ใช้ควรคาดหวังถึงการปรับปรุงโดยรวมในการใช้งาน GPT-4.5 ซึ่งรวมถึงการลดการสร้างเนื้อหาที่ผิดพลาด (hallucinations) ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของคำถาม และการตอบคำถามที่ตรงกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น

    การทดสอบและความสามารถในการให้เหตุผล - แม้ว่า GPT-4.5 จะไม่มีการคิดอย่างลำดับขั้น แต่มีการปรับปรุงในเรื่องการให้เหตุผลที่ดีกว่าและการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น เช่น ในการสาธิต AI ของ ChatGPT ถูกขอให้สร้างข้อความที่มีลักษณะเป็นการเกลียดชัง โดย GPT-4.5 สามารถตอบคำถามได้หลายทางเลือกและไม่กล่าวถึงความเกลียดชังตรงๆ แต่แสดงความผิดหวังในพฤติกรรมของผู้ใช้แทน

    การทดสอบประสิทธิภาพ (Benchmarks) - GPT-4.5 ได้รับการทดสอบในการทดสอบเบนช์มาร์กหลายรายการ เช่น Competition Math, PhD-level Science Questions และ SWE-Bench ซึ่ง GPT-4.5 ทำได้ดีกว่า GPT-4o และเกือบเท่ากับ o3-mini ในบางรายการทดสอบ เช่น SWE-Lancer Diamond และ MMMLU ที่เป็นการทดสอบการเขียนโค้ดและการใช้ภาษาแบบหลายภาษา

    ความปลอดภัยและการใช้งาน - OpenAI ยืนยันว่าโมเดล GPT-4.5 ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและมีการใช้เทคนิคการดูแลใหม่ๆ ร่วมกับการเรียนรู้จากความคิดเห็นของมนุษย์ (RLHF) โมเดลนี้จะเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ระดับ Pro ก่อนในช่วงการวิจัย จากนั้นจะเปิดให้ใช้สำหรับผู้ใช้ระดับ Plus และ Team ในสัปดาห์ถัดไป รวมถึง Enterprise และ Edu ในสัปดาห์ถัดมา

    ความสามารถในการสนทนาที่ดีขึ้น - OpenAI อธิบายว่า GPT-4.5 มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การสนทนารู้สึกเป็นธรรมชาติและเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น โดยใช้เทคนิคเช่นการเล่นคำ (alliteration) ทำให้ตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าสนใจ

    https://www.zdnet.com/article/openai-finally-unveils-gpt-4-5-heres-what-it-can-do/
    OpenAI ได้เปิดตัวโมเดล GPT-4.5 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า "Orion" โดยโมเดลนี้เป็นโมเดลสุดท้ายที่ไม่ได้ใช้การคิดอย่างลำดับขั้น (non-chain-of-thought) แต่จะนำเสนอมิติใหม่ในเรื่องความสามารถในการสนทนาและความแม่นยำในการตอบคำถาม เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 OpenAI ได้ประกาศเปิดตัว GPT-4.5 ในรูปแบบวิจัย ซึ่ง OpenAI อ้างว่าเป็นโมเดลที่ใหญ่ที่สุดและมีความรู้มากที่สุดในขณะนี้ ผู้ใช้ควรคาดหวังถึงการปรับปรุงโดยรวมในการใช้งาน GPT-4.5 ซึ่งรวมถึงการลดการสร้างเนื้อหาที่ผิดพลาด (hallucinations) ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของคำถาม และการตอบคำถามที่ตรงกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น การทดสอบและความสามารถในการให้เหตุผล - แม้ว่า GPT-4.5 จะไม่มีการคิดอย่างลำดับขั้น แต่มีการปรับปรุงในเรื่องการให้เหตุผลที่ดีกว่าและการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น เช่น ในการสาธิต AI ของ ChatGPT ถูกขอให้สร้างข้อความที่มีลักษณะเป็นการเกลียดชัง โดย GPT-4.5 สามารถตอบคำถามได้หลายทางเลือกและไม่กล่าวถึงความเกลียดชังตรงๆ แต่แสดงความผิดหวังในพฤติกรรมของผู้ใช้แทน การทดสอบประสิทธิภาพ (Benchmarks) - GPT-4.5 ได้รับการทดสอบในการทดสอบเบนช์มาร์กหลายรายการ เช่น Competition Math, PhD-level Science Questions และ SWE-Bench ซึ่ง GPT-4.5 ทำได้ดีกว่า GPT-4o และเกือบเท่ากับ o3-mini ในบางรายการทดสอบ เช่น SWE-Lancer Diamond และ MMMLU ที่เป็นการทดสอบการเขียนโค้ดและการใช้ภาษาแบบหลายภาษา ความปลอดภัยและการใช้งาน - OpenAI ยืนยันว่าโมเดล GPT-4.5 ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและมีการใช้เทคนิคการดูแลใหม่ๆ ร่วมกับการเรียนรู้จากความคิดเห็นของมนุษย์ (RLHF) โมเดลนี้จะเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ระดับ Pro ก่อนในช่วงการวิจัย จากนั้นจะเปิดให้ใช้สำหรับผู้ใช้ระดับ Plus และ Team ในสัปดาห์ถัดไป รวมถึง Enterprise และ Edu ในสัปดาห์ถัดมา ความสามารถในการสนทนาที่ดีขึ้น - OpenAI อธิบายว่า GPT-4.5 มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การสนทนารู้สึกเป็นธรรมชาติและเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น โดยใช้เทคนิคเช่นการเล่นคำ (alliteration) ทำให้ตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าสนใจ https://www.zdnet.com/article/openai-finally-unveils-gpt-4-5-heres-what-it-can-do/
    WWW.ZDNET.COM
    OpenAI finally unveils GPT-4.5. Here's what it can do
    OpenAI says its latest model is more conversational and even hallucinates less. Here's how to access it.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
    .
    ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน
    .
    1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย
    .
    2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    .
    3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)
    .
    4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้
    .
    5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ
    .
    6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่
    1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว
    2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ
    3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
    4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ
    5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ
    6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง
    .
    ผมเขียนเรื่องยูเครนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 at the beginning of the end ขอเอามาแปะอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ

    1. จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง https://thestandard.co/asean-and-hybrid-warfare/
    2. จากยูเครนสู่ปัตตานี กรณี Gerasimov Doctrine และแผนบันได 7 ขั้น https://www.the101.world/ukraine-to-pattani/
    .
    Cr. รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม
    คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ . ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน . 1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย . 2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ . 3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) . 4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ . 5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ . 6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่ 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง . ผมเขียนเรื่องยูเครนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 at the beginning of the end ขอเอามาแปะอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ 1. จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง https://thestandard.co/asean-and-hybrid-warfare/ 2. จากยูเครนสู่ปัตตานี กรณี Gerasimov Doctrine และแผนบันได 7 ขั้น https://www.the101.world/ukraine-to-pattani/ . Cr. รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    THESTANDARD.CO
    จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง
    การสงครามผสมผสาน การสงครามผสมผสาน หรือ Hybrid Warfare เป็นยุทธศาสตร์ทางทหารซึ่งใช้การสงครามทางการเมือง และผสมรวมการสงครามตามแบบ (Conventional Warfare)
    0 Comments 0 Shares 335 Views 0 Reviews
  • AMD ได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ในซีรีส์ Radeon RX 9070 แล้ว.... (สักที) ซึ่งจะประกอบด้วยรุ่น RX 9070 XT และ RX 9070 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมนี้

    รายละเอียดของการ์ดจอรุ่นใหม่
    - Radeon RX 9070 XT มีราคาเริ่มต้นที่ $599
    - Radeon RX 9070 มีราคาเริ่มต้นที่ $549

    ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน่วยความจำ VRAM ขนาด 16GB และการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0

    การ์ดจอรุ่น RX 9070 XT ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในด้านการเรย์เทรซิ่งและการประมวลผลกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ในการทดสอบภายในของ AMD การ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อใช้งานในกราฟิกที่มีความละเอียด 4K แบบเนทีฟ นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวว่ารุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Nvidia RTX 5070 Ti ได้ในหลายเกม และมีความเร็วมากกว่า 24% ในเกมเช่น Call of Duty Black Ops 6

    RX 9070 XT ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรย์เทรซิ่ง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 Ti ประมาณ 8% แต่อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่า สถิติเหล่านี้มาจากการทดสอบของ AMD เองและยังไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี Multi-Frame Generation ของ Nvidia มาคำนวณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรอการทดสอบจากผู้ใช้งานจริงเพิ่มเติม

    การเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นนี้ทำให้ตลาดการ์ดจอมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของการ์ดจอราคาประหยัด RX 9070 XT ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับ RTX 5070 Ti ที่มีราคาสูงถึง $749 ความพร้อมในการจำหน่ายและราคาที่ต่ำกว่า อาจทำให้ RX 9070 XT กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด

    ลุงสรุปให้ว่า ถ้าขายราคานี้ +15% เป็นค่าภาษีและกำไร... ซื้อโลด!!!!

    https://www.techradar.com/computing/gpu/finally-we-have-some-gpu-competition-amd-announces-the-radeon-rx-9070-xt-march-6-launch-date-starting-at-usd599-alongside-the-rx-9070-at-usd549
    AMD ได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ในซีรีส์ Radeon RX 9070 แล้ว.... (สักที) ซึ่งจะประกอบด้วยรุ่น RX 9070 XT และ RX 9070 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมนี้ รายละเอียดของการ์ดจอรุ่นใหม่ - Radeon RX 9070 XT มีราคาเริ่มต้นที่ $599 - Radeon RX 9070 มีราคาเริ่มต้นที่ $549 ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน่วยความจำ VRAM ขนาด 16GB และการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0 การ์ดจอรุ่น RX 9070 XT ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในด้านการเรย์เทรซิ่งและการประมวลผลกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ในการทดสอบภายในของ AMD การ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อใช้งานในกราฟิกที่มีความละเอียด 4K แบบเนทีฟ นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวว่ารุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Nvidia RTX 5070 Ti ได้ในหลายเกม และมีความเร็วมากกว่า 24% ในเกมเช่น Call of Duty Black Ops 6 RX 9070 XT ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรย์เทรซิ่ง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 Ti ประมาณ 8% แต่อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่า สถิติเหล่านี้มาจากการทดสอบของ AMD เองและยังไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี Multi-Frame Generation ของ Nvidia มาคำนวณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรอการทดสอบจากผู้ใช้งานจริงเพิ่มเติม การเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นนี้ทำให้ตลาดการ์ดจอมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของการ์ดจอราคาประหยัด RX 9070 XT ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับ RTX 5070 Ti ที่มีราคาสูงถึง $749 ความพร้อมในการจำหน่ายและราคาที่ต่ำกว่า อาจทำให้ RX 9070 XT กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด ลุงสรุปให้ว่า ถ้าขายราคานี้ +15% เป็นค่าภาษีและกำไร... ซื้อโลด!!!! https://www.techradar.com/computing/gpu/finally-we-have-some-gpu-competition-amd-announces-the-radeon-rx-9070-xt-march-6-launch-date-starting-at-usd599-alongside-the-rx-9070-at-usd549
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • 39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี

    🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543

    นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน

    🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP)

    📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
    - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519
    - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529

    นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก

    🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่
    ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา
    ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
    ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
    ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม"

    📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด

    🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃

    📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม

    🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ

    🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้

    💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️

    🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน

    👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน"
    ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม

    ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก
    1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน
    2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ
    3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน

    เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

    🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"?
    🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า

    👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก

    👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา

    💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

    📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ"

    🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ
    ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร?
    ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่?
    ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
    ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้?

    แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

    🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก
    📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน
    📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529
    📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน
    📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568

    #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี 🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน 🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP) 📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519 - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529 นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก 🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่ ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม" 📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด 🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃 📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม 🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ 🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้ 💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️ 🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน 👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก 1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน 2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ 3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง 🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"? 🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า 👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก 👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา 💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ 📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ" 🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่? ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้? แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน 🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก 📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน 📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529 📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน 📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568 #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    by Tyler Durden
    Friday, Feb 28, 2025
    Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute,

    In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years.



    Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit.

    If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point.

    This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation.

    Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves.

    Where Did the Gold at Fort Knox Come From?
    In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.”

    That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad.

    Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold.

    So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934.

    Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.”

    The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold.

    The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds
    Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie.

    Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain:

    By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient.

    So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.”

    In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today.

    Defaulting on International Gold Obligations
    Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.”

    US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies
    The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.”

    Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold.

    If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends.

    https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans by Tyler Durden Friday, Feb 28, 2025 Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute, In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years. Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit. If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point. This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation. Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves. Where Did the Gold at Fort Knox Come From? In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.” That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad. Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold. So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934. Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.” The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold. The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie. Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain: By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient. So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.” In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today. Defaulting on International Gold Obligations Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.” US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.” Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold. If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends. https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    WWW.ZEROHEDGE.COM
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    ...the legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933...
    0 Comments 0 Shares 421 Views 0 Reviews
  • PETA อีกแล้ว! : [News story]

    PETA - Born Free แบน "หมูเด้ง" ห้าม นักท่องเที่ยวอังกฤษบินมาดูที่สวนสัตว์เขาเขียว
    PETA อีกแล้ว! : [News story] PETA - Born Free แบน "หมูเด้ง" ห้าม นักท่องเที่ยวอังกฤษบินมาดูที่สวนสัตว์เขาเขียว
    Like
    Angry
    Love
    Haha
    8
    0 Comments 0 Shares 765 Views 34 0 Reviews
  • Born Free และ PETA เรียกร้องนักท่องเที่ยวอังกฤษเลิกชม "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระชื่อดังในไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/17335/
    Born Free และ PETA เรียกร้องนักท่องเที่ยวอังกฤษเลิกชม "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระชื่อดังในไทย https://www.thai-tai.tv/news/17335/
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า

    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง

    ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ

    นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้”

    Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก

    Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย

    ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ

    https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.html
    เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ครับ สำหรับการสู้กันของอาจารย์และ AI เพื่อที่จะทดสอบลูกศิษย์ว่ามีความรู้จริงๆ หรือเปล่า เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Minnesota ซึ่งนักศึกษาชื่อ Haishan Yang กำลังฟ้องร้องมหาวิทยาลัยหลังจากที่เขาถูกไล่ออกในปีที่แล้ว เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนเรียงความสำหรับการสอบ Yang อายุ 33 ปี เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่สอง ขณะกำลังเดินทางไปประเทศโมร็อกโกในช่วงฤดูร้อนปี 2024 เขาได้ทำการสอบที่ต้องเขียนเรียงความ 3 ชิ้นภายในเวลา 8 ชั่วโมง ถึงแม้ว่า Yang จะได้รับอนุญาตให้ใช้บันทึก รายงาน และหนังสือได้ แต่เครื่องมือ AI ถูกห้ามใช้ ทุกคณะบัณฑิตที่ตรวจสอบข้อสอบของ Yang แสดงความกังวลว่าเรียงความไม่ใช่ผลงานของเขาเอง พวกเขาชี้ถึงคำตอบที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้ถูกสอนในชั้นเรียน รวมทั้งการใช้ตัวย่อที่ไม่ค่อยพบในสาขานี้ แต่ปรากฏในคำตอบที่ถูกสร้างขึ้นโดย ChatGPT เป็นประจำ นอกจากนี้ สองคณาจารย์ยังได้นำคำถามเรียงความไปให้ ChatGPT เพื่อเปรียบเทียบกับคำตอบของ Yang พบว่าการจัดรูปแบบ การใช้ภาษา และเนื้อหาเหมือนกันอย่างมาก ซึ่งศาสตราจารย์ Peter Huckfeldt ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการการพิจารณาว่า “ผมประหลาดใจในความคล้ายคลึงกันระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไปได้” Yang อ้างว่าเหตุนี้เกิดจากการที่ OpenAI ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันกับเขา และกล่าวว่าคณาจารย์อาจแก้ไขคำตอบของ ChatGPT เพื่อให้ดูเหมือนกับคำตอบของเขา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงปัญหาวิธีการตรวจสอบการใช้ AI ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือและมีอคติ โดยเฉพาะกับคนที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรก Yang กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในฐานะผู้ช่วยวิจัยที่ได้รับการตัดการสนับสนุนทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากการแสดงความเห็นไม่ดี หลังจากที่เขาโต้แย้งและชนะคดี มหาวิทยาลัย ลุงรู้เรื่องปัญหาแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเฉยๆ สำหรับนักเรียนในระดับ ม.ต้น - ป.ตรี แต่นี่มัน ป.เอกเลยนะ Yang คงต้องเข้าใจสิว่าเขาปล่อยผ่านไม่ได้ง่ายๆ ส่วนการพรูฟที่ดีที่สุดในความคิดของลุงคือคือการทดสอบแบบถามตอบปากเปล่านี่แหละ https://www.techspot.com/news/106881-university-minnesota-sued-student-who-ai-expulsion-part.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    University of Minnesota sued by student who says AI expulsion was part of a conspiracy
    Haishan Yang was working toward his second PhD from the University of Minnesota when he was expelled last year. It's alleged that he used artificial intelligence tools...
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000017873

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000017873 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    Love
    Yay
    10
    6 Comments 0 Shares 836 Views 0 Reviews
  • ๒ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก

    เดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(20 ก.พ)ว่า ฮิปโปแคระ “หมูเด้ง” (Moo Deng) ชื่อดังที่กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกจากความน่ารักแก้มสีชมพูเป็นสัญลักษ์แต่ทว่าล่าสุดองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าชื่อดังข้ามชาติ PETA และ Born Free เปิดฉากรณรงค์กดดันนักท่องเที่ยวอังกฤษไม่ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวสวนสัตว์ต่างๆ รวมสวนสัตว์เขาเขียวของไทย ต่อแถวยาวเพื่อชมความน่ารักของฮิปโปแคระหมูเด้งดาวประจำสวนสัตว์ตัวทำเงินเรียกแขก

    PETA และ Born Free วิตกว่ากระแสความโด่งดังของหมูเด้งจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จากการที่มีนักท่องเที่ยวมือบอนปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจให้หมูเด้งอยู่ในเฟรมเพื่อถ่ายเซลฟี

    PETA แถลงว่า “สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอ้างเพาะพันธุ์สัตว์ป่าในที่กักขังเพื่อการอนุรักษ์ แต่ขอให้พูดความจริง ธุรกิจเพื่อการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านี้ห่างไกลจากถิ่นเกิดตามธรรมชาติของพวกมันและขังสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร”

    และยังโจมตีสวนสัตว์เขาเขียวต่อว่า “เขาเขียวเพาะพันธุ์หมูเด้งในสวนสัตว์ของไทยที่ไม่ได้มาตรฐาน และดูเหมือนว่าหมูเด้งคงจะต้องตายอยู่ในนั้น หมูเด้งรู้จักเพียงแต่คอกที่แห้งแล้งปราศจากพืชผลและหมูเด้งยังปราศจากโอกาสที่จะมีประสบการณในความกว้างขวาง หลากหลาย และความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงที่แอฟริกาตะวันตก”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000017873

    #MGROnline #สวนสัตว์เขาเขียว #หมูเด้ง #BornFree #PETA #แบนหมูเด้ง #นักท่องเที่ยว #อังกฤษ
    ๒ฮิปโปแคระ "หมูเด้ง" ของไทยตกเป็นข่าวดังเมื่อองค์กรอนุรักษ์ใหญ่ทั้ง Born Free และ PETA ออกรณรงค์แคมเปญ “แบนหมูเด้ง” ห้ามนักท่องเที่ยวในอังกฤษบินเข้ามาดูตัวหมูเด้งที่สวนสัตว์เขาเขียว ชี้สวนสัตว์เขาเขียวไม่ได้มาตรฐานสากลเพาะพันธุ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เพื่ออนุรักษ์แต่กลับใช้เพื่อแสวงกำไรล้วนๆ อ้างหมูเด้งหมดโอกาสตลอดชีวิตจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงที่ถิ่นเกิดแอฟริกาตะวันตก • เดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(20 ก.พ)ว่า ฮิปโปแคระ “หมูเด้ง” (Moo Deng) ชื่อดังที่กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกจากความน่ารักแก้มสีชมพูเป็นสัญลักษ์แต่ทว่าล่าสุดองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าชื่อดังข้ามชาติ PETA และ Born Free เปิดฉากรณรงค์กดดันนักท่องเที่ยวอังกฤษไม่ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวสวนสัตว์ต่างๆ รวมสวนสัตว์เขาเขียวของไทย ต่อแถวยาวเพื่อชมความน่ารักของฮิปโปแคระหมูเด้งดาวประจำสวนสัตว์ตัวทำเงินเรียกแขก • PETA และ Born Free วิตกว่ากระแสความโด่งดังของหมูเด้งจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ในฐานะสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จากการที่มีนักท่องเที่ยวมือบอนปาขวดน้ำ สิ่งของ หรือส่งเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจให้หมูเด้งอยู่ในเฟรมเพื่อถ่ายเซลฟี • PETA แถลงว่า “สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอ้างเพาะพันธุ์สัตว์ป่าในที่กักขังเพื่อการอนุรักษ์ แต่ขอให้พูดความจริง ธุรกิจเพื่อการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านี้ห่างไกลจากถิ่นเกิดตามธรรมชาติของพวกมันและขังสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักโทษเพื่อผลกำไร” • และยังโจมตีสวนสัตว์เขาเขียวต่อว่า “เขาเขียวเพาะพันธุ์หมูเด้งในสวนสัตว์ของไทยที่ไม่ได้มาตรฐาน และดูเหมือนว่าหมูเด้งคงจะต้องตายอยู่ในนั้น หมูเด้งรู้จักเพียงแต่คอกที่แห้งแล้งปราศจากพืชผลและหมูเด้งยังปราศจากโอกาสที่จะมีประสบการณในความกว้างขวาง หลากหลาย และความอบอุ่นของถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่แท้จริงที่แอฟริกาตะวันตก” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000017873 • #MGROnline #สวนสัตว์เขาเขียว #หมูเด้ง #BornFree #PETA #แบนหมูเด้ง #นักท่องเที่ยว #อังกฤษ
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • PETA โดน Community Note จากโพสต์กลุ่มนักเคลื่อนไหวประท้วงไทยใช้ลิงเก็บมะพร้าวหน้าสถานทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

    "ตามข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร ระบุว่าไม่มีลิงสักตัวที่ใช้เก็บมะพร้าวในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ลิงเหล่านี้ในการเก็บมะพร้าวเพราะไม่มีประสิทธิภาพ วิดีโอที่ PETA นำเสนอนั้นมีเพียงลิงหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น ไม่ใช่ลิงนับพันตัว"

    https://x.com/peta/status/1892212279749300704
    PETA โดน Community Note จากโพสต์กลุ่มนักเคลื่อนไหวประท้วงไทยใช้ลิงเก็บมะพร้าวหน้าสถานทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ "ตามข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร ระบุว่าไม่มีลิงสักตัวที่ใช้เก็บมะพร้าวในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ลิงเหล่านี้ในการเก็บมะพร้าวเพราะไม่มีประสิทธิภาพ วิดีโอที่ PETA นำเสนอนั้นมีเพียงลิงหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น ไม่ใช่ลิงนับพันตัว" https://x.com/peta/status/1892212279749300704
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
More Results