• Claude กับภารกิจหยุดยั้ง “สูตรระเบิดนิวเคลียร์”

    ในยุคที่ AI สามารถตอบคำถามแทบทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความกังวลก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะคำถามที่อาจนำไปสู่การสร้างอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ระเบิดนิวเคลียร์

    Anthropic บริษัทผู้พัฒนา Claude ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT ได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่าง NNSA (National Nuclear Security Administration) เพื่อพัฒนา “classifier” หรือระบบตรวจจับคำถามที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์

    ระบบนี้สามารถแยกแยะได้ว่า ผู้ใช้กำลังถามเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น “ฟิชชันคืออะไร” หรือกำลังพยายามขอ “แผนสร้างระเบิดยูเรเนียมในโรงรถ” ซึ่งถือเป็นการใช้งานที่อันตราย

    ผลการทดสอบพบว่า classifier นี้สามารถตรวจจับคำถามที่เป็นภัยได้ถึง 96% โดยใช้ชุดข้อมูลจำลองกว่า 300 แบบ และยังสามารถจับการใช้งานจริงที่มีความเสี่ยงได้ในบางกรณี เช่น การทดลองของทีม red team ภายในบริษัทเอง

    Anthropic ยังประกาศว่าจะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับกลุ่ม Frontier Model Forum ซึ่งรวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Google, Meta, Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยร่วมกันในวงการ AI

    แม้ Claude จะไม่เคยช่วยใครสร้างระเบิดจริง ๆ แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Anthropic พัฒนา classifier เพื่อป้องกันการใช้ Claude ในการออกแบบอาวุธนิวเคลียร์
    ร่วมมือกับ NNSA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ
    classifier สามารถแยกแยะคำถามทั่วไปกับคำถามที่มีเจตนาอันตราย
    ตรวจจับคำถามเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ได้แม่นยำถึง 96% จากชุดข้อมูลจำลอง
    ระบบถูกนำไปใช้จริงกับการสนทนาใน Claude บางส่วนแล้ว
    Claude สามารถจับคำถามของทีม red team ภายในบริษัทได้อย่างแม่นยำ
    Anthropic จะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับ Frontier Model Forum เพื่อสร้างมาตรฐานร่วม
    ผู้ใช้ยังสามารถถามเรื่องวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น พลังงานนิวเคลียร์หรือการแพทย์นิวเคลียร์ได้ตามปกติ
    ระบบนี้ทำงานคล้าย spam filter โดยตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Anthropic ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และ Google
    Claude ถูกเสนอให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้งานในราคาเพียง $1 เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย
    NNSA มีบทบาทในการดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และพัฒนาเทคโนโลยีด้านความมั่นคง
    ระบบ classifier ใช้การสรุปแบบลำดับชั้น (hierarchical summarization) เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด
    การพัฒนา classifier นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “red-teaming” ที่เน้นการทดสอบความปลอดภัยเชิงรุก

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/anthropic-will-nuke-your-attempt-to-use-ai-to-build-a-nuke
    🎙️ Claude กับภารกิจหยุดยั้ง “สูตรระเบิดนิวเคลียร์” ในยุคที่ AI สามารถตอบคำถามแทบทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความกังวลก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะคำถามที่อาจนำไปสู่การสร้างอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ Anthropic บริษัทผู้พัฒนา Claude ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT ได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่าง NNSA (National Nuclear Security Administration) เพื่อพัฒนา “classifier” หรือระบบตรวจจับคำถามที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ระบบนี้สามารถแยกแยะได้ว่า ผู้ใช้กำลังถามเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น “ฟิชชันคืออะไร” หรือกำลังพยายามขอ “แผนสร้างระเบิดยูเรเนียมในโรงรถ” ซึ่งถือเป็นการใช้งานที่อันตราย ผลการทดสอบพบว่า classifier นี้สามารถตรวจจับคำถามที่เป็นภัยได้ถึง 96% โดยใช้ชุดข้อมูลจำลองกว่า 300 แบบ และยังสามารถจับการใช้งานจริงที่มีความเสี่ยงได้ในบางกรณี เช่น การทดลองของทีม red team ภายในบริษัทเอง Anthropic ยังประกาศว่าจะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับกลุ่ม Frontier Model Forum ซึ่งรวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Google, Meta, Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยร่วมกันในวงการ AI แม้ Claude จะไม่เคยช่วยใครสร้างระเบิดจริง ๆ แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Anthropic พัฒนา classifier เพื่อป้องกันการใช้ Claude ในการออกแบบอาวุธนิวเคลียร์ ➡️ ร่วมมือกับ NNSA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ➡️ classifier สามารถแยกแยะคำถามทั่วไปกับคำถามที่มีเจตนาอันตราย ➡️ ตรวจจับคำถามเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ได้แม่นยำถึง 96% จากชุดข้อมูลจำลอง ➡️ ระบบถูกนำไปใช้จริงกับการสนทนาใน Claude บางส่วนแล้ว ➡️ Claude สามารถจับคำถามของทีม red team ภายในบริษัทได้อย่างแม่นยำ ➡️ Anthropic จะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับ Frontier Model Forum เพื่อสร้างมาตรฐานร่วม ➡️ ผู้ใช้ยังสามารถถามเรื่องวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น พลังงานนิวเคลียร์หรือการแพทย์นิวเคลียร์ได้ตามปกติ ➡️ ระบบนี้ทำงานคล้าย spam filter โดยตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Anthropic ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และ Google ➡️ Claude ถูกเสนอให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้งานในราคาเพียง $1 เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ➡️ NNSA มีบทบาทในการดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และพัฒนาเทคโนโลยีด้านความมั่นคง ➡️ ระบบ classifier ใช้การสรุปแบบลำดับชั้น (hierarchical summarization) เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด ➡️ การพัฒนา classifier นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “red-teaming” ที่เน้นการทดสอบความปลอดภัยเชิงรุก https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/anthropic-will-nuke-your-attempt-to-use-ai-to-build-a-nuke
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google?

    Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก

    ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26

    เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้

    หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

    แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri
    การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ
    เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ
    เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้
    หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple
    Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26
    Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ
    Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์
    Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง
    Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก
    Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari
    หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    🎙️ Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google? Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26 เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri ➡️ การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ ➡️ เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ ➡️ เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ ➡️ หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26 ➡️ Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ➡️ Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์ ➡️ Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง ➡️ Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก ➡️ Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari ➡️ หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • Raspberry Pi กับหน้าจอสัมผัส 5 นิ้ว – เล็กลง แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

    ในปี 2025 Raspberry Pi ได้เปิดตัวหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งเป็นรุ่นย่อส่วนจาก Touch Display 2 ขนาด 7 นิ้วที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออสพกพา หรือแดชบอร์ดฝังตัว

    แม้จะมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง (MSRP อยู่ที่ $40) แต่หน้าจอใหม่นี้ยังคงใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซลเหมือนเดิม และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวหน้าจอใช้ระบบสัมผัสแบบ capacitive รองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) และเชื่อมต่อผ่านพอร์ต DSI โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI หรือแหล่งจ่ายไฟแยก

    ข้อดีคือการติดตั้งง่ายมาก – ไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์หรือแก้ device tree ให้ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS หรือแม้แต่ Ubuntu ก็รองรับเช่นกัน

    Raspberry Pi ยังโชว์การใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสไลด์โชว์เพื่อสาธิตการทำงานของหน้าจอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดสามารถช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำได้

    อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่า “การลดขนาดหน้าจอ” เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะความละเอียดยังคงเท่าเดิม และประสบการณ์การสัมผัสยังขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่อาจมีข้อจำกัด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Raspberry Pi เปิดตัวหน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้วรุ่นใหม่ในปี 2025
    ใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซล เหมือนรุ่น 7 นิ้ว
    รองรับ multi-touch และเชื่อมต่อผ่าน DSI port โดยไม่ต้องใช้ HDMI
    ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS โดยไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์
    ใช้พลังงานจาก GPIO 5V ของบอร์ด Raspberry Pi โดยตรง
    เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออส หรือแดชบอร์ดฝังตัว
    Raspberry Pi ใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสาธิตการใช้งานหน้าจอ
    ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ $40–$50 แล้วแต่ผู้จัดจำหน่าย
    รองรับการใช้งานบน Ubuntu และ Linux distros อื่น ๆ ด้วย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หน้าจอใช้ LCD TFT แบบ 24-bit RGB ให้สีสันระดับ “ล้านสี”
    รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด (five-finger gestures)
    Raspberry Pi ประกาศว่าจะผลิตหน้าจอนี้ต่อเนื่องถึงปี 2030
    SunFounder 10.1 นิ้ว เป็นอีกทางเลือกที่มีความละเอียดสูงกว่า (1280x800) และรองรับ 10-point touch
    หน้าจอ 5 นิ้วเหมาะกับการใช้งานแบบฝังตัวมากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น เขียนบล็อกหรือทำงานเอกสาร

    https://www.techradar.com/pro/time-for-your-next-smart-home-project-raspberry-pi-adds-an-improved-touchscreen-so-its-time-to-get-building
    🎙️ Raspberry Pi กับหน้าจอสัมผัส 5 นิ้ว – เล็กลง แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ในปี 2025 Raspberry Pi ได้เปิดตัวหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ขนาด 5 นิ้ว ซึ่งเป็นรุ่นย่อส่วนจาก Touch Display 2 ขนาด 7 นิ้วที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออสพกพา หรือแดชบอร์ดฝังตัว แม้จะมีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง (MSRP อยู่ที่ $40) แต่หน้าจอใหม่นี้ยังคงใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซลเหมือนเดิม และไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวหน้าจอใช้ระบบสัมผัสแบบ capacitive รองรับการสัมผัสหลายจุด (multi-touch) และเชื่อมต่อผ่านพอร์ต DSI โดยไม่ต้องใช้สาย HDMI หรือแหล่งจ่ายไฟแยก ข้อดีคือการติดตั้งง่ายมาก – ไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์หรือแก้ device tree ให้ยุ่งยาก และสามารถใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS หรือแม้แต่ Ubuntu ก็รองรับเช่นกัน Raspberry Pi ยังโชว์การใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสไลด์โชว์เพื่อสาธิตการทำงานของหน้าจอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ AI ในการเขียนโค้ดสามารถช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำได้ อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งคำถามว่า “การลดขนาดหน้าจอ” เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะความละเอียดยังคงเท่าเดิม และประสบการณ์การสัมผัสยังขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ที่อาจมีข้อจำกัด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Raspberry Pi เปิดตัวหน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้วรุ่นใหม่ในปี 2025 ➡️ ใช้ความละเอียด 720x1280 พิกเซล เหมือนรุ่น 7 นิ้ว ➡️ รองรับ multi-touch และเชื่อมต่อผ่าน DSI port โดยไม่ต้องใช้ HDMI ➡️ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีบน Raspberry Pi OS โดยไม่ต้องปรับแต่งไดรเวอร์ ➡️ ใช้พลังงานจาก GPIO 5V ของบอร์ด Raspberry Pi โดยตรง ➡️ เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฮม คีออส หรือแดชบอร์ดฝังตัว ➡️ Raspberry Pi ใช้ AI ในการช่วยพัฒนาแอปสาธิตการใช้งานหน้าจอ ➡️ ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ $40–$50 แล้วแต่ผู้จัดจำหน่าย ➡️ รองรับการใช้งานบน Ubuntu และ Linux distros อื่น ๆ ด้วย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หน้าจอใช้ LCD TFT แบบ 24-bit RGB ให้สีสันระดับ “ล้านสี” ➡️ รองรับการสัมผัสพร้อมกัน 5 จุด (five-finger gestures) ➡️ Raspberry Pi ประกาศว่าจะผลิตหน้าจอนี้ต่อเนื่องถึงปี 2030 ➡️ SunFounder 10.1 นิ้ว เป็นอีกทางเลือกที่มีความละเอียดสูงกว่า (1280x800) และรองรับ 10-point touch ➡️ หน้าจอ 5 นิ้วเหมาะกับการใช้งานแบบฝังตัวมากกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น เขียนบล็อกหรือทำงานเอกสาร https://www.techradar.com/pro/time-for-your-next-smart-home-project-raspberry-pi-adds-an-improved-touchscreen-so-its-time-to-get-building
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศักดิ์ศรีทัังหมดของเขมรคือภูมะเขือ ,เสียอะไรก็เสียได้ ยึดคืนใดๆก็ยึดได้ แต่ไทยเรายึดภูมะเขือจากมันคืนได้ มันโคตรเสียหน้าเสียเกียรติสุดๆมันว่า.,และยุทธศาสตร์จริงๆก็ภูมะเขือ นัยยะสาระพัดที่ภูมะเขือนี้,เขาพระวิหารแค่ปราสาท แต่นี้มันตั้งฐานสาระพัดก็ได้,จุดชมวิวก็เยี่ยม.

    https://youtube.com/shorts/Q-2WTaA5sXc?si=zeOsmSA_OvOsZBFj
    ศักดิ์ศรีทัังหมดของเขมรคือภูมะเขือ ,เสียอะไรก็เสียได้ ยึดคืนใดๆก็ยึดได้ แต่ไทยเรายึดภูมะเขือจากมันคืนได้ มันโคตรเสียหน้าเสียเกียรติสุดๆมันว่า.,และยุทธศาสตร์จริงๆก็ภูมะเขือ นัยยะสาระพัดที่ภูมะเขือนี้,เขาพระวิหารแค่ปราสาท แต่นี้มันตั้งฐานสาระพัดก็ได้,จุดชมวิวก็เยี่ยม. https://youtube.com/shorts/Q-2WTaA5sXc?si=zeOsmSA_OvOsZBFj
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • Arch Linux กับการโจมตีที่ไม่รู้ว่าใครทำ และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่

    ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Arch Linux ซึ่งเป็นหนึ่งในดิสโทรยอดนิยมของสายลินุกซ์ขั้นสูง ถูกโจมตีด้วย DDoS อย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือเว็บไซต์หลัก, Arch User Repository (AUR), และฟอรัมของชุมชน

    การโจมตีนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การดาวน์โหลดแพ็กเกจ, การอัปเดตระบบ, หรือแม้แต่การติดตั้ง ISO ใหม่ได้อย่างราบรื่น ทีมงานของ Arch ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัคร กำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ และกำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงต้นทุน ความปลอดภัย และจริยธรรม

    แม้จะมีข้อเสนอจาก Cloudflare ซึ่งเคยช่วยโครงการโอเพ่นซอร์สอื่น ๆ มาก่อน แต่ Arch ยังไม่ตอบรับอย่างเป็นทางการ อาจเพราะแนวคิดเรื่องความเป็นอิสระและโอเพ่นซอร์สที่ฝังลึกในโครงการนี้

    ที่น่าสนใจคือ Arch Linux ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการเป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งทำให้มีผู้ใช้ใหม่จำนวนมาก และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กลุ่มโจมตีเล็งเป้าไปที่โครงการนี้

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Arch Linux ถูกโจมตีด้วย DDoS ต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์
    บริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เว็บไซต์หลัก, AUR, และฟอรัมของชุมชน
    ทีมงานกำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ
    กำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงจริยธรรมและต้นทุน
    มีการอัปเดตสถานะบริการผ่านหน้า status page ของ Arch Linux
    Arch Linux เป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งเพิ่มความนิยมในช่วงหลัง
    ผู้ใช้สามารถใช้ mirror list ใน pacman-mirrorlist แทน reflector หากระบบหลักล่ม
    AUR ยังสามารถเข้าถึงผ่าน GitHub mirror โดยใช้คำสั่ง git clone
    Arch Linux ก่อตั้งในปี 2002 โดย Judd Vinet ตามหลัก KISS (Keep It Simple, Stupid)
    ทีมงานขอบคุณชุมชนที่อดทนและให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Arch Linux เคยเผชิญปัญหา malware ใน AUR มาก่อนหน้านี้ในช่วงฤดูร้อน
    การโจมตี DDoS แบบ sustained แม้ไม่รุนแรงมากก็สร้างความเสียหายได้มาก
    Cloudflare เสนอช่วยเหลือ แต่ Arch ยังไม่ตอบรับ อาจเพราะแนวคิดเรื่องโอเพ่นซอร์ส
    ArchWiki เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี
    Arch Linux มีผู้ใช้ที่ภักดีและนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับกลางถึงขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/software/linux/arch-linux-continues-to-feel-the-force-of-a-ddos-attack-after-two-brutal-weeks-attackers-yet-to-be-identified-as-project-struggles-to-restore-full-service
    🎙️ Arch Linux กับการโจมตีที่ไม่รู้ว่าใครทำ และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Arch Linux ซึ่งเป็นหนึ่งในดิสโทรยอดนิยมของสายลินุกซ์ขั้นสูง ถูกโจมตีด้วย DDoS อย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือเว็บไซต์หลัก, Arch User Repository (AUR), และฟอรัมของชุมชน การโจมตีนี้ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น การดาวน์โหลดแพ็กเกจ, การอัปเดตระบบ, หรือแม้แต่การติดตั้ง ISO ใหม่ได้อย่างราบรื่น ทีมงานของ Arch ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัคร กำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ และกำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงต้นทุน ความปลอดภัย และจริยธรรม แม้จะมีข้อเสนอจาก Cloudflare ซึ่งเคยช่วยโครงการโอเพ่นซอร์สอื่น ๆ มาก่อน แต่ Arch ยังไม่ตอบรับอย่างเป็นทางการ อาจเพราะแนวคิดเรื่องความเป็นอิสระและโอเพ่นซอร์สที่ฝังลึกในโครงการนี้ ที่น่าสนใจคือ Arch Linux ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการเป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งทำให้มีผู้ใช้ใหม่จำนวนมาก และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กลุ่มโจมตีเล็งเป้าไปที่โครงการนี้ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Arch Linux ถูกโจมตีด้วย DDoS ต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ ➡️ บริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เว็บไซต์หลัก, AUR, และฟอรัมของชุมชน ➡️ ทีมงานกำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโฮสติ้งเพื่อบรรเทาผลกระทบ ➡️ กำลังพิจารณาผู้ให้บริการ DDoS protection โดยคำนึงถึงจริยธรรมและต้นทุน ➡️ มีการอัปเดตสถานะบริการผ่านหน้า status page ของ Arch Linux ➡️ Arch Linux เป็นฐานของ SteamOS บน Steam Deck ซึ่งเพิ่มความนิยมในช่วงหลัง ➡️ ผู้ใช้สามารถใช้ mirror list ใน pacman-mirrorlist แทน reflector หากระบบหลักล่ม ➡️ AUR ยังสามารถเข้าถึงผ่าน GitHub mirror โดยใช้คำสั่ง git clone ➡️ Arch Linux ก่อตั้งในปี 2002 โดย Judd Vinet ตามหลัก KISS (Keep It Simple, Stupid) ➡️ ทีมงานขอบคุณชุมชนที่อดทนและให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Arch Linux เคยเผชิญปัญหา malware ใน AUR มาก่อนหน้านี้ในช่วงฤดูร้อน ➡️ การโจมตี DDoS แบบ sustained แม้ไม่รุนแรงมากก็สร้างความเสียหายได้มาก ➡️ Cloudflare เสนอช่วยเหลือ แต่ Arch ยังไม่ตอบรับ อาจเพราะแนวคิดเรื่องโอเพ่นซอร์ส ➡️ ArchWiki เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี ➡️ Arch Linux มีผู้ใช้ที่ภักดีและนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับกลางถึงขั้นสูง https://www.tomshardware.com/software/linux/arch-linux-continues-to-feel-the-force-of-a-ddos-attack-after-two-brutal-weeks-attackers-yet-to-be-identified-as-project-struggles-to-restore-full-service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อการ์ดจอเกมกลายร่างเป็นเครื่องมือ AI ระดับมืออาชีพ

    ในโลกที่กราฟิกการ์ดไม่ได้มีไว้แค่เล่นเกมอีกต่อไป AFOX ได้เปิดตัว GeForce RTX 5090 32GB Professional ซึ่งเป็นการ์ดจอแบบ blower-style ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ AI และเวิร์กสเตชันระดับสูง โดยวางขายในสหรัฐฯ ด้วยราคาสูงถึง $5,999

    แม้จะไม่ใช่พันธมิตรอย่างเป็นทางการของ Nvidia แต่ AFOX ก็มีประสบการณ์ผลิตการ์ด blower-style มาตั้งแต่ยุค GTX 10-series และยังคงเดินหน้าต่อแม้ Nvidia เคยพยายามห้ามการผลิตรุ่น blower ของ RTX 3090

    การ์ดรุ่นนี้มีดีไซน์แบบ dual-slot ทำให้สามารถติดตั้งได้ถึง 4 ใบในเมนบอร์ดระดับ HEDT หรือเวิร์กสเตชัน ซึ่งเหมาะกับงาน AI ที่ต้องการประสิทธิภาพแบบขนานหลายชุด

    แม้จะใช้ชิปเดียวกับ RTX 5090 Founders Edition แต่ AFOX ปรับตำแหน่งหัวต่อไฟ 16-pin ไปไว้ด้านหลังเหมือนการ์ดระดับมืออาชีพ และยังคงความแรงไว้ที่ base clock 2,017 MHz และ boost clock 2,407 MHz

    ราคานี้อาจดูสูงเกินไปสำหรับเกมเมอร์ทั่วไป แต่สำหรับบริษัทด้าน AI ที่ต้องการการ์ดที่เชื่อถือได้จากแบรนด์ที่มีการรับประกัน ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าการซื้อจากโรงงานจีนที่ไม่มีชื่อเสียง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AFOX เปิดตัว GeForce RTX 5090 32GB Professional แบบ blower-style
    วางขายในสหรัฐฯ ที่ราคา $5,999 ผ่านร้าน HydraCluster Tech
    ดีไซน์ dual-slot รองรับการติดตั้งหลายใบในระบบเวิร์กสเตชัน
    ใช้ชิปเดียวกับ RTX 5090 Founders Edition พร้อม base clock 2,017 MHz และ boost clock 2,407 MHz
    หัวต่อไฟ 16-pin ถูกย้ายไปด้านหลังเหมือนการ์ดระดับมืออาชีพ
    เหมาะสำหรับงาน AI มากกว่าการเล่นเกมหรือสร้างคอนเทนต์
    AFOX มีประสบการณ์ผลิตการ์ด blower-style มาตั้งแต่ GTX 10-series
    Nvidia ยังไม่ออกการ์ด blower-style อย่างเป็นทางการในรุ่น RTX 5090
    การ์ดนี้มีการรับประกันจาก AFOX ต่างจากการ์ดที่ผลิตจากโรงงานจีน
    ราคาปกติอยู่ที่ $6,500 แต่ลดเหลือ $5,999 ในช่วงเปิดตัว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/rtx-5090-blower-gpu-sells-for-usd5-999-at-u-s-retailer-dual-slot-design-converts-blackwell-gaming-flagship-into-an-ai-workhorse
    🎙️ เมื่อการ์ดจอเกมกลายร่างเป็นเครื่องมือ AI ระดับมืออาชีพ ในโลกที่กราฟิกการ์ดไม่ได้มีไว้แค่เล่นเกมอีกต่อไป AFOX ได้เปิดตัว GeForce RTX 5090 32GB Professional ซึ่งเป็นการ์ดจอแบบ blower-style ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ AI และเวิร์กสเตชันระดับสูง โดยวางขายในสหรัฐฯ ด้วยราคาสูงถึง $5,999 แม้จะไม่ใช่พันธมิตรอย่างเป็นทางการของ Nvidia แต่ AFOX ก็มีประสบการณ์ผลิตการ์ด blower-style มาตั้งแต่ยุค GTX 10-series และยังคงเดินหน้าต่อแม้ Nvidia เคยพยายามห้ามการผลิตรุ่น blower ของ RTX 3090 การ์ดรุ่นนี้มีดีไซน์แบบ dual-slot ทำให้สามารถติดตั้งได้ถึง 4 ใบในเมนบอร์ดระดับ HEDT หรือเวิร์กสเตชัน ซึ่งเหมาะกับงาน AI ที่ต้องการประสิทธิภาพแบบขนานหลายชุด แม้จะใช้ชิปเดียวกับ RTX 5090 Founders Edition แต่ AFOX ปรับตำแหน่งหัวต่อไฟ 16-pin ไปไว้ด้านหลังเหมือนการ์ดระดับมืออาชีพ และยังคงความแรงไว้ที่ base clock 2,017 MHz และ boost clock 2,407 MHz ราคานี้อาจดูสูงเกินไปสำหรับเกมเมอร์ทั่วไป แต่สำหรับบริษัทด้าน AI ที่ต้องการการ์ดที่เชื่อถือได้จากแบรนด์ที่มีการรับประกัน ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่าการซื้อจากโรงงานจีนที่ไม่มีชื่อเสียง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AFOX เปิดตัว GeForce RTX 5090 32GB Professional แบบ blower-style ➡️ วางขายในสหรัฐฯ ที่ราคา $5,999 ผ่านร้าน HydraCluster Tech ➡️ ดีไซน์ dual-slot รองรับการติดตั้งหลายใบในระบบเวิร์กสเตชัน ➡️ ใช้ชิปเดียวกับ RTX 5090 Founders Edition พร้อม base clock 2,017 MHz และ boost clock 2,407 MHz ➡️ หัวต่อไฟ 16-pin ถูกย้ายไปด้านหลังเหมือนการ์ดระดับมืออาชีพ ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI มากกว่าการเล่นเกมหรือสร้างคอนเทนต์ ➡️ AFOX มีประสบการณ์ผลิตการ์ด blower-style มาตั้งแต่ GTX 10-series ➡️ Nvidia ยังไม่ออกการ์ด blower-style อย่างเป็นทางการในรุ่น RTX 5090 ➡️ การ์ดนี้มีการรับประกันจาก AFOX ต่างจากการ์ดที่ผลิตจากโรงงานจีน ➡️ ราคาปกติอยู่ที่ $6,500 แต่ลดเหลือ $5,999 ในช่วงเปิดตัว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/rtx-5090-blower-gpu-sells-for-usd5-999-at-u-s-retailer-dual-slot-design-converts-blackwell-gaming-flagship-into-an-ai-workhorse
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นลุกขึ้นมาบอกว่า “พอแล้วกับจอ!”

    ลองจินตนาการว่าเมืองที่คุณอยู่ประกาศแนะนำให้ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง (นอกเวลางานหรือเรียน) ไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมชีวิตคุณ แต่เพราะห่วงสุขภาพจิตและการนอนหลับของประชาชน

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทโยอาเกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพิจารณาร่างข้อเสนอที่ไม่บังคับใช้ตามกฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ แต่มีเป้าหมายชัดเจน: ลดผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน

    ข้อเสนอแนะนำให้เด็กประถมเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา

    แม้ข้อเสนอจะได้รับเสียงชื่นชมจากบางฝ่าย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะจากผู้ใช้โซเชียลที่มองว่า “สองชั่วโมงมันน้อยเกินไป” และ “ควรปล่อยให้ครอบครัวตัดสินใจเอง”

    นายกเทศมนตรีออกมาชี้แจงว่า ข้อเสนอไม่ได้บังคับ และยังยอมรับว่าสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มากเกินไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เมืองโทโยอาเกะเสนอให้จำกัดเวลาใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน (นอกงาน/เรียน)
    ข้อเสนอเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ
    เด็กประถมควรเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น.
    เป้าหมายคือป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการนอนหลับจากการใช้หน้าจอมากเกินไป
    นายกเทศมนตรียืนยันว่าแนวทางนี้ไม่บังคับ และยอมรับว่าสมาร์ตโฟนมีประโยชน์
    ข้อเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า และอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม
    เคยมีกรณีคล้ายกันในจังหวัดคางาวะ ปี 2020 ที่จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก
    ผลสำรวจจาก Children and Families Agency พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้หน้าจอมากเกินไปเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาการนอนในวัยรุ่น
    สมาร์ตโฟนมีผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน”
    การจำกัดเวลาใช้หน้าจอช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนและสมาธิในการเรียน
    หลายประเทศเริ่มรณรงค์ “Digital Detox” เพื่อให้ประชาชนพักจากหน้าจอ
    การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปในเด็กเล็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/japan-city-proposes-two-hour-daily-smartphone-limit
    🎙️ เมื่อเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นลุกขึ้นมาบอกว่า “พอแล้วกับจอ!” ลองจินตนาการว่าเมืองที่คุณอยู่ประกาศแนะนำให้ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง (นอกเวลางานหรือเรียน) ไม่ใช่เพราะต้องการควบคุมชีวิตคุณ แต่เพราะห่วงสุขภาพจิตและการนอนหลับของประชาชน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองโทโยอาเกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังพิจารณาร่างข้อเสนอที่ไม่บังคับใช้ตามกฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ แต่มีเป้าหมายชัดเจน: ลดผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อเสนอแนะนำให้เด็กประถมเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา แม้ข้อเสนอจะได้รับเสียงชื่นชมจากบางฝ่าย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยเฉพาะจากผู้ใช้โซเชียลที่มองว่า “สองชั่วโมงมันน้อยเกินไป” และ “ควรปล่อยให้ครอบครัวตัดสินใจเอง” นายกเทศมนตรีออกมาชี้แจงว่า ข้อเสนอไม่ได้บังคับ และยังยอมรับว่าสมาร์ตโฟนเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยให้คนตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มากเกินไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เมืองโทโยอาเกะเสนอให้จำกัดเวลาใช้สมาร์ตโฟนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน (นอกงาน/เรียน) ➡️ ข้อเสนอเป็นแนวทาง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ ➡️ เด็กประถมควรเลิกใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. และมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. ➡️ เป้าหมายคือป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการนอนหลับจากการใช้หน้าจอมากเกินไป ➡️ นายกเทศมนตรียืนยันว่าแนวทางนี้ไม่บังคับ และยอมรับว่าสมาร์ตโฟนมีประโยชน์ ➡️ ข้อเสนอจะเข้าสู่การพิจารณาในสัปดาห์หน้า และอาจมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม ➡️ เคยมีกรณีคล้ายกันในจังหวัดคางาวะ ปี 2020 ที่จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก ➡️ ผลสำรวจจาก Children and Families Agency พบว่าเยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้หน้าจอมากเกินไปเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาการนอนในวัยรุ่น ➡️ สมาร์ตโฟนมีผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดว่า “ยังไม่ถึงเวลานอน” ➡️ การจำกัดเวลาใช้หน้าจอช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนและสมาธิในการเรียน ➡️ หลายประเทศเริ่มรณรงค์ “Digital Detox” เพื่อให้ประชาชนพักจากหน้าจอ ➡️ การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไปในเด็กเล็กอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/22/japan-city-proposes-two-hour-daily-smartphone-limit
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan city proposes two-hour daily smartphone limit
    A Japanese city will urge all smartphone users to limit screen time to two hours a day outside work or school under a proposed ordinance that includes no penalties.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง

    รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น

    ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ

    ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ

    แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024
    สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
    Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์
    Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%)
    เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน
    การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์
    Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี
    97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI
    63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา
    การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI
    Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก
    การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%)
    การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้
    การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา

    https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    🎙️ เมื่อข้อมูลรั่วไหลไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องเงิน ชื่อเสียง และอนาคตขององค์กร ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณถูกเจาะระบบ ข้อมูลลูกค้าไหลออกไปสู่มือแฮกเกอร์ และคุณต้องรับมือกับความเสียหายที่ไม่ใช่แค่ค่าแก้ไขระบบ แต่รวมถึงค่าปรับทางกฎหมาย การสูญเสียลูกค้า และราคาหุ้นที่ร่วงลง รายงานล่าสุดจาก IBM และ Ponemon Institute เผยว่า แม้ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกจะลดลงเหลือ $4.44 ล้านในปี 2025 — ครั้งแรกในรอบ 5 ปี — แต่ในสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นเป็น $10.22 ล้านต่อเหตุการณ์ เพราะค่าปรับและต้นทุนการตรวจจับที่สูงขึ้น ต้นเหตุหลักของการรั่วไหลยังคงเป็น phishing (16%) และการเจาะระบบผ่านซัพพลายเชน (15%) ซึ่งใช้ช่องโหว่จาก API หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระบบ AI ที่กำลังถูกนำมาใช้โดยไม่มีการกำกับดูแลที่เพียงพอ ที่น่าตกใจคือ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI และ 63% ยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI เลยด้วยซ้ำ แม้ AI จะช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้มากถึง 80 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้าน แต่หากไม่มีการจัดการ governance ที่ดี ก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ความเสียหายหนักขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ค่าเฉลี่ยของการรั่วไหลข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ $4.44 ล้าน ลดลง 9% จากปี 2024 ➡️ สหรัฐฯ มีค่าเสียหายสูงสุดที่ $10.22 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ➡️ Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เสียหายมากที่สุด เฉลี่ย $7.42 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Phishing เป็นสาเหตุหลักของการรั่วไหล (16%) รองลงมาคือการเจาะระบบซัพพลายเชน (15%) ➡️ เวลาเฉลี่ยในการตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ลดลงเหลือ 241 วัน ➡️ การใช้ AI และ automation ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ย $2.22 ล้านต่อเหตุการณ์ ➡️ Shadow AI เป็นสาเหตุของการรั่วไหลใน 20% ขององค์กรที่ถูกโจมตี ➡️ 97% ขององค์กรที่ถูกโจมตีผ่าน AI ไม่มีระบบควบคุมการเข้าถึง AI ➡️ 63% ขององค์กรยังไม่มีนโยบายกำกับดูแล AI หรือกำลังอยู่ระหว่างพัฒนา ➡️ การใช้ DevSecOps และ SIEM เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรั่วไหล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การเจาะระบบผ่าน API ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นช่องทางหลักในการโจมตี AI ➡️ Shadow AI มักใช้ API ที่ไม่มีการล็อกอินหรือการตรวจสอบ ทำให้ตรวจจับยาก ➡️ การรั่วไหลผ่าน AI มีผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล (65%) และทรัพย์สินทางปัญญา (40%) ➡️ การโจมตีผ่าน AI มักใช้ phishing และ deepfake เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ ➡️ การไม่มีระบบ inventory สำหรับ API ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบช่องโหว่ได้ทันเวลา https://www.csoonline.com/article/567697/what-is-the-cost-of-a-data-breach-3.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is the cost of a data breach?
    The cost of a data breach is not easy to define, but as organizations increasingly fall victim to attacks and exposures, financial repercussions are becoming clearer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคำสั่งเดียวใน Terminal เปลี่ยน Mac ให้กลายเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์

    ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ macOS ทั่วโลกที่กำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหาเล็ก ๆ เช่น “flush DNS cache” กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ช่วยเหลือปลอมที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง mac-safer.com และ rescue-mac.com ซึ่งปรากฏในผลการค้นหาผ่านโฆษณา Google

    เว็บไซต์เหล่านี้แนะนำให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวไปวางใน Terminal เพื่อ “แก้ปัญหา” แต่แท้จริงแล้ว คำสั่งนั้นคือกับดักที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ที่พัฒนาโดยกลุ่ม COOKIE SPIDER

    SHAMOS ไม่เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านจาก Keychain หรือข้อมูลจาก Apple Notes และเบราว์เซอร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถดึงข้อมูลจากกระเป๋าเงินคริปโต สร้างไฟล์ ZIP เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เช่น แอป Ledger Live ปลอม และบอตเน็ต

    แคมเปญนี้ยังใช้ GitHub ปลอม เช่น repo ของ iTerm2 เพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งที่ดูเหมือนเป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์จริง แต่กลับเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยตรง

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้ได้ผลคือความเรียบง่ายและการใช้เทคนิค “ClickFix” ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังแก้ปัญหา แต่จริง ๆ แล้วกำลังเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในระบบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม COOKIE SPIDER ใช้มัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer
    แคมเปญใช้ malvertising ผ่าน Google Ads เพื่อหลอกผู้ใช้ macOS
    เว็บไซต์ปลอม เช่น mac-safer.com และ rescue-mac.com ถูกใช้เป็นกับดัก
    คำสั่ง Terminal เพียงบรรทัดเดียวสามารถติดตั้งมัลแวร์โดยข้าม Gatekeeper
    SHAMOS ขโมยข้อมูลจาก Keychain, Apple Notes, เบราว์เซอร์ และกระเป๋าเงินคริปโต
    มัลแวร์บันทึกข้อมูลในไฟล์ ZIP และส่งออกผ่าน curl
    มีการติดตั้ง LaunchDaemons เพื่อให้มัลแวร์ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
    SHAMOS สามารถดาวน์โหลด payload เพิ่มเติม เช่น แอปปลอมและบอตเน็ต
    GitHub ปลอมถูกใช้เป็นช่องทางเสริมในการหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์
    แคมเปญนี้โจมตีผู้ใช้ในกว่า 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคนิค “ClickFix” ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ รวมถึงใน TikTok และ Google Meet ปลอม
    คำสั่งแบบ one-liner เช่น curl | bash เป็นช่องโหว่ที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่
    Gatekeeper ของ macOS สามารถถูกข้ามได้ด้วยการลบ quarantine flag ผ่าน xattr
    การใช้ Base64 encoding ช่วยซ่อน URL ของมัลแวร์จากสายตาผู้ใช้
    การปลอมตัวเป็นร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ในโปรไฟล์โฆษณา Google เพิ่มความน่าเชื่อถือ

    https://hackread.com/cookie-spider-malvertising-new-shamos-macos-malware/
    🎙️ เมื่อคำสั่งเดียวใน Terminal เปลี่ยน Mac ให้กลายเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ macOS ทั่วโลกที่กำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหาเล็ก ๆ เช่น “flush DNS cache” กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ช่วยเหลือปลอมที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง mac-safer.com และ rescue-mac.com ซึ่งปรากฏในผลการค้นหาผ่านโฆษณา Google เว็บไซต์เหล่านี้แนะนำให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวไปวางใน Terminal เพื่อ “แก้ปัญหา” แต่แท้จริงแล้ว คำสั่งนั้นคือกับดักที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ที่พัฒนาโดยกลุ่ม COOKIE SPIDER SHAMOS ไม่เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านจาก Keychain หรือข้อมูลจาก Apple Notes และเบราว์เซอร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถดึงข้อมูลจากกระเป๋าเงินคริปโต สร้างไฟล์ ZIP เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เช่น แอป Ledger Live ปลอม และบอตเน็ต แคมเปญนี้ยังใช้ GitHub ปลอม เช่น repo ของ iTerm2 เพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งที่ดูเหมือนเป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์จริง แต่กลับเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยตรง สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้ได้ผลคือความเรียบง่ายและการใช้เทคนิค “ClickFix” ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังแก้ปัญหา แต่จริง ๆ แล้วกำลังเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในระบบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม COOKIE SPIDER ใช้มัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ➡️ แคมเปญใช้ malvertising ผ่าน Google Ads เพื่อหลอกผู้ใช้ macOS ➡️ เว็บไซต์ปลอม เช่น mac-safer.com และ rescue-mac.com ถูกใช้เป็นกับดัก ➡️ คำสั่ง Terminal เพียงบรรทัดเดียวสามารถติดตั้งมัลแวร์โดยข้าม Gatekeeper ➡️ SHAMOS ขโมยข้อมูลจาก Keychain, Apple Notes, เบราว์เซอร์ และกระเป๋าเงินคริปโต ➡️ มัลแวร์บันทึกข้อมูลในไฟล์ ZIP และส่งออกผ่าน curl ➡️ มีการติดตั้ง LaunchDaemons เพื่อให้มัลแวร์ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ➡️ SHAMOS สามารถดาวน์โหลด payload เพิ่มเติม เช่น แอปปลอมและบอตเน็ต ➡️ GitHub ปลอมถูกใช้เป็นช่องทางเสริมในการหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ ➡️ แคมเปญนี้โจมตีผู้ใช้ในกว่า 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคนิค “ClickFix” ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ รวมถึงใน TikTok และ Google Meet ปลอม ➡️ คำสั่งแบบ one-liner เช่น curl | bash เป็นช่องโหว่ที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่ ➡️ Gatekeeper ของ macOS สามารถถูกข้ามได้ด้วยการลบ quarantine flag ผ่าน xattr ➡️ การใช้ Base64 encoding ช่วยซ่อน URL ของมัลแวร์จากสายตาผู้ใช้ ➡️ การปลอมตัวเป็นร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ในโปรไฟล์โฆษณา Google เพิ่มความน่าเชื่อถือ https://hackread.com/cookie-spider-malvertising-new-shamos-macos-malware/
    HACKREAD.COM
    COOKIE SPIDER’s Malvertising Drops New SHAMOS macOS Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางลับของ SVG ที่นักพัฒนาเว็บควรรู้

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังวาดภาพด้วยปากกาเวกเตอร์บนผืนผ้าใบดิจิทัล — นั่นแหละคือสิ่งที่ SVG <path> ทำได้ มันคือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เราสร้างเส้นโค้ง รูปทรงซับซ้อน และแม้แต่แอนิเมชันที่น่าทึ่งได้ด้วยคำสั่งไม่กี่ตัว

    Josh Comeau พาเราเดินทางผ่านโลกของคำสั่ง SVG path ตั้งแต่พื้นฐานอย่าง M (Move) และ L (Line) ไปจนถึงคำสั่งโค้งขั้นสูงอย่าง Q, C, A และคำสั่งพิเศษอย่าง T, S, Z ที่ช่วยให้เส้นทางของเราลื่นไหลและปิดปลายได้อย่างสวยงาม

    เขาเปรียบเทียบแต่ละคำสั่งเหมือนขั้นตอนในสูตรอาหาร — ตัวอักษรคือคำสั่ง ส่วนตัวเลขคือส่วนผสมที่กำหนดตำแหน่งและทิศทางของเส้นทาง

    นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำที่น่าสนใจ เช่น การใช้ whitespace เพื่อให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น, การใช้ relative commands เพื่อเลื่อนตำแหน่งแบบสัมพันธ์ และการจัดการกับมุมแหลมที่อาจทำให้เส้นดูผิดปกติ

    สุดท้าย Josh ยังแนะนำคอร์ส “Whimsical Animations” ที่จะสอนการใช้ SVG path เพื่อสร้างแอนิเมชันระดับเทพ พร้อมเทคนิคที่เขาใช้จริงในงานของตัวเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    SVG <path> เป็นเครื่องมือหลักในการวาดเส้นโค้งและรูปทรงที่ซับซ้อน
    คำสั่งพื้นฐาน ได้แก่ M (Move), L (Line), Q (Quadratic Bézier), C (Cubic Bézier), A (Arc)
    คำสั่งพิเศษ เช่น Z (ปิดเส้นทาง), T และ S (ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่อง)
    คำสั่งมีทั้งแบบ absolute (ตัวใหญ่) และ relative (ตัวเล็ก)
    การใช้ whitespace และ comma ช่วยให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น โดยไม่กระทบขนาดไฟล์
    Arc command มีพารามิเตอร์หลายตัว เช่น rx, ry, rotation, large-arc-flag, sweep-flag การใช้ stroke-miterlimit ปรับมุมแหลมให้ไม่ถูกตัดเป็น bevel
    การใช้ Bézier curve ต้องระวัง “ข้อศอก” ที่เกิดจากการเชื่อมเส้นไม่สมูธ
    คำสั่ง T และ S ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่องโดยคำนวณ control point อัตโนมัติ
    Josh เปิดคอร์ส “Whimsical Animations” สำหรับผู้สนใจแอนิเมชันด้วย SVG

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SVG <path> เป็นพื้นฐานของการสร้างไอคอน, โลโก้, และ UI ที่ตอบสนอง
    Bézier curve ถูกใช้ใน CSS transition และ motion design อย่างแพร่หลาย
    Arc command มีความซับซ้อนสูง และมักถูกแทนด้วย <ellipse> หากไม่ต้องการควบคุมทิศทาง
    การใช้ relative commands เหมาะกับการสร้างรูปแบบที่ต้องเลื่อนตำแหน่งบ่อย
    SVG path สามารถใช้ร่วมกับ JavaScript เพื่อสร้างแอนิเมชันแบบ interactive ได้

    https://www.joshwcomeau.com/svg/interactive-guide-to-paths/
    🎙️ เส้นทางลับของ SVG ที่นักพัฒนาเว็บควรรู้ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังวาดภาพด้วยปากกาเวกเตอร์บนผืนผ้าใบดิจิทัล — นั่นแหละคือสิ่งที่ SVG <path> ทำได้ มันคือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เราสร้างเส้นโค้ง รูปทรงซับซ้อน และแม้แต่แอนิเมชันที่น่าทึ่งได้ด้วยคำสั่งไม่กี่ตัว Josh Comeau พาเราเดินทางผ่านโลกของคำสั่ง SVG path ตั้งแต่พื้นฐานอย่าง M (Move) และ L (Line) ไปจนถึงคำสั่งโค้งขั้นสูงอย่าง Q, C, A และคำสั่งพิเศษอย่าง T, S, Z ที่ช่วยให้เส้นทางของเราลื่นไหลและปิดปลายได้อย่างสวยงาม เขาเปรียบเทียบแต่ละคำสั่งเหมือนขั้นตอนในสูตรอาหาร — ตัวอักษรคือคำสั่ง ส่วนตัวเลขคือส่วนผสมที่กำหนดตำแหน่งและทิศทางของเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำที่น่าสนใจ เช่น การใช้ whitespace เพื่อให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น, การใช้ relative commands เพื่อเลื่อนตำแหน่งแบบสัมพันธ์ และการจัดการกับมุมแหลมที่อาจทำให้เส้นดูผิดปกติ สุดท้าย Josh ยังแนะนำคอร์ส “Whimsical Animations” ที่จะสอนการใช้ SVG path เพื่อสร้างแอนิเมชันระดับเทพ พร้อมเทคนิคที่เขาใช้จริงในงานของตัวเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ SVG <path> เป็นเครื่องมือหลักในการวาดเส้นโค้งและรูปทรงที่ซับซ้อน ➡️ คำสั่งพื้นฐาน ได้แก่ M (Move), L (Line), Q (Quadratic Bézier), C (Cubic Bézier), A (Arc) ➡️ คำสั่งพิเศษ เช่น Z (ปิดเส้นทาง), T และ S (ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่อง) ➡️ คำสั่งมีทั้งแบบ absolute (ตัวใหญ่) และ relative (ตัวเล็ก) ➡️ การใช้ whitespace และ comma ช่วยให้อ่านโค้ดง่ายขึ้น โดยไม่กระทบขนาดไฟล์ ➡️ Arc command มีพารามิเตอร์หลายตัว เช่น rx, ry, rotation, large-arc-flag, sweep-flag ➡️ การใช้ stroke-miterlimit ปรับมุมแหลมให้ไม่ถูกตัดเป็น bevel ➡️ การใช้ Bézier curve ต้องระวัง “ข้อศอก” ที่เกิดจากการเชื่อมเส้นไม่สมูธ ➡️ คำสั่ง T และ S ช่วยให้เส้นโค้งต่อเนื่องโดยคำนวณ control point อัตโนมัติ ➡️ Josh เปิดคอร์ส “Whimsical Animations” สำหรับผู้สนใจแอนิเมชันด้วย SVG ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SVG <path> เป็นพื้นฐานของการสร้างไอคอน, โลโก้, และ UI ที่ตอบสนอง ➡️ Bézier curve ถูกใช้ใน CSS transition และ motion design อย่างแพร่หลาย ➡️ Arc command มีความซับซ้อนสูง และมักถูกแทนด้วย <ellipse> หากไม่ต้องการควบคุมทิศทาง ➡️ การใช้ relative commands เหมาะกับการสร้างรูปแบบที่ต้องเลื่อนตำแหน่งบ่อย ➡️ SVG path สามารถใช้ร่วมกับ JavaScript เพื่อสร้างแอนิเมชันแบบ interactive ได้ https://www.joshwcomeau.com/svg/interactive-guide-to-paths/
    WWW.JOSHWCOMEAU.COM
    An Interactive Guide to SVG Paths • Josh W. Comeau
    SVG gives us many different primitives to work with, but by far the most powerful is the element. Unfortunately, it’s also the most inscrutable, with its compact Regex-style syntax. In this tutorial, we’ll demystify this infamous element and see some of the cool things we can do with it!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mythic Words From Mythologies Around The World

    It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends.

    Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today.

    California

    While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today.

    chimeric

    Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent.

    hell

    While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE.

    hurricane

    When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s.

    Nike

    Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her.

    plutocracy

    Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655.

    protean

    The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea.

    quetzalcoatlus

    Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing.

    ragnarok

    Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok).

    Subaru

    Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another.

    Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday

    If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations.

    Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal.

    While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire.

    weird

    While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Mythic Words From Mythologies Around The World It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends. Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today. California While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today. chimeric Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent. hell While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE. hurricane When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s. Nike Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her. plutocracy Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655. protean The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea. quetzalcoatlus Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing. ragnarok Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok). Subaru Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another. Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations. Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal. While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire. weird While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี

    ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้

    หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ
    รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20
    บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20
    รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15%
    NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn
    NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน
    B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก
    NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร
    ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน
    จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20
    NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน
    จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13%
    การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์

    https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    🎙️ NVIDIA กับเกมการเมืองระหว่างประเทศ – เมื่อชิป H20 กลายเป็นตัวประกันทางเทคโนโลยี ในปี 2025 NVIDIA ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับชิป H20 ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์อนุญาตให้ NVIDIA กลับมาขายชิป H20 ได้อีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าต้องแบ่งรายได้ 15% จากยอดขายในจีนให้รัฐบาลสหรัฐฯ แต่ความหวังของ NVIDIA กลับถูกดับลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรัฐบาลจีนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อชิป H20 โดยกล่าวหาว่าชิปอาจมี “backdoor” หรือช่องโหว่ที่สามารถใช้สอดแนมข้อมูลได้ และอาจมี “kill switch” ที่สามารถปิดการทำงานจากระยะไกลได้ หน่วยงานจีน เช่น Cyberspace Administration of China (CAC) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกคำแนะนำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง ByteDance, Alibaba และ Tencent หยุดสั่งซื้อชิป H20 ทันที โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ NVIDIA จึงต้องสั่งหยุดการผลิตชิป H20 กับซัพพลายเออร์หลัก เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn พร้อมเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ชื่อ B30A ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่แม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ก็ถูกควบคุมด้วยเกมการเมืองระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ NVIDIA หยุดการผลิตชิป H20 หลังจีนแสดงความไม่พอใจ ➡️ รัฐบาลจีนกังวลเรื่อง backdoor และ spyware ในชิป H20 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ ๆ ถูกสั่งให้หยุดสั่งซื้อชิป H20 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ขาย H20 ได้อีกครั้ง โดยต้องแบ่งรายได้ 15% ➡️ NVIDIA สั่งหยุดการผลิตกับซัพพลายเออร์ เช่น Samsung, Amkor และ Foxconn ➡️ NVIDIA กำลังพัฒนาชิปใหม่ชื่อ B30A สำหรับตลาดจีน ➡️ B30A มีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 แต่ต่ำกว่า B300 ซึ่งถูกห้ามส่งออก ➡️ NVIDIA ยืนยันว่า H20 ไม่มี backdoor และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางทหาร ➡️ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นหลังคำพูดของรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ดูถูกจีน ➡️ จีนพยายามลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ตามนโยบาย Made in China 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cyberspace Administration of China เคยเรียก NVIDIA มาสอบถามรายละเอียดทางเทคนิคของ H20 ➡️ NVIDIA สูญเสียรายได้กว่า $5.5 พันล้านจากการแบนในไตรมาสก่อน ➡️ จีนบริโภคเซมิคอนดักเตอร์ 60% ของโลก แต่ผลิตได้เพียง 13% ➡️ การแบ่งรายได้ 15% เป็นโมเดลใหม่ในการจัดการความขัดแย้งด้านเทคโนโลยี ➡️ ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้โมเดลนี้ล้มเหลวในเวลาไม่กี่สัปดาห์ https://wccftech.com/nvidia-reportedly-halts-h20-gpu-production-after-the-chinese-politburo-becomes-hostile-to-the-chip/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Reportedly Halts H20 GPU Production After The Chinese Politburo Becomes Hostile To The Chip
    NVIDIA is reportedly throwing in the proverbial towel on its China-specific H20 GPU as a number of potent headwinds coalesce.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ปลอมทะลักตลาดโลก – และมาเลเซียกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการหลอกลวง

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 หน่วยงานในมาเลเซียร่วมกับทีมความปลอดภัยของ Seagate ได้บุกจับโกดังใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยพบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, Western Digital และ Toshiba

    กลุ่มผู้ปลอมแปลงนำฮาร์ดดิสก์เก่าจากตลาดมือสอง—บางลูกมีอายุเกิน 10 ปี—มาล้างข้อมูล SMART (Self-Monitoring, Analysis, and Reporting Technology) เพื่อซ่อนอายุและการใช้งาน จากนั้นติดฉลากใหม่และขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ใหม่สำหรับระบบ surveillance หรือ NAS

    ที่น่าตกใจคือฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ในการขุดเหรียญ Chia ที่อาศัยการเขียนข้อมูลลงดิสก์อย่างหนัก เมื่อการขุดไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงถูกขายต่อและกลายเป็นวัตถุดิบของการปลอมแปลง

    แม้ Seagate จะเริ่มเข้มงวดกับโปรแกรมคู่ค้า และใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อป้องกันการซื้อจากบริษัทที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง แต่การกระจายสินค้าปลอมยังคงเกิดขึ้นใน Amazon และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    มาเลเซียบุกจับโกดังปลอมฮาร์ดดิสก์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์
    พบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, WD และ Toshiba
    ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูล SMART และติดฉลากใหม่เพื่อขายเป็นของใหม่
    ขายผ่าน Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ surveillance หรือ NAS
    ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ขุดเหรียญ Chia
    การขุด Chia ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสื่อมเร็ว แต่ยังถูกนำกลับมาขาย
    Seagate เริ่มใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อคัดกรองคู่ค้า
    มีการปลอมฮาร์ดดิสก์ UnionSine ขายบน Amazon โดยไม่มีการควบคุม
    ผู้ปลอมแปลงสามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายเหล่านี้
    การปลอมแปลงรวมถึงการอัปเกรดฮาร์ดดิสก์เก่าให้ดูเหมือนรุ่นใหม่ความจุสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮาร์ดดิสก์ปลอมบางลูกมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี แต่ถูกขายเป็นของใหม่
    การล้าง SMART ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบอายุหรือการใช้งานจริงได้
    Amazon และแพลตฟอร์มใหญ่ยังไม่มีระบบตรวจสอบสินค้าปลอมที่มีประสิทธิภาพ
    การปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ surveillance มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลที่ต้องการความเสถียร
    Heise.de ประเมินว่ามีฮาร์ดดิสก์กว่า 1 ล้านลูกถูกปลดจากเครือข่าย Chia และเข้าสู่ตลาดมือสอง

    https://www.techradar.com/pro/major-raid-targets-counterfeit-fake-hdds-from-seagate-wd-and-toshiba-in-malaysia-but-is-it-too-little-too-late
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ปลอมทะลักตลาดโลก – และมาเลเซียกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการหลอกลวง กลางเดือนสิงหาคม 2025 หน่วยงานในมาเลเซียร่วมกับทีมความปลอดภัยของ Seagate ได้บุกจับโกดังใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยพบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, Western Digital และ Toshiba กลุ่มผู้ปลอมแปลงนำฮาร์ดดิสก์เก่าจากตลาดมือสอง—บางลูกมีอายุเกิน 10 ปี—มาล้างข้อมูล SMART (Self-Monitoring, Analysis, and Reporting Technology) เพื่อซ่อนอายุและการใช้งาน จากนั้นติดฉลากใหม่และขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ใหม่สำหรับระบบ surveillance หรือ NAS ที่น่าตกใจคือฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ในการขุดเหรียญ Chia ที่อาศัยการเขียนข้อมูลลงดิสก์อย่างหนัก เมื่อการขุดไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ฮาร์ดแวร์เหล่านี้จึงถูกขายต่อและกลายเป็นวัตถุดิบของการปลอมแปลง แม้ Seagate จะเริ่มเข้มงวดกับโปรแกรมคู่ค้า และใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อป้องกันการซื้อจากบริษัทที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง แต่การกระจายสินค้าปลอมยังคงเกิดขึ้นใน Amazon และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ มาเลเซียบุกจับโกดังปลอมฮาร์ดดิสก์ใกล้กรุงกัวลาลัมเปอร์ ➡️ พบฮาร์ดดิสก์ปลอมเกือบ 700 ลูกจาก Seagate, WD และ Toshiba ➡️ ฮาร์ดดิสก์ถูกล้างข้อมูล SMART และติดฉลากใหม่เพื่อขายเป็นของใหม่ ➡️ ขายผ่าน Shopee และ Lazada โดยอ้างว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ surveillance หรือ NAS ➡️ ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากมาจากจีน ซึ่งเคยใช้ขุดเหรียญ Chia ➡️ การขุด Chia ทำให้ฮาร์ดดิสก์เสื่อมเร็ว แต่ยังถูกนำกลับมาขาย ➡️ Seagate เริ่มใช้ระบบ Global Trade Screening เพื่อคัดกรองคู่ค้า ➡️ มีการปลอมฮาร์ดดิสก์ UnionSine ขายบน Amazon โดยไม่มีการควบคุม ➡️ ผู้ปลอมแปลงสามารถสร้างรายได้หลายพันดอลลาร์ต่อเดือนจากการขายเหล่านี้ ➡️ การปลอมแปลงรวมถึงการอัปเกรดฮาร์ดดิสก์เก่าให้ดูเหมือนรุ่นใหม่ความจุสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮาร์ดดิสก์ปลอมบางลูกมีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี แต่ถูกขายเป็นของใหม่ ➡️ การล้าง SMART ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบอายุหรือการใช้งานจริงได้ ➡️ Amazon และแพลตฟอร์มใหญ่ยังไม่มีระบบตรวจสอบสินค้าปลอมที่มีประสิทธิภาพ ➡️ การปลอมแปลงฮาร์ดดิสก์ surveillance มีความเสี่ยงสูงต่อข้อมูลที่ต้องการความเสถียร ➡️ Heise.de ประเมินว่ามีฮาร์ดดิสก์กว่า 1 ล้านลูกถูกปลดจากเครือข่าย Chia และเข้าสู่ตลาดมือสอง https://www.techradar.com/pro/major-raid-targets-counterfeit-fake-hdds-from-seagate-wd-and-toshiba-in-malaysia-but-is-it-too-little-too-late
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์

    ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App

    ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์

    Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที

    ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม
    ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น
    ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB)
    Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม
    ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed
    ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU
    เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025
    ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก
    Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต
    ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC
    Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า
    Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา
    การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน
    ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    🎙️ Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์ ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์ Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม ➡️ ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น ➡️ ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB) ➡️ Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม ➡️ ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed ➡️ ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU ➡️ เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025 ➡️ ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก ➡️ Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต ➡️ ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC ➡️ Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า ➡️ Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา ➡️ การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน ➡️ ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • พักนี้ผมรู้สึกว่าคนหันไปใช้ LibreOffice กันมากขึ้นนะครับ แต่เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มี License เพื่อ Activate เพื่อใช้ Microsoft Office แต่ผมรู้สึกว่าใช้ทั้งเถื่อน แท้ และทดลองใช้ก่อนขึ้น Activate ให้ซื้อลิขสิทธิ์ ผมเลยลบ Microsoft Office จากเครื่องผมออกไปเลย และนำ LibreOffice เข้ามาทดแทน
    พักนี้ผมรู้สึกว่าคนหันไปใช้ LibreOffice กันมากขึ้นนะครับ แต่เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มี License เพื่อ Activate เพื่อใช้ Microsoft Office แต่ผมรู้สึกว่าใช้ทั้งเถื่อน แท้ และทดลองใช้ก่อนขึ้น Activate ให้ซื้อลิขสิทธิ์ ผมเลยลบ Microsoft Office จากเครื่องผมออกไปเลย และนำ LibreOffice เข้ามาทดแทน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว

    ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน

    ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน

    ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ

    ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

    แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ
    Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้
    Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google
    ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก
    Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี
    โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ
    Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ
    Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing
    ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
    หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด
    OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย
    Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ
    นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล
    การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    🎙️ เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ ➡️ Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้ ➡️ Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก ➡️ Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี ➡️ โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ ➡️ Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing ➡️ ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ ➡️ หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด ➡️ OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย ➡️ Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล ➡️ การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Germany's Ecosia proposes stewardship to run Google Chrome
    STOCKHOLM (Reuters) -Germany's Ecosia, a nonprofit search engine, said on Thursday it has submitted a proposal to assume a 10-year stewardship of Alphabet's Google Chrome web browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อการ “ค้นหา” กลายเป็นอาชญากรรม – และเสรีภาพออนไลน์ในรัสเซียก็หายไปอีกขั้น

    Artyom วัยรุ่นชาวรัสเซียคนหนึ่งเล่าว่า เขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ แต่หลังวันที่ 1 กันยายน 2025 เขาอาจต้องระวังทุกคลิก เพราะกฎหมายใหม่ของรัสเซียระบุว่า “การค้นหาเนื้อหาสุดโต่ง” บนอินเทอร์เน็ตถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับ

    คำว่า “สุดโต่ง” ในบริบทของรัสเซียมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายไปจนถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น Alexei Navalny หรือแม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้

    กฎหมายนี้ลงโทษผู้ที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาดังกล่าว โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 3,000 ถึง 5,000 รูเบิล (ประมาณ 37–63 ดอลลาร์) แม้จะใช้ VPN ก็ไม่รอด หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนา

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า กฎหมายนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” และอาจนำไปสู่การควบคุมแบบจีน ที่ประชาชนต้องกลัวแม้แต่การค้นหาข้อมูล

    แม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลบางคนก็ยังแสดงความกังวล โดยมี ส.ส. ถึง 60 คนในสภาดูมาที่ลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในรัสเซีย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัสเซียออกกฎหมายใหม่ลงโทษผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาสุดโต่ง
    คำว่า “สุดโต่ง” ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายค้าน และ LGBTQ
    โทษปรับอยู่ระหว่าง 3,000–5,000 รูเบิล สำหรับบุคคลทั่วไป
    การใช้ VPN ไม่ช่วย หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาในการค้นหา
    กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2025
    มี ส.ส. 60 คนลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ในสภาดูมา
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายนี้ละเมิดหลักการ “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ”
    ประชาชนหลายคนเริ่มกลัวการค้นหาข้อมูล แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป
    กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตหลังสงครามยูเครน
    มีการแบนโฆษณา VPN และเพิ่มโทษสำหรับผู้ให้บริการ VPN

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์จาก Amnesty International ว่าคลุมเครือและเปิดช่องให้ใช้โดยพลการ
    Yekaterina Mizulina จาก Safe Internet League เตือนว่ากฎหมายอาจกระทบการทำงานของตำรวจเอง
    การควบคุมอินเทอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022
    เว็บไซต์ข่าวอิสระ เช่น The Moscow Times ถูกจัดเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์”
    นักวิชาการเปรียบเทียบการควบคุมนี้กับระบบเซ็นเซอร์ของจีน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/online-behaviour-under-scrutiny-as-russia-hunts-039extremists039
    🎙️ เมื่อการ “ค้นหา” กลายเป็นอาชญากรรม – และเสรีภาพออนไลน์ในรัสเซียก็หายไปอีกขั้น Artyom วัยรุ่นชาวรัสเซียคนหนึ่งเล่าว่า เขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ แต่หลังวันที่ 1 กันยายน 2025 เขาอาจต้องระวังทุกคลิก เพราะกฎหมายใหม่ของรัสเซียระบุว่า “การค้นหาเนื้อหาสุดโต่ง” บนอินเทอร์เน็ตถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับ คำว่า “สุดโต่ง” ในบริบทของรัสเซียมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายไปจนถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น Alexei Navalny หรือแม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ กฎหมายนี้ลงโทษผู้ที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาดังกล่าว โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 3,000 ถึง 5,000 รูเบิล (ประมาณ 37–63 ดอลลาร์) แม้จะใช้ VPN ก็ไม่รอด หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า กฎหมายนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” และอาจนำไปสู่การควบคุมแบบจีน ที่ประชาชนต้องกลัวแม้แต่การค้นหาข้อมูล แม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลบางคนก็ยังแสดงความกังวล โดยมี ส.ส. ถึง 60 คนในสภาดูมาที่ลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในรัสเซีย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัสเซียออกกฎหมายใหม่ลงโทษผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาสุดโต่ง ➡️ คำว่า “สุดโต่ง” ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายค้าน และ LGBTQ ➡️ โทษปรับอยู่ระหว่าง 3,000–5,000 รูเบิล สำหรับบุคคลทั่วไป ➡️ การใช้ VPN ไม่ช่วย หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาในการค้นหา ➡️ กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2025 ➡️ มี ส.ส. 60 คนลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ในสภาดูมา ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายนี้ละเมิดหลักการ “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” ➡️ ประชาชนหลายคนเริ่มกลัวการค้นหาข้อมูล แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป ➡️ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตหลังสงครามยูเครน ➡️ มีการแบนโฆษณา VPN และเพิ่มโทษสำหรับผู้ให้บริการ VPN ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์จาก Amnesty International ว่าคลุมเครือและเปิดช่องให้ใช้โดยพลการ ➡️ Yekaterina Mizulina จาก Safe Internet League เตือนว่ากฎหมายอาจกระทบการทำงานของตำรวจเอง ➡️ การควบคุมอินเทอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022 ➡️ เว็บไซต์ข่าวอิสระ เช่น The Moscow Times ถูกจัดเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์” ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบการควบคุมนี้กับระบบเซ็นเซอร์ของจีน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/online-behaviour-under-scrutiny-as-russia-hunts-039extremists039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online behaviour under scrutiny as Russia hunts 'extremists'
    Since launching its offensive in Ukraine in 2022, Russia has drastically restricted press freedom and freedom of speech online.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อรหัสผ่านองค์กรกลายเป็นจุดอ่อน – และแฮกเกอร์ไม่ต้องพยายามมากอีกต่อไป

    ในปี 2025 รายงาน Blue Report ของ Picus Security เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ใน 46% ขององค์กรที่ทำการทดสอบ มีรหัสผ่านอย่างน้อยหนึ่งชุดถูกเจาะสำเร็จ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เรื้อรังมานาน: การใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายที่ล้าสมัย

    แม้จะมีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยมาหลายปี แต่หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ซ้ำซาก หรือไม่บังคับให้เปลี่ยนรหัสอย่างสม่ำเสมอ บางแห่งยังใช้วิธีเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ซึ่งถูกแฮกได้ง่ายด้วยเทคนิค brute-force หรือ rainbow table

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมย (เช่นจาก phishing หรือ malware) มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% และการป้องกันการขโมยข้อมูล (data exfiltration) สำเร็จเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “ตั้งค่าแล้วปล่อยไว้” ไปสู่การตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง และใช้มาตรการเชิงรุก เช่น MFA, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียด

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    46% ขององค์กรที่ทดสอบมีรหัสผ่านถูกเจาะสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งชุด
    เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 สะท้อนถึงการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายล้าสมัย
    การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98%
    การป้องกันการขโมยข้อมูลสำเร็จเพียง 3% ลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว
    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค brute-force, rainbow table, password spraying และ infostealer malware
    การเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ควรใช้ bcrypt, Argon2 หรือ scrypt ร่วมกับ salt และ pepper เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ช่องโหว่เกิดจากการตั้งค่าระบบที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น logging gaps และ detection rule ที่ไม่แม่นยำ
    การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การเคลื่อนไหวภายในระบบ (lateral movement) ยังมีประสิทธิภาพต่ำ
    การใช้ MFA และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียดเป็นมาตรการพื้นฐานที่ควรมี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infostealer malware เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2025 และเป็นภัยหลักในการขโมย credentials
    การโจมตีแบบ Valid Accounts (MITRE ATT&CK T1078) เป็นวิธีที่แฮกเกอร์นิยมใช้
    Ransomware เช่น BlackByte, BabLock และ Maori ยังเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก
    การตรวจจับการค้นหาข้อมูลระบบ (System Discovery) มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 12%
    การเปลี่ยนแนวคิดเป็น “assume breach” ช่วยให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.csoonline.com/article/4042464/enterprise-passwords-becoming-even-easier-to-steal-and-abuse.html
    🎙️ เมื่อรหัสผ่านองค์กรกลายเป็นจุดอ่อน – และแฮกเกอร์ไม่ต้องพยายามมากอีกต่อไป ในปี 2025 รายงาน Blue Report ของ Picus Security เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ใน 46% ขององค์กรที่ทำการทดสอบ มีรหัสผ่านอย่างน้อยหนึ่งชุดถูกเจาะสำเร็จ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่เรื้อรังมานาน: การใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายที่ล้าสมัย แม้จะมีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยมาหลายปี แต่หลายองค์กรยังคงใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ซ้ำซาก หรือไม่บังคับให้เปลี่ยนรหัสอย่างสม่ำเสมอ บางแห่งยังใช้วิธีเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ซึ่งถูกแฮกได้ง่ายด้วยเทคนิค brute-force หรือ rainbow table ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมย (เช่นจาก phishing หรือ malware) มีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% และการป้องกันการขโมยข้อมูล (data exfiltration) สำเร็จเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าองค์กรต้องเปลี่ยนจากแนวคิด “ตั้งค่าแล้วปล่อยไว้” ไปสู่การตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง และใช้มาตรการเชิงรุก เช่น MFA, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียด 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ 46% ขององค์กรที่ทดสอบมีรหัสผ่านถูกเจาะสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งชุด ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2024 สะท้อนถึงการใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอและนโยบายล้าสมัย ➡️ การโจมตีด้วยรหัสผ่านที่ถูกขโมยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 98% ➡️ การป้องกันการขโมยข้อมูลสำเร็จเพียง 3% ลดลงจาก 9% ในปีที่แล้ว ➡️ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค brute-force, rainbow table, password spraying และ infostealer malware ➡️ การเก็บ hash แบบ MD5 หรือ SHA-1 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ➡️ ควรใช้ bcrypt, Argon2 หรือ scrypt ร่วมกับ salt และ pepper เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการตั้งค่าระบบที่ไม่ต่อเนื่อง เช่น logging gaps และ detection rule ที่ไม่แม่นยำ ➡️ การตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การเคลื่อนไหวภายในระบบ (lateral movement) ยังมีประสิทธิภาพต่ำ ➡️ การใช้ MFA และการจัดการสิทธิ์แบบละเอียดเป็นมาตรการพื้นฐานที่ควรมี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infostealer malware เพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2025 และเป็นภัยหลักในการขโมย credentials ➡️ การโจมตีแบบ Valid Accounts (MITRE ATT&CK T1078) เป็นวิธีที่แฮกเกอร์นิยมใช้ ➡️ Ransomware เช่น BlackByte, BabLock และ Maori ยังเป็นภัยที่ป้องกันได้ยาก ➡️ การตรวจจับการค้นหาข้อมูลระบบ (System Discovery) มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 12% ➡️ การเปลี่ยนแนวคิดเป็น “assume breach” ช่วยให้ตอบสนองต่อภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.csoonline.com/article/4042464/enterprise-passwords-becoming-even-easier-to-steal-and-abuse.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Enterprise passwords becoming even easier to steal and abuse
    More effective cracking, continued reliance on weak or outdated policies, and security controls against credential leaks being increasingly undermined.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อกล้องหน้าร้านกลายเป็นเครื่องมือสแกนใบหน้า – และลูกค้าไม่รู้ตัว

    Benjamin Jankowski ลูกค้าประจำของ Home Depot ในรัฐอิลลินอยส์ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติระหว่างใช้เครื่อง self-checkout ที่ร้านในชิคาโก เขาเห็นกล้องและหน้าจอที่แสดงกรอบสีเขียวรอบใบหน้าของเขา ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่าระบบกำลังสแกนและบันทึกข้อมูลใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

    เขาจึงตัดสินใจฟ้อง Home Depot ในรูปแบบ class action โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย Biometric Information Privacy Act (BIPA) ของรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น รูปทรงใบหน้า และต้องได้รับ “ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร”

    คดีนี้เปิดเผยว่า Home Depot เริ่มใช้เทคโนโลยี “computer vision” ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อป้องกันการขโมยสินค้า โดยขยายการใช้งานในปี 2024 ไปยังเครื่อง self-checkout ทั่วรัฐอิลลินอยส์ แต่ไม่มีการแจ้งลูกค้าอย่างเป็นทางการ และไม่มีนโยบายการจัดเก็บข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    Jankowski ต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว และเรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา

    กรณีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Rite Aid ถูกแบนไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากการใช้งานที่ “ประมาท” และสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค เช่น การระบุผิดพลาดและการเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    ลูกค้าชื่อ Benjamin Jankowski ฟ้อง Home Depot ฐานใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าโดยไม่แจ้ง
    เขาเห็นกรอบสีเขียวรอบใบหน้าบนหน้าจอ self-checkout ที่ร้านในชิคาโก
    ไม่มีป้ายแจ้งหรือคำเตือนเกี่ยวกับการสแกนใบหน้า
    Home Depot เริ่มใช้ “computer vision” ในปี 2023 และขยายในปี 2024 เพื่อป้องกันการขโมย
    ระบบนี้เก็บข้อมูลรูปทรงใบหน้า (facial geometry) ซึ่งถือเป็นข้อมูลชีวภาพตามกฎหมาย BIPA
    BIPA กำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าและขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเก็บข้อมูล
    Jankowski เรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา
    เขาต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
    คดีนี้เกิดขึ้นในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rite Aid ถูกแบนจากการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี หลังจากใช้งานโดยประมาท
    ระบบของ Rite Aid เคยสร้าง false positives หลายพันครั้ง และเก็บภาพลูกค้าโดยไม่แจ้ง
    กฎหมาย BIPA ของรัฐอิลลินอยส์ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ
    เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในร้านค้าปลีกเพื่อป้องกันการขโมย
    นักกฎหมายเตือนว่าการใช้เทคโนโลยีนี้โดยไม่แจ้งอาจนำไปสู่คดี class action จำนวนมาก

    https://petapixel.com/2025/08/20/home-depot-sued-for-secretly-using-facial-recognition-technology-on-self-checkout-cameras/
    🎙️ เมื่อกล้องหน้าร้านกลายเป็นเครื่องมือสแกนใบหน้า – และลูกค้าไม่รู้ตัว Benjamin Jankowski ลูกค้าประจำของ Home Depot ในรัฐอิลลินอยส์ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติระหว่างใช้เครื่อง self-checkout ที่ร้านในชิคาโก เขาเห็นกล้องและหน้าจอที่แสดงกรอบสีเขียวรอบใบหน้าของเขา ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่าระบบกำลังสแกนและบันทึกข้อมูลใบหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงตัดสินใจฟ้อง Home Depot ในรูปแบบ class action โดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎหมาย Biometric Information Privacy Act (BIPA) ของรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนเก็บข้อมูลชีวภาพ เช่น รูปทรงใบหน้า และต้องได้รับ “ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร” คดีนี้เปิดเผยว่า Home Depot เริ่มใช้เทคโนโลยี “computer vision” ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อป้องกันการขโมยสินค้า โดยขยายการใช้งานในปี 2024 ไปยังเครื่อง self-checkout ทั่วรัฐอิลลินอยส์ แต่ไม่มีการแจ้งลูกค้าอย่างเป็นทางการ และไม่มีนโยบายการจัดเก็บข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ Jankowski ต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว และเรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา กรณีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Rite Aid ถูกแบนไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากการใช้งานที่ “ประมาท” และสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค เช่น การระบุผิดพลาดและการเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ ลูกค้าชื่อ Benjamin Jankowski ฟ้อง Home Depot ฐานใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าโดยไม่แจ้ง ➡️ เขาเห็นกรอบสีเขียวรอบใบหน้าบนหน้าจอ self-checkout ที่ร้านในชิคาโก ➡️ ไม่มีป้ายแจ้งหรือคำเตือนเกี่ยวกับการสแกนใบหน้า ➡️ Home Depot เริ่มใช้ “computer vision” ในปี 2023 และขยายในปี 2024 เพื่อป้องกันการขโมย ➡️ ระบบนี้เก็บข้อมูลรูปทรงใบหน้า (facial geometry) ซึ่งถือเป็นข้อมูลชีวภาพตามกฎหมาย BIPA ➡️ BIPA กำหนดให้บริษัทต้องแจ้งลูกค้าและขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเก็บข้อมูล ➡️ Jankowski เรียกร้องค่าชดเชย $1,000 ต่อการละเมิดแบบประมาท และ $5,000 ต่อการละเมิดโดยเจตนา ➡️ เขาต้องการเป็นตัวแทนของลูกค้าทั้งหมดที่ถูกสแกนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ➡️ คดีนี้เกิดขึ้นในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rite Aid ถูกแบนจากการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเป็นเวลา 5 ปี หลังจากใช้งานโดยประมาท ➡️ ระบบของ Rite Aid เคยสร้าง false positives หลายพันครั้ง และเก็บภาพลูกค้าโดยไม่แจ้ง ➡️ กฎหมาย BIPA ของรัฐอิลลินอยส์ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลชีวภาพที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ ➡️ เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในร้านค้าปลีกเพื่อป้องกันการขโมย ➡️ นักกฎหมายเตือนว่าการใช้เทคโนโลยีนี้โดยไม่แจ้งอาจนำไปสู่คดี class action จำนวนมาก https://petapixel.com/2025/08/20/home-depot-sued-for-secretly-using-facial-recognition-technology-on-self-checkout-cameras/
    PETAPIXEL.COM
    Home Depot Sued for 'Secretly' Using Facial Recognition Technology on Self-Checkout Cameras
    The Home Depot customer says he noticed the camera at a recent trip to the store.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อการรีวิวโค้ดแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ – และความพยายามสร้างเครื่องมือใหม่ก็ยังไม่ง่าย

    หลายคนที่เขียนโค้ดคงคุ้นเคยกับการรีวิวโค้ดผ่าน GitHub ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “stacked pull requests” และ “interdiff reviews” ที่ GitHub ยังรองรับได้ไม่ดีนัก

    Matklad จาก TigerBeetle จึงทดลองสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อว่า git-review โดยมีแนวคิดว่า “การรีวิวโค้ดควรเป็น commit หนึ่งที่อยู่บน branch ของ PR” ซึ่ง reviewer และ author สามารถแก้ไขร่วมกันได้ โดยใช้ inline comment ในโค้ดจริงแทนการพิมพ์ใน browser

    แนวคิดนี้ช่วยให้การรีวิวโค้ดมีบริบทมากขึ้น เช่น reviewer สามารถรันเทสต์, ลอง refactor, หรือใช้ code completion ได้ทันทีใน editor ของตัวเอง แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว เพราะ comment ที่อยู่ใน commit อาจขัดแย้งกับโค้ดใหม่ ทำให้เกิด conflict และต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก

    สุดท้าย แม้แนวคิดจะดี แต่ git-review ก็ถูก “พักไว้ก่อน” เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ใน 500 บรรทัดของโค้ดต้นแบบ

    อย่างไรก็ตาม Matklad เชื่อว่าอนาคตของ code review อาจเปลี่ยนไป หาก Git รองรับ “Change-Id” แบบ Gerrit ซึ่งจะช่วยให้ track การเปลี่ยนแปลงของ commit ได้ดีขึ้น และอาจเปิดทางให้รีวิวแบบ interdiff กลายเป็นมาตรฐานใหม่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    GitHub มีข้อจำกัดในการรองรับ stacked pull requests และ interdiff reviews
    git-review ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดลองแนวคิดใหม่ในการรีวิวโค้ด
    แนวคิดคือการใช้ commit เดียวบน PR branch เพื่อเก็บ comment รีวิว
    Reviewer สามารถใช้ editor ของตัวเองในการรันเทสต์และ refactor ได้ทันที
    การรีวิวแบบนี้ช่วยให้มีบริบทมากกว่าการดู diff ผ่าน browser
    ปัญหาเกิดเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว ทำให้ comment เกิด conflict
    ต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก
    git-review ถูกพักไว้เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่ควบคุมได้
    Matklad หวังว่า Git จะรองรับ Change-Id เพื่อช่วยให้ interdiff review เป็นไปได้
    เขาเชื่อว่าการรีวิวโค้ดควรอยู่ใน repository ไม่ใช่ในระบบ web-based

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gerrit และ Fossil เป็นระบบที่เก็บสถานะรีวิวไว้ใน repository
    เครื่องมืออย่าง git-appraise, git-bug, และ prr พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีต่าง ๆ
    Jane Street ใช้ระบบรีวิวภายในที่ไม่พึ่งพา web interface และมีประสิทธิภาพสูง
    ในปี 2025 เครื่องมือรีวิวโค้ดที่ได้รับความนิยมยังคงเป็น GitHub Pull Requests, Gerrit, และ Phabricator
    DevOps และ Agile ทำให้ความต้องการรีวิวโค้ดแบบ real-time และ contextual เพิ่มขึ้น

    https://tigerbeetle.com/blog/2025-08-04-code-review-can-be-better/
    🎙️ เมื่อการรีวิวโค้ดแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ – และความพยายามสร้างเครื่องมือใหม่ก็ยังไม่ง่าย หลายคนที่เขียนโค้ดคงคุ้นเคยกับการรีวิวโค้ดผ่าน GitHub ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “stacked pull requests” และ “interdiff reviews” ที่ GitHub ยังรองรับได้ไม่ดีนัก Matklad จาก TigerBeetle จึงทดลองสร้างเครื่องมือใหม่ชื่อว่า git-review โดยมีแนวคิดว่า “การรีวิวโค้ดควรเป็น commit หนึ่งที่อยู่บน branch ของ PR” ซึ่ง reviewer และ author สามารถแก้ไขร่วมกันได้ โดยใช้ inline comment ในโค้ดจริงแทนการพิมพ์ใน browser แนวคิดนี้ช่วยให้การรีวิวโค้ดมีบริบทมากขึ้น เช่น reviewer สามารถรันเทสต์, ลอง refactor, หรือใช้ code completion ได้ทันทีใน editor ของตัวเอง แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว เพราะ comment ที่อยู่ใน commit อาจขัดแย้งกับโค้ดใหม่ ทำให้เกิด conflict และต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก สุดท้าย แม้แนวคิดจะดี แต่ git-review ก็ถูก “พักไว้ก่อน” เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ใน 500 บรรทัดของโค้ดต้นแบบ อย่างไรก็ตาม Matklad เชื่อว่าอนาคตของ code review อาจเปลี่ยนไป หาก Git รองรับ “Change-Id” แบบ Gerrit ซึ่งจะช่วยให้ track การเปลี่ยนแปลงของ commit ได้ดีขึ้น และอาจเปิดทางให้รีวิวแบบ interdiff กลายเป็นมาตรฐานใหม่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ GitHub มีข้อจำกัดในการรองรับ stacked pull requests และ interdiff reviews ➡️ git-review ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดลองแนวคิดใหม่ในการรีวิวโค้ด ➡️ แนวคิดคือการใช้ commit เดียวบน PR branch เพื่อเก็บ comment รีวิว ➡️ Reviewer สามารถใช้ editor ของตัวเองในการรันเทสต์และ refactor ได้ทันที ➡️ การรีวิวแบบนี้ช่วยให้มีบริบทมากกว่าการดู diff ผ่าน browser ➡️ ปัญหาเกิดเมื่อมีการแก้ไขโค้ดระหว่างรีวิว ทำให้ comment เกิด conflict ➡️ ต้องใช้ git push --force-with-lease ซึ่งเพิ่มความยุ่งยาก ➡️ git-review ถูกพักไว้เพราะความซับซ้อนเกินกว่าที่ควบคุมได้ ➡️ Matklad หวังว่า Git จะรองรับ Change-Id เพื่อช่วยให้ interdiff review เป็นไปได้ ➡️ เขาเชื่อว่าการรีวิวโค้ดควรอยู่ใน repository ไม่ใช่ในระบบ web-based ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gerrit และ Fossil เป็นระบบที่เก็บสถานะรีวิวไว้ใน repository ➡️ เครื่องมืออย่าง git-appraise, git-bug, และ prr พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีต่าง ๆ ➡️ Jane Street ใช้ระบบรีวิวภายในที่ไม่พึ่งพา web interface และมีประสิทธิภาพสูง ➡️ ในปี 2025 เครื่องมือรีวิวโค้ดที่ได้รับความนิยมยังคงเป็น GitHub Pull Requests, Gerrit, และ Phabricator ➡️ DevOps และ Agile ทำให้ความต้องการรีวิวโค้ดแบบ real-time และ contextual เพิ่มขึ้น https://tigerbeetle.com/blog/2025-08-04-code-review-can-be-better/
    TIGERBEETLE.COM
    Code Review Can Be Better
    Insights, updates, and technical deep dives on building a high-performance financial transactions database.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/tO-X6pJAzxE?si=3HDqMLZzLFfc47os
    https://youtu.be/tO-X6pJAzxE?si=3HDqMLZzLFfc47os
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)

    นิทานเร่ืองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)
    Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
    คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก
    ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8
    M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง
    Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก
    เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้
    Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก
    ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (2) นิทานเร่ืองจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2) Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8 M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้ Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)
    พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง
    ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว
    ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา
    มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร
    ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance
    ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา
    Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon
    บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน
    สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน เมล็ดพันธ์พิฆาต (1) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1) พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง ในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์ ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เพจ ปราชญ์ สามสี เผยที่มา รหัสบนตัวถัง MK84 ที่เขมรจัดฉากกล่าวหาไทย

    BOMB MK 84 MOD 4 GP 2000 LBS
    30003 - 923AS105
    LOT NO. 1M 96G015 = 011

    BOMB MK 84 → คือชื่อรุ่นระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ ที่กองทัพสหรัฐฯ ใช้

    MOD 4 GP → บอกว่าเป็นระเบิดแบบทั่วไป (General Purpose) รุ่นดัดแปลงครั้งที่ 4

    LOT NO. 1M 96G015 = 011 → บอกว่า ระเบิดถูกผลิตขึ้นใน ปี ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539
    #7ดอกจิก
    #TruthFromThailand
    ♣ เพจ ปราชญ์ สามสี เผยที่มา รหัสบนตัวถัง MK84 ที่เขมรจัดฉากกล่าวหาไทย BOMB MK 84 MOD 4 GP 2000 LBS 30003 - 923AS105 LOT NO. 1M 96G015 = 011 BOMB MK 84 → คือชื่อรุ่นระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ ที่กองทัพสหรัฐฯ ใช้ MOD 4 GP → บอกว่าเป็นระเบิดแบบทั่วไป (General Purpose) รุ่นดัดแปลงครั้งที่ 4 LOT NO. 1M 96G015 = 011 → บอกว่า ระเบิดถูกผลิตขึ้นใน ปี ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539 #7ดอกจิก #TruthFromThailand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tensor G5 – ชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ฉลาดขึ้นอย่างมีนัย

    Google เปิดตัวชิป Tensor G5 พร้อมกับ Pixel 10 Series ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือชิปแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC แทนที่จะใช้โรงงานของ Samsung เหมือนรุ่นก่อนหน้า

    Tensor G5 ไม่ได้เน้นแค่ความเร็ว แต่ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีการปรับโครงสร้าง CPU เป็นแบบ 1+5+2 (1 core แรง, 5 core กลาง, 2 core ประหยัดพลังงาน) และมีความเร็วสูงสุดถึง 3.78GHz จากผลทดสอบ Geekbench

    Google เคลมว่า Tensor G5 เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ Tensor G4 และ TPU (หน่วยประมวลผล AI) ก็แรงขึ้นถึง 60% ซึ่งช่วยให้ Gemini Nano รุ่นใหม่ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่า และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ชิปนี้ยังรองรับ context window ขนาด 32,000 token ซึ่งเทียบเท่ากับการประมวลผลข้อมูลจากอีเมลทั้งเดือนหรือภาพหน้าจอ 100 ภาพ ทำให้ฟีเจอร์ AI อย่าง Magic Cue, Call Notes, Scam Detection และ Camera Coach ทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ด้านกราฟิก แม้จะมีการอัปเกรด GPU แต่ Tensor G5 ยังไม่รองรับ ray tracing ซึ่งทำให้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเกมมือถือ ส่วน ISP (Image Signal Processor) ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ 10-bit HDR และลดการเบลอในวิดีโอแสงน้อย

    Pixel 10 Series ที่ใช้ Tensor G5 มีให้เลือกหลายรุ่น ตั้งแต่ Pixel 10 ธรรมดาไปจนถึง Pixel 10 Pro Fold โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $799 และมีโปรโมชั่นแจกบัตรของขวัญสูงสุดถึง $300

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tensor G5 เป็นชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ผลิตโดย TSMC
    ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+5+2 และความเร็วสูงสุด 3.78GHz
    เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจาก Tensor G4 และ TPU แรงขึ้น 60%
    Gemini Nano ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่าและประหยัดพลังงานมากขึ้น
    รองรับ context window ขนาด 32,000 token สำหรับงาน AI
    ฟีเจอร์ AI ใหม่ เช่น Magic Cue, Scam Detection, Journal, Call Notes
    GPU อัปเกรดแต่ไม่รองรับ ray tracing
    ISP รองรับ 10-bit HDR และลดเบลอในวิดีโอแสงน้อย
    Pixel 10 Series มีรุ่นธรรมดา, Pro, Pro XL และ Pro Fold
    ราคาเริ่มต้น $799 พร้อมบัตรของขวัญสูงสุด $300

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tensor G5 ใช้ LPDDR5X และ UFS 4.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และความเร็ว
    ใช้สถาปัตยกรรม Matryoshka Transformer และ Per Layer Embedding
    Pixel 10 รองรับ Android 16 และอัปเดตนาน 7 ปี
    Pixel 10 Pro มี vapor chamber cooling แต่รุ่นธรรมดาใช้ graphene
    Pixel 10 รองรับ Qi2 wireless charging และมีจอ Actua 120Hz

    https://wccftech.com/tensor-g5-goes-official-first-3nm-chipset-from-google/
    🎙️ Tensor G5 – ชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ฉลาดขึ้นอย่างมีนัย Google เปิดตัวชิป Tensor G5 พร้อมกับ Pixel 10 Series ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือชิปแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC แทนที่จะใช้โรงงานของ Samsung เหมือนรุ่นก่อนหน้า Tensor G5 ไม่ได้เน้นแค่ความเร็ว แต่ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีการปรับโครงสร้าง CPU เป็นแบบ 1+5+2 (1 core แรง, 5 core กลาง, 2 core ประหยัดพลังงาน) และมีความเร็วสูงสุดถึง 3.78GHz จากผลทดสอบ Geekbench Google เคลมว่า Tensor G5 เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ Tensor G4 และ TPU (หน่วยประมวลผล AI) ก็แรงขึ้นถึง 60% ซึ่งช่วยให้ Gemini Nano รุ่นใหม่ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่า และประหยัดพลังงานมากขึ้น ชิปนี้ยังรองรับ context window ขนาด 32,000 token ซึ่งเทียบเท่ากับการประมวลผลข้อมูลจากอีเมลทั้งเดือนหรือภาพหน้าจอ 100 ภาพ ทำให้ฟีเจอร์ AI อย่าง Magic Cue, Call Notes, Scam Detection และ Camera Coach ทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้านกราฟิก แม้จะมีการอัปเกรด GPU แต่ Tensor G5 ยังไม่รองรับ ray tracing ซึ่งทำให้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเกมมือถือ ส่วน ISP (Image Signal Processor) ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ 10-bit HDR และลดการเบลอในวิดีโอแสงน้อย Pixel 10 Series ที่ใช้ Tensor G5 มีให้เลือกหลายรุ่น ตั้งแต่ Pixel 10 ธรรมดาไปจนถึง Pixel 10 Pro Fold โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $799 และมีโปรโมชั่นแจกบัตรของขวัญสูงสุดถึง $300 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tensor G5 เป็นชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ผลิตโดย TSMC ➡️ ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+5+2 และความเร็วสูงสุด 3.78GHz ➡️ เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจาก Tensor G4 และ TPU แรงขึ้น 60% ➡️ Gemini Nano ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่าและประหยัดพลังงานมากขึ้น ➡️ รองรับ context window ขนาด 32,000 token สำหรับงาน AI ➡️ ฟีเจอร์ AI ใหม่ เช่น Magic Cue, Scam Detection, Journal, Call Notes ➡️ GPU อัปเกรดแต่ไม่รองรับ ray tracing ➡️ ISP รองรับ 10-bit HDR และลดเบลอในวิดีโอแสงน้อย ➡️ Pixel 10 Series มีรุ่นธรรมดา, Pro, Pro XL และ Pro Fold ➡️ ราคาเริ่มต้น $799 พร้อมบัตรของขวัญสูงสุด $300 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tensor G5 ใช้ LPDDR5X และ UFS 4.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และความเร็ว ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Matryoshka Transformer และ Per Layer Embedding ➡️ Pixel 10 รองรับ Android 16 และอัปเดตนาน 7 ปี ➡️ Pixel 10 Pro มี vapor chamber cooling แต่รุ่นธรรมดาใช้ graphene ➡️ Pixel 10 รองรับ Qi2 wireless charging และมีจอ Actua 120Hz https://wccftech.com/tensor-g5-goes-official-first-3nm-chipset-from-google/
    WCCFTECH.COM
    Google Has Announced Its First 3nm Chipset, The Tensor G5, Alongside The Pixel 10 Series; Company Claims A 34 Percent Average Performance Increase Over The Tensor G4, No RT Support & More
    Google has officially announced its first 3nm SoC, the Tensor G5, and here is everything you need to know about the flagship silicon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts