• ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง!

    เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ!

    Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี!

    Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210
    นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP!

    ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น!

    ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ

    ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด!

    สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง!

    Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ!

    ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!

    ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น.
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    🔪🧊 ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง! 👋 เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? 🤦‍♀️ มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ! 🚨 Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี! ✨ Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210 นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP! ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น! 🥶 ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ 📐 ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด! 🛡️ สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง! 🚨 Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ! 🔥 ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ! 🛒 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น. โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ชี้แจงหลังถูกเสนอชื่อเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา MOU ไทย–กัมพูชา แทน “ไชยชนก ชิดชอบ” ที่ลาออก ยืนยันเข้าทำหน้าที่ในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ย้ำจุดยืนเดิมคัดค้านและผลักดันให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104080

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ชี้แจงหลังถูกเสนอชื่อเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา MOU ไทย–กัมพูชา แทน “ไชยชนก ชิดชอบ” ที่ลาออก ยืนยันเข้าทำหน้าที่ในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ย้ำจุดยืนเดิมคัดค้านและผลักดันให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104080 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.facebook.com/share/g/1BhhPPgA2A/
    https://www.facebook.com/share/g/1BhhPPgA2A/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วีระ” โดนยึดกุญแจรถแบ็กโฮ-รถไถ แต่ยังเดินหน้าพามวลชนบุกเข้าพื้นที่ 64 ไร่ที่เขมรบุกรุกบ้านหนองจาน เจ้าหน้าที่ตั้งแถวขวางหวั่นไม่ปลอดภัย เหตุฝั่งเขมรเตรียมสไนเปอร์ไว้ยิง พร้อมเชิญ “วีระ” พูดคุยที่ สภ.โคกสูง ให้เป็นตัวแทนมวลชนร่วมสังเกตการณ์ปักหมุดชั่วคราว 17 พ.ย.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104050

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “วีระ” โดนยึดกุญแจรถแบ็กโฮ-รถไถ แต่ยังเดินหน้าพามวลชนบุกเข้าพื้นที่ 64 ไร่ที่เขมรบุกรุกบ้านหนองจาน เจ้าหน้าที่ตั้งแถวขวางหวั่นไม่ปลอดภัย เหตุฝั่งเขมรเตรียมสไนเปอร์ไว้ยิง พร้อมเชิญ “วีระ” พูดคุยที่ สภ.โคกสูง ให้เป็นตัวแทนมวลชนร่วมสังเกตการณ์ปักหมุดชั่วคราว 17 พ.ย.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104050 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่ประชุมใหญ่วิสามัญฯ พรรคเพื่อไทยลงมติเลือก ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ด้วยเสียงโหวต 354 คะแนน ไม่ออกเสียง 15 คน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104029

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ประชุมวิสามัญเพื่อไทย #เลือกหัวหน้าใหม่ #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์
    ที่ประชุมใหญ่วิสามัญฯ พรรคเพื่อไทยลงมติเลือก ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ด้วยเสียงโหวต 354 คะแนน ไม่ออกเสียง 15 คน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104029 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ประชุมวิสามัญเพื่อไทย #เลือกหัวหน้าใหม่ #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ่ายนี้ “ไทย-กัมพูชา” จ่อลงนามแผนปฏิบัติการถอนอาวุธ 3 เฟส ด้านกองทัพไทยย้ำเดินหน้าสันติภาพชายแดน รอดูการแสดงความจริงใจจากกัมพูชา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104020

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    บ่ายนี้ “ไทย-กัมพูชา” จ่อลงนามแผนปฏิบัติการถอนอาวุธ 3 เฟส ด้านกองทัพไทยย้ำเดินหน้าสันติภาพชายแดน รอดูการแสดงความจริงใจจากกัมพูชา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104020 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379!

    Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379

    Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้

    แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก:
    iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน:
    แบตเตอรี่: $99
    จอแสดงผล: $329
    กล้องหน้า: $199
    ฝาหลัง: $159
    โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236

    iPhone Air:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล: $329
    อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน

    iPhone 17 Pro / Pro Max:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล Pro: $329
    จอแสดงผล Pro Max: $379
    อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air

    ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน

    https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    📱💸 เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379! Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379 Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้ แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก: 📍 iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: 🎗️ แบตเตอรี่: $99 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ กล้องหน้า: $199 🎗️ ฝาหลัง: $159 🎗️ โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236 📍 iPhone Air: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน 📍 iPhone 17 Pro / Pro Max: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล Pro: $329 🎗️ จอแสดงผล Pro Max: $379 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99 แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    WCCFTECH.COM
    Apple iPhone Air Battery Replacement Will Cost You $119, iPhone 17 Pro Max Display Will Set You Back By $379
    After releasing a self-repair manual for each of its iPhone 17 models, Apple has now made available the spare parts for the new lineup
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล?

    คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H

    X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20%
    255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว

    ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง

    คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H
    X7 ได้ประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000
    ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000

    สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น
    358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores
    255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores
    LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    จุดเด่นของ Panther Lake
    เน้น iGPU มากกว่า CPU
    ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060
    อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case
    ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น

    https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    ⚙️📉 หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล? คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H 💠 X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000 💠 5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20% 💠 255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง ✅ คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H ➡️ X7 ได้ประมาณ 20,000 ➡️ 5 338H ได้ประมาณ 16,000 ➡️ ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000 ✅ สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น ➡️ 358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores ➡️ 255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores ➡️ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ เน้น iGPU มากกว่า CPU ➡️ ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060 ➡️ อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case ➡️ ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Leaked Intel Core Ultra X7 358H and Ultra 5 338H Cinebench R23 Scores Reveal Concerning CPU Performance
    Intel's upcoming Panther Lake laptop CPU configurations previously leaked, revealing a line-up ranging from the modest Core Ultra 3 320U, with 2 P-Cores and 4 LPE-Cores to the notably higher-end Core Ultra X9 388H, featuring 4 P-Cores, 8 E-Cores, and 4 LPE-Cores. Now, performance figures for the mor...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีต CEO Intel ยกย่อง Nvidia ผลิตชิป Blackwell บนดินสหรัฐฯ แม้ Intel พลาดดีลใหญ่

    Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ออกโรงชื่นชมการผลิตชิป Blackwell ของ Nvidia ร่วมกับ TSMC บนดินสหรัฐฯ ว่าเป็น “ก้าวสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระดับชาติ” แม้ Intel จะพลาดโอกาสเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia

    Pat Gelsinger ซึ่งเคยเป็น CEO ของ Intel ระหว่างปี 2021–2024 ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter) แสดงความยินดีกับ Nvidia ที่สามารถผลิตชิป Blackwell รุ่นล่าสุดในโรงงานที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยร่วมมือกับ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศ

    แม้ว่าในช่วงที่ Gelsinger ยังดำรงตำแหน่ง เขาเคยผลักดันอย่างหนักให้ Intel Foundry Services ได้รับสัญญาผลิตชิปจาก Nvidia แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ตาม

    Nvidia เองก็ใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ โดย CEO Jensen Huang กล่าวในงาน GTC DC ว่า “การจำกัดการส่งออกของ Nvidia จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” พร้อมชูจุดแข็งว่าชิป Blackwell ผลิตในสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน

    Gelsingerยังกล่าวว่า “การมีห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ” และชื่นชมความร่วมมือระหว่าง Nvidia และ TSMC แม้ Intel จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดีลนี้

    Nvidia ผลิตชิป Blackwell ในโรงงานรัฐแอริโซนา ร่วมกับ TSMC
    ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ
    ช่วยลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน

    Pat Gelsinger อดีต CEO Intel แสดงความยินดีผ่าน X
    ยอมรับว่า Intel พลาดโอกาสในการเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia
    ชื่นชมความสำเร็จของ Nvidia และ TSMC

    Nvidia ใช้โอกาสนี้ชูบทบาทเชิงยุทธศาสตร์
    Jensen Huang เตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบสหรัฐฯ
    ชิป Blackwell ผลิตทั้งในสหรัฐฯ และไต้หวัน

    Intel ภายใต้ Gelsinger เคยผลักดันโรงงานในเยอรมนี
    แต่ถูกยกเลิกโดยผู้บริหารคนใหม่
    โรงงานในแอริโซนาที่เขาผลักดันเพิ่งเปิดใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ex-intel-ceo-pat-gelsinger-praises-cutting-edge-nvidia-chip-production-with-tsmc-on-us-soil-despite-intel-missing-out-hails-manufacturing-milestone-of-us-based-supply-chain
    🇺🇸🔧 อดีต CEO Intel ยกย่อง Nvidia ผลิตชิป Blackwell บนดินสหรัฐฯ แม้ Intel พลาดดีลใหญ่ Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ออกโรงชื่นชมการผลิตชิป Blackwell ของ Nvidia ร่วมกับ TSMC บนดินสหรัฐฯ ว่าเป็น “ก้าวสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระดับชาติ” แม้ Intel จะพลาดโอกาสเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia Pat Gelsinger ซึ่งเคยเป็น CEO ของ Intel ระหว่างปี 2021–2024 ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter) แสดงความยินดีกับ Nvidia ที่สามารถผลิตชิป Blackwell รุ่นล่าสุดในโรงงานที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา โดยร่วมมือกับ TSMC ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศ แม้ว่าในช่วงที่ Gelsinger ยังดำรงตำแหน่ง เขาเคยผลักดันอย่างหนักให้ Intel Foundry Services ได้รับสัญญาผลิตชิปจาก Nvidia แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ตาม Nvidia เองก็ใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ โดย CEO Jensen Huang กล่าวในงาน GTC DC ว่า “การจำกัดการส่งออกของ Nvidia จะส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” พร้อมชูจุดแข็งว่าชิป Blackwell ผลิตในสหรัฐฯ และไต้หวัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน Gelsingerยังกล่าวว่า “การมีห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ” และชื่นชมความร่วมมือระหว่าง Nvidia และ TSMC แม้ Intel จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดีลนี้ ✅ Nvidia ผลิตชิป Blackwell ในโรงงานรัฐแอริโซนา ร่วมกับ TSMC ➡️ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ➡️ ช่วยลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ✅ Pat Gelsinger อดีต CEO Intel แสดงความยินดีผ่าน X ➡️ ยอมรับว่า Intel พลาดโอกาสในการเป็นผู้ผลิตให้ Nvidia ➡️ ชื่นชมความสำเร็จของ Nvidia และ TSMC ✅ Nvidia ใช้โอกาสนี้ชูบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ Jensen Huang เตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบสหรัฐฯ ➡️ ชิป Blackwell ผลิตทั้งในสหรัฐฯ และไต้หวัน ✅ Intel ภายใต้ Gelsinger เคยผลักดันโรงงานในเยอรมนี ➡️ แต่ถูกยกเลิกโดยผู้บริหารคนใหม่ ➡️ โรงงานในแอริโซนาที่เขาผลักดันเพิ่งเปิดใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/ex-intel-ceo-pat-gelsinger-praises-cutting-edge-nvidia-chip-production-with-tsmc-on-us-soil-despite-intel-missing-out-hails-manufacturing-milestone-of-us-based-supply-chain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900!

    AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort

    AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น

    แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้

    ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น

    AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง

    AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance
    จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก
    ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs

    RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C
    ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C

    ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2
    รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000
    แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25
    แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4

    ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive
    Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น
    Roblox crash บน RX 7000
    Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000

    ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก
    อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด
    การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต

    RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    🛑💻 AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900! AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง ✅ AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ➡️ จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก ➡️ ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ✅ RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C ➡️ ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก ➡️ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2 ➡️ รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000 ➡️ แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25 ➡️ แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4 ✅ ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive ➡️ Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น ➡️ Roblox crash บน RX 7000 ➡️ Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000 ‼️ ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก ⛔ อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด ⛔ การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต ‼️ RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ ⛔ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla จะกลายเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่? Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถว่างสร้างเครือข่าย AI ขนาด 100 ล้านคัน

    Elon Musk เผยไอเดียเปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผล AI ขนาดมหึมา ด้วยพลังคอมพิวเตอร์รวมกว่า 100 กิกะวัตต์ พร้อมชู AI5 ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า

    ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 Elon Musk ได้เสนอแนวคิดสุดล้ำ: เปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผลแบบ distributed inference fleet โดยใช้พลังคอมพิวเตอร์จากรถที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งเขาเรียกว่า “รถที่เบื่อ”

    Musk ประเมินว่า หากมีรถ Tesla 100 ล้านคัน และแต่ละคันสามารถให้พลังประมวลผลได้ 1 กิโลวัตต์ ก็จะได้เครือข่ายรวมถึง 100 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็น “สินทรัพย์มหาศาล” ที่มีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟในตัวอยู่แล้ว

    นอกจากนี้ Musk ยังพูดถึง AI5 ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า และจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ “ปลอดภัยกว่ามนุษย์” ถึง 10 เท่า โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่อย่าง Cyber Cab ที่จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปีหน้า

    แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ distributed computing อย่าง SETI@home หรือ Folding@home แต่ในเวอร์ชันที่ใช้รถยนต์เป็นหน่วยประมวลผล ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของรถเข้าร่วมได้

    Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถ Tesla ที่จอดว่างเป็นเครือข่าย AI
    เรียกว่า “distributed inference fleet”
    ประเมินว่ารถ 100 ล้านคันจะให้พลังรวม 100 กิกะวัตต์
    รถมีระบบไฟและระบายความร้อนในตัวอยู่แล้ว

    การพัฒนา AI5 และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    AI5 แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า
    ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ 10 เท่า
    Cyber Cab จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2026

    แนวคิดคล้ายกับ distributed computing แบบ SETI@home
    ใช้พลังจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการประมวลผล
    อาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หากมีแรงจูงใจที่เหมาะสม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-says-idling-tesla-cars-could-create-massive-100-million-vehicle-strong-computer-for-ai-bored-vehicles-could-offer-100-gigawatts-of-distributed-compute-power
    🚗🧠 Tesla จะกลายเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่? Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถว่างสร้างเครือข่าย AI ขนาด 100 ล้านคัน Elon Musk เผยไอเดียเปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผล AI ขนาดมหึมา ด้วยพลังคอมพิวเตอร์รวมกว่า 100 กิกะวัตต์ พร้อมชู AI5 ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 Elon Musk ได้เสนอแนวคิดสุดล้ำ: เปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผลแบบ distributed inference fleet โดยใช้พลังคอมพิวเตอร์จากรถที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งเขาเรียกว่า “รถที่เบื่อ” Musk ประเมินว่า หากมีรถ Tesla 100 ล้านคัน และแต่ละคันสามารถให้พลังประมวลผลได้ 1 กิโลวัตต์ ก็จะได้เครือข่ายรวมถึง 100 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็น “สินทรัพย์มหาศาล” ที่มีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟในตัวอยู่แล้ว นอกจากนี้ Musk ยังพูดถึง AI5 ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า และจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ “ปลอดภัยกว่ามนุษย์” ถึง 10 เท่า โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่อย่าง Cyber Cab ที่จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปีหน้า แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ distributed computing อย่าง SETI@home หรือ Folding@home แต่ในเวอร์ชันที่ใช้รถยนต์เป็นหน่วยประมวลผล ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของรถเข้าร่วมได้ ✅ Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถ Tesla ที่จอดว่างเป็นเครือข่าย AI ➡️ เรียกว่า “distributed inference fleet” ➡️ ประเมินว่ารถ 100 ล้านคันจะให้พลังรวม 100 กิกะวัตต์ ➡️ รถมีระบบไฟและระบายความร้อนในตัวอยู่แล้ว ✅ การพัฒนา AI5 และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ➡️ AI5 แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า ➡️ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ 10 เท่า ➡️ Cyber Cab จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2026 ✅ แนวคิดคล้ายกับ distributed computing แบบ SETI@home ➡️ ใช้พลังจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการประมวลผล ➡️ อาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หากมีแรงจูงใจที่เหมาะสม https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-says-idling-tesla-cars-could-create-massive-100-million-vehicle-strong-computer-for-ai-bored-vehicles-could-offer-100-gigawatts-of-distributed-compute-power
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ–จีนตกลงพักศึกภาษี 1 ปี พร้อมคลี่คลายปมแร่หายากและชิป AI แต่อนาคต Nvidia ยังไม่ชัดเจน

    ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี พร้อมข้อตกลงด้านแร่หายากที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการขายชิป AI ของ Nvidia ให้จีน

    การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 20% และจีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์

    แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ประเด็นเรื่องชิป AI ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ โดยเฉพาะชิป Blackwell ของ Nvidia ที่ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง” ในการเจรจา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวว่าจะหารือเรื่องนี้

    สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ทำให้บริษัทอย่าง AMD และ Nvidia ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์เลยในการสรุปผลการประชุม

    นักลงทุนอาจพอใจในระยะสั้นจากการคลี่คลายปัญหาแร่หายาก แต่ความไม่แน่นอนเรื่องชิป AI และการควบคุมเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา

    สหรัฐฯ–จีนตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี
    ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจาก 20%
    จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

    ความสำคัญของแร่หายาก
    ใช้ในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์
    การควบคุมส่งออกส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก

    ประเด็นชิป AI ยังไม่ชัดเจน
    สหรัฐฯ จำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน
    Nvidia และ AMD ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนด
    ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง Blackwell” ในการเจรจา

    ปฏิกิริยาจากจีน
    รายงานสรุปของจีนไม่กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์
    ท่าทีของจีนยังคงระมัดระวังและไม่เปิดเผยรายละเอียด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-and-china-agree-on-one-year-tariff-truce-including-semiconductor-and-rare-earth-breakthroughs-the-future-of-nvidia-ai-chip-sales-to-the-nation-remains-murky
    🌏🤝 สหรัฐฯ–จีนตกลงพักศึกภาษี 1 ปี พร้อมคลี่คลายปมแร่หายากและชิป AI แต่อนาคต Nvidia ยังไม่ชัดเจน ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี พร้อมข้อตกลงด้านแร่หายากที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการขายชิป AI ของ Nvidia ให้จีน การพบกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีนที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นำไปสู่ข้อตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี โดยทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 20% และจีนตกลงระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ประเด็นเรื่องชิป AI ยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ โดยเฉพาะชิป Blackwell ของ Nvidia ที่ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง” ในการเจรจา แม้ก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวว่าจะหารือเรื่องนี้ สหรัฐฯ ยังคงจำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ทำให้บริษัทอย่าง AMD และ Nvidia ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดการส่งออก ขณะที่ฝั่งจีนไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์เลยในการสรุปผลการประชุม นักลงทุนอาจพอใจในระยะสั้นจากการคลี่คลายปัญหาแร่หายาก แต่ความไม่แน่นอนเรื่องชิป AI และการควบคุมเทคโนโลยียังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา ✅ สหรัฐฯ–จีนตกลงหยุดการขึ้นภาษีระหว่างกันเป็นเวลา 1 ปี ➡️ ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าจากจีนลงครึ่งหนึ่งจาก 20% ➡️ จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ✅ ความสำคัญของแร่หายาก ➡️ ใช้ในการผลิตฮาร์ดไดรฟ์และเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ การควบคุมส่งออกส่งผลต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ✅ ประเด็นชิป AI ยังไม่ชัดเจน ➡️ สหรัฐฯ จำกัดการขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้จีน ➡️ Nvidia และ AMD ต้องผลิตรุ่นลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อกำหนด ➡️ ทรัมป์ยืนยันว่า “ไม่ได้พูดถึง Blackwell” ในการเจรจา ✅ ปฏิกิริยาจากจีน ➡️ รายงานสรุปของจีนไม่กล่าวถึงข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ท่าทีของจีนยังคงระมัดระวังและไม่เปิดเผยรายละเอียด https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-and-china-agree-on-one-year-tariff-truce-including-semiconductor-and-rare-earth-breakthroughs-the-future-of-nvidia-ai-chip-sales-to-the-nation-remains-murky
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler”

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399

    QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล

    รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ

    แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron)

    ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz

    แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S
    ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5
    มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5
    รองรับ RAID 0 และ RAID 5

    สเปกของ NAS
    ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB
    มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD
    พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน
    Sequential read/write ~1,400 MB/s
    Random write ~70,000 IOPS
    ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W

    การรับประกัน
    ตัว NAS รับประกัน 3 ปี
    SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด

    ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2
    แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ
    อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน

    ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD
    รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52%
    ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    🖥️🏠 QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler” QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399 QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron) ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม ✅ QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S ➡️ ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5 ➡️ มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5 ➡️ รองรับ RAID 0 และ RAID 5 ✅ สเปกของ NAS ➡️ ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB ➡️ มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b ✅ ประสิทธิภาพและการใช้งาน ➡️ Sequential read/write ~1,400 MB/s ➡️ Random write ~70,000 IOPS ➡️ ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W ✅ การรับประกัน ➡️ ตัว NAS รับประกัน 3 ปี ➡️ SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด ‼️ ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2 ⛔ แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน ‼️ ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD ⛔ รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52% ⛔ ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟัง: เมื่ออีโมจิไม่ใช่แค่สื่ออารมณ์ แต่กลายเป็นรหัสลับของอาชญากร

    ในยุคที่อีโมจิกลายเป็นภาษาที่สองของคนรุ่นใหม่ ตำรวจออสเตรเลียพบว่าอีโมจิและสแลงออนไลน์ถูกใช้เป็น “รหัสลับ” ในการวางแผนก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่เรียกกันว่า “crimefluencers” — กลุ่มเยาวชนที่ถูกชักจูงเข้าสู่เครือข่ายความรุนแรงผ่านโซเชียลมีเดีย

    ผู้บัญชาการ AFP, Krissy Barrett เผยว่า กลุ่มเหล่านี้ไม่มีผู้นำที่ชัดเจน แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือ “ความวุ่นวายและความรุนแรง” โดยเฉพาะต่อเด็กหญิงวัยรุ่น พวกเขาใช้แอปเข้ารหัสและอีโมจิ เช่น (ซึ่งอาจหมายถึง “ตาย” หรือ “ขำจนตาย”) หรือ (ที่อาจหมายถึงพิซซ่าจริง ๆ หรือเป็นรหัสส่งยา) เพื่อสื่อสารกันอย่างแนบเนียน

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ AFP กำลังพัฒนา AI แบบ multimodal ที่สามารถแยกแยะความหมายของอีโมจิและสแลงตามบริบท โดยใช้โมเดล NLP อย่าง BERT ที่เรียนรู้จากข้อมูลโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram และข้อมูลจากคดีจริง เพื่อให้ AI เข้าใจความหมายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    นอกจากนี้ AFP ยังร่วมมือกับกลุ่ม Five Eyes Law Enforcement (สหรัฐฯ, อังกฤษ, แคนาดา, นิวซีแลนด์) และใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์แบบใหม่ เช่น การวิเคราะห์มือถือที่ฝังอยู่กับศพ เพื่อประเมินเวลาการเสียชีวิต

    AFP พัฒนา AI ถอดรหัสอีโมจิและสแลงของ Gen Z และ Gen Alpha
    ใช้ในแอปแชตเข้ารหัสและกลุ่มออนไลน์
    เป้าหมายคือกลุ่ม “crimefluencers” ที่ใช้โซเชียลในการวางแผนก่อเหตุ

    ลักษณะของกลุ่ม crimefluencers
    ไม่มีผู้นำชัดเจน แต่มีแนวคิดร่วม เช่น ความรุนแรงและอนาธิปไตย
    ใช้สื่อออนไลน์ล่อลวงวัยรุ่นให้เข้าร่วม โดยบางครั้งต้อง “พิสูจน์ตัว” ด้วยการทำร้ายตัวเอง

    ตัวอย่างการใช้ AI
    แยกแยะอีโมจิที่มีความหมายหลากหลาย เช่น หรือ
    ใช้ language embeddings เพื่อจับบริบท เช่น “pizza drop tonight?” +

    ความร่วมมือและเทคนิคเสริม
    ทำงานร่วมกับ Five Eyes Law Enforcement Group
    ใช้เทคนิค forensic ใหม่ เช่น วิเคราะห์มือถือที่ฝังกับศพเพื่อประเมินเวลาการตาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/australias-police-will-soon-start-to-use-ai-to-curb-online-crime-emoji-slang-will-be-decoded-and-translated-for-investigators-to-better-understand-crimefluencers
    🎙️ เล่าให้ฟัง: เมื่ออีโมจิไม่ใช่แค่สื่ออารมณ์ แต่กลายเป็นรหัสลับของอาชญากร ในยุคที่อีโมจิกลายเป็นภาษาที่สองของคนรุ่นใหม่ ตำรวจออสเตรเลียพบว่าอีโมจิและสแลงออนไลน์ถูกใช้เป็น “รหัสลับ” ในการวางแผนก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่เรียกกันว่า “crimefluencers” — กลุ่มเยาวชนที่ถูกชักจูงเข้าสู่เครือข่ายความรุนแรงผ่านโซเชียลมีเดีย ผู้บัญชาการ AFP, Krissy Barrett เผยว่า กลุ่มเหล่านี้ไม่มีผู้นำที่ชัดเจน แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือ “ความวุ่นวายและความรุนแรง” โดยเฉพาะต่อเด็กหญิงวัยรุ่น พวกเขาใช้แอปเข้ารหัสและอีโมจิ เช่น 💀 (ซึ่งอาจหมายถึง “ตาย” หรือ “ขำจนตาย”) หรือ 🍕 (ที่อาจหมายถึงพิซซ่าจริง ๆ หรือเป็นรหัสส่งยา) เพื่อสื่อสารกันอย่างแนบเนียน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ AFP กำลังพัฒนา AI แบบ multimodal ที่สามารถแยกแยะความหมายของอีโมจิและสแลงตามบริบท โดยใช้โมเดล NLP อย่าง BERT ที่เรียนรู้จากข้อมูลโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram และข้อมูลจากคดีจริง เพื่อให้ AI เข้าใจความหมายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนี้ AFP ยังร่วมมือกับกลุ่ม Five Eyes Law Enforcement (สหรัฐฯ, อังกฤษ, แคนาดา, นิวซีแลนด์) และใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์แบบใหม่ เช่น การวิเคราะห์มือถือที่ฝังอยู่กับศพ เพื่อประเมินเวลาการเสียชีวิต ✅ AFP พัฒนา AI ถอดรหัสอีโมจิและสแลงของ Gen Z และ Gen Alpha ➡️ ใช้ในแอปแชตเข้ารหัสและกลุ่มออนไลน์ ➡️ เป้าหมายคือกลุ่ม “crimefluencers” ที่ใช้โซเชียลในการวางแผนก่อเหตุ ✅ ลักษณะของกลุ่ม crimefluencers ➡️ ไม่มีผู้นำชัดเจน แต่มีแนวคิดร่วม เช่น ความรุนแรงและอนาธิปไตย ➡️ ใช้สื่อออนไลน์ล่อลวงวัยรุ่นให้เข้าร่วม โดยบางครั้งต้อง “พิสูจน์ตัว” ด้วยการทำร้ายตัวเอง ✅ ตัวอย่างการใช้ AI ➡️ แยกแยะอีโมจิที่มีความหมายหลากหลาย เช่น 💀 หรือ 🍕 ➡️ ใช้ language embeddings เพื่อจับบริบท เช่น “pizza drop tonight?” + 🩸 ✅ ความร่วมมือและเทคนิคเสริม ➡️ ทำงานร่วมกับ Five Eyes Law Enforcement Group ➡️ ใช้เทคนิค forensic ใหม่ เช่น วิเคราะห์มือถือที่ฝังกับศพเพื่อประเมินเวลาการตาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/australias-police-will-soon-start-to-use-ai-to-curb-online-crime-emoji-slang-will-be-decoded-and-translated-for-investigators-to-better-understand-crimefluencers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วีระ สมความคิด” นำมวลชนพร้อมรถแบ็กโฮ-รถไถ เตรียมเข้ารื้อบ้านของชาวบ้านกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ 64 ไร่ศูนย์อพยพบ้านหนองจานเก่า บ่ายโมงวันนี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104014

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “วีระ สมความคิด” นำมวลชนพร้อมรถแบ็กโฮ-รถไถ เตรียมเข้ารื้อบ้านของชาวบ้านกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ 64 ไร่ศูนย์อพยพบ้านหนองจานเก่า บ่ายโมงวันนี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104014 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผย 13 พื้นที่ ไทยเสนอเขมรร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ข้อ2 จาก 4 ข้อตกลงสันติภาพ ทั้งช่องบก -ช่องอ่านม้า -ปราสาทตาควาย-ช่องกร่าง - ช่องเหว-บ้านสายโท 10 ใต้-บ้านชำราก - หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว วัดใจ “ปราสาทตาควาย”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103986

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เผย 13 พื้นที่ ไทยเสนอเขมรร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ข้อ2 จาก 4 ข้อตกลงสันติภาพ ทั้งช่องบก -ช่องอ่านม้า -ปราสาทตาควาย-ช่องกร่าง - ช่องเหว-บ้านสายโท 10 ใต้-บ้านชำราก - หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว วัดใจ “ปราสาทตาควาย” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103986 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ลบคลิปสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 อ้างเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต!

    YouTube ลบวิดีโอจากช่อง CyberCPU Tech ที่สาธิตวิธีข้ามข้อกำหนดบัญชีและฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 โดยอ้างว่าเนื้อหา “ส่งเสริมกิจกรรมอันตรายหรือผิดกฎหมายที่เสี่ยงต่ออันตรายทางร่างกายหรือเสียชีวิต”

    Rich เจ้าของช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสาธิตวิธีติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ใช้บัญชี Microsoft และข้ามข้อกำหนดฮาร์ดแวร์อย่าง TPM 2.0 ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า

    แต่ไม่กี่วันหลังจากโพสต์ วิดีโอเหล่านั้นถูก YouTube ลบออก พร้อมคำอธิบายว่าเนื้อหา “ละเมิดนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อชีวิต” Rich ยื่นอุทธรณ์ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือ และไม่มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาใดผิดกฎ

    Rich ตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจอยู่เบื้องหลังการแจ้งลบ แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่า YouTube มีสิทธิ์ควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน แต่ก็วิจารณ์ว่า “การต้องเดาว่าทำผิดอะไร” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครื่องของตนเอง กับบริษัทเทคโนโลยีที่กำหนดข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุน และ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Copilot+ PC

    ช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11
    วิธีใช้บัญชี local แทน Microsoft account
    วิธีติดตั้งบนเครื่องที่ไม่มี TPM 2.0

    YouTube ลบวิดีโอโดยอ้างละเมิดนโยบายเนื้อหาอันตราย
    ระบุว่า “ส่งเสริมกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือเสียชีวิต”
    ไม่ให้เหตุผลเฉพาะเจาะจงว่าผิดตรงไหน

    เจ้าของช่องตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
    ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เกิดขึ้นในช่วงที่ Microsoft เร่งผลักดัน Windows 11
    ผู้ใช้บางส่วนหันไปใช้ Mac แทน Copilot+ PC

    ความไม่โปร่งใสในการลบเนื้อหา
    ผู้สร้างเนื้อหาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรละเมิดกฎ
    ต้องเดาและปรับเนื้อหาเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/windows-11-videos-demonstrating-account-and-hardware-requirements-bypass-purged-from-youtube-platform-says-content-encourages-dangerous-or-illegal-activities-that-risk-serious-physical-harm-or-death
    📹⚠️ YouTube ลบคลิปสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 อ้างเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต! YouTube ลบวิดีโอจากช่อง CyberCPU Tech ที่สาธิตวิธีข้ามข้อกำหนดบัญชีและฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 โดยอ้างว่าเนื้อหา “ส่งเสริมกิจกรรมอันตรายหรือผิดกฎหมายที่เสี่ยงต่ออันตรายทางร่างกายหรือเสียชีวิต” Rich เจ้าของช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสาธิตวิธีติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ใช้บัญชี Microsoft และข้ามข้อกำหนดฮาร์ดแวร์อย่าง TPM 2.0 ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า แต่ไม่กี่วันหลังจากโพสต์ วิดีโอเหล่านั้นถูก YouTube ลบออก พร้อมคำอธิบายว่าเนื้อหา “ละเมิดนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อชีวิต” Rich ยื่นอุทธรณ์ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือ และไม่มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาใดผิดกฎ Rich ตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจอยู่เบื้องหลังการแจ้งลบ แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่า YouTube มีสิทธิ์ควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน แต่ก็วิจารณ์ว่า “การต้องเดาว่าทำผิดอะไร” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครื่องของตนเอง กับบริษัทเทคโนโลยีที่กำหนดข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุน และ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Copilot+ PC ✅ ช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 ➡️ วิธีใช้บัญชี local แทน Microsoft account ➡️ วิธีติดตั้งบนเครื่องที่ไม่มี TPM 2.0 ✅ YouTube ลบวิดีโอโดยอ้างละเมิดนโยบายเนื้อหาอันตราย ➡️ ระบุว่า “ส่งเสริมกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือเสียชีวิต” ➡️ ไม่ให้เหตุผลเฉพาะเจาะจงว่าผิดตรงไหน ✅ เจ้าของช่องตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ➡️ ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เกิดขึ้นในช่วงที่ Microsoft เร่งผลักดัน Windows 11 ➡️ ผู้ใช้บางส่วนหันไปใช้ Mac แทน Copilot+ PC ✅ ความไม่โปร่งใสในการลบเนื้อหา ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรละเมิดกฎ ➡️ ต้องเดาและปรับเนื้อหาเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/windows-11-videos-demonstrating-account-and-hardware-requirements-bypass-purged-from-youtube-platform-says-content-encourages-dangerous-or-illegal-activities-that-risk-serious-physical-harm-or-death
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก!

    จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก

    ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์

    แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน

    แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก
    ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้
    ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม
    ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน
    PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25

    เป้าหมายและการขยายในอนาคต
    เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง

    เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft
    Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน
    ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    🌊⚡ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก! จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์ แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ➡️ ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้ ➡️ ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม ➡️ ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน ➡️ PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25 ✅ เป้าหมายและการขยายในอนาคต ➡️ เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง ✅ เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft ➡️ Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน ➡️ ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มของระบบ

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่จะช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดจากหน่วยความจำ (RAM) หลังจากเกิด Blue Screen of Death (BSOD) หรือหน้าจอฟ้าอันโด่งดังที่บ่งบอกว่าระบบล่ม

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องรีบูตจาก BSOD โดยจะมีหน้าต่างป๊อปอัปแนะนำให้ผู้ใช้ “สแกนหน่วยความจำ” ในการรีบูตครั้งถัดไป ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนได้ตามต้องการ

    Microsoft ระบุว่าเป้าหมายของฟีเจอร์นี้คือช่วยให้เข้าใจสาเหตุของการล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายของหน่วยความจำ และในอนาคตจะปรับปรุงให้ระบบเรียกใช้การสแกนเฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับ RAM โดยตรง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาหน่วยความจำไม่เสถียรอาจไม่แสดงอาการทันที และสามารถซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือแม้แต่การเสียหายของข้อมูลโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ซึ่งเป็นการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน อาจทำให้ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU ทำงานหนักเกินไปและเกิดความไม่เสถียร

    การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย

    Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD
    ฟีเจอร์จะทำงานหลังรีบูตจาก BSOD โดยมีป๊อปอัปแนะนำให้สแกน
    ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนในการรีบูตครั้งถัดไป
    ฟีเจอร์นี้มีใน Windows 11 Insider Preview Build 26220.6982

    เป้าหมายคือช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มที่เกี่ยวข้องกับ RAM
    จะปรับปรุงให้เรียกใช้เฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำ
    ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

    ปัญหา RAM ไม่เสถียรอาจซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน
    ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ที่โอเวอร์คล็อกจากโรงงาน

    การใช้ RAM แบบโอเวอร์คล็อกอาจทำให้ระบบไม่เสถียร
    ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU อาจไม่รองรับความเร็วที่สูงเกินไป
    อาจทำให้เกิดการล่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบ RAM อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ
    ผู้ใช้ไม่สามารถระบุสาเหตุของ BSOD ได้ชัดเจน
    อาจนำไปสู่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์โดยไม่จำเป็น

    https://www.tomshardware.com/software/windows/new-windows-11-feature-aims-to-diagnose-crashes-will-check-ram-after-bsods-to-look-for-problems
    🎯 Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มของระบบ Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่จะช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดจากหน่วยความจำ (RAM) หลังจากเกิด Blue Screen of Death (BSOD) หรือหน้าจอฟ้าอันโด่งดังที่บ่งบอกว่าระบบล่ม ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องรีบูตจาก BSOD โดยจะมีหน้าต่างป๊อปอัปแนะนำให้ผู้ใช้ “สแกนหน่วยความจำ” ในการรีบูตครั้งถัดไป ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนได้ตามต้องการ Microsoft ระบุว่าเป้าหมายของฟีเจอร์นี้คือช่วยให้เข้าใจสาเหตุของการล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายของหน่วยความจำ และในอนาคตจะปรับปรุงให้ระบบเรียกใช้การสแกนเฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับ RAM โดยตรง สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาหน่วยความจำไม่เสถียรอาจไม่แสดงอาการทันที และสามารถซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือแม้แต่การเสียหายของข้อมูลโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ซึ่งเป็นการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน อาจทำให้ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU ทำงานหนักเกินไปและเกิดความไม่เสถียร การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย ✅ Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD ➡️ ฟีเจอร์จะทำงานหลังรีบูตจาก BSOD โดยมีป๊อปอัปแนะนำให้สแกน ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนในการรีบูตครั้งถัดไป ➡️ ฟีเจอร์นี้มีใน Windows 11 Insider Preview Build 26220.6982 ✅ เป้าหมายคือช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มที่เกี่ยวข้องกับ RAM ➡️ จะปรับปรุงให้เรียกใช้เฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น ✅ ปัญหา RAM ไม่เสถียรอาจซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ➡️ ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว ➡️ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ที่โอเวอร์คล็อกจากโรงงาน ‼️ การใช้ RAM แบบโอเวอร์คล็อกอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ⛔ ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU อาจไม่รองรับความเร็วที่สูงเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดการล่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบ RAM อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถระบุสาเหตุของ BSOD ได้ชัดเจน ⛔ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์โดยไม่จำเป็น https://www.tomshardware.com/software/windows/new-windows-11-feature-aims-to-diagnose-crashes-will-check-ram-after-bsods-to-look-for-problems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด

    ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก

    แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

    โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า

    นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ

    ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย

    โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด
    ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง
    ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน
    เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน

    โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน
    ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ
    สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ

    ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ
    ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D
    สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ

    นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย
    ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา
    โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ

    โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว
    ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้
    ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง

    การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา
    ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
    ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    🦇 โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย ✅ โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด ➡️ ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง ➡️ ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน ➡️ เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน ✅ โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ ➡️ สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ ✅ ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ ➡️ ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D ➡️ สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ ✅ นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย ➡️ ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา ➡️ โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ ‼️ โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว ⛔ ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้ ⛔ ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง ‼️ การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา ⛔ ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ⛔ ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How tiny drones inspired by bats could save lives in dark and stormy conditions
    Don't be fooled by the fog machine, spooky lights and fake bats: the robotics lab at Worcester Polytechnic Institute lab isn't hosting a Halloween party.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ

    ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ

    Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง

    ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น

    นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น

    ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ

    แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย
    รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram
    ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง
    อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้

    ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025
    จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี
    ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม

    ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล
    ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน
    มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี

    กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์
    มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
    กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด

    ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า
    การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    👮‍♀️ Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ ✅ แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย ➡️ รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ➡️ ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง ➡️ อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ ✅ ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025 ➡️ จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี ➡️ ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม ✅ ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล ➡️ ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน ➡️ มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี ‼️ กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์ ⛔ มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ ⛔ กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า ⛔ การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hong Kong’s Scameter app gets upgrade, AI tools to tackle social media scams
    Online employment and investment scams are on the rise, despite police recording a marginal increase in swindling cases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

    หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น

    แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท

    Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท”

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง

    สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก

    ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม
    การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท
    หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม
    การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
    การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ

    การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า
    ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร
    การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น

    ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว”
    อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง
    ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น”

    การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่
    อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย
    ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่

    ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ

    https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    🧭 “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท” นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก ✅ ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม ➡️ การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท ➡️ หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ➡️ การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ ✅ การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า ➡️ ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร ➡️ การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ‼️ ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว” ⛔ อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง ⛔ ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น” ‼️ การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่ ⛔ อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่ ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Tips for CISOs switching between industries
    Moving between industries isn’t just about experience, it’s about transferring skills, understanding the business, and managing risk in new environments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • Akira Ransomware อ้างขโมยข้อมูล 23GB จาก Apache OpenOffice — ยังไม่มีการยืนยันจากทาง Apache

    กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลภายในองค์กรกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต และเอกสารการเงินภายในองค์กร

    Akira เป็นกลุ่ม ransomware-as-a-service (RaaS) ที่เริ่มปรากฏตัวในปี 2023 และมีชื่อเสียงจากการใช้กลยุทธ์ “double extortion” คือขโมยข้อมูลก่อน แล้วจึงเข้ารหัสระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยในกรณีนี้ พวกเขาโพสต์ข้อความบน dark web ว่าจะเผยแพร่เอกสารทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้

    อย่างไรก็ตาม ทาง Apache Software Foundation ยังไม่ออกมายืนยันว่ามีการเจาะระบบจริงหรือไม่ และไม่มีหลักฐานว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ถูกกระทบ

    Akira ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น:
    ใช้ ransomware ที่ตรวจสอบ layout ของคีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย
    เคยถูกพบว่ามีการแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเรียกค่าไถ่

    ข้อมูลที่ถูกอ้างว่าถูกขโมย
    ข้อมูลพนักงาน: ที่อยู่ เบอร์โทร วันเกิด เลขบัตรประชาชน
    ข้อมูลการเงินและเอกสารภายในองค์กร
    รายงานปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์

    พฤติกรรมของ Akira Ransomware
    ใช้กลยุทธ์ double extortion
    มี ransomware สำหรับ Windows และ Linux/VMware ESXi
    ตรวจสอบ layout คีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงประเทศรัสเซีย
    เคยแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อ

    สถานะปัจจุบัน
    Apache ยังไม่ยืนยันว่ามีการเจาะระบบ
    ไม่มีผลกระทบต่อระบบแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice
    ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลด OpenOffice ได้จากเว็บไซต์ทางการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    อย่าดาวน์โหลด OpenOffice จากลิงก์ที่แชร์ในโซเชียลหรือฟอรั่ม
    ควรติดตามประกาศจาก Apache Software Foundation อย่างใกล้ชิด
    หากใช้งานในองค์กร ควรตรวจสอบระบบภายในและอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย

    https://hackread.com/akira-ransomware-stole-apache-openoffice-data/
    🕵️ Akira Ransomware อ้างขโมยข้อมูล 23GB จาก Apache OpenOffice — ยังไม่มีการยืนยันจากทาง Apache กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลภายในองค์กรกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต และเอกสารการเงินภายในองค์กร Akira เป็นกลุ่ม ransomware-as-a-service (RaaS) ที่เริ่มปรากฏตัวในปี 2023 และมีชื่อเสียงจากการใช้กลยุทธ์ “double extortion” คือขโมยข้อมูลก่อน แล้วจึงเข้ารหัสระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยในกรณีนี้ พวกเขาโพสต์ข้อความบน dark web ว่าจะเผยแพร่เอกสารทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ทาง Apache Software Foundation ยังไม่ออกมายืนยันว่ามีการเจาะระบบจริงหรือไม่ และไม่มีหลักฐานว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ถูกกระทบ 🔐 Akira ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น: 💠 ใช้ ransomware ที่ตรวจสอบ layout ของคีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย 💠 เคยถูกพบว่ามีการแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเรียกค่าไถ่ ✅ ข้อมูลที่ถูกอ้างว่าถูกขโมย ➡️ ข้อมูลพนักงาน: ที่อยู่ เบอร์โทร วันเกิด เลขบัตรประชาชน ➡️ ข้อมูลการเงินและเอกสารภายในองค์กร ➡️ รายงานปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์ ✅ พฤติกรรมของ Akira Ransomware ➡️ ใช้กลยุทธ์ double extortion ➡️ มี ransomware สำหรับ Windows และ Linux/VMware ESXi ➡️ ตรวจสอบ layout คีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงประเทศรัสเซีย ➡️ เคยแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อ ✅ สถานะปัจจุบัน ➡️ Apache ยังไม่ยืนยันว่ามีการเจาะระบบ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อระบบแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ➡️ ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลด OpenOffice ได้จากเว็บไซต์ทางการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ อย่าดาวน์โหลด OpenOffice จากลิงก์ที่แชร์ในโซเชียลหรือฟอรั่ม ⛔ ควรติดตามประกาศจาก Apache Software Foundation อย่างใกล้ชิด ⛔ หากใช้งานในองค์กร ควรตรวจสอบระบบภายในและอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย https://hackread.com/akira-ransomware-stole-apache-openoffice-data/
    HACKREAD.COM
    Akira Ransomware Claims It Stole 23GB from Apache OpenOffice
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts