• ฮุนเซนปล่อยเฟคนิวส์ อ้างไทยจะโจมตีเมื่อคืน — มีแต่ชาวบ้านเขมรที่เชื่อ หนีอลหม่านกลางดึก [4/8/68]
    Hun Sen spreads fake news claiming Thailand would attack last night — only Cambodian villagers believed it, fleeing in chaos at midnight.

    #TruthFromThailand
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ข่าวปลอมเขมร
    #ฮุนเซนสร้างภาพ
    #สงครามจิตวิทยา
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    #เสียงจากชายแดน
    #ปกป้องแผ่นดินไทย
    ฮุนเซนปล่อยเฟคนิวส์ อ้างไทยจะโจมตีเมื่อคืน — มีแต่ชาวบ้านเขมรที่เชื่อ หนีอลหม่านกลางดึก [4/8/68] Hun Sen spreads fake news claiming Thailand would attack last night — only Cambodian villagers believed it, fleeing in chaos at midnight. #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ข่าวปลอมเขมร #ฮุนเซนสร้างภาพ #สงครามจิตวิทยา #Thaitimes #News1 #Shorts #เสียงจากชายแดน #ปกป้องแผ่นดินไทย
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: โน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จับคู่ CPU-GPU แบบย้อนยุค—ประหยัดหรือพลาด?

    แบรนด์จีนชื่อ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่สร้างความงุนงงให้กับวงการ:

    รุ่นแรกชื่อ “Inter Book” ใช้ชิปกราฟิก GeForce GTX 1060 ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 จับคู่กับซีพียู Intel N95 ระดับเริ่มต้นจากตระกูล Alder Lake-N ที่มีเพียง 4 คอร์

    รุ่นที่สองชื่อ “Rescue Series” ใช้ซีพียูระดับสูง Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ แต่กลับจับคู่กับ GPU MX550 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 เสียอีก

    ทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่ “เกินจริง” เช่น บอกว่า N95 เป็น “Core i9-class” และหน้าจอ 1080p เป็น “4K-class” ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค

    แม้จะดูแปลก แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลัง—อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนหรือช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่สมดุลและประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่น่าประทับใจ

    Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนเก่า
    Inter Book ใช้ GTX 1060 + Intel N95
    Rescue Series ใช้ Core i9-12900H + MX550

    GTX 1060 เป็น GPU จากปี 2016 ที่ยังพอเล่นเกมระดับกลางได้
    มี VRAM 6 GB GDDR5
    เล่นเกม 1080p ได้ในระดับกลาง

    Intel N95 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นที่มีเพียง 4 คอร์
    ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W
    ไม่เหมาะกับงานหนักหรือเกมที่ใช้ CPU สูง

    MX550 เป็น GPU ระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060
    มี 1024 shaders และ VRAM 4 GB
    เหมาะกับงานเบา เช่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอเบื้องต้น

    โน้ตบุ๊กทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่เกินจริง
    เรียก N95 ว่า “Core i9-class”
    หน้าจอ 1080p ถูกเรียกว่า “4K-class”

    อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุน
    ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
    อาจเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เน้นเกมหนัก

    https://wccftech.com/chinese-manufacturer-uses-gtx-1060-by-releasing-an-entry-level-laptop-with-intel-n95/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: โน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จับคู่ CPU-GPU แบบย้อนยุค—ประหยัดหรือพลาด? แบรนด์จีนชื่อ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่สร้างความงุนงงให้กับวงการ: ▶️ รุ่นแรกชื่อ “Inter Book” ใช้ชิปกราฟิก GeForce GTX 1060 ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 จับคู่กับซีพียู Intel N95 ระดับเริ่มต้นจากตระกูล Alder Lake-N ที่มีเพียง 4 คอร์ ▶️ รุ่นที่สองชื่อ “Rescue Series” ใช้ซีพียูระดับสูง Core i9-12900H แบบ 14 คอร์ แต่กลับจับคู่กับ GPU MX550 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 เสียอีก ทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่ “เกินจริง” เช่น บอกว่า N95 เป็น “Core i9-class” และหน้าจอ 1080p เป็น “4K-class” ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค แม้จะดูแปลก แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลัง—อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุนหรือช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ไม่สมดุลและประสบการณ์เล่นเกมที่ไม่น่าประทับใจ ✅ Sakuromoto เปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งสองรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนเก่า ➡️ Inter Book ใช้ GTX 1060 + Intel N95 ➡️ Rescue Series ใช้ Core i9-12900H + MX550 ✅ GTX 1060 เป็น GPU จากปี 2016 ที่ยังพอเล่นเกมระดับกลางได้ ➡️ มี VRAM 6 GB GDDR5 ➡️ เล่นเกม 1080p ได้ในระดับกลาง ✅ Intel N95 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นที่มีเพียง 4 คอร์ ➡️ ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W ➡️ ไม่เหมาะกับงานหนักหรือเกมที่ใช้ CPU สูง ✅ MX550 เป็น GPU ระดับล่างที่อ่อนแอกว่า GTX 1060 ➡️ มี 1024 shaders และ VRAM 4 GB ➡️ เหมาะกับงานเบา เช่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอเบื้องต้น ✅ โน้ตบุ๊กทั้งสองรุ่นมีการตลาดที่เกินจริง ➡️ เรียก N95 ว่า “Core i9-class” ➡️ หน้าจอ 1080p ถูกเรียกว่า “4K-class” ✅ อาจเป็นการนำชิ้นส่วนเก่ามาใช้ใหม่เพื่อลดต้นทุน ➡️ ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ อาจเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้เน้นเกมหนัก https://wccftech.com/chinese-manufacturer-uses-gtx-1060-by-releasing-an-entry-level-laptop-with-intel-n95/
    WCCFTECH.COM
    Chinese Manufacturer Pairs GTX 1060 With Intel N95 Processor For Its Gaming Laptop; Uses Even A Weirder Combo Of Core i9 12900H+MX550 In Another Model
    Sakuramoto has been producing gaming laptops with weird CPU-GPU combos as seen recently. One of its offerings included GTX 1060 and N95.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน

    Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance)

    จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป

    หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว

    แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน

    Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ
    ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง
    รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา

    หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน
    ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ
    ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง

    ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที
    ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง
    เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว

    แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน
    เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน
    ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

    รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น

    แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง
    น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์
    พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่

    https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: แท็บเล็ตวาดภาพที่พร้อมใช้งานทันที แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน Wacom เปิดตัว MovinkPad 11 แท็บเล็ต Android ขนาด 11.45 นิ้ว ที่มาพร้อมกับปากกา Pro Pen 3 รุ่นมืออาชีพ ซึ่งไม่ต้องใช้แบตเตอรี่หรือ Bluetooth และให้ความแม่นยำสูงด้วยเทคโนโลยี EMR (Electromagnetic Resonance) จุดเด่นคือฟีเจอร์ “Quick Draw” ที่ให้ผู้ใช้แตะปากกาบนหน้าจอเพื่อเปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที—เหมือนเปิดสมุดสเก็ตช์แบบดิจิทัล ไม่ต้องปลดล็อกเครื่องหรือรอโหลดแอป หน้าจอแบบด้านช่วยลดแสงสะท้อนและให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ๆ เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแอป Clip Studio Paint Debut ที่ติดตั้งมาให้แล้ว แต่แม้จะมีจุดเด่นด้านการวาด MovinkPad 11 ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ใช้ชิป MediaTek Helio G99 ซึ่งเป็นระดับกลาง และยังไม่มีแอป Adobe Photoshop หรือ Illustrator บน Android ทำให้การทำงานระดับมืออาชีพยังไม่ครบถ้วน ✅ Wacom MovinkPad 11 มาพร้อมปากกา Pro Pen 3 แบบไม่ต้องชาร์จ ➡️ ใช้เทคโนโลยี EMR ให้ความแม่นยำสูง ➡️ รองรับแรงกด 8,192 ระดับและการเอียงปากกา ✅ หน้าจอขนาด 11.45 นิ้ว ความละเอียด 2200 x 1440 แบบด้าน ➡️ ลดแสงสะท้อนและรอยนิ้วมือ ➡️ ให้สัมผัสเหมือนวาดบนกระดาษจริง ✅ ฟีเจอร์ Quick Draw เปิดแอป Wacom Canvas ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง ➡️ เหมาะกับการสเก็ตช์ไอเดียแบบรวดเร็ว ✅ แอป Clip Studio Paint Debut ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ➡️ เหมาะกับนักวาดมือใหม่และนักเรียน ➡️ ใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ✅ รองรับปากกา EMR จากแบรนด์อื่น เช่น LAMY และ STAEDTLER ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะปากกา Wacom เท่านั้น ✅ แบตเตอรี่ขนาด 7,700 mAh ใช้งานได้นานหลายชั่วโมง ➡️ น้ำหนักเบาเพียง 1.3 ปอนด์ ➡️ พกพาสะดวกและเหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่ https://www.techradar.com/pro/wacoms-unique-movinkpad-11-android-tablet-with-pro-pen-3-support-gets-its-first-review-and-aspiring-illustrators-will-love-it
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: AI วางแผนและโจมตีไซเบอร์ได้เอง—เหมือนแฮกเกอร์ตัวจริง

    ทีมนักวิจัยจาก Carnegie Mellon University ร่วมกับบริษัท AI Anthropic ได้ทดลองให้ AI ประเภท LLM (Large Language Model) ทำการโจมตีไซเบอร์ในสภาพแวดล้อมจำลองที่เลียนแบบเหตุการณ์จริง—คือการเจาะระบบของบริษัท Equifax ในปี 2017 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์รั่วไหลข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

    แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ AI ไม่ได้แค่ช่วยวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด มันสามารถ “วางแผนระดับสูง” และ “สั่งการตัวแทนย่อย” ให้ลงมือเจาะระบบ ติดตั้งมัลแวร์ และขโมยข้อมูลได้เอง โดยไม่ต้องใช้คำสั่ง shell หรือการควบคุมโดยมนุษย์เลย

    นักวิจัยใช้โครงสร้างแบบ “ตัวแทนลำดับชั้น” ที่ให้ LLM ทำหน้าที่เป็นผู้วางกลยุทธ์ และให้ตัวแทนย่อย (ทั้งที่เป็น LLM และไม่ใช่) ทำหน้าที่ปฏิบัติการ เช่น สแกนระบบหรือใช้ช่องโหว่โจมตี

    แม้จะเป็นการทดลองในห้องแล็บ แต่ผลลัพธ์ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ถ้า AI ทำแบบนี้ได้ในสภาพแวดล้อมจำลอง แล้วในโลกจริงล่ะ? และถ้าอาชญากรไซเบอร์นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ จะเกิดอะไรขึ้น?

    AI สามารถวางแผนและโจมตีเครือข่ายได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์สั่งการ
    ใช้โครงสร้างแบบตัวแทนลำดับชั้นในการสั่งการ
    ไม่ต้องใช้คำสั่ง shell หรือโค้ดระดับต่ำ

    การทดลองจำลองเหตุการณ์เจาะระบบ Equifax ปี 2017 ได้สำเร็จ
    ใช้ข้อมูลช่องโหว่และโครงสร้างเครือข่ายจริง
    AI ติดตั้งมัลแวร์และขโมยข้อมูลได้เอง

    โครงการนี้นำโดย Brian Singer นักศึกษาปริญญาเอกจาก CMU
    ร่วมมือกับ Anthropic และทีมวิจัยจาก CyLab
    นำเสนอผลงานในเวิร์กช็อปด้านความปลอดภัยของ OpenAI

    ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า AI สามารถทำงานแบบ “red team” ได้
    ช่วยจำลองการโจมตีเพื่อทดสอบระบบ
    อาจช่วยองค์กรขนาดเล็กที่ไม่มีงบจ้างทีมทดสอบ

    ทีมวิจัยกำลังพัฒนา AI ป้องกันที่สามารถตอบโต้การโจมตีแบบเรียลไทม์
    เป้าหมายคือสร้างระบบ “AI vs AI” ในโลกไซเบอร์
    เพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามที่เกิดจาก AI

    แนวคิด “Agentic AI” คือการให้ AI ทำงานแบบมีเป้าหมายและตัดสินใจเอง
    ต่างจาก AI แบบเดิมที่ต้องมีมนุษย์สั่งการทุกขั้นตอน
    ใช้ในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับตัวสูง

    การใช้ AI ในการทดสอบระบบความปลอดภัยอาจช่วยลดต้นทุนองค์กร
    ทำให้การทดสอบระบบเป็นเรื่องต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ปีละครั้ง
    เพิ่มโอกาสในการตรวจพบช่องโหว่ก่อนถูกโจมตีจริง

    AI ที่สามารถโจมตีได้เองอาจถูกนำไปใช้โดยอาชญากรไซเบอร์
    เพิ่มความเร็วและขนาดของการโจมตี
    ลดต้นทุนและความจำเป็นในการใช้ทีมมนุษย์

    ระบบป้องกันไซเบอร์ในปัจจุบันอาจไม่ทันต่อการโจมตีแบบ AI
    หลายระบบยังพึ่งพามนุษย์ในการตรวจจับและตอบโต้
    อาจไม่สามารถตอบสนองได้ทันในระดับเวลาของเครื่องจักร

    การใช้ LLM โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่การละเมิดความปลอดภัย
    หากถูก jailbreak หรือปรับแต่ง อาจกลายเป็นเครื่องมือโจมตี
    ต้องมีการกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างเข้มงวด

    การพัฒนา AI ป้องกันต้องระวังไม่ให้กลายเป็นช่องโหว่ใหม่
    หาก AI ป้องกันถูกโจมตีหรือหลอกล่อ อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์
    ต้องมีระบบตรวจสอบซ้ำและการควบคุมจากมนุษย์

    https://www.techradar.com/pro/security/ai-llms-are-now-so-clever-that-they-can-independently-plan-and-execute-cyberattacks-without-human-intervention-and-i-fear-that-it-is-only-going-to-get-worse
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: AI วางแผนและโจมตีไซเบอร์ได้เอง—เหมือนแฮกเกอร์ตัวจริง ทีมนักวิจัยจาก Carnegie Mellon University ร่วมกับบริษัท AI Anthropic ได้ทดลองให้ AI ประเภท LLM (Large Language Model) ทำการโจมตีไซเบอร์ในสภาพแวดล้อมจำลองที่เลียนแบบเหตุการณ์จริง—คือการเจาะระบบของบริษัท Equifax ในปี 2017 ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์รั่วไหลข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ AI ไม่ได้แค่ช่วยวิเคราะห์หรือเขียนโค้ด มันสามารถ “วางแผนระดับสูง” และ “สั่งการตัวแทนย่อย” ให้ลงมือเจาะระบบ ติดตั้งมัลแวร์ และขโมยข้อมูลได้เอง โดยไม่ต้องใช้คำสั่ง shell หรือการควบคุมโดยมนุษย์เลย นักวิจัยใช้โครงสร้างแบบ “ตัวแทนลำดับชั้น” ที่ให้ LLM ทำหน้าที่เป็นผู้วางกลยุทธ์ และให้ตัวแทนย่อย (ทั้งที่เป็น LLM และไม่ใช่) ทำหน้าที่ปฏิบัติการ เช่น สแกนระบบหรือใช้ช่องโหว่โจมตี แม้จะเป็นการทดลองในห้องแล็บ แต่ผลลัพธ์ทำให้เกิดคำถามใหญ่: ถ้า AI ทำแบบนี้ได้ในสภาพแวดล้อมจำลอง แล้วในโลกจริงล่ะ? และถ้าอาชญากรไซเบอร์นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ จะเกิดอะไรขึ้น? ✅ AI สามารถวางแผนและโจมตีเครือข่ายได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์สั่งการ ➡️ ใช้โครงสร้างแบบตัวแทนลำดับชั้นในการสั่งการ ➡️ ไม่ต้องใช้คำสั่ง shell หรือโค้ดระดับต่ำ ✅ การทดลองจำลองเหตุการณ์เจาะระบบ Equifax ปี 2017 ได้สำเร็จ ➡️ ใช้ข้อมูลช่องโหว่และโครงสร้างเครือข่ายจริง ➡️ AI ติดตั้งมัลแวร์และขโมยข้อมูลได้เอง ✅ โครงการนี้นำโดย Brian Singer นักศึกษาปริญญาเอกจาก CMU ➡️ ร่วมมือกับ Anthropic และทีมวิจัยจาก CyLab ➡️ นำเสนอผลงานในเวิร์กช็อปด้านความปลอดภัยของ OpenAI ✅ ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า AI สามารถทำงานแบบ “red team” ได้ ➡️ ช่วยจำลองการโจมตีเพื่อทดสอบระบบ ➡️ อาจช่วยองค์กรขนาดเล็กที่ไม่มีงบจ้างทีมทดสอบ ✅ ทีมวิจัยกำลังพัฒนา AI ป้องกันที่สามารถตอบโต้การโจมตีแบบเรียลไทม์ ➡️ เป้าหมายคือสร้างระบบ “AI vs AI” ในโลกไซเบอร์ ➡️ เพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามที่เกิดจาก AI ✅ แนวคิด “Agentic AI” คือการให้ AI ทำงานแบบมีเป้าหมายและตัดสินใจเอง ➡️ ต่างจาก AI แบบเดิมที่ต้องมีมนุษย์สั่งการทุกขั้นตอน ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับตัวสูง ✅ การใช้ AI ในการทดสอบระบบความปลอดภัยอาจช่วยลดต้นทุนองค์กร ➡️ ทำให้การทดสอบระบบเป็นเรื่องต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ปีละครั้ง ➡️ เพิ่มโอกาสในการตรวจพบช่องโหว่ก่อนถูกโจมตีจริง ‼️ AI ที่สามารถโจมตีได้เองอาจถูกนำไปใช้โดยอาชญากรไซเบอร์ ⛔ เพิ่มความเร็วและขนาดของการโจมตี ⛔ ลดต้นทุนและความจำเป็นในการใช้ทีมมนุษย์ ‼️ ระบบป้องกันไซเบอร์ในปัจจุบันอาจไม่ทันต่อการโจมตีแบบ AI ⛔ หลายระบบยังพึ่งพามนุษย์ในการตรวจจับและตอบโต้ ⛔ อาจไม่สามารถตอบสนองได้ทันในระดับเวลาของเครื่องจักร ‼️ การใช้ LLM โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่การละเมิดความปลอดภัย ⛔ หากถูก jailbreak หรือปรับแต่ง อาจกลายเป็นเครื่องมือโจมตี ⛔ ต้องมีการกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างเข้มงวด ‼️ การพัฒนา AI ป้องกันต้องระวังไม่ให้กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ ⛔ หาก AI ป้องกันถูกโจมตีหรือหลอกล่อ อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์ ⛔ ต้องมีระบบตรวจสอบซ้ำและการควบคุมจากมนุษย์ https://www.techradar.com/pro/security/ai-llms-are-now-so-clever-that-they-can-independently-plan-and-execute-cyberattacks-without-human-intervention-and-i-fear-that-it-is-only-going-to-get-worse
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นกยูงกับเลเซอร์ในขนหาง—เมื่อธรรมชาติสร้างโพรงแสงได้เอง

    ขนนกยูงตัวผู้มีลวดลายตาไก่ที่สวยงาม ซึ่งเกิดจากโครงสร้างระดับนาโน ไม่ใช่เม็ดสี โดยเฉพาะในส่วนที่เรียกว่า “barbules” ซึ่งเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ที่มีแท่งเมลานินเคลือบด้วยเคราตินเรียงตัวอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดสีรุ้งที่เปลี่ยนไปตามมุมมอง

    ทีมนักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ได้ทดลองหยดสารเรืองแสง rhodamine 6G ลงบนขนนกยูงหลายรอบ แล้วใช้แสงเลเซอร์สีเขียวยิงเข้าไป พบว่าเกิดการเปล่งแสงเลเซอร์ที่มีความถี่คงที่ที่ 574 และ 583 นาโนเมตร ซึ่งเป็นสีเหลือง-ส้ม

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ ไม่ว่าจะยิงไปที่ส่วนไหนของตาไก่—ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงิน เขียว เหลือง หรือน้ำตาล—ก็ได้ผลเหมือนกันหมด แสดงว่าโครงสร้างภายในขนนกยูงมีความเป็นระเบียบและสามารถทำหน้าที่เป็นโพรงเลเซอร์ได้จริง

    ผลการทดลองนี้แตกต่างจาก “random laser” ที่เคยพบในเนื้อเยื่อสัตว์อื่น ๆ ซึ่งมักให้ผลไม่แน่นอน แต่ขนนกยูงให้ผลซ้ำได้ทุกครั้ง และอาจนำไปสู่การสร้างเลเซอร์ชีวภาพที่ปลอดภัยสำหรับใช้ในร่างกาย เช่น การตรวจวินิจฉัยหรือการรักษา

    ขนนกยูงสามารถเปล่งแสงเลเซอร์ได้เมื่อเติมสารเรืองแสงและยิงแสงเลเซอร์เข้าไป
    ใช้สาร rhodamine 6G และแสงเลเซอร์สีเขียว 532 นาโนเมตร
    เกิดแสงเลเซอร์ที่ 574 และ 583 นาโนเมตร

    โครงสร้างภายในขนนกยูงทำหน้าที่เป็นโพรงเลเซอร์ได้โดยธรรมชาติ
    barbules มีโครงสร้างนาโนที่เรียงตัวอย่างแม่นยำ
    ทำหน้าที่คล้าย photonic crystals ที่สะท้อนและขยายแสง

    ผลการทดลองให้ผลซ้ำได้ทุกครั้ง ไม่ใช่แบบสุ่ม
    แตกต่างจาก random laser ที่พบในเนื้อเยื่ออื่น
    แสดงถึงความเป็นระเบียบในโครงสร้างชีวภาพ

    เป็นครั้งแรกที่พบโพรงเลเซอร์ในเนื้อเยื่อของสัตว์
    อาจนำไปสู่การสร้างเลเซอร์ชีวภาพที่ปลอดภัย
    ใช้ในการตรวจวินิจฉัยภายในร่างกายมนุษย์

    การทดลองใช้ขนนกยูงธรรมชาติที่ไม่มีสารเจือปน
    ตัดเฉพาะส่วนตาไก่และทำความสะอาดก่อนทดลอง
    ทำให้ผลการทดลองมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือ

    สีของขนนกยูงเกิดจากโครงสร้าง ไม่ใช่เม็ดสี
    เป็นตัวอย่างของ “structural color” ที่เกิดจากการหักเหของแสง
    คล้ายกับสีในปีกผีเสื้อหรือเกล็ดของแมลงบางชนิด

    photonic crystals ในธรรมชาติสามารถนำไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    เช่น หน้าต่างเปลี่ยนสี, ผิววัสดุที่ทำความสะอาดตัวเอง, หรือสิ่งทอกันน้ำ
    อาจใช้ในธนบัตรเพื่อป้องกันการปลอมแปลง

    การศึกษาโครงสร้างชีวภาพระดับนาโนช่วยให้เข้าใจธรรมชาติและสร้างวัสดุใหม่
    เป็นแนวทางของ “biophotonics” และ “bio-inspired engineering”
    อาจนำไปสู่การออกแบบเลเซอร์ที่ปลอดภัยและเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์

    https://www.techspot.com/news/108915-scientists-transform-peacock-feathers-tiny-biological-laser-beams.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นกยูงกับเลเซอร์ในขนหาง—เมื่อธรรมชาติสร้างโพรงแสงได้เอง ขนนกยูงตัวผู้มีลวดลายตาไก่ที่สวยงาม ซึ่งเกิดจากโครงสร้างระดับนาโน ไม่ใช่เม็ดสี โดยเฉพาะในส่วนที่เรียกว่า “barbules” ซึ่งเป็นเส้นใยเล็ก ๆ ที่มีแท่งเมลานินเคลือบด้วยเคราตินเรียงตัวอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดสีรุ้งที่เปลี่ยนไปตามมุมมอง ทีมนักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ได้ทดลองหยดสารเรืองแสง rhodamine 6G ลงบนขนนกยูงหลายรอบ แล้วใช้แสงเลเซอร์สีเขียวยิงเข้าไป พบว่าเกิดการเปล่งแสงเลเซอร์ที่มีความถี่คงที่ที่ 574 และ 583 นาโนเมตร ซึ่งเป็นสีเหลือง-ส้ม สิ่งที่น่าทึ่งคือ ไม่ว่าจะยิงไปที่ส่วนไหนของตาไก่—ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงิน เขียว เหลือง หรือน้ำตาล—ก็ได้ผลเหมือนกันหมด แสดงว่าโครงสร้างภายในขนนกยูงมีความเป็นระเบียบและสามารถทำหน้าที่เป็นโพรงเลเซอร์ได้จริง ผลการทดลองนี้แตกต่างจาก “random laser” ที่เคยพบในเนื้อเยื่อสัตว์อื่น ๆ ซึ่งมักให้ผลไม่แน่นอน แต่ขนนกยูงให้ผลซ้ำได้ทุกครั้ง และอาจนำไปสู่การสร้างเลเซอร์ชีวภาพที่ปลอดภัยสำหรับใช้ในร่างกาย เช่น การตรวจวินิจฉัยหรือการรักษา ✅ ขนนกยูงสามารถเปล่งแสงเลเซอร์ได้เมื่อเติมสารเรืองแสงและยิงแสงเลเซอร์เข้าไป ➡️ ใช้สาร rhodamine 6G และแสงเลเซอร์สีเขียว 532 นาโนเมตร ➡️ เกิดแสงเลเซอร์ที่ 574 และ 583 นาโนเมตร ✅ โครงสร้างภายในขนนกยูงทำหน้าที่เป็นโพรงเลเซอร์ได้โดยธรรมชาติ ➡️ barbules มีโครงสร้างนาโนที่เรียงตัวอย่างแม่นยำ ➡️ ทำหน้าที่คล้าย photonic crystals ที่สะท้อนและขยายแสง ✅ ผลการทดลองให้ผลซ้ำได้ทุกครั้ง ไม่ใช่แบบสุ่ม ➡️ แตกต่างจาก random laser ที่พบในเนื้อเยื่ออื่น ➡️ แสดงถึงความเป็นระเบียบในโครงสร้างชีวภาพ ✅ เป็นครั้งแรกที่พบโพรงเลเซอร์ในเนื้อเยื่อของสัตว์ ➡️ อาจนำไปสู่การสร้างเลเซอร์ชีวภาพที่ปลอดภัย ➡️ ใช้ในการตรวจวินิจฉัยภายในร่างกายมนุษย์ ✅ การทดลองใช้ขนนกยูงธรรมชาติที่ไม่มีสารเจือปน ➡️ ตัดเฉพาะส่วนตาไก่และทำความสะอาดก่อนทดลอง ➡️ ทำให้ผลการทดลองมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือ ✅ สีของขนนกยูงเกิดจากโครงสร้าง ไม่ใช่เม็ดสี ➡️ เป็นตัวอย่างของ “structural color” ที่เกิดจากการหักเหของแสง ➡️ คล้ายกับสีในปีกผีเสื้อหรือเกล็ดของแมลงบางชนิด ✅ photonic crystals ในธรรมชาติสามารถนำไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ➡️ เช่น หน้าต่างเปลี่ยนสี, ผิววัสดุที่ทำความสะอาดตัวเอง, หรือสิ่งทอกันน้ำ ➡️ อาจใช้ในธนบัตรเพื่อป้องกันการปลอมแปลง ✅ การศึกษาโครงสร้างชีวภาพระดับนาโนช่วยให้เข้าใจธรรมชาติและสร้างวัสดุใหม่ ➡️ เป็นแนวทางของ “biophotonics” และ “bio-inspired engineering” ➡️ อาจนำไปสู่การออกแบบเลเซอร์ที่ปลอดภัยและเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์ https://www.techspot.com/news/108915-scientists-transform-peacock-feathers-tiny-biological-laser-beams.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists transform peacock feathers into tiny biological laser beams
    The research, conducted by researchers from several US universities and published in Nature, set out to explore the behavior of peacock feather barbules – microscopic structures that...
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Tim Cook กับบทบาทที่ยาวนานที่สุดในฐานะ CEO ของ Apple และความหวังในโลก Spatial Computing

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Tim Cook ครบรอบ 14 ปีในการดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ซึ่งนานกว่า Steve Jobs ผู้เป็นตำนานของบริษัท โดย Cook เข้ามารับตำแหน่งในปี 2011 หลังจาก Jobs ลาออกเพียงสองเดือนก่อนเสียชีวิต

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Cook ได้เปลี่ยนโฉม Apple จากบริษัทที่เน้นอุปกรณ์พกพา สู่การพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) อย่าง Apple Watch และ AirPods รวมถึงการผลิตคอนเทนต์สตรีมมิ่ง และการเปลี่ยนมาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเองใน Mac

    หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Cook ภูมิใจคือ Vision Pro—แว่นผสมโลกเสมือนจริงที่เปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 แม้จะถูกวิจารณ์เรื่องความเทอะทะและแอปพลิเคชันที่ยังไม่ตอบโจทย์ แต่ Cook ยืนยันว่า Vision Pro คือ “ความสำเร็จในแง่ของการสร้างระบบนิเวศ” และจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา

    Apple เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ เช่น วิดเจ็ตแบบปรับแต่งได้ และเบราว์เซอร์ 3 มิติ พร้อมผลักดันให้บริษัทอื่นสร้างประสบการณ์เชิงพื้นที่ เช่น เครื่องจำลองการบินของ CTE

    ในด้าน AI Cook เปิดตัว “Apple Intelligence” โดยเน้นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าแรก แต่ต้อง “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” และจะไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม เพราะมองว่าเป็นฟีเจอร์พื้นฐานเหมือนมัลติทัช

    แม้ Cook จะมีอายุ 63 ปี แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาอาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ได้แก่ John Ternus (หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์), Jeff Williams (COO), Craig Federighi (หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์) และ Deirdre O’Brien (หัวหน้าฝ่ายค้าปลีก)

    Tim Cook ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple นานกว่า Steve Jobs แล้ว
    ครบรอบ 14 ปีในเดือนสิงหาคม 2025
    เข้ารับตำแหน่งหลัง Jobs ลาออกในปี 2011

    Cook ผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่หลายอย่าง เช่น Apple Watch, AirPods และ Vision Pro
    เปลี่ยน Mac มาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเอง
    ขยายธุรกิจสู่คอนเทนต์สตรีมมิ่งและบริการ

    Vision Pro ถูกมองว่าเป็น “ความสำเร็จเชิงระบบนิเวศ” แม้ยอดขายไม่สูง
    ราคาเปิดตัว $3,500 และยังไม่มีแอปที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไป
    เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยวิดเจ็ตและเบราว์เซอร์ 3 มิติ

    Apple Intelligence เน้น “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” ไม่ใช่ “เจ้าแรก”
    ไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม
    มุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อยกระดับชีวิตผู้ใช้

    Cook อาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยมีผู้สืบทอดหลายคนถูกจับตามอง
    John Ternus เป็นตัวเต็งจากผลงานด้านฮาร์ดแวร์
    Jeff Williams, Craig Federighi และ Deirdre O’Brien ก็มีโอกาสเช่นกัน

    https://www.techspot.com/news/108909-tim-cook-has-now-apple-ceo-longer-than.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Tim Cook กับบทบาทที่ยาวนานที่สุดในฐานะ CEO ของ Apple และความหวังในโลก Spatial Computing ในเดือนสิงหาคม 2025 Tim Cook ครบรอบ 14 ปีในการดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ซึ่งนานกว่า Steve Jobs ผู้เป็นตำนานของบริษัท โดย Cook เข้ามารับตำแหน่งในปี 2011 หลังจาก Jobs ลาออกเพียงสองเดือนก่อนเสียชีวิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Cook ได้เปลี่ยนโฉม Apple จากบริษัทที่เน้นอุปกรณ์พกพา สู่การพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) อย่าง Apple Watch และ AirPods รวมถึงการผลิตคอนเทนต์สตรีมมิ่ง และการเปลี่ยนมาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเองใน Mac หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Cook ภูมิใจคือ Vision Pro—แว่นผสมโลกเสมือนจริงที่เปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 แม้จะถูกวิจารณ์เรื่องความเทอะทะและแอปพลิเคชันที่ยังไม่ตอบโจทย์ แต่ Cook ยืนยันว่า Vision Pro คือ “ความสำเร็จในแง่ของการสร้างระบบนิเวศ” และจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา Apple เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ เช่น วิดเจ็ตแบบปรับแต่งได้ และเบราว์เซอร์ 3 มิติ พร้อมผลักดันให้บริษัทอื่นสร้างประสบการณ์เชิงพื้นที่ เช่น เครื่องจำลองการบินของ CTE ในด้าน AI Cook เปิดตัว “Apple Intelligence” โดยเน้นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าแรก แต่ต้อง “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” และจะไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม เพราะมองว่าเป็นฟีเจอร์พื้นฐานเหมือนมัลติทัช แม้ Cook จะมีอายุ 63 ปี แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาอาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ได้แก่ John Ternus (หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์), Jeff Williams (COO), Craig Federighi (หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์) และ Deirdre O’Brien (หัวหน้าฝ่ายค้าปลีก) ✅ Tim Cook ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple นานกว่า Steve Jobs แล้ว ➡️ ครบรอบ 14 ปีในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ เข้ารับตำแหน่งหลัง Jobs ลาออกในปี 2011 ✅ Cook ผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่หลายอย่าง เช่น Apple Watch, AirPods และ Vision Pro ➡️ เปลี่ยน Mac มาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเอง ➡️ ขยายธุรกิจสู่คอนเทนต์สตรีมมิ่งและบริการ ✅ Vision Pro ถูกมองว่าเป็น “ความสำเร็จเชิงระบบนิเวศ” แม้ยอดขายไม่สูง ➡️ ราคาเปิดตัว $3,500 และยังไม่มีแอปที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไป ➡️ เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยวิดเจ็ตและเบราว์เซอร์ 3 มิติ ✅ Apple Intelligence เน้น “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” ไม่ใช่ “เจ้าแรก” ➡️ ไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม ➡️ มุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อยกระดับชีวิตผู้ใช้ ✅ Cook อาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยมีผู้สืบทอดหลายคนถูกจับตามอง ➡️ John Ternus เป็นตัวเต็งจากผลงานด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ Jeff Williams, Craig Federighi และ Deirdre O’Brien ก็มีโอกาสเช่นกัน https://www.techspot.com/news/108909-tim-cook-has-now-apple-ceo-longer-than.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tim Cook has now been Apple CEO for longer than Steve Jobs
    Cook's comments on the Vision Pro, one of the signature products of his tenure, came during Apple's earnings call for the quarter ending in June. He discussed...
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Centaur—เมื่อ AI เรียนรู้จะคิดแบบมนุษย์ (ทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง)

    Centaur เป็นโมเดลที่ถูกพัฒนาจาก LLaMA (โมเดลภาษาแบบเปิดของ Meta) โดยนักวิจัยจาก Helmholtz Munich และทีมร่วมจากหลายประเทศ พวกเขาป้อนข้อมูลจากการทดลองจิตวิทยา เช่น เกมค้นหาสมบัติ, การจำคำศัพท์, การเลือกสล็อตแมชชีน ฯลฯ ให้กับ Centaur เพื่อให้มันเรียนรู้พฤติกรรมมนุษย์ในสถานการณ์ต่าง ๆ

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ Centaur ไม่เพียงแต่เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ในสถานการณ์ที่เคยเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังสามารถ “ทั่วไป” พฤติกรรมไปยังสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น เปลี่ยนจากเกมยานอวกาศไปเป็นพรมวิเศษ—และมันยังใช้กลยุทธ์เดิมได้เหมือนมนุษย์

    Centaur ยังตอบคำถามเชิงตรรกะได้เหมือนมนุษย์ โดยตอบถูกในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบถูก และตอบผิดในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบผิด ซึ่งแสดงถึงการเข้าใจข้อจำกัดของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง

    Centaur เป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกด้วยข้อมูลจาก 160 การทดลองจิตวิทยา
    รวมคำตอบจากมนุษย์กว่า 10 ล้านครั้ง
    ครอบคลุมพฤติกรรมหลากหลาย เช่น ความจำ การตัดสินใจ การเรียนรู้

    Centaur สามารถเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ได้แม้ในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
    เช่น เปลี่ยนจากเกมยานอวกาศไปเป็นพรมวิเศษ
    ใช้กลยุทธ์เดิมได้เหมือนมนุษย์

    Centaur ตอบคำถามเชิงตรรกะได้เหมือนมนุษย์
    ตอบถูกในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบถูก
    ตอบผิดในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบผิด

    Centaur ทำงานได้ดีกว่าโมเดลจิตวิทยาแบบดั้งเดิมใน 31 จาก 32 งานทดลอง
    ทำนายพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้แม่นยำ
    แสดงศักยภาพในการเป็นเครื่องมือวิจัยจิตวิทยาแบบ in silico

    Centaur มีโครงสร้างภายในที่เริ่มสอดคล้องกับกิจกรรมสมองมนุษย์หลังการฝึก
    แสดงถึงความใกล้เคียงกับการประมวลผลแบบมนุษย์
    อาจช่วยพัฒนาแบบจำลองสมองในอนาคต

    Centaur ยังไม่ใช่แบบจำลองสมบูรณ์ของจิตใจมนุษย์
    ยังไม่สามารถอธิบายทุกแง่มุมของความคิดมนุษย์ได้
    เป็นเพียงก้าวแรกสู่การเข้าใจจิตใจแบบองค์รวม

    Centaur ไม่ได้สร้างจากทฤษฎีจิตวิทยาโดยตรง
    ทำให้บางนักวิจัยมองว่ามันไม่สามารถอธิบายกลไกภายในของจิตใจได้
    เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมมากกว่าการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง

    Centaur มีความสามารถเกินมนุษย์ในบางด้าน เช่น การจำตัวเลข 256 หลัก
    แสดงถึงความแตกต่างจากมนุษย์ที่อาจทำให้ผลการทดลองเบี่ยงเบน
    ไม่สามารถใช้แทนมนุษย์ได้ในทุกบริบท

    ข้อมูลที่ใช้ฝึก Centaur ยังจำกัดเมื่อเทียบกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์
    ครอบคลุมเพียงบางพฤติกรรมและกลุ่มประชากร
    ยังต้องขยายฐานข้อมูลเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/04/scientists-use-artificial-intelligence-to-mimic-the-mind---warts-and-all
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Centaur—เมื่อ AI เรียนรู้จะคิดแบบมนุษย์ (ทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง) Centaur เป็นโมเดลที่ถูกพัฒนาจาก LLaMA (โมเดลภาษาแบบเปิดของ Meta) โดยนักวิจัยจาก Helmholtz Munich และทีมร่วมจากหลายประเทศ พวกเขาป้อนข้อมูลจากการทดลองจิตวิทยา เช่น เกมค้นหาสมบัติ, การจำคำศัพท์, การเลือกสล็อตแมชชีน ฯลฯ ให้กับ Centaur เพื่อให้มันเรียนรู้พฤติกรรมมนุษย์ในสถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่น่าทึ่งคือ Centaur ไม่เพียงแต่เลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ในสถานการณ์ที่เคยเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังสามารถ “ทั่วไป” พฤติกรรมไปยังสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น เปลี่ยนจากเกมยานอวกาศไปเป็นพรมวิเศษ—และมันยังใช้กลยุทธ์เดิมได้เหมือนมนุษย์ Centaur ยังตอบคำถามเชิงตรรกะได้เหมือนมนุษย์ โดยตอบถูกในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบถูก และตอบผิดในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบผิด ซึ่งแสดงถึงการเข้าใจข้อจำกัดของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ✅ Centaur เป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกด้วยข้อมูลจาก 160 การทดลองจิตวิทยา ➡️ รวมคำตอบจากมนุษย์กว่า 10 ล้านครั้ง ➡️ ครอบคลุมพฤติกรรมหลากหลาย เช่น ความจำ การตัดสินใจ การเรียนรู้ ✅ Centaur สามารถเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ได้แม้ในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ➡️ เช่น เปลี่ยนจากเกมยานอวกาศไปเป็นพรมวิเศษ ➡️ ใช้กลยุทธ์เดิมได้เหมือนมนุษย์ ✅ Centaur ตอบคำถามเชิงตรรกะได้เหมือนมนุษย์ ➡️ ตอบถูกในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบถูก ➡️ ตอบผิดในคำถามที่คนส่วนใหญ่ตอบผิด ✅ Centaur ทำงานได้ดีกว่าโมเดลจิตวิทยาแบบดั้งเดิมใน 31 จาก 32 งานทดลอง ➡️ ทำนายพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้แม่นยำ ➡️ แสดงศักยภาพในการเป็นเครื่องมือวิจัยจิตวิทยาแบบ in silico ✅ Centaur มีโครงสร้างภายในที่เริ่มสอดคล้องกับกิจกรรมสมองมนุษย์หลังการฝึก ➡️ แสดงถึงความใกล้เคียงกับการประมวลผลแบบมนุษย์ ➡️ อาจช่วยพัฒนาแบบจำลองสมองในอนาคต ‼️ Centaur ยังไม่ใช่แบบจำลองสมบูรณ์ของจิตใจมนุษย์ ⛔ ยังไม่สามารถอธิบายทุกแง่มุมของความคิดมนุษย์ได้ ⛔ เป็นเพียงก้าวแรกสู่การเข้าใจจิตใจแบบองค์รวม ‼️ Centaur ไม่ได้สร้างจากทฤษฎีจิตวิทยาโดยตรง ⛔ ทำให้บางนักวิจัยมองว่ามันไม่สามารถอธิบายกลไกภายในของจิตใจได้ ⛔ เป็นการเลียนแบบพฤติกรรมมากกว่าการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง ‼️ Centaur มีความสามารถเกินมนุษย์ในบางด้าน เช่น การจำตัวเลข 256 หลัก ⛔ แสดงถึงความแตกต่างจากมนุษย์ที่อาจทำให้ผลการทดลองเบี่ยงเบน ⛔ ไม่สามารถใช้แทนมนุษย์ได้ในทุกบริบท ‼️ ข้อมูลที่ใช้ฝึก Centaur ยังจำกัดเมื่อเทียบกับความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ ⛔ ครอบคลุมเพียงบางพฤติกรรมและกลุ่มประชากร ⛔ ยังต้องขยายฐานข้อมูลเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/04/scientists-use-artificial-intelligence-to-mimic-the-mind---warts-and-all
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Scientists use artificial intelligence to mimic the mind — warts and all
    To better understand human cognition, scientists trained a large language model on 10 million psychology experiment questions. It now answers questions much like we do.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • “ ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้าง” ขายบ้านเที่ยว เตรียมตัวไปใช้ชีวิตบนเรือสำราญ 15 ปี

    คุณยายสุดชิค อดีตครูสอนภาษาต่างประเทศจากแคลิฟอร์เนีย เปลี่ยนบั้นปลายชีวิต ขายบ้านพร้อมใช้ชีวิตที่เหลือบนเรือสำราญ ล่องเรือไป 425 จุด 147 ประเทศ ทั่วโลกนาน 15 ปีเต็ม โดยให้เหตุผลว่า “แค่ไม่มีงานบ้าน ไม่มีค่าประกัน ก็เหมือน ได้กำไรชีวิตแล้ว” แถมยัง ประหยัดกว่าอยู่บ้านในแคลิฟอร์เนียอีกด้วย

    🛳 บน Villa Vie Odyssey เรือล่องทะเลระยะยาวที่เพิ่งเปิดตัวในปลายปี 2024 โดยมีแผนเดินทางรอบโลก 15 ปี ครอบคลุม 425 จุดหมายใน 147 ประเทศ ตั้งแต่ไอซ์แลนด์ไปจนถึงหมู่เกาะห่างไกลในมหาสมุทร

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    http://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 02-1169696

    #เรือVillaVieOdyssey #ขายบ้านเที่ยว #News #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #ข่าวอัพเดต #เที่ยว
    “ ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้าง” ขายบ้านเที่ยว เตรียมตัวไปใช้ชีวิตบนเรือสำราญ 15 ปี 💥 คุณยายสุดชิค อดีตครูสอนภาษาต่างประเทศจากแคลิฟอร์เนีย เปลี่ยนบั้นปลายชีวิต ขายบ้านพร้อมใช้ชีวิตที่เหลือบนเรือสำราญ ล่องเรือไป 425 จุด 147 ประเทศ ทั่วโลกนาน 15 ปีเต็ม โดยให้เหตุผลว่า “แค่ไม่มีงานบ้าน ไม่มีค่าประกัน ก็เหมือน ได้กำไรชีวิตแล้ว” แถมยัง ประหยัดกว่าอยู่บ้านในแคลิฟอร์เนียอีกด้วย 🛳 บน Villa Vie Odyssey เรือล่องทะเลระยะยาวที่เพิ่งเปิดตัวในปลายปี 2024 โดยมีแผนเดินทางรอบโลก 15 ปี ครอบคลุม 425 จุดหมายใน 147 ประเทศ ตั้งแต่ไอซ์แลนด์ไปจนถึงหมู่เกาะห่างไกลในมหาสมุทร ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด http://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 02-1169696 #เรือVillaVieOdyssey #ขายบ้านเที่ยว #News #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #ข่าวอัพเดต #เที่ยว
    0 Comments 1 Shares 15 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: กราฟีนที่เคยแข็งแกร่ง กลับยืดหยุ่นได้ด้วยลอนคลื่นระดับอะตอม

    นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Vienna และ Vienna University of Technology ได้ค้นพบวิธีทำให้กราฟีน—วัสดุที่บางเพียงหนึ่งอะตอมและแข็งแกร่งที่สุด—สามารถยืดหยุ่นได้มากขึ้น โดยใช้เทคนิคการสร้าง “ข้อบกพร่อง” (defects) ด้วยการยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเข้าไปในโครงสร้างอะตอมของกราฟีน ทำให้เกิด “vacancies” หรือช่องว่างจากอะตอมที่หายไป

    ผลลัพธ์คือเกิดลอนคลื่นคล้ายหีบเพลงในโครงสร้างของกราฟีน ซึ่งช่วยให้วัสดุสามารถยืดออกได้ง่ายขึ้นมาก โดยไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนการยืดวัสดุเรียบ ๆ แบบเดิม

    การทดลองนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมมารบกวนพื้นผิวของกราฟีน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากมีสิ่งสกปรกอยู่บนพื้นผิว จะทำให้กราฟีนกลับมาแข็งขึ้นแทนที่จะอ่อนลง

    กราฟีนถูกทำให้ยืดหยุ่นขึ้นด้วยการสร้างลอนคลื่นคล้ายหีบเพลง (accordion effect)
    ใช้การยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเพื่อสร้างช่องว่างอะตอม
    ลอนคลื่นช่วยลดแรงที่ต้องใช้ในการยืดวัสดุ

    การทดลองเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ
    ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมรบกวนพื้นผิวกราฟีน
    ทำให้ผลการทดลองแม่นยำและเสถียร

    ค่าความยืดหยุ่นของกราฟีนลดลงจาก 286 N/m เหลือ 158 N/m หลังสร้าง defects
    เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าที่ทฤษฎีเคยคาดไว้
    อธิบายความขัดแย้งในผลการทดลองก่อนหน้านี้

    การสร้าง defects แบบควบคุมได้ช่วยให้วัสดุมีคุณสมบัติใหม่
    เปิดทางสู่การใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบยืดหยุ่น
    เหมาะกับเทคโนโลยีสวมใส่และอุปกรณ์พับได้

    การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า defects แบบหลายอะตอมมีผลมากกว่าการลบอะตอมเดี่ยว
    ลอนคลื่นเกิดจากแรงดึงรอบจุดที่มีหลายอะตอมหายไป
    การลบอะตอมเดี่ยวไม่ส่งผลต่อความยืดหยุ่นมากนัก

    https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-has-been-bent-like-never-before/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: กราฟีนที่เคยแข็งแกร่ง กลับยืดหยุ่นได้ด้วยลอนคลื่นระดับอะตอม นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Vienna และ Vienna University of Technology ได้ค้นพบวิธีทำให้กราฟีน—วัสดุที่บางเพียงหนึ่งอะตอมและแข็งแกร่งที่สุด—สามารถยืดหยุ่นได้มากขึ้น โดยใช้เทคนิคการสร้าง “ข้อบกพร่อง” (defects) ด้วยการยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเข้าไปในโครงสร้างอะตอมของกราฟีน ทำให้เกิด “vacancies” หรือช่องว่างจากอะตอมที่หายไป ผลลัพธ์คือเกิดลอนคลื่นคล้ายหีบเพลงในโครงสร้างของกราฟีน ซึ่งช่วยให้วัสดุสามารถยืดออกได้ง่ายขึ้นมาก โดยไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนการยืดวัสดุเรียบ ๆ แบบเดิม การทดลองนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมมารบกวนพื้นผิวของกราฟีน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากมีสิ่งสกปรกอยู่บนพื้นผิว จะทำให้กราฟีนกลับมาแข็งขึ้นแทนที่จะอ่อนลง ✅ กราฟีนถูกทำให้ยืดหยุ่นขึ้นด้วยการสร้างลอนคลื่นคล้ายหีบเพลง (accordion effect) ➡️ ใช้การยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเพื่อสร้างช่องว่างอะตอม ➡️ ลอนคลื่นช่วยลดแรงที่ต้องใช้ในการยืดวัสดุ ✅ การทดลองเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ ➡️ ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมรบกวนพื้นผิวกราฟีน ➡️ ทำให้ผลการทดลองแม่นยำและเสถียร ✅ ค่าความยืดหยุ่นของกราฟีนลดลงจาก 286 N/m เหลือ 158 N/m หลังสร้าง defects ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าที่ทฤษฎีเคยคาดไว้ ➡️ อธิบายความขัดแย้งในผลการทดลองก่อนหน้านี้ ✅ การสร้าง defects แบบควบคุมได้ช่วยให้วัสดุมีคุณสมบัติใหม่ ➡️ เปิดทางสู่การใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบยืดหยุ่น ➡️ เหมาะกับเทคโนโลยีสวมใส่และอุปกรณ์พับได้ ✅ การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า defects แบบหลายอะตอมมีผลมากกว่าการลบอะตอมเดี่ยว ➡️ ลอนคลื่นเกิดจากแรงดึงรอบจุดที่มีหลายอะตอมหายไป ➡️ การลบอะตอมเดี่ยวไม่ส่งผลต่อความยืดหยุ่นมากนัก https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-has-been-bent-like-never-before/
    WWW.NEOWIN.NET
    The "miracle material" has been bent like never before
    Physicists discover a counterintuitive method that makes "miracle material" dramatically more stretchable, challenging long-held assumptions about its mechanical limits.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ฝรั่งคนนี้ไม่ทน รำคาญ “ขะแมร์” แหลได้ทุกวัน! [4/8/68]
    This foreigner’s had enough — annoyed by the daily Khmer lies!

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ข่าวด่วนชายแดน
    #เสียงจากสมรภูมิ
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    #StopKhmerPropaganda
    #FakeNarrativeExposed
    ฝรั่งคนนี้ไม่ทน รำคาญ “ขะแมร์” แหลได้ทุกวัน! [4/8/68] This foreigner’s had enough — annoyed by the daily Khmer lies! #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ข่าวด่วนชายแดน #เสียงจากสมรภูมิ #Thaitimes #News1 #Shorts #StopKhmerPropaganda #FakeNarrativeExposed
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 0 Reviews
  • Amidst a vibrant sunflowers field
    Amidst a vibrant sunflowers field
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • พยาบาลถามแบบสุภาพ นุ่มนวล ถึงสมศักดิ์แบบนี้! (4/8/68)
    Thai nurses gently raise concerns with the Minister of Public Health regarding the treatment of Cambodian patients.

    “…เราขอคำชี้แจงจากท่านรัฐมนตรี ว่าการดูแลคนไทยจะยังคงเป็นลำดับแรกอยู่ใช่ไหม…?”

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ข่าวด่วนชายแดน
    #เสียงจากพยาบาล
    #Thaitimes #News1 #Shorts
    พยาบาลถามแบบสุภาพ นุ่มนวล ถึงสมศักดิ์แบบนี้! (4/8/68) Thai nurses gently raise concerns with the Minister of Public Health regarding the treatment of Cambodian patients. “…เราขอคำชี้แจงจากท่านรัฐมนตรี ว่าการดูแลคนไทยจะยังคงเป็นลำดับแรกอยู่ใช่ไหม…?” #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ข่าวด่วนชายแดน #เสียงจากพยาบาล #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 0 Reviews
  • โดรนปริศนาที่ตกในเขตพื้นที่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ คือการทดสอบระบบการต่อต้านโดรนของกองทัพบก แต่ต้องลงจอดฉุกเฉิน เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี

    ไม่ใช่โดรนกัมพูชารุกล้ำเข้ามา!

    พลตรี วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ออกมาชี้แจงแล้วว่าเป็นโดรนฝ่ายทหารไทย ขึ้นบินเพื่อทดสอบระบบ

    .
    จากรูปคาดว่าเป็นโดรนรุ่น UAV WC15 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่กัมพูชามีใช้ โดรนรุ่นนี้ทำหน้าที่เป็นโดรนสังเกตการณ์และลาดตระเวนทางทหารที่พัฒนาโดยบริษัท China Aerospace Science and Technology Corporation (CASC) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ทางทหารและอวกาศชั้นนำของจีน

    สาเหตุที่กัมพูชามีโดรนจากจีน เนื่องจากช่วงหนึ่งจีนและกัมพูชาเคยทำข้อตกลงร่วมมือด้านทหารร่วมกัน ต่อมาข้อตกลงนี้ได้ยุติไปแล้ว

    คาดว่าจีนน่าจะมอบโดรนให้กับพูชาในช่วงเวลาดังกล่าว
    โดรนปริศนาที่ตกในเขตพื้นที่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ คือการทดสอบระบบการต่อต้านโดรนของกองทัพบก แต่ต้องลงจอดฉุกเฉิน เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี ไม่ใช่โดรนกัมพูชารุกล้ำเข้ามา! พลตรี วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ออกมาชี้แจงแล้วว่าเป็นโดรนฝ่ายทหารไทย ขึ้นบินเพื่อทดสอบระบบ . จากรูปคาดว่าเป็นโดรนรุ่น UAV WC15 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่กัมพูชามีใช้ โดรนรุ่นนี้ทำหน้าที่เป็นโดรนสังเกตการณ์และลาดตระเวนทางทหารที่พัฒนาโดยบริษัท China Aerospace Science and Technology Corporation (CASC) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ทางทหารและอวกาศชั้นนำของจีน สาเหตุที่กัมพูชามีโดรนจากจีน เนื่องจากช่วงหนึ่งจีนและกัมพูชาเคยทำข้อตกลงร่วมมือด้านทหารร่วมกัน ต่อมาข้อตกลงนี้ได้ยุติไปแล้ว คาดว่าจีนน่าจะมอบโดรนให้กับพูชาในช่วงเวลาดังกล่าว
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Stallman ยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ แม้ต้องต่อสู้กับโรคร้าย

    ในปี 2025 Stallman ยังคงอยู่ในภาวะ “remission” หรือระยะที่โรคสงบลง และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี เขายังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ 40 ปีของโครงการ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเน้นประเด็นเรื่อง “อธิปไตยทางคอมพิวเตอร์” และการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยโค้ด

    แม้การรักษาด้วยเคมีบำบัดจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การสูญเสียเคราอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เขายังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะ พร้อมแสดงความหวังว่าจะยังมีบทบาทในขบวนการซอฟต์แวร์เสรีไปอีกหลายปี

    ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของเขา ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า “ควรแยกผลงานออกจากตัวบุคคลหรือไม่”

    Stallman อยู่ในภาวะ remission จากโรค follicular lymphoma และมีแนวโน้มฟื้นตัวดี
    เป็นมะเร็งชนิดไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษา
    เขาระมัดระวังเรื่องการสัมผัส COVID-19 เป็นพิเศษ

    ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัย
    ล่าสุดบรรยายที่ Politecnico di Milano เรื่องอธิปไตยทางคอมพิวเตอร์
    เน้นการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชน

    ยังคงแสดงจุดยืนทางการเมืองและปรัชญา แม้จะอยู่ระหว่างการฟื้นตัว
    เช่น การวิจารณ์ Microsoft และ Apple เรื่องความปลอดภัย
    ย้ำว่ารัฐไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ proprietary ในงานราชการ

    ชุมชนผู้ใช้ซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจและสนับสนุนการฟื้นตัวของเขา
    มีการพูดถึงในฟอรัมและโพสต์แสดงความห่วงใย
    ยกย่องความมุ่งมั่นในการทำงานแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ

    Stallman ยังคงมีบทบาทในโครงการ GNU และ Free Software Foundation
    มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงปรัชญาและเทคนิค
    ยังแก้ไขบทความและเอกสารในเว็บไซต์ GNU อย่างต่อเนื่อง

    https://linuxconfig.org/richard-stallman-ongoing-recovery-and-continued-advocacy-in-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Stallman ยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ แม้ต้องต่อสู้กับโรคร้าย ในปี 2025 Stallman ยังคงอยู่ในภาวะ “remission” หรือระยะที่โรคสงบลง และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี เขายังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ 40 ปีของโครงการ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเน้นประเด็นเรื่อง “อธิปไตยทางคอมพิวเตอร์” และการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยโค้ด แม้การรักษาด้วยเคมีบำบัดจะส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก เช่น การสูญเสียเคราอันเป็นเอกลักษณ์ แต่เขายังคงปรากฏตัวในงานสาธารณะ พร้อมแสดงความหวังว่าจะยังมีบทบาทในขบวนการซอฟต์แวร์เสรีไปอีกหลายปี ชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคำพูดและพฤติกรรมในอดีตของเขา ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่า “ควรแยกผลงานออกจากตัวบุคคลหรือไม่” ✅ Stallman อยู่ในภาวะ remission จากโรค follicular lymphoma และมีแนวโน้มฟื้นตัวดี ➡️ เป็นมะเร็งชนิดไม่รุนแรงและตอบสนองต่อการรักษา ➡️ เขาระมัดระวังเรื่องการสัมผัส COVID-19 เป็นพิเศษ ✅ ยังคงเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนซอฟต์แวร์เสรี เช่น งานครบรอบ GNU และการบรรยายในมหาวิทยาลัย ➡️ ล่าสุดบรรยายที่ Politecnico di Milano เรื่องอธิปไตยทางคอมพิวเตอร์ ➡️ เน้นการต่อต้านซอฟต์แวร์ที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชน ✅ ยังคงแสดงจุดยืนทางการเมืองและปรัชญา แม้จะอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ➡️ เช่น การวิจารณ์ Microsoft และ Apple เรื่องความปลอดภัย ➡️ ย้ำว่ารัฐไม่ควรใช้ซอฟต์แวร์ proprietary ในงานราชการ ✅ ชุมชนผู้ใช้ซอฟต์แวร์เสรีให้กำลังใจและสนับสนุนการฟื้นตัวของเขา ➡️ มีการพูดถึงในฟอรัมและโพสต์แสดงความห่วงใย ➡️ ยกย่องความมุ่งมั่นในการทำงานแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ✅ Stallman ยังคงมีบทบาทในโครงการ GNU และ Free Software Foundation ➡️ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงปรัชญาและเทคนิค ➡️ ยังแก้ไขบทความและเอกสารในเว็บไซต์ GNU อย่างต่อเนื่อง https://linuxconfig.org/richard-stallman-ongoing-recovery-and-continued-advocacy-in-2025
    LINUXCONFIG.ORG
    Richard Stallman: Ongoing Recovery and Continued Advocacy in 2025
    Richard Stallman, founder of the GNU Project, remains in remission from follicular lymphoma as of July 2025. Despite health challenges, he continues his advocacy for free software, managing his condition while influencing community discussions.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/PH-Iemuqc1M?si=5t_V0zxFspecqy5X
    https://youtu.be/PH-Iemuqc1M?si=5t_V0zxFspecqy5X
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • เพจดังเปิดหลักฐานเขมร+พระ ใช้วัดเป็นโล่! (3/8/68)
    Top page exposes evidence: Cambodians and monks using temples as shields against Thai retaliation

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ใช้วัดเป็นโล่
    #อย่าเอาศาสนามาอ้าง
    #News1 #Shorts
    เพจดังเปิดหลักฐานเขมร+พระ ใช้วัดเป็นโล่! (3/8/68) Top page exposes evidence: Cambodians and monks using temples as shields against Thai retaliation #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #ใช้วัดเป็นโล่ #อย่าเอาศาสนามาอ้าง #News1 #Shorts
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 0 Reviews
  • มีทางออกแล้ว เมื่อมาเลเซียเสนอให้ไทยรับ ท.เขมร มารักษาในไทย (3/8/68)
    Malaysia proposes a solution: Let Thailand treat wounded Cambodian soldiers.

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodianDeception
    #กัมพูชายิงก่อน
    #Scambodia
    #News1 #Shorts
    มีทางออกแล้ว เมื่อมาเลเซียเสนอให้ไทยรับ ท.เขมร มารักษาในไทย (3/8/68) Malaysia proposes a solution: Let Thailand treat wounded Cambodian soldiers. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #กัมพูชายิงก่อน #Scambodia #News1 #Shorts
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 0 Reviews
  • คนไทยถามภูมิธรรม เจรจาล้มเหลว ทหารไทยสูญเสีย อ้วนรับผิดชอบยังไง (3/8/68)
    Thais question Phumtham: Talks failed, Thai soldiers died — how will you take responsibility?

    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodianDeception
    #Scambodia
    #News1 #Shorts
    คนไทยถามภูมิธรรม เจรจาล้มเหลว ทหารไทยสูญเสีย อ้วนรับผิดชอบยังไง (3/8/68) Thais question Phumtham: Talks failed, Thai soldiers died — how will you take responsibility? #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กัมพูชายิงก่อน #CambodianDeception #Scambodia #News1 #Shorts
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 0 Reviews
  • เย็นวันอาทิตย์ กับเสียงเพลงที่ไม่มีวันจาง – I Like Chopin

    ลุงยังจำได้ดี... หน้าร้อนช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในเย็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง เสียงจั๊กจั่นเงียบลงไปทีละตัว สายลมจากพัดลมโต๊ะตัวเก่าๆ หมุนวนอย่างช้าๆ พ่อมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ต่อกับเครื่องเสียงของแกที่ซื้อมาประกอบเอง

    ทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น พ่อจะหมุนหาคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงจากต่างประเทศ แนวที่เขาชอบมักเป็นเพลงสากลนุ่มๆ จากยุค 70s หรือ 80s และในบรรดาเพลงเหล่านั้น มีอยู่เพลงหนึ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ...

    "Raining Days .. Never Say "Goodbye"...

    เสียงเปียโนเบาๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของนักร้องชายที่ผมตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ รู้แค่ว่ามันไพเราะเหลือเกิน จนผมนั่งนิ่งอยู่ตรงพื้นเย็นๆ ฟังด้วยหัวใจเบาๆ เหมือนโลกเงียบไปทั้งใบ และมีแค่เสียงเพลงนี้ลอยอยู่ในอากาศ

    พ่อหันมายิ้ม แล้วพูดว่า
    “เพลงนี้ชื่อ I Like Chopin – เพราะดีนะ... เหมือนฟังเปียโนตอนฝนตก”

    วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลุงรู้จักชื่อ Gazebo ชื่อนี้แปลกสำหรับเด็กไทยอย่างลุง แต่ความแปลกก็ยิ่งทำให้ลุงจำได้ เพลงนี้เป็นของศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อเมริกัน ที่ชื่อจริงคือ Paul Mazzolini แต่ลุงเรียกเขาตามที่วิทยุบอกว่า “กาเซโบ”

    ภายหลังเมื่อลุงโตขึ้น ได้รู้ว่าเพลงนี้ออกมาในปี 1983 เป็นผลงานที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Pierluigi Giombini และแม้ชื่อเพลงจะบอกว่า “ฉันชอบโชแปง” แต่มันไม่ได้ใช้บทเพลงของโชแปงจริงๆ — เพียงแต่สร้างบรรยากาศเหงาและคลาสสิกเหมือนนั่งฟังเปียโนกลางสายฝนเย็น

    เพลงนี้เคย ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก
    มียอดขายทะลุกว่า 8 ล้านแผ่น
    กลายเป็นตำนานของแนวเพลง Italo Disco
    และยังมีคนนำมา คัฟเวอร์และรีมิกซ์ อยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน

    กว่า 20 ปีผ่านไป ลุงเจอเพลงนี้อีกครั้งใน Youtube ตอนปลายทศวรรษ 2000 เสียงเปียโนในอินโทรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงร้องยังคงห่อหุ้มความทรงจำของลุงเอาไว้อย่างแผ่วเบา

    มันไม่ใช่แค่เพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่มันคือหนึ่งใน ภาพจำของวัยเยาว์ ที่รวมเอากลิ่นหน้าร้อน แสงเย็นของวันอาทิตย์ เสียงพ่อหรี่พัดลมให้เบา และความสงบของบ้านหลังเก่าเอาไว้ในท่วงทำนองเดียว

    วันนี้ แม้ลุงจะเปิดเพลงจาก Spotify ผ่านลำโพงไร้สายที่ทันสมัย แต่ใจลุงก็ยังลอยกลับไปในเย็นวันนั้นเสมอ... วันที่ “I Like Chopin” ดังผ่านชุดวิทยุเครื่องเสียงของพ่อ และได้รู้จักความสวยงามของเสียงดนตรี... เป็นครั้งแรกในชีวิต

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Dtrgwqei7ww
    ☀️ เย็นวันอาทิตย์ กับเสียงเพลงที่ไม่มีวันจาง – I Like Chopin ลุงยังจำได้ดี... หน้าร้อนช่วงหนึ่งของวัยเด็ก ในเย็นวันอาทิตย์ที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง เสียงจั๊กจั่นเงียบลงไปทีละตัว สายลมจากพัดลมโต๊ะตัวเก่าๆ หมุนวนอย่างช้าๆ พ่อมักจะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ต่อกับเครื่องเสียงของแกที่ซื้อมาประกอบเอง ทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น พ่อจะหมุนหาคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงจากต่างประเทศ แนวที่เขาชอบมักเป็นเพลงสากลนุ่มๆ จากยุค 70s หรือ 80s และในบรรดาเพลงเหล่านั้น มีอยู่เพลงหนึ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ... 🔖 "Raining Days .. Never Say "Goodbye"... 🎵 เสียงเปียโนเบาๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของนักร้องชายที่ผมตอนนั้นยังไม่รู้จักชื่อ รู้แค่ว่ามันไพเราะเหลือเกิน จนผมนั่งนิ่งอยู่ตรงพื้นเย็นๆ ฟังด้วยหัวใจเบาๆ เหมือนโลกเงียบไปทั้งใบ และมีแค่เสียงเพลงนี้ลอยอยู่ในอากาศ พ่อหันมายิ้ม แล้วพูดว่า “เพลงนี้ชื่อ I Like Chopin – เพราะดีนะ... เหมือนฟังเปียโนตอนฝนตก” วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลุงรู้จักชื่อ Gazebo ชื่อนี้แปลกสำหรับเด็กไทยอย่างลุง แต่ความแปลกก็ยิ่งทำให้ลุงจำได้ เพลงนี้เป็นของศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อเมริกัน ที่ชื่อจริงคือ Paul Mazzolini แต่ลุงเรียกเขาตามที่วิทยุบอกว่า “กาเซโบ” ภายหลังเมื่อลุงโตขึ้น ได้รู้ว่าเพลงนี้ออกมาในปี 1983 เป็นผลงานที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Pierluigi Giombini และแม้ชื่อเพลงจะบอกว่า “ฉันชอบโชแปง” แต่มันไม่ได้ใช้บทเพลงของโชแปงจริงๆ — เพียงแต่สร้างบรรยากาศเหงาและคลาสสิกเหมือนนั่งฟังเปียโนกลางสายฝนเย็น 🎵 เพลงนี้เคย ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศทั่วโลก 🎵 มียอดขายทะลุกว่า 8 ล้านแผ่น 🎵 กลายเป็นตำนานของแนวเพลง Italo Disco 🎵 และยังมีคนนำมา คัฟเวอร์และรีมิกซ์ อยู่เรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน กว่า 20 ปีผ่านไป ลุงเจอเพลงนี้อีกครั้งใน Youtube ตอนปลายทศวรรษ 2000 เสียงเปียโนในอินโทรยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เสียงร้องยังคงห่อหุ้มความทรงจำของลุงเอาไว้อย่างแผ่วเบา มันไม่ใช่แค่เพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่มันคือหนึ่งใน ภาพจำของวัยเยาว์ ที่รวมเอากลิ่นหน้าร้อน แสงเย็นของวันอาทิตย์ เสียงพ่อหรี่พัดลมให้เบา และความสงบของบ้านหลังเก่าเอาไว้ในท่วงทำนองเดียว วันนี้ แม้ลุงจะเปิดเพลงจาก Spotify ผ่านลำโพงไร้สายที่ทันสมัย แต่ใจลุงก็ยังลอยกลับไปในเย็นวันนั้นเสมอ... วันที่ “I Like Chopin” ดังผ่านชุดวิทยุเครื่องเสียงของพ่อ และได้รู้จักความสวยงามของเสียงดนตรี... เป็นครั้งแรกในชีวิต #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Dtrgwqei7ww
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Banana Pi BPI-R4 Lite—บอร์ดเราท์เตอร์ DIY ที่แรงพอตัว แต่ไม่ใช่คู่แข่ง Raspberry Pi 5

    Banana Pi เปิดตัว BPI-R4 Lite ซึ่งเป็นบอร์ดเดี่ยวสำหรับงานเน็ตเวิร์กโดยเฉพาะ ใช้ชิป MediaTek MT7987A ที่มี 4 คอร์ Cortex-A53, RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB พร้อมพอร์ตเน็ตเวิร์กครบครัน เช่น 2.5GbE SFP, 2.5GbE RJ45 WAN (รองรับ PoE), และ LAN 1GbE อีก 4 ช่อง

    จุดเด่นคือรองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และโมดูล 5G รวมถึงมี MikroBUS headers สำหรับงาน IoT และ automation

    แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกของ Raspberry Pi 5 แต่หลายเสียงในชุมชนกลับมองว่า BPI-R4 Lite เหมาะกับงานเราท์เตอร์มากกว่าเป็นบอร์ดเอนกประสงค์ เพราะ CPU ค่อนข้างเก่าและไม่เหมาะกับงาน compute หนัก

    Banana Pi BPI-R4 Lite ใช้ชิป MediaTek MT7987A พร้อม 4 คอร์ Cortex-A53
    RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB
    มี SPI-NAND 256MB และ SPI-NOR 32MB เพิ่มเติม

    รองรับพอร์ตเน็ตเวิร์กระดับสูง เช่น 2.5GbE SFP และ RJ45 WAN พร้อม PoE
    มี LAN 1GbE อีก 4 ช่องสำหรับใช้งานเป็นเราท์เตอร์
    รองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และ 5G

    มี USB 3.0, USB 2.0, และ USB-C สำหรับ debug console
    USB 3.0 แชร์ทรัพยากรกับ HSGMII/SGMII ต้องเลือกใช้งาน
    รองรับการขยายผ่าน MikroBUS headers สำหรับ UART, I2C, SPI, PWM

    เหมาะกับงาน DIY router, NAS, home automation และ gateway
    รองรับ OpenWRT และระบบ Linux
    ขนาดบอร์ด 100.5x148 มม. น้ำหนัก 250 กรัม

    ราคาประมาณ $86 ซึ่งสูงกว่า Raspberry Pi 5 ที่อยู่ที่ ~$66
    เน้นฟีเจอร์ด้านเน็ตเวิร์กมากกว่าความสามารถ compute
    มีตัวเลือก Wi-Fi 7 NIC แบบ mPCIe ให้ซื้อเพิ่ม

    https://www.techpowerup.com/339505/banana-pi-launches-bpi-r4-lite-diy-router-board
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Banana Pi BPI-R4 Lite—บอร์ดเราท์เตอร์ DIY ที่แรงพอตัว แต่ไม่ใช่คู่แข่ง Raspberry Pi 5 Banana Pi เปิดตัว BPI-R4 Lite ซึ่งเป็นบอร์ดเดี่ยวสำหรับงานเน็ตเวิร์กโดยเฉพาะ ใช้ชิป MediaTek MT7987A ที่มี 4 คอร์ Cortex-A53, RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB พร้อมพอร์ตเน็ตเวิร์กครบครัน เช่น 2.5GbE SFP, 2.5GbE RJ45 WAN (รองรับ PoE), และ LAN 1GbE อีก 4 ช่อง จุดเด่นคือรองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และโมดูล 5G รวมถึงมี MikroBUS headers สำหรับงาน IoT และ automation แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกของ Raspberry Pi 5 แต่หลายเสียงในชุมชนกลับมองว่า BPI-R4 Lite เหมาะกับงานเราท์เตอร์มากกว่าเป็นบอร์ดเอนกประสงค์ เพราะ CPU ค่อนข้างเก่าและไม่เหมาะกับงาน compute หนัก ✅ Banana Pi BPI-R4 Lite ใช้ชิป MediaTek MT7987A พร้อม 4 คอร์ Cortex-A53 ➡️ RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB ➡️ มี SPI-NAND 256MB และ SPI-NOR 32MB เพิ่มเติม ✅ รองรับพอร์ตเน็ตเวิร์กระดับสูง เช่น 2.5GbE SFP และ RJ45 WAN พร้อม PoE ➡️ มี LAN 1GbE อีก 4 ช่องสำหรับใช้งานเป็นเราท์เตอร์ ➡️ รองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และ 5G ✅ มี USB 3.0, USB 2.0, และ USB-C สำหรับ debug console ➡️ USB 3.0 แชร์ทรัพยากรกับ HSGMII/SGMII ต้องเลือกใช้งาน ➡️ รองรับการขยายผ่าน MikroBUS headers สำหรับ UART, I2C, SPI, PWM ✅ เหมาะกับงาน DIY router, NAS, home automation และ gateway ➡️ รองรับ OpenWRT และระบบ Linux ➡️ ขนาดบอร์ด 100.5x148 มม. น้ำหนัก 250 กรัม ✅ ราคาประมาณ $86 ซึ่งสูงกว่า Raspberry Pi 5 ที่อยู่ที่ ~$66 ➡️ เน้นฟีเจอร์ด้านเน็ตเวิร์กมากกว่าความสามารถ compute ➡️ มีตัวเลือก Wi-Fi 7 NIC แบบ mPCIe ให้ซื้อเพิ่ม https://www.techpowerup.com/339505/banana-pi-launches-bpi-r4-lite-diy-router-board
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Banana Pi Launches BPI-R4 Lite DIY Router Board
    The newly launched Banana Pi BPI-R4 Lite is a networking-focused single-board computer that can be an alternative to the Raspberry Pi 5. It is built around the MediaTek MT7987A system-on-chip, integrates four Arm Cortex-A53 cores and features 2 GB of DDR4 memory and 8 GB of eMMC flash storage. Conne...
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม

    MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning

    นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens

    MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน
    มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์

    รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning
    ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่
    ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา

    สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens
    เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว
    ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB

    รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ
    เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp
    ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid

    สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub
    รองรับ Windows และ macOS
    เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป

    การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ
    ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน

    การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน
    ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้
    ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง

    การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน
    เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU
    ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง

    การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง
    อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง
    ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้

    https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: MLPerf Client 1.0 — เครื่องมือทดสอบ AI บนเครื่องส่วนตัวที่ใช้ง่ายขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่หลายคนยังใช้โมเดลผ่านระบบคลาวด์ เช่น ChatGPT หรือ Gemini ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุม MLPerf Client 1.0 จึงถูกพัฒนาโดย MLCommons เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทดสอบประสิทธิภาพของโมเดล AI บนเครื่องของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก, เดสก์ท็อป หรือเวิร์กสเตชัน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อม GUI ที่ใช้งานง่าย และรองรับโมเดลใหม่ ๆ เช่น Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning นอกจากนี้ยังรองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่าย เช่น AMD, Intel, NVIDIA, Apple และ Qualcomm ผ่าน SDK และ execution path ที่หลากหลาย รวมถึงสามารถทดสอบงานที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหาด้วย context window ขนาด 8000 tokens ✅ MLPerf Client 1.0 เปิดตัวพร้อม GUI ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ไม่ต้องใช้ command line เหมือนเวอร์ชันก่อน ➡️ มีระบบมอนิเตอร์ทรัพยากรแบบเรียลไทม์ ✅ รองรับโมเดลใหม่หลายตัว เช่น Llama 2, Llama 3.1, Phi 3.5 และ Phi 4 Reasoning ➡️ ครอบคลุมทั้งโมเดลขนาดเล็กและใหญ่ ➡️ ทดสอบได้ทั้งการสนทนา, การเขียนโค้ด และการสรุปเนื้อหา ✅ สามารถทดสอบงานที่ใช้ context window ขนาดใหญ่ เช่น 4000 และ 8000 tokens ➡️ เหมาะกับการวัดประสิทธิภาพในงานสรุปเนื้อหายาว ➡️ ต้องใช้ GPU ที่มี VRAM อย่างน้อย 16GB ✅ รองรับการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์จากหลายค่ายผ่าน execution path ต่าง ๆ ➡️ เช่น ONNX Runtime, OpenVINO, MLX, Llama.cpp ➡️ ครอบคลุมทั้ง GPU, NPU และ CPU hybrid ✅ สามารถดาวน์โหลดและใช้งานฟรีผ่าน GitHub ➡️ รองรับ Windows และ macOS ➡️ เหมาะกับนักพัฒนา, นักวิจัย และผู้ใช้ทั่วไป ‼️ การทดสอบบาง workload ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูง เช่น GPU 16GB VRAM ขึ้นไป ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถรันได้ครบทุกชุดทดสอบ ⛔ ต้องตรวจสอบสเปกก่อนใช้งาน ‼️ การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจไม่แม่นยำหากไม่ได้ตั้งค่าระบบให้เหมือนกัน ⛔ ต้องใช้ configuration ที่เทียบเคียงได้ ⛔ ไม่ควรใช้ผลลัพธ์เพื่อสรุปคุณภาพของฮาร์ดแวร์โดยตรง ‼️ การใช้ execution path ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อาจทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน ⛔ เช่น ใช้ path สำหรับ GPU บนระบบที่ไม่มี GPU ⛔ ต้องเลือก path ให้ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานจริง ‼️ การทดสอบโมเดลขนาดใหญ่อาจใช้เวลานานและกินทรัพยากรสูง ⛔ อาจทำให้เครื่องร้อนหรือหน่วง ⛔ ควรใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ https://www.tomshardware.com/software/mlperf-client-1-0-ai-benchmark-released-new-testing-toolkit-sports-a-gui-covers-more-models-and-tasks-and-supports-more-hardware-acceleration-paths
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Samsung กับวิกฤติชิป—กำไรหายไป 94% แต่ยังมีความหวังจาก AI และ Tesla

    Samsung Electronics รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 โดยมีรายได้รวม 74.6 ล้านล้านวอน (ประมาณ 53.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ “กำไรจากธุรกิจชิป” ลดลงถึง 93.8% เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จากเดิม 6.45 ล้านล้านวอนในปี 2024

    สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอตัว, การปรับมูลค่าสินค้าคงคลัง และข้อจำกัดจากมาตรการของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน

    แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่ Samsung ยังมีความหวังจากการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ให้ Tesla มูลค่าสัญญา 16.5 พันล้านดอลลาร์ และการเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจช่วยพลิกสถานการณ์ได้

    Samsung รายงานกำไรจากธุรกิจชิปลดลง 93.8% ในไตรมาส 2 ปี 2025
    เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จาก 6.45 ล้านล้านวอนในปีก่อน
    เป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส

    รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 74.6 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน
    แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 4.7 ล้านล้านวอน
    ธุรกิจมือถือยังทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะ Galaxy S25 และ A series

    สาเหตุหลักของการตกต่ำคือการส่งออกชิปไปจีนถูกจำกัด และต้นทุนสูงจากโรงงานในสหรัฐฯ
    โรงงานในเท็กซัสมีต้นทุนสูงกว่าที่เกาหลี
    ยังไม่สามารถหาลูกค้าหลักได้สำหรับโรงงานใหม่

    Samsung ได้สัญญาผลิตชิป AI6 ให้ Tesla มูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์
    เป็นความหวังใหม่ของธุรกิจ foundry
    หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 20% ในเดือนกรกฎาคมหลังข่าวนี้

    บริษัทเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง
    คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ foundry
    แข่งขันกับ TSMC และ SK Hynix อย่างเข้มข้น

    Samsung คาดการณ์ว่าธุรกิจจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยมีแรงหนุนจาก AI และหุ่นยนต์
    CFO ระบุว่าอุตสาหกรรม IT เริ่มฟื้นตัวจากแรงผลักดันของเทคโนโลยีใหม่
    คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องถึงปี 2025

    https://www.techspot.com/news/108897-samsung-posts-brutal-financials-chip-business-profits-plunge.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Samsung กับวิกฤติชิป—กำไรหายไป 94% แต่ยังมีความหวังจาก AI และ Tesla Samsung Electronics รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 โดยมีรายได้รวม 74.6 ล้านล้านวอน (ประมาณ 53.7 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ “กำไรจากธุรกิจชิป” ลดลงถึง 93.8% เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จากเดิม 6.45 ล้านล้านวอนในปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอตัว, การปรับมูลค่าสินค้าคงคลัง และข้อจำกัดจากมาตรการของสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่ Samsung ยังมีความหวังจากการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ให้ Tesla มูลค่าสัญญา 16.5 พันล้านดอลลาร์ และการเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจช่วยพลิกสถานการณ์ได้ ✅ Samsung รายงานกำไรจากธุรกิจชิปลดลง 93.8% ในไตรมาส 2 ปี 2025 ➡️ เหลือเพียง 400 พันล้านวอน จาก 6.45 ล้านล้านวอนในปีก่อน ➡️ เป็นผลประกอบการที่แย่ที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส ✅ รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 74.6 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ➡️ แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 4.7 ล้านล้านวอน ➡️ ธุรกิจมือถือยังทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะ Galaxy S25 และ A series ✅ สาเหตุหลักของการตกต่ำคือการส่งออกชิปไปจีนถูกจำกัด และต้นทุนสูงจากโรงงานในสหรัฐฯ ➡️ โรงงานในเท็กซัสมีต้นทุนสูงกว่าที่เกาหลี ➡️ ยังไม่สามารถหาลูกค้าหลักได้สำหรับโรงงานใหม่ ✅ Samsung ได้สัญญาผลิตชิป AI6 ให้ Tesla มูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นความหวังใหม่ของธุรกิจ foundry ➡️ หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 20% ในเดือนกรกฎาคมหลังข่าวนี้ ✅ บริษัทเตรียมผลิตชิป 2nm สำหรับมือถือในครึ่งปีหลัง ➡️ คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ foundry ➡️ แข่งขันกับ TSMC และ SK Hynix อย่างเข้มข้น ✅ Samsung คาดการณ์ว่าธุรกิจจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยมีแรงหนุนจาก AI และหุ่นยนต์ ➡️ CFO ระบุว่าอุตสาหกรรม IT เริ่มฟื้นตัวจากแรงผลักดันของเทคโนโลยีใหม่ ➡️ คาดว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องถึงปี 2025 https://www.techspot.com/news/108897-samsung-posts-brutal-financials-chip-business-profits-plunge.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Samsung posts brutal financials as chip business profits plunge by 94%
    Samsung Electronics recently posted its second-quarter financial results, and they're worse than expected. According to CBNC, the Korean tech giant reported revenue of 74.6 trillion won ($53.7...
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120—ชื่อใหม่ สเปกเดิม กับภารกิจเคลียร์ Alder Lake ก่อนเปิดทางให้ Ultra

    Intel เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มราคาประหยัดคือ Core 5 120 และ Core 5 120F โดยใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้าอย่าง Raptor Lake หรือ Core Ultra ทำให้หลายคนสับสนว่า “นี่คือรุ่นใหม่จริงหรือ?”

    เมื่อดูสเปกแล้วพบว่า Core 5 120 มีความใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก: มี 6 คอร์ประสิทธิภาพ (P-core), 12 เธรด, ความเร็วพื้นฐาน 2.5 GHz และบูสต์สูงสุด 4.5 GHz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเพียง 100 MHz เท่านั้น

    แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ แต่เบื้องหลังคือกลยุทธ์ของ Intel ที่ใช้ die stepping แบบใหม่ (เช่น H0) เพื่อผลิตได้ถูกลง และเคลียร์สต็อก Alder Lake ก่อนเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake

    Intel เปิดตัว Core 5 120 และ 120F ในกลุ่มซีพียูราคาประหยัด
    ใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้า
    120F ไม่มีกราฟิกในตัว แต่สเปกเหมือนกัน

    Core 5 120 มีสเปกใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก
    6 P-core, 12 เธรด, 2.5–4.5 GHz
    เพิ่มบูสต์เพียง 100 MHz จากรุ่นเดิม

    ใช้ L3 cache ขนาด 18MB และรองรับ DDR5-4800
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดบนเมนบอร์ด LGA 1700
    ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิม

    อาจใช้ die stepping แบบ H0 ที่ประหยัดต้นทุนมากกว่า C0
    ช่วยลดต้นทุนการผลิต
    ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในงานทั่วไป

    เปิดตัวในช่วงที่ Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้ Arrow Lake
    เป็นการเคลียร์สต็อก Alder Lake
    ใช้ชื่อใหม่เพื่อแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์

    การใช้ชื่อใหม่อย่าง “Core 5 120” อาจทำให้ผู้ซื้อสับสนกับซีรีส์อื่น
    ไม่ตรงกับชื่อ Core Ultra หรือ Raptor Lake
    อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสถาปัตยกรรมใหม่

    การรีแบรนด์รุ่นเก่าอาจทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มโดยไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต่างกันมาก
    เพิ่มบูสต์เพียงเล็กน้อยจากรุ่นเดิม
    ประสิทธิภาพจริงใกล้เคียงกับ i5-12400

    ไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง stepping ที่ใช้ใน Core 5 120
    อาจมีผลต่อความร้อนหรือการใช้พลังงาน
    ผู้ใช้ไม่สามารถเลือก stepping ได้จากข้อมูลทั่วไป

    การเปิดตัวแบบเงียบ ๆ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่ทันสังเกตว่าเป็นรุ่นรีแบรนด์
    ไม่มีการประชาสัมพันธ์ชัดเจน
    อาจเข้าใจผิดว่าเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด

    https://www.techspot.com/news/108899-familiar-specs-new-name-intel-core-5-120.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Intel Core 5 120—ชื่อใหม่ สเปกเดิม กับภารกิจเคลียร์ Alder Lake ก่อนเปิดทางให้ Ultra Intel เปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มราคาประหยัดคือ Core 5 120 และ Core 5 120F โดยใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้าอย่าง Raptor Lake หรือ Core Ultra ทำให้หลายคนสับสนว่า “นี่คือรุ่นใหม่จริงหรือ?” เมื่อดูสเปกแล้วพบว่า Core 5 120 มีความใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก: มี 6 คอร์ประสิทธิภาพ (P-core), 12 เธรด, ความเร็วพื้นฐาน 2.5 GHz และบูสต์สูงสุด 4.5 GHz ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเพียง 100 MHz เท่านั้น แม้จะดูเหมือนการเปลี่ยนชื่อเฉย ๆ แต่เบื้องหลังคือกลยุทธ์ของ Intel ที่ใช้ die stepping แบบใหม่ (เช่น H0) เพื่อผลิตได้ถูกลง และเคลียร์สต็อก Alder Lake ก่อนเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้สถาปัตยกรรม Arrow Lake ✅ Intel เปิดตัว Core 5 120 และ 120F ในกลุ่มซีพียูราคาประหยัด ➡️ ใช้ชื่อใหม่ที่ไม่ตรงกับซีรีส์ก่อนหน้า ➡️ 120F ไม่มีกราฟิกในตัว แต่สเปกเหมือนกัน ✅ Core 5 120 มีสเปกใกล้เคียงกับ Core i5-12400 อย่างมาก ➡️ 6 P-core, 12 เธรด, 2.5–4.5 GHz ➡️ เพิ่มบูสต์เพียง 100 MHz จากรุ่นเดิม ✅ ใช้ L3 cache ขนาด 18MB และรองรับ DDR5-4800 ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดบนเมนบอร์ด LGA 1700 ➡️ ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์เดิม ✅ อาจใช้ die stepping แบบ H0 ที่ประหยัดต้นทุนมากกว่า C0 ➡️ ช่วยลดต้นทุนการผลิต ➡️ ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพในงานทั่วไป ✅ เปิดตัวในช่วงที่ Intel เตรียมเปิดตัว Core Ultra 200S ที่ใช้ Arrow Lake ➡️ เป็นการเคลียร์สต็อก Alder Lake ➡️ ใช้ชื่อใหม่เพื่อแยกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ‼️ การใช้ชื่อใหม่อย่าง “Core 5 120” อาจทำให้ผู้ซื้อสับสนกับซีรีส์อื่น ⛔ ไม่ตรงกับชื่อ Core Ultra หรือ Raptor Lake ⛔ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ ‼️ การรีแบรนด์รุ่นเก่าอาจทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพิ่มโดยไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต่างกันมาก ⛔ เพิ่มบูสต์เพียงเล็กน้อยจากรุ่นเดิม ⛔ ประสิทธิภาพจริงใกล้เคียงกับ i5-12400 ‼️ ไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง stepping ที่ใช้ใน Core 5 120 ⛔ อาจมีผลต่อความร้อนหรือการใช้พลังงาน ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถเลือก stepping ได้จากข้อมูลทั่วไป ‼️ การเปิดตัวแบบเงียบ ๆ อาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปไม่ทันสังเกตว่าเป็นรุ่นรีแบรนด์ ⛔ ไม่มีการประชาสัมพันธ์ชัดเจน ⛔ อาจเข้าใจผิดว่าเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด https://www.techspot.com/news/108899-familiar-specs-new-name-intel-core-5-120.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Familiar specs, new name: Intel's Core 5 120 processors enter the market
    The Core 5 120 doesn't break new ground but instead traces its lineage directly to Intel's older Alder Lake architecture. Despite the updated branding, technical specs show...
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย

    ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่

    แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง

    Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

    Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites

    แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ
    ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90%
    ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง

    Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว
    เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel
    เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง

    เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032
    ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว
    ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้

    Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance”
    ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา
    ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง

    AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์
    ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที
    ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล

    AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
    ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น
    เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร

    แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว
    ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน

    AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70%
    ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์
    ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร

    การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่
    เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB
    อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม

    การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก
    ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์
    AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ

    การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย
    ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด
    อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ

    การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง
    ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน
    ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Comp AI กับภารกิจพลิกโฉมโลกของการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่กลายเป็น “เงื่อนไขสำคัญ” สำหรับการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ แต่การเข้าสู่มาตรฐานเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยความยุ่งยาก—ต้องใช้เวลาเป็นเดือน, ค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยทีมงานเฉพาะทาง Comp AI จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2025 โดยทีมผู้ก่อตั้งที่เคยเจ็บปวดกับการจัดการ SOC 2 มาก่อน พวกเขาใช้ AI ร่วมกับแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติที่สามารถลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ “พร้อมตรวจสอบ” ได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ✅ Comp AI ระดมทุนได้ $2.6 ล้านในรอบ Pre-Seed เพื่อเร่งพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับการจัดการ compliance ➡️ นำโดย OSS Capital และ Grand Ventures ➡️ มีนักลงทุนชื่อดังร่วมด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Sentry และ Ben’s Bites ✅ แพลตฟอร์มของ Comp AI ใช้ AI ร่วมกับโอเพ่นซอร์สเพื่อจัดการ SOC 2, HIPAA และ ISO 27001 ได้อัตโนมัติ ➡️ ลดงานเอกสารและการตรวจสอบได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ากลุ่มแรกประหยัดเวลาไปกว่า 2,500 ชั่วโมง ✅ Comp AI ได้รับการตอบรับดีจากนักพัฒนาและบริษัทกว่า 3,500 แห่งในช่วงทดสอบก่อนเปิดตัว ➡️ เข้าร่วมโครงการ OSS ของ Vercel ➡️ เตรียมเปิดตัว “AI Agent Studio” สำหรับการเก็บหลักฐานและประเมินความเสี่ยง ✅ เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ 100,000 บริษัทผ่านมาตรฐาน SOC 2 และ ISO 27001 ภายในปี 2032 ➡️ ลดต้นทุนจาก $25,000 ต่อปีเหลือเพียงเศษเสี้ยว ➡️ ทำให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงมาตรฐานระดับองค์กรได้ ✅ Comp AI ถูกเปรียบว่าเป็น “Vercel แห่งวงการ compliance” ➡️ ใช้งานง่ายสำหรับนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องพึ่งที่ปรึกษาหรือทีมเฉพาะทาง ✅ AI ช่วยให้การตรวจสอบ SOC 2 และ ISO 27001 เป็นแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจจับความผิดปกติและความเสี่ยงได้ทันที ➡️ ลดโอกาสเกิดการละเมิดข้อมูล ✅ AI สามารถสร้างรายงาน compliance ที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ➡️ ช่วยให้การตรวจสอบภายในและภายนอกเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร ✅ แพลตฟอร์มแบบ unified ช่วยให้ผู้ตรวจสอบเข้าถึงหลักฐานและนโยบายได้จากจุดเดียว ➡️ ลดความซับซ้อนในการจัดการหลายมาตรฐาน ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามหลาย framework พร้อมกัน ✅ AI ช่วยลดภาระของทีมกฎหมายและ compliance โดยอัตโนมัติถึง 70% ➡️ ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการจัดการเอกสาร ‼️ การใช้ AI เพื่อจัดการ compliance อาจไม่ครอบคลุมทุกบริบทขององค์กรขนาดใหญ่ ⛔ เครื่องมือบางตัวออกแบบมาสำหรับสตาร์ทอัพหรือ SMB ⛔ อาจไม่รองรับระบบที่ซับซ้อนหรือหลายแพลตฟอร์ม ‼️ การพึ่งพา automation มากเกินไปอาจทำให้ละเลยการตรวจสอบเชิงลึก ⛔ ความเสี่ยงบางอย่างต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ ⛔ AI อาจไม่เข้าใจบริบทเฉพาะของธุรกิจ ‼️ การจัดการ compliance ด้วย AI ยังต้องการการตรวจสอบจากบุคคลที่มีความรู้ด้านกฎหมายและความปลอดภัย ⛔ ไม่สามารถแทนที่ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด ⛔ อาจเกิดข้อผิดพลาดหากไม่มีการตรวจสอบซ้ำ ‼️ การเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้าง template หรือ mapping ผ่านโอเพ่นซอร์ส อาจมีความเสี่ยงด้านความถูกต้อง ⛔ ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจนำไปสู่การปฏิบัติผิดมาตรฐาน ⛔ ต้องมีระบบคัดกรองและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด https://hackread.com/comp-ai-secures-2-6m-pre-seed-to-disrupt-soc-2-market/
    HACKREAD.COM
    Comp AI secures $2.6M pre-seed to disrupt SOC 2 market
    San Francisco, California, 1st August 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • Sondhitalk EP304 : พระยาละแวกเนรคุณไทย หักหลังจีน - 010868 (Full)
    - สงครามตัวแทน “ไทย-กัมพูชา”
    - ทูตสหรัฐกับจุดยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก
    - เปลือยธาตุแท้ “วิระชัย จีวรปลิว”
    - ชะตากรรม “หมอเกศ” ตายเดี่ยว

    https://www.youtube.com/watch?v=5VW7fnudm7g


    #พระยาละแวก #ไทยกัมพูชา #Sondhitalk #สงครามตัวแทน #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #News1 #Shorts #เปิดโปงความจริง #เขมรละเมิดข้อตกลง #อินโดแปซิฟิก #หมอเกศ #จีวรปลิว #SondhiEP304
    Sondhitalk EP304 : พระยาละแวกเนรคุณไทย หักหลังจีน - 010868 (Full) - สงครามตัวแทน “ไทย-กัมพูชา” - ทูตสหรัฐกับจุดยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก - เปลือยธาตุแท้ “วิระชัย จีวรปลิว” - ชะตากรรม “หมอเกศ” ตายเดี่ยว https://www.youtube.com/watch?v=5VW7fnudm7g #พระยาละแวก #ไทยกัมพูชา #Sondhitalk #สงครามตัวแทน #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #CambodianDeception #News1 #Shorts #เปิดโปงความจริง #เขมรละเมิดข้อตกลง #อินโดแปซิฟิก #หมอเกศ #จีวรปลิว #SondhiEP304
    Like
    Love
    18
    0 Comments 0 Shares 624 Views 0 Reviews
More Results