• Microsoft ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน Exchange Online ซึ่งเป็นบริการอีเมลของบริษัท โดยปัญหานี้ทำให้ระบบป้องกันสแปมที่ใช้ Machine Learning (ML) เข้าใจผิดและระบุอีเมลที่ถูกต้องตามกฎหมายจาก Adobe ว่าเป็นสแปม ปัญหานี้เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 22-24 เมษายน 2025 และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานบางส่วนที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบ

    Microsoft อธิบายว่า ML ของระบบป้องกันสแปมได้ระบุอีเมลที่มี URL ของ Adobe ว่าเป็นสแปม เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับอีเมลที่ใช้ในการโจมตีแบบสแปมจริงๆ เพื่อแก้ไขปัญหา Microsoft ได้ใช้กระบวนการ Replay Time Travel (RTT) เพื่อปรับปรุงการวิเคราะห์และแก้ไขผลกระทบ

    นอกจากนี้ บริการวิเคราะห์มัลแวร์ ANY.RUN ยังพบว่ามีการส่งลิงก์ Adobe Acrobat Cloud ที่ถูกระบุผิดพลาดไปยังระบบของพวกเขา ซึ่งทำให้มีการอัปโหลดไฟล์ที่มีข้อมูลสำคัญของบริษัทหลายแห่งมากกว่า 1,000 ไฟล์ ANY.RUN ได้ดำเนินการแก้ไขโดยทำให้การวิเคราะห์ทั้งหมดเป็นแบบส่วนตัวเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

    ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้น
    - ระบบ ML ของ Exchange Online ระบุอีเมล Adobe ว่าเป็นสแปมโดยผิดพลาด
    - ปัญหาเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 เมษายน 2025

    ✅ การแก้ไขปัญหา
    - Microsoft ใช้กระบวนการ Replay Time Travel (RTT) เพื่อแก้ไขผลกระทบ
    - ปรับปรุงการวิเคราะห์ของระบบ ML

    ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    - ผู้ใช้งานบางส่วนที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบอาจไม่ได้รับอีเมลที่ถูกต้อง

    ✅ การตอบสนองของ ANY.RUN
    - ทำให้การวิเคราะห์ไฟล์ที่เกี่ยวข้องเป็นแบบส่วนตัวเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-fixes-annoying-bug-which-marked-adobe-emails-as-spam
    Microsoft ได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน Exchange Online ซึ่งเป็นบริการอีเมลของบริษัท โดยปัญหานี้ทำให้ระบบป้องกันสแปมที่ใช้ Machine Learning (ML) เข้าใจผิดและระบุอีเมลที่ถูกต้องตามกฎหมายจาก Adobe ว่าเป็นสแปม ปัญหานี้เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 22-24 เมษายน 2025 และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานบางส่วนที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบ Microsoft อธิบายว่า ML ของระบบป้องกันสแปมได้ระบุอีเมลที่มี URL ของ Adobe ว่าเป็นสแปม เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับอีเมลที่ใช้ในการโจมตีแบบสแปมจริงๆ เพื่อแก้ไขปัญหา Microsoft ได้ใช้กระบวนการ Replay Time Travel (RTT) เพื่อปรับปรุงการวิเคราะห์และแก้ไขผลกระทบ นอกจากนี้ บริการวิเคราะห์มัลแวร์ ANY.RUN ยังพบว่ามีการส่งลิงก์ Adobe Acrobat Cloud ที่ถูกระบุผิดพลาดไปยังระบบของพวกเขา ซึ่งทำให้มีการอัปโหลดไฟล์ที่มีข้อมูลสำคัญของบริษัทหลายแห่งมากกว่า 1,000 ไฟล์ ANY.RUN ได้ดำเนินการแก้ไขโดยทำให้การวิเคราะห์ทั้งหมดเป็นแบบส่วนตัวเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้น - ระบบ ML ของ Exchange Online ระบุอีเมล Adobe ว่าเป็นสแปมโดยผิดพลาด - ปัญหาเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 เมษายน 2025 ✅ การแก้ไขปัญหา - Microsoft ใช้กระบวนการ Replay Time Travel (RTT) เพื่อแก้ไขผลกระทบ - ปรับปรุงการวิเคราะห์ของระบบ ML ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน - ผู้ใช้งานบางส่วนที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบอาจไม่ได้รับอีเมลที่ถูกต้อง ✅ การตอบสนองของ ANY.RUN - ทำให้การวิเคราะห์ไฟล์ที่เกี่ยวข้องเป็นแบบส่วนตัวเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-fixes-annoying-bug-which-marked-adobe-emails-as-spam
    WWW.TECHRADAR.COM
    Microsoft fixes annoying bug which marked Adobe emails as spam
    Thankfully short-lived bug proved frustrating for Microsoft users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว


  • ● รอบนี้เดือนเมษายน 2025 กระทรวงสาธารณสุข อาจจะมีแนวโน้มทำตามองค์การอนามัยโลกทุกอย่าง
    นั่นหมายความว่า องค์การอนามัยโลกสามารถบงการได้ทุกสิ่งอย่าง

    #แบนกฎอนามัยระหว่างประเทศInternationalHealthRegulationsหรือIHR

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    โลกใช้เชื้อโรคเป็นอาวุธ..แผ่นดินเรามีโอสถภูมิปัญญา WHO..อย่ายุ่งมาก! | สภากาแฟเวทีชาวบ้าน ช่อง News1 เข้าใจ สนธิสัญญาโรคระบาดและการแก้ไข IHR ( International Health Regulation หรือ กฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ) ของ WHO (องค์การอนามัยโลก) https://youtu.be/Cvml6w6c5WI?si=UL81i3lAOVL9872W https://www.rookon.com/?p=1176





    ● รอบนี้เดือนเมษายน 2025 กระทรวงสาธารณสุข อาจจะมีแนวโน้มทำตามองค์การอนามัยโลกทุกอย่าง นั่นหมายความว่า องค์การอนามัยโลกสามารถบงการได้ทุกสิ่งอย่าง #แบนกฎอนามัยระหว่างประเทศInternationalHealthRegulationsหรือIHR ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ โลกใช้เชื้อโรคเป็นอาวุธ..แผ่นดินเรามีโอสถภูมิปัญญา WHO..อย่ายุ่งมาก! | สภากาแฟเวทีชาวบ้าน ช่อง News1 เข้าใจ สนธิสัญญาโรคระบาดและการแก้ไข IHR ( International Health Regulation หรือ กฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ) ของ WHO (องค์การอนามัยโลก) https://youtu.be/Cvml6w6c5WI?si=UL81i3lAOVL9872W https://www.rookon.com/?p=1176
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบ แคมเปญฟิชชิงที่ซับซ้อน ซึ่งใช้บริการของ Google เพื่อส่งอีเมลหลอกลวงจาก no-reply@google.com โดยแฮกเกอร์ใช้ OAuth apps และ sites.google.com เพื่อสร้างอีเมลที่ดูเหมือนเป็นการแจ้งเตือนจาก Google ทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อและให้ข้อมูลรับรองบัญชีของตน

    ✅ แฮกเกอร์ใช้ OAuth apps เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิงที่ดูเหมือนมาจาก Google
    - อีเมลปลอมแจ้งว่ามีหมายเรียกจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบัญชี Google ของผู้ใช้
    - ข้อความในอีเมลถูกออกแบบให้ดูเหมือนเป็นการแจ้งเตือนจริงจาก Google

    ✅ อีเมลฟิชชิงถูกส่งจาก no-reply@google.com และผ่านการตรวจสอบ DKIM
    - DKIM (DomainKeys Identified Mail) เป็นระบบตรวจสอบความถูกต้องของอีเมล
    - เนื่องจากอีเมลถูกสร้างโดย Google ระบบ DKIM จึงรับรองว่าเป็นอีเมลที่ถูกต้อง

    ✅ แฮกเกอร์ใช้ sites.google.com เพื่อสร้างหน้าเว็บหลอกลวง
    - หน้าเว็บนี้ถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลรับรองบัญชีของผู้ใช้
    - sites.google.com เป็นบริการสร้างเว็บไซต์ฟรีของ Google ซึ่งมักถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิง

    ✅ การโจมตีนี้เรียกว่า "DKIM replay phishing attack"
    - ใช้ช่องโหว่ในระบบตรวจสอบ DKIM ของ Google เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/beware-hackers-can-apparently-now-send-phishing-emails-from-no-reply-google-com
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบ แคมเปญฟิชชิงที่ซับซ้อน ซึ่งใช้บริการของ Google เพื่อส่งอีเมลหลอกลวงจาก no-reply@google.com โดยแฮกเกอร์ใช้ OAuth apps และ sites.google.com เพื่อสร้างอีเมลที่ดูเหมือนเป็นการแจ้งเตือนจาก Google ทำให้ผู้ใช้หลงเชื่อและให้ข้อมูลรับรองบัญชีของตน ✅ แฮกเกอร์ใช้ OAuth apps เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิงที่ดูเหมือนมาจาก Google - อีเมลปลอมแจ้งว่ามีหมายเรียกจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบัญชี Google ของผู้ใช้ - ข้อความในอีเมลถูกออกแบบให้ดูเหมือนเป็นการแจ้งเตือนจริงจาก Google ✅ อีเมลฟิชชิงถูกส่งจาก no-reply@google.com และผ่านการตรวจสอบ DKIM - DKIM (DomainKeys Identified Mail) เป็นระบบตรวจสอบความถูกต้องของอีเมล - เนื่องจากอีเมลถูกสร้างโดย Google ระบบ DKIM จึงรับรองว่าเป็นอีเมลที่ถูกต้อง ✅ แฮกเกอร์ใช้ sites.google.com เพื่อสร้างหน้าเว็บหลอกลวง - หน้าเว็บนี้ถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลรับรองบัญชีของผู้ใช้ - sites.google.com เป็นบริการสร้างเว็บไซต์ฟรีของ Google ซึ่งมักถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิง ✅ การโจมตีนี้เรียกว่า "DKIM replay phishing attack" - ใช้ช่องโหว่ในระบบตรวจสอบ DKIM ของ Google เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/beware-hackers-can-apparently-now-send-phishing-emails-from-no-reply-google-com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้รายงานเกี่ยวกับคดีการล่วงละเมิดทางอีเมลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้กระทำผิดชื่อ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน หลังจากที่เขาได้ส่งอีเมลล่วงละเมิดผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้หญิง และการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย

    ✅ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน
    - ผู้กระทำผิดถูกตัดสินจำคุกหลังจากล่วงละเมิดผู้หญิงผ่านอีเมลเป็นเวลานานกว่า 3 ปี
    - การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เสียหาย

    ✅ การล่วงละเมิดเริ่มต้นในปี 2018 และสิ้นสุดในปี 2021
    - Merkle ใช้อีเมลที่ไม่ระบุตัวตนในการติดต่อผู้เสียหายและโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์

    ✅ ผู้เสียหายได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง
    - เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความสงสัยในทุกคนรอบตัว

    ✅ Merkle ถูกจับกุมในปี 2023
    - FBI ได้จับกุมเขาและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/email-stalkers-039monstrous039-harassment-of-woman-in-the-us-leads-judge-to-nearly-double-sentence
    บทความนี้รายงานเกี่ยวกับคดีการล่วงละเมิดทางอีเมลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้กระทำผิดชื่อ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน หลังจากที่เขาได้ส่งอีเมลล่วงละเมิดผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้หญิง และการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย ✅ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน - ผู้กระทำผิดถูกตัดสินจำคุกหลังจากล่วงละเมิดผู้หญิงผ่านอีเมลเป็นเวลานานกว่า 3 ปี - การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เสียหาย ✅ การล่วงละเมิดเริ่มต้นในปี 2018 และสิ้นสุดในปี 2021 - Merkle ใช้อีเมลที่ไม่ระบุตัวตนในการติดต่อผู้เสียหายและโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ✅ ผู้เสียหายได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง - เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความสงสัยในทุกคนรอบตัว ✅ Merkle ถูกจับกุมในปี 2023 - FBI ได้จับกุมเขาและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/email-stalkers-039monstrous039-harassment-of-woman-in-the-us-leads-judge-to-nearly-double-sentence
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Email stalker’s 'monstrous' harassment of woman in the US leads judge to nearly double sentence
    The victim was worried that the stalker would disrupt her marriage, her education, her job and friendships.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word บน iOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างดี โดยใช้ Copilot ซึ่งช่วยให้การจัดรูปแบบเอกสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

    ✅ Copilot ใน Word บน iOS สามารถแปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารได้อย่างมีโครงสร้าง
    - ผู้ใช้สามารถ เลือกภาษาและเทมเพลตเอกสาร ก่อนเริ่มบันทึกเสียง
    - เมื่อบันทึกเสร็จ Copilot จะ ถอดเสียงและจัดรูปแบบเอกสารตามเทมเพลตที่เลือก

    ✅ Word มีเทมเพลตเริ่มต้นสำหรับบันทึกเสียง 3 แบบ
    - Document: เอกสารมาตรฐานที่มีหัวข้อและส่วนต่างๆ
    - Notes: เอกสารข้อความเรียบง่ายที่แบ่งเป็นย่อหน้า
    - Email: เอกสารที่มีเนื้อหาอีเมลพร้อมคำลงท้าย

    ✅ ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตของตนเองได้
    - สามารถตั้งชื่อเทมเพลต เช่น Groceries และกำหนดรูปแบบเอกสารที่ต้องการ
    - ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

    ✅ ฟีเจอร์นี้รองรับหลายภาษา แต่ยังไม่ครบทุกภาษา
    - รองรับ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, จีน, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่น
    - Microsoft ระบุว่าจะเพิ่มการรองรับภาษาอื่นๆ ในอนาคต

    ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี Copilot License
    - ต้องมี Copilot Pro หรือ AI credits ใน Microsoft 365 subscription
    - ใช้งานได้บน Word เวอร์ชัน 2.96 (build 25041112)

    https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-turn-voice-notes-into-well-made-documents-in-word-on-mobile/
    Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word บน iOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างดี โดยใช้ Copilot ซึ่งช่วยให้การจัดรูปแบบเอกสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ✅ Copilot ใน Word บน iOS สามารถแปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารได้อย่างมีโครงสร้าง - ผู้ใช้สามารถ เลือกภาษาและเทมเพลตเอกสาร ก่อนเริ่มบันทึกเสียง - เมื่อบันทึกเสร็จ Copilot จะ ถอดเสียงและจัดรูปแบบเอกสารตามเทมเพลตที่เลือก ✅ Word มีเทมเพลตเริ่มต้นสำหรับบันทึกเสียง 3 แบบ - Document: เอกสารมาตรฐานที่มีหัวข้อและส่วนต่างๆ - Notes: เอกสารข้อความเรียบง่ายที่แบ่งเป็นย่อหน้า - Email: เอกสารที่มีเนื้อหาอีเมลพร้อมคำลงท้าย ✅ ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตของตนเองได้ - สามารถตั้งชื่อเทมเพลต เช่น Groceries และกำหนดรูปแบบเอกสารที่ต้องการ - ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ✅ ฟีเจอร์นี้รองรับหลายภาษา แต่ยังไม่ครบทุกภาษา - รองรับ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, จีน, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่น - Microsoft ระบุว่าจะเพิ่มการรองรับภาษาอื่นๆ ในอนาคต ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี Copilot License - ต้องมี Copilot Pro หรือ AI credits ใน Microsoft 365 subscription - ใช้งานได้บน Word เวอร์ชัน 2.96 (build 25041112) https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-turn-voice-notes-into-well-made-documents-in-word-on-mobile/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft makes it easier to turn voice notes into well-made documents in Word on mobile
    Copilot in Word on mobile devices gets a new feature to make life easier for users who frequently use voice notes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • Notion ได้เปิดตัว Notion Mail ซึ่งเป็นแอปอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ Notion Mail ใช้ AI เพื่อช่วยจัดการอีเมล
    - ระบบสามารถ จัดเรียง, ติดป้ายกำกับ และกรองอีเมล ตามความสำคัญของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ AI จัดลำดับความสำคัญของอีเมล เช่น อีเมลเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับฝ่ายสรรหาบุคลากร

    ✅ อินเทอร์เฟซของ Notion Mail สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้
    - ผู้ใช้สามารถ สร้างมุมมองแบบกำหนดเอง เพื่อให้โฟกัสกับอีเมลที่สำคัญ
    - หมวดหมู่เช่น โปรโมชั่น, ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และการเดินทาง ช่วยให้การจัดการอีเมลเป็นระเบียบมากขึ้น

    ✅ Notion Mail มีฟีเจอร์ Snippets เพื่อช่วยให้การเขียนอีเมลเร็วขึ้น
    - ผู้ใช้สามารถ บันทึกเทมเพลตอีเมล และให้ AI ช่วยเขียนข้อความเปิด, คำตอบ และอื่นๆ
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตอบอีเมลที่มีเนื้อหาคล้ายกัน

    ✅ Notion Mail เชื่อมต่อกับ Notion Calendar เพื่อช่วยจัดตารางเวลาการประชุม
    - ผู้ส่งสามารถ แชร์ช่วงเวลาที่ว่าง เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    ✅ Notion Mail เปิดให้ใช้งานฟรี
    - รวมอยู่ใน แพ็กเกจฟรีของ Notion ซึ่งมี Notion Calendar และการเชื่อมต่อกับ Slack และ GitHub
    - รองรับ Gmail

    https://www.techradar.com/pro/notion-launches-ai-powered-email-app-to-give-busy-users-a-productivity-boost
    Notion ได้เปิดตัว Notion Mail ซึ่งเป็นแอปอีเมลที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ Notion Mail ใช้ AI เพื่อช่วยจัดการอีเมล - ระบบสามารถ จัดเรียง, ติดป้ายกำกับ และกรองอีเมล ตามความสำคัญของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ AI จัดลำดับความสำคัญของอีเมล เช่น อีเมลเกี่ยวกับการจ้างงานสำหรับฝ่ายสรรหาบุคลากร ✅ อินเทอร์เฟซของ Notion Mail สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้ - ผู้ใช้สามารถ สร้างมุมมองแบบกำหนดเอง เพื่อให้โฟกัสกับอีเมลที่สำคัญ - หมวดหมู่เช่น โปรโมชั่น, ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า และการเดินทาง ช่วยให้การจัดการอีเมลเป็นระเบียบมากขึ้น ✅ Notion Mail มีฟีเจอร์ Snippets เพื่อช่วยให้การเขียนอีเมลเร็วขึ้น - ผู้ใช้สามารถ บันทึกเทมเพลตอีเมล และให้ AI ช่วยเขียนข้อความเปิด, คำตอบ และอื่นๆ - ฟีเจอร์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตอบอีเมลที่มีเนื้อหาคล้ายกัน ✅ Notion Mail เชื่อมต่อกับ Notion Calendar เพื่อช่วยจัดตารางเวลาการประชุม - ผู้ส่งสามารถ แชร์ช่วงเวลาที่ว่าง เพื่อให้การนัดหมายเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ✅ Notion Mail เปิดให้ใช้งานฟรี - รวมอยู่ใน แพ็กเกจฟรีของ Notion ซึ่งมี Notion Calendar และการเชื่อมต่อกับ Slack และ GitHub - รองรับ Gmail https://www.techradar.com/pro/notion-launches-ai-powered-email-app-to-give-busy-users-a-productivity-boost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักต้มตุ๋นกำลังใช้ AI-generated voices เพื่อแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ IRS และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อหลอกลวงประชาชนในช่วง Tax Day โดย Microsoft ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ การโจมตีแบบ vishing (voice phishing) ที่กำลังเพิ่มขึ้น

    ✅ นักต้มตุ๋นใช้ AI-generated voices เพื่อแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ IRS
    - ใช้ deepfake voice เพื่อทำให้เสียงดูน่าเชื่อถือ
    - หลอกให้เหยื่อเปิดเผย ข้อมูลทางการเงินและเอกสารภาษี

    ✅ Microsoft เตือนเกี่ยวกับการโจมตีแบบ vishing
    - แนะนำให้ใช้ multi-factor authentication เพื่อป้องกันบัญชีออนไลน์
    - ควรตรวจสอบ URL อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ปลอม

    ✅ IRS ไม่ติดต่อประชาชนผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย
    - หากได้รับข้อความจาก IRS ผ่านช่องทางเหล่านี้ ควรสงสัยว่าเป็นการหลอกลวง
    - IRS จะติดต่อผ่าน จดหมายหรือโทรศัพท์ที่สามารถตรวจสอบได้

    ✅ นักต้มตุ๋นใช้เทคนิคใหม่เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    - ใช้ AI-generated emails, voice calls และวิดีโอ deepfake
    - สามารถ ปรับแต่งผลการค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์ปลอมดูเหมือนเป็นของจริง

    ✅ กลุ่มเป้าหมายหลักของการโจมตี
    - วิศวกร, ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT และที่ปรึกษา เป็นกลุ่มที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    - ใช้ QR codes และบริการฝากไฟล์ เช่น Dropbox เพื่อหลอกลวงเหยื่อ

    https://www.techradar.com/pro/security/scammers-are-using-ai-generated-voices-to-impersonate-irs-tax-officials
    นักต้มตุ๋นกำลังใช้ AI-generated voices เพื่อแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ IRS และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อหลอกลวงประชาชนในช่วง Tax Day โดย Microsoft ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ การโจมตีแบบ vishing (voice phishing) ที่กำลังเพิ่มขึ้น ✅ นักต้มตุ๋นใช้ AI-generated voices เพื่อแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ IRS - ใช้ deepfake voice เพื่อทำให้เสียงดูน่าเชื่อถือ - หลอกให้เหยื่อเปิดเผย ข้อมูลทางการเงินและเอกสารภาษี ✅ Microsoft เตือนเกี่ยวกับการโจมตีแบบ vishing - แนะนำให้ใช้ multi-factor authentication เพื่อป้องกันบัญชีออนไลน์ - ควรตรวจสอบ URL อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ปลอม ✅ IRS ไม่ติดต่อประชาชนผ่านอีเมลหรือโซเชียลมีเดีย - หากได้รับข้อความจาก IRS ผ่านช่องทางเหล่านี้ ควรสงสัยว่าเป็นการหลอกลวง - IRS จะติดต่อผ่าน จดหมายหรือโทรศัพท์ที่สามารถตรวจสอบได้ ✅ นักต้มตุ๋นใช้เทคนิคใหม่เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ - ใช้ AI-generated emails, voice calls และวิดีโอ deepfake - สามารถ ปรับแต่งผลการค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์ปลอมดูเหมือนเป็นของจริง ✅ กลุ่มเป้าหมายหลักของการโจมตี - วิศวกร, ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT และที่ปรึกษา เป็นกลุ่มที่ถูกโจมตีมากที่สุด - ใช้ QR codes และบริการฝากไฟล์ เช่น Dropbox เพื่อหลอกลวงเหยื่อ https://www.techradar.com/pro/security/scammers-are-using-ai-generated-voices-to-impersonate-irs-tax-officials
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple กำลังปรับกลยุทธ์ในการพัฒนา AI โดยเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว มาเป็นการตรวจสอบข้อมูลจริงจากอีเมลที่อยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple วิธีนี้ช่วยให้ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียนได้ดีขึ้น

    Apple อธิบายว่า ข้อมูลสังเคราะห์ ที่ใช้ในการฝึก AI นั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็อาจไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง ส่งผลให้ AI ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น Siri ที่ยังมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถาม และระบบแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ

    เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Apple จะเริ่มใช้ระบบใหม่ใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 ที่ช่วยให้ AI สามารถตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, การแนะนำการเขียน, Image Playground, และ Memories Creation

    นอกจากนี้ Apple ยังใช้ Differential Privacy เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน

    ✅ แนวทางใหม่ของ Apple ในการฝึก AI
    - ใช้ข้อมูลจากอีเมลของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์
    - ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียน

    ✅ ข้อจำกัดของข้อมูลสังเคราะห์
    - แม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง
    - ส่งผลให้ Siri และระบบแจ้งเตือนทำงานได้ไม่สมบูรณ์

    ✅ การอัปเดตใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5
    - ระบบใหม่ช่วยให้ AI ตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์
    - ปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, Image Playground, และ Memories Creation

    ✅ การใช้ Differential Privacy
    - วิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    - ปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    - แม้ Apple จะเน้นความเป็นส่วนตัว แต่การใช้ข้อมูลจากอีเมลอาจทำให้เกิดข้อกังวล
    - ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ผ่าน Device Analytics และ Product Improvement Settings

    ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI
    - Apple พยายามไล่ตาม OpenAI, Microsoft และ Google ในการพัฒนา AI
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Apple Intelligence แข่งขันได้ดีขึ้น

    https://www.neowin.net/news/apple-wants-to-train-ai-on-your-emails-in-a-way-that-protects-your-privacy/
    Apple กำลังปรับกลยุทธ์ในการพัฒนา AI โดยเปลี่ยนจากการใช้ข้อมูลสังเคราะห์เพียงอย่างเดียว มาเป็นการตรวจสอบข้อมูลจริงจากอีเมลที่อยู่บนอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple วิธีนี้ช่วยให้ AI สามารถปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียนได้ดีขึ้น Apple อธิบายว่า ข้อมูลสังเคราะห์ ที่ใช้ในการฝึก AI นั้นมีข้อจำกัด เพราะแม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็อาจไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง ส่งผลให้ AI ทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น Siri ที่ยังมีข้อผิดพลาดในการตอบคำถาม และระบบแจ้งเตือนที่ไม่แม่นยำ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Apple จะเริ่มใช้ระบบใหม่ใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 ที่ช่วยให้ AI สามารถตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, การแนะนำการเขียน, Image Playground, และ Memories Creation นอกจากนี้ Apple ยังใช้ Differential Privacy เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน ✅ แนวทางใหม่ของ Apple ในการฝึก AI - ใช้ข้อมูลจากอีเมลของผู้ใช้โดยตรง โดยไม่ส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ - ช่วยปรับปรุงความแม่นยำในการสรุปข้อความและแนะนำการเขียน ✅ ข้อจำกัดของข้อมูลสังเคราะห์ - แม้จะช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ไม่สะท้อนรูปแบบการสื่อสารของผู้ใช้จริง - ส่งผลให้ Siri และระบบแจ้งเตือนทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ✅ การอัปเดตใน iOS 18.5, iPadOS 18.5 และ macOS 15.5 - ระบบใหม่ช่วยให้ AI ตรวจสอบอีเมลของผู้ใช้โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ - ปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การสรุปข้อความ, Image Playground, และ Memories Creation ✅ การใช้ Differential Privacy - วิเคราะห์แนวโน้มของผู้ใช้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล - ปรับปรุงการสร้าง Genmoji โดยดูจากคำขอที่คล้ายกันของผู้ใช้หลายคน ℹ️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว - แม้ Apple จะเน้นความเป็นส่วนตัว แต่การใช้ข้อมูลจากอีเมลอาจทำให้เกิดข้อกังวล - ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ผ่าน Device Analytics และ Product Improvement Settings ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด AI - Apple พยายามไล่ตาม OpenAI, Microsoft และ Google ในการพัฒนา AI - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Apple Intelligence แข่งขันได้ดีขึ้น https://www.neowin.net/news/apple-wants-to-train-ai-on-your-emails-in-a-way-that-protects-your-privacy/
    WWW.NEOWIN.NET
    Apple wants to train AI on your emails in a way that protects your privacy
    Apple has lagged behind in AI, but now it's using user data to improve its models while "protecting privacy."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time

    How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot.

    Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing?

    Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean.

    1. Catch yourself in the act.
    Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it.

    2. Think about why you apologize.
    Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead.

    3. Say “thank you,” not “sorry.”
    When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples:

    - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting.
    - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it.
    - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening.
    - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that.

    4. Use a different word.
    Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas:

    - pardon
    - excuse me
    - after you
    - oops

    5. Focus on solutions.
    We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives:

    - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take].
    - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it.
    - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right.
    - Can you give me feedback on how I can do this differently?

    6. Ask a question.
    Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives:

    - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk?
    - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that?
    - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you?
    - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions?

    7. Ban sorry from your emails.
    In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured.

    8. Practice empathy, not sympathy.
    Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include:

    - That must have been really difficult.
    - I know you’re really hurting right now.
    - Thank you for trusting me with this.
    - What can I do to make this easier for you?

    9. Prep before important conversations.
    If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally.

    10. Get an accountability partner.
    It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot. Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing? Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean. 1. Catch yourself in the act. Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it. 2. Think about why you apologize. Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead. 3. Say “thank you,” not “sorry.” When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples: - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting. - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it. - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening. - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that. 4. Use a different word. Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas: - pardon - excuse me - after you - oops 5. Focus on solutions. We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives: - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take]. - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it. - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right. - Can you give me feedback on how I can do this differently? 6. Ask a question. Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives: - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk? - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that? - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you? - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions? 7. Ban sorry from your emails. In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured. 8. Practice empathy, not sympathy. Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include: - That must have been really difficult. - I know you’re really hurting right now. - Thank you for trusting me with this. - What can I do to make this easier for you? 9. Prep before important conversations. If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally. 10. Get an accountability partner. It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า

    ✅ วิธีการเจาะระบบ:
    - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC
    - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที
    - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย

    ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา:
    - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม

    == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ==
    💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์:
    - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ

    💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น:
    - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ แจ้ง Congress ถึงการเจาะระบบไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระบบอีเมลขององค์กร โดยช่องโหว่นี้อนุญาตให้นักโจมตีเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงอีเมลกว่า ✅ วิธีการเจาะระบบ: - การโจมตีเริ่มจากการเข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบในระบบ Office Automation Environment ของ OCC - พบพฤติกรรมการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานในลักษณะผิดปกติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งยืนยันเป็นการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตในวันถัดมา ✅ การตอบสนองของ OCC: - OCC ได้ปิดการใช้งานบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะเข้าถึง และเริ่มต้นโปรโตคอลตอบสนองฉุกเฉินทันที - มีการร่วมมือกับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากภายนอก เพื่อประเมินความเสียหาย ✅ ความเสี่ยงที่ตามมา: - เหตุการณ์นี้อาจทำให้องค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ OCC เสี่ยงต่อการถูกโจมตีไซเบอร์ในอนาคต หากนักโจมตีใช้ข้อมูลจากอีเมลเพื่อเจาะระบบเพิ่มเติม == บทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ == 💡 ความจำเป็นในการลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์: - ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า OCC อาจไม่ได้รับทรัพยากรด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ แม้จะเป็นหน่วยงานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ 💡 การสร้างระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น: - มีความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการป้องกันที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    US bank regulator’s email system breached
    The agency that regulates all US national banks alerted Congress on Tuesday that hackers had access to staff emails.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์

    ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด:
    - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ
    - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ✅ การตอบสนองของ OCC:
    - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที
    - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA)
    - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์

    ✅ บทเรียนที่สำคัญ:
    - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ

    David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว”

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด: - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การตอบสนองของ OCC: - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ✅ บทเรียนที่สำคัญ: - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว” https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    OCC email system breach described as ‘stunning, serious’
    Agency that regulates all US national banks alerted Congress Tuesday about ‘unusual interactions’ involving system administrative account.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงนี่ร้อง "ว้ววว..!!" เลยครับ

    Mozilla กำลังพัฒนา Thunderbird Pro ซึ่งเป็นชุดบริการอีเมลระดับมืออาชีพสำหรับผู้ใช้ Thunderbird โดยมาพร้อมกับเครื่องมือใหม่ที่ช่วยปรับปรุงการจัดการอีเมล ขณะเดียวกัน Mozilla ได้เปิดตัว Thundermail ซึ่งเป็นบริการอีเมลใหม่ที่มุ่งเน้นความเป็นโอเพ่นซอร์สและไม่ล็อกผู้ใช้เข้ากับระบบปิดแบบ Gmail หรือ Office 365

    ✅ Thunderbird Pro ประกอบด้วย 4 บริการหลัก:
    - Thunderbird Appointment: ระบบจัดตารางนัดหมาย ที่ให้ผู้ใช้ส่งลิงก์เชิญประชุมได้ง่ายขึ้น
    - Thunderbird Send: ระบบแชร์ไฟล์ที่พัฒนาใหม่ แทนที่ Firefox Send ที่ถูกปิดตัวไปในปี 2020
    - Thunderbird Assist: บริการ AI ที่ยังอยู่ในช่วงทดลอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลและงานด้านอื่น ๆ ได้สะดวกขึ้น
    - Thundermail: บริการอีเมลใหม่ที่ออกแบบให้เป็นทางเลือกที่เปิดกว้างกว่าคู่แข่ง

    ✅ เป้าหมายของ Thunderbird Pro:
    - Mozilla ต้องการทำให้ Thunderbird Pro เป็นระบบอีเมลที่ 100% เปิดกว้าง และไม่ผูกติดกับระบบใด
    - คู่แข่งหลักคือ Gmail และ Office 365 ซึ่งมีฟีเจอร์ครบครันแต่ล็อกผู้ใช้ให้อยู่ในระบบของตน

    ✅ การเปิดตัว Thundermail—มากกว่าแค่ Thunderbird รุ่นเดิม
    - Thundermail ไม่ใช่แค่การอัปเดต Thunderbird แต่เป็นบริการใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นจาก ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส Stalwart
    - Mozilla ตั้งใจให้ Thundermail มีฟังก์ชันที่ดีขึ้นกว่าระบบอีเมลเดิมทั้งหมด

    ✅ Thunderbird Pro จะมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
    - เริ่มแรกให้ใช้ฟรีสำหรับผู้สนับสนุนชุมชน Thunderbird
    - ในอนาคต Mozilla อาจเพิ่ม แพ็กเกจฟรีแบบจำกัด หรือเปิดตัวเวอร์ชันพรีเมียม

    https://www.techspot.com/news/107366-thunderbird-email-client-venturing-new-pro-tier-commercial.html
    ลุงนี่ร้อง "ว้ววว..!!" เลยครับ Mozilla กำลังพัฒนา Thunderbird Pro ซึ่งเป็นชุดบริการอีเมลระดับมืออาชีพสำหรับผู้ใช้ Thunderbird โดยมาพร้อมกับเครื่องมือใหม่ที่ช่วยปรับปรุงการจัดการอีเมล ขณะเดียวกัน Mozilla ได้เปิดตัว Thundermail ซึ่งเป็นบริการอีเมลใหม่ที่มุ่งเน้นความเป็นโอเพ่นซอร์สและไม่ล็อกผู้ใช้เข้ากับระบบปิดแบบ Gmail หรือ Office 365 ✅ Thunderbird Pro ประกอบด้วย 4 บริการหลัก: - Thunderbird Appointment: ระบบจัดตารางนัดหมาย ที่ให้ผู้ใช้ส่งลิงก์เชิญประชุมได้ง่ายขึ้น - Thunderbird Send: ระบบแชร์ไฟล์ที่พัฒนาใหม่ แทนที่ Firefox Send ที่ถูกปิดตัวไปในปี 2020 - Thunderbird Assist: บริการ AI ที่ยังอยู่ในช่วงทดลอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้จัดการอีเมลและงานด้านอื่น ๆ ได้สะดวกขึ้น - Thundermail: บริการอีเมลใหม่ที่ออกแบบให้เป็นทางเลือกที่เปิดกว้างกว่าคู่แข่ง ✅ เป้าหมายของ Thunderbird Pro: - Mozilla ต้องการทำให้ Thunderbird Pro เป็นระบบอีเมลที่ 100% เปิดกว้าง และไม่ผูกติดกับระบบใด - คู่แข่งหลักคือ Gmail และ Office 365 ซึ่งมีฟีเจอร์ครบครันแต่ล็อกผู้ใช้ให้อยู่ในระบบของตน ✅ การเปิดตัว Thundermail—มากกว่าแค่ Thunderbird รุ่นเดิม - Thundermail ไม่ใช่แค่การอัปเดต Thunderbird แต่เป็นบริการใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นจาก ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส Stalwart - Mozilla ตั้งใจให้ Thundermail มีฟังก์ชันที่ดีขึ้นกว่าระบบอีเมลเดิมทั้งหมด ✅ Thunderbird Pro จะมีค่าใช้จ่ายหรือไม่? - เริ่มแรกให้ใช้ฟรีสำหรับผู้สนับสนุนชุมชน Thunderbird - ในอนาคต Mozilla อาจเพิ่ม แพ็กเกจฟรีแบบจำกัด หรือเปิดตัวเวอร์ชันพรีเมียม https://www.techspot.com/news/107366-thunderbird-email-client-venturing-new-pro-tier-commercial.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Mozilla is working on new Thunderbird "Pro" email offerings and Thundermail
    In 2023, Mozilla developers announced they were "remaking" Thunderbird's software architecture, aiming to modernize its crumbling and unsustainable codebase. The company later confirmed plans to add new...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้เปิดตัวระบบ End-to-End Encryption (E2EE) สำหรับ Gmail ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งอีเมลแบบเข้ารหัสที่แม้แต่ Google เองก็ไม่สามารถอ่านได้ โดยตอนนี้ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งาน เฉพาะผู้ใช้ในองค์กรเดียวกัน แต่จะถูกขยายให้รองรับการส่งอีเมลเข้ารหัสไปยังผู้ใช้จากผู้ให้บริการอีเมลอื่นภายในปีนี้

    แตกต่างจากการเข้ารหัสทั่วไป
    - Gmail มีระบบ TLS (Transport Layer Security) ที่ช่วยเข้ารหัสอีเมลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ และการเข้ารหัสอีเมลที่เก็บอยู่ในศูนย์ข้อมูลของ Google
    - แต่ E2EE ช่วยให้ข้อความที่ส่งไปถูกเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทาง และมีเพียงผู้รับเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสและอ่านข้อความได้

    การเข้ารหัสแบบใหม่ของ Google แตกต่างจาก S/MIME
    - ปัจจุบันการเข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE มักใช้ S/MIME ซึ่งต้องมี การแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสและใบรับรองดิจิทัล ทำให้ตั้งค่าระบบยากและใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี S/MIME เหมือนกัน
    - Google ใช้แนวทางใหม่ที่ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนกุญแจและสามารถทำงานได้สะดวกกว่าการเข้ารหัสแบบเดิม

    การทำงานของระบบ E2EE ใหม่นี้
    - ผู้ใช้ Gmail ในองค์กรสามารถเลือก เข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE ได้โดยตรงจากหน้าต่างเขียนอีเมล
    - ในอนาคตเมื่อฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไป ผู้รับอีเมลจากผู้ให้บริการอื่นจะได้รับ ลิงก์ ที่นำไปยัง Gmail เวอร์ชันพิเศษที่ต้องมีการตรวจสอบตัวตนก่อนอ่านข้อความ

    ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นสำหรับองค์กร
    - ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดให้การรับชมอีเมลต้องใช้ Restricted View ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้อีเมลถูกดาวน์โหลดหรือบันทึกลงในอุปกรณ์ภายนอก

    อนาคตของการเข้ารหัสอีเมลใน Gmail
    - Google กำลังพัฒนาให้ E2EE รองรับอีเมลระหว่างบัญชี Gmail ทั่วไปและองค์กร
    - ระบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเข้ารหัสได้เอง โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสกับ Google หรือบุคคลภายนอก

    https://www.csoonline.com/article/3952075/google-adds-end-to-end-email-encryption-to-gmail.html
    Google ได้เปิดตัวระบบ End-to-End Encryption (E2EE) สำหรับ Gmail ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งอีเมลแบบเข้ารหัสที่แม้แต่ Google เองก็ไม่สามารถอ่านได้ โดยตอนนี้ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งาน เฉพาะผู้ใช้ในองค์กรเดียวกัน แต่จะถูกขยายให้รองรับการส่งอีเมลเข้ารหัสไปยังผู้ใช้จากผู้ให้บริการอีเมลอื่นภายในปีนี้ แตกต่างจากการเข้ารหัสทั่วไป - Gmail มีระบบ TLS (Transport Layer Security) ที่ช่วยเข้ารหัสอีเมลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ และการเข้ารหัสอีเมลที่เก็บอยู่ในศูนย์ข้อมูลของ Google - แต่ E2EE ช่วยให้ข้อความที่ส่งไปถูกเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทาง และมีเพียงผู้รับเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสและอ่านข้อความได้ การเข้ารหัสแบบใหม่ของ Google แตกต่างจาก S/MIME - ปัจจุบันการเข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE มักใช้ S/MIME ซึ่งต้องมี การแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสและใบรับรองดิจิทัล ทำให้ตั้งค่าระบบยากและใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี S/MIME เหมือนกัน - Google ใช้แนวทางใหม่ที่ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนกุญแจและสามารถทำงานได้สะดวกกว่าการเข้ารหัสแบบเดิม การทำงานของระบบ E2EE ใหม่นี้ - ผู้ใช้ Gmail ในองค์กรสามารถเลือก เข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE ได้โดยตรงจากหน้าต่างเขียนอีเมล - ในอนาคตเมื่อฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไป ผู้รับอีเมลจากผู้ให้บริการอื่นจะได้รับ ลิงก์ ที่นำไปยัง Gmail เวอร์ชันพิเศษที่ต้องมีการตรวจสอบตัวตนก่อนอ่านข้อความ ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นสำหรับองค์กร - ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดให้การรับชมอีเมลต้องใช้ Restricted View ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้อีเมลถูกดาวน์โหลดหรือบันทึกลงในอุปกรณ์ภายนอก อนาคตของการเข้ารหัสอีเมลใน Gmail - Google กำลังพัฒนาให้ E2EE รองรับอีเมลระหว่างบัญชี Gmail ทั่วไปและองค์กร - ระบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเข้ารหัสได้เอง โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสกับ Google หรือบุคคลภายนอก https://www.csoonline.com/article/3952075/google-adds-end-to-end-email-encryption-to-gmail.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Google adds end-to-end email encryption to Gmail
    The new encryption system doesn’t require external exchange of keys or complex user certificate management
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากแผลเป็นเล็กๆ กระจาย หลายแห่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (multiple microscars MMS)รายงานการชันสูตรศพ และตรวจชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจในผู้เสียชีวิตสามราย ที่ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นที่อธิบายไม่ได้ (unexplained cardiac arrest) โดยมีอายุมาก 75 91 และ 73 ปีถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะสูงวัยแต่การตรวจ พบสิ่งปกติที่ทางสถาบันไม่เคยพบมาก่อนตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี นั้นก็คือ • แผลเป็นขนาดเล็กกระจายทั่วไป multiple micro scars ซึ่งต่างจากแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พบได้ทั่วไปในกรณีที่เส้นเลือดหัวใจตัน ทั้งสามรายได้รับโควิดวัคซีน ห้าเข็ม ในสองรายแรก และหกเข็มในสุดท้ายรายที่สองมีมะเร็ง HCC และรายที่สามมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับเคมีบำบัดด้วย และการชันสูตรศพไม่สามารถอธิบายความเกี่ยวพันของภาวะมะเร็งและเคมีบำบัด และไม่พบโปรตีนอมิลอยด์ใน แผลเป็น จึงไม่ใช่เป็นโรคอมิลอยด์ของหัวใจ (cardiac amyloidosis)การอภิปรายของคณะรายงานนี่อาจเป็นรายงานแรกของผู้ป่วยที่มี MMS ในหัวใจที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น • ที่น่าสังเกตคือ การบีบตัวของหัวใจซ้าย ejection fraction ของผู้ป่วยทั้ง 3 รายไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะมี MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด • ผู้ป่วย 2 รายไม่มีประวัติติดเชื้อ COVID-19 และ 1 รายติดเชื้อ COVID-19 • สำหรับประวัติการฉีดวัคซีน COVID-19 ผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีประวัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนถึงการเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย • มีการรายงานความเชื่อมโยงระหว่างภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการฉีดวัคซีน COVID-19 เมื่อไม่นานนี้ ตามวารสารด้านล่าง • Patone M., Mei X.W., Handunnetthi L., et al. "Risks of myocarditis, pericarditis, and cardiac arrhythmias associated with COVID-19 vaccination or SARS-CoV-2 infection". Nat Med . 2022;28:410-422. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • Pari B., Babbili A., Kattubadi A., et al. "COVID-19 vaccination and cardiac arrhythmias: a review". Curr Cardiol Rep . 2023;25:925-940. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • การสำรวจทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ทุกประเภทดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และวัคซีน COVID-19 อาจทำให้เกิดความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของหัวใจ • กลไกเหล่านี้คาดว่าจะเกิดจากการเลียนแบบโมเลกุลหรือการผลิตโปรตีนสไปก์ การตอบสนองของการอักเสบที่เพิ่มขึ้น และการเกิดแผลเป็นและพังผืด • ในที่สุด ที่น่าสนใจคือ ในกรณีศึกษาทางพยาธิวิทยาปัจจุบัน ยังพบไมโครสการ์ริง (แผลเป็นขนาดเล็ก) ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างatriumด้านซ้ายกับหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและatriumด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วไป สำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยการใส่สายสวนเข้าไปจี้ • ในอนาคต เราหวังว่าจะได้เห็นการวิจัยที่จะทำให้สามารถวินิจฉัยพยาธิสรีรวิทยาของ MMS ในหัวใจได้ผ่านการสร้างภาพหัวใจและ/หรือการตรวจเลือดก่อนเสียชีวิต • เหตุใดจึงพบ MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น? • ระยะห่างและขนาดของแผลเป็นที่อยู่ติดกันภายในกล้ามเนื้อหัวใจบ่งชี้ว่า แผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบที่ระดับของหลอดเลือดฝอยขนาดเล็ก ระยะห่างจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายไปยังจุดเริ่มต้นของหลอดเลือดดำอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 ไมโครเมตร (การศึกษาแผนภูมิของ เส้นเลือดฝอยในตำรา เช่นเดียวกับระยะห่างระหว่างแผลเป็นในกรณีปัจจุบัน) • ข้อเท็จจริงที่ว่าแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการอักเสบอันเนื่องมาจากการอุดตันของหลอดเลือดฝอยเท่านั้น และแผลเป็นแต่ละแผลมีลักษณะเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า“การอักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดและในเวลาเดียวกัน ” การย้อมด้วย antibody ต่อ CD42b ไม่ติดในหัวใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการกระตุ้นของเกล็ดเลือด กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute phase) • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการดำเนินไปของ MMS ในหัวใจ แต่ก็ถือเป็นการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เว้นแต่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม • ดังที่แสดงในภาพขยายของหัวใจ จะเห็นการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดขนาดเล็กซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ที่เกิดจากลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) • การค้นพบความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ใช่ในไต แสดงให้เห็นว่ากรณีเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากลิ่มเลือด (TTP :thrombotic thrombocytopenia) หรือกลุ่มอาการยูรีเมียจากเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ (HUS :hemolytic uremic syndrome) • แต่ถือเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กจากลิ่มเลือดในทางพยาธิวิทยา • สาเหตุของ MMS ในหัวใจยังไม่ชัดเจน • แต่ด้วยความจริงที่ว่า MMS ในหัวใจที่หายากเหล่านี้ยังคงพบได้ในระหว่างการชันสูตรพลิกศพภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 เดือน • ทำให้เราต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้อง กับปัจจัยโน้มนำที่เกิดขึ้นในระยะปัจจุบัน • แม้ว่าภาวะหลอดเลือดแดงตีบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีความเป็นไปได้ในผู้ป่วย MMS ในหัวใจเหล่านี้ที่จะเกิดก่อนหน้านี้นาน • แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 • มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดหลังจากการฉีดวัคซีน COVID-19 และผู้ป่วยของเราได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 • แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ MMS จะถูกเหนี่ยวนำโดยวัคซีน แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการฉีดวัคซีนและ MMS เหล่านี้กับลิ่มเลือดในระดับเส้นเลือดฝอยได้ในการศึกษานี้ • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ MMS กับวัคซีนรายงานในวารสาร ราชวิทยาลัยหัวใจของอเมริกาCardiac Multiple Micro-Scars: An Autopsy Study.J Am Coll Cardiol Case Rep. 2025 Mar, 30 (5)https://www.jacc.org/doi/full/10.1016/j.jaccas.2024.103083?utm_source=substack&utm_medium=emailรายงานนี้เป็นศัพท์แพทย์และเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการชันสูตรทางพยาธิวิทยาทั้งสิ้น ที่ระบุ แผลเป็นขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดจากการอักเสบในเส้นเลือดฝอย และไม่ใช่การอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามปกติ ที่สำคัญก็คือ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์หัวใจวายที่อธิบายไม่ได้ที่ปรากฏทั่วไปในระยะหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในประเทศไทยรายงานนี้ตอกย้ำรายงานก่อนหน้าที่ใช้การตรวจ MRI และมีการฉีดสี พบว่าผู้ได้รับวัคซีนมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจและเมื่อติดตามจะพบแผลเป็นและรายงานที่ใช้ PET scan โดยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พบว่ากล้ามเนื้อหัวใจในกลุ่มคนหลายร้อยคนที่ฉีดวัคซีน แม้ไม่มีอาการแต่ก็จะมีการอักเสบคุกรุ่นตลอด (silent inflammation) เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งนี้การตรวจทางชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาได้ตัดประเด็นสาเหตุที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัว การรักษาโรคประจำตัว และไม่อาจอธิบายด้วยการติดเชื้อโควิด รายละเอียดของแต่ละราย กรรมวิธีในการตรวจสามารถสืบค้นได้ในวารสารที่แนบไว้ ที่ต้องนำมาโพสต์เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากการตายไม่ทราบสาเหตุแบบกระทันหันเกิดขึ้นได้ทั้งคนอายุน้อยซึ่งมีสุขภาพดี และในคนอายุมากที่ไม่มีใครสนใจเพราะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหาสาเหตุอันแท้จริงแล้วจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเพจนี้อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ร่วมกับสิ่งที่ประจักษ์ในผู้ป่วยที่ได้ดูแลในประเทศไทย • สื่อที่บิดเบือนความจริงในหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นการนำความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ และรวมทั้งที่กล่าวว่าโพสต์ของ หมอธีระวัฒน์และของหมอชลธวัช นั้นเป็นข้อมูลไม่จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งที่เน้นว่าสื่อต่างๆเหล่านี้พยายามปกปิดข้อมูลและบิดเบือนความจริงตลอดมา สามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีได้ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาประธานนพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริรองประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    ภาวะหัวใจหยุดเต้นจากแผลเป็นเล็กๆ กระจาย หลายแห่งในกล้ามเนื้อหัวใจ (multiple microscars MMS)รายงานการชันสูตรศพ และตรวจชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจในผู้เสียชีวิตสามราย ที่ มีภาวะหัวใจหยุดเต้นที่อธิบายไม่ได้ (unexplained cardiac arrest) โดยมีอายุมาก 75 91 และ 73 ปีถึงแม้ผู้เสียชีวิตจะสูงวัยแต่การตรวจ พบสิ่งปกติที่ทางสถาบันไม่เคยพบมาก่อนตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี นั้นก็คือ • แผลเป็นขนาดเล็กกระจายทั่วไป multiple micro scars ซึ่งต่างจากแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่พบได้ทั่วไปในกรณีที่เส้นเลือดหัวใจตัน ทั้งสามรายได้รับโควิดวัคซีน ห้าเข็ม ในสองรายแรก และหกเข็มในสุดท้ายรายที่สองมีมะเร็ง HCC และรายที่สามมีมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยได้รับเคมีบำบัดด้วย และการชันสูตรศพไม่สามารถอธิบายความเกี่ยวพันของภาวะมะเร็งและเคมีบำบัด และไม่พบโปรตีนอมิลอยด์ใน แผลเป็น จึงไม่ใช่เป็นโรคอมิลอยด์ของหัวใจ (cardiac amyloidosis)การอภิปรายของคณะรายงานนี่อาจเป็นรายงานแรกของผู้ป่วยที่มี MMS ในหัวใจที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้น • ที่น่าสังเกตคือ การบีบตัวของหัวใจซ้าย ejection fraction ของผู้ป่วยทั้ง 3 รายไม่ได้ลดลง แม้ว่าจะมี MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด • ผู้ป่วย 2 รายไม่มีประวัติติดเชื้อ COVID-19 และ 1 รายติดเชื้อ COVID-19 • สำหรับประวัติการฉีดวัคซีน COVID-19 ผู้ป่วยทั้ง 3 รายมีประวัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจนถึงการเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย • มีการรายงานความเชื่อมโยงระหว่างภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการฉีดวัคซีน COVID-19 เมื่อไม่นานนี้ ตามวารสารด้านล่าง • Patone M., Mei X.W., Handunnetthi L., et al. "Risks of myocarditis, pericarditis, and cardiac arrhythmias associated with COVID-19 vaccination or SARS-CoV-2 infection". Nat Med . 2022;28:410-422. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • Pari B., Babbili A., Kattubadi A., et al. "COVID-19 vaccination and cardiac arrhythmias: a review". Curr Cardiol Rep . 2023;25:925-940. �CrossrefMedlineGoogle Scholar • การสำรวจทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าวัคซีน COVID-19 ทุกประเภทดูเหมือนจะกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และวัคซีน COVID-19 อาจทำให้เกิดความผิดปกติของการนำไฟฟ้าของหัวใจ • กลไกเหล่านี้คาดว่าจะเกิดจากการเลียนแบบโมเลกุลหรือการผลิตโปรตีนสไปก์ การตอบสนองของการอักเสบที่เพิ่มขึ้น และการเกิดแผลเป็นและพังผืด • ในที่สุด ที่น่าสนใจคือ ในกรณีศึกษาทางพยาธิวิทยาปัจจุบัน ยังพบไมโครสการ์ริง (แผลเป็นขนาดเล็ก) ที่จุดเชื่อมต่อระหว่างatriumด้านซ้ายกับหลอดเลือดแดงพัลโมนารีและatriumด้านบน ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วไป สำหรับการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกติด้วยการใส่สายสวนเข้าไปจี้ • ในอนาคต เราหวังว่าจะได้เห็นการวิจัยที่จะทำให้สามารถวินิจฉัยพยาธิสรีรวิทยาของ MMS ในหัวใจได้ผ่านการสร้างภาพหัวใจและ/หรือการตรวจเลือดก่อนเสียชีวิต • เหตุใดจึงพบ MMS ในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น? • ระยะห่างและขนาดของแผลเป็นที่อยู่ติดกันภายในกล้ามเนื้อหัวใจบ่งชี้ว่า แผลเป็นเกิดขึ้นหลังจากการอักเสบที่ระดับของหลอดเลือดฝอยขนาดเล็ก ระยะห่างจากหลอดเลือดแดงส่วนปลายไปยังจุดเริ่มต้นของหลอดเลือดดำอยู่ที่ประมาณ 300 ถึง 500 ไมโครเมตร (การศึกษาแผนภูมิของ เส้นเลือดฝอยในตำรา เช่นเดียวกับระยะห่างระหว่างแผลเป็นในกรณีปัจจุบัน) • ข้อเท็จจริงที่ว่าแผลเป็นเหล่านี้เกิดจากการอักเสบอันเนื่องมาจากการอุดตันของหลอดเลือดฝอยเท่านั้น และแผลเป็นแต่ละแผลมีลักษณะเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า“การอักเสบเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดและในเวลาเดียวกัน ” การย้อมด้วย antibody ต่อ CD42b ไม่ติดในหัวใจ ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่มีการกระตุ้นของเกล็ดเลือด กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเฉียบพลัน (acute phase) • แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการดำเนินไปของ MMS ในหัวใจ แต่ก็ถือเป็นการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี เว้นแต่จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม • ดังที่แสดงในภาพขยายของหัวใจ จะเห็นการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดขนาดเล็กซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็ก (microangiopathy) ที่เกิดจากลิ่มเลือด (thrombotic microangiopathy) • การค้นพบความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจเท่านั้น ไม่ใช่ในไต แสดงให้เห็นว่ากรณีเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากลิ่มเลือด (TTP :thrombotic thrombocytopenia) หรือกลุ่มอาการยูรีเมียจากเม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ (HUS :hemolytic uremic syndrome) • แต่ถือเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดเล็กจากลิ่มเลือดในทางพยาธิวิทยา • สาเหตุของ MMS ในหัวใจยังไม่ชัดเจน • แต่ด้วยความจริงที่ว่า MMS ในหัวใจที่หายากเหล่านี้ยังคงพบได้ในระหว่างการชันสูตรพลิกศพภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 เดือน • ทำให้เราต้องพิจารณาถึงความเกี่ยวข้อง กับปัจจัยโน้มนำที่เกิดขึ้นในระยะปัจจุบัน • แม้ว่าภาวะหลอดเลือดแดงตีบในกล้ามเนื้อหัวใจ มีความเป็นไปได้ในผู้ป่วย MMS ในหัวใจเหล่านี้ที่จะเกิดก่อนหน้านี้นาน • แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ COVID-19 • มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดหลังจากการฉีดวัคซีน COVID-19 และผู้ป่วยของเราได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน COVID-19 • แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ MMS จะถูกเหนี่ยวนำโดยวัคซีน แต่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการฉีดวัคซีนและ MMS เหล่านี้กับลิ่มเลือดในระดับเส้นเลือดฝอยได้ในการศึกษานี้ • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ MMS กับวัคซีนรายงานในวารสาร ราชวิทยาลัยหัวใจของอเมริกาCardiac Multiple Micro-Scars: An Autopsy Study.J Am Coll Cardiol Case Rep. 2025 Mar, 30 (5)https://www.jacc.org/doi/full/10.1016/j.jaccas.2024.103083?utm_source=substack&utm_medium=emailรายงานนี้เป็นศัพท์แพทย์และเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของการชันสูตรทางพยาธิวิทยาทั้งสิ้น ที่ระบุ แผลเป็นขนาดเล็กที่มีลักษณะเฉพาะตัว เกิดจากการอักเสบในเส้นเลือดฝอย และไม่ใช่การอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามปกติ ที่สำคัญก็คือ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์หัวใจวายที่อธิบายไม่ได้ที่ปรากฏทั่วไปในระยะหลังจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งในประเทศไทยรายงานนี้ตอกย้ำรายงานก่อนหน้าที่ใช้การตรวจ MRI และมีการฉีดสี พบว่าผู้ได้รับวัคซีนมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจและเมื่อติดตามจะพบแผลเป็นและรายงานที่ใช้ PET scan โดยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ พบว่ากล้ามเนื้อหัวใจในกลุ่มคนหลายร้อยคนที่ฉีดวัคซีน แม้ไม่มีอาการแต่ก็จะมีการอักเสบคุกรุ่นตลอด (silent inflammation) เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งนี้การตรวจทางชิ้นเนื้อพยาธิวิทยาได้ตัดประเด็นสาเหตุที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัว การรักษาโรคประจำตัว และไม่อาจอธิบายด้วยการติดเชื้อโควิด รายละเอียดของแต่ละราย กรรมวิธีในการตรวจสามารถสืบค้นได้ในวารสารที่แนบไว้ ที่ต้องนำมาโพสต์เพราะเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากการตายไม่ทราบสาเหตุแบบกระทันหันเกิดขึ้นได้ทั้งคนอายุน้อยซึ่งมีสุขภาพดี และในคนอายุมากที่ไม่มีใครสนใจเพราะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อหาสาเหตุอันแท้จริงแล้วจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเพจนี้อ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ร่วมกับสิ่งที่ประจักษ์ในผู้ป่วยที่ได้ดูแลในประเทศไทย • สื่อที่บิดเบือนความจริงในหลักฐาน ถือได้ว่าเป็นการนำความเท็จเข้าระบบคอมพิวเตอร์ และรวมทั้งที่กล่าวว่าโพสต์ของ หมอธีระวัฒน์และของหมอชลธวัช นั้นเป็นข้อมูลไม่จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญยิ่งที่เน้นว่าสื่อต่างๆเหล่านี้พยายามปกปิดข้อมูลและบิดเบือนความจริงตลอดมา สามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีได้ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาประธานนพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริรองประธานศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1016 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงปัญหาที่ธุรกิจทั่วโลกเผชิญในปี 2024 จากการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น โดยพบว่าองค์กรต่าง ๆ ได้รับอีเมลกว่า 20.5 พันล้านฉบับ ซึ่งประมาณ 36.9% ของอีเมลทั้งหมดเป็นอีเมลที่ไม่พึงประสงค์ และในจำนวนนี้ 2.3% หรือกว่า 427 ล้านฉบับ เป็นอีเมลที่มีเนื้อหามุ่งร้าย เช่น ฟิชชิงและการโจมตีด้วย URL อันตราย

    == แนวโน้มการโจมตีที่น่าสนใจ ==
    1) ฟิชชิงยังคงครองสัดส่วนมากที่สุด
    - ฟิชชิงคิดเป็น 1 ใน 3 ของการโจมตีทั้งหมด โดยอาศัยการหลอกล่อให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนเว็บไซต์จริง เช่น อีเมลปลอมจากแบรนด์ชื่อดังอย่าง DHL และ Netflix

    2) การใช้ Reverse Proxy เพื่อขโมยข้อมูลรับรอง
    - เทคนิคใหม่นี้สามารถเลี่ยงระบบยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (2FA) ได้ โดยอาศัยหน้าเข้าสู่ระบบปลอมและเครื่องมืออย่าง Evilginx เพื่อดักจับข้อมูลการเข้าสู่ระบบของผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์

    3) URL อันตรายเพิ่มขึ้น
    - URL อันตรายมีสัดส่วนถึง 22.7% ของกลยุทธ์การโจมตี ซึ่งเป็นการพุ่งเป้าผู้ใช้งานมากกว่าการแนบไฟล์ไวรัสในอดีต

    == อุตสาหกรรมที่ตกเป็นเป้าหมาย ==
    ธุรกิจในกลุ่มเหมืองแร่ ความบันเทิง และการผลิตถูกระบุว่าเผชิญความเสี่ยงสูงที่สุด โดยมีการโจมตีแบบ ransomware และ double-extortion scams อย่างต่อเนื่อง

    == การตอบโต้และแนวทางป้องกัน ==
    - ใช้ระบบกรองอีเมลขั้นสูง
    - พัฒนามาตรการยืนยันตัวตนหลายชั้นที่สามารถต้านการโจมตี 2FA ได้
    - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุอีเมลฟิชชิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ซีอีโอของ Hornetsecurity ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์โจมตีที่เน้นใช้ social engineering มากขึ้น เป็นความท้าทายที่ทำให้องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย โดยการสร้างความเข้าใจว่าพนักงานทุกคนมีบทบาทสำคัญในป้องกันภัยไซเบอร์

    https://www.techradar.com/pro/security/over-400-million-unwanted-and-malicious-emails-were-received-by-businesses
    ข่าวนี้พูดถึงปัญหาที่ธุรกิจทั่วโลกเผชิญในปี 2024 จากการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น โดยพบว่าองค์กรต่าง ๆ ได้รับอีเมลกว่า 20.5 พันล้านฉบับ ซึ่งประมาณ 36.9% ของอีเมลทั้งหมดเป็นอีเมลที่ไม่พึงประสงค์ และในจำนวนนี้ 2.3% หรือกว่า 427 ล้านฉบับ เป็นอีเมลที่มีเนื้อหามุ่งร้าย เช่น ฟิชชิงและการโจมตีด้วย URL อันตราย == แนวโน้มการโจมตีที่น่าสนใจ == 1) ฟิชชิงยังคงครองสัดส่วนมากที่สุด - ฟิชชิงคิดเป็น 1 ใน 3 ของการโจมตีทั้งหมด โดยอาศัยการหลอกล่อให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนเว็บไซต์จริง เช่น อีเมลปลอมจากแบรนด์ชื่อดังอย่าง DHL และ Netflix 2) การใช้ Reverse Proxy เพื่อขโมยข้อมูลรับรอง - เทคนิคใหม่นี้สามารถเลี่ยงระบบยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (2FA) ได้ โดยอาศัยหน้าเข้าสู่ระบบปลอมและเครื่องมืออย่าง Evilginx เพื่อดักจับข้อมูลการเข้าสู่ระบบของผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์ 3) URL อันตรายเพิ่มขึ้น - URL อันตรายมีสัดส่วนถึง 22.7% ของกลยุทธ์การโจมตี ซึ่งเป็นการพุ่งเป้าผู้ใช้งานมากกว่าการแนบไฟล์ไวรัสในอดีต == อุตสาหกรรมที่ตกเป็นเป้าหมาย == ธุรกิจในกลุ่มเหมืองแร่ ความบันเทิง และการผลิตถูกระบุว่าเผชิญความเสี่ยงสูงที่สุด โดยมีการโจมตีแบบ ransomware และ double-extortion scams อย่างต่อเนื่อง == การตอบโต้และแนวทางป้องกัน == - ใช้ระบบกรองอีเมลขั้นสูง - พัฒนามาตรการยืนยันตัวตนหลายชั้นที่สามารถต้านการโจมตี 2FA ได้ - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุอีเมลฟิชชิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซีอีโอของ Hornetsecurity ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์โจมตีที่เน้นใช้ social engineering มากขึ้น เป็นความท้าทายที่ทำให้องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย โดยการสร้างความเข้าใจว่าพนักงานทุกคนมีบทบาทสำคัญในป้องกันภัยไซเบอร์ https://www.techradar.com/pro/security/over-400-million-unwanted-and-malicious-emails-were-received-by-businesses
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับปัญหาการหยุดชะงักของ Exchange Online ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งและรับอีเมลในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท Microsoft ระบุว่าสาเหตุของปัญหามาจากการอัปเดตระบบที่มีข้อผิดพลาดในโค้ด ซึ่งทำให้โครงสร้างบริการบางส่วนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แม้ว่าบางพื้นที่จะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ยังคงมีปัญหาในบางกรณีเกี่ยวกับการส่งอีเมลและการจัดการไฟล์แนบ โดยผู้ใช้อาจพบข้อความแสดงข้อผิดพลาด "554 5.6.0 Corrupt message content"

    ปัญหานี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2025 โดย Microsoft ได้รายงานและติดตามเหตุการณ์นี้ผ่านรหัส EX1027675 นอกจากนี้ บริษัทกำลังจัดการปัญหาที่คล้ายกันภายใต้รหัส EX1030895 ซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างการทดสอบการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
    - Microsoft แนะนำให้ส่งไฟล์แนบในรูปแบบ ZIP เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการส่งอีเมลขัดข้อง
    - ปัญหานี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เช่น การหยุดชะงักในบริการ Teams และ Outlook ก่อนหน้านี้

    เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของการบริหารโครงสร้างพื้นฐานบริการขนาดใหญ่ และความสำคัญของการทดสอบอัปเดตก่อนใช้งานในระบบจริง

    https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/week-long-exchange-online-outage-causes-email-failures-delays/
    ข่าวนี้เกี่ยวกับปัญหาการหยุดชะงักของ Exchange Online ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งและรับอีเมลในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท Microsoft ระบุว่าสาเหตุของปัญหามาจากการอัปเดตระบบที่มีข้อผิดพลาดในโค้ด ซึ่งทำให้โครงสร้างบริการบางส่วนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แม้ว่าบางพื้นที่จะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ยังคงมีปัญหาในบางกรณีเกี่ยวกับการส่งอีเมลและการจัดการไฟล์แนบ โดยผู้ใช้อาจพบข้อความแสดงข้อผิดพลาด "554 5.6.0 Corrupt message content" ปัญหานี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2025 โดย Microsoft ได้รายงานและติดตามเหตุการณ์นี้ผ่านรหัส EX1027675 นอกจากนี้ บริษัทกำลังจัดการปัญหาที่คล้ายกันภายใต้รหัส EX1030895 ซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างการทดสอบการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม: - Microsoft แนะนำให้ส่งไฟล์แนบในรูปแบบ ZIP เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการส่งอีเมลขัดข้อง - ปัญหานี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เช่น การหยุดชะงักในบริการ Teams และ Outlook ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของการบริหารโครงสร้างพื้นฐานบริการขนาดใหญ่ และความสำคัญของการทดสอบอัปเดตก่อนใช้งานในระบบจริง https://www.bleepingcomputer.com/news/microsoft/week-long-exchange-online-outage-causes-email-failures-delays/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Week-long Exchange Online outage causes email failures, delays
    Microsoft says it partially mitigated a week-long Exchange Online outage causing delays or failures when sending or receiving email messages.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ มีการโจมตีทางไซเบอร์แบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้โจมตีที่อาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซียกำลังมุ่งเป้าโจมตีบัญชี Microsoft 365 ของบุคคลในองค์กรสำคัญ ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และตะวันออกกลาง นักวิจัยจาก Microsoft Threat Intelligence Center ระบุว่ากลุ่มผู้โจมตีนี้มีชื่อว่า 'Storm-237' และคาดว่ามีกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของรัฐชาติที่สนับสนุนรัสเซีย

    การโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์นี้มีลักษณะเฉพาะคือใช้อุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดในการป้อนข้อมูล เช่น สมาร์ททีวีหรืออุปกรณ์ IoT กลุ่มผู้โจมตีจะเริ่มต้นการโจมตีโดยแสร้งเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มส่งข้อความ และใช้โค้ดที่สร้างขึ้นเองเพื่อหลอกให้เหยื่อใส่โค้ดในหน้าลงชื่อเข้าใช้ที่ถูกต้อง

    เมื่อเหยื่อตกหลุมพราง กลุ่มผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากโทเคนที่ถูกขโมยเพื่อเข้าถึงบริการของ Microsoft เช่น อีเมลและคลาวด์สตอเรจ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ซึ่งเป็นการทำให้การโจมตีมีประสิทธิภาพและยากต่อการตรวจจับ

    เพื่อป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ Microsoft แนะนำให้บล็อกการใช้โค้ดของอุปกรณ์ และใช้ Conditional Access policies ใน Microsoft Entra ID เพื่อจำกัดการใช้งานให้กับอุปกรณ์หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/microsoft-hackers-steal-emails-in-device-code-phishing-attacks/
    เมื่อไม่นานมานี้ มีการโจมตีทางไซเบอร์แบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้โจมตีที่อาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซียกำลังมุ่งเป้าโจมตีบัญชี Microsoft 365 ของบุคคลในองค์กรสำคัญ ๆ ทั้งในยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกา และตะวันออกกลาง นักวิจัยจาก Microsoft Threat Intelligence Center ระบุว่ากลุ่มผู้โจมตีนี้มีชื่อว่า 'Storm-237' และคาดว่ามีกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของรัฐชาติที่สนับสนุนรัสเซีย การโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์นี้มีลักษณะเฉพาะคือใช้อุปกรณ์ที่มีข้อจำกัดในการป้อนข้อมูล เช่น สมาร์ททีวีหรืออุปกรณ์ IoT กลุ่มผู้โจมตีจะเริ่มต้นการโจมตีโดยแสร้งเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มส่งข้อความ และใช้โค้ดที่สร้างขึ้นเองเพื่อหลอกให้เหยื่อใส่โค้ดในหน้าลงชื่อเข้าใช้ที่ถูกต้อง เมื่อเหยื่อตกหลุมพราง กลุ่มผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากโทเคนที่ถูกขโมยเพื่อเข้าถึงบริการของ Microsoft เช่น อีเมลและคลาวด์สตอเรจ โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ซึ่งเป็นการทำให้การโจมตีมีประสิทธิภาพและยากต่อการตรวจจับ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิงโค้ดของอุปกรณ์ Microsoft แนะนำให้บล็อกการใช้โค้ดของอุปกรณ์ และใช้ Conditional Access policies ใน Microsoft Entra ID เพื่อจำกัดการใช้งานให้กับอุปกรณ์หรือเครือข่ายที่เชื่อถือได้ https://www.bleepingcomputer.com/news/security/microsoft-hackers-steal-emails-in-device-code-phishing-attacks/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Microsoft: Hackers steal emails in device code phishing attacks
    An active campaign from a threat actor potentially linked to Russia is targeting Microsoft 365 accounts of individuals at organizations of interest using device code phishing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้แก้ไขช่องโหว่สองประการที่หากถูกโจมตีร่วมกันจะสามารถเผยให้เห็นที่อยู่อีเมลของบัญชี YouTube ได้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ YouTube ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการถูกรวบรวมข้อมูล ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยความปลอดภัยสองคนชื่อ Brutecat และ Nathan พวกเขาพบว่าการใช้ API ของ YouTube และ Pixel Recorder สามารถแปลง Gaia ID ของผู้ใช้ให้เป็นที่อยู่อีเมลได้

    การโจมตีเกิดขึ้นโดยการใช้ฟีเจอร์การบล็อกของ YouTube ที่เมื่อพยายามบล็อกผู้ใช้ในแชทสด จะได้รับ Gaia ID ที่ถูกเข้ารหัส และเมื่อทำการแปลง ID นี้ด้วย API ของ Pixel Recorder จะได้เป็นที่อยู่อีเมลของผู้ใช้ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นนิรนาม

    https://www.bleepingcomputer.com/news/security/google-fixes-flaw-that-could-unmask-youtube-users-email-addresses/
    Google ได้แก้ไขช่องโหว่สองประการที่หากถูกโจมตีร่วมกันจะสามารถเผยให้เห็นที่อยู่อีเมลของบัญชี YouTube ได้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ YouTube ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการถูกรวบรวมข้อมูล ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยความปลอดภัยสองคนชื่อ Brutecat และ Nathan พวกเขาพบว่าการใช้ API ของ YouTube และ Pixel Recorder สามารถแปลง Gaia ID ของผู้ใช้ให้เป็นที่อยู่อีเมลได้ การโจมตีเกิดขึ้นโดยการใช้ฟีเจอร์การบล็อกของ YouTube ที่เมื่อพยายามบล็อกผู้ใช้ในแชทสด จะได้รับ Gaia ID ที่ถูกเข้ารหัส และเมื่อทำการแปลง ID นี้ด้วย API ของ Pixel Recorder จะได้เป็นที่อยู่อีเมลของผู้ใช้ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นนิรนาม https://www.bleepingcomputer.com/news/security/google-fixes-flaw-that-could-unmask-youtube-users-email-addresses/
    WWW.BLEEPINGCOMPUTER.COM
    Google fixes flaw that could unmask YouTube users' email addresses
    Google has fixed two vulnerabilities that, when chained together, could expose the email addresses of YouTube accounts, causing a massive privacy breach for those using the site anonymously.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • Easy E-Receipt 2.0 ช้อปลดหย่อนภาษีกับ ทีพีไอ ได้สูงสุด 30,000 บาท
    📲 ช้อปง่าย คุ้มครบ! กับ ทีพีไอ
    .
    👉🏻 เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 👈🏻
    .
    วีธีขอใบกำกับภาษีเมื่อสั่งซื้อสินค้า
    1. แจ้ง ชื่อ-นามสกุล และ ที่อยู่ (ตามบัตรประชาชน)
    2. แจ้ง E-mail
    3. แจ้งหมายเลขโทรศัพท์
    4. แจ้ง เลขบัตรประชาชน
    .
    เงื่อนไขการร่วมโครงการ Easy E-Receipt ปี 2568
    ✅ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่าน www.tpipolene.com / App TPI Market / Line @tpipl / Facebook Tpipolene / Shopee : TPI Polene Official Shop / Lazada : TPI Polene Official Shop หรือ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้าน สามารถขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
    ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ประจำหน้าร้าน ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น
    ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกค้าต้องทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินให้สำเร็จภายใน 28 ก.พ. 2568 เวลา 23:00 น. และแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ Admin ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น โดยไม่สามารถขอหรือออกใบกำกับภาษีย้อนหลังได้
    ✅ ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะถูกจัดส่งให้ลูกค้าผ่านทางอีเมล (Email) ที่ลูกค้าลงทะเบียนข้อมูลไว้ ซึ่งจะถูกจัดส่งหลังจากที่คำสั่งซื้อและการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์แล้ว ภายใน 15 วันทำการ
    ✅ ลูกค้าที่ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะไม่สามารถทำการคืนสินค้า หรือ เปลี่ยนแปลงสินค้าได้ทุกกรณี

    - เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่สรรพากรกำหนด

    อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >> www.tpipolene.com/static/help/faq

    #TPIEasyEReceipt #ช้อปลดหย่อนภาษีกับทีพีไอ
    #EasyEReceipt #ใบกำกับภาษี #ลดหย่อน #ภาษี #ลดหย่อนภาษี #ทีพีไอ #TPIPolene
    Easy E-Receipt 2.0 ช้อปลดหย่อนภาษีกับ ทีพีไอ ได้สูงสุด 30,000 บาท 📲 ช้อปง่าย คุ้มครบ! กับ ทีพีไอ . 👉🏻 เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 👈🏻 . วีธีขอใบกำกับภาษีเมื่อสั่งซื้อสินค้า 1. แจ้ง ชื่อ-นามสกุล และ ที่อยู่ (ตามบัตรประชาชน) 2. แจ้ง E-mail 3. แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ 4. แจ้ง เลขบัตรประชาชน . เงื่อนไขการร่วมโครงการ Easy E-Receipt ปี 2568 ✅ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่าน www.tpipolene.com / App TPI Market / Line @tpipl / Facebook Tpipolene / Shopee : TPI Polene Official Shop / Lazada : TPI Polene Official Shop หรือ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้าน สามารถขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ประจำหน้าร้าน ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น ✅ กรณีซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกค้าต้องทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินให้สำเร็จภายใน 28 ก.พ. 2568 เวลา 23:00 น. และแจ้งความประสงค์ ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) กับเจ้าหน้าที่ Admin ภายใน วันที่ซื้อสินค้า เท่านั้น โดยไม่สามารถขอหรือออกใบกำกับภาษีย้อนหลังได้ ✅ ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะถูกจัดส่งให้ลูกค้าผ่านทางอีเมล (Email) ที่ลูกค้าลงทะเบียนข้อมูลไว้ ซึ่งจะถูกจัดส่งหลังจากที่คำสั่งซื้อและการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์แล้ว ภายใน 15 วันทำการ ✅ ลูกค้าที่ขอใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice/e-Receipt) จะไม่สามารถทำการคืนสินค้า หรือ เปลี่ยนแปลงสินค้าได้ทุกกรณี - เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่สรรพากรกำหนด อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >> www.tpipolene.com/static/help/faq #TPIEasyEReceipt #ช้อปลดหย่อนภาษีกับทีพีไอ #EasyEReceipt #ใบกำกับภาษี #ลดหย่อน #ภาษี #ลดหย่อนภาษี #ทีพีไอ #TPIPolene
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 847 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท VIPRE ซึ่งเป็นบริษัทด้านความปลอดภัย ได้ประมวลผลอีเมลจำนวน 7.2 พันล้านฉบับในปี 2024 และพบว่ามีอีเมลสแปมมากถึง 858 ล้านฉบับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากเนื้อหาหรือลิงก์ภายในอีเมลเหล่านี้ รายงานการวิเคราะห์ของ VIPRE ยังเปิดเผยว่า กว่า 90% ของอีเมลที่ถูกระบุว่าเป็นสแปมนั้นมีข้อความเชิงพาณิชย์ที่ไม่ได้รับเชิญและพยายามฟิชชิงที่เป็นอันตราย

    ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งที่มาของอีเมลสแปมมากที่สุด ตามด้วยสหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และ สวีเดน

    มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการโจมตีของแฮกเกอร์อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกของปี 2024 มีการใช้ไฟล์แนบถึง 78% ของการโจมตี ในขณะที่ไตรมาสที่สอง มีการใช้ลิงก์ถึง 86% และในไตรมาสที่สี่ ไฟล์แนบกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยไฟล์ PDF, DOCX, และ XLSX เป็นที่นิยมในการแพร่กระจายมัลแวร์ QR codes กลายเป็นเทคนิคใหม่ในการโจมตีด้วยฟิชชิง โดยมีการใช้งานในอีเมลเพิ่มขึ้นจาก 1% ในไตรมาสแรกถึง 12% ในไตรมาสที่สี่

    รายงานของ VIPRE แนะนำให้ใช้โปรโตคอลการยืนยันอีเมล เช่น SPF, DKIM, และ DMARC เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและการเลียนแบบ การลงทุนในเครื่องมือตรวจจับที่ใช้ AI ช่วยให้สามารถป้องกันภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ และการใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA) ผ่านแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง

    Usman Choudhary หัวหน้าเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ VIPRE กล่าวว่า "การวิเคราะห์ภูมิทัศน์อีเมลประจำปีนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าสำหรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ธุรกิจจะต้องเผชิญในปี 2025" การโจมตีทางอีเมลยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญและต้องการการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความปลอดภัยในองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/help-were-drowning-in-email-spam-its-about-to-get-worse-and-theres-nothing-we-can-do-to-stop-it
    บริษัท VIPRE ซึ่งเป็นบริษัทด้านความปลอดภัย ได้ประมวลผลอีเมลจำนวน 7.2 พันล้านฉบับในปี 2024 และพบว่ามีอีเมลสแปมมากถึง 858 ล้านฉบับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากเนื้อหาหรือลิงก์ภายในอีเมลเหล่านี้ รายงานการวิเคราะห์ของ VIPRE ยังเปิดเผยว่า กว่า 90% ของอีเมลที่ถูกระบุว่าเป็นสแปมนั้นมีข้อความเชิงพาณิชย์ที่ไม่ได้รับเชิญและพยายามฟิชชิงที่เป็นอันตราย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งที่มาของอีเมลสแปมมากที่สุด ตามด้วยสหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ และ สวีเดน มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการโจมตีของแฮกเกอร์อย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกของปี 2024 มีการใช้ไฟล์แนบถึง 78% ของการโจมตี ในขณะที่ไตรมาสที่สอง มีการใช้ลิงก์ถึง 86% และในไตรมาสที่สี่ ไฟล์แนบกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยไฟล์ PDF, DOCX, และ XLSX เป็นที่นิยมในการแพร่กระจายมัลแวร์ QR codes กลายเป็นเทคนิคใหม่ในการโจมตีด้วยฟิชชิง โดยมีการใช้งานในอีเมลเพิ่มขึ้นจาก 1% ในไตรมาสแรกถึง 12% ในไตรมาสที่สี่ รายงานของ VIPRE แนะนำให้ใช้โปรโตคอลการยืนยันอีเมล เช่น SPF, DKIM, และ DMARC เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและการเลียนแบบ การลงทุนในเครื่องมือตรวจจับที่ใช้ AI ช่วยให้สามารถป้องกันภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ และการใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น (MFA) ผ่านแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง Usman Choudhary หัวหน้าเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ VIPRE กล่าวว่า "การวิเคราะห์ภูมิทัศน์อีเมลประจำปีนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าสำหรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ธุรกิจจะต้องเผชิญในปี 2025" การโจมตีทางอีเมลยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญและต้องการการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความปลอดภัยในองค์กร https://www.techradar.com/pro/help-were-drowning-in-email-spam-its-about-to-get-worse-and-theres-nothing-we-can-do-to-stop-it
    WWW.TECHRADAR.COM
    Help! We're drowning in email spam, it's about to get worse and there's nothing we can do to stop it
    Cybercriminals use QR codes, links and attachments for phishing and malware delivery
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการอธิบายเทคนิคการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่เรียกว่า "hidden text salting" หรือ "poisoning" ซึ่งเป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบความปลอดภัยอีเมล โดยการซ่อนข้อความบางส่วนในอีเมลเพื่อทำให้ระบบสแกนอีเมลสับสนและปล่อยให้อีเมลฟิชชิ่งผ่านไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Cisco Talos ได้เผยแพร่คู่มือที่อธิบายถึงวิธีที่แฮกเกอร์ใช้คุณสมบัติ HTML และ CSS ในการซ่อนข้อความ โดยการตั้งค่าความกว้างขององค์ประกอบบางอย่างเป็น 0 และใช้คุณสมบัติ "display: hidden" เพื่อซ่อนเนื้อหาบางส่วนจากเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีการแทรกตัวอักษรที่มีความกว้างเป็นศูนย์ (ZWSP) และตัวอักษรที่ไม่เชื่อมต่อ (ZWNJ) เพื่อซ่อนเนื้อหาอีเมลที่แท้จริง โดยการฝังภาษาที่ไม่เกี่ยวข้อง

    ผลที่ได้คือ ระบบความปลอดภัยอีเมล ฟิลเตอร์สแปม และตัวแยกชื่อแบรนด์จะสับสน และอีเมลที่ควรจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์สแปมจะถูกส่งไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้แทน

    Cisco Talos ได้ให้ตัวอย่างหลายกรณี เช่น การที่แฮกเกอร์ซ่อนคำภาษาฝรั่งเศสในเนื้อหาอีเมล ซึ่งทำให้ฟิลเตอร์สแปมของ Microsoft Exchange Online Protection (EOP) สับสนและปล่อยให้อีเมลผ่านไปได้

    เพื่อรับมือกับกลยุทธ์นี้ นักวิจัยแนะนำให้ทีม IT ใช้เทคนิคการกรองขั้นสูงที่สแกนโครงสร้างของอีเมล HTML แทนที่จะสแกนเฉพาะเนื้อหา นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้การป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    อีเมลยังคงเป็นช่องทางการโจมตีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความเรียบง่าย การแพร่หลาย และต้นทุนต่ำสำหรับการดำเนินการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมเพราะโจมตีห่วงโซ่ความปลอดภัยของอีเมลในจุดที่อ่อนแอที่สุด นั่นคือมนุษย์

    https://www.techradar.com/pro/security/hidden-text-salting-is-letting-hackers-craft-devious-email-attacks-to-evade-detection
    มีการอธิบายเทคนิคการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่เรียกว่า "hidden text salting" หรือ "poisoning" ซึ่งเป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของระบบความปลอดภัยอีเมล โดยการซ่อนข้อความบางส่วนในอีเมลเพื่อทำให้ระบบสแกนอีเมลสับสนและปล่อยให้อีเมลฟิชชิ่งผ่านไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์จาก Cisco Talos ได้เผยแพร่คู่มือที่อธิบายถึงวิธีที่แฮกเกอร์ใช้คุณสมบัติ HTML และ CSS ในการซ่อนข้อความ โดยการตั้งค่าความกว้างขององค์ประกอบบางอย่างเป็น 0 และใช้คุณสมบัติ "display: hidden" เพื่อซ่อนเนื้อหาบางส่วนจากเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีการแทรกตัวอักษรที่มีความกว้างเป็นศูนย์ (ZWSP) และตัวอักษรที่ไม่เชื่อมต่อ (ZWNJ) เพื่อซ่อนเนื้อหาอีเมลที่แท้จริง โดยการฝังภาษาที่ไม่เกี่ยวข้อง ผลที่ได้คือ ระบบความปลอดภัยอีเมล ฟิลเตอร์สแปม และตัวแยกชื่อแบรนด์จะสับสน และอีเมลที่ควรจะถูกจัดเก็บในโฟลเดอร์สแปมจะถูกส่งไปยังกล่องจดหมายของผู้ใช้แทน Cisco Talos ได้ให้ตัวอย่างหลายกรณี เช่น การที่แฮกเกอร์ซ่อนคำภาษาฝรั่งเศสในเนื้อหาอีเมล ซึ่งทำให้ฟิลเตอร์สแปมของ Microsoft Exchange Online Protection (EOP) สับสนและปล่อยให้อีเมลผ่านไปได้ เพื่อรับมือกับกลยุทธ์นี้ นักวิจัยแนะนำให้ทีม IT ใช้เทคนิคการกรองขั้นสูงที่สแกนโครงสร้างของอีเมล HTML แทนที่จะสแกนเฉพาะเนื้อหา นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้การป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI อีเมลยังคงเป็นช่องทางการโจมตีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากความเรียบง่าย การแพร่หลาย และต้นทุนต่ำสำหรับการดำเนินการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นที่นิยมเพราะโจมตีห่วงโซ่ความปลอดภัยของอีเมลในจุดที่อ่อนแอที่สุด นั่นคือมนุษย์ https://www.techradar.com/pro/security/hidden-text-salting-is-letting-hackers-craft-devious-email-attacks-to-evade-detection
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hidden text "salting" is letting hackers craft devious email attacks to evade detection
    Just because you can't see certain email text, it doesn't mean it's not there
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงว่าแล้วววว .... กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการใช้แพลตฟอร์ม AI ของจีนที่ชื่อว่า DeepSeek บนเรือของตน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน

    DeepSeek เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่แสดงประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับโมเดลชั้นนำของ OpenAI และบริษัทอเมริกันอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการฝึก AI ที่สูงเกินไปทำให้เกิดการขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทศูนย์ข้อมูลลดลงหลายพันล้านดอลลาร์

    กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลถึงทหารเรือและสมาชิกบริการอื่นๆ เพื่อเตือนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโมเดล AI นี้ และชี้ให้เห็นถึงความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน โดยระบุว่า "ความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับแหล่งที่มาและการใช้งานของโมเดลนี้" ทำให้ต้องห้ามการใช้งานโดยสมาชิกบริการทั้งในงานที่เกี่ยวข้องกับงานและการใช้งานส่วนตัว

    อีเมลยังขอให้ผู้รับ "งดการดาวน์โหลด ติดตั้ง หรือใช้งานโมเดล DeepSeek ในทุกกรณี" การห้ามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพเรือได้สั่งห้ามการใช้แอปพลิเคชันของจีน เช่น TikTok เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในการเก็บข้อมูล

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีแหล่งที่มาจากจีน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของชาติ

    ผู้ใช้ธรรมดาในสหรัฐจะโดนห้ามและ Block การเข้าถึงเป็นรายต่อไป... ลุงฟันธง!!

    https://wccftech.com/chinas-deepseek-ai-faces-first-us-ban-after-navy-email-tells-members-to-stop-using-it/
    ลุงว่าแล้วววว .... กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการใช้แพลตฟอร์ม AI ของจีนที่ชื่อว่า DeepSeek บนเรือของตน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน DeepSeek เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่แสดงประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับโมเดลชั้นนำของ OpenAI และบริษัทอเมริกันอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการฝึก AI ที่สูงเกินไปทำให้เกิดการขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทศูนย์ข้อมูลลดลงหลายพันล้านดอลลาร์ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลถึงทหารเรือและสมาชิกบริการอื่นๆ เพื่อเตือนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโมเดล AI นี้ และชี้ให้เห็นถึงความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้งาน โดยระบุว่า "ความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับแหล่งที่มาและการใช้งานของโมเดลนี้" ทำให้ต้องห้ามการใช้งานโดยสมาชิกบริการทั้งในงานที่เกี่ยวข้องกับงานและการใช้งานส่วนตัว อีเมลยังขอให้ผู้รับ "งดการดาวน์โหลด ติดตั้ง หรือใช้งานโมเดล DeepSeek ในทุกกรณี" การห้ามนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพเรือได้สั่งห้ามการใช้แอปพลิเคชันของจีน เช่น TikTok เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในการเก็บข้อมูล การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีแหล่งที่มาจากจีน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของชาติ ผู้ใช้ธรรมดาในสหรัฐจะโดนห้ามและ Block การเข้าถึงเป็นรายต่อไป... ลุงฟันธง!! https://wccftech.com/chinas-deepseek-ai-faces-first-us-ban-after-navy-email-tells-members-to-stop-using-it/
    WCCFTECH.COM
    China's DeepSeek AI Faces First Ban After Navy Email Tells Members To Stop Using It
    In a striking but unsurprising move, the United States Navy has banned the use of China's DeepSeek AI platform on its vessels. DeepSeek took the AI world by storm this month after it demonstrated performance similar to leading models by OpenAI and other American firms. However, the model's true shock came after NVIDIA and other data center stocks led a multi-billion dollar stock market wipeout yesterday over investor concerns about overblown AI training costs. The Navy's ban was first reported by CNBC, which confirmed its authenticity through a spokesperson for the armed forces branch. Related Story OpenAI CEO Sam Altman […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปของเราอัปเดตเป็น Version 3.8.2 แล้ว กรุณาเข้า Play Store หรือ App Store ค้นหาแอป Thaitimes แล้วกด "อัปเดต" , หากท่านใดอัปเดตเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม และถ้าท่านพบปัญหา กรุณาติดต่อทีมงานของเราผ่านทาง Line: @sondhitalk

    เปิดแอปฯ Thaitimes หรือเข้าเว็บไซต์ Thaitimes
    - หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้คลิกที่ปุ่ม "Sign in" หรือ "ลงทะเบียน" หรือ "สมัครสมาชิก"
    ---------------------------
    การกรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มสมัครสมาชิกใหม่
    **ช่อง ชื่อ และ นามสกุล
    - ใส่ชื่อและนามสกุลของคุณ

    **ช่อง ผู้ใช้งาน (Username)
    - ห้ามซ้ำกับผู้อื่น
    - แนะนำใช้ เบอร์โทรศัพท์ หรือเพิ่มตัวเลข/ตัวอักษร เช่น "ชื่อ123"

    **ช่อง เบอร์โทรศัพท์ หรือ Email
    - กรอก อย่างใดอย่างหนึ่ง
    - เบอร์โทร: ใช้รับ OTP ผ่าน SMS
    - Email: ใช้รับ OTP ทางอีเมล

    **ช่อง รหัสผ่าน
    - ตั้งรหัสผ่าน อย่างน้อย 6 ตัวอักษร
    - คลิก "👁️" เพื่อแสดงหรือซ่อนรหัสผ่าน
    ---------------------------
    หมายเหตุ:
    - ใช้เบอร์โทรสะดวกกว่า Email
    - ตรวจสอบข้อมูลก่อนกดยืนยัน
    แอปของเราอัปเดตเป็น Version 3.8.2 แล้ว กรุณาเข้า Play Store หรือ App Store ค้นหาแอป Thaitimes แล้วกด "อัปเดต" , หากท่านใดอัปเดตเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม และถ้าท่านพบปัญหา กรุณาติดต่อทีมงานของเราผ่านทาง Line: @sondhitalk เปิดแอปฯ Thaitimes หรือเข้าเว็บไซต์ Thaitimes - หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้คลิกที่ปุ่ม "Sign in" หรือ "ลงทะเบียน" หรือ "สมัครสมาชิก" --------------------------- การกรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มสมัครสมาชิกใหม่ **ช่อง ชื่อ และ นามสกุล - ใส่ชื่อและนามสกุลของคุณ **ช่อง ผู้ใช้งาน (Username) - ห้ามซ้ำกับผู้อื่น - แนะนำใช้ เบอร์โทรศัพท์ หรือเพิ่มตัวเลข/ตัวอักษร เช่น "ชื่อ123" **ช่อง เบอร์โทรศัพท์ หรือ Email - กรอก อย่างใดอย่างหนึ่ง - เบอร์โทร: ใช้รับ OTP ผ่าน SMS - Email: ใช้รับ OTP ทางอีเมล **ช่อง รหัสผ่าน - ตั้งรหัสผ่าน อย่างน้อย 6 ตัวอักษร - คลิก "👁️" เพื่อแสดงหรือซ่อนรหัสผ่าน --------------------------- หมายเหตุ: - ใช้เบอร์โทรสะดวกกว่า Email - ตรวจสอบข้อมูลก่อนกดยืนยัน
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 843 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 1)
    ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต
    การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย
    การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น
    และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
    แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง

    ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน

    การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง

    ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์
    หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021

    วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ
    เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ

    กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ

    https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL

    ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย
    ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ

    อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA
    หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน

    https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI

    ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด
    นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน

    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง

    นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย

    และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน
    กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ
    เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน

    ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ
    กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

    ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย
    และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด

    ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้
    และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง

    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 2)

    ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย

    วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
    5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
    9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

    สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา
    สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต

    หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน”
    ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง)

    ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต
    Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว
    https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y
    โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้
    ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์
    ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง

    ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้

    การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า
    มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น
    ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน
    และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง”
    ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม

    ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี

    ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO

    สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า
    เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน

    สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่?

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    🙏🙏🙏
    กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 2) ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน” ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง” ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1468 มุมมอง 0 รีวิว