กำแพงเมืองไทย เป็นไปได้แค่ไหน?
ท่าทีของ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สนับสนุนให้กองทัพบกสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม หลังจากได้ให้ พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนั้นคือดินแดนของไทย จะต้องมีการสร้างกำแพงที่แข็งแรง เพื่อปกป้องประชาชน และปกป้องการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม โดยยืนยันว่าตนเองจะสนับสนุนทุกการกระทำของกองทัพบกอย่างแน่นอน
การสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ชายแดนด้าน จ.สระแก้ว 165 กิโลเมตร หน่วยงานความมั่นคงเคยเสนอนายภูมิธรรม เวชยชัย ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สร้างกำแพง ที่ผ่านมามีการวางลวดหนามแล้ว 55 กิโลเมตร ที่เหลือเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมในการหลบหนีเข้าเมือง หน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถตรวจการณ์ได้ตลอดเวลา แต่ขณะนั้นยังไม่มีการสร้างเพราะเห็นว่ายังเร็วเกินไป ต้องศึกษารูปแบบแนวทางภายใต้พื้นที่ที่ชัดเจน ที่ต้องไม่ติดพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของคนทั้งสองประเทศ
ครั้งหนึ่ง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยสั่งการให้คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเพิ่มเติมแนวคิดสร้างกำแพงระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลักลอบค้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เสนอสร้างกำแพงคอนกรีตตามแนวชายแดนในจุดที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง เพื่อยกระดับการป้องกันอย่างถาวร
เขตแดนไทย-กัมพูชามีความยาว 798 กิโลเมตร แยกเป็นตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร มีการจัดทำหลักเขตแดนสยาม-เขมรไปแล้ว 73 หลัก ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด แต่อีก 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี แม้ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 จะยึดหลักสันปันน้ำจากตีนภูเขาดงรัก แต่ไทยและกัมพูชากลับใช้แผนที่คนละฉบับกัน และกัมพูชาฟ้องศาลโลก
หากจะมีการสร้างกำแพงขึ้นจริง นอกจากจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแล้ว ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าหลักเขตแดนเคลื่อนย้ายไปในดินแดนของตน ต้องใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะดำเนินโครงการ ซึ่งจากความสัมพันธ์ที่ยังระหองระแหง การจะได้เห็นกำแพงเมืองไทยที่มั่นคงแข็งแรงจึงยังเป็นไปได้ยากในขณะนี้
#Newskit
ท่าทีของ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สนับสนุนให้กองทัพบกสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม หลังจากได้ให้ พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนั้นคือดินแดนของไทย จะต้องมีการสร้างกำแพงที่แข็งแรง เพื่อปกป้องประชาชน และปกป้องการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม โดยยืนยันว่าตนเองจะสนับสนุนทุกการกระทำของกองทัพบกอย่างแน่นอน
การสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ชายแดนด้าน จ.สระแก้ว 165 กิโลเมตร หน่วยงานความมั่นคงเคยเสนอนายภูมิธรรม เวชยชัย ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สร้างกำแพง ที่ผ่านมามีการวางลวดหนามแล้ว 55 กิโลเมตร ที่เหลือเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมในการหลบหนีเข้าเมือง หน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถตรวจการณ์ได้ตลอดเวลา แต่ขณะนั้นยังไม่มีการสร้างเพราะเห็นว่ายังเร็วเกินไป ต้องศึกษารูปแบบแนวทางภายใต้พื้นที่ที่ชัดเจน ที่ต้องไม่ติดพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของคนทั้งสองประเทศ
ครั้งหนึ่ง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยสั่งการให้คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเพิ่มเติมแนวคิดสร้างกำแพงระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลักลอบค้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เสนอสร้างกำแพงคอนกรีตตามแนวชายแดนในจุดที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง เพื่อยกระดับการป้องกันอย่างถาวร
เขตแดนไทย-กัมพูชามีความยาว 798 กิโลเมตร แยกเป็นตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร มีการจัดทำหลักเขตแดนสยาม-เขมรไปแล้ว 73 หลัก ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด แต่อีก 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี แม้ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 จะยึดหลักสันปันน้ำจากตีนภูเขาดงรัก แต่ไทยและกัมพูชากลับใช้แผนที่คนละฉบับกัน และกัมพูชาฟ้องศาลโลก
หากจะมีการสร้างกำแพงขึ้นจริง นอกจากจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแล้ว ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าหลักเขตแดนเคลื่อนย้ายไปในดินแดนของตน ต้องใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะดำเนินโครงการ ซึ่งจากความสัมพันธ์ที่ยังระหองระแหง การจะได้เห็นกำแพงเมืองไทยที่มั่นคงแข็งแรงจึงยังเป็นไปได้ยากในขณะนี้
#Newskit
กำแพงเมืองไทย เป็นไปได้แค่ไหน?
ท่าทีของ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สนับสนุนให้กองทัพบกสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม หลังจากได้ให้ พล.อ.มนัส จันดี เสนาธิการทหาร ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนั้นคือดินแดนของไทย จะต้องมีการสร้างกำแพงที่แข็งแรง เพื่อปกป้องประชาชน และปกป้องการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม โดยยืนยันว่าตนเองจะสนับสนุนทุกการกระทำของกองทัพบกอย่างแน่นอน
การสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ชายแดนด้าน จ.สระแก้ว 165 กิโลเมตร หน่วยงานความมั่นคงเคยเสนอนายภูมิธรรม เวชยชัย ขณะเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สร้างกำแพง ที่ผ่านมามีการวางลวดหนามแล้ว 55 กิโลเมตร ที่เหลือเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดล่อแหลมในการหลบหนีเข้าเมือง หน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถตรวจการณ์ได้ตลอดเวลา แต่ขณะนั้นยังไม่มีการสร้างเพราะเห็นว่ายังเร็วเกินไป ต้องศึกษารูปแบบแนวทางภายใต้พื้นที่ที่ชัดเจน ที่ต้องไม่ติดพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบของคนทั้งสองประเทศ
ครั้งหนึ่ง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เคยสั่งการให้คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเพิ่มเติมแนวคิดสร้างกำแพงระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลักลอบค้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย แต่แล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เสนอสร้างกำแพงคอนกรีตตามแนวชายแดนในจุดที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง เพื่อยกระดับการป้องกันอย่างถาวร
เขตแดนไทย-กัมพูชามีความยาว 798 กิโลเมตร แยกเป็นตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร มีการจัดทำหลักเขตแดนสยาม-เขมรไปแล้ว 73 หลัก ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จ.ตราด แต่อีก 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี แม้ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 จะยึดหลักสันปันน้ำจากตีนภูเขาดงรัก แต่ไทยและกัมพูชากลับใช้แผนที่คนละฉบับกัน และกัมพูชาฟ้องศาลโลก
หากจะมีการสร้างกำแพงขึ้นจริง นอกจากจะต้องใช้งบประมาณมหาศาลแล้ว ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าหลักเขตแดนเคลื่อนย้ายไปในดินแดนของตน ต้องใช้กลไกทวิภาคีอย่างคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะดำเนินโครงการ ซึ่งจากความสัมพันธ์ที่ยังระหองระแหง การจะได้เห็นกำแพงเมืองไทยที่มั่นคงแข็งแรงจึงยังเป็นไปได้ยากในขณะนี้
#Newskit
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
25 มุมมอง
0 รีวิว