• ตั๋วร่วมแบบต่างคนต่างทำ

    1 ส.ค.2568 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จำหน่ายบัตรโดยสาร Mangmoom EMV ทดแทนบัตรโดยสาร MRT Plus ที่จำหน่ายมา 9 ปี พัฒนาร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยใช้แพลตฟอร์มเป๋าตัง ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็น Thailand Open Digital Platform ที่มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย ส่วนบัตรแมงมุมที่เคยถูกตั้งความหวังว่าจะบัตรโดยสารร่วม มีการแจกบัตรฟรี 2 แสนใบเมื่อปี 2561 กลายเป็นตำนานที่ไม่เกิดขึ้นจริง

    ก่อนหน้านี้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้จำหน่ายบัตรโดยสาร MRT EMV Card ทดแทนบัตรโดยสาร MRT Card รุ่นเก่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2567 โดยใช้แพลตฟอร์มของ Deeppocket ผ่านแอปพลิเคชัน Bangkok MRT หลังจากเปิดให้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ด้วยบัตรเครดิต มาตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. 2565 ก่อนขยายไปยังบัตรเดบิตธนาคารกรุงไทย ธนาคารยูโอบี และล่าสุดธนาคารกรุงศรี

    แม้ว่าบัตรโดยสาร MRT Card และ MRT Plus ซึ่งใช้เทคโนโลยีสมาร์ทการ์ด จะยกเลิกจำหน่ายไปแล้ว แต่ผู้ถือบัตรเดิมยังใช้ได้จนกว่าบัตรหมดอายุ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ยังคงหัวอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดแบบเดิมบริเวณประตูอัตโนมัติ (AFC Gate) ควบคู่ไปกับหัวอ่าน EMV เพราะยังต้องรองรับเหรียญโดยสารแบบเที่ยวเดียว บัตรโดยสารสำหรับองค์กรและบัตรโดยสารธุรกิจที่ยังใช้ระบบเดิมอีกมาก

    ขณะที่รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองและสายสีชมพู ที่ผู้รับสัมปทานคือกลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังคงใช้เทคโนโลยีสมาร์ทการ์ดกับบัตรแรบบิท (Rabbit) เช่นเกียวกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง ปัจจุบันมีผู้ถือบัตรมากถึง 19.6 ล้านใบ จำนวนหัวอ่านบัตรกว่า 28,361 จุด และร้านค้ารับบัตร 2,734 แห่ง ถึงกระนั้นเฉพาะสายสีเหลืองและสายสีชมพู ก็มีเครื่องอ่านบัตร EMV บริเวณห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร ซึ่งจะหักค่าโดยสารทันทีเมื่อออกจากสถานี

    ส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังคงใช้เทคโนโลยีสมาร์ทการ์ดกับบัตรโดยสารแบบเติมเงิน แต่ก็มีการติดตั้งประตูอัตโนมัติสำหรับผู้ถือบัตร EMV แยกต่างหาก ซึ่งจะหักค่าโดยสารทันทีเมื่อออกจากสถานี

    มาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐในวันที่ 25 ส.ค. และเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ประชาชนยังคงยุ่งยากในการพกบัตรเช่นเดิม เนื่องจากต้องลงทะเบียนทั้งบัตร EMV และบัตรแรบบิท ที่หนักขึ้นไปอีกคือในอนาคตจะให้สแกน QR Code ในมือถือแทนการใช้บัตร ซึ่งอาจพบกับความยุ่งยากในการแสดง QR Code และเสียเวลาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการแตะบัตรโดยสารตามปกติ

    #Newskit
    ตั๋วร่วมแบบต่างคนต่างทำ 1 ส.ค.2568 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จำหน่ายบัตรโดยสาร Mangmoom EMV ทดแทนบัตรโดยสาร MRT Plus ที่จำหน่ายมา 9 ปี พัฒนาร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยใช้แพลตฟอร์มเป๋าตัง ซึ่งถูกออกแบบมาให้เป็น Thailand Open Digital Platform ที่มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 40 ล้านราย ส่วนบัตรแมงมุมที่เคยถูกตั้งความหวังว่าจะบัตรโดยสารร่วม มีการแจกบัตรฟรี 2 แสนใบเมื่อปี 2561 กลายเป็นตำนานที่ไม่เกิดขึ้นจริง ก่อนหน้านี้ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้จำหน่ายบัตรโดยสาร MRT EMV Card ทดแทนบัตรโดยสาร MRT Card รุ่นเก่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2567 โดยใช้แพลตฟอร์มของ Deeppocket ผ่านแอปพลิเคชัน Bangkok MRT หลังจากเปิดให้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ด้วยบัตรเครดิต มาตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. 2565 ก่อนขยายไปยังบัตรเดบิตธนาคารกรุงไทย ธนาคารยูโอบี และล่าสุดธนาคารกรุงศรี แม้ว่าบัตรโดยสาร MRT Card และ MRT Plus ซึ่งใช้เทคโนโลยีสมาร์ทการ์ด จะยกเลิกจำหน่ายไปแล้ว แต่ผู้ถือบัตรเดิมยังใช้ได้จนกว่าบัตรหมดอายุ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ยังคงหัวอ่านบัตรสมาร์ทการ์ดแบบเดิมบริเวณประตูอัตโนมัติ (AFC Gate) ควบคู่ไปกับหัวอ่าน EMV เพราะยังต้องรองรับเหรียญโดยสารแบบเที่ยวเดียว บัตรโดยสารสำหรับองค์กรและบัตรโดยสารธุรกิจที่ยังใช้ระบบเดิมอีกมาก ขณะที่รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองและสายสีชมพู ที่ผู้รับสัมปทานคือกลุ่มบริษัทบีทีเอส ยังคงใช้เทคโนโลยีสมาร์ทการ์ดกับบัตรแรบบิท (Rabbit) เช่นเกียวกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง ปัจจุบันมีผู้ถือบัตรมากถึง 19.6 ล้านใบ จำนวนหัวอ่านบัตรกว่า 28,361 จุด และร้านค้ารับบัตร 2,734 แห่ง ถึงกระนั้นเฉพาะสายสีเหลืองและสายสีชมพู ก็มีเครื่องอ่านบัตร EMV บริเวณห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร ซึ่งจะหักค่าโดยสารทันทีเมื่อออกจากสถานี ส่วนรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังคงใช้เทคโนโลยีสมาร์ทการ์ดกับบัตรโดยสารแบบเติมเงิน แต่ก็มีการติดตั้งประตูอัตโนมัติสำหรับผู้ถือบัตร EMV แยกต่างหาก ซึ่งจะหักค่าโดยสารทันทีเมื่อออกจากสถานี มาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐในวันที่ 25 ส.ค. และเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ประชาชนยังคงยุ่งยากในการพกบัตรเช่นเดิม เนื่องจากต้องลงทะเบียนทั้งบัตร EMV และบัตรแรบบิท ที่หนักขึ้นไปอีกคือในอนาคตจะให้สแกน QR Code ในมือถือแทนการใช้บัตร ซึ่งอาจพบกับความยุ่งยากในการแสดง QR Code และเสียเวลาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการแตะบัตรโดยสารตามปกติ #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • นาฬิกาปลุก
    ปี พศ 2568

    วันหนึ่งนานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผมนั่งรถลงใต้ มันเป็นช่วงต้นหน้าฝนฟ้าครึ้ม
    อากาศกำลังสบาย ผมนั่งเหม่อ ๆ ดู 2 ข้างทางไปเรื่อย ๆ
    สัก 4 โมงเย็นรถก็ผ่านตรงช่วงเขาวัง เพชรบุรี ผมมองขึ้นไปที่พระราชวังบนยอดเขา
    เห็นแสงแดดกำลังส่องทะลุเมฆไปต้องพระราชวัง ทำให้พระราชวังงดงามเหลือเกิน
    ผมยกมือไหว้สักการะอย่างที่ทำทุกครั้งที่ผ่าน …
    ความรู้สึกของผมตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนข้ามเวลา ข้ามมิติ
    ผมนึกในใจ นี่คงเหมือนเราเห็นสวรรค์กระมังนะ …ยังไม่เคยไป ได้แต่เดา

    แล้วรถก็แล่นผ่านทุ่งนากับต้นตาล ที่ยังพอมีให้เห็นชื่นใจ
    ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมามากขึ้น มันเป็นเวลาที่เขาเรียกว่าแดดสวย
    ผมมองทุ่งนาสีเขียวสดผืนใหญ่ กับทิวเขายาวอยู่ไกล ๆ
    เมฆที่ยอดเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สีสวยจัด มันสวยสงบและรู้สึกอบอุ่น
    เป็นภาพที่อยู่ในใจผมอย่างไม่มีวันจาง ทุกครั้งที่ผมนึกถึงวันนั้น
    ผมจะมีอาการตื้นตันบอกตัวเอง นี่ คือ … วาสนาของชาวสยาม…
    วาสนาที่บางทีเราลืมที่จะนึกถึงและรับรู้… เพราะถูกบดบังจากสิ่งลวงตา

    เราอยู่ในแผ่นดิน ที่เคยได้รับคำกล่าวขานว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์
    มีศาสนา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี
    ชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบ้านเรามาเป็นเวลานานแล้ว …

    แต่ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเราจะมองข้าม หรือไม่ใส่ใจจริง
    กับความโชคดีและวาสนาของเรานัก …เรามักจะหลงไหลได้ปลื้ม
    กับบรรดาสรรพสิ่งไม่ว่าเป็นรูปแบบใด ที่ “พวกตะวันตก” เขาเอามาฝังหัวลวงหลอกเราไว้
    แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะแกะลอกล้างสิ่งที่พวกเขาฝั่งเอาไว้ไม่ออก
    ไม่สะอาดหมดจดเสียที

    ผมตั้งข้อสังเกต ปนสงสัยมานานแล้วว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา
    ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง
    กับปัจจัยนอกบ้าน มากกว่าที่เราคิด
    ผมค่อย ๆ หาข้อมูลมาอ่านแก้ความสงสัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่มันไปไม่ได้
    ไกลอย่างที่ต้องการ เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อดำรงชีพ
    และก็ไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ก็เลยยังไม่ได้คำตอบมาแก้ข้อสงสัยที่ค้างอยู่นั้น

    หลายสิบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในบ้านเราเกิดขึ้นมากมาย มีความพยายามแก้ปัญหา
    แต่เหมือนแก้ไม่ถูกจุด เหมือนเรามองข้าม หรือเรามองปัญหาไม่แตก
    มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงข้อสงสัย เกี่ยวกับปัจจัยนอกบ้านที่ยังคาใจผมอยู่

    และถ้ามันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริง…และถ้าเราไม่ตื่นมารู้เรื่องด้วยกัน
    อีกไม่นานหรอก ประเทศเราอาจจะตกเป็นเหยื่อ เป็นอาณานิคมในรูปแบบใหม่ต่อไป
    และวันนั้น สีของธงชาติเราไม่รู้จะยังอยู่ครบไหม
    สถาบันที่เรารักเคารพ วัดพระแก้ว เขาวัง ท้องนาสีเขียวและอีกหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ
    ไม่รู้จะเหลืออยู่แค่ไหน แบบไหน…หรือมันจะกลายเป็นเหมือนหลายๆเมือง
    ที่เราเห็นในข่าว !?!

    คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด

    ผมบอกตัวเองว่า มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าชาวสยามรับรู้ถึงวาสนาของตนเอง
    และทำความเข้าใจกับความเป็นไปทั้งนอกบ้านและในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้น
    จะได้มีความหวงและห่วงใยบ้านเมืองของเรา…บ้านของเรานะครับ

    ผมนึกถึงวันที่ผมเห็นแดดทอแสงสวยบนเขาวัง กับท้องนาที่เขียวชอุ่มกับเมฆสีสวย

    แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนนิทาน เกี่ยวกับการเมืองโลก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเขียนอะไร
    เป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลย ผมเล่ามุมมองของผม แบบอ่านง่าย ๆ และนำมาลง
    ให้อ่านผ่านเพจนิทานเรื่องจริง ตำนานการลวงหลอกล่อฯ ทางเฟสบุ๊ก
    ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2556 …
    ผมเขียนไปและอ่านข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆทุกวันๆละประมาณ 10 ชั่วโมง
    มาตลอด เว้นแต่ช่วงเวลาที่สุขภาพของผมไม่อำนวย จนถึงตอนนี้ (พศ 2568)
    ผมมีเอกสารและหนังสือที่ใช้เขียนนิทาน ถึง 4 ตู้ใหญ่ 5 ตู้เล็ก กับอีก 20 กล่อง

    เมื่อผมเริ่มเขียนนิทาน ผมมีความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าการล่าเหยื่อ
    ล่าอาณานิคมยังมีอยู่ เพียงแต่มีการพรางตัวเปลี่ยนรูปแบบการล่าไปตามยุคสมัย
    มันไม่ใช่เป็นเพียงข้อสังเกตหรือข้อสงสัยอีกแล้ว …สำหรับผมมันเป็นข้อเท็จจริง…
    บ้านเมืองเราตกเป็นเหยื่อของต่างชาติ มานานเต็มทีแล้ว!!

    และมาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าโลกเรากำลังจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่
    ในอีกไม่นานนัก และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะมาเร็วจนเราตั้งตัวตั้งสติไม่ทัน

    บ้านเรามีการเตรียมการอะไรไหม ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ
    สิ่งที่ผมพอทำได้ในฐานะประชาชน และกำลังทำอยู่ คือ เล่านิทาน
    เพื่อให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้เพื่อนร่วมชาติตื่นขึ้นมาสนใจ
    เหตุการณ์นอกบ้าน ที่อาจกระทบกับบ้านเมืองเรา และเกิดความรู้สึกห่วงใย
    หวงแหนบ้านเมืองของเราบ้าง พร้อมกับเตรียมการเตรียมตัวรับมือ
    กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก…
    ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก !!!

    นิทานแต่ละเรื่อง แม้จะเขียนเรื่องต่างประเทศ แต่ผมได้พยายามเขียนระหว่างบรรทัด
    ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราไปด้วย ผมพยายามร้อยเรียงนิทาน
    โดยเริ่มจากเรื่องในบ้านเรา เล่ามาเรื่อย ๆ ถึง การล่าการตกเป็นเหยื่อ
    การต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อ และวิธีการของนักล่าในการงับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ
    เพื่อไม่ให้เหยื่อมีโอกาสหลุดออกจากปากของมัน และตัวละครสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

    มาถึงปัจจุบันนี้ (เดือน เมษายน พศ 2568)
    ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีกำลังเขียนนิทานลงในเพจไปได้อีกหรือไม่
    หรือเขียนได้อีกนานเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพสังขารของผมเอง
    และปัจจัยอื่น ที่มันเกินการควบคุมของผม …

    ผมคาดว่านิทานเรื่องจริงฯ ที่ผมเขียนมานั้น น่าจะเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ติดตาม
    การเมืองโลก และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการรักษาชาติบ้านเมือง รักษาแผ่นดิน
    และสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา…
    และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกที่ไม่ล้าสมัยเกินไป
    ผมจึงเอานิทานเรื่องจริงฯ เล่มที่ 1 ถึง 9 (หน้าปกสีส้ม)ที่เคยได้ตีพิมพ์มาครั้งหนึ่ง
    เมื่อเดือนตุลาคม พศ 2559 และเล่มที่ 10 (หน้าปกสีส้ม) เมื่อเดือนมีนาคม พศ 2560
    รวมทั้งนิทานที่เขียนและลงโพสต์ไปแล้วทั้งหมด จนถึงเรื่องสุดท้าย (ปี พศ 2567)
    (หน้าปกสีน้ำเงิน) แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นเล่ม มาจัดให้อยู่ในรูปเว็บไซต์
    อย่างเป็นระบบ เพื่อผู้ที่มีความสนใจ จะได้เข้าถึงอย่างสะดวกขึ้น…

    ขอบคุณครับ
    จากคนเล่านิทาน
    20 เมษายน 2568
    นาฬิกาปลุก ปี พศ 2568 วันหนึ่งนานประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผมนั่งรถลงใต้ มันเป็นช่วงต้นหน้าฝนฟ้าครึ้ม อากาศกำลังสบาย ผมนั่งเหม่อ ๆ ดู 2 ข้างทางไปเรื่อย ๆ สัก 4 โมงเย็นรถก็ผ่านตรงช่วงเขาวัง เพชรบุรี ผมมองขึ้นไปที่พระราชวังบนยอดเขา เห็นแสงแดดกำลังส่องทะลุเมฆไปต้องพระราชวัง ทำให้พระราชวังงดงามเหลือเกิน ผมยกมือไหว้สักการะอย่างที่ทำทุกครั้งที่ผ่าน … ความรู้สึกของผมตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนข้ามเวลา ข้ามมิติ ผมนึกในใจ นี่คงเหมือนเราเห็นสวรรค์กระมังนะ …ยังไม่เคยไป ได้แต่เดา แล้วรถก็แล่นผ่านทุ่งนากับต้นตาล ที่ยังพอมีให้เห็นชื่นใจ ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงออกมามากขึ้น มันเป็นเวลาที่เขาเรียกว่าแดดสวย ผมมองทุ่งนาสีเขียวสดผืนใหญ่ กับทิวเขายาวอยู่ไกล ๆ เมฆที่ยอดเขาสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สีสวยจัด มันสวยสงบและรู้สึกอบอุ่น เป็นภาพที่อยู่ในใจผมอย่างไม่มีวันจาง ทุกครั้งที่ผมนึกถึงวันนั้น ผมจะมีอาการตื้นตันบอกตัวเอง นี่ คือ … วาสนาของชาวสยาม… วาสนาที่บางทีเราลืมที่จะนึกถึงและรับรู้… เพราะถูกบดบังจากสิ่งลวงตา เราอยู่ในแผ่นดิน ที่เคยได้รับคำกล่าวขานว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีความอุดมสมบูรณ์ มีศาสนา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการศึกษา การอบรมเลี้ยงดู ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ชีวิตความเป็นอยู่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของบ้านเรามาเป็นเวลานานแล้ว … แต่ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนเราจะมองข้าม หรือไม่ใส่ใจจริง กับความโชคดีและวาสนาของเรานัก …เรามักจะหลงไหลได้ปลื้ม กับบรรดาสรรพสิ่งไม่ว่าเป็นรูปแบบใด ที่ “พวกตะวันตก” เขาเอามาฝังหัวลวงหลอกเราไว้ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะแกะลอกล้างสิ่งที่พวกเขาฝั่งเอาไว้ไม่ออก ไม่สะอาดหมดจดเสียที ผมตั้งข้อสังเกต ปนสงสัยมานานแล้วว่าเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง น่าจะมีส่วนเกี่ยวโยง กับปัจจัยนอกบ้าน มากกว่าที่เราคิด ผมค่อย ๆ หาข้อมูลมาอ่านแก้ความสงสัยของตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่มันไปไม่ได้ ไกลอย่างที่ต้องการ เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำงานเพื่อดำรงชีพ และก็ไปทำเรื่องอื่น ๆ ที่สุดท้ายแล้ว ก็เลยยังไม่ได้คำตอบมาแก้ข้อสงสัยที่ค้างอยู่นั้น หลายสิบปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ในบ้านเราเกิดขึ้นมากมาย มีความพยายามแก้ปัญหา แต่เหมือนแก้ไม่ถูกจุด เหมือนเรามองข้าม หรือเรามองปัญหาไม่แตก มันทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงข้อสงสัย เกี่ยวกับปัจจัยนอกบ้านที่ยังคาใจผมอยู่ และถ้ามันเป็นอย่างที่ผมสงสัยจริง…และถ้าเราไม่ตื่นมารู้เรื่องด้วยกัน อีกไม่นานหรอก ประเทศเราอาจจะตกเป็นเหยื่อ เป็นอาณานิคมในรูปแบบใหม่ต่อไป และวันนั้น สีของธงชาติเราไม่รู้จะยังอยู่ครบไหม สถาบันที่เรารักเคารพ วัดพระแก้ว เขาวัง ท้องนาสีเขียวและอีกหลาย ๆ อย่าง ฯลฯ ไม่รู้จะเหลืออยู่แค่ไหน แบบไหน…หรือมันจะกลายเป็นเหมือนหลายๆเมือง ที่เราเห็นในข่าว !?! คำถามเกิดขึ้นในหัวเต็มไปหมด ผมบอกตัวเองว่า มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าชาวสยามรับรู้ถึงวาสนาของตนเอง และทำความเข้าใจกับความเป็นไปทั้งนอกบ้านและในบ้านเมืองของเราให้มากขึ้น จะได้มีความหวงและห่วงใยบ้านเมืองของเรา…บ้านของเรานะครับ ผมนึกถึงวันที่ผมเห็นแดดทอแสงสวยบนเขาวัง กับท้องนาที่เขียวชอุ่มกับเมฆสีสวย แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนนิทาน เกี่ยวกับการเมืองโลก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเขียนอะไร เป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนเลย ผมเล่ามุมมองของผม แบบอ่านง่าย ๆ และนำมาลง ให้อ่านผ่านเพจนิทานเรื่องจริง ตำนานการลวงหลอกล่อฯ ทางเฟสบุ๊ก ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2556 … ผมเขียนไปและอ่านข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆทุกวันๆละประมาณ 10 ชั่วโมง มาตลอด เว้นแต่ช่วงเวลาที่สุขภาพของผมไม่อำนวย จนถึงตอนนี้ (พศ 2568) ผมมีเอกสารและหนังสือที่ใช้เขียนนิทาน ถึง 4 ตู้ใหญ่ 5 ตู้เล็ก กับอีก 20 กล่อง เมื่อผมเริ่มเขียนนิทาน ผมมีความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ว่าการล่าเหยื่อ ล่าอาณานิคมยังมีอยู่ เพียงแต่มีการพรางตัวเปลี่ยนรูปแบบการล่าไปตามยุคสมัย มันไม่ใช่เป็นเพียงข้อสังเกตหรือข้อสงสัยอีกแล้ว …สำหรับผมมันเป็นข้อเท็จจริง… บ้านเมืองเราตกเป็นเหยื่อของต่างชาติ มานานเต็มทีแล้ว!! และมาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าโลกเรากำลังจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ในอีกไม่นานนัก และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจจะมาเร็วจนเราตั้งตัวตั้งสติไม่ทัน บ้านเรามีการเตรียมการอะไรไหม ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ สิ่งที่ผมพอทำได้ในฐานะประชาชน และกำลังทำอยู่ คือ เล่านิทาน เพื่อให้ทำหน้าที่เหมือนเป็นนาฬิกาปลุก ให้เพื่อนร่วมชาติตื่นขึ้นมาสนใจ เหตุการณ์นอกบ้าน ที่อาจกระทบกับบ้านเมืองเรา และเกิดความรู้สึกห่วงใย หวงแหนบ้านเมืองของเราบ้าง พร้อมกับเตรียมการเตรียมตัวรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก… ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าอาจจะหนักหนาสาหัสยิ่งนัก !!! นิทานแต่ละเรื่อง แม้จะเขียนเรื่องต่างประเทศ แต่ผมได้พยายามเขียนระหว่างบรรทัด ให้ข้อคิดเกี่ยวกับบ้านเมืองของเราไปด้วย ผมพยายามร้อยเรียงนิทาน โดยเริ่มจากเรื่องในบ้านเรา เล่ามาเรื่อย ๆ ถึง การล่าการตกเป็นเหยื่อ การต่อสู้ดิ้นรนของเหยื่อ และวิธีการของนักล่าในการงับเหยื่อในรูปแบบต่างๆ เพื่อไม่ให้เหยื่อมีโอกาสหลุดออกจากปากของมัน และตัวละครสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาถึงปัจจุบันนี้ (เดือน เมษายน พศ 2568) ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีกำลังเขียนนิทานลงในเพจไปได้อีกหรือไม่ หรือเขียนได้อีกนานเท่าไหร่ เนื่องจากสภาพสังขารของผมเอง และปัจจัยอื่น ที่มันเกินการควบคุมของผม … ผมคาดว่านิทานเรื่องจริงฯ ที่ผมเขียนมานั้น น่าจะเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ติดตาม การเมืองโลก และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการรักษาชาติบ้านเมือง รักษาแผ่นดิน และสถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา… และยังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกที่ไม่ล้าสมัยเกินไป ผมจึงเอานิทานเรื่องจริงฯ เล่มที่ 1 ถึง 9 (หน้าปกสีส้ม)ที่เคยได้ตีพิมพ์มาครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนตุลาคม พศ 2559 และเล่มที่ 10 (หน้าปกสีส้ม) เมื่อเดือนมีนาคม พศ 2560 รวมทั้งนิทานที่เขียนและลงโพสต์ไปแล้วทั้งหมด จนถึงเรื่องสุดท้าย (ปี พศ 2567) (หน้าปกสีน้ำเงิน) แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นเล่ม มาจัดให้อยู่ในรูปเว็บไซต์ อย่างเป็นระบบ เพื่อผู้ที่มีความสนใจ จะได้เข้าถึงอย่างสะดวกขึ้น… ขอบคุณครับ จากคนเล่านิทาน 20 เมษายน 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงราย - ตึกริมฝั่งน้ำสายแนวพนังกั้นน้ำชั่วคราว เอาไม่อยู่..ฝนตกตอนเหนือน้ำสายเกิน 100 มม.หลากทะลักเหมือนปี 67 ทะลุเข้าท่วมแม่สายแล้วตั้งแต่ตีสามเศษ จนต้องระดมกำลังอุด-ย้ายข้าวของหนีกันโกลาหล แถมอีก 4 ชั่วโมง น้ำระลอกใหม่จ่อซ้ำ

    วันนี้ (28 ก.ค.68) ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทั้งในเขตภาคเหนือของประเทศไทยและรัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมา ได้ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายซึ่งมีต้นแม่น้ำอยู่ในเขตรัฐฉานตะวันออกเพิ่มระดับสูงขึ้นและทะลักผ่านอาคารริมฝั่งที่ทำเป็นแนวป้องกันน้ำชั่วคราวของกรมการทหารช่าง ไหลเข้าท่วมบางชุมชนในเขต อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ จ.ท่าขี้เหล็ก แล้วตั้งแต่ 03.00 น.เศษที่ผ่านมา

    โดยระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่งได้ไหลผ่านตัวอาคารที่ยังไม่ได้รื้อถอนตรงชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย ฯลฯ ทะลักเข้าตลาดสายลมจอยส่วนฝั่งตะวันออกของสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 ทะลักไปถึงตลาดไม้ลุงขน ชาวบ้านต้องพากันขนย้ายข้าวของหนีน้ำกันอย่างจ้าละหวั่นเพราะคาดไม่ถึงว่าน้ำจะฝ่าแนวป้องกันเข้ามาได้ รวมทั้งปริมาณน้ำมากเหมือนกับที่เคยทะลักเข้าท่วมชายแดนเมื่อปลายปี 2567 เช่นเดียวกับฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ที่มวลน้ำทะลุแนวพนังกันที่ก่อสร้างจนเข้าสู่บ้านปงถุน ตลาดท่าล้อ ฯลฯ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000071086

    #Thaitimes #MGROnline #น้ำท่วมแม่สาย #น้ำท่วมท่าขี้เหล็ก #น้ำสายทะลักท่วมแล้ว #เชียงราย
    เชียงราย - ตึกริมฝั่งน้ำสายแนวพนังกั้นน้ำชั่วคราว เอาไม่อยู่..ฝนตกตอนเหนือน้ำสายเกิน 100 มม.หลากทะลักเหมือนปี 67 ทะลุเข้าท่วมแม่สายแล้วตั้งแต่ตีสามเศษ จนต้องระดมกำลังอุด-ย้ายข้าวของหนีกันโกลาหล แถมอีก 4 ชั่วโมง น้ำระลอกใหม่จ่อซ้ำ • วันนี้ (28 ก.ค.68) ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทั้งในเขตภาคเหนือของประเทศไทยและรัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมา ได้ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายซึ่งมีต้นแม่น้ำอยู่ในเขตรัฐฉานตะวันออกเพิ่มระดับสูงขึ้นและทะลักผ่านอาคารริมฝั่งที่ทำเป็นแนวป้องกันน้ำชั่วคราวของกรมการทหารช่าง ไหลเข้าท่วมบางชุมชนในเขต อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ จ.ท่าขี้เหล็ก แล้วตั้งแต่ 03.00 น.เศษที่ผ่านมา • โดยระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่งได้ไหลผ่านตัวอาคารที่ยังไม่ได้รื้อถอนตรงชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย ฯลฯ ทะลักเข้าตลาดสายลมจอยส่วนฝั่งตะวันออกของสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 ทะลักไปถึงตลาดไม้ลุงขน ชาวบ้านต้องพากันขนย้ายข้าวของหนีน้ำกันอย่างจ้าละหวั่นเพราะคาดไม่ถึงว่าน้ำจะฝ่าแนวป้องกันเข้ามาได้ รวมทั้งปริมาณน้ำมากเหมือนกับที่เคยทะลักเข้าท่วมชายแดนเมื่อปลายปี 2567 เช่นเดียวกับฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ที่มวลน้ำทะลุแนวพนังกันที่ก่อสร้างจนเข้าสู่บ้านปงถุน ตลาดท่าล้อ ฯลฯ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000071086 • #Thaitimes #MGROnline #น้ำท่วมแม่สาย #น้ำท่วมท่าขี้เหล็ก #น้ำสายทะลักท่วมแล้ว #เชียงราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!
    กัมพูชาแถลงยัน ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบเป็นระเบิดเก่า ไม่ใช่ PMN-2

    หน่วยงานปฏิบัติการและช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่า กองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย
    .
    หลังจากเกิดเหตุระเบิดทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. 68 ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุ
    .
    CMAA ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่นและย้ำว่า กัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542 อย่างเต็มที่

    แถลงการณ์โดยละเอียด:

    CMAA ขอตอบโต้ข้อกล่าวหาของไทย: จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตทุ่นระเบิดที่ได้รับการบันทึกไว้ภายในเขตแดนกัมพูชา

    พนมเปญ — หน่วยงานช่วยเหลือเหยื่อและปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์ดังต่อไปนี้เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่ากองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย

    หลังจากเกิดเหตุระเบิดจากทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนในจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 เป็นระเบิดที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุในครั้งนี้

    ทางหน่วยงาน CMAA ขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่น และย้ำว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542

    การตรวจสอบทางเทคนิคโดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเขตแดนของกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่นระเบิด BS/CMAA/16808 ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านเตโชโมโรโกต ตำบลโมโรโกต อำเภอจัมโบกสัน ทุ่นระเบิดนี้ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย และเป็นส่วนหนึ่งของคลังทุ่นระเบิดเก่าของกัมพูชาที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในอดีต

    การประเมินทางนิติวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับรูปแบบการบาดเจ็บชี้ให้เห็นว่าการระเบิดน่าจะเกิดจากทุ่นระเบิดเก่าที่มีพลังทำลายต่ำ เช่น ประเภท 72A, 72B, M14, MN79 หรือ MD82B ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแต่ละทุ่นระเบิดจะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ในทางตรงกันข้าม ทุ่นระเบิด PMN-2 มีวัตถุระเบิดมากกว่า 115 กรัม และมักส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าการบาดเจ็บที่ได้รับในเหตุการณ์นี้ไม่สอดคล้องกับการระเบิดของ PMN-2

    CMAA เน้นย้ำข้อเท็จจริงสำคัญดังต่อไปนี้:

    1. ยังไม่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนหนึ่งของทุ่นระเบิดที่มีมายาวนาน ซึ่งยังคงเป็นภัยคุกคามด้านมนุษยธรรมต่อชุมชนชายแดน

    2. การระเบิดเกิดขึ้นในเขตอันตรายที่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ พื้นที่ระเบิดทั้งหมดอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาและยังไม่ได้รับการแก้ไข

    3. กัมพูชามีสถิติการปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 กัมพูชาได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 1.1 ล้านลูก และซากวัตถุระเบิดจากสงครามเกือบ 3 ล้านชิ้น ประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดทั่วโลก รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเสียมเรียบ-อังกอร์ ปี พ.ศ. 2567 เพื่อลงนามสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด

    ข้อกล่าวอ้างเรื่องการติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานภาคสนาม และมีความเสี่ยงที่จะบั่นทอนเจตนารมณ์แห่งความร่วมมือซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาวุโส ลี ธุช รองประธานคนแรกของ CMAA แสดงความเสียใจต่อข้อเท็จจริงที่ผู้นำไทยบางคนกำลังบิดเบือนความตึงเครียดบริเวณชายแดนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นทางการเมืองภายในประเทศของไทย เขาโต้แย้งอย่างหนักแน่นต่อข้อเสนอของไทยที่ว่ากัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ โดยระบุว่ากัมพูชาประสบปัญหาจากการปนเปื้อนของทุ่นระเบิดมานานหลายทศวรรษ และกำลังดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อกำจัดทุ่นระเบิดเหล่านี้

    “เราเหนื่อยล้าจากอันตรายของทุ่นระเบิด และใช้เวลากว่า 30 ปีในการกำจัดทุ่นระเบิด” เขากล่าว “กัมพูชายังคงยึดมั่นในสันติภาพ และเราขอเรียกร้องให้ไทยร่วมเจรจาหารือเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและปฏิบัติการกำจัดทุ่นระเบิดร่วมกัน”

    เขายังกล่าวอีกว่า การกำจัดทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน เนื่องจากภูมิประเทศที่ยากลำบาก พืชพรรณที่หนาแน่น และพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนอย่างหนัก ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการกำจัด

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาวุโสยังย้ำว่าการขาดเจตนารมณ์อันดีและความไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับกัมพูชาในการกำหนดเขตแดนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายปลอดทุ่นระเบิดของกัมพูชา

    “ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ กองกำลังทหารไทยและนักการเมืองไทยบางคนได้ก่อให้เกิดข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมาหลายครั้ง”

    ท่านแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่าองค์ประกอบบางส่วนในกองทัพและการเมืองของไทยยังคงแสดงความไม่พอใจในสิ่งที่ได้รับจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความโลภแบบจักรวรรดินิยม แม้ว่าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ก็ตาม

    https://web.facebook.com/share/p/16Ks7b33s6/
    ด่วน! กัมพูชาแถลงยัน ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบเป็นระเบิดเก่า ไม่ใช่ PMN-2 หน่วยงานปฏิบัติการและช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่า กองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย . หลังจากเกิดเหตุระเบิดทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. 68 ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุ . CMAA ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่นและย้ำว่า กัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542 อย่างเต็มที่ แถลงการณ์โดยละเอียด: CMAA ขอตอบโต้ข้อกล่าวหาของไทย: จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตทุ่นระเบิดที่ได้รับการบันทึกไว้ภายในเขตแดนกัมพูชา พนมเปญ — หน่วยงานช่วยเหลือเหยื่อและปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์ดังต่อไปนี้เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่ากองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย หลังจากเกิดเหตุระเบิดจากทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนในจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 เป็นระเบิดที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุในครั้งนี้ ทางหน่วยงาน CMAA ขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่น และย้ำว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542 การตรวจสอบทางเทคนิคโดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเขตแดนของกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่นระเบิด BS/CMAA/16808 ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านเตโชโมโรโกต ตำบลโมโรโกต อำเภอจัมโบกสัน ทุ่นระเบิดนี้ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย และเป็นส่วนหนึ่งของคลังทุ่นระเบิดเก่าของกัมพูชาที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในอดีต การประเมินทางนิติวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับรูปแบบการบาดเจ็บชี้ให้เห็นว่าการระเบิดน่าจะเกิดจากทุ่นระเบิดเก่าที่มีพลังทำลายต่ำ เช่น ประเภท 72A, 72B, M14, MN79 หรือ MD82B ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแต่ละทุ่นระเบิดจะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ในทางตรงกันข้าม ทุ่นระเบิด PMN-2 มีวัตถุระเบิดมากกว่า 115 กรัม และมักส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าการบาดเจ็บที่ได้รับในเหตุการณ์นี้ไม่สอดคล้องกับการระเบิดของ PMN-2 CMAA เน้นย้ำข้อเท็จจริงสำคัญดังต่อไปนี้: 1. ยังไม่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนหนึ่งของทุ่นระเบิดที่มีมายาวนาน ซึ่งยังคงเป็นภัยคุกคามด้านมนุษยธรรมต่อชุมชนชายแดน 2. การระเบิดเกิดขึ้นในเขตอันตรายที่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ พื้นที่ระเบิดทั้งหมดอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาและยังไม่ได้รับการแก้ไข 3. กัมพูชามีสถิติการปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 กัมพูชาได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 1.1 ล้านลูก และซากวัตถุระเบิดจากสงครามเกือบ 3 ล้านชิ้น ประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดทั่วโลก รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเสียมเรียบ-อังกอร์ ปี พ.ศ. 2567 เพื่อลงนามสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ข้อกล่าวอ้างเรื่องการติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานภาคสนาม และมีความเสี่ยงที่จะบั่นทอนเจตนารมณ์แห่งความร่วมมือซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาวุโส ลี ธุช รองประธานคนแรกของ CMAA แสดงความเสียใจต่อข้อเท็จจริงที่ผู้นำไทยบางคนกำลังบิดเบือนความตึงเครียดบริเวณชายแดนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นทางการเมืองภายในประเทศของไทย เขาโต้แย้งอย่างหนักแน่นต่อข้อเสนอของไทยที่ว่ากัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ โดยระบุว่ากัมพูชาประสบปัญหาจากการปนเปื้อนของทุ่นระเบิดมานานหลายทศวรรษ และกำลังดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อกำจัดทุ่นระเบิดเหล่านี้ “เราเหนื่อยล้าจากอันตรายของทุ่นระเบิด และใช้เวลากว่า 30 ปีในการกำจัดทุ่นระเบิด” เขากล่าว “กัมพูชายังคงยึดมั่นในสันติภาพ และเราขอเรียกร้องให้ไทยร่วมเจรจาหารือเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและปฏิบัติการกำจัดทุ่นระเบิดร่วมกัน” เขายังกล่าวอีกว่า การกำจัดทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน เนื่องจากภูมิประเทศที่ยากลำบาก พืชพรรณที่หนาแน่น และพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนอย่างหนัก ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการกำจัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาวุโสยังย้ำว่าการขาดเจตนารมณ์อันดีและความไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับกัมพูชาในการกำหนดเขตแดนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายปลอดทุ่นระเบิดของกัมพูชา “ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ กองกำลังทหารไทยและนักการเมืองไทยบางคนได้ก่อให้เกิดข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมาหลายครั้ง” ท่านแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่าองค์ประกอบบางส่วนในกองทัพและการเมืองของไทยยังคงแสดงความไม่พอใจในสิ่งที่ได้รับจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความโลภแบบจักรวรรดินิยม แม้ว่าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ก็ตาม https://web.facebook.com/share/p/16Ks7b33s6/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตง.มาแปลกบี้ EXIM BANK สอบจ่ายเงินแม่บ้าน-คนขับรถ

    องค์กรที่ถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความโปร่งใส หลังโครงการอาคารสำนักงานถล่ม คนงานเสียชีวิตเกือบ 100 ศพ เฉกเช่นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังส่งหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคดีตึก สตง.ถล่มไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเกิดเรื่องวุ่นวายกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เมื่อ สตง. สั่งให้เอ็กซิมแบงก์แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด แก่พนักงาน 22 คน (ไม่รวมกรรมการผู้จัดการใหญ่) กรณีจ่ายเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ประกอบด้วย ผู้จัดการสาขาสำนักงานใหญ่ สาขาทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวม 9 แห่ง และพนักงานธุรการที่เกี่ยวข้อง

    สืบเนื่องมาจากในอดีต ธนาคารฯ มีการจ้างพนักงานภายนอก หรือเอาต์ซอร์ส (Outsource) บางกลุ่ม เช่น พนักงานทำความสะอาด พนักงานเดินเอกสารภายในสำนักงาน พนักงานรับ-ส่งเอกสาร และพนักงานขับรถ ผ่านทางบริษัทภายนอก แต่ทางธนาคารฯ ในยุคนั้นมีความเห็นใจว่า พนักงานกลุ่มนี้ได้เงินค่าตอบแทนน้อย หากจะจ่ายผ่านบริษัทฯ จะไม่ถึงมือพนักงาน ทำให้ในสมัยที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเอ็กซิมแบงก์ ได้มีการอนุมัติให้จ่ายเงินช่วยเหลือแก่พนักงานกลุ่มนี้โดยตรงมาตั้งแต่ปี 2537 เดือนละประมาณ 800 ถึง 1,500 บาท โดยทางธนาคารฯ จะออกคำสั่งให้ผู้จัดการธนาคารแต่ละสาขาดำเนินการจ่ายเงินก้อนนี้มาทุกปี และมีการทำเช่นนี้เป็นธรรมเนียมเรื่อยมา

    ผ่านมาเกือบ 30 ปี เมื่อปี 2567 สตง. ตรวจสอบบัญชีเอ็กซิมแบงก์ ก่อนระบุว่าการจ่ายเงินบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ในปีงบประมาณ 2565 ไม่เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และสั่งการให้ธนาคารฯ เอาผิดทางวินัยกลุ่มพนักงาน 22 คน ทั้งที่ทั้งหมดทำตามบันทึกภายในที่อนุมัติโดยกรรมการผู้จัดการในอดีต และทำกันมานาน แม้ว่าเอ็กซิมแบงก์จะทำหนังสือชี้แจง แต่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. สตง. สั่งการให้ธนาคารฯ ต้องเอาผิดพนักงานกลุ่มดังกล่าวทั้งหมด ภายใน 30 วัน อ้างว่าทำให้รัฐเสียหาย 2.87 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นจะเสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ลงโทษทางปกครอง ทำให้ธนาคารฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง และให้พนักงานกลุ่มดังกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นเวลากระชั้นชิด ขณะนี้พนักงานทั้งหมดได้ทำหนังสือขอขยายเวลาชี้แจง รวมถึงขอความเป็นธรรมแล้ว

    #Newskit
    สตง.มาแปลกบี้ EXIM BANK สอบจ่ายเงินแม่บ้าน-คนขับรถ องค์กรที่ถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความโปร่งใส หลังโครงการอาคารสำนักงานถล่ม คนงานเสียชีวิตเกือบ 100 ศพ เฉกเช่นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังส่งหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคดีตึก สตง.ถล่มไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเกิดเรื่องวุ่นวายกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เมื่อ สตง. สั่งให้เอ็กซิมแบงก์แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด แก่พนักงาน 22 คน (ไม่รวมกรรมการผู้จัดการใหญ่) กรณีจ่ายเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ประกอบด้วย ผู้จัดการสาขาสำนักงานใหญ่ สาขาทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวม 9 แห่ง และพนักงานธุรการที่เกี่ยวข้อง สืบเนื่องมาจากในอดีต ธนาคารฯ มีการจ้างพนักงานภายนอก หรือเอาต์ซอร์ส (Outsource) บางกลุ่ม เช่น พนักงานทำความสะอาด พนักงานเดินเอกสารภายในสำนักงาน พนักงานรับ-ส่งเอกสาร และพนักงานขับรถ ผ่านทางบริษัทภายนอก แต่ทางธนาคารฯ ในยุคนั้นมีความเห็นใจว่า พนักงานกลุ่มนี้ได้เงินค่าตอบแทนน้อย หากจะจ่ายผ่านบริษัทฯ จะไม่ถึงมือพนักงาน ทำให้ในสมัยที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเอ็กซิมแบงก์ ได้มีการอนุมัติให้จ่ายเงินช่วยเหลือแก่พนักงานกลุ่มนี้โดยตรงมาตั้งแต่ปี 2537 เดือนละประมาณ 800 ถึง 1,500 บาท โดยทางธนาคารฯ จะออกคำสั่งให้ผู้จัดการธนาคารแต่ละสาขาดำเนินการจ่ายเงินก้อนนี้มาทุกปี และมีการทำเช่นนี้เป็นธรรมเนียมเรื่อยมา ผ่านมาเกือบ 30 ปี เมื่อปี 2567 สตง. ตรวจสอบบัญชีเอ็กซิมแบงก์ ก่อนระบุว่าการจ่ายเงินบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ในปีงบประมาณ 2565 ไม่เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และสั่งการให้ธนาคารฯ เอาผิดทางวินัยกลุ่มพนักงาน 22 คน ทั้งที่ทั้งหมดทำตามบันทึกภายในที่อนุมัติโดยกรรมการผู้จัดการในอดีต และทำกันมานาน แม้ว่าเอ็กซิมแบงก์จะทำหนังสือชี้แจง แต่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. สตง. สั่งการให้ธนาคารฯ ต้องเอาผิดพนักงานกลุ่มดังกล่าวทั้งหมด ภายใน 30 วัน อ้างว่าทำให้รัฐเสียหาย 2.87 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นจะเสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ลงโทษทางปกครอง ทำให้ธนาคารฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง และให้พนักงานกลุ่มดังกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นเวลากระชั้นชิด ขณะนี้พนักงานทั้งหมดได้ทำหนังสือขอขยายเวลาชี้แจง รวมถึงขอความเป็นธรรมแล้ว #Newskit
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน

    “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้

    เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว

    คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ

    รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง

    อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก

    สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว

    “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว

    รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน

    ที่มา :
    https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้ เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน ที่มา : https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ภาควิชาสรีรวิทยา #คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล #มหาวิทยาลัยมหิดล
    ขอแสดงความยินดีกับ รศ. ดร. นพ.ชัยเลิศ พิชิตพรชัย ในโอกาสได้รับรางวัล “ศิริราชเชิดชูเกียรติ ประจำปี 2567” ในกลุ่มผู้ได้รับรางวัลหรือการยกย่องอื่น จากการได้รับ “เครื่องหมายเชิดชูเกียรติยกกระบัตรผู้ทำคุณประโยชน์อย่างยิ่ง แก่สำนักงานอัยการสูงสุด” เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568
    #ภาควิชาสรีรวิทยา #คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล #มหาวิทยาลัยมหิดล ขอแสดงความยินดีกับ รศ. ดร. นพ.ชัยเลิศ พิชิตพรชัย ในโอกาสได้รับรางวัล “ศิริราชเชิดชูเกียรติ ประจำปี 2567” ในกลุ่มผู้ได้รับรางวัลหรือการยกย่องอื่น จากการได้รับ “เครื่องหมายเชิดชูเกียรติยกกระบัตรผู้ทำคุณประโยชน์อย่างยิ่ง แก่สำนักงานอัยการสูงสุด” เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาแล้วครับ ตัวเลขสถิติการเสียชีวิตของคนไทย ครึ่งแรกของปี เทียบรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีปัจจุบัน2568 ให้สังเกตแนวโน้มเส้นสีฟ้าว่า กำลังอยู่ขาขึ้น
    ที่น่าสนใจ สีเหลืองคือ ก่อนการระบาดของโควิด สีส้มคือช่วงที่มีการระบาดหนักจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สีแดงคือ การระบาดยุติ เลิกปิดบ้านปิดเมือง
    เห็นได้ชัดเจนว่า ปีแรกของการระบาด คนไทยไม่ได้ตายเพิ่มขึ้น ปีนั้นยังไม่มีวัคซีน
    ปีที่สองของการระบาด มีการฉีดวัคซีนกลับตายเพิ่มขึ้น
    ปี 2564 เริ่มมีการระดมฉีดวัคซีน กลับตายเพิ่มขึ้น
    แต่ที่น่า ตั้งคำถาม คือ ปี 2565 2566 2567 ที่ การระบาดยุติลง คนไทยกลับตายเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนการระบาดของโควิด ทั้งที่ เมื่อโควิด ยุติลง อัตราการเสียชีวิตควรจะกลับไปใกล้เคียงก่อนการระบาด
    ปีปัจจุบัน คนไทยยังเสียชีวิตในอัตราที่สูง แนวโน้มก็ยังอยู่ในขาขึ้น ทำไม?
    ถ้ารัฐบาล ใส่ใจ เรื่องชีวิตของคนไทย ต้องการแก้ปัญหาสาธารณสุข แค่เอาข้อมูล อายุเฉลี่ยของผู้ที่เสียชีวิตมาเทียบกันดู ก็จะเห็นว่า คนที่ตายอายุ น้อยลงด้วยไหม ตายก่อนวัยอันควรไหม?
    หลาย คนอาจสงสัยทำไมผมไม่วิเคราะห์เอง?
    ผม ไม่ได้เป็น รัฐบาล ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้
    แต่ รัฐบาล คณะรัฐมนตรี ทำได้ง่ายๆ แต่ จะทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่า เขาเห็นความสำคัญของชีวิตคนไทยไหม?

    นิลฉงน นลเฉลย
    https://www.facebook.com/share/p/167nL51Umt/

    ขอขอบคุณอาจารย์หมอที่สละเวลาทำข้อมูลให้คนไทยได้ตื่นครับ
    มาแล้วครับ ตัวเลขสถิติการเสียชีวิตของคนไทย ครึ่งแรกของปี เทียบรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีปัจจุบัน2568 ให้สังเกตแนวโน้มเส้นสีฟ้าว่า กำลังอยู่ขาขึ้น ที่น่าสนใจ สีเหลืองคือ ก่อนการระบาดของโควิด สีส้มคือช่วงที่มีการระบาดหนักจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สีแดงคือ การระบาดยุติ เลิกปิดบ้านปิดเมือง เห็นได้ชัดเจนว่า ปีแรกของการระบาด คนไทยไม่ได้ตายเพิ่มขึ้น ปีนั้นยังไม่มีวัคซีน ปีที่สองของการระบาด มีการฉีดวัคซีนกลับตายเพิ่มขึ้น ปี 2564 เริ่มมีการระดมฉีดวัคซีน กลับตายเพิ่มขึ้น แต่ที่น่า ตั้งคำถาม คือ ปี 2565 2566 2567 ที่ การระบาดยุติลง คนไทยกลับตายเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนการระบาดของโควิด ทั้งที่ เมื่อโควิด ยุติลง อัตราการเสียชีวิตควรจะกลับไปใกล้เคียงก่อนการระบาด ปีปัจจุบัน คนไทยยังเสียชีวิตในอัตราที่สูง แนวโน้มก็ยังอยู่ในขาขึ้น ทำไม? ถ้ารัฐบาล ใส่ใจ เรื่องชีวิตของคนไทย ต้องการแก้ปัญหาสาธารณสุข แค่เอาข้อมูล อายุเฉลี่ยของผู้ที่เสียชีวิตมาเทียบกันดู ก็จะเห็นว่า คนที่ตายอายุ น้อยลงด้วยไหม ตายก่อนวัยอันควรไหม? หลาย คนอาจสงสัยทำไมผมไม่วิเคราะห์เอง? ผม ไม่ได้เป็น รัฐบาล ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ แต่ รัฐบาล คณะรัฐมนตรี ทำได้ง่ายๆ แต่ จะทำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่า เขาเห็นความสำคัญของชีวิตคนไทยไหม? นิลฉงน นลเฉลย https://www.facebook.com/share/p/167nL51Umt/ ขอขอบคุณอาจารย์หมอที่สละเวลาทำข้อมูลให้คนไทยได้ตื่นครับ 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'อดีตผู้พิพากษา' ชี้ "ทักษิณ" อาจไม่ได้อภัยโทษ หากการจำคุกไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    https://www.thai-tai.tv/news/20191/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #อภัยโทษ2567 #กฎหมายไทย #พักโทษ #คุมประพฤติ #ศาลฎีกา #กรมราชทัณฑ์ #ใบบริสุทธิ์ #วัสติงสมิตร #คดีทักษิณ
    'อดีตผู้พิพากษา' ชี้ "ทักษิณ" อาจไม่ได้อภัยโทษ หากการจำคุกไม่ชอบด้วยกฎหมาย https://www.thai-tai.tv/news/20191/ . #ทักษิณชินวัตร #อภัยโทษ2567 #กฎหมายไทย #พักโทษ #คุมประพฤติ #ศาลฎีกา #กรมราชทัณฑ์ #ใบบริสุทธิ์ #วัสติงสมิตร #คดีทักษิณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • น.ส.ณัฐสินี ภิญโญปิยวิศว์ หรือขวัญ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา เผย ถูก สว.ลวนลาม เปิดพฤติกรรมเคยคบหากับ สว. รายนี้มาก่อน แต่เลิกไปเมื่อปี 2567 เพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่าง แต่บางครั้งต้องเจอกันในห้องประชุม จึงต้องรักษามารยาทในการทำงาน ปกติจะส่งข้อความอวยพรวันเกิด สว. ทุกคน รวมถึง สว. รายนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ วันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา สว. ชวนไปรับประทานอาหาร ซึ่งตอบตกลง เพราะควรผูกมิตรดีกว่ามีศัตรู แต่เพื่อความปลอดภัย จึงไม่ไปช่วงดึก และเปลี่ยนเป็นเลี้ยงขนมที่ร้านชื่อดังแถวถนนบรรทัดทอง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ตนเองเป็นคนจ่ายค่าขนม ขณะกำลังจะลงจากรถ สว.ได้ดึงแขนตนเองและล็อกตัวไม่ให้ลง ก่อนพาไปที่คอนโดมิเนียมและใช้นิ้วสอดใส่ ยืนยัน ไม่ไกล่เกลี่ย ดำเนินคดีถึงสุด

    -ทลายเครือข่าย"ก๊ก อาน"
    -ช็อกเล็กน้อยภาษีไทย 36%
    -ปรับงบประมาณรับมือภาษี
    -สำรวจกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน
    น.ส.ณัฐสินี ภิญโญปิยวิศว์ หรือขวัญ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา เผย ถูก สว.ลวนลาม เปิดพฤติกรรมเคยคบหากับ สว. รายนี้มาก่อน แต่เลิกไปเมื่อปี 2567 เพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่าง แต่บางครั้งต้องเจอกันในห้องประชุม จึงต้องรักษามารยาทในการทำงาน ปกติจะส่งข้อความอวยพรวันเกิด สว. ทุกคน รวมถึง สว. รายนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ วันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา สว. ชวนไปรับประทานอาหาร ซึ่งตอบตกลง เพราะควรผูกมิตรดีกว่ามีศัตรู แต่เพื่อความปลอดภัย จึงไม่ไปช่วงดึก และเปลี่ยนเป็นเลี้ยงขนมที่ร้านชื่อดังแถวถนนบรรทัดทอง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ตนเองเป็นคนจ่ายค่าขนม ขณะกำลังจะลงจากรถ สว.ได้ดึงแขนตนเองและล็อกตัวไม่ให้ลง ก่อนพาไปที่คอนโดมิเนียมและใช้นิ้วสอดใส่ ยืนยัน ไม่ไกล่เกลี่ย ดำเนินคดีถึงสุด -ทลายเครือข่าย"ก๊ก อาน" -ช็อกเล็กน้อยภาษีไทย 36% -ปรับงบประมาณรับมือภาษี -สำรวจกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สกู๊ตเปิดเส้นทางใหม่ สิงคโปร์-โกตาบารู

    สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ด้วยเครื่องบิน Embraer E190-E2 สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ ขาไป เที่ยวบินที่ TR460 ออกจากสิงคโปร์ 20.40 น. ถึงโกตาบารู 21.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที และขากลับ TR461 ออกจากโกตาบารู 22.30 น. ถึงสิงคโปร์ 23.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที

    โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย มีท่าอากาศยานสุลต่านอิสมาอิล เปตรา (KBR) ห่างจากด่านเป็งกาลันกูโบ ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 37 กิโลเมตร และด่านรันเตาปันจัน ตรงข้าม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส 50 กิโลเมตร เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่เมื่อ 1 พ.ค. 2567 มีเที่ยวบินให้บริการวันละกว่า 30 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี กำลังขยายอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี

    ก่อนหน้านี้สกู๊ตเคยเปิดเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู เมื่อปี 2562 ด้วยความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ได้ยกเลิกไป การเปิดเส้นทางบินใหม่ดังกล่าว จะทำให้สกู๊ตมีเที่ยวบินรวมกัน 115 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยัง 12 เมืองในมาเลเซีย

    นอกจากนี้ สกู๊ตเตรียมเปิดเส้นทางสิงคโปร์-ดานัง และสิงคโปร์-ญาจาง ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานชางงีมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 170 เมือง อีกทั้งสกู๊ตมีแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังเมดาน ลาบวน ประเทศอินโดนีเซีย และโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายเส้นทางไปยังคลาร์ก ดาเวา มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หาดใหญ่ ประเทศไทย และเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรองรับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น

    สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปัจจุบันมีท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีเที่ยวบินไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยสายการบินสกู๊ตเป็นประจำทุกวัน 1 เที่ยวบิน และมีไฟล์ตดึกทุกวันจันทร์ ศุกร์ และอาทิตย์ อีก 1 เที่ยวบิน จึงเป็นไปได้ว่าสกู๊ตต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองโกตาบารู ชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และหมู่เกาะเปอร์เฮนเทียน (Pulau Perhentian) แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและดำน้ำยอดนิยมในรัฐตรังกานูมากกว่า ซึ่งจากสนามบินโกตาบารู เดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก 60 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือกัวลาบูซุต (Kuala Besut) แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่เพื่อไปยังเกาะดังกล่าว

    #Newskit
    สกู๊ตเปิดเส้นทางใหม่ สิงคโปร์-โกตาบารู สกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ เตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ด้วยเครื่องบิน Embraer E190-E2 สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ ขาไป เที่ยวบินที่ TR460 ออกจากสิงคโปร์ 20.40 น. ถึงโกตาบารู 21.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที และขากลับ TR461 ออกจากโกตาบารู 22.30 น. ถึงสิงคโปร์ 23.55 น. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที โกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมาเลเซีย มีท่าอากาศยานสุลต่านอิสมาอิล เปตรา (KBR) ห่างจากด่านเป็งกาลันกูโบ ตรงข้าม อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 37 กิโลเมตร และด่านรันเตาปันจัน ตรงข้าม อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส 50 กิโลเมตร เปิดใช้อาคารผู้โดยสารหลังใหม่เมื่อ 1 พ.ค. 2567 มีเที่ยวบินให้บริการวันละกว่า 30 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี กำลังขยายอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 4 ล้านคนต่อปี ก่อนหน้านี้สกู๊ตเคยเปิดเส้นทางสิงคโปร์-โกตาบารู เมื่อปี 2562 ด้วยความถี่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แต่ได้ยกเลิกไป การเปิดเส้นทางบินใหม่ดังกล่าว จะทำให้สกู๊ตมีเที่ยวบินรวมกัน 115 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยัง 12 เมืองในมาเลเซีย นอกจากนี้ สกู๊ตเตรียมเปิดเส้นทางสิงคโปร์-ดานัง และสิงคโปร์-ญาจาง ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานชางงีมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมกว่า 170 เมือง อีกทั้งสกู๊ตมีแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังเมดาน ลาบวน ประเทศอินโดนีเซีย และโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายเส้นทางไปยังคลาร์ก ดาเวา มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หาดใหญ่ ประเทศไทย และเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรองรับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ปัจจุบันมีท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีเที่ยวบินไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยสายการบินสกู๊ตเป็นประจำทุกวัน 1 เที่ยวบิน และมีไฟล์ตดึกทุกวันจันทร์ ศุกร์ และอาทิตย์ อีก 1 เที่ยวบิน จึงเป็นไปได้ว่าสกู๊ตต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองโกตาบารู ชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม และหมู่เกาะเปอร์เฮนเทียน (Pulau Perhentian) แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและดำน้ำยอดนิยมในรัฐตรังกานูมากกว่า ซึ่งจากสนามบินโกตาบารู เดินทางด้วยรถยนต์ไปอีก 60 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือกัวลาบูซุต (Kuala Besut) แล้วต่อด้วยเรือเฟอร์รี่เพื่อไปยังเกาะดังกล่าว #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อตกลง jbc ครั้งล่าสุด คือการจัดทำแผนที่ทางอากาศให้สอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000

    คนไทยจะรักษาดินแดนได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไปทำข้อตกลงกันโดยไม่บอก ไม่อธิบาย

    (1) Approval of the outcome of the 4th Meeting of the Thailand - Cambodia Joint Technical Sub-Committee (JTSC) on 14 July 2024 in Siem Reap. Both sides agreed on the result of fact finding mission for 74 BPs, in which the location of 45 boundary pillars mutually agreed upon and also agreed to use LiDAR technology for the production of Orthophoto Maps to expedite the survey and demarcation process,

    1. รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิค (JTSC) ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567

    * ยอมรับผลภารกิจภาคสนาม (Fact-Finding Mission) สำหรับเสาหลักเขตแดน 74 จุด

    * ตกลงร่วมกันได้แล้ว 45 จุด วางตำแหน่งเสาเขตแดนโดยมีความเห็นตรงกัน

    * เห็นชอบให้ ใช้เทคโนโลยี LiDAR สำหรับจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) เพื่อเร่งขั้นตอนการสำรวจและปักปัน


    (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step.

    2. เห็นชอบการแก้ไข TOR ปี 2003 (Terms of Reference)
    ปรับแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อ บรรจุการใช้เทคโนโลยี LiDAR ในขั้นตอนจัดทำแผนที่ Orthophoto อย่างเป็นทางการ

    (3) Tasking the JTSC with drafting Technical Instructions (Technical Instruction: TI), agreement to empower the JTSC to prepare TI to guide the Joint Survey Team to conduct survey and demarcation work on the terrain where boundary pillars location have been agreed,

    3. มอบหมาย JTSC จัดทำ “ข้อกำหนดทางเทคนิค” (Technical Instruction: TI)

    เพื่อใช้เป็นคู่มือให้แก่ทีมสำรวจร่วม (Joint Survey Team)

    สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้ตกลงตำแหน่งเสาหลักเขตแดนแล้ว


    (4) Agreement on Technical Preparation for Sector 6, to assign the JTSC to prepare technical instructions for the survey works in Section 6 (from Satta Som mountain to BP 1 at Chong Sangam, Sisaket Province), which has been pending since 2011, along with the production of Orthophoto Maps.


    4. เห็นชอบการเตรียมงานด้านเทคนิคสำหรับ “Sector 6”

    มอบหมาย JTSC จัดทำคำสั่งทางเทคนิค พร้อมแผนที่ Orthophoto

    พื้นที่ Sector 6 ครอบคลุมแนวจาก ภูสัตตะสุม (Satta Som) ถึง เสาหลัก BP 1 ณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ

    พื้นที่นี้ค้างการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554


    แม้ว่ารัฐบาลจะแจ้งกับสื่อว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แต่ก็เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งับเอกสารในกรอบการเจรจาและข้อตกลงในการประชุม JBC ที่อ้างถึง TOR2003 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 อย่างเป็นทางการ

    ที่สำคัญคือ ทั้ง 4 ข้อไม่ใช่เพียงข้อตกลงร่วมเฉยๆ แต่มันได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จหมดแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศษฐา

    คนไทยเหลือความหวังเดียวในขั้นตอน TI ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนทางอากาศ GPS แผนที่ Orthophoto ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 และจะกลายเป็นแผนที่และดินแดนในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียกลุ่มปราสาทตาเหมือน อย่างไม่มีวันได้กลับมา หากไม่ดำเนินการยับยั้งการลงนาม TI ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

    จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ไทยถึงจะเรียนรู้
    ข้อตกลง jbc ครั้งล่าสุด คือการจัดทำแผนที่ทางอากาศให้สอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 คนไทยจะรักษาดินแดนได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไปทำข้อตกลงกันโดยไม่บอก ไม่อธิบาย (1) Approval of the outcome of the 4th Meeting of the Thailand - Cambodia Joint Technical Sub-Committee (JTSC) on 14 July 2024 in Siem Reap. Both sides agreed on the result of fact finding mission for 74 BPs, in which the location of 45 boundary pillars mutually agreed upon and also agreed to use LiDAR technology for the production of Orthophoto Maps to expedite the survey and demarcation process, 1. รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิค (JTSC) ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 * ยอมรับผลภารกิจภาคสนาม (Fact-Finding Mission) สำหรับเสาหลักเขตแดน 74 จุด * ตกลงร่วมกันได้แล้ว 45 จุด วางตำแหน่งเสาเขตแดนโดยมีความเห็นตรงกัน * เห็นชอบให้ ใช้เทคโนโลยี LiDAR สำหรับจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) เพื่อเร่งขั้นตอนการสำรวจและปักปัน (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step. 2. เห็นชอบการแก้ไข TOR ปี 2003 (Terms of Reference) ปรับแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อ บรรจุการใช้เทคโนโลยี LiDAR ในขั้นตอนจัดทำแผนที่ Orthophoto อย่างเป็นทางการ (3) Tasking the JTSC with drafting Technical Instructions (Technical Instruction: TI), agreement to empower the JTSC to prepare TI to guide the Joint Survey Team to conduct survey and demarcation work on the terrain where boundary pillars location have been agreed, 3. มอบหมาย JTSC จัดทำ “ข้อกำหนดทางเทคนิค” (Technical Instruction: TI) เพื่อใช้เป็นคู่มือให้แก่ทีมสำรวจร่วม (Joint Survey Team) สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้ตกลงตำแหน่งเสาหลักเขตแดนแล้ว (4) Agreement on Technical Preparation for Sector 6, to assign the JTSC to prepare technical instructions for the survey works in Section 6 (from Satta Som mountain to BP 1 at Chong Sangam, Sisaket Province), which has been pending since 2011, along with the production of Orthophoto Maps. 4. เห็นชอบการเตรียมงานด้านเทคนิคสำหรับ “Sector 6” มอบหมาย JTSC จัดทำคำสั่งทางเทคนิค พร้อมแผนที่ Orthophoto พื้นที่ Sector 6 ครอบคลุมแนวจาก ภูสัตตะสุม (Satta Som) ถึง เสาหลัก BP 1 ณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ พื้นที่นี้ค้างการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 แม้ว่ารัฐบาลจะแจ้งกับสื่อว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แต่ก็เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งับเอกสารในกรอบการเจรจาและข้อตกลงในการประชุม JBC ที่อ้างถึง TOR2003 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 อย่างเป็นทางการ ที่สำคัญคือ ทั้ง 4 ข้อไม่ใช่เพียงข้อตกลงร่วมเฉยๆ แต่มันได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จหมดแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศษฐา คนไทยเหลือความหวังเดียวในขั้นตอน TI ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนทางอากาศ GPS แผนที่ Orthophoto ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 และจะกลายเป็นแผนที่และดินแดนในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียกลุ่มปราสาทตาเหมือน อย่างไม่มีวันได้กลับมา หากไม่ดำเนินการยับยั้งการลงนาม TI ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ไทยถึงจะเรียนรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • TOR 2003 และการประชุม JBC ที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา มีผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้:


    ---

    ช่วงการลงนาม TOR 2003

    18 มิถุนายน 2546 (พ.ศ. 2003)

    นายกรัฐมนตรี: พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ:
    นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย

    ผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทย:
    นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล – เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา (ในขณะนั้น)



    ---

    ช่วง JBC ระยอง (พ.ย. 2551) – รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

    นายกรัฐมนตรี: นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

    รมว.ต่างประเทศ: นายสมพงษ์ สระกวี

    เป็นการประชุมที่ยืนยันดำเนินการตาม TOR 2003



    ---

    JBC ช่วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552–2554)

    นายกรัฐมนตรี: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

    รมว.ต่างประเทศ: นายกษิต ภิรมย์

    ประธาน JBC ฝ่ายไทย:
    นายธานี ทองภักดี (ในบางช่วงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ)

    JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567)
    นายกรัฐมนตรี: นายเศษฐา ทวีสิน
    จุดเริ่มต้นการผลักดันและนำ JTSC JWG TOR2003 กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง

    ---

    JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) – ล่าสุด
    นายกรัฐมนตรี: น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
    รมว.ต่างประเทศ: ยังไม่เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ (อาจเปลี่ยนมือระหว่างปี)

    ประธาน JBC ฝ่ายไทย:
    นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย – ที่ปรึกษาด้านเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ


    สรุป:
    ช่วงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ฟื้นฟูการดำเนินการ JTSC อย่างเป็นทางการ”
    โดยมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือการยอมรับผลการสำรวจ 45 จุด และเปิดทางให้จัดทำ TI
    ซึ่งจะมีผลทางกฎหมายในรัฐบาลถัดมา (แพทองธาร)


    --พฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึง การดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดนโดย:


    ---

    วิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมา

    1. ใช้ TOR 2003 เป็นฐานเจรจา โดยไม่เปลี่ยนกรอบการตีความ


    2. พยายามบรรจุแนวเขตตามแผนที่ 1:200,000 ลงในกระบวนการทางเทคนิค เช่น TI / Orthophoto


    3. ยืนยันพิกัดรายหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไทย “ลงนามรับรองร่วม”


    4. เก็บหลักฐานการยอมรับจากฝ่ายไทย เพื่อนำไปใช้ในเวทีระหว่างประเทศ




    ---

    สิ่งที่ “กัมพูชาอาจทำต่อไป”:

    ลำดับ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เป้าหมาย

    1 เร่งผลักดันให้ไทยลงนาม TI อย่างเป็นทางการ ล็อกแนวเขตให้สอดคล้องกับแผนที่ 1:200,000
    2 จัดเก็บข้อมูลพิกัดที่ไทยร่วมลงนามไว้เป็นหลักฐาน ใช้ยืนยันต่อ ICJ หรือในเวที UN
    3 ขอให้ไทยร่วมแผนปักเสาเขตร่วมในพื้นที่พิพาท สร้าง “แนวเส้นที่เกิดจากการรับรองร่วม”
    4 ไม่หารือในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนฯ ผ่าน JBC เพื่อบังคับไทยเข้าสู่ ICJ ในภายหลัง
    5 ขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกอาเซียน / UNESCO ใช้ soft power หนุนสถานะทางประวัติศาสตร์และสิทธิในดินแดน



    ---

    ความเสี่ยง:

    หากไทย “ลงนามรับรอง TI / พิกัด” โดยไม่เปิดเผยให้รัฐสภา-ประชาชนตรวจสอบ
    → จะถูกตีความว่า “ยอมรับเขตแดนร่วมแล้ว”

    หากไทยเงียบและไม่แสดงจุดยืน → กัมพูชาจะใช้ “หลักฐานความนิ่งเฉย” โจมตีในเวทีสากล

    เมื่อแนวเขตปรากฏในเอกสารระหว่างประเทศ → ไทยจะฟ้องกลับภายหลัง ยากมาก


    TOR 2003 และการประชุม JBC ที่เกี่ยวข้องกับการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา มีผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้: --- 📌 ช่วงการลงนาม TOR 2003 📅 18 มิถุนายน 2546 (พ.ศ. 2003) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 🕴️ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ: นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย 📌 ผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทย: นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล – เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา (ในขณะนั้น) --- 📌 ช่วง JBC ระยอง (พ.ย. 2551) – รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: นายสมพงษ์ สระกวี 🧾 เป็นการประชุมที่ยืนยันดำเนินการตาม TOR 2003 --- 📌 JBC ช่วงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552–2554) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: นายกษิต ภิรมย์ 🎙️ ประธาน JBC ฝ่ายไทย: นายธานี ทองภักดี (ในบางช่วงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ) 📌 JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567) 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: นายเศษฐา ทวีสิน จุดเริ่มต้นการผลักดันและนำ JTSC JWG TOR2003 กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง --- 📌 JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) – ล่าสุด 🧑‍⚖️ นายกรัฐมนตรี: น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 🕴️ รมว.ต่างประเทศ: ยังไม่เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการ (อาจเปลี่ยนมือระหว่างปี) 🎙️ ประธาน JBC ฝ่ายไทย: นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย – ที่ปรึกษาด้านเขตแดน กระทรวงการต่างประเทศ 📍 สรุป: ช่วงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ฟื้นฟูการดำเนินการ JTSC อย่างเป็นทางการ” โดยมีความเคลื่อนไหวสำคัญคือการยอมรับผลการสำรวจ 45 จุด และเปิดทางให้จัดทำ TI ซึ่งจะมีผลทางกฎหมายในรัฐบาลถัดมา (แพทองธาร) --พฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึง การดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และใช้เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดนโดย: --- ✅ วิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมา 1. ใช้ TOR 2003 เป็นฐานเจรจา โดยไม่เปลี่ยนกรอบการตีความ 2. พยายามบรรจุแนวเขตตามแผนที่ 1:200,000 ลงในกระบวนการทางเทคนิค เช่น TI / Orthophoto 3. ยืนยันพิกัดรายหลักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ไทย “ลงนามรับรองร่วม” 4. เก็บหลักฐานการยอมรับจากฝ่ายไทย เพื่อนำไปใช้ในเวทีระหว่างประเทศ --- 📌 สิ่งที่ “กัมพูชาอาจทำต่อไป”: ลำดับ กลยุทธ์ที่เป็นไปได้ เป้าหมาย 1 เร่งผลักดันให้ไทยลงนาม TI อย่างเป็นทางการ ล็อกแนวเขตให้สอดคล้องกับแผนที่ 1:200,000 2 จัดเก็บข้อมูลพิกัดที่ไทยร่วมลงนามไว้เป็นหลักฐาน ใช้ยืนยันต่อ ICJ หรือในเวที UN 3 ขอให้ไทยร่วมแผนปักเสาเขตร่วมในพื้นที่พิพาท สร้าง “แนวเส้นที่เกิดจากการรับรองร่วม” 4 ไม่หารือในพื้นที่สำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนฯ ผ่าน JBC เพื่อบังคับไทยเข้าสู่ ICJ ในภายหลัง 5 ขอความช่วยเหลือจากชาติสมาชิกอาเซียน / UNESCO ใช้ soft power หนุนสถานะทางประวัติศาสตร์และสิทธิในดินแดน --- 🚨 ความเสี่ยง: หากไทย “ลงนามรับรอง TI / พิกัด” โดยไม่เปิดเผยให้รัฐสภา-ประชาชนตรวจสอบ → จะถูกตีความว่า “ยอมรับเขตแดนร่วมแล้ว” หากไทยเงียบและไม่แสดงจุดยืน → กัมพูชาจะใช้ “หลักฐานความนิ่งเฉย” โจมตีในเวทีสากล เมื่อแนวเขตปรากฏในเอกสารระหว่างประเทศ → ไทยจะฟ้องกลับภายหลัง ยากมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้คำสั่งทางเทคนิค หรือ TI
    TI ย่อมาจาก “Technical Instructions” (ข้อกำหนดทางเทคนิค)
    เป็นเอกสารที่ คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมไทย–กัมพูชา (JTSC) ใช้ร่างขึ้นเพื่อกำหนดรายละเอียดวิธีปฏิบัติของ “ชุดสำรวจร่วม” ในการวัดพิกัด เส้นเขตแดน และการจัดทำแผนที่ในแต่ละพื้นที่


    ---

    ทำไม TI สำคัญ?

    เพราะ TI คือ “คู่มือภาคสนาม” ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า:

    จะใช้ พิกัดจากระบบใด (GPS / Lidar / Orthophoto)

    จะวางแนวเขตตาม เส้นตรง, ลำน้ำ, หรือ แผนที่ฝรั่งเศส 1:200,000 ตาม TOR 2003

    จะให้ตำแหน่งของหลักเขตอยู่ที่ใด

    จะยอมรับ “ภาพถ่ายจากมุมสูง” หรือ “การตีเส้นแนวใหม่” อย่างไร

    และหากไม่มี ข้อสงวนสิทธิของไทย — จะกลายเป็นหลักฐานที่ “อาจใช้ฟ้องไทยในเวทีโลก” ได้



    ---

    ความเสี่ยงของ TI ถ้าคนไทยไม่รู้

    ประเด็น ความเสี่ยง

    TI ยึดแนวแผนที่ 1:200,000 (ฝรั่งเศสทำ) อาจยอมรับแนวเขตที่ “กินเข้ามาในฝั่งไทย” โดยไม่รู้ตัว
    หาก TI ไม่มีข้อสงวน จะถูกตีความว่า “ไทยยอมรับแนวเขตนั้น” โดยสมัครใจ
    TI ไม่ผ่านรัฐสภา ขัด ม.178 → แต่ ยังมีผลจริงในภาคสนาม หาก JTSC ลงนามและ JBC รับรอง
    ประชาชนไม่รู้ ทำให้ เกิดการเสียสิทธิโดยเงียบ ไม่สามารถทักท้วงได้ทันเวลา



    ---

    คนไทยควรรู้อะไรเกี่ยวกับ TI?

    1. TI กำหนดอนาคตของพรมแดนไทยแบบเงียบ ๆ


    2. TI ที่ไม่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ = เสี่ยงต่อการตัดสินใจแบบไม่โปร่งใส


    3. หากประชาชนไม่จับตา → ไทยอาจถูกลดเขตแดนทีละส่วน โดยไม่มีเสียงคัดค้าน




    ---

    บทสรุป:

    > “TI ไม่ใช่แค่เอกสารทางเทคนิค — แต่มันคือแผนที่อนาคตของชาติ”
    หากร่างโดยยอมรับแผนที่ที่ไม่เป็นธรรม = เรากำลังยอมมอบแผ่นดินให้โดยไม่รู้ตัว


    45 จุดที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันระหว่างไทย–กัมพูชาแล้วในการประชุม JTSC ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) และได้รับ การรับรองใน JBC ครั้งที่ 6 (14 มิถุนายน 2568) ถือเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" ที่คนไทย ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะ:


    ---

    45 จุดนั้นคืออะไร?

    คือ จุดหลักเขตแดน (Boundary Pillars หรือ BPs) ที่คณะเทคนิคไทย–กัมพูชาได้ “ลงสำรวจภาคสนามร่วมกัน”

    ใช้ Orthophoto (ภาพถ่ายทางอากาศ) ผสานกับ LiDAR + GPS → แล้ว "ตีพิกัดร่วม"

    จุดที่เห็นพ้อง = ถือเป็นจุดที่อ้างอิงเขตแดนได้ในทางปฏิบัติ



    ---

    ความเสี่ยงจาก 45 จุดนี้

    ประเด็น ความเสี่ยง

    รับรองพิกัด หมายถึง ไทย–กัมพูชา ยอมรับร่วมกันแล้วว่า จุดนี้คือ “เขตแดน”
    ผูกพันตาม TI หาก TI ถูกเขียนทีหลัง โดยอิงกับ TOR2003 (แผนที่ 1:200,000) → จุดเหล่านี้จะผูกกับแนวเขตที่ อาจเข้าข้างแผนที่ฝรั่งเศส
    ไม่ผ่านรัฐสภา หากรับรองใน JBC แล้ว แต่ ไม่เข้าสภาตาม ม.178 → อาจผิดรัฐธรรมนูญ
    ไม่เผยแพร่แผนที่จริง ประชาชนยังไม่เห็นว่า “ทั้ง 45 จุดอยู่ตรงไหน” → เสี่ยงที่เราจะ “เสียทีละจุด” โดยไม่รู้ตัว
    บางจุดอยู่ในพื้นที่พิพาท เช่น บริเวณปราสาทตาเมือนธม / ปราสาทตาควาย / เขาสัตตะโสม ฯลฯ → หากตีพิกัดผิด = อธิปไตยอาจหลุดมือ



    ---

    ข้อเท็จจริงที่คุณต้องรู้

    การเห็นพ้องใน 45 จุด ไม่ได้หมายถึง “ตกลงเส้นเขตแดนทั้งเส้น”

    แต่ “หากมีการเขียน TI ต่อ” โดยไม่มี ข้อสงวน หรือ การนำเข้าสภา → 45 จุดนี้จะกลายเป็น “แนวเขตถาวรโดยพฤตินัย”



    ---

    คุณจะทำอะไรได้ตอนนี้?

    1. เรียกร้องให้เปิดเผยแผนที่ 45 จุดบนเว็บไซต์ของรัฐ


    2. ขอดู TI ที่กำลังร่าง จาก JTSC → ต้องเปิดเผยก่อนเข้าสู่ JBC ครั้งหน้า


    3. ยื่นผ่าน ส.ส. ให้ตั้ง กมธ.ตรวจสอบ


    4. ส่งต่อข้อมูลนี้ให้คนไทยรู้ ว่า “เราอาจยอมรับแนวเขต 45 จุด โดยไม่รู้ตัว”




    ---

    > “จุดที่เราไม่ทันระวัง คือจุดที่เราจะเสียแผ่นดิน”
    — นี่คือเหตุผลที่คุณตื่นรู้แล้วต้องไม่หยุดเคลื่อนไหว


    การใช้คำสั่งทางเทคนิค หรือ TI TI ย่อมาจาก “Technical Instructions” (ข้อกำหนดทางเทคนิค) เป็นเอกสารที่ คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมไทย–กัมพูชา (JTSC) ใช้ร่างขึ้นเพื่อกำหนดรายละเอียดวิธีปฏิบัติของ “ชุดสำรวจร่วม” ในการวัดพิกัด เส้นเขตแดน และการจัดทำแผนที่ในแต่ละพื้นที่ --- 📌 ทำไม TI สำคัญ? เพราะ TI คือ “คู่มือภาคสนาม” ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า: ✅ จะใช้ พิกัดจากระบบใด (GPS / Lidar / Orthophoto) ✅ จะวางแนวเขตตาม เส้นตรง, ลำน้ำ, หรือ แผนที่ฝรั่งเศส 1:200,000 ตาม TOR 2003 ✅ จะให้ตำแหน่งของหลักเขตอยู่ที่ใด ✅ จะยอมรับ “ภาพถ่ายจากมุมสูง” หรือ “การตีเส้นแนวใหม่” อย่างไร ❌ และหากไม่มี ข้อสงวนสิทธิของไทย — จะกลายเป็นหลักฐานที่ “อาจใช้ฟ้องไทยในเวทีโลก” ได้ --- ⚠️ ความเสี่ยงของ TI ถ้าคนไทยไม่รู้ ประเด็น ความเสี่ยง TI ยึดแนวแผนที่ 1:200,000 (ฝรั่งเศสทำ) อาจยอมรับแนวเขตที่ “กินเข้ามาในฝั่งไทย” โดยไม่รู้ตัว หาก TI ไม่มีข้อสงวน จะถูกตีความว่า “ไทยยอมรับแนวเขตนั้น” โดยสมัครใจ TI ไม่ผ่านรัฐสภา ขัด ม.178 → แต่ ยังมีผลจริงในภาคสนาม หาก JTSC ลงนามและ JBC รับรอง ประชาชนไม่รู้ ทำให้ เกิดการเสียสิทธิโดยเงียบ ไม่สามารถทักท้วงได้ทันเวลา --- 🎯 คนไทยควรรู้อะไรเกี่ยวกับ TI? 1. TI กำหนดอนาคตของพรมแดนไทยแบบเงียบ ๆ 2. TI ที่ไม่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ = เสี่ยงต่อการตัดสินใจแบบไม่โปร่งใส 3. หากประชาชนไม่จับตา → ไทยอาจถูกลดเขตแดนทีละส่วน โดยไม่มีเสียงคัดค้าน --- 📣 บทสรุป: > “TI ไม่ใช่แค่เอกสารทางเทคนิค — แต่มันคือแผนที่อนาคตของชาติ” หากร่างโดยยอมรับแผนที่ที่ไม่เป็นธรรม = เรากำลังยอมมอบแผ่นดินให้โดยไม่รู้ตัว 45 จุดที่ผ่านความเห็นชอบร่วมกันระหว่างไทย–กัมพูชาแล้วในการประชุม JTSC ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) และได้รับ การรับรองใน JBC ครั้งที่ 6 (14 มิถุนายน 2568) ถือเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" ที่คนไทย ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะ: --- 📌 45 จุดนั้นคืออะไร? คือ จุดหลักเขตแดน (Boundary Pillars หรือ BPs) ที่คณะเทคนิคไทย–กัมพูชาได้ “ลงสำรวจภาคสนามร่วมกัน” ใช้ Orthophoto (ภาพถ่ายทางอากาศ) ผสานกับ LiDAR + GPS → แล้ว "ตีพิกัดร่วม" จุดที่เห็นพ้อง = ถือเป็นจุดที่อ้างอิงเขตแดนได้ในทางปฏิบัติ --- ⚠️ ความเสี่ยงจาก 45 จุดนี้ ประเด็น ความเสี่ยง ✅ รับรองพิกัด หมายถึง ไทย–กัมพูชา ยอมรับร่วมกันแล้วว่า จุดนี้คือ “เขตแดน” ❗ ผูกพันตาม TI หาก TI ถูกเขียนทีหลัง โดยอิงกับ TOR2003 (แผนที่ 1:200,000) → จุดเหล่านี้จะผูกกับแนวเขตที่ อาจเข้าข้างแผนที่ฝรั่งเศส ❗ ไม่ผ่านรัฐสภา หากรับรองใน JBC แล้ว แต่ ไม่เข้าสภาตาม ม.178 → อาจผิดรัฐธรรมนูญ ❗ ไม่เผยแพร่แผนที่จริง ประชาชนยังไม่เห็นว่า “ทั้ง 45 จุดอยู่ตรงไหน” → เสี่ยงที่เราจะ “เสียทีละจุด” โดยไม่รู้ตัว ❗ บางจุดอยู่ในพื้นที่พิพาท เช่น บริเวณปราสาทตาเมือนธม / ปราสาทตาควาย / เขาสัตตะโสม ฯลฯ → หากตีพิกัดผิด = อธิปไตยอาจหลุดมือ --- 🛑 ข้อเท็จจริงที่คุณต้องรู้ การเห็นพ้องใน 45 จุด ไม่ได้หมายถึง “ตกลงเส้นเขตแดนทั้งเส้น” แต่ “หากมีการเขียน TI ต่อ” โดยไม่มี ข้อสงวน หรือ การนำเข้าสภา → 45 จุดนี้จะกลายเป็น “แนวเขตถาวรโดยพฤตินัย” --- ✊ คุณจะทำอะไรได้ตอนนี้? 1. เรียกร้องให้เปิดเผยแผนที่ 45 จุดบนเว็บไซต์ของรัฐ 2. ขอดู TI ที่กำลังร่าง จาก JTSC → ต้องเปิดเผยก่อนเข้าสู่ JBC ครั้งหน้า 3. ยื่นผ่าน ส.ส. ให้ตั้ง กมธ.ตรวจสอบ 4. ส่งต่อข้อมูลนี้ให้คนไทยรู้ ว่า “เราอาจยอมรับแนวเขต 45 จุด โดยไม่รู้ตัว” --- > 📣 “จุดที่เราไม่ทันระวัง คือจุดที่เราจะเสียแผ่นดิน” — นี่คือเหตุผลที่คุณตื่นรู้แล้วต้องไม่หยุดเคลื่อนไหว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำคัญของ JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) ที่เกี่ยวข้องกับ JTSC:


    ---

    1. อนุมัติผลจาก JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567)

    สถานะ: เสร็จสมบูรณ์

    JBC ครั้งที่ 6 ได้อนุมัติผลสำรวจภาคสนามจาก JTSC ครั้งที่ 4 ซึ่งมีพิกัดของ 74 พิกัดเสาเขต (BPs) และ 45 แห่ง ที่ตกลงร่วมกัน

    0-3มีมติให้ใช้งาน LiDAR สำหรับผลิต Orthophoto Maps เพื่อเร่งกระบวนการ demarcation 



    ---

    2. แก้ TOR 2003 ให้รวม LiDAR / Orthophoto

    สถานะ: ดำเนินการแล้ว

    455-1JBC ครั้งที่ 6 ได้อนุมัติการแก้ไข TOR เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR และภาพถ่ายดาวเทียมในการผลิต Orthophoto Maps เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางเทคนิค 



    ---

    3. มอบหมายให้ JTSC ร่าง Technical Instructions (TI) และสำรวจภาคสนามใน Sector 6

    สถานะ: อยู่ในระหว่างดำเนินการ

    JBC ครั้งที่ 6 ได้ สั่งให้ JTSC ร่าง TI เพื่อใช้เป็นแนวทางใน Sector 6 (เขาสัตตะโสมถึง BP 1, ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ) พร้อมทำ Orthophoto

    จนถึงปัจจุบันยัง ไม่มีประกาศยันเวลาจริงหรือเอกสาร TI แบบเป็นทางการ จากกระทรวงการต่างประเทศ

    713-3คาดว่า JTSC ครั้งที่ 5 หรือการประชุมเอกสาร TI จะเกิดขึ้น ก่อน หรือ ควบคู่กับ JBC ครั้งถัดไป ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพใน กันยายน 2568 



    ---

    สรุปความคืบหน้ารายการงาน สถานะ

    1 อนุมัติพิกัดจาก JTSC ครั้ง 4 เสร็จแล้ว
    2 แก้ TOR 2003 รวม LiDAR/Orthophoto เสร็จแล้ว
    3 ร่าง TI + สำรวจภาคสนาม Sector 6 กำลังดำเนินการ และคาดจะเสร็จก่อน JBC กันยายน 2568 หากดำเนินการเสร็จ ไทยจะเสียดินแดนตลอดไป จากแผนที่ทางอากาศที่ปรับรูปแนวเขตตาม Tor2003 หรือ แผนที่ 1 :200000

    สำคัญของ JBC ครั้งที่ 6 (14 มิ.ย. 2568) ที่เกี่ยวข้องกับ JTSC: --- 1. อนุมัติผลจาก JTSC ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 2567) ✅ สถานะ: เสร็จสมบูรณ์ JBC ครั้งที่ 6 ได้อนุมัติผลสำรวจภาคสนามจาก JTSC ครั้งที่ 4 ซึ่งมีพิกัดของ 74 พิกัดเสาเขต (BPs) และ 45 แห่ง ที่ตกลงร่วมกัน 0-3มีมติให้ใช้งาน LiDAR สำหรับผลิต Orthophoto Maps เพื่อเร่งกระบวนการ demarcation  --- 2. แก้ TOR 2003 ให้รวม LiDAR / Orthophoto ✅ สถานะ: ดำเนินการแล้ว 455-1JBC ครั้งที่ 6 ได้อนุมัติการแก้ไข TOR เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR และภาพถ่ายดาวเทียมในการผลิต Orthophoto Maps เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางเทคนิค  --- 3. มอบหมายให้ JTSC ร่าง Technical Instructions (TI) และสำรวจภาคสนามใน Sector 6 ⚠️ สถานะ: อยู่ในระหว่างดำเนินการ JBC ครั้งที่ 6 ได้ สั่งให้ JTSC ร่าง TI เพื่อใช้เป็นแนวทางใน Sector 6 (เขาสัตตะโสมถึง BP 1, ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ) พร้อมทำ Orthophoto จนถึงปัจจุบันยัง ไม่มีประกาศยันเวลาจริงหรือเอกสาร TI แบบเป็นทางการ จากกระทรวงการต่างประเทศ 713-3คาดว่า JTSC ครั้งที่ 5 หรือการประชุมเอกสาร TI จะเกิดขึ้น ก่อน หรือ ควบคู่กับ JBC ครั้งถัดไป ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพใน กันยายน 2568  --- 📌 สรุปความคืบหน้ารายการงาน สถานะ 1 อนุมัติพิกัดจาก JTSC ครั้ง 4 ✅ เสร็จแล้ว 2 แก้ TOR 2003 รวม LiDAR/Orthophoto ✅ เสร็จแล้ว 3 ร่าง TI + สำรวจภาคสนาม Sector 6 ⚠️ กำลังดำเนินการ และคาดจะเสร็จก่อน JBC กันยายน 2568 หากดำเนินการเสร็จ ไทยจะเสียดินแดนตลอดไป จากแผนที่ทางอากาศที่ปรับรูปแนวเขตตาม Tor2003 หรือ แผนที่ 1 :200000
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • KLIA Aerotrain รถไฟฟ้าสนามบินเคแอลกลับมาแล้ว

    ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) ประเทศมาเลเซีย ได้กลับมาเปิดให้บริการระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติที่ชื่อว่า KLIA Aerotrain อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 เชื่อมระหว่างอาคาร 1 (Terminal 1) กับอาคารผู้โดยสารรอง (Sattlelite) ซึ่งมีเที่ยวบินเส้นทางระยะไกลจำนวนมาก หลังบริษัท มาเลเซีย แอร์พอร์ต โฮลดิ้ง เบอร์ฮัด (MAHB) ผู้บริหารสนามบินตัดสินใจปิดปรับปรุงยาวนานกว่า 28 เดือน ทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างสองอาคาร ต้องไปขึ้นรถบัสที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ให้ และเสียเวลาเดินทางมากกว่าปกติ

    KLIA Aerotrain เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2541 พร้อมกับการย้ายสนามบิน จากท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ (SZB) โดยใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับแอดทรานซ์ (Adtranz) รุ่น CX-100 จำนวน 3 คัน แนวเส้นทางจะลอดทางขับเครื่องบิน (แท็กซี่เวย์) ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาขัดข้องบ่อยครั้ง หนักที่สุดคือวันที่ 1 มี.ค. 2566 ขบวนรถขัดข้อง มีผู้โดยสาร 114 คนติดค้าง ทำให้ MAHB ตัดสินใจหยุดให้บริการชั่วคราวเป็นต้นมา

    MAHB ปรับปรุง KLIA Aerotrain ใหม่ ด้วยงบลงทุน 456 ล้านริงกิต เปลี่ยนมาใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับ อัลสตอม (Alstom) รุ่นอินโนเวีย เอพีเอ็ม 300 อาร์ (Innovia APM 300R) มีทั้งหมด 3 คัน รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 270 คนต่อเที่ยว เดินรถด้วยความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางระหว่างสองอาคารเหลือเพียง 3 นาที ผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดหวังว่าจะทำให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคชั้นนำในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวัน และต้อนรับปีการท่องเที่ยวมาเลเซีย หรือ Visit Malaysia 2026

    ข้อมูลจาก CAPA Centre for Aviation พบว่าในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 57.1 ล้านคน ข้อมูลจาก Flightradar 24 พบว่ามีเที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยังสิงคโปร์ (SIN) มากที่สุดถึง 270 เที่ยวบิน ตามมาด้วยจาการ์ตา (CGK) 184 เที่ยวบิน โกตากินาบาลู (BKI) 172 เที่ยวบิน กูชิง (KCH) 152 เที่ยวบิน ปีนัง (PEN) 143 เที่ยวบิน ลังกาวี (LGK) 132 เที่ยวบิน บาหลี (DPS) 105 เที่ยวบิน ยะโฮร์บาห์รู (JHB) 87 เที่ยวบิน กว่างโจว (CAN) 83 เที่ยวบินและโกตาบาห์รู (KBR) 80 เที่ยวบิน

    อนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียนมี 4 ประเทศที่มีระบบขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานชางงี สิงคโปร์ ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา อินโดนีเซีย และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

    #Newskit
    KLIA Aerotrain รถไฟฟ้าสนามบินเคแอลกลับมาแล้ว ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) ประเทศมาเลเซีย ได้กลับมาเปิดให้บริการระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติที่ชื่อว่า KLIA Aerotrain อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 เชื่อมระหว่างอาคาร 1 (Terminal 1) กับอาคารผู้โดยสารรอง (Sattlelite) ซึ่งมีเที่ยวบินเส้นทางระยะไกลจำนวนมาก หลังบริษัท มาเลเซีย แอร์พอร์ต โฮลดิ้ง เบอร์ฮัด (MAHB) ผู้บริหารสนามบินตัดสินใจปิดปรับปรุงยาวนานกว่า 28 เดือน ทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างสองอาคาร ต้องไปขึ้นรถบัสที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ให้ และเสียเวลาเดินทางมากกว่าปกติ KLIA Aerotrain เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2541 พร้อมกับการย้ายสนามบิน จากท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ (SZB) โดยใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับแอดทรานซ์ (Adtranz) รุ่น CX-100 จำนวน 3 คัน แนวเส้นทางจะลอดทางขับเครื่องบิน (แท็กซี่เวย์) ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาขัดข้องบ่อยครั้ง หนักที่สุดคือวันที่ 1 มี.ค. 2566 ขบวนรถขัดข้อง มีผู้โดยสาร 114 คนติดค้าง ทำให้ MAHB ตัดสินใจหยุดให้บริการชั่วคราวเป็นต้นมา MAHB ปรับปรุง KLIA Aerotrain ใหม่ ด้วยงบลงทุน 456 ล้านริงกิต เปลี่ยนมาใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับ อัลสตอม (Alstom) รุ่นอินโนเวีย เอพีเอ็ม 300 อาร์ (Innovia APM 300R) มีทั้งหมด 3 คัน รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 270 คนต่อเที่ยว เดินรถด้วยความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางระหว่างสองอาคารเหลือเพียง 3 นาที ผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดหวังว่าจะทำให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคชั้นนำในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวัน และต้อนรับปีการท่องเที่ยวมาเลเซีย หรือ Visit Malaysia 2026 ข้อมูลจาก CAPA Centre for Aviation พบว่าในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 57.1 ล้านคน ข้อมูลจาก Flightradar 24 พบว่ามีเที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยังสิงคโปร์ (SIN) มากที่สุดถึง 270 เที่ยวบิน ตามมาด้วยจาการ์ตา (CGK) 184 เที่ยวบิน โกตากินาบาลู (BKI) 172 เที่ยวบิน กูชิง (KCH) 152 เที่ยวบิน ปีนัง (PEN) 143 เที่ยวบิน ลังกาวี (LGK) 132 เที่ยวบิน บาหลี (DPS) 105 เที่ยวบิน ยะโฮร์บาห์รู (JHB) 87 เที่ยวบิน กว่างโจว (CAN) 83 เที่ยวบินและโกตาบาห์รู (KBR) 80 เที่ยวบิน อนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียนมี 4 ประเทศที่มีระบบขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานชางงี สิงคโปร์ ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา อินโดนีเซีย และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดีเอสไอ" เปิดโปง ขบวนการรีดหัวคิวแรงงานต่างด้าว รายละ 2,500 บาท โอนเงินผ่านบัญชีม้าไปยังเจ้าหน้าที่กัมพูชา ก่อนวนกลับเข้าไทย เล็งฟันฐานฟอกเงิน

    วันนี้ (3 ก.ค.) เวลา 13.30 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีดีเอสไอ , ร.ต.อ.ทินวุฒิ สีละพัฒน์ ผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ , พ.ต.ท.ธนวัฒน์ วงศ์อนันต์ชัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ , นายจินกร แก้วศรี รองผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตรวจค้น บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รับปรึกษาด้านเอกสารแรงงานต่างด้าว เลขที่ 38/1501 ถนนไทยรามัญ แขวงคลองสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ เพื่อเก็บพยานหลักฐาน ขบวนการรีดหัวคิวแรงงานนำไปฟอกเงินผ่านเจ้าหน้าที่กัมพูชา

    พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้ใช้ชื่อว่า “กลุ่มนายจ้าง ที่ได้รับความเดือดร้อน” ร้องเรียนว่า ตามที่กระทรวงแรงงานของไทย ได้มีประกาศกระทรวงแรงงาน ลงวันที่ 26 พ.ย.2567 ผ่อนผันให้มีการต่อใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่ครบกำหนดวันสิ้นสุดการอนุญาต ในวันที่ 13 ก.พ.2568 ซึ่งประกอบด้วย เมียนมา 2,012,856 คน กัมพูชา 287,557 คน ลาว 94,132 คน และเวียดนาม 3,673 คน โดยกำหนดเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาว่าผู้ที่จะต่อใบอนุญาตทำงานได้ ต้องได้รับการรับรองจากสถานทูตและนายหน้าจัดหางาน (AGENCY) จากประเทศต้นทางเสียก่อน จึงทำให้เกิดมีขบวนการเรียกรับเงินจากแรงงานต่างด้าวที่ต้องการจะต่อใบอนุญาตทำงานดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000062771

    #MGROnline #ดีเอสไอ
    "ดีเอสไอ" เปิดโปง ขบวนการรีดหัวคิวแรงงานต่างด้าว รายละ 2,500 บาท โอนเงินผ่านบัญชีม้าไปยังเจ้าหน้าที่กัมพูชา ก่อนวนกลับเข้าไทย เล็งฟันฐานฟอกเงิน • วันนี้ (3 ก.ค.) เวลา 13.30 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีดีเอสไอ , ร.ต.อ.ทินวุฒิ สีละพัฒน์ ผู้อำนวยการกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ , พ.ต.ท.ธนวัฒน์ วงศ์อนันต์ชัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ , นายจินกร แก้วศรี รองผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตรวจค้น บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง รับปรึกษาด้านเอกสารแรงงานต่างด้าว เลขที่ 38/1501 ถนนไทยรามัญ แขวงคลองสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ เพื่อเก็บพยานหลักฐาน ขบวนการรีดหัวคิวแรงงานนำไปฟอกเงินผ่านเจ้าหน้าที่กัมพูชา • พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้ใช้ชื่อว่า “กลุ่มนายจ้าง ที่ได้รับความเดือดร้อน” ร้องเรียนว่า ตามที่กระทรวงแรงงานของไทย ได้มีประกาศกระทรวงแรงงาน ลงวันที่ 26 พ.ย.2567 ผ่อนผันให้มีการต่อใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่ครบกำหนดวันสิ้นสุดการอนุญาต ในวันที่ 13 ก.พ.2568 ซึ่งประกอบด้วย เมียนมา 2,012,856 คน กัมพูชา 287,557 คน ลาว 94,132 คน และเวียดนาม 3,673 คน โดยกำหนดเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาว่าผู้ที่จะต่อใบอนุญาตทำงานได้ ต้องได้รับการรับรองจากสถานทูตและนายหน้าจัดหางาน (AGENCY) จากประเทศต้นทางเสียก่อน จึงทำให้เกิดมีขบวนการเรียกรับเงินจากแรงงานต่างด้าวที่ต้องการจะต่อใบอนุญาตทำงานดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000062771 • #MGROnline #ดีเอสไอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุกการเดินทาง ย่อมมีก้าวที่หนึ่ง

    ครบรอบ 1 ปี สำหรับเพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร

    นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงปัจจุบัน Newskit เผยแพร่เรื่องราวไปแล้ว 240 ตอน มากกว่า 360 เรื่อง (บางวันมี 2 เรื่อง) ยอดผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 1,147 ราย เฟซบุ๊ก 294 ราย นอกจากนี้ยังได้โพสต์เรื่องราวในอินสตาแกรม @newskit.th สามารถติดตามกันได้

    หลังเว้นวรรคจากคอลัมนิสต์ประจำ ที่ผ่านมาการทำเพจของเรา เดินทางด้วยใจล้วนๆ แม้จะมีอุปสรรคทั้งเรื่องหน้าที่การงานภารกิจ และปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องลาหยุดผู้อ่านไปบ้าง แต่ทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็พยายามพบกันให้เหมือนกับหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่สมัยก่อนวางแผงแต่เช้าตรู่ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่หน้าจอมือถือ

    และเมื่อเดินทางด้วยใจล้วนๆ นี่เอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่มีรายได้จากการทำเพจเลย จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่เคยเล่นกิมมิกกับ THAI QR PAYMENT แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เยอะมาก ถึงกระนั้นเรายังคงใช้หัวใจทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราพบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหนักขึ้น นับแต่นี้ต่อไปอาจจะไม่ได้พบกับคุณผู้อ่านบ่อยครั้งทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แต่จะพยายามพบกับคุณผู้อ่านให้ได้มากที่สุดตามแต่โอกาส จนกว่าหน้าที่การงานจะลงตัว อาจจะได้พบกันทุกวันตราบเท่าที่เรายังพอไหว เพราะด้วยอายุมากขึ้น การปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) ย่อมจำเป็น ขออภัยในความไม่สะดวก ณ ที่นี้

    ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้การสนับสนุนเพจ Newskit มาโดยตลอด เราอาจเป็นเพจเล็กในซอยลึก ที่คนอ่านมีไม่เยอะ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นตั้งใจมาโดยตลอด คือ พยายามแสวงหาเรื่องราวที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของความจริง

    กิตตินันท์ นาคทอง
    ผู้ก่อตั้งเพจ Newskit

    #Newskit
    ทุกการเดินทาง ย่อมมีก้าวที่หนึ่ง ครบรอบ 1 ปี สำหรับเพจ Newskit ในคอนเซปต์ "ข่าวออนไลน์ อารมณ์หนังสือพิมพ์" ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567 ยืนหยัดนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากสื่อกระแสหลักและเพจข่าวทั่วไป ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเพียงเล็กน้อยในประเทศไทย เรื่องราวแปลกใหม่และใกล้ตัวในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย เผยแพร่ผ่าน 3 แพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่สั้น กระชับ สรุปความในโพสต์เดียว ไม่เกิน 2,200 ตัวอักษร นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ถึงปัจจุบัน Newskit เผยแพร่เรื่องราวไปแล้ว 240 ตอน มากกว่า 360 เรื่อง (บางวันมี 2 เรื่อง) ยอดผู้ติดตามในแพลตฟอร์ม Thaitimes โซเชียลมีเดียของคนไทย 1,147 ราย เฟซบุ๊ก 294 ราย นอกจากนี้ยังได้โพสต์เรื่องราวในอินสตาแกรม @newskit.th สามารถติดตามกันได้ หลังเว้นวรรคจากคอลัมนิสต์ประจำ ที่ผ่านมาการทำเพจของเรา เดินทางด้วยใจล้วนๆ แม้จะมีอุปสรรคทั้งเรื่องหน้าที่การงานภารกิจ และปัญหาสุขภาพ ทำให้ต้องลาหยุดผู้อ่านไปบ้าง แต่ทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ก็พยายามพบกันให้เหมือนกับหนังสือพิมพ์กรอบเช้าที่สมัยก่อนวางแผงแต่เช้าตรู่ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านจากกระดาษสู่หน้าจอมือถือ และเมื่อเดินทางด้วยใจล้วนๆ นี่เอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่มีรายได้จากการทำเพจเลย จะมีก็แต่ครั้งหนึ่งที่เคยเล่นกิมมิกกับ THAI QR PAYMENT แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เยอะมาก ถึงกระนั้นเรายังคงใช้หัวใจทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่เราพบเจอและน่าสนใจ จากคำสอนของผู้ใหญ่ที่ให้เริ่มจากสิ่งที่อยากทำมากกว่ารายได้ แล้วจะมีความสุขในการทำงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อหน้าที่การงานหนักขึ้น นับแต่นี้ต่อไปอาจจะไม่ได้พบกับคุณผู้อ่านบ่อยครั้งทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ แต่จะพยายามพบกับคุณผู้อ่านให้ได้มากที่สุดตามแต่โอกาส จนกว่าหน้าที่การงานจะลงตัว อาจจะได้พบกันทุกวันตราบเท่าที่เรายังพอไหว เพราะด้วยอายุมากขึ้น การปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance) ย่อมจำเป็น ขออภัยในความไม่สะดวก ณ ที่นี้ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามและให้การสนับสนุนเพจ Newskit มาโดยตลอด เราอาจเป็นเพจเล็กในซอยลึก ที่คนอ่านมีไม่เยอะ แต่สิ่งที่เรายึดมั่นตั้งใจมาโดยตลอด คือ พยายามแสวงหาเรื่องราวที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของความจริง กิตตินันท์ นาคทอง ผู้ก่อตั้งเพจ Newskit #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • (TOR) ปี 2546 ไทยยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แล้วรัฐบาลไทยไปตกลงยินยอมตกลงตาม ใน JBC ครั้งล่าุด ตามข้อ (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step.

    แปล (2)การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต หมายถึงจะกำหนดเขตแดนดาวเทียมให้เป็นกับแผนที่ 1 : 200000 ใช่หรือไม่


    15 มิถุนายน 2568 ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เรื่องการกำหนดแนวเขตที่ดินและการวางหลักเขตชายแดน การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน

    สื่อท้องถิ่นของกัมพูชา รายงานว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงหารือกันต่อในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และเห็นพ้องที่จะอนุมัติวาระสำคัญ 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้

    1. การอนุมัติบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วมครั้งที่ 4 (JTSC) ที่จัดขึ้นที่เสียมเรียบ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

    2. การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต

    3. การอนุมัติการจัดวางคณะสำรวจร่วมเพื่อดำเนินการตรวจสอบภาคสนามและกำหนดเขตแดน

    4. การหารือแนวทางการสำรวจในเขตพื้นที่ 6
    (TOR) ปี 2546 ไทยยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แล้วรัฐบาลไทยไปตกลงยินยอมตกลงตาม ใน JBC ครั้งล่าุด ตามข้อ (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step. แปล (2)การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต หมายถึงจะกำหนดเขตแดนดาวเทียมให้เป็นกับแผนที่ 1 : 200000 ใช่หรือไม่ 15 มิถุนายน 2568 ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เรื่องการกำหนดแนวเขตที่ดินและการวางหลักเขตชายแดน การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายน สื่อท้องถิ่นของกัมพูชา รายงานว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงหารือกันต่อในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และเห็นพ้องที่จะอนุมัติวาระสำคัญ 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้ 1. การอนุมัติบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วมครั้งที่ 4 (JTSC) ที่จัดขึ้นที่เสียมเรียบ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 2. การอนุมัติการแก้ไขขอบเขตงานและแผนแม่บทการสำรวจและกำหนดแนวเขตร่วมระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา พ.ศ. 2546 (TOR 2003) เพื่อรวมเทคโนโลยี LiDAR เข้าในขั้นตอนการผลิตแผนที่ออร์โธโฟโต 3. การอนุมัติการจัดวางคณะสำรวจร่วมเพื่อดำเนินการตรวจสอบภาคสนามและกำหนดเขตแดน 4. การหารือแนวทางการสำรวจในเขตพื้นที่ 6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๒เกี​ยว​โด​นิวส์​ (27​ มิ.ย.)​ รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นประหารชีวิตชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมต่อเนื่อง 9 ศพ เมื่อปี 2560 ใกล้กับกรุงโตเกียว ซึ่งถือเป็นการแขวนคอครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565

    โทษประหารชีวิตของทาคาฮิโระ ชิราอิชิ อายุ 34 ปี ผู้ได้รับฉายาว่า "ฆาตกรทวิตเตอร์" ของญี่ปุ่น ได้รับคำพิพาก​ษาสิ้นสุดในปี 2564 หลังจากที่เขาถอนคำอุทธรณ์ เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม ชำแหละ และเก็บศพเหยื่อทั้ง 9 รายไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขาในเมืองซามะ จังหวัดคานากาวะ

    "ผมสั่งประหารชีวิตหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบคอบ" เคอิสุเกะ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นเพื่อประกาศการแขวนคอ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

    การประหารชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับระบบยุติธรรม​โทษประหารชีวิตของประเทศ หลังจากที่อิวาโอะ ฮากามาตะ วัย 89 ปี ซึ่งต้องโทษประหารชีวิตมานานกว่า 4 ทศวรรษ ได้รับการพิพากษาให้พ้นผิด

    อิวาโอะ ฮากามาตะ ​พ้นผิดจากคดีฆาตกรรม 4 ศพเมื่อปี 2509 และการรื้อการพิจารณาคดีใหม่เสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2567

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/japan/detail/9680000060591

    #Thaitimes #MGROnline #รัฐบาลญี่ปุ่น #ประหารชีวิต
    ๒เกี​ยว​โด​นิวส์​ (27​ มิ.ย.)​ รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นประหารชีวิตชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมต่อเนื่อง 9 ศพ เมื่อปี 2560 ใกล้กับกรุงโตเกียว ซึ่งถือเป็นการแขวนคอครั้งแรกของประเทศนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 • โทษประหารชีวิตของทาคาฮิโระ ชิราอิชิ อายุ 34 ปี ผู้ได้รับฉายาว่า "ฆาตกรทวิตเตอร์" ของญี่ปุ่น ได้รับคำพิพาก​ษาสิ้นสุดในปี 2564 หลังจากที่เขาถอนคำอุทธรณ์ เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม ชำแหละ และเก็บศพเหยื่อทั้ง 9 รายไว้ในอพาร์ตเมนต์ของเขาในเมืองซามะ จังหวัดคานากาวะ • "ผมสั่งประหารชีวิตหลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบคอบ" เคอิสุเกะ ซูซูกิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นเพื่อประกาศการแขวนคอ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว • การประหารชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางคำถามเกี่ยวกับระบบยุติธรรม​โทษประหารชีวิตของประเทศ หลังจากที่อิวาโอะ ฮากามาตะ วัย 89 ปี ซึ่งต้องโทษประหารชีวิตมานานกว่า 4 ทศวรรษ ได้รับการพิพากษาให้พ้นผิด • อิวาโอะ ฮากามาตะ ​พ้นผิดจากคดีฆาตกรรม 4 ศพเมื่อปี 2509 และการรื้อการพิจารณาคดีใหม่เสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2567 • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/japan/detail/9680000060591 • #Thaitimes #MGROnline #รัฐบาลญี่ปุ่น #ประหารชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน

    เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท

    คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ”



    นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร

    โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา

    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง

    ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่

    นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์

    เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก"

    https://sondhitalk.com/photo-gallery/9680000059229?fbclid=IwQ0xDSwLHDOBleHRuA2FlbQIxMQABHjn6VGI0tuOTxS9x_CkwyfHJV-yBaFUZuPKiJhpkpFj61C6LFET_1vKF_qsn_aem_sKwXdW8qRXGV0NWL3DHNAQ
    ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ” นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์ เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก" https://sondhitalk.com/photo-gallery/9680000059229?fbclid=IwQ0xDSwLHDOBleHRuA2FlbQIxMQABHjn6VGI0tuOTxS9x_CkwyfHJV-yBaFUZuPKiJhpkpFj61C6LFET_1vKF_qsn_aem_sKwXdW8qRXGV0NWL3DHNAQ
    SONDHITALK.COM
    Photo Gallery ศาลอาญายกฟ้อง "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พูดพาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต
    Photo Gallery ศาลอาญายกฟ้อง บิ๊กอ็อด ฟ้องหมิ่น สนธิ ลิ้มทองกุล พาดพิงในรายการสนธิทอร์ค ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 มิถุนายน 2568 -ศ.ไชยันต์ ไชยพร วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองร้อน ถ้านายกรัฐมนตรี แพทองธารไม่ยอมลาออกจนถึงวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 3 ก.ค. 2568

    เมื่อเปิดประชุมสภาฯ มีกลไกอะไรที่จะทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร จะสิ้นสุดลงได้ ?

    1. สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ

    ในกรณีที่นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

    จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คือ 98 คน ( สส ทั้งหมดในสภามี 493 /ตัวเลข ณ วันที่ 26 มีนาคม 2568)

    ถ้าพรรคประชาชนต้องการให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีย่อมทำได้ เพราะพรรคประชาชนมี สส เกิน 100

    ในช่วงที่เสนอญัตติได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้

    แต่ถ้าหลังลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว ถ้าเสียงไม่ไว้วางใจไม่เกินครึ่ง หมายความว่า แพทองธารยังเป็นนายกฯ อยู่ เธอจะยุบสภาก็ได้

    การที่กำหนดไว้แบบนี้ เพื่อขู่ สส ที่เสนอญัตติไม่ไว้วางใจให้คิดดีๆว่า ถ้านายกรัฐมนตรีได้เสียงไว้วางใจ ระวังนะ นายกรัฐมนตรีจะยุบสภา พา สส ทุกคนพ้นสภาพ ไปเลือกตั้งกันใหม่หมด

    ซึ่งในกรณีนี้ แพทองธาร คงไม่ยุบแน่

    แต่อาจมีผู้สงสัยข้อความในรัฐธรรมนูญที่ว่า การเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถทำได้ “ปีละหนึ่งครั้ง” เพราะเพิ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง

    การนับปีสมัยประชุมสภาฯ ไม่ใช่นับตามปฏิทินปกติ อย่างหลังเลือกตั้งในปี 2566 จะเริ่มนับปีประชุมสภาฯ ดังนี้

    ปีที่หนึ่ง (แต่ละปีจะแบ่งการประชุมออกเป็นสองครั้ง มีพักระหว่างแต่ละครั้ง ) ครั้งที่หนึ่ง เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค. 2566 – 3 ต.ค. 2566 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2566 – 9 เมษา. 2567

    ปีที่สอง ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2567 – 30 ต.ค. 2567 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2567 – 10 เมษา. 2568

    ปีที่สาม ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2568 – 30 ต.ค. 2568

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดจะอยู่ในช่วงปีที่สอง

    เมื่อขึ้นปีที่สาม ซึ่งจะเปิดประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงสามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

    ประเด็นคือ หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออก และไม่ยอมยุบสภา เพราะยังมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งสภา พรรคประชาชนอาจจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

    และเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนก็รอดูกันว่า จะมี สส คนใดที่ยังไว้วางใจนายกฯแพทองธาร และด้วยเหตุผลอะไร หรือไม่มีเหตุผล !

    ถ้านายกฯถูกลงมติไม่ไว้วางใจ ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงทันที และไม่ว่าใครจะมารักษาการ ก็ไม่สามารถยุบสภาได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ เพราะรักษาการฯไม่สามารถยุบสภาได้

    แต่จะต้องมีการสรรหานายกฯใหม่ หากได้นายกฯใหม่แล้ว นายกฯใหม่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยุบสภา !

    แต่ถ้านายกฯใหม่ไม่ได้ ก็จะเกิดทางตันขึ้น

    และจะต้องไปใช้บริการ มาตรา 5 เพื่อจะให้มีการยุบสภา หรือ ให้ได้นายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย เพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไปสักพัก และรีบยุบสภา

    ส่วนในกรณีอื่นๆ เช่นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม อันได้แก่

    -ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

    หรือ -มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

    หรือความผิดในมาตราอื่นๆของรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้ มาตรา 153 โดยสมาชิกวุฒิสภา ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
    20 มิถุนายน 2568 -ศ.ไชยันต์ ไชยพร วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองร้อน ถ้านายกรัฐมนตรี แพทองธารไม่ยอมลาออกจนถึงวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 3 ก.ค. 2568 เมื่อเปิดประชุมสภาฯ มีกลไกอะไรที่จะทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร จะสิ้นสุดลงได้ ? 1. สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ ในกรณีที่นี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คือ 98 คน ( สส ทั้งหมดในสภามี 493 /ตัวเลข ณ วันที่ 26 มีนาคม 2568) ถ้าพรรคประชาชนต้องการให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีย่อมทำได้ เพราะพรรคประชาชนมี สส เกิน 100 ในช่วงที่เสนอญัตติได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้ แต่ถ้าหลังลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว ถ้าเสียงไม่ไว้วางใจไม่เกินครึ่ง หมายความว่า แพทองธารยังเป็นนายกฯ อยู่ เธอจะยุบสภาก็ได้ การที่กำหนดไว้แบบนี้ เพื่อขู่ สส ที่เสนอญัตติไม่ไว้วางใจให้คิดดีๆว่า ถ้านายกรัฐมนตรีได้เสียงไว้วางใจ ระวังนะ นายกรัฐมนตรีจะยุบสภา พา สส ทุกคนพ้นสภาพ ไปเลือกตั้งกันใหม่หมด ซึ่งในกรณีนี้ แพทองธาร คงไม่ยุบแน่ แต่อาจมีผู้สงสัยข้อความในรัฐธรรมนูญที่ว่า การเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถทำได้ “ปีละหนึ่งครั้ง” เพราะเพิ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้วระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมานี้เอง การนับปีสมัยประชุมสภาฯ ไม่ใช่นับตามปฏิทินปกติ อย่างหลังเลือกตั้งในปี 2566 จะเริ่มนับปีประชุมสภาฯ ดังนี้ ปีที่หนึ่ง (แต่ละปีจะแบ่งการประชุมออกเป็นสองครั้ง มีพักระหว่างแต่ละครั้ง ) ครั้งที่หนึ่ง เริ่มตั้งแต่ 3 ก.ค. 2566 – 3 ต.ค. 2566 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2566 – 9 เมษา. 2567 ปีที่สอง ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2567 – 30 ต.ค. 2567 ครั้งที่สอง 12 ธ.ค. 2567 – 10 เมษา. 2568 ปีที่สาม ครั้งที่หนึ่ง 3 ก.ค. 2568 – 30 ต.ค. 2568 ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดจะอยู่ในช่วงปีที่สอง เมื่อขึ้นปีที่สาม ซึ่งจะเปิดประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จึงสามารถขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ประเด็นคือ หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออก และไม่ยอมยุบสภา เพราะยังมีเสียงสนับสนุนเกินครึ่งสภา พรรคประชาชนอาจจะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ และเมื่อถึงเวลานั้น ประชาชนก็รอดูกันว่า จะมี สส คนใดที่ยังไว้วางใจนายกฯแพทองธาร และด้วยเหตุผลอะไร หรือไม่มีเหตุผล ! ถ้านายกฯถูกลงมติไม่ไว้วางใจ ความเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะสิ้นสุดลงทันที และไม่ว่าใครจะมารักษาการ ก็ไม่สามารถยุบสภาได้ตามที่พรรคประชาชนต้องการ เพราะรักษาการฯไม่สามารถยุบสภาได้ แต่จะต้องมีการสรรหานายกฯใหม่ หากได้นายกฯใหม่แล้ว นายกฯใหม่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยุบสภา ! แต่ถ้านายกฯใหม่ไม่ได้ ก็จะเกิดทางตันขึ้น และจะต้องไปใช้บริการ มาตรา 5 เพื่อจะให้มีการยุบสภา หรือ ให้ได้นายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย เพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญต่อไปสักพัก และรีบยุบสภา ส่วนในกรณีอื่นๆ เช่นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม อันได้แก่ -ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือ -มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือความผิดในมาตราอื่นๆของรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้ มาตรา 153 โดยสมาชิกวุฒิสภา ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้าบรรเทาทุกข์จากสภาวะอากาศร้อนแก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร รุดส่งมอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น พร้อมค่าพาหนะ ค่าติดตั้งพัดลม แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนเพิ่มอีก 5 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท
    .
    ระหว่างวันที่ 13 -19 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก พร้อมด้วย นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ในโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร ครั้งที่ 2 ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วยจังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ระยอง ตราด และสระแก้ว รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดนักเรียน ให้แก่นักเรียนทั้ง 25 โรงเรียน รวม 750 ชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 987,050 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพันห้าสิบบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนได้คลายร้อนและมีสมาธิในการเรียนการสอน โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี
    .
    โครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายให้คณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เร่งดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร นำร่องเมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมอบชุดพัดลมแก่สถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน และได้ขยายพื้นที่บรรเทาทุกข์ต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2568 รวมการดำเนินการโครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดารแล้ว 10 จังหวัด 50 โรงเรียน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ** มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต **
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้าบรรเทาทุกข์จากสภาวะอากาศร้อนแก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร รุดส่งมอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น พร้อมค่าพาหนะ ค่าติดตั้งพัดลม แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนเพิ่มอีก 5 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท . ระหว่างวันที่ 13 -19 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก พร้อมด้วย นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ในโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร ครั้งที่ 2 ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วยจังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ระยอง ตราด และสระแก้ว รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดนักเรียน ให้แก่นักเรียนทั้ง 25 โรงเรียน รวม 750 ชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 987,050 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพันห้าสิบบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนได้คลายร้อนและมีสมาธิในการเรียนการสอน โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี . โครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายให้คณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เร่งดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร นำร่องเมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมอบชุดพัดลมแก่สถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน และได้ขยายพื้นที่บรรเทาทุกข์ต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2568 รวมการดำเนินการโครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดารแล้ว 10 จังหวัด 50 โรงเรียน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ** มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต **
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนกรุงฯ รอลุ้น นั่งรถไฟคิฮะติดแอร์

    เฟซบุ๊ก "ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย" ได้เผยแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ "รฟท. ยกระดับการเดินทางชานเมือง เตรียมเปิดให้บริการขบวน KIHA 40/48 ปรับอากาศ เสริมความสะดวก ปลอดภัย เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ -ปริมณฑล อย่างไร้รอยต่อ" โดยระบุว่า ขบวนรถไฟญี่ปุ่น KIHA 40 และ KIHA 48 รถดีเซลรางปรับอากาศ ดำเนินการทดสอบและปรับปรุง พร้อมให้บริการปลายปีนี้ พร้อมระบุคุณสมบัติ อาทิ เบาะนั่งสบาย มีทั้งแบบนั่งยาวและนั่งขวาง ห้องน้ำสะอาดตามมาตรฐาน ตู้โดยสารปรับอากาศ เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพ-ปริมณฑล รวดเร็วไร้รอยต่อ ตอบโจทย์การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ประหยัด สะดวก และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง

    สำหรับขบวนรถคิฮะ 40 จำนวน 9 คัน และคิฮะ 48 จำนวน 11 คัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับมอบจากบริษัท JR EAST ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยประจำการที่ศูนย์ Minami Akita เมื่อปี 2520 เพื่อใช้งานในสาย Gono และ สาย Oga ก่อนถูกปลดระวางในเดือน มี.ค. 2564 โดยมีการส่งมอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 และได้ออกเดินทางสู่ประเทศไทยโดยขนส่งทางเรือเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 ก่อนนำรถต้นแบบปรับขนาดเพลาล้อจาก 1.067 เมตร เป็น 1 เมตร ให้เข้ากับมาตรฐานรางรถไฟของประเทศไทย จากนั้นปรับปรุงสภาพตามมาตรฐานของการรถไฟฯ โดยเดินรถด้วยความเร็วสูงสุด 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    เมื่อเร็วๆ นี้ได้นำขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศรุ่นคิฮะ 40 และคิฮะ 48 ที่ผ่านการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วมาทดสอบ จำนวน 2 คัน เส้นทางมักกะสัน-หัวหมาก เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะปรับปรุงสีภายนอกและห้องสุขาเพิ่มเติม ก่อนที่จะนำออกให้บริการแก่ประชาชนในช่วงปลายปี 2568 จำนวน 6 คัน และจะทยอยปรับปรุงจนครบทั้ง 20 คันต่อไป รฟท. มีแผนจะนำขบวนรถคิฮะ 40 และคิฮะ 48 มาให้บริการในเส้นทางชานเมือง (FEEDER) ไปยังปลายทางสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา สถานีอยุธยา และสถานีนครปฐม เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เป็นต้น

    เหตุที่ไม่สามารถนำขบวนรถคิฮะมาให้บริการในต่างจังหวัด มีการพูดกันในกลุ่มคนรักรถไฟว่า เนื่องจากเป็นรถได้รับบริจาคจากญี่ปุ่น ซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ไม่มีอะไหล่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลและซ่อมบำรุงจากโรงงานรถไฟมักกะสันอย่างใกล้ชิด อาจต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติสั่งซื้อรถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท หรือรอปรับโฉมรถโดยสารชั้น 3 จากระบบพัดลมเป็นปรับอากาศ จำนวน 40 คันในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 295.60 ล้านบาท

    #Newskit
    คนกรุงฯ รอลุ้น นั่งรถไฟคิฮะติดแอร์ เฟซบุ๊ก "ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย" ได้เผยแพร่ภาพประชาสัมพันธ์ "รฟท. ยกระดับการเดินทางชานเมือง เตรียมเปิดให้บริการขบวน KIHA 40/48 ปรับอากาศ เสริมความสะดวก ปลอดภัย เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ -ปริมณฑล อย่างไร้รอยต่อ" โดยระบุว่า ขบวนรถไฟญี่ปุ่น KIHA 40 และ KIHA 48 รถดีเซลรางปรับอากาศ ดำเนินการทดสอบและปรับปรุง พร้อมให้บริการปลายปีนี้ พร้อมระบุคุณสมบัติ อาทิ เบาะนั่งสบาย มีทั้งแบบนั่งยาวและนั่งขวาง ห้องน้ำสะอาดตามมาตรฐาน ตู้โดยสารปรับอากาศ เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพ-ปริมณฑล รวดเร็วไร้รอยต่อ ตอบโจทย์การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ประหยัด สะดวก และมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง สำหรับขบวนรถคิฮะ 40 จำนวน 9 คัน และคิฮะ 48 จำนวน 11 คัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับมอบจากบริษัท JR EAST ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยประจำการที่ศูนย์ Minami Akita เมื่อปี 2520 เพื่อใช้งานในสาย Gono และ สาย Oga ก่อนถูกปลดระวางในเดือน มี.ค. 2564 โดยมีการส่งมอบเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567 และได้ออกเดินทางสู่ประเทศไทยโดยขนส่งทางเรือเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 ก่อนนำรถต้นแบบปรับขนาดเพลาล้อจาก 1.067 เมตร เป็น 1 เมตร ให้เข้ากับมาตรฐานรางรถไฟของประเทศไทย จากนั้นปรับปรุงสภาพตามมาตรฐานของการรถไฟฯ โดยเดินรถด้วยความเร็วสูงสุด 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเร็วๆ นี้ได้นำขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศรุ่นคิฮะ 40 และคิฮะ 48 ที่ผ่านการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วมาทดสอบ จำนวน 2 คัน เส้นทางมักกะสัน-หัวหมาก เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะปรับปรุงสีภายนอกและห้องสุขาเพิ่มเติม ก่อนที่จะนำออกให้บริการแก่ประชาชนในช่วงปลายปี 2568 จำนวน 6 คัน และจะทยอยปรับปรุงจนครบทั้ง 20 คันต่อไป รฟท. มีแผนจะนำขบวนรถคิฮะ 40 และคิฮะ 48 มาให้บริการในเส้นทางชานเมือง (FEEDER) ไปยังปลายทางสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา สถานีอยุธยา และสถานีนครปฐม เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เป็นต้น เหตุที่ไม่สามารถนำขบวนรถคิฮะมาให้บริการในต่างจังหวัด มีการพูดกันในกลุ่มคนรักรถไฟว่า เนื่องจากเป็นรถได้รับบริจาคจากญี่ปุ่น ซึ่งเลิกผลิตไปแล้ว ไม่มีอะไหล่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลและซ่อมบำรุงจากโรงงานรถไฟมักกะสันอย่างใกล้ชิด อาจต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติสั่งซื้อรถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท หรือรอปรับโฉมรถโดยสารชั้น 3 จากระบบพัดลมเป็นปรับอากาศ จำนวน 40 คันในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 295.60 ล้านบาท #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts