• หัวข้อข่าว: “โมเดลใหม่ของ Moonshot AI จุดกระแส ‘DeepSeek Moment’ สั่นสะเทือนโลก AI”

    สตาร์ทอัพจีน Moonshot AI ที่มีมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Alibaba และ Tencent ได้เปิดตัวโมเดล Kimi K2 Thinking ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่สร้างสถิติใหม่ในด้าน reasoning, coding และ agent capabilities

    โมเดลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Hugging Face และโพสต์เปิดตัวบน X มียอดเข้าชมกว่า 4.5 ล้านครั้ง จุดที่น่าทึ่งคือมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโมเดลสหรัฐฯ

    Thomas Wolf ผู้ร่วมก่อตั้ง Hugging Face ถึงกับตั้งคำถามว่า “นี่คืออีกหนึ่ง DeepSeek Moment หรือไม่?” หลังจากก่อนหน้านี้โมเดล R1 ของ DeepSeek ได้เขย่าความเชื่อเรื่องความเหนือกว่าของ AI สหรัฐฯ

    Kimi K2 Thinking ทำคะแนน 44.9% ใน Humanity’s Last Exam (ข้อสอบมาตรฐาน LLM กว่า 2,500 ข้อ) ซึ่งสูงกว่า GPT-5 ที่ทำได้ 41.7% และยังชนะใน benchmark สำคัญอย่าง BrowseComp และ Seal-0 ที่ทดสอบความสามารถในการค้นหาข้อมูลจริงบนเว็บ

    นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย API ของ Kimi K2 Thinking ยังถูกกว่าโมเดลของ OpenAI และ Anthropic ถึง 6–10 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มของจีนคือการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้วย ความคุ้มค่า (cost-effectiveness) แม้ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การแข่งขัน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจาก “ใครเก่งกว่า” เป็น “ใครคุ้มค่ากว่า”
    การที่จีนหันมาเน้น ลดต้นทุนการฝึกและใช้งาน อาจทำให้ AI เข้าถึงนักพัฒนาและธุรกิจรายย่อยได้มากขึ้น
    หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจเกิดการ เร่งนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมโมเดลและเทคนิคการฝึก ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม AI

    Moonshot AI เปิดตัว Kimi K2 Thinking
    ทำผลงานเหนือ GPT-5 และ Claude Sonnet 4.5 ในหลาย benchmark
    ได้รับความนิยมสูงสุดบน Hugging Face และมีผู้สนใจจำนวนมาก

    จุดเด่นของโมเดล
    ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์
    API ถูกกว่าโมเดลสหรัฐฯ ถึง 6–10 เท่า

    ผลกระทบต่อวงการ
    จุดกระแส “DeepSeek Moment” ครั้งใหม่
    ท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    แม้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ
    การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย
    หากจีนครองตลาดด้วยโมเดลราคาถูก อาจเกิดความเสี่ยงด้านมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/why-new-model-of-chinas-moonshot-ai-stirs-deepseek-moment-debate
    🤖 หัวข้อข่าว: “โมเดลใหม่ของ Moonshot AI จุดกระแส ‘DeepSeek Moment’ สั่นสะเทือนโลก AI” สตาร์ทอัพจีน Moonshot AI ที่มีมูลค่ากว่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Alibaba และ Tencent ได้เปิดตัวโมเดล Kimi K2 Thinking ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่สร้างสถิติใหม่ในด้าน reasoning, coding และ agent capabilities โมเดลนี้ได้รับความนิยมสูงสุดบนแพลตฟอร์ม Hugging Face และโพสต์เปิดตัวบน X มียอดเข้าชมกว่า 4.5 ล้านครั้ง จุดที่น่าทึ่งคือมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับโมเดลสหรัฐฯ Thomas Wolf ผู้ร่วมก่อตั้ง Hugging Face ถึงกับตั้งคำถามว่า “นี่คืออีกหนึ่ง DeepSeek Moment หรือไม่?” หลังจากก่อนหน้านี้โมเดล R1 ของ DeepSeek ได้เขย่าความเชื่อเรื่องความเหนือกว่าของ AI สหรัฐฯ Kimi K2 Thinking ทำคะแนน 44.9% ใน Humanity’s Last Exam (ข้อสอบมาตรฐาน LLM กว่า 2,500 ข้อ) ซึ่งสูงกว่า GPT-5 ที่ทำได้ 41.7% และยังชนะใน benchmark สำคัญอย่าง BrowseComp และ Seal-0 ที่ทดสอบความสามารถในการค้นหาข้อมูลจริงบนเว็บ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่าย API ของ Kimi K2 Thinking ยังถูกกว่าโมเดลของ OpenAI และ Anthropic ถึง 6–10 เท่า นักวิเคราะห์ชี้ว่าแนวโน้มของจีนคือการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแข่งขันด้วย ความคุ้มค่า (cost-effectiveness) แม้ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 การแข่งขัน AI ระหว่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจาก “ใครเก่งกว่า” เป็น “ใครคุ้มค่ากว่า” 📌 การที่จีนหันมาเน้น ลดต้นทุนการฝึกและใช้งาน อาจทำให้ AI เข้าถึงนักพัฒนาและธุรกิจรายย่อยได้มากขึ้น 📌 หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป อาจเกิดการ เร่งนวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรมโมเดลและเทคนิคการฝึก ที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรม AI ✅ Moonshot AI เปิดตัว Kimi K2 Thinking ➡️ ทำผลงานเหนือ GPT-5 และ Claude Sonnet 4.5 ในหลาย benchmark ➡️ ได้รับความนิยมสูงสุดบน Hugging Face และมีผู้สนใจจำนวนมาก ✅ จุดเด่นของโมเดล ➡️ ค่าใช้จ่ายในการฝึกเพียง 4.6 ล้านดอลลาร์ ➡️ API ถูกกว่าโมเดลสหรัฐฯ ถึง 6–10 เท่า ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ จุดกระแส “DeepSeek Moment” ครั้งใหม่ ➡️ ท้าทายความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ แม้ต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังตามหลังโมเดลสหรัฐฯ ⛔ การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย ⛔ หากจีนครองตลาดด้วยโมเดลราคาถูก อาจเกิดความเสี่ยงด้านมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/why-new-model-of-chinas-moonshot-ai-stirs-deepseek-moment-debate
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why new model of China's Moonshot AI stirs 'DeepSeek moment' debate
    Kimi K2 Thinking outperforms OpenAI's GPT-5 and Anthropic's Claude Sonnet 4.5, sparking comparisons to DeepSeek's breakthrough.
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “ICANN เตือนภัย Splinternet – โลกออนไลน์อาจแตกเป็นเสี่ยง”

    ที่งาน Web Summit ในลิสบอน นาย Kurtis Lindqvist หัวหน้า ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) องค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนและ IP ของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะแตกออกเป็น “Splinternets” หรือเครือข่ายย่อยที่ไม่เชื่อมถึงกัน อาจถูกหลีกเลี่ยงได้ในการประชุม UN เดือนธันวาคมนี้

    เขาอธิบายว่า อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานได้เพราะมี มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อโดเมน (เช่น .com, .org) หรือ IP address ที่ทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ หากระบบนี้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มการค้า อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นเครือข่ายย่อยที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเทอร์เน็ตสร้างมา

    แม้จะมีแรงกดดันจากบางประเทศที่ต้องการควบคุมระบบชื่อโดเมนเอง แต่ Lindqvist เชื่อว่า ส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับการรักษาระบบปัจจุบัน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างประโยชน์มหาศาล

    นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบกับการกำกับดูแล AI ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนโต๊ะ” ตั้งแต่การสร้างองค์กรอิสระแบบ ICANN ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานเฉพาะของ UN เพื่อดูแล AI

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวคิด “Splinternet” เคยถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่จีนและรัสเซียพยายามสร้างระบบอินเทอร์เน็ตของตัวเองที่แยกจากโลกตะวันตก
    หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้การสื่อสารระหว่างประเทศติดขัด เช่น เว็บไซต์บางแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากบางประเทศ
    นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า Splinternet จะกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนัก เพราะธุรกิจออนไลน์พึ่งพาการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน

    ICANN เตือนภัย Splinternet
    หากระบบชื่อโดเมนถูกควบคุมโดยรัฐบาล อาจทำให้อินเทอร์เน็ตแตกเป็นเครือข่ายย่อย
    การเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจ

    ข้อดีของระบบปัจจุบัน
    มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงกันได้
    สร้างประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจมหาศาล

    การประชุม UN เดือนธันวาคม
    จะเป็นเวทีตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต
    ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการรักษาระบบเดิม

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้โลกออนไลน์แตกแยก
    กระทบต่อการค้าโลกและการสื่อสารระหว่างประเทศ
    เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ เพราะแต่ละเครือข่ายอาจมีมาตรฐานต่างกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/039splinternets039-threat-to-be-avoided-says-web-address-controller
    🌍 หัวข้อข่าว: “ICANN เตือนภัย Splinternet – โลกออนไลน์อาจแตกเป็นเสี่ยง” ที่งาน Web Summit ในลิสบอน นาย Kurtis Lindqvist หัวหน้า ICANN (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers) องค์กรที่ดูแลระบบชื่อโดเมนและ IP ของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ความเสี่ยงที่อินเทอร์เน็ตจะแตกออกเป็น “Splinternets” หรือเครือข่ายย่อยที่ไม่เชื่อมถึงกัน อาจถูกหลีกเลี่ยงได้ในการประชุม UN เดือนธันวาคมนี้ เขาอธิบายว่า อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ทำงานได้เพราะมี มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อโดเมน (เช่น .com, .org) หรือ IP address ที่ทำให้ผู้ใช้จากทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ หากระบบนี้ถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกลุ่มการค้า อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นเครือข่ายย่อยที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมที่อินเทอร์เน็ตสร้างมา แม้จะมีแรงกดดันจากบางประเทศที่ต้องการควบคุมระบบชื่อโดเมนเอง แต่ Lindqvist เชื่อว่า ส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับการรักษาระบบปัจจุบัน เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริงและสร้างประโยชน์มหาศาล นอกจากนี้เขายังเปรียบเทียบกับการกำกับดูแล AI ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยบอกว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนโต๊ะ” ตั้งแต่การสร้างองค์กรอิสระแบบ ICANN ไปจนถึงการตั้งหน่วยงานเฉพาะของ UN เพื่อดูแล AI 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 แนวคิด “Splinternet” เคยถูกพูดถึงบ่อยในช่วงที่จีนและรัสเซียพยายามสร้างระบบอินเทอร์เน็ตของตัวเองที่แยกจากโลกตะวันตก 📌 หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้การสื่อสารระหว่างประเทศติดขัด เช่น เว็บไซต์บางแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้จากบางประเทศ 📌 นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า Splinternet จะกระทบต่อการค้าโลกอย่างหนัก เพราะธุรกิจออนไลน์พึ่งพาการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน ✅ ICANN เตือนภัย Splinternet ➡️ หากระบบชื่อโดเมนถูกควบคุมโดยรัฐบาล อาจทำให้อินเทอร์เน็ตแตกเป็นเครือข่ายย่อย ➡️ การเชื่อมต่อทั่วโลกจะมีต้นทุนสูงขึ้นและลดคุณค่าทางเศรษฐกิจ ✅ ข้อดีของระบบปัจจุบัน ➡️ มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ทุกคนเข้าถึงกันได้ ➡️ สร้างประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจมหาศาล ✅ การประชุม UN เดือนธันวาคม ➡️ จะเป็นเวทีตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ➡️ ส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการรักษาระบบเดิม ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Splinternet เกิดขึ้นจริง อาจทำให้โลกออนไลน์แตกแยก ⛔ กระทบต่อการค้าโลกและการสื่อสารระหว่างประเทศ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์ เพราะแต่ละเครือข่ายอาจมีมาตรฐานต่างกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/039splinternets039-threat-to-be-avoided-says-web-address-controller
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Splinternets' threat to be avoided, says web address controller
    ICANN is best known for coordinating global allocation of Internet addresses – whether the easily-remembered versions people type into web browsers, or the strings of numbers used by computers known as IP addresses.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน”

    บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย

    ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ

    แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น
    หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

    JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น
    เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน

    บทบาทในตลาดพันธบัตร
    Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
    ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

    ความสำคัญต่อระบบการเงิน
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล
    อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน
    การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    💴 หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน” บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น 🔰 หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ 🔰 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ✅ JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน ✅ บทบาทในตลาดพันธบัตร ➡️ Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ➡️ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ✅ ความสำคัญต่อระบบการเงิน ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล ➡️ อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน ⛔ การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yen stablecoin issuer predicts growing presence in Japan's bond market
    TOKYO (Reuters) -Stablecoin issuers could become major buyers of Japanese government bonds in several years and influence the central bank's control over monetary policy, the head of Japan's first domestic issuer of yen-pegged stablecoins told Reuters.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด”

    เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน
    1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น
    2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต

    สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่
    การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น
    นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง

    SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต
    เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง
    ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    แรงผลักดันของตลาดคริปโต
    นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น
    สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน
    สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก
    การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่
    แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    💰 หัวข้อข่าว: “SoFi เปิดตัวบริการคริปโต – คลื่นทองคำดิจิทัลดึงสถาบันการเงินเข้าตลาด” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 SoFi ประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายคริปโตสำหรับลูกค้าทั่วไป ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง หลังจากที่กระแสการลงทุนในคริปโตพุ่งสูงขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน สิ่งที่น่าสนใจคือ สถาบันการเงินดั้งเดิมจำนวนมากเริ่มเข้ามาในตลาดคริปโต เพราะกฎระเบียบในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดลง และการยอมรับจากผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่า แรงผลักดันหลักมาจากสองด้าน 1️⃣ Retail Momentum – นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายมากขึ้น 2️⃣ Institutional Entry – สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เช่นธนาคารและผู้ให้บริการสินเชื่อ เริ่มเปิดบริการคริปโต สิ่งนี้ทำให้ตลาดคริปโตมีการซื้อขายคึกคัก และแพลตฟอร์มอย่าง SoFi ได้รับแรงหนุนมหาศาล 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 SoFi เดิมเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสินเชื่อและการลงทุนแบบดิจิทัล การเข้าสู่ตลาดคริปโตจึงเป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ 📌 การที่สถาบันการเงินเข้ามาในตลาดคริปโตมากขึ้น อาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น 📌 นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า แม้กฎระเบียบจะชัดเจนขึ้น แต่ความผันผวนของคริปโตยังสูงมาก และอาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง ✅ SoFi เปิดตัวบริการซื้อขายคริปโต ➡️ เข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง ➡️ ตอบรับกระแสการลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ✅ แรงผลักดันของตลาดคริปโต ➡️ นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น ➡️ สถาบันการเงินดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ตลาด ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เพิ่มการแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มการเงิน ➡️ สร้างความน่าเชื่อถือให้ตลาดคริปโตมากขึ้น ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของคริปโตยังสูง อาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหนัก ⛔ การเข้ามาของสถาบันการเงินอาจทำให้ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นรายใหญ่ ⛔ แม้กฎระเบียบชัดเจนขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลในบางประเทศ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/sofi-rolls-out-crypto-trading-as-digital-asset-gold-rush-draws-lenders
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SoFi rolls out crypto trading as digital asset gold rush draws lenders
    (Reuters) -SoFi on Tuesday announced plans to roll out crypto trading for customers, as the multi-trillion-dollar crypto sector continues to attract traditional financial firms amid clearer regulation and growing adoption.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท”

    วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา

    เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์

    สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum
    การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ

    Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ
    ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ
    ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์
    คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน

    ความสำคัญของ First-Mover Advantage
    ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง
    ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก
    การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    🚀 หัวข้อข่าว: “Bitwise เปิดตัว Solana ETF จุดชนวนศึกคริปโตวอลล์สตรีท” วันที่ 28 ตุลาคม 2025 บริษัท Bitwise Asset Management ได้เปิดตัว Solana Staking ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ติดตามราคาสปอตของ Solana — คริปโตอันดับ 6 ของโลก — โดยใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก SEC ที่กำลังปิดทำการอยู่ในขณะนั้น การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ Bitwise กลายเป็น ผู้เล่นรายแรก ที่เข้าสู่ตลาด ETF ของ altcoin และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคู่แข่ง เช่น Grayscale, VanEck, Fidelity และ Invesco ที่ต้องรีบปรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ตามมา เพียงสัปดาห์แรก กองทุนนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์จาก JPMorgan คาดว่า ETF ประเภท altcoin อาจดึงดูดเงินลงทุนรวมกว่า 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือนแรก โดย Solana อาจได้ส่วนแบ่งถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทำให้การแข่งขันดุเดือดคือ “First-Mover Advantage” — ใครเปิดตัวก่อนย่อมได้เปรียบมหาศาล ตัวอย่างเช่น ProShares Bitcoin ETF ที่เปิดตัวก่อนคู่แข่งเพียงไม่กี่วันในปี 2021 แต่ครองตลาดจนถึงปัจจุบัน 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Solana เป็นบล็อกเชนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ethereum 🔰 การเปิดตัว ETF ของ Solana อาจช่วยให้คริปโต altcoin ได้รับการยอมรับในตลาดการเงินดั้งเดิมมากขึ้น 🔰 อย่างไรก็ตาม การใช้กระบวนการที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ อาจสร้างความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในอนาคต หาก SEC เข้ามาตรวจสอบและสั่งระงับ ✅ Bitwise เปิดตัว Solana ETF สำเร็จ ➡️ ใช้กระบวนการใหม่ที่ไม่ต้องรอ SEC อนุมัติ ➡️ ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 420 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์แรก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ คู่แข่งอย่าง Grayscale, VanEck, Fidelity ต้องรีบปรับกลยุทธ์ ➡️ คาดว่า altcoin ETFs อาจดึงดูดเงินลงทุนรวม 14 พันล้านดอลลาร์ใน 6 เดือน ✅ ความสำคัญของ First-Mover Advantage ➡️ ใครเปิดตัวก่อนจะครองตลาดได้ยาวนาน เช่น ProShares Bitcoin ETF ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ การเปิดตัวโดยไม่รอ SEC อนุมัติ อาจถูกตรวจสอบและระงับภายหลัง ⛔ ตลาด altcoin มีความผันผวนสูง นักลงทุนรายย่อยอาจเสี่ยงขาดทุนหนัก ⛔ การแข่งขันเร่งรีบอาจทำให้บางบริษัทละเลยการตรวจสอบความเสี่ยงอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/bitwise-sparks-industry-scramble-with-solana-etf-launch
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitwise sparks industry scramble with Solana ETF launch
    (Reuters) -Crypto firm Bitwise Asset Management's successful push to launch the first U.S. spot Solana ETF while the Securities and Exchange Commission was shut down has upended the regulatory playbook and forced competitors to rethink their product plans, said industry executives.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Tokenization – นวัตกรรมการเงินที่มาพร้อมความเสี่ยงใหม่”

    องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระดับโลก IOSCO ออกรายงานล่าสุดชี้ว่า การนำสินทรัพย์จริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า Tokenization ไม่ได้มีแต่ข้อดี เพราะมันอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ เช่น
    ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครอง
    ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจล้มเหลวหรือถูกโจมตี

    นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงในวงการการเงินว่า Tokenization จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่มการเข้าถึง แต่ก็อาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเผชิญความเสี่ยงที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เริ่มทดลองใช้ พันธบัตรที่ถูก Tokenize เพื่อทดสอบการซื้อขายบนบล็อกเชน
    ธนาคารใหญ่ ๆ ในยุโรปกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Tokenization สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ศิลปะและอสังหาริมทรัพย์
    ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า Tokenization อาจเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลก DeFi แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด

    Tokenization คือการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล
    ใช้บล็อกเชนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึง
    กำลังได้รับความนิยมในตลาดการเงินทั่วโลก

    ข้อดีของ Tokenization
    เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยเข้าถึงยาก
    เพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนการทำธุรกรรม

    คำเตือนจาก IOSCO
    ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน
    ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครองโทเคน
    ความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/global-securities-watchdog-says-039tokenization039-creates-new-risks
    🌐 หัวข้อข่าว: “Tokenization – นวัตกรรมการเงินที่มาพร้อมความเสี่ยงใหม่” องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระดับโลก IOSCO ออกรายงานล่าสุดชี้ว่า การนำสินทรัพย์จริง เช่น หุ้น พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ มาแปลงเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานเตือนว่า Tokenization ไม่ได้มีแต่ข้อดี เพราะมันอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ เช่น 📌 ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครอง 📌 ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล 📌 ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจล้มเหลวหรือถูกโจมตี นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงในวงการการเงินว่า Tokenization จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริงหรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่มการเข้าถึง แต่ก็อาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเผชิญความเสี่ยงที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 📌 หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เริ่มทดลองใช้ พันธบัตรที่ถูก Tokenize เพื่อทดสอบการซื้อขายบนบล็อกเชน 📌 ธนาคารใหญ่ ๆ ในยุโรปกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Tokenization สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ศิลปะและอสังหาริมทรัพย์ 📌 ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า Tokenization อาจเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมกับโลก DeFi แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มงวด ✅ Tokenization คือการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนดิจิทัล ➡️ ใช้บล็อกเชนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึง ➡️ กำลังได้รับความนิยมในตลาดการเงินทั่วโลก ✅ ข้อดีของ Tokenization ➡️ เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยเข้าถึงยาก ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและลดต้นทุนการทำธุรกรรม ‼️ คำเตือนจาก IOSCO ⛔ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน ⛔ ความซับซ้อนของโครงสร้างการถือครองโทเคน ⛔ ความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/global-securities-watchdog-says-039tokenization039-creates-new-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Global securities watchdog says 'tokenization' creates new risks
    PARIS (Reuters) -Crypto tokens linked to mainstream financial assets could create new risks for investors, the global securities regulator IOSCO said in a report on Tuesday, as the finance industry remains split on the merits of "tokenization".
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง”

    ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน

    เล่าเรื่องให้ฟัง
    องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก

    แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร

    ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน

    นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน
    องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้
    หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing

    การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์
    องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด
    ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่

    เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน
    FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา)
    แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

    กลยุทธ์การนำไปใช้
    เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร
    ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่
    Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน
    การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์

    https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    🔐 ข่าวใหญ่: “อนาคตไร้รหัสผ่าน…อาจไม่เคยมาถึงจริง” ลองจินตนาการโลกที่เราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ใช้เพียงใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือกุญแจดิจิทัลในการเข้าถึงทุกระบบ ฟังดูเหมือนฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่บทความล่าสุดชี้ให้เห็นว่า การเดินทางสู่โลกไร้รหัสผ่านยังเต็มไปด้วยอุปสรรค และอาจไม่สามารถทำได้ครบ 100% ในเร็ววัน 📖 เล่าเรื่องให้ฟัง องค์กรทั่วโลกพยายามผลักดันระบบ “Passwordless Authentication” มานานกว่าทศวรรษ เพราะรหัสผ่านคือจุดอ่อนที่ถูกโจมตีง่ายที่สุด แต่ความจริงคือ หลายระบบเก่า (Legacy Systems) ไม่เคยถูกออกแบบมาให้รองรับอะไรนอกจากรหัสผ่าน ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น FIDO2, Passkeys, Biometrics จะช่วยได้มาก แต่ก็ยังมี “พื้นที่ดื้อรหัสผ่าน” ประมาณ 15% ที่ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม, IoT, หรือแอปที่เขียนขึ้นเองในองค์กร ผู้เชี่ยวชาญบางรายเปรียบเทียบว่า การเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้รหัสผ่านก็เหมือนการเดินทางสู่ Zero Trust Model — ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่เป็นการเดินทางหลายปีที่ต้องค่อย ๆ ปรับทีละขั้นตอน นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม: แม้ระบบจะไร้รหัสผ่าน แต่ขั้นตอน “การสมัครและกู้คืนบัญชี” มักยังต้องใช้รหัสผ่านหรือ SMS OTP ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ใหม่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้ามาได้ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ Google กำลังผลักดัน Passkeys อย่างจริงจัง โดยใช้การเข้ารหัสคู่กุญแจ (Public/Private Key) ที่ไม่สามารถถูกขโมยได้ง่ายเหมือนรหัสผ่าน 🔰 องค์กรด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การใช้ Biometrics เช่น ลายนิ้วมือหรือใบหน้า แม้สะดวก แต่ก็มีความเสี่ยงหากข้อมูลชีวมิติรั่วไหล เพราะไม่สามารถ “เปลี่ยน” เหมือนรหัสผ่านได้ 🔰 หลายประเทศเริ่มออกกฎบังคับให้ระบบสำคัญต้องรองรับการยืนยันตัวตนแบบไร้รหัสผ่าน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการโจมตีแบบ Phishing ✅ การนำระบบไร้รหัสผ่านมาใช้ยังไม่สมบูรณ์ ➡️ องค์กรส่วนใหญ่ทำได้เพียง 75–85% ของระบบทั้งหมด ➡️ ระบบเก่าและ IoT คืออุปสรรคใหญ่ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้แทนรหัสผ่าน ➡️ FIDO2, Passkeys, Biometrics (ใบหน้า, ลายนิ้วมือ, ม่านตา) ➡️ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ✅ กลยุทธ์การนำไปใช้ ➡️ เริ่มจากผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin และวิศวกร ➡️ ใช้ VPN หรือ Reverse Proxy เพื่อเชื่อมระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ขั้นตอนสมัครและกู้คืนบัญชีมักยังใช้รหัสผ่านหรือ OTP ซึ่งเป็นช่องโหว่ ⛔ Biometrics หากรั่วไหลไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนรหัสผ่าน ⛔ การมีหลายระบบ Passwordless พร้อมกันอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ให้แฮกเกอร์ https://www.csoonline.com/article/4085426/your-passwordless-future-may-never-fully-arrive.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Your passwordless future may never fully arrive
    As a concept, passwordless authentication has all but been universally embraced. In practice, though, CISOs find it difficult to deploy — especially that last 15%. Fortunately, creative workarounds are arising.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • ข่าวเทคโนโลยี: วิธีฟรีๆ เคลียร์พื้นที่ Gmail โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

    หลายคนอาจเคยเจอข้อความเตือนว่า “Gmail storage is full” ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อพื้นที่ฟรี 15GB ของ Google ถูกใช้งานครบ ทั้งจากอีเมล ไฟล์แนบ และ Google Drive แต่มีวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

    🛠 วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น
    หนึ่งในทางออกคือ สร้างบัญชี Gmail ใหม่ แล้วนำอีเมลเก่าทั้งหมดไปนำเข้า (Import) ผ่านการตั้งค่า POP3 ซึ่งช่วยให้คุณยังเข้าถึงข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องลบอะไรออกทันที หากไม่อยากยุ่งยากก็สามารถใช้บัญชีใหม่แทนไปเลย

    จัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร
    อีกวิธีคือการ ยกเลิกการสมัครรับอีเมล (Unsubscribe) ที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดการสะสมของข้อความที่กินพื้นที่ แต่ต้องระวังเพราะบางปุ่ม Unsubscribe อาจเป็นลิงก์หลอกลวงจากสแปมเมอร์

    ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูล
    หากพื้นที่เต็มเพราะไฟล์หรือรูปภาพ การใช้บริการอื่นๆ เช่น iCloud, OneDrive, Box หรือแม้แต่ฮาร์ดดิสก์ภายนอกก็เป็นทางเลือกที่ดี และยังสามารถเลือกแพ็กเกจ Google One ที่เริ่มต้น 30GB ไปจนถึง 2TB ได้หากต้องการอัปเกรดในอนาคต

    🗑 เคล็ดลับเล็กๆ
    อย่าลืมว่า การลบอีเมลไม่เท่ากับการเคลียร์พื้นที่ทันที เพราะ Gmail จะเก็บไว้ในถังขยะอีก 30 วัน ดังนั้นควรเข้าไปล้างถังขยะด้วย

    วิธีฟรีในการแก้ปัญหา Gmail เต็ม
    สร้างบัญชีใหม่แล้วนำเข้าอีเมลเก่า
    ใช้บัญชีใหม่แทนหากไม่อยากจัดการ

    การจัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร
    กด Unsubscribe เพื่อลดข้อความที่ไม่จำเป็น
    ใช้เครื่องมือช่วย เช่น Leave Me Alone, Clean Email

    ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
    ใช้บริการคลาวด์อื่น เช่น iCloud, OneDrive
    ลงทุนในฮาร์ดดิสก์ภายนอกเพื่อเก็บไฟล์สำคัญ

    เคล็ดลับการเคลียร์พื้นที่ Gmail
    ล้างถังขยะหลังจากลบอีเมล
    ตรวจสอบไฟล์แนบขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่

    https://www.slashgear.com/2013474/free-easy-way-to-free-up-gmail-storage/
    📧 ข่าวเทคโนโลยี: วิธีฟรีๆ เคลียร์พื้นที่ Gmail โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม หลายคนอาจเคยเจอข้อความเตือนว่า “Gmail storage is full” ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อพื้นที่ฟรี 15GB ของ Google ถูกใช้งานครบ ทั้งจากอีเมล ไฟล์แนบ และ Google Drive แต่มีวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม 🛠 วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น หนึ่งในทางออกคือ สร้างบัญชี Gmail ใหม่ แล้วนำอีเมลเก่าทั้งหมดไปนำเข้า (Import) ผ่านการตั้งค่า POP3 ซึ่งช่วยให้คุณยังเข้าถึงข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องลบอะไรออกทันที หากไม่อยากยุ่งยากก็สามารถใช้บัญชีใหม่แทนไปเลย 🚫 จัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร อีกวิธีคือการ ยกเลิกการสมัครรับอีเมล (Unsubscribe) ที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดการสะสมของข้อความที่กินพื้นที่ แต่ต้องระวังเพราะบางปุ่ม Unsubscribe อาจเป็นลิงก์หลอกลวงจากสแปมเมอร์ 💾 ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูล หากพื้นที่เต็มเพราะไฟล์หรือรูปภาพ การใช้บริการอื่นๆ เช่น iCloud, OneDrive, Box หรือแม้แต่ฮาร์ดดิสก์ภายนอกก็เป็นทางเลือกที่ดี และยังสามารถเลือกแพ็กเกจ Google One ที่เริ่มต้น 30GB ไปจนถึง 2TB ได้หากต้องการอัปเกรดในอนาคต 🗑 เคล็ดลับเล็กๆ อย่าลืมว่า การลบอีเมลไม่เท่ากับการเคลียร์พื้นที่ทันที เพราะ Gmail จะเก็บไว้ในถังขยะอีก 30 วัน ดังนั้นควรเข้าไปล้างถังขยะด้วย ✅ วิธีฟรีในการแก้ปัญหา Gmail เต็ม ➡️ สร้างบัญชีใหม่แล้วนำเข้าอีเมลเก่า ➡️ ใช้บัญชีใหม่แทนหากไม่อยากจัดการ ✅ การจัดการอีเมลขยะและการสมัครรับข่าวสาร ➡️ กด Unsubscribe เพื่อลดข้อความที่ไม่จำเป็น ➡️ ใช้เครื่องมือช่วย เช่น Leave Me Alone, Clean Email ✅ ทางเลือกการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ ใช้บริการคลาวด์อื่น เช่น iCloud, OneDrive ➡️ ลงทุนในฮาร์ดดิสก์ภายนอกเพื่อเก็บไฟล์สำคัญ ✅ เคล็ดลับการเคลียร์พื้นที่ Gmail ➡️ ล้างถังขยะหลังจากลบอีเมล ➡️ ตรวจสอบไฟล์แนบขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ https://www.slashgear.com/2013474/free-easy-way-to-free-up-gmail-storage/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Gmail Storage Full, But Don't Want To Pay? Try This Instead - SlashGear
    If your Gmail account is reaching its storage limit, there is a free way you can go about clearing up space without losing anything. Here's something to try.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • ข่าววิทยาศาสตร์: ร่องรอยโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ อาจบอกใบ้ถึงกำเนิดชีวิตบนโลก

    ลองจินตนาการว่าโลกของเราไม่ได้เริ่มต้นจากเพียงแค่ทะเลโบราณและภูเขาไฟ แต่มี "วัตถุดิบแห่งชีวิต" เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาอวกาศกำลังค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจว่า โมเลกุลอินทรีย์—ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต—มีอยู่ทั่วไปในฝุ่นดาวหาง เศษอุกกาบาต และแม้แต่ในก๊าซจากดาวที่กำลังดับ

    การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ชีวิตบนโลกอาจเริ่มต้นจากอวกาศหรือไม่ โดยโมเลกุลอินทรีย์เหล่านี้อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ก่อนจะเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนโลกจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตจริง

    นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบสัญญาณก๊าซบางชนิดบนดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 124 ปีแสง ซึ่งก๊าซเหล่านี้ปกติจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไมโครออร์แกนิซึมในมหาสมุทรบนโลก แม้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้การค้นหาชีวิตนอกโลกยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้น

    การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ
    พบในฝุ่นดาวหาง อุกกาบาต และก๊าซจากดาวที่กำลังดับ
    โมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอนและกรดอะมิโน

    ทฤษฎีกำเนิดชีวิตจากอวกาศ (Panspermia)
    โมเลกุลอินทรีย์อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต
    โลกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิต

    หลักฐานจากดาวเคราะห์ K2-18b
    ตรวจพบก๊าซที่ปกติผลิตโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
    เป็นการคาดการณ์ที่ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม

    โครงการค้นหาชีวิตนอกโลก
    SETI และ Galileo Project ใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรทรรศน์
    มุ่งหาสัญญาณหรือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก

    ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชีวิตบนโลกเริ่มจากอวกาศจริง
    การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์เป็นเพียง "วัตถุดิบ" ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีชีวิต

    ข้อมูลจากดาวเคราะห์ K2-18b ยังเป็นการตีความเบื้องต้น
    นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตรวจสอบโดยตรงว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง

    การค้นหาชีวิตนอกโลกยังคงเป็นการวิจัยระยะยาว
    ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านี้เพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต

    https://www.slashgear.com/2014873/origins-of-life-deep-space-organic-molecules/
    🪐 ข่าววิทยาศาสตร์: ร่องรอยโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ อาจบอกใบ้ถึงกำเนิดชีวิตบนโลก ลองจินตนาการว่าโลกของเราไม่ได้เริ่มต้นจากเพียงแค่ทะเลโบราณและภูเขาไฟ แต่มี "วัตถุดิบแห่งชีวิต" เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น 🌌 นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาอวกาศกำลังค้นพบหลักฐานที่น่าสนใจว่า โมเลกุลอินทรีย์—ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต—มีอยู่ทั่วไปในฝุ่นดาวหาง เศษอุกกาบาต และแม้แต่ในก๊าซจากดาวที่กำลังดับ การค้นพบเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ชีวิตบนโลกอาจเริ่มต้นจากอวกาศหรือไม่ โดยโมเลกุลอินทรีย์เหล่านี้อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ก่อนจะเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมบนโลกจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตจริง นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบสัญญาณก๊าซบางชนิดบนดาวเคราะห์ K2-18b ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 124 ปีแสง ซึ่งก๊าซเหล่านี้ปกติจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไมโครออร์แกนิซึมในมหาสมุทรบนโลก 🌍 แม้จะยังเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็เป็นหลักฐานที่ทำให้การค้นหาชีวิตนอกโลกยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้น ✅ การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์ในอวกาศ ➡️ พบในฝุ่นดาวหาง อุกกาบาต และก๊าซจากดาวที่กำลังดับ ➡️ โมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์บอนและกรดอะมิโน ✅ ทฤษฎีกำเนิดชีวิตจากอวกาศ (Panspermia) ➡️ โมเลกุลอินทรีย์อาจถูกพัดพามายังโลกผ่านดาวหางและอุกกาบาต ➡️ โลกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมจนเกิดวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิต ✅ หลักฐานจากดาวเคราะห์ K2-18b ➡️ ตรวจพบก๊าซที่ปกติผลิตโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ➡️ เป็นการคาดการณ์ที่ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม ✅ โครงการค้นหาชีวิตนอกโลก ➡️ SETI และ Galileo Project ใช้เทคโนโลยี AI และกล้องโทรทรรศน์ ➡️ มุ่งหาสัญญาณหรือหลักฐานของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ‼️ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชีวิตบนโลกเริ่มจากอวกาศจริง ⛔ การค้นพบโมเลกุลอินทรีย์เป็นเพียง "วัตถุดิบ" ไม่ใช่การพิสูจน์ว่ามีชีวิต ‼️ ข้อมูลจากดาวเคราะห์ K2-18b ยังเป็นการตีความเบื้องต้น ⛔ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตรวจสอบโดยตรงว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริง ‼️ การค้นหาชีวิตนอกโลกยังคงเป็นการวิจัยระยะยาว ⛔ ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านี้เพื่อยืนยันการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต https://www.slashgear.com/2014873/origins-of-life-deep-space-organic-molecules/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Astronomers Keep Finding The Same Thing – And It Points To Life Starting In Space - SlashGear
    Researchers and astronomers have consistently detected the presence of organic molecules in space, hinting at life's extraterrestrial origins.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • การค้นพบเทป UNIX V4: สมบัติจากปี 1973

    ทีมงานที่มหาวิทยาลัย Utah ขณะทำความสะอาดห้องเก็บของ ได้พบเทปแม่เหล็กที่มีป้ายเขียนว่า “UNIX Original from Bell Labs V4 (See Manual for format)” ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ เพราะ UNIX V4 เป็นเวอร์ชันแรกที่มีเคอร์เนลเขียนด้วยภาษา C และเป็นรากฐานของระบบปฏิบัติการสมัยใหม่

    สิ่งที่เกิดขึ้น
    เทปนี้ถูกเก็บไว้นานหลายสิบปี โดยมีลายมือของ Jay Lepreau (อาจารย์ผู้ล่วงลับที่เคยอยู่ Utah) อยู่บนฉลาก
    ทีมงานตัดสินใจนำเทปไปยัง Computer History Museum (CHM) เพื่อทำการอ่านและอนุรักษ์
    ผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ข้อมูลเทปแม่เหล็ก เช่น Al Kossow และกลุ่ม Bitsavers กำลังเตรียมอุปกรณ์พิเศษเพื่ออ่านข้อมูล โดยอาจต้องใช้เทคนิคอย่าง การอบเทป (baking) เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ

    มุมมองเพิ่มเติม
    หากสามารถอ่านข้อมูลได้สำเร็จ จะเป็นครั้งแรกที่โลกมี สำเนาครบถ้วนของ UNIX V4 ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวิชาการมหาศาล
    การค้นพบนี้สะท้อนความสำคัญของ การอนุรักษ์ซอฟต์แวร์และสื่อเก็บข้อมูลเก่า เพราะเทคโนโลยีที่เราพึ่งพาในปัจจุบันมีรากฐานจากงานวิจัยเหล่านี้
    นักวิชาการและนักพัฒนาในชุมชน retrocomputing ต่างตื่นเต้น เพราะอาจสามารถรัน UNIX V4 บนเครื่องจำลอง PDP-11 หรือ PDP-8 ได้อีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ค้นพบเทป UNIX V4 (1973) ที่มหาวิทยาลัย Utah
    ถือเป็นเวอร์ชันแรกที่เขียนเคอร์เนลด้วยภาษา C

    เทปถูกส่งไปยัง Computer History Museum
    เพื่อทำการอ่านและอนุรักษ์ข้อมูล

    ผู้เชี่ยวชาญเตรียมอุปกรณ์กู้ข้อมูลเทปแม่เหล็ก
    อาจต้องใช้เทคนิคการอบเทปและการอ่านแบบอนาล็อก

    ชุมชน retrocomputing ตื่นเต้นกับการค้นพบนี้
    อาจนำไปสู่การรัน UNIX V4 บน PDP emulator

    ความเสี่ยงในการอ่านข้อมูลจากเทปเก่า
    เทปอาจเสื่อมสภาพหรือมีปัญหาทางแม่เหล็ก ทำให้ข้อมูลสูญหายบางส่วน

    การอนุรักษ์ซอฟต์แวร์เก่าเป็นเรื่องเร่งด่วน
    หากไม่มีการกู้ข้อมูลทันเวลา อาจสูญเสียหลักฐานทางประวัติศาสตร์ดิจิทัล

    https://discuss.systems/@ricci/115504720054699983
    💾 การค้นพบเทป UNIX V4: สมบัติจากปี 1973 ทีมงานที่มหาวิทยาลัย Utah ขณะทำความสะอาดห้องเก็บของ ได้พบเทปแม่เหล็กที่มีป้ายเขียนว่า “UNIX Original from Bell Labs V4 (See Manual for format)” ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ เพราะ UNIX V4 เป็นเวอร์ชันแรกที่มีเคอร์เนลเขียนด้วยภาษา C และเป็นรากฐานของระบบปฏิบัติการสมัยใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น 🔰 เทปนี้ถูกเก็บไว้นานหลายสิบปี โดยมีลายมือของ Jay Lepreau (อาจารย์ผู้ล่วงลับที่เคยอยู่ Utah) อยู่บนฉลาก 🔰 ทีมงานตัดสินใจนำเทปไปยัง Computer History Museum (CHM) เพื่อทำการอ่านและอนุรักษ์ 🔰 ผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ข้อมูลเทปแม่เหล็ก เช่น Al Kossow และกลุ่ม Bitsavers กำลังเตรียมอุปกรณ์พิเศษเพื่ออ่านข้อมูล โดยอาจต้องใช้เทคนิคอย่าง การอบเทป (baking) เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ มุมมองเพิ่มเติม 🌍 💠 หากสามารถอ่านข้อมูลได้สำเร็จ จะเป็นครั้งแรกที่โลกมี สำเนาครบถ้วนของ UNIX V4 ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวิชาการมหาศาล 💠 การค้นพบนี้สะท้อนความสำคัญของ การอนุรักษ์ซอฟต์แวร์และสื่อเก็บข้อมูลเก่า เพราะเทคโนโลยีที่เราพึ่งพาในปัจจุบันมีรากฐานจากงานวิจัยเหล่านี้ 💠 นักวิชาการและนักพัฒนาในชุมชน retrocomputing ต่างตื่นเต้น เพราะอาจสามารถรัน UNIX V4 บนเครื่องจำลอง PDP-11 หรือ PDP-8 ได้อีกครั้ง 🔎 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ค้นพบเทป UNIX V4 (1973) ที่มหาวิทยาลัย Utah ➡️ ถือเป็นเวอร์ชันแรกที่เขียนเคอร์เนลด้วยภาษา C ✅ เทปถูกส่งไปยัง Computer History Museum ➡️ เพื่อทำการอ่านและอนุรักษ์ข้อมูล ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตรียมอุปกรณ์กู้ข้อมูลเทปแม่เหล็ก ➡️ อาจต้องใช้เทคนิคการอบเทปและการอ่านแบบอนาล็อก ✅ ชุมชน retrocomputing ตื่นเต้นกับการค้นพบนี้ ➡️ อาจนำไปสู่การรัน UNIX V4 บน PDP emulator ‼️ ความเสี่ยงในการอ่านข้อมูลจากเทปเก่า ⛔ เทปอาจเสื่อมสภาพหรือมีปัญหาทางแม่เหล็ก ทำให้ข้อมูลสูญหายบางส่วน ‼️ การอนุรักษ์ซอฟต์แวร์เก่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ⛔ หากไม่มีการกู้ข้อมูลทันเวลา อาจสูญเสียหลักฐานทางประวัติศาสตร์ดิจิทัล https://discuss.systems/@ricci/115504720054699983
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • Lazygit: เครื่องมือ Git ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
    Bartek Płotka เล่าว่าเขาเจอ lazygit โดยบังเอิญระหว่างทดลองใช้ Neovim และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็เปลี่ยนมาใช้ lazygit เป็นเครื่องมือหลักในการทำงานกับ Git เพราะมันตอบโจทย์ทั้งความเร็ว ความเรียบง่าย และการค้นพบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    จุดเด่นของ lazygit
    ใช้งานง่ายตั้งแต่วันแรก: ไม่ต้องจำคำสั่ง CLI ยาว ๆ แต่ยังคงยึดหลักการทำงานของ Git
    TUI ที่เร็วและสม่ำเสมอ: หน้าต่างแบ่งเป็นกล่อง (views) ที่ชัดเจน ทำให้เข้าใจสถานะ repo ได้ทันที
    สอดคล้องกับ Vim keybindings: เช่น q เพื่อออก, h/j/k/l สำหรับการนำทาง, c สำหรับ commit
    Discoverability สูง: แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น branch ปัจจุบัน, commit ล่าสุด, stash item และคำสั่งหลักพร้อมคีย์ลัด
    Interactivity ที่ช่วยลดความผิดพลาด: เช่นเตือนเมื่อ push มี divergence, interactive rebase ที่เข้าใจง่าย, auto-stash เมื่อสลับ branch

    Workflow ที่ดีขึ้น
    Commit และ Push เร็วขึ้น ด้วยคีย์ลัดสั้น ๆ
    Interactive rebase ที่ปลอดภัยกว่า และมีการแสดงผลชัดเจน
    Cherry-pick ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคัดลอก SHA เอง
    Patch per line/hunk ทำให้การแก้ไขบางบรรทัดจาก commit เก่าทำได้ง่ายและเร็ว

    มุมมองเพิ่มเติม
    Lazygit เป็นตัวอย่างที่ดีของ UX ใน DevTools: เน้นความสม่ำเสมอ, คีย์ลัดที่จำง่าย, และการโต้ตอบที่ช่วยผู้ใช้
    เขียนด้วย ภาษา Go และเป็นโอเพ่นซอร์ส (MIT License) ทำให้มีศักยภาพในการต่อยอดสร้างเครื่องมืออื่น ๆ
    แม้ AI จะเริ่มเข้ามาช่วยในงาน Git เช่นการสร้าง commit message แต่ Bartek เชื่อว่า lazygit จะยังคงมีบทบาทสำคัญใน workflow ของนักพัฒนา

    lazygit เป็น Git UI แบบ TUI ที่ใช้งานง่ายและเร็ว
    ใช้ keybindings คล้าย Vim และยึดหลักการ Git เดิม

    ช่วยลดการสลับบริบท (context switching)
    แสดงข้อมูล repo, commit, branch, stash ในหน้าต่างเดียว

    เพิ่มความปลอดภัยในการทำงานกับ Git
    เตือน divergence, interactive rebase ที่เข้าใจง่าย, auto-stash

    ปรับ workflow ให้ดีขึ้น
    commit/push เร็วขึ้น, cherry-pick ง่าย, patch per line/hunk

    ผู้ใช้ใหม่ไม่ควรข้ามการเรียนรู้ Git CLI
    เพราะ CLI ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดและจำเป็นในสถานการณ์ที่ไม่มี UI

    https://www.bwplotka.dev/2025/lazygit/
    💻 Lazygit: เครื่องมือ Git ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น Bartek Płotka เล่าว่าเขาเจอ lazygit โดยบังเอิญระหว่างทดลองใช้ Neovim และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็เปลี่ยนมาใช้ lazygit เป็นเครื่องมือหลักในการทำงานกับ Git เพราะมันตอบโจทย์ทั้งความเร็ว ความเรียบง่าย และการค้นพบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ จุดเด่นของ lazygit 🔰 ใช้งานง่ายตั้งแต่วันแรก: ไม่ต้องจำคำสั่ง CLI ยาว ๆ แต่ยังคงยึดหลักการทำงานของ Git 🔰 TUI ที่เร็วและสม่ำเสมอ: หน้าต่างแบ่งเป็นกล่อง (views) ที่ชัดเจน ทำให้เข้าใจสถานะ repo ได้ทันที 🔰 สอดคล้องกับ Vim keybindings: เช่น q เพื่อออก, h/j/k/l สำหรับการนำทาง, c สำหรับ commit 🔰 Discoverability สูง: แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น branch ปัจจุบัน, commit ล่าสุด, stash item และคำสั่งหลักพร้อมคีย์ลัด 🔰 Interactivity ที่ช่วยลดความผิดพลาด: เช่นเตือนเมื่อ push มี divergence, interactive rebase ที่เข้าใจง่าย, auto-stash เมื่อสลับ branch Workflow ที่ดีขึ้น 💠 Commit และ Push เร็วขึ้น ด้วยคีย์ลัดสั้น ๆ 💠 Interactive rebase ที่ปลอดภัยกว่า และมีการแสดงผลชัดเจน 💠 Cherry-pick ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคัดลอก SHA เอง 💠 Patch per line/hunk ทำให้การแก้ไขบางบรรทัดจาก commit เก่าทำได้ง่ายและเร็ว มุมมองเพิ่มเติม 🌍 📌 Lazygit เป็นตัวอย่างที่ดีของ UX ใน DevTools: เน้นความสม่ำเสมอ, คีย์ลัดที่จำง่าย, และการโต้ตอบที่ช่วยผู้ใช้ 📌 เขียนด้วย ภาษา Go และเป็นโอเพ่นซอร์ส (MIT License) ทำให้มีศักยภาพในการต่อยอดสร้างเครื่องมืออื่น ๆ 📌 แม้ AI จะเริ่มเข้ามาช่วยในงาน Git เช่นการสร้าง commit message แต่ Bartek เชื่อว่า lazygit จะยังคงมีบทบาทสำคัญใน workflow ของนักพัฒนา ✅ lazygit เป็น Git UI แบบ TUI ที่ใช้งานง่ายและเร็ว ➡️ ใช้ keybindings คล้าย Vim และยึดหลักการ Git เดิม ✅ ช่วยลดการสลับบริบท (context switching) ➡️ แสดงข้อมูล repo, commit, branch, stash ในหน้าต่างเดียว ✅ เพิ่มความปลอดภัยในการทำงานกับ Git ➡️ เตือน divergence, interactive rebase ที่เข้าใจง่าย, auto-stash ✅ ปรับ workflow ให้ดีขึ้น ➡️ commit/push เร็วขึ้น, cherry-pick ง่าย, patch per line/hunk ‼️ ผู้ใช้ใหม่ไม่ควรข้ามการเรียนรู้ Git CLI ⛔ เพราะ CLI ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดและจำเป็นในสถานการณ์ที่ไม่มี UI https://www.bwplotka.dev/2025/lazygit/
    WWW.BWPLOTKA.DEV
    The (lazy) Git UI You Didn't Know You Need
    When my son was born last April, I had ambitious learning plans for the upcoming 5w paternity leave. As you can imagine, with two kids, life quickly verified this plan 🙃. I did eventually start some projects. One of the goals (sounding rebellious in the current AI hype cycle) was to learn and use neovim for coding. As a Goland aficionado, I (and my wrist) have always been tempted by no-mouse, OSS, gopls based, highly configurable dev setups.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • Toy Story: เมื่อโลกดิจิทัลยังต้องพึ่งฟิล์ม

    ย้อนกลับไปปี 1995 โลกตื่นเต้นกับ Toy Story ที่ถูกโฆษณาว่าเป็นแอนิเมชันคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบเรื่องแรก แต่ความจริงคือ Pixar ยังต้องพึ่ง ฟิล์ม 35 มม. ในการฉาย เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรงภาพยนตร์

    ทุกเฟรมของ Toy Story ถูกพิมพ์ลงฟิล์ม ผ่านกระบวนการซับซ้อนที่ใช้เครื่องพิมพ์ฟิล์มเชิงพาณิชย์
    ทีมงานต้องปรับสีและแสงให้เหมาะกับการแสดงผลบนฟิล์ม เช่น สีเขียวจะมืดลง สีฟ้าต้องลดความอิ่มตัว และสีส้มที่ดูแย่บนจอคอมกลับสวยงามบนฟิล์ม
    ผลลัพธ์คือภาพที่มี ความนุ่มนวลและอบอุ่น แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใสในปัจจุบัน

    ต่อมา Pixar ได้พัฒนาเทคนิคการโอนตรงจากดิจิทัลสู่ DVD โดยเริ่มจาก A Bug’s Life (1998) ทำให้ภาพยนตร์เวอร์ชันบ้านมีความคมชัดและไร้เกรน แต่ก็สูญเสียบรรยากาศดั้งเดิมที่ฟิล์มสร้างขึ้น

    มุมมองเพิ่มเติม
    ปัญหานี้สะท้อนความท้าทายของ การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ยังต้องพึ่งพาฟิล์ม
    นักอนุรักษ์ภาพยนตร์ถกเถียงกันว่า “เวอร์ชันไหนคือของแท้” ระหว่างฟิล์ม 35 มม. ที่ผู้ชมยุค 90s ได้เห็น กับเวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมในปัจจุบัน
    หลายคนเชื่อว่า การดู Toy Story บนฟิล์ม คือการสัมผัสประสบการณ์ที่ Pixar ตั้งใจสร้างจริง ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Toy Story (1995) ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ฉายด้วยฟิล์ม 35 มม.
    เทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรง

    ทีมงาน Pixar ต้องปรับสีให้เข้ากับการพิมพ์ฟิล์ม
    สีเขียวมืดลง, สีฟ้าลดความอิ่มตัว, สีส้มดูดีบนฟิล์ม

    เวอร์ชันฟิล์มมีความนุ่มนวลและอบอุ่น
    แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใส

    A Bug’s Life (1998) คือการโอนตรงดิจิทัลสู่ DVD ครั้งแรก
    ทำให้ภาพคมชัด แต่สูญเสียบรรยากาศแบบฟิล์ม

    การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่านยังเป็นปัญหา
    เวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้สร้างตั้งใจให้ผู้ชมเห็น

    https://animationobsessive.substack.com/p/the-toy-story-you-remember
    🎬 Toy Story: เมื่อโลกดิจิทัลยังต้องพึ่งฟิล์ม ย้อนกลับไปปี 1995 โลกตื่นเต้นกับ Toy Story ที่ถูกโฆษณาว่าเป็นแอนิเมชันคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบเรื่องแรก แต่ความจริงคือ Pixar ยังต้องพึ่ง ฟิล์ม 35 มม. ในการฉาย เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรงภาพยนตร์ 🔰 ทุกเฟรมของ Toy Story ถูกพิมพ์ลงฟิล์ม ผ่านกระบวนการซับซ้อนที่ใช้เครื่องพิมพ์ฟิล์มเชิงพาณิชย์ 🔰 ทีมงานต้องปรับสีและแสงให้เหมาะกับการแสดงผลบนฟิล์ม เช่น สีเขียวจะมืดลง สีฟ้าต้องลดความอิ่มตัว และสีส้มที่ดูแย่บนจอคอมกลับสวยงามบนฟิล์ม 🔰 ผลลัพธ์คือภาพที่มี ความนุ่มนวลและอบอุ่น แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใสในปัจจุบัน ต่อมา Pixar ได้พัฒนาเทคนิคการโอนตรงจากดิจิทัลสู่ DVD โดยเริ่มจาก A Bug’s Life (1998) ทำให้ภาพยนตร์เวอร์ชันบ้านมีความคมชัดและไร้เกรน แต่ก็สูญเสียบรรยากาศดั้งเดิมที่ฟิล์มสร้างขึ้น มุมมองเพิ่มเติม 🌍 💠 ปัญหานี้สะท้อนความท้าทายของ การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่าน ที่ยังต้องพึ่งพาฟิล์ม 💠 นักอนุรักษ์ภาพยนตร์ถกเถียงกันว่า “เวอร์ชันไหนคือของแท้” ระหว่างฟิล์ม 35 มม. ที่ผู้ชมยุค 90s ได้เห็น กับเวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมในปัจจุบัน 💠 หลายคนเชื่อว่า การดู Toy Story บนฟิล์ม คือการสัมผัสประสบการณ์ที่ Pixar ตั้งใจสร้างจริง ๆ 🔎 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Toy Story (1995) ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ฉายด้วยฟิล์ม 35 มม. ➡️ เทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่พร้อมสำหรับการฉายภาพยนตร์ยาวในโรง ✅ ทีมงาน Pixar ต้องปรับสีให้เข้ากับการพิมพ์ฟิล์ม ➡️ สีเขียวมืดลง, สีฟ้าลดความอิ่มตัว, สีส้มดูดีบนฟิล์ม ✅ เวอร์ชันฟิล์มมีความนุ่มนวลและอบอุ่น ➡️ แตกต่างจากเวอร์ชันดิจิทัลที่คมชัดและสดใส ✅ A Bug’s Life (1998) คือการโอนตรงดิจิทัลสู่ DVD ครั้งแรก ➡️ ทำให้ภาพคมชัด แต่สูญเสียบรรยากาศแบบฟิล์ม ‼️ การอนุรักษ์ภาพยนตร์ดิจิทัลยุคเปลี่ยนผ่านยังเป็นปัญหา ⛔ เวอร์ชันดิจิทัลที่สตรีมวันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้สร้างตั้งใจให้ผู้ชมเห็น https://animationobsessive.substack.com/p/the-toy-story-you-remember
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา

    ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

    เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

    น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป

    มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก
    ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
    หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา
    หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก

    FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก
    เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ

    ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด
    ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่

    Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg
    แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่

    กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน

    แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero
    กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก
    หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก

    https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    📰 FFmpeg vs Google: เมื่อโอเพ่นซอร์สต้องการมากกว่าแรงอาสา ลองนึกภาพว่าโปรแกรมที่คุณใช้ดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เบราว์เซอร์ที่เปิดทุกวัน ต่างก็พึ่งพา FFmpeg — เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ทำหน้าที่แปลงและประมวลผลสื่อมัลติมีเดียแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้คือทีมอาสาสมัครที่ทำงานฟรี และกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เรื่องราวเริ่มจากการที่ Google ใช้ AI ตรวจพบช่องโหว่เล็ก ๆ ใน FFmpeg ซึ่งแม้จะเป็นบั๊กที่เกี่ยวข้องกับเกมเก่าจากปี 1995 แต่ก็ถูกบังคับให้ต้องแก้ไขภายใต้กรอบเวลาเข้มงวดตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero นี่จึงกลายเป็นการถกเถียงใหญ่ในชุมชนโอเพ่นซอร์สว่า “ใครควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและแรงงานในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้” น่าสนใจคือ FFmpeg ไม่ใช่รายเดียวที่เจอปัญหาแบบนี้ — ไลบรารีสำคัญอย่าง libxml2 ก็เพิ่งเสียผู้ดูแลหลักไป เพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนได้อีกต่อไป มุมมองเพิ่มเติมจากภายนอก 🌍 🔰 ปัญหานี้สะท้อนความจริงว่า โอเพ่นซอร์สคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่โลกพึ่งพา แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ 🔰 หลายองค์กรเริ่มพูดถึงแนวคิด “Open Source Sustainability” เช่นการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน หรือการบังคับให้บริษัทที่ใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรักษา 🔰 หากไม่มีการแก้ไขเชิงโครงสร้าง เราอาจเห็นซอฟต์แวร์สำคัญ ๆ ถูกทิ้งร้าง และนั่นหมายถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระดับโลก ✅ FFmpeg ถูกใช้ทั่วโลก ➡️ เป็นหัวใจของการเล่นและแปลงไฟล์วิดีโอ/เสียงใน VLC, Chrome, Firefox, YouTube ฯลฯ ✅ ทีมพัฒนาเป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมด ➡️ ไม่มีสัญญา ไม่มีงบประมาณจากองค์กรใหญ่ แต่ต้องรับภาระการแก้ไขช่องโหว่ ✅ Google ใช้ AI ตรวจพบบั๊กเก่าใน FFmpeg ➡️ แม้เป็นปัญหากับเกมปี 1995 แต่ก็ต้องแก้ไขตามนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ ✅ กรณี libxml2 แสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ➡️ ผู้ดูแลลาออกเพราะไม่สามารถรับภาระการแก้ไขช่องโหว่โดยไม่มีค่าตอบแทน ‼️ แรงกดดันจากนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ของ Google Project Zero ⛔ กำหนดเวลา 90 วันในการแก้ไข แม้ทีมอาสาสมัครไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบดิจิทัลโลก ⛔ หากโครงการโอเพ่นซอร์สสำคัญถูกทิ้งร้าง อาจเกิดช่องโหว่ใหญ่ที่กระทบผู้ใช้ทั่วโลก https://thenewstack.io/ffmpeg-to-google-fund-us-or-stop-sending-bugs/
    THENEWSTACK.IO
    FFmpeg to Google: Fund Us or Stop Sending Bugs
    A lively discussion about open source, security, and who pays the bills has erupted on Twitter.
    0 Comments 0 Shares 44 Views 0 Reviews
  • ข่าวเทคโนโลยี: "FreeScout ทางเลือกใหม่แทน Help Scout – เปิดกว้าง ไม่ล็อกอิน ไม่ล็อกค่าใช้จ่าย"

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังใช้ระบบช่วยเหลือลูกค้า (Help Desk) ที่วันหนึ่งบริษัทเจ้าของปรับราคาขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นโดยไม่เต็มใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับ Help Scout ที่เคยปรับราคา จนผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจ และแม้จะปรับลดลงภายหลัง แต่ความเชื่อมั่นก็สั่นคลอนไปแล้ว

    ตรงนี้เองที่ FreeScout โผล่ขึ้นมาเป็นพระเอกในโลกโอเพ่นซอร์ส — ระบบ Help Desk ที่คุณสามารถติดตั้งเองบนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ ไม่ต้องกลัวถูกล็อกฟีเจอร์หรือปรับราคาแบบไม่ทันตั้งตัว จุดเด่นคือความยืดหยุ่นสูงและการควบคุมข้อมูลได้เต็มมือ

    นอกจากนั้น FreeScout ยังมีโมดูลเสริมที่เลือกใช้ได้ตามต้องการ เช่น การเชื่อมต่อกับ Slack, Telegram หรือ CRM ต่าง ๆ รวมถึงโมดูล AI ที่ชุมชนพัฒนาขึ้นมาเอง ทำให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งระบบให้ตรงกับความต้องการจริง ๆ โดยไม่ต้องจ่ายเกินจำเป็น

    อย่างไรก็ตาม การใช้ FreeScout ก็มีข้อควรระวัง เพราะคุณต้องดูแลการติดตั้ง อัปเดต และสำรองข้อมูลเอง หากทีมไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค อาจกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์

    FreeScout ไม่ล็อกอิน ไม่ล็อกราคา
    เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้ฟรี ยืดหยุ่นสูง
    ค่าใช้จ่ายหลักคือการโฮสต์และโมดูลเสริมที่เลือกเอง

    ฟีเจอร์ที่ครบครัน
    มีระบบกล่องจดหมายรวม, การจัดการผู้ใช้, การตรวจจับการชนกันของเอเจนต์
    รองรับการเชื่อมต่อกับ Slack, Telegram และ CRM

    ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่
    ผู้ใช้สามารถกำหนดวิธีเก็บและสำรองข้อมูลเอง
    เหมาะกับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว

    รองรับการใช้งานบนมือถือ
    มีแอป Android และ iOS แต่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ต้องมีทีมเทคนิคดูแลการติดตั้งและอัปเดต
    การย้ายระบบออกภายหลังอาจซับซ้อน แม้ข้อมูลยังอยู่กับผู้ใช้

    https://itsfoss.com/freescout-open-source-help-desk/
    📨 ข่าวเทคโนโลยี: "FreeScout ทางเลือกใหม่แทน Help Scout – เปิดกว้าง ไม่ล็อกอิน ไม่ล็อกค่าใช้จ่าย" ลองนึกภาพว่าคุณกำลังใช้ระบบช่วยเหลือลูกค้า (Help Desk) ที่วันหนึ่งบริษัทเจ้าของปรับราคาขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นโดยไม่เต็มใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับ Help Scout ที่เคยปรับราคา จนผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจ และแม้จะปรับลดลงภายหลัง แต่ความเชื่อมั่นก็สั่นคลอนไปแล้ว ตรงนี้เองที่ FreeScout โผล่ขึ้นมาเป็นพระเอกในโลกโอเพ่นซอร์ส 🛠️ — ระบบ Help Desk ที่คุณสามารถติดตั้งเองบนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ ไม่ต้องกลัวถูกล็อกฟีเจอร์หรือปรับราคาแบบไม่ทันตั้งตัว จุดเด่นคือความยืดหยุ่นสูงและการควบคุมข้อมูลได้เต็มมือ นอกจากนั้น FreeScout ยังมีโมดูลเสริมที่เลือกใช้ได้ตามต้องการ เช่น การเชื่อมต่อกับ Slack, Telegram หรือ CRM ต่าง ๆ รวมถึงโมดูล AI ที่ชุมชนพัฒนาขึ้นมาเอง ทำให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งระบบให้ตรงกับความต้องการจริง ๆ โดยไม่ต้องจ่ายเกินจำเป็น อย่างไรก็ตาม การใช้ FreeScout ก็มีข้อควรระวัง ⚠️ เพราะคุณต้องดูแลการติดตั้ง อัปเดต และสำรองข้อมูลเอง หากทีมไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค อาจกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ ✅ FreeScout ไม่ล็อกอิน ไม่ล็อกราคา ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้ฟรี ยืดหยุ่นสูง ➡️ ค่าใช้จ่ายหลักคือการโฮสต์และโมดูลเสริมที่เลือกเอง ✅ ฟีเจอร์ที่ครบครัน ➡️ มีระบบกล่องจดหมายรวม, การจัดการผู้ใช้, การตรวจจับการชนกันของเอเจนต์ ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ Slack, Telegram และ CRM ✅ ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ➡️ ผู้ใช้สามารถกำหนดวิธีเก็บและสำรองข้อมูลเอง ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ✅ รองรับการใช้งานบนมือถือ ➡️ มีแอป Android และ iOS แต่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ต้องมีทีมเทคนิคดูแลการติดตั้งและอัปเดต ⛔ การย้ายระบบออกภายหลังอาจซับซ้อน แม้ข้อมูลยังอยู่กับผู้ใช้ https://itsfoss.com/freescout-open-source-help-desk/
    ITSFOSS.COM
    Tired of Help Scout Pulling the Rug from Under You? Try This Free, Open Source Alternative
    Discover how FreeScout lets you run your own help desk without vendor lock-in or surprise price hikes.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์

    Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต

    Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ:
    แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต
    บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ
    ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์
    ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที

    ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา

    แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน
    หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที
    เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา

    Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่
    ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์

    เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ
    แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา

    การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร
    NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest

    รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม
    หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์

    https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    🎙️ ข่าวใหญ่: Broadcom + CAMB.AI สร้างชิป AI สำหรับการแปลและดับบเสียงบนอุปกรณ์ Broadcom จับมือสตาร์ทอัพ CAMB.AI พัฒนาชิป AI รุ่นใหม่ที่สามารถทำงาน แปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์โดยตรง โดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดความหน่วง และรองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต Broadcom ประกาศความร่วมมือกับ CAMB.AI เพื่อพัฒนาชิป AI ที่สามารถทำงานด้านเสียงและภาษาได้แบบ on-device จุดเด่นคือ: 🔰 แปลภาษาและดับบเสียงทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ต 🔰 บรรยายภาพ (audio description) เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจ 🔰 ความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น เพราะข้อมูลไม่ต้องส่งไปยังคลาวด์ 🔰 ลดความหน่วง (latency) ทำให้การใช้งานเป็นธรรมชาติและทันที ในเดโมที่นำเสนอ มีการใช้คลิปจากภาพยนตร์ Ratatouille ที่ระบบสามารถแปลบทสนทนาและบรรยายภาพ เช่น “หนูกำลังวิ่งในครัว” ได้ทันทีในหลายภาษา แม้เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ CAMB.AI มีผลงานจริงแล้ว เช่น การนำไปใช้ใน NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพเชิงพาณิชย์ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 แนวโน้ม AI on-device กำลังมาแรง เพราะช่วยลดการพึ่งพาเครือข่ายและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล 💠 Apple และ Google ก็พัฒนา AI บนชิปมือถือเพื่อรองรับงานด้านภาษาและภาพเช่นกัน 💠 หาก Broadcom และ CAMB.AI ทำสำเร็จ อาจเปิดตลาดใหม่สำหรับ ทีวี, สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสาร ที่สามารถแปลและบรรยายได้ทันที 💠 เทคโนโลยีนี้ยังมีความสำคัญต่อ การเข้าถึง (Accessibility) โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตาและผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้ามภาษา ✅ Broadcom จับมือ CAMB.AI พัฒนาชิป AI ใหม่ ➡️ ทำงานด้านแปลภาษา, ดับบเสียง และบรรยายภาพแบบเรียลไทม์บนอุปกรณ์ ✅ เดโมจาก Ratatouille แสดงศักยภาพ ➡️ แปลบทสนทนาและบรรยายภาพทันทีในหลายภาษา ✅ การใช้งานจริงแล้วในหลายองค์กร ➡️ NASCAR, Comcast และ Eurovision Song Contest ✅ รองรับกว่า 150 ภาษาในอนาคต ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความหน่วงเพราะไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพจริงอาจไม่ตรงกับเดโม ⛔ หากไม่พัฒนาให้เสถียร อาจกระทบต่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ https://securityonline.info/broadcom-camb-ai-developing-ai-chip-for-real-time-on-device-dubbing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Broadcom & CAMB.AI Developing AI Chip for Real-Time On-Device Dubbing
    Broadcom partnered with CAMB.AI to develop an AI chip for real-time, on-device audio translation and dubbing in 150+ languages, promising ultra-low latency.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Rockwell Automation แก้ไขช่องโหว่ Privilege Escalation ใน Verve Asset Manager

    Rockwell Automation ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิ์ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin และจัดการบัญชีผู้ใช้ได้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจนระบบ ICS/OT หยุดทำงาน

    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบจากการทดสอบภายในของ Rockwell Automation โดยพบว่า API ของ Verve Asset Manager ไม่ได้บังคับตรวจสอบสิทธิ์อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียง read-only สามารถ:
    อ่านข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด
    แก้ไขข้อมูลผู้ใช้
    ลบบัญชีผู้ใช้ รวมถึงบัญชี admin

    ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถ ยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ และอาจลบหรือปิดกั้นบัญชี admin เพื่อทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่อันตรายมากสำหรับระบบ ICS (Industrial Control Systems) และ OT (Operational Technology) ที่ Verve Asset Manager ใช้ในการจัดการ

    Rockwell Automation ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์สูงสุดในระบบ
    ระบบ ICS/OT มักใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิต และสาธารณูปโภค หากถูกโจมตีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่
    CVSS 9.9 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด
    แนวโน้มการโจมตี ICS/OT เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่ม APT ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ช่องโหว่ CVE-2025-11862 ใน Verve Asset Manager
    ผู้ใช้ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin ผ่าน API

    ผลกระทบต่อระบบ ICS/OT
    อาจทำให้ผู้โจมตีควบคุมระบบ, ลบบัญชี admin, และหยุดการทำงาน

    แพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42
    Rockwell Automation แนะนำให้อัปเดตทันที

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้งาน Verve Asset Manager
    หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและระบบหยุดชะงัก
    ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับ Critical (CVSS 9.9) ต้องจัดการโดยด่วน

    https://securityonline.info/rockwell-automation-fixes-critical-privilege-escalation-flaw-in-verve-asset-manager-cve-2025-11862-cvss-9-9/
    ⚠️ ข่าวใหญ่: Rockwell Automation แก้ไขช่องโหว่ Privilege Escalation ใน Verve Asset Manager Rockwell Automation ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สิทธิ์ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin และจัดการบัญชีผู้ใช้ได้ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจนระบบ ICS/OT หยุดทำงาน ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบจากการทดสอบภายในของ Rockwell Automation โดยพบว่า API ของ Verve Asset Manager ไม่ได้บังคับตรวจสอบสิทธิ์อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียง read-only สามารถ: 🪲 อ่านข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด 🪲 แก้ไขข้อมูลผู้ใช้ 🪲 ลบบัญชีผู้ใช้ รวมถึงบัญชี admin ผลกระทบคือผู้โจมตีสามารถ ยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ และอาจลบหรือปิดกั้นบัญชี admin เพื่อทำให้ระบบไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่อันตรายมากสำหรับระบบ ICS (Industrial Control Systems) และ OT (Operational Technology) ที่ Verve Asset Manager ใช้ในการจัดการ Rockwell Automation ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 โดยแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์สูงสุดในระบบ 💠 ระบบ ICS/OT มักใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การผลิต และสาธารณูปโภค หากถูกโจมตีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่ 💠 CVSS 9.9 ถือว่าอยู่ในระดับ Critical ซึ่งหมายถึงต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด 💠 แนวโน้มการโจมตี ICS/OT เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่ม APT ที่มุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-11862 ใน Verve Asset Manager ➡️ ผู้ใช้ read-only สามารถยกระดับสิทธิ์เป็น admin ผ่าน API ✅ ผลกระทบต่อระบบ ICS/OT ➡️ อาจทำให้ผู้โจมตีควบคุมระบบ, ลบบัญชี admin, และหยุดการทำงาน ✅ แพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 1.41.4 และ 1.42 ➡️ Rockwell Automation แนะนำให้อัปเดตทันที ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้งาน Verve Asset Manager ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและระบบหยุดชะงัก ⛔ ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงระดับ Critical (CVSS 9.9) ต้องจัดการโดยด่วน https://securityonline.info/rockwell-automation-fixes-critical-privilege-escalation-flaw-in-verve-asset-manager-cve-2025-11862-cvss-9-9/
    SECURITYONLINE.INFO
    Rockwell Automation Fixes Critical Privilege Escalation Flaw in Verve Asset Manager (CVE-2025-11862, CVSS 9.9)
    Rockwell patched a critical API flaw (CVE-2025-11862, CVSS 9.9) in Verve Asset Manager, allowing read-only users to escalate privileges and fully compromise OT systems.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร

    Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026

    Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่

    หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock"
    ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store

    Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง

    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน
    ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ
    การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา
    มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น

    Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock
    ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น

    เกณฑ์การตรวจสอบ
    หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์
    หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน

    ข้อยกเว้นบางกรณี
    แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์

    วันบังคับใช้
    เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป
    แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store
    อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก

    https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    🔋 ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026 Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่ 🔰 หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock" 🔰 ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน 💠 ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ 💠 การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา 💠 มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น ✅ Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock ➡️ ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น ✅ เกณฑ์การตรวจสอบ ➡️ หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ ➡️ หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน ✅ ข้อยกเว้นบางกรณี ➡️ แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์ ✅ วันบังคับใช้ ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026 ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป ⛔ แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store ⛔ อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Android Rule: Google to Flag Battery-Draining Apps on Play Store Listings
    Google launches the "Excessive Wake Lock" metric. Apps that overuse wake locks (over 2 hours in 24 hrs) will get a red battery drain warning on the Play Store starting Mar 2026.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Wikipedia เปิดตัว Paid API สู้กระแส AI แย่งผู้เข้าชม

    Wikipedia เปิดตัว Paid API เพื่อรับมือกับการที่ AI ดึงข้อมูลไปใช้โดยไม่ให้เครดิต จนทำให้ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8% และอาจกระทบต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และผู้บริจาคในอนาคต

    ในยุคที่ AI กำลังครองโลกข้อมูล เว็บไซต์อย่าง Wikipedia ซึ่งเป็นแหล่งความรู้สาธารณะก็เริ่มได้รับผลกระทบหนัก เพราะ AI หลายระบบใช้ข้อมูลจาก Wikipedia ไปตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านที่ต้นทางอีกต่อไป

    ผลลัพธ์คือ ทราฟฟิกจากผู้ใช้จริงลดลงกว่า 8% ในช่วงกลางปี 2025 ขณะที่ AI crawler หลายตัวถึงขั้นปลอมตัวเป็นผู้ใช้มนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับของระบบ Wikipedia

    เพื่อแก้ปัญหาและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน Wikipedia จึงเปิดตัว บริการ Paid API สำหรับบริษัท AI โดยมีเป้าหมายสองด้าน:
    1️⃣ สร้างรายได้เพื่อคงการดำเนินงานของ Wikipedia
    2️⃣ ให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้องและมีโครงสร้าง

    นอกจากนี้ Wikipedia ยังเน้นย้ำว่า นักพัฒนา AI ควรให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ เพราะหากไม่มีผู้เขียนและผู้แก้ไขอาสา เนื้อหาก็จะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพต่อไป

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Paid API ของ Wikipedia คล้ายกับโมเดลที่หลายแพลตฟอร์มใช้ เช่น Twitter และ Reddit ที่เริ่มคิดค่าบริการสำหรับการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก
    หาก Wikipedia สูญเสียผู้ใช้และผู้บริจาคไปเรื่อย ๆ อาจเกิดปัญหาขาดแคลนผู้แก้ไข ทำให้คุณภาพข้อมูลลดลง และสุดท้าย AI เองก็จะขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
    นักวิชาการบางคนมองว่า นี่คือการ ปรับสมดุลระหว่างโลก AI และโลกมนุษย์ เพราะข้อมูลที่ AI ใช้ควรมีการสนับสนุนต้นทาง มิฉะนั้นระบบนิเวศความรู้จะไม่ยั่งยืน

    Wikipedia เปิดตัว Paid API สำหรับบริษัท AI
    เพื่อสร้างรายได้และให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้อง

    ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8%
    เกิดจาก AI ตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่เข้า Wikipedia

    AI crawler ปลอมตัวเป็นมนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับ
    Wikipedia ต้องอัปเกรดระบบ bot-detection

    Wikipedia ย้ำให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ
    หากไม่มีผู้เขียนอาสา เนื้อหาจะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ

    คำเตือนต่ออนาคตของ Wikipedia และ AI
    หากผู้ใช้และผู้บริจาคลดลง อาจทำให้ Wikipedia ขาดแคลนผู้แก้ไข
    คุณภาพข้อมูลที่ลดลงจะกระทบต่อ AI เอง เพราะไม่มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

    https://securityonline.info/wikipedia-fights-back-paid-api-launches-as-ai-traffic-steals-8-of-human-visitors/
    📚 ข่าวใหญ่: Wikipedia เปิดตัว Paid API สู้กระแส AI แย่งผู้เข้าชม Wikipedia เปิดตัว Paid API เพื่อรับมือกับการที่ AI ดึงข้อมูลไปใช้โดยไม่ให้เครดิต จนทำให้ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8% และอาจกระทบต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และผู้บริจาคในอนาคต ในยุคที่ AI กำลังครองโลกข้อมูล เว็บไซต์อย่าง Wikipedia ซึ่งเป็นแหล่งความรู้สาธารณะก็เริ่มได้รับผลกระทบหนัก เพราะ AI หลายระบบใช้ข้อมูลจาก Wikipedia ไปตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปอ่านที่ต้นทางอีกต่อไป ผลลัพธ์คือ ทราฟฟิกจากผู้ใช้จริงลดลงกว่า 8% ในช่วงกลางปี 2025 ขณะที่ AI crawler หลายตัวถึงขั้นปลอมตัวเป็นผู้ใช้มนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับของระบบ Wikipedia เพื่อแก้ปัญหาและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน Wikipedia จึงเปิดตัว บริการ Paid API สำหรับบริษัท AI โดยมีเป้าหมายสองด้าน: 1️⃣ สร้างรายได้เพื่อคงการดำเนินงานของ Wikipedia 2️⃣ ให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้องและมีโครงสร้าง นอกจากนี้ Wikipedia ยังเน้นย้ำว่า นักพัฒนา AI ควรให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ เพราะหากไม่มีผู้เขียนและผู้แก้ไขอาสา เนื้อหาก็จะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพต่อไป 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Paid API ของ Wikipedia คล้ายกับโมเดลที่หลายแพลตฟอร์มใช้ เช่น Twitter และ Reddit ที่เริ่มคิดค่าบริการสำหรับการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก 🔰 หาก Wikipedia สูญเสียผู้ใช้และผู้บริจาคไปเรื่อย ๆ อาจเกิดปัญหาขาดแคลนผู้แก้ไข ทำให้คุณภาพข้อมูลลดลง และสุดท้าย AI เองก็จะขาดแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ 🔰 นักวิชาการบางคนมองว่า นี่คือการ ปรับสมดุลระหว่างโลก AI และโลกมนุษย์ เพราะข้อมูลที่ AI ใช้ควรมีการสนับสนุนต้นทาง มิฉะนั้นระบบนิเวศความรู้จะไม่ยั่งยืน ✅ Wikipedia เปิดตัว Paid API สำหรับบริษัท AI ➡️ เพื่อสร้างรายได้และให้ AI เข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้อง ✅ ทราฟฟิกมนุษย์ลดลงกว่า 8% ➡️ เกิดจาก AI ตอบคำถามโดยตรง ทำให้ผู้ใช้ไม่เข้า Wikipedia ✅ AI crawler ปลอมตัวเป็นมนุษย์เพื่อเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ Wikipedia ต้องอัปเกรดระบบ bot-detection ✅ Wikipedia ย้ำให้เครดิตแก่ผู้เขียนบทความ ➡️ หากไม่มีผู้เขียนอาสา เนื้อหาจะไม่ถูกพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของ Wikipedia และ AI ⛔ หากผู้ใช้และผู้บริจาคลดลง อาจทำให้ Wikipedia ขาดแคลนผู้แก้ไข ⛔ คุณภาพข้อมูลที่ลดลงจะกระทบต่อ AI เอง เพราะไม่มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ https://securityonline.info/wikipedia-fights-back-paid-api-launches-as-ai-traffic-steals-8-of-human-visitors/
    SECURITYONLINE.INFO
    Wikipedia Fights Back: Paid API Launches as AI Traffic Steals 8% of Human Visitors
    Wikipedia launches a paid API for AI companies to stop web scraping and generate revenue after sophisticated AI crawlers caused an 8% drop in human traffic.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: Microsoft ออกแพตช์แก้ไข 68 ช่องโหว่ พร้อมอุด Zero-Day ใน Windows Kernel

    Microsoft ได้ปล่อย Patch Tuesday เดือนพฤศจิกายน 2025 ที่สำคัญมาก เพราะคราวนี้มีการแก้ไขช่องโหว่รวม 68 รายการ โดยหนึ่งในนั้นคือ Zero-Day ใน Windows Kernel (CVE-2025-62215) ซึ่งกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์

    ลองนึกภาพว่าระบบปฏิบัติการ Windows เป็นเหมือน “หัวใจ” ของคอมพิวเตอร์ หากหัวใจนี้มีรูรั่วเล็ก ๆ แฮ็กเกอร์ก็สามารถสอดมือเข้ามาควบคุมได้ทันที ช่องโหว่ Zero-Day ที่เพิ่งถูกค้นพบนี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์ขึ้นไปถึง SYSTEM ซึ่งเป็นสิทธิ์สูงสุดในเครื่องคอมพิวเตอร์

    นอกจาก Zero-Day แล้ว Microsoft ยังแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงอีก 4 รายการ เช่น
    ช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ใน GDI+ และ Microsoft Office
    ช่องโหว่ Elevation of Privilege (EoP) ใน DirectX Graphics Kernel
    ช่องโหว่ Command Injection ใน Visual Studio

    ที่น่าสนใจคือยังมีการแก้ไขปัญหาการ Information Disclosure ใน Nuance PowerScribe 360 ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลได้

    การอัปเดตครั้งนี้ครอบคลุมหลายผลิตภัณฑ์ เช่น SQL Server, Hyper-V, Visual Studio, Windows WLAN Service และแม้กระทั่ง Microsoft Edge ที่มีการแก้ไข 5 ช่องโหว่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Patch Tuesday เป็นธรรมเนียมที่ Microsoft ปล่อยแพตช์ทุกวันอังคารสัปดาห์ที่สองของเดือน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้
    ช่องโหว่ Zero-Day มักถูกขายในตลาดมืดในราคาสูงมาก เพราะสามารถใช้โจมตีได้ทันทีโดยที่ยังไม่มีแพตช์แก้ไข
    หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ เช่น CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) มักออกประกาศเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเมื่อพบ Zero-Day ที่ถูกโจมตีจริง

    Microsoft ออกแพตช์แก้ไข 68 ช่องโหว่
    ครอบคลุมทั้ง Windows Kernel, SQL Server, Hyper-V, Visual Studio และ Edge

    Zero-Day CVE-2025-62215 ถูกโจมตีจริง
    เป็นช่องโหว่ Elevation of Privilege ที่ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ SYSTEM

    ช่องโหว่ร้ายแรงอื่น ๆ อีก 4 รายการ
    รวมถึง RCE ใน GDI+ และ Microsoft Office, EoP ใน DirectX, Command Injection ใน Visual Studio

    ช่องโหว่ Information Disclosure ใน Nuance PowerScribe 360
    อาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลผ่าน API ที่ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้และองค์กร
    หากไม่อัปเดตทันที อาจถูกโจมตีด้วย Zero-Day ที่กำลังถูกใช้จริง
    ช่องโหว่ RCE สามารถทำให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายได้เพียงแค่หลอกให้ผู้ใช้เปิดไฟล์

    https://securityonline.info/november-patch-tuesday-microsoft-fixes-68-flaws-including-kernel-zero-day-under-active-exploitation/
    🛡️ ข่าวด่วน: Microsoft ออกแพตช์แก้ไข 68 ช่องโหว่ พร้อมอุด Zero-Day ใน Windows Kernel Microsoft ได้ปล่อย Patch Tuesday เดือนพฤศจิกายน 2025 ที่สำคัญมาก เพราะคราวนี้มีการแก้ไขช่องโหว่รวม 68 รายการ โดยหนึ่งในนั้นคือ Zero-Day ใน Windows Kernel (CVE-2025-62215) ซึ่งกำลังถูกโจมตีจริงในโลกไซเบอร์ ลองนึกภาพว่าระบบปฏิบัติการ Windows เป็นเหมือน “หัวใจ” ของคอมพิวเตอร์ หากหัวใจนี้มีรูรั่วเล็ก ๆ แฮ็กเกอร์ก็สามารถสอดมือเข้ามาควบคุมได้ทันที ช่องโหว่ Zero-Day ที่เพิ่งถูกค้นพบนี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์ขึ้นไปถึง SYSTEM ซึ่งเป็นสิทธิ์สูงสุดในเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจาก Zero-Day แล้ว Microsoft ยังแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงอีก 4 รายการ เช่น 🪲 ช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ใน GDI+ และ Microsoft Office 🪲 ช่องโหว่ Elevation of Privilege (EoP) ใน DirectX Graphics Kernel 🪲 ช่องโหว่ Command Injection ใน Visual Studio ที่น่าสนใจคือยังมีการแก้ไขปัญหาการ Information Disclosure ใน Nuance PowerScribe 360 ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลได้ การอัปเดตครั้งนี้ครอบคลุมหลายผลิตภัณฑ์ เช่น SQL Server, Hyper-V, Visual Studio, Windows WLAN Service และแม้กระทั่ง Microsoft Edge ที่มีการแก้ไข 5 ช่องโหว่ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 Patch Tuesday เป็นธรรมเนียมที่ Microsoft ปล่อยแพตช์ทุกวันอังคารสัปดาห์ที่สองของเดือน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ 🔰 ช่องโหว่ Zero-Day มักถูกขายในตลาดมืดในราคาสูงมาก เพราะสามารถใช้โจมตีได้ทันทีโดยที่ยังไม่มีแพตช์แก้ไข 🔰 หน่วยงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ เช่น CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) มักออกประกาศเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเมื่อพบ Zero-Day ที่ถูกโจมตีจริง ✅ Microsoft ออกแพตช์แก้ไข 68 ช่องโหว่ ➡️ ครอบคลุมทั้ง Windows Kernel, SQL Server, Hyper-V, Visual Studio และ Edge ✅ Zero-Day CVE-2025-62215 ถูกโจมตีจริง ➡️ เป็นช่องโหว่ Elevation of Privilege ที่ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ SYSTEM ✅ ช่องโหว่ร้ายแรงอื่น ๆ อีก 4 รายการ ➡️ รวมถึง RCE ใน GDI+ และ Microsoft Office, EoP ใน DirectX, Command Injection ใน Visual Studio ✅ ช่องโหว่ Information Disclosure ใน Nuance PowerScribe 360 ➡️ อาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลผ่าน API ที่ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้และองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดตทันที อาจถูกโจมตีด้วย Zero-Day ที่กำลังถูกใช้จริง ⛔ ช่องโหว่ RCE สามารถทำให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายได้เพียงแค่หลอกให้ผู้ใช้เปิดไฟล์ https://securityonline.info/november-patch-tuesday-microsoft-fixes-68-flaws-including-kernel-zero-day-under-active-exploitation/
    SECURITYONLINE.INFO
    November Patch Tuesday: Microsoft Fixes 68 Flaws, Including Kernel Zero-Day Under Active Exploitation
    Microsoft's November Patch Tuesday fixes 68 vulnerabilities, including CVE-2025-62215, an actively exploited Windows Kernel zero-day allowing local attackers to gain SYSTEM privileges via a race condition.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: SAP ออกแพตช์ประจำเดือน พ.ย. 2025 แก้ช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุด

    SAP ได้ปล่อยอัปเดต Security Patch Day ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยมีการแก้ไขช่องโหว่รวม 18 รายการ และอัปเดตเพิ่มเติมอีก 2 รายการ แต่ที่น่าจับตามากที่สุดคือ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงระดับ Critical ซึ่งมีคะแนน CVSS สูงสุดถึง 10.0

    รายละเอียดช่องโหว่สำคัญ
    CVE-2025-42890 (CVSS 10.0) พบใน SQL Anywhere Monitor (Non-GUI) มีการฝัง credentials ไว้ในโค้ด ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายหรือเข้าถึงฐานข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    CVE-2025-42944 (CVSS 10.0) ช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) จากการ Insecure Deserialization ใน SAP NetWeaver AS Java (RMI-P4 module) ผู้โจมตีสามารถส่ง payload อันตรายไปยังพอร์ตที่เปิดอยู่ และรันคำสั่ง OS ได้ทันที
    CVE-2025-42887 (CVSS 9.9) พบใน SAP Solution Manager (ST 720) ช่องโหว่จากการ Missing Input Sanitization ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์สามารถ inject โค้ดและเข้าควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ

    ช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกแก้ไข
    Memory Corruption ใน SAP CommonCryptoLib (CVSS 7.5)
    Code Injection ใน SAP HANA JDBC Client (CVSS 6.9)
    OS Command Injection และ Path Traversal ใน SAP Business Connector (CVSS 6.8)
    JNDI Injection ใน SAP NetWeaver Enterprise Portal (CVSS 6.5)
    Open Redirect ใน SAP S/4HANA และ SAP Business Connector (CVSS 6.1)
    Missing Authentication ใน SAP HANA 2.0 (CVSS 5.8)
    Information Disclosure ใน SAP GUI for Windows (CVSS 5.5)

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    SAP เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในด้าน ERP, การเงิน, และการจัดการธุรกิจ ช่องโหว่ระดับ Critical ที่เปิดทางให้ทำ RCE หรือ Code Injection ถือเป็นภัยคุกคามสูงสุด เพราะสามารถนำไปสู่การยึดระบบ, การรั่วไหลข้อมูล, และการโจมตีต่อเนื่องในเครือข่ายองค์กร

    ช่องโหว่ร้ายแรงที่ถูกแก้ไข
    CVE-2025-42890: Hard-coded credentials ใน SQL Anywhere Monitor
    CVE-2025-42944: RCE ผ่าน insecure deserialization ใน SAP NetWeaver AS Java
    CVE-2025-42887: Code Injection ใน SAP Solution Manager

    ช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกแก้ไข
    Memory Corruption, Code Injection, OS Command Injection, JNDI Injection, Open Redirect, Missing Authentication, Information Disclosure

    การแก้ไขจาก SAP
    ปล่อยแพตช์รวม 18 รายการ + อัปเดต 2 รายการ
    ครอบคลุมทั้ง SQL Anywhere, NetWeaver, Solution Manager และระบบอื่น ๆ

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ SAP
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ RCE และสูญเสียการควบคุมระบบ
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลธุรกิจสำคัญ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    https://securityonline.info/sap-november-2025-patch-day-fixes-3-critical-flaws-cvss-10-including-code-injection-and-insecure-key-management/
    🛡️ ข่าวด่วน: SAP ออกแพตช์ประจำเดือน พ.ย. 2025 แก้ช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุด SAP ได้ปล่อยอัปเดต Security Patch Day ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยมีการแก้ไขช่องโหว่รวม 18 รายการ และอัปเดตเพิ่มเติมอีก 2 รายการ แต่ที่น่าจับตามากที่สุดคือ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงระดับ Critical ซึ่งมีคะแนน CVSS สูงสุดถึง 10.0 📌 รายละเอียดช่องโหว่สำคัญ 🪲 CVE-2025-42890 (CVSS 10.0) ➡️ พบใน SQL Anywhere Monitor (Non-GUI) ➡️ มีการฝัง credentials ไว้ในโค้ด ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้เพื่อรันโค้ดอันตรายหรือเข้าถึงฐานข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต 🪲 CVE-2025-42944 (CVSS 10.0) ➡️ ช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) จากการ Insecure Deserialization ใน SAP NetWeaver AS Java (RMI-P4 module) ➡️ ผู้โจมตีสามารถส่ง payload อันตรายไปยังพอร์ตที่เปิดอยู่ และรันคำสั่ง OS ได้ทันที 🪲 CVE-2025-42887 (CVSS 9.9) ➡️ พบใน SAP Solution Manager (ST 720) ➡️ ช่องโหว่จากการ Missing Input Sanitization ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์สามารถ inject โค้ดและเข้าควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ 🛠️ ช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกแก้ไข 🪛 Memory Corruption ใน SAP CommonCryptoLib (CVSS 7.5) 🪛 Code Injection ใน SAP HANA JDBC Client (CVSS 6.9) 🪛 OS Command Injection และ Path Traversal ใน SAP Business Connector (CVSS 6.8) 🪛 JNDI Injection ใน SAP NetWeaver Enterprise Portal (CVSS 6.5) 🪛 Open Redirect ใน SAP S/4HANA และ SAP Business Connector (CVSS 6.1) 🪛 Missing Authentication ใน SAP HANA 2.0 (CVSS 5.8) 🪛 Information Disclosure ใน SAP GUI for Windows (CVSS 5.5) 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ SAP เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในด้าน ERP, การเงิน, และการจัดการธุรกิจ ช่องโหว่ระดับ Critical ที่เปิดทางให้ทำ RCE หรือ Code Injection ถือเป็นภัยคุกคามสูงสุด เพราะสามารถนำไปสู่การยึดระบบ, การรั่วไหลข้อมูล, และการโจมตีต่อเนื่องในเครือข่ายองค์กร ✅ ช่องโหว่ร้ายแรงที่ถูกแก้ไข ➡️ CVE-2025-42890: Hard-coded credentials ใน SQL Anywhere Monitor ➡️ CVE-2025-42944: RCE ผ่าน insecure deserialization ใน SAP NetWeaver AS Java ➡️ CVE-2025-42887: Code Injection ใน SAP Solution Manager ✅ ช่องโหว่อื่น ๆ ที่ถูกแก้ไข ➡️ Memory Corruption, Code Injection, OS Command Injection, JNDI Injection, Open Redirect, Missing Authentication, Information Disclosure ✅ การแก้ไขจาก SAP ➡️ ปล่อยแพตช์รวม 18 รายการ + อัปเดต 2 รายการ ➡️ ครอบคลุมทั้ง SQL Anywhere, NetWeaver, Solution Manager และระบบอื่น ๆ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ SAP ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีแบบ RCE และสูญเสียการควบคุมระบบ ⛔ เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลธุรกิจสำคัญ ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร https://securityonline.info/sap-november-2025-patch-day-fixes-3-critical-flaws-cvss-10-including-code-injection-and-insecure-key-management/
    SECURITYONLINE.INFO
    SAP November 2025 Patch Day Fixes 3 Critical Flaws (CVSS 10) — Including Code Injection and Insecure Key Management
    SAP released its Patch Day update fixing 18 flaws, including two Critical (CVSS 10.0) vulnerabilities: RMI-P4 RCE and Hard-Coded Credentials in SQL Anywhere Monitor, risking unauthenticated takeover.
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: Zimbra Mail Client ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ร้ายแรง

    Zimbra ซึ่งเป็นระบบอีเมลโอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงหลายจุดที่ถูกค้นพบใน Zimbra Daffodil Mail Client โดยช่องโหว่เหล่านี้รวมถึง Stored Cross-Site Scripting (XSS) และ Local File Inclusion (LFI) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งสามารถถูกใช้โจมตีเพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือควบคุมระบบได้

    รายละเอียดช่องโหว่
    Stored XSS: ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงในอีเมลหรือไฟล์แนบ เมื่อผู้ใช้เปิดดู โค้ดจะทำงานทันทีและอาจขโมย session หรือข้อมูลสำคัญ
    Unauthenticated LFI: ช่องโหว่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงไฟล์ภายในเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องล็อกอิน ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระบบหรือการใช้เป็นฐานโจมตีเพิ่มเติม
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้งาน Zimbra

    การแก้ไข
    Zimbra ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันล่าสุดของ Zimbra Daffodil
    ผู้ใช้ทุกเวอร์ชันก่อนหน้าได้รับผลกระทบและควรรีบอัปเดตทันที

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    Zimbra ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในองค์กร, หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษา
    ช่องโหว่ประเภท XSS และ LFI ถือเป็นภัยคุกคามที่อันตราย เพราะสามารถใช้เป็นช่องทางในการขโมยข้อมูล, สวมรอยผู้ใช้, หรือเข้าถึงไฟล์ระบบโดยตรง
    หากไม่อัปเดต อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Exploit ที่กระทบต่อทั้งองค์กร

    รายละเอียดช่องโหว่ที่พบ
    Stored XSS: ฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงในอีเมล
    Unauthenticated LFI: เข้าถึงไฟล์ระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน

    การแก้ไขจาก Zimbra
    ออกแพตช์ในเวอร์ชันล่าสุดของ Zimbra Daffodil
    ทุกเวอร์ชันก่อนหน้าได้รับผลกระทบ

    ความสำคัญของการอัปเดต
    ป้องกันการขโมย session และข้อมูลผู้ใช้
    ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงไฟล์ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Zimbra
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีผ่านอีเมลที่ฝังโค้ดอันตราย
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    https://securityonline.info/critical-zimbra-flaw-fixed-patch-addresses-multiple-stored-xss-and-unauthenticated-lfi-in-mail-client/
    📧 ข่าวด่วน: Zimbra Mail Client ออกแพตช์แก้ช่องโหว่ร้ายแรง Zimbra ซึ่งเป็นระบบอีเมลโอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงหลายจุดที่ถูกค้นพบใน Zimbra Daffodil Mail Client โดยช่องโหว่เหล่านี้รวมถึง Stored Cross-Site Scripting (XSS) และ Local File Inclusion (LFI) โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งสามารถถูกใช้โจมตีเพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือควบคุมระบบได้ 📌 รายละเอียดช่องโหว่ 🪲 Stored XSS: ผู้โจมตีสามารถฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงในอีเมลหรือไฟล์แนบ เมื่อผู้ใช้เปิดดู โค้ดจะทำงานทันทีและอาจขโมย session หรือข้อมูลสำคัญ 🪲 Unauthenticated LFI: ช่องโหว่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงไฟล์ภายในเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องล็อกอิน ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลระบบหรือการใช้เป็นฐานโจมตีเพิ่มเติม 🪲 ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical และมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้งาน Zimbra 🛠️ การแก้ไข 🪛 Zimbra ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันล่าสุดของ Zimbra Daffodil 🪛 ผู้ใช้ทุกเวอร์ชันก่อนหน้าได้รับผลกระทบและควรรีบอัปเดตทันที 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ 🔰 Zimbra ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในองค์กร, หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษา 🔰 ช่องโหว่ประเภท XSS และ LFI ถือเป็นภัยคุกคามที่อันตราย เพราะสามารถใช้เป็นช่องทางในการขโมยข้อมูล, สวมรอยผู้ใช้, หรือเข้าถึงไฟล์ระบบโดยตรง 🔰 หากไม่อัปเดต อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Exploit ที่กระทบต่อทั้งองค์กร ✅ รายละเอียดช่องโหว่ที่พบ ➡️ Stored XSS: ฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงในอีเมล ➡️ Unauthenticated LFI: เข้าถึงไฟล์ระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน ✅ การแก้ไขจาก Zimbra ➡️ ออกแพตช์ในเวอร์ชันล่าสุดของ Zimbra Daffodil ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อนหน้าได้รับผลกระทบ ✅ ความสำคัญของการอัปเดต ➡️ ป้องกันการขโมย session และข้อมูลผู้ใช้ ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงไฟล์ระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Zimbra ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีผ่านอีเมลที่ฝังโค้ดอันตราย ⛔ เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร https://securityonline.info/critical-zimbra-flaw-fixed-patch-addresses-multiple-stored-xss-and-unauthenticated-lfi-in-mail-client/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Zimbra Flaw Fixed: Patch Addresses Multiple Stored XSS and Unauthenticated LFI in Mail Client
    Zimbra fixes Critical Stored XSS and an Unauthenticated LFI flaw, urging users to update immediately to mitigate session hijacking and data exfiltration risks.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • ข่าวด่วน: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache OFBiz เปิดทาง RCE

    Apache Software Foundation (ASF) ได้ออกประกาศเตือนและปล่อยแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache OFBiz ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม ERP แบบโอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่ที่ถูกระบุว่า CVE-2025-59118 เป็นประเภท Unrestricted Upload of File with Dangerous Type

    รายละเอียดช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถ อัปโหลดไฟล์อันตราย เช่นสคริปต์หรือ web shell โดยไม่มีการตรวจสอบที่เหมาะสม
    หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถทำ Remote Command Execution (RCE) และเข้าควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ
    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ CVE-2025-61623 (Reflected XSS) ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้

    การแก้ไข
    ASF ได้ปล่อยแพตช์ในเวอร์ชัน Apache OFBiz 24.09.03 ซึ่งแก้ไขทั้ง RCE และ XSS
    ผู้ใช้ทุกเวอร์ชันก่อนหน้า 24.09.03 ควรรีบอัปเดตทันที

    ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์
    เนื่องจาก OFBiz มักถูกใช้ในระบบธุรกิจสำคัญ เช่น บัญชี, อีคอมเมิร์ซ, การจัดการสินค้าคงคลัง ช่องโหว่นี้จึงมีผลกระทบสูงต่อองค์กร
    หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่ การรั่วไหลข้อมูล, การขโมย credentials, และการยึดระบบเครือข่ายองค์กร

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59118
    ประเภท Unrestricted File Upload
    เปิดทางให้ทำ Remote Command Execution (RCE)
    ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันก่อน 24.09.03

    ช่องโหว่เพิ่มเติม CVE-2025-61623
    Reflected XSS
    สามารถขโมย session cookies และสวมรอยผู้ใช้ได้

    การแก้ไขจาก ASF
    ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 24.09.03
    แก้ไขทั้ง RCE และ XSS

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ OFBiz
    หากไม่อัปเดต อาจถูกควบคุมระบบจากระยะไกล
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลธุรกิจสำคัญ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร

    https://securityonline.info/critical-apache-ofbiz-flaw-cve-2025-59118-allows-remote-command-execution-via-unrestricted-file-upload/
    ⚠️ ข่าวด่วน: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache OFBiz เปิดทาง RCE Apache Software Foundation (ASF) ได้ออกประกาศเตือนและปล่อยแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache OFBiz ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม ERP แบบโอเพนซอร์สที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยช่องโหว่ที่ถูกระบุว่า CVE-2025-59118 เป็นประเภท Unrestricted Upload of File with Dangerous Type 📌 รายละเอียดช่องโหว่ 🪲 ช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถ อัปโหลดไฟล์อันตราย เช่นสคริปต์หรือ web shell โดยไม่มีการตรวจสอบที่เหมาะสม 🪲 หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถทำ Remote Command Execution (RCE) และเข้าควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ 🪲 นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ CVE-2025-61623 (Reflected XSS) ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ฝังโค้ด JavaScript อันตรายลงในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ 🛠️ การแก้ไข 🪛 ASF ได้ปล่อยแพตช์ในเวอร์ชัน Apache OFBiz 24.09.03 ซึ่งแก้ไขทั้ง RCE และ XSS 🪛 ผู้ใช้ทุกเวอร์ชันก่อนหน้า 24.09.03 ควรรีบอัปเดตทันที 🌍 ความสำคัญต่อโลกไซเบอร์ 🔰 เนื่องจาก OFBiz มักถูกใช้ในระบบธุรกิจสำคัญ เช่น บัญชี, อีคอมเมิร์ซ, การจัดการสินค้าคงคลัง ช่องโหว่นี้จึงมีผลกระทบสูงต่อองค์กร 🔰 หากถูกโจมตี อาจนำไปสู่ การรั่วไหลข้อมูล, การขโมย credentials, และการยึดระบบเครือข่ายองค์กร ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59118 ➡️ ประเภท Unrestricted File Upload ➡️ เปิดทางให้ทำ Remote Command Execution (RCE) ➡️ ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันก่อน 24.09.03 ✅ ช่องโหว่เพิ่มเติม CVE-2025-61623 ➡️ Reflected XSS ➡️ สามารถขโมย session cookies และสวมรอยผู้ใช้ได้ ✅ การแก้ไขจาก ASF ➡️ ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 24.09.03 ➡️ แก้ไขทั้ง RCE และ XSS ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ OFBiz ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกควบคุมระบบจากระยะไกล ⛔ เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลธุรกิจสำคัญ ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายองค์กร https://securityonline.info/critical-apache-ofbiz-flaw-cve-2025-59118-allows-remote-command-execution-via-unrestricted-file-upload/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Apache OFBiz Flaw (CVE-2025-59118) Allows Remote Command Execution via Unrestricted File Upload
    Apache patched a Critical RCE flaw (CVE-2025-59118) in OFBiz ERP that allows remote attackers to upload arbitrary files with dangerous types. A reflected XSS flaw was also fixed.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • "TSMC 3nm ใกล้เต็มกำลังผลิตปี 2026" — ความต้องการสูงจนกลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส

    รายงานล่าสุดเผยว่า TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากความต้องการชิป 3nm จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น NVIDIA, Apple, Qualcomm, MediaTek สูงเกินกว่าที่จะรองรับได้

    รายละเอียดจากรายงาน
    นักวิเคราะห์คาดว่า กำลังการผลิต 3nm จะเกือบเต็มภายในปี 2026
    TSMC พยายามแก้ปัญหาโดย ปรับสายการผลิตเดิม เช่น
    แปลงสายผลิต 4nm ให้รองรับ 3nm เพิ่ม ~25,000 wafer ต่อเดือน
    นำสาย N6 และ N7 ที่ว่างงานมาใช้ในกระบวนการ back-end ของ 3nm เพิ่มอีก 5,000–10,000 wafer
    เดิมคาดว่าจะผลิตได้ 160,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2025 แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 140,000–145,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2026
    ลูกค้าบางรายยอมจ่าย แพงขึ้น 50–100% เพื่อให้ได้ “hot run” หรือการผลิตเร่งด่วน แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด
    ผลลัพธ์คือ กำไรขั้นต้นของ TSMC พุ่งเกิน 60% และยังมีแนวโน้มขึ้นราคาชิปอีก 10%

    บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก
    ความต้องการชิป 3nm ส่วนใหญ่เกิดจาก AI และ GPU รุ่นใหม่ ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูงมาก
    NVIDIA เองถึงกับขอให้ TSMC ขยายกำลังผลิตเป็น 160,000 wafer/เดือน เพื่อรองรับ GPU รุ่น Rubin และการใช้งาน AI
    ขณะเดียวกัน TSMC ยังต้องเตรียมสายการผลิตสำหรับ ชิป 2nm (N2 และ A16) ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025
    การแข่งขันกับ Samsung และ Intel Foundry ยังคงดำเนินต่อ แต่ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยสัดส่วนมหาศาล

    https://wccftech.com/tsmc-3nm-production-capacity-to-almost-reach-limit-by-2026/
    🏭⚡ "TSMC 3nm ใกล้เต็มกำลังผลิตปี 2026" — ความต้องการสูงจนกลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส รายงานล่าสุดเผยว่า TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากความต้องการชิป 3nm จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น NVIDIA, Apple, Qualcomm, MediaTek สูงเกินกว่าที่จะรองรับได้ 🔧 รายละเอียดจากรายงาน 🎗️ นักวิเคราะห์คาดว่า กำลังการผลิต 3nm จะเกือบเต็มภายในปี 2026 🎗️ TSMC พยายามแก้ปัญหาโดย ปรับสายการผลิตเดิม เช่น 💠 แปลงสายผลิต 4nm ให้รองรับ 3nm เพิ่ม ~25,000 wafer ต่อเดือน 💠 นำสาย N6 และ N7 ที่ว่างงานมาใช้ในกระบวนการ back-end ของ 3nm เพิ่มอีก 5,000–10,000 wafer 🎗️ เดิมคาดว่าจะผลิตได้ 160,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2025 แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 140,000–145,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2026 🎗️ ลูกค้าบางรายยอมจ่าย แพงขึ้น 50–100% เพื่อให้ได้ “hot run” หรือการผลิตเร่งด่วน แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด 🎗️ ผลลัพธ์คือ กำไรขั้นต้นของ TSMC พุ่งเกิน 60% และยังมีแนวโน้มขึ้นราคาชิปอีก 10% 🌍 บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก 🎗️ ความต้องการชิป 3nm ส่วนใหญ่เกิดจาก AI และ GPU รุ่นใหม่ ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูงมาก 🎗️ NVIDIA เองถึงกับขอให้ TSMC ขยายกำลังผลิตเป็น 160,000 wafer/เดือน เพื่อรองรับ GPU รุ่น Rubin และการใช้งาน AI 🎗️ ขณะเดียวกัน TSMC ยังต้องเตรียมสายการผลิตสำหรับ ชิป 2nm (N2 และ A16) ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025 🎗️ การแข่งขันกับ Samsung และ Intel Foundry ยังคงดำเนินต่อ แต่ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยสัดส่วนมหาศาล https://wccftech.com/tsmc-3nm-production-capacity-to-almost-reach-limit-by-2026/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s 3nm Capacity Will Almost Reach Its Limit By 2026, Analysts Say Existing Production Lines For Older Nodes Are Being Converted, With Gross Margin To Exceed 60%
    The insanely high demand for TSMC’s 3nm process means that capacity will nearly its limit by next year, with the company scrambling to make adjustments
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • "ยอดขาย CPU พุ่งแรง Q3/2025" — Windows 10 ถึงทางตัน กระตุ้นการอัปเกรดครั้งใหญ่
    รายงานจาก John Peddie Research (JPR) ระบุว่าไตรมาส 3 ปี 2025 เป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่ยอดส่งออก CPU เติบโต โดยครั้งนี้แรงผลักดันสำคัญคือ การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ซึ่งบังคับให้ผู้ใช้ต้องหันไปใช้ Windows 11 ที่มีข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์เข้มงวดกว่า เช่น TPM 2.0 และ Secure Boot

    รายละเอียดจากรายงาน
    Client CPU โตขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
    Server CPU โตขึ้น 13.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    สัดส่วนตลาดยังคงอยู่ที่ Desktop 70% และ Laptop 30%
    การเติบโตใน Q3 แตกต่างจากฤดูกาลปกติที่มักจะทรงตัว
    OEM ได้ประโยชน์จากการอัปเกรดครั้งนี้ และคาดว่ายอดขายยังจะเพิ่มต่อเนื่องใน Q4 แม้ไม่แรงมาก

    บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก
    การสิ้นสุด Windows 10 มีผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วโลก เนื่องจากเครื่องรุ่นเก่าที่ไม่รองรับ TPM 2.0 ต้องเปลี่ยน CPU หรือซื้อเครื่องใหม่
    ตลาด CPU จึงได้แรงหนุนทั้งจาก ความต้องการแท้จริง และ แรงกดดันจากซอฟต์แวร์
    ก่อนหน้านี้ Q2/2025 ก็มีการเติบโตสูงถึง 7.9% จากความไม่แน่นอนด้านภาษีของสหรัฐฯ
    แนวโน้มนี้สะท้อนว่า การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาดฮาร์ดแวร์

    https://wccftech.com/cpu-shipments-saw-noticeable-growth-q3-2025-mostly-due-to-windows-10-eol/
    💻📈 "ยอดขาย CPU พุ่งแรง Q3/2025" — Windows 10 ถึงทางตัน กระตุ้นการอัปเกรดครั้งใหญ่ รายงานจาก John Peddie Research (JPR) ระบุว่าไตรมาส 3 ปี 2025 เป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่ยอดส่งออก CPU เติบโต โดยครั้งนี้แรงผลักดันสำคัญคือ การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ซึ่งบังคับให้ผู้ใช้ต้องหันไปใช้ Windows 11 ที่มีข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์เข้มงวดกว่า เช่น TPM 2.0 และ Secure Boot 🔧 รายละเอียดจากรายงาน 🔰 Client CPU โตขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 🔰 Server CPU โตขึ้น 13.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน 🔰 สัดส่วนตลาดยังคงอยู่ที่ Desktop 70% และ Laptop 30% 🔰 การเติบโตใน Q3 แตกต่างจากฤดูกาลปกติที่มักจะทรงตัว 🔰 OEM ได้ประโยชน์จากการอัปเกรดครั้งนี้ และคาดว่ายอดขายยังจะเพิ่มต่อเนื่องใน Q4 แม้ไม่แรงมาก 🌍 บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 การสิ้นสุด Windows 10 มีผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วโลก เนื่องจากเครื่องรุ่นเก่าที่ไม่รองรับ TPM 2.0 ต้องเปลี่ยน CPU หรือซื้อเครื่องใหม่ 🔰 ตลาด CPU จึงได้แรงหนุนทั้งจาก ความต้องการแท้จริง และ แรงกดดันจากซอฟต์แวร์ 🔰 ก่อนหน้านี้ Q2/2025 ก็มีการเติบโตสูงถึง 7.9% จากความไม่แน่นอนด้านภาษีของสหรัฐฯ 🔰 แนวโน้มนี้สะท้อนว่า การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาดฮาร์ดแวร์ https://wccftech.com/cpu-shipments-saw-noticeable-growth-q3-2025-mostly-due-to-windows-10-eol/
    WCCFTECH.COM
    CPU Shipments Saw Noticeable Growth In Third Quarter, Mostly Due To Windows 10 EOL
    According to the latest data from JPR, client CPU shipments grew noticeably in Q3 2025, and server CPU shipments also increased y-o-y.
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • "OS/2 for Mach 20" — ระบบปฏิบัติการที่ขายได้น้อยที่สุดของ Microsoft

    ย้อนกลับไปช่วงกลางทศวรรษ 1980 Microsoft กำลังร่วมมือกับ IBM พัฒนา OS/2 เพื่อเป็นคู่แข่งของ Windows และ DOS แต่ในระหว่างนั้น Microsoft ก็เปิดตัวฮาร์ดแวร์เสริมชื่อ Mach 20 ซึ่งเป็นการ์ดอัปเกรดที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับเครื่องพีซีรุ่นเก่า โดยใช้ซีพียู 80286 และสามารถต่อการ์ดหน่วยความจำเพิ่มได้

    เพื่อรองรับการ์ดนี้ Microsoft จึงออก OS/2 เวอร์ชันพิเศษสำหรับ Mach 20 แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นหายนะ:
    มีการขายเพียง 11 ชุด
    ถูกคืนไปถึง 8 ชุด
    เหลือผู้ใช้จริงเพียง 3 คน เท่านั้น

    รายละเอียดที่น่าสนใจ
    Mach 20 เป็นรุ่นต่อยอดจาก Mach 10 ที่ใช้ซีพียู 8086 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะราคาสูงและซับซ้อน
    OS/2 เองก็ไม่เป็นที่เข้าใจในตลาดทั่วไป ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับ DOS และ Windows
    เรื่องนี้ถูกเล่าต่อโดยอดีตทีมซัพพอร์ตของ Microsoft ที่ยืนยันว่ามีลูกค้าเพียงไม่กี่รายที่ใช้จริง

    บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก
    หลังจากนั้น IBM ได้ออก OS/2 2.0 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ 32-bit เต็มรูปแบบสำหรับ x86 แต่ Microsoft ถอนตัวจากโครงการไปแล้ว
    ความล้มเหลวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฮาร์ดแวร์เฉพาะทางที่ตลาดไม่เข้าใจ มักจะไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคนั้น
    ปัจจุบัน OS/2 ยังคงมีผู้พัฒนาต่อในรูปแบบ ArcaOS สำหรับผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น ระบบธนาคารและอุตสาหกรรมที่ยังต้องการความเสถียร

    https://www.tomshardware.com/software/the-worst-selling-microsoft-product-of-all-time-sold-just-11-times-and-eight-people-returned-it-why-youve-never-heard-of-os-2-for-the-mach-20
    💾📉 "OS/2 for Mach 20" — ระบบปฏิบัติการที่ขายได้น้อยที่สุดของ Microsoft ย้อนกลับไปช่วงกลางทศวรรษ 1980 Microsoft กำลังร่วมมือกับ IBM พัฒนา OS/2 เพื่อเป็นคู่แข่งของ Windows และ DOS แต่ในระหว่างนั้น Microsoft ก็เปิดตัวฮาร์ดแวร์เสริมชื่อ Mach 20 ซึ่งเป็นการ์ดอัปเกรดที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับเครื่องพีซีรุ่นเก่า โดยใช้ซีพียู 80286 และสามารถต่อการ์ดหน่วยความจำเพิ่มได้ เพื่อรองรับการ์ดนี้ Microsoft จึงออก OS/2 เวอร์ชันพิเศษสำหรับ Mach 20 แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นหายนะ: 💠 มีการขายเพียง 11 ชุด 💠 ถูกคืนไปถึง 8 ชุด 💠 เหลือผู้ใช้จริงเพียง 3 คน เท่านั้น 🔧 รายละเอียดที่น่าสนใจ 💠 Mach 20 เป็นรุ่นต่อยอดจาก Mach 10 ที่ใช้ซีพียู 8086 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะราคาสูงและซับซ้อน 💠 OS/2 เองก็ไม่เป็นที่เข้าใจในตลาดทั่วไป ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับ DOS และ Windows 💠 เรื่องนี้ถูกเล่าต่อโดยอดีตทีมซัพพอร์ตของ Microsoft ที่ยืนยันว่ามีลูกค้าเพียงไม่กี่รายที่ใช้จริง 🌍 บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 หลังจากนั้น IBM ได้ออก OS/2 2.0 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ 32-bit เต็มรูปแบบสำหรับ x86 แต่ Microsoft ถอนตัวจากโครงการไปแล้ว 💠 ความล้มเหลวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฮาร์ดแวร์เฉพาะทางที่ตลาดไม่เข้าใจ มักจะไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคนั้น 💠 ปัจจุบัน OS/2 ยังคงมีผู้พัฒนาต่อในรูปแบบ ArcaOS สำหรับผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น ระบบธนาคารและอุตสาหกรรมที่ยังต้องการความเสถียร https://www.tomshardware.com/software/the-worst-selling-microsoft-product-of-all-time-sold-just-11-times-and-eight-people-returned-it-why-youve-never-heard-of-os-2-for-the-mach-20
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
More Results