• ทรัมป์คุย “รีเซ็ตความสัมพันธ์จีน-อเมริกาใหม่หมด” หลังจากทั้งสองประเทศตกลงพักสงครามการค้า 90 วัน ด้วยการลดอัตราภาษีศุลกากรลงมา 115% อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์มองว่า ข้อตกลงที่เจนีวาคราวนี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับปักกิ่งในการยึดมั่นหลักการความเท่าเทียมและการเคารพกันและกัน ถึงแม้บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ความสำเร็จนี้ไม่ได้สะท้อนวิธีแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และไม่ได้รับประกันว่า ปักกิ่งและวอชิงตันจะไม่ขัดแย้งรุนแรงกันอีกในอนาคต
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000044806

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทรัมป์คุย “รีเซ็ตความสัมพันธ์จีน-อเมริกาใหม่หมด” หลังจากทั้งสองประเทศตกลงพักสงครามการค้า 90 วัน ด้วยการลดอัตราภาษีศุลกากรลงมา 115% อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์มองว่า ข้อตกลงที่เจนีวาคราวนี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับปักกิ่งในการยึดมั่นหลักการความเท่าเทียมและการเคารพกันและกัน ถึงแม้บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ความสำเร็จนี้ไม่ได้สะท้อนวิธีแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และไม่ได้รับประกันว่า ปักกิ่งและวอชิงตันจะไม่ขัดแย้งรุนแรงกันอีกในอนาคต . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000044806 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 106 Views 0 Reviews
  • หลังจากการเจรจาในเจนีวา สหรัฐฯ และจีนได้ตกลง ลดภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันลง 115% เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า

    ✅ ภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ และจีนลดลงเหลือ 10% จากเดิม 125%
    - 10% เป็นอัตราภาษีพื้นฐานที่สหรัฐฯ ใช้กับทุกประเทศ

    ✅ ภาษี 20% สำหรับสินค้าจีนที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตเฟนทานิลยังคงอยู่
    - ทำให้ ภาษีรวมสำหรับสินค้าจีนที่นำเข้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 30%

    ✅ การเจรจาเกิดขึ้นที่เจนีวา และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะลดระดับภาษี
    - สหรัฐฯ ระบุว่า ต้องการการค้าที่ยุติธรรมและไม่ต้องการแยกตัวจากจีน

    ✅ ทรัมป์เคยประกาศว่าจะลดภาษีจีนลง แต่จะไม่ยกเลิกทั้งหมด
    - เขาให้เหตุผลว่า ภาษีที่สูงทำให้การค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงัก

    ✅ บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เช่น Apple และ Google ย้ายฐานการผลิตไปอินเดีย บราซิล และเวียดนาม
    - เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีศุลกากร

    https://www.neowin.net/news/us-and-china-announce-90-day-tariff-ceasefire-in-major-trade-deal/
    หลังจากการเจรจาในเจนีวา สหรัฐฯ และจีนได้ตกลง ลดภาษีศุลกากรซึ่งกันและกันลง 115% เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ✅ ภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ และจีนลดลงเหลือ 10% จากเดิม 125% - 10% เป็นอัตราภาษีพื้นฐานที่สหรัฐฯ ใช้กับทุกประเทศ ✅ ภาษี 20% สำหรับสินค้าจีนที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตเฟนทานิลยังคงอยู่ - ทำให้ ภาษีรวมสำหรับสินค้าจีนที่นำเข้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 30% ✅ การเจรจาเกิดขึ้นที่เจนีวา และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะลดระดับภาษี - สหรัฐฯ ระบุว่า ต้องการการค้าที่ยุติธรรมและไม่ต้องการแยกตัวจากจีน ✅ ทรัมป์เคยประกาศว่าจะลดภาษีจีนลง แต่จะไม่ยกเลิกทั้งหมด - เขาให้เหตุผลว่า ภาษีที่สูงทำให้การค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงัก ✅ บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เช่น Apple และ Google ย้ายฐานการผลิตไปอินเดีย บราซิล และเวียดนาม - เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีศุลกากร https://www.neowin.net/news/us-and-china-announce-90-day-tariff-ceasefire-in-major-trade-deal/
    WWW.NEOWIN.NET
    US and China announce 90-day tariff ceasefire in major trade deal
    The United States and China agreed on a temporary 90-day trade war ceasefire with a new tariff rate.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • Apple เผชิญกับผลกระทบจาก Trump tariffs ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025 แม้ว่าผลประกอบการของ Apple จะยังคงแข็งแกร่ง แต่ CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง

    Apple ได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากภาษี เช่น การขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล และ การนำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่สูงถึง 145% สำหรับสินค้าจากจีน และ 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย อาจส่งผลต่อแผนการผลิตของ Apple ในอนาคต

    ✅ ผลกระทบต่อ Apple
    - อาจต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025
    - CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง

    ✅ มาตรการลดผลกระทบของ Apple
    - ขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล
    - นำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้

    ✅ อัตราภาษีที่ส่งผลต่อ Apple
    - 145% สำหรับสินค้าจากจีน
    - 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย

    ✅ แนวโน้มของตลาดและการผลิต
    - Apple อาจต้องปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อลดผลกระทบจากภาษี
    - อาจมีการเพิ่มการผลิตในประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า

    https://www.neowin.net/news/tim-cook-says-tariffs-had-limited-impact-on-apple-but-it-may-still-lose-close-to-a-billion/
    Apple เผชิญกับผลกระทบจาก Trump tariffs ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025 แม้ว่าผลประกอบการของ Apple จะยังคงแข็งแกร่ง แต่ CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง Apple ได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากภาษี เช่น การขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล และ การนำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีที่สูงถึง 145% สำหรับสินค้าจากจีน และ 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย อาจส่งผลต่อแผนการผลิตของ Apple ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อ Apple - อาจต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น 900 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2025 - CEO Tim Cook ยอมรับว่าผลกระทบจากภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง ✅ มาตรการลดผลกระทบของ Apple - ขยายโรงงานผลิตในอินเดียและบราซิล - นำเข้า iPhone กว่า 600 ตันเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ ✅ อัตราภาษีที่ส่งผลต่อ Apple - 145% สำหรับสินค้าจากจีน - 27% สำหรับสินค้าจากอินเดีย ✅ แนวโน้มของตลาดและการผลิต - Apple อาจต้องปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อลดผลกระทบจากภาษี - อาจมีการเพิ่มการผลิตในประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า https://www.neowin.net/news/tim-cook-says-tariffs-had-limited-impact-on-apple-but-it-may-still-lose-close-to-a-billion/
    WWW.NEOWIN.NET
    Tim Cook says tariffs had "limited" impact on Apple but it may still lose close to a billion
    Apple CEO says the company could manage tariffs impact on its business, but it is difficult to predict beyond June.
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม

    ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์

    ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต
    - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026
    - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์

    ✅ การตอบโต้ของจีน
    - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ
    - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

    ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40%

    https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยการวิเคราะห์จาก TechInsights ระบุว่าหากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 40% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดิม ในปัจจุบัน สหรัฐฯ และจีนต่างกำหนดอัตราภาษีที่สูงกว่า 100% ต่อสินค้านำเข้าจากกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการผลิตและการส่งออก นอกจากนี้ จีนยังได้ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ TechInsights คาดการณ์ว่าหากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 แต่หากอัตราภาษีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 40% ตลาดจะหดตัวลงเหลือเพียง 557 พันล้านดอลลาร์ ✅ อัตราภาษีและผลกระทบต่อการเติบโต - อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สูงถึง 40% อาจทำให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์หดตัวลงถึง 34% ในปี 2026 - หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 10% ตลาดจะมีมูลค่า 844 พันล้านดอลลาร์ ✅ การตอบโต้ของจีน - จีนกำหนดอัตราภาษี 125% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ - ห้ามการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การผลิตและการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สูง - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การคาดการณ์ของ TechInsights - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะมีมูลค่า 557 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026 หากอัตราภาษีทั่วโลกอยู่ที่ 40% https://wccftech.com/techinsights-if-the-average-us-import-tariff-rate-remains-sticky-at-40-percent-the-global-semiconductor-market-will-shrink-by-a-third-in-2026/
    WCCFTECH.COM
    TechInsights: If The Average US Import Tariff Rate Remains Sticky At 40 Percent, The Global Semiconductor Market Will Shrink By A Third In 2026
    TechInsights has now published its take on the tariff-related one-upmanship between the US and China, and its impact on semiconductors.
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากโรงงานจีน ที่แอบตั้งอยู่ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย กัมพูชา ไทย มาเลเซีย เวียดนาม สูงสุด 3,521%

    แผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าขายในราคาที่ต่ำกว่าผู้ขายรายอื่นในสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีการอุดหนุนของรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ทำให้ผู้ผลิตสามารถลดราคาขายในสหรัฐได้


    บริษัทในกัมพูชา ถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีถูกสูงที่สุดคือ 3,521%
    ในเวียดนาม บางบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อต้องเสียภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 395.9%
    สำหรับไทย ถูกกำหนดอัตราภาษีที่ 375.2%
    ส่วนมาเลเซีย กำหนดไว้ที่ 34.4%

    หมายเหตุ:
    นี่เป็นเพียงตัวเลขอัตราภาษีทั่วไป กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังมีการประกาศเฉพาะเจาะจงของแต่ละบริษัทที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากโรงงานจีน ที่แอบตั้งอยู่ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย กัมพูชา ไทย มาเลเซีย เวียดนาม สูงสุด 3,521% แผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าขายในราคาที่ต่ำกว่าผู้ขายรายอื่นในสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีการอุดหนุนของรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น ทำให้ผู้ผลิตสามารถลดราคาขายในสหรัฐได้ บริษัทในกัมพูชา ถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีถูกสูงที่สุดคือ 3,521% ในเวียดนาม บางบริษัทที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อต้องเสียภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 395.9% สำหรับไทย ถูกกำหนดอัตราภาษีที่ 375.2% ส่วนมาเลเซีย กำหนดไว้ที่ 34.4% หมายเหตุ: นี่เป็นเพียงตัวเลขอัตราภาษีทั่วไป กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังมีการประกาศเฉพาะเจาะจงของแต่ละบริษัทที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • อ้าว!
    ทำเนียบขาวปฏิเสธ ไม่ได้มีขยายอัตราการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนทั้งหมด 245% พร้อมชี้แจงว่าเป็นการเข้าใจผิดของ "สื่อ"

    เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาชี้แจง หลังจากมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขยายอัตราภาษีใหม่ 245% กับจีน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพาดหัวข่าวที่เข้าใจผิดได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และเกิดความวิตกกังวลของตลาดที่เกิดจากการรายงานข่าวที่ผิดพลาดของสื่อ

    เจ้าหน้าที่ชี้แจงต่ออีกว่า ตัวเลข 245% นั้นไม่ใช่การเรียกเก็บอัตราใหม่ โดยระบุว่าภาษีศุลกากรของทรัมป์ไม่มีอัตราภาษีแบบเหมารวม แต่มุ่งเป้าจัดการไปที่การละเมิดทางการค้าแต่ละประเภท ซึ่งทำให้จีนต้องเผชิญกับภาษีที่มีหลากหลายรูปแบบ

    เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่าตัวเลขดังกล่าวสามารถแบ่งได้ดังนี้:

    — ภาษีศุลกากรตอบโต้ 125%
    — ภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล 20%
    — ภาษีศุลกากรตามมาตรา 301 สำหรับสินค้าเฉพาะเจาะจง จะมีตั้งแต่ 7.5% ถึง 100%



    แม้ว่าตลาดจะโล่งใจที่นี่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรใหม่ แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรล่าสุดที่เรียกเก็บกับจีนนั้นน่าสับสนเพียงใด แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ตลาดที่ช่ำชองยังรู้สึกมึนงง

    .

    https://ca.investing.com/news/economy-news/245-china-tariff-causes-market-confusion-3959684?utm_medium=feed&utm_source=yahoo&utm_campaign=yahoo-ca

    อ้าว! ทำเนียบขาวปฏิเสธ ไม่ได้มีขยายอัตราการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนทั้งหมด 245% พร้อมชี้แจงว่าเป็นการเข้าใจผิดของ "สื่อ" เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาชี้แจง หลังจากมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขยายอัตราภาษีใหม่ 245% กับจีน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพาดหัวข่าวที่เข้าใจผิดได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และเกิดความวิตกกังวลของตลาดที่เกิดจากการรายงานข่าวที่ผิดพลาดของสื่อ เจ้าหน้าที่ชี้แจงต่ออีกว่า ตัวเลข 245% นั้นไม่ใช่การเรียกเก็บอัตราใหม่ โดยระบุว่าภาษีศุลกากรของทรัมป์ไม่มีอัตราภาษีแบบเหมารวม แต่มุ่งเป้าจัดการไปที่การละเมิดทางการค้าแต่ละประเภท ซึ่งทำให้จีนต้องเผชิญกับภาษีที่มีหลากหลายรูปแบบ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่าตัวเลขดังกล่าวสามารถแบ่งได้ดังนี้: — ภาษีศุลกากรตอบโต้ 125% — ภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล 20% — ภาษีศุลกากรตามมาตรา 301 สำหรับสินค้าเฉพาะเจาะจง จะมีตั้งแต่ 7.5% ถึง 100% แม้ว่าตลาดจะโล่งใจที่นี่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรใหม่ แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรล่าสุดที่เรียกเก็บกับจีนนั้นน่าสับสนเพียงใด แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ตลาดที่ช่ำชองยังรู้สึกมึนงง . https://ca.investing.com/news/economy-news/245-china-tariff-causes-market-confusion-3959684?utm_medium=feed&utm_source=yahoo&utm_campaign=yahoo-ca
    0 Comments 0 Shares 323 Views 0 Reviews
  • สหรัฐวางแผนใช้การเจรจาภาษีศุลกากรโดยจะเสนออัตราภาษีที่ต่ำกว่าให้กับ 70 กว่าประเทศ เพื่อแลกกับการตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน

    ภายใต้ข้อเสนอของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ผู้รับหน้าที่เป็นแกนนำในการเจรจาทางการค้ากับประเทศเหล่านั้น โดยสหรัฐจะขอให้:

    — ห้ามไม่ให้สินค้าจีนผ่านพรมแดนของตน
    — ห้ามบริษัทจีนตั้งโรงงาน
    — หลีกเลี่ยงการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมราคาถูกของจีน
    สหรัฐวางแผนใช้การเจรจาภาษีศุลกากรโดยจะเสนออัตราภาษีที่ต่ำกว่าให้กับ 70 กว่าประเทศ เพื่อแลกกับการตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน ภายใต้ข้อเสนอของรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ผู้รับหน้าที่เป็นแกนนำในการเจรจาทางการค้ากับประเทศเหล่านั้น โดยสหรัฐจะขอให้: — ห้ามไม่ให้สินค้าจีนผ่านพรมแดนของตน — ห้ามบริษัทจีนตั้งโรงงาน — หลีกเลี่ยงการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมราคาถูกของจีน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • ด่วน!
    ทำเนียบขาวประกาศตอบโต้จีน ด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 245%

    อย่างไรก็ตาม จีนเคยระบุก่อนหน้านี้ว่าจะไม่สนใจการตอบโต้ของสหรัฐฯ อีกต่อไป เนื่องจากจีนมองว่าเป็นการกระทำที่ตลก

    https://thaitimes.co/posts/208453
    ด่วน! ทำเนียบขาวประกาศตอบโต้จีน ด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 245% อย่างไรก็ตาม จีนเคยระบุก่อนหน้านี้ว่าจะไม่สนใจการตอบโต้ของสหรัฐฯ อีกต่อไป เนื่องจากจีนมองว่าเป็นการกระทำที่ตลก https://thaitimes.co/posts/208453
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เรียกร้องความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเวียดนามในด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในขณะเริ่มต้นการเดินทางเยือน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม

    การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ปักกิ่งเผชิญกับอัตราภาษี 145% จากสหรัฐฯ ขณะที่เวียดนามกำลังเจรจาเพื่อลดภาษีของสหรัฐฯ 46% ที่อาจบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังสิ้นสุดการระงับชั่วคราว

    “ทั้งสองฝ่ายควรเสริมความร่วมมือในด้านการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน” สี จิ้นผิง ระบุในบทความที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์เญินเซิน (Nhan Dan) ของพรรคคอมมิวนิวสต์เวียดนาม ก่อนการเดินทางเยือนในวันนี้ (14) โดยเขายังเรียกร้องให้มีการค้ามากขึ้นและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับฮานอยในด้านปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจสีเขียว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035481

    #MGROnline #สีจิ้นผิง
    ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เรียกร้องความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเวียดนามในด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในขณะเริ่มต้นการเดินทางเยือน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม • การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ปักกิ่งเผชิญกับอัตราภาษี 145% จากสหรัฐฯ ขณะที่เวียดนามกำลังเจรจาเพื่อลดภาษีของสหรัฐฯ 46% ที่อาจบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังสิ้นสุดการระงับชั่วคราว • “ทั้งสองฝ่ายควรเสริมความร่วมมือในด้านการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน” สี จิ้นผิง ระบุในบทความที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์เญินเซิน (Nhan Dan) ของพรรคคอมมิวนิวสต์เวียดนาม ก่อนการเดินทางเยือนในวันนี้ (14) โดยเขายังเรียกร้องให้มีการค้ามากขึ้นและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับฮานอยในด้านปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจสีเขียว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035481 • #MGROnline #สีจิ้นผิง
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • รอยเตอร์ - เกาหลีใต้และเวียดนามเห็นพ้องกันในวันนี้ (14) ที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

    รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเยือนเวียดนาม ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 25% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังจากการระงับขึ้นภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง

    บริษัทจากเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นปลายทางการส่งออกอันดับ 3 ของเกาหลีใต้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035525

    #MGROnline #เกาหลีใต้ #เวียดนาม
    รอยเตอร์ - เกาหลีใต้และเวียดนามเห็นพ้องกันในวันนี้ (14) ที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ • รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเยือนเวียดนาม ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 25% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังจากการระงับขึ้นภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง • บริษัทจากเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นปลายทางการส่งออกอันดับ 3 ของเกาหลีใต้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035525 • #MGROnline #เกาหลีใต้ #เวียดนาม
    0 Comments 0 Shares 297 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เล่าถึงการประกาศของ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีใหม่สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้า ซึ่งจะมีการประกาศรายละเอียดในสัปดาห์หน้า โดย Trump ระบุว่าจะมีความยืดหยุ่นสำหรับบางบริษัทในอุตสาหกรรมนี้

    Trump ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ระหว่างการเดินทางกลับจาก West Palm Beach โดยระบุว่าการกำหนดอัตราภาษีใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่มุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราภาษีหรือบริษัทที่จะได้รับการยกเว้น

    ในมุมมองที่กว้างขึ้น การกำหนดภาษีนี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศ เช่น บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์

    ✅ การประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับเซมิคอนดักเตอร์
    - Trump ระบุว่าจะมีการประกาศอัตราภาษีใหม่ในสัปดาห์หน้า
    - มีความยืดหยุ่นสำหรับบางบริษัทในอุตสาหกรรม

    ✅ เป้าหมายของนโยบาย
    - สนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ
    - ลดการพึ่งพาการนำเข้า

    ℹ️ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
    - การกำหนดภาษีอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - บริษัทที่พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศอาจต้องปรับตัว

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ทางการค้า
    - การกำหนดภาษีอาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และประเทศผู้ส่งออก
    - ความขัดแย้งทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/trump-says-will-announce-semiconductor-tariffs-over-next-week
    ข่าวนี้เล่าถึงการประกาศของ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีใหม่สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้า ซึ่งจะมีการประกาศรายละเอียดในสัปดาห์หน้า โดย Trump ระบุว่าจะมีความยืดหยุ่นสำหรับบางบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ Trump ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ระหว่างการเดินทางกลับจาก West Palm Beach โดยระบุว่าการกำหนดอัตราภาษีใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่มุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศและลดการพึ่งพาการนำเข้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราภาษีหรือบริษัทที่จะได้รับการยกเว้น ในมุมมองที่กว้างขึ้น การกำหนดภาษีนี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศ เช่น บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ✅ การประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ - Trump ระบุว่าจะมีการประกาศอัตราภาษีใหม่ในสัปดาห์หน้า - มีความยืดหยุ่นสำหรับบางบริษัทในอุตสาหกรรม ✅ เป้าหมายของนโยบาย - สนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ - ลดการพึ่งพาการนำเข้า ℹ️ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน - การกำหนดภาษีอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - บริษัทที่พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศอาจต้องปรับตัว ℹ️ ความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ทางการค้า - การกำหนดภาษีอาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และประเทศผู้ส่งออก - ความขัดแย้งทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/trump-says-will-announce-semiconductor-tariffs-over-next-week
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump says will announce semiconductor tariffs over next week
    ABOARD AIR FORCE ONE (Reuters) - U.S. President Donald Trump on Sunday said he would be announcing the tariff rate on imported semiconductors over the next week, adding that there would be flexibility on some companies in the sector.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • นางเอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ จากพรรคเดโมแครต ได้ขอให้ "สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ" (Securities and Exchange Commission - SEC) ตรวจสอบว่าทรัมป์ละเมิดกฎหมายการซื้อขายหลักทรัพย์เรื่องอินไซเดอร์หรือไม่


    หลังจากที่มีการซื้อขายในช่วงความวุ่นวายเรื่องการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์

    ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียของเขาว่า "นี่คือเวลาที่ดีเยี่ยมในการซื้อ" ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการประกาศระงับการใช้อัตราภาษีใหม่ออกไป 90 วัน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งสูงขึ้นทันที
    นางเอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ จากพรรคเดโมแครต ได้ขอให้ "สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ" (Securities and Exchange Commission - SEC) ตรวจสอบว่าทรัมป์ละเมิดกฎหมายการซื้อขายหลักทรัพย์เรื่องอินไซเดอร์หรือไม่ หลังจากที่มีการซื้อขายในช่วงความวุ่นวายเรื่องการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียของเขาว่า "นี่คือเวลาที่ดีเยี่ยมในการซื้อ" ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะมีการประกาศระงับการใช้อัตราภาษีใหม่ออกไป 90 วัน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งสูงขึ้นทันที
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • นับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2568 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 00.01 น. (เวลาสหรัฐฯ) สหรัฐฯ ได้เริ่มเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ตามอัตราเฉพาะที่กำหนดสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% โดยจะเก็บเพิ่มจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่แล้ว (MFN apply rate) รวมทั้งอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ประเทศนั้นถูกจัดเก็บอยู่เดิม นั่นหมายความว่า สินค้าไทยโดนภาษี 36% แล้ว ทุกชนิดสินค้า ไม่มียกเว้น แต่จะยกเว้นให้สำหรับสินค้าที่ขนลงเรือหรือยานพาหนะแล้ว และอยู่ระหว่างเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนเวลาดังกล่าว

    โดยอัตราภาษีต่างตอบแทนข้างต้น จะไม่ใช้กับสินค้าที่สหรัฐฯ ได้เคยประกาศใช้มาตรการไปก่อนหน้านี้ คือ วันที่ 12 มี.ค.2568 สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25% และวันที่ 3 เม.ย.2568 สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วน ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25% และภาษีต่างตอบแทนดังกล่าว ยังจะไม่ใช้กับสินค้าประเภททองแดง ยาและเวชภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ธาตุสำคัญบางประเภท พลังงานและผลิตภัณฑ์พลังงาน เนื่องจากสหรัฐฯ อาจจะมีการประกาศใช้ภาษีเฉพาะกับสินค้าดังกล่าวในภายหลัง คาดว่าจะเก็บเพิ่มในอัตรา 25%

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000034144

    #MGROnline #อัตราภาษี
    นับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.2568 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 00.01 น. (เวลาสหรัฐฯ) สหรัฐฯ ได้เริ่มเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ตามอัตราเฉพาะที่กำหนดสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% โดยจะเก็บเพิ่มจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่แล้ว (MFN apply rate) รวมทั้งอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ประเทศนั้นถูกจัดเก็บอยู่เดิม นั่นหมายความว่า สินค้าไทยโดนภาษี 36% แล้ว ทุกชนิดสินค้า ไม่มียกเว้น แต่จะยกเว้นให้สำหรับสินค้าที่ขนลงเรือหรือยานพาหนะแล้ว และอยู่ระหว่างเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนเวลาดังกล่าว • โดยอัตราภาษีต่างตอบแทนข้างต้น จะไม่ใช้กับสินค้าที่สหรัฐฯ ได้เคยประกาศใช้มาตรการไปก่อนหน้านี้ คือ วันที่ 12 มี.ค.2568 สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25% และวันที่ 3 เม.ย.2568 สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วน ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25% และภาษีต่างตอบแทนดังกล่าว ยังจะไม่ใช้กับสินค้าประเภททองแดง ยาและเวชภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ธาตุสำคัญบางประเภท พลังงานและผลิตภัณฑ์พลังงาน เนื่องจากสหรัฐฯ อาจจะมีการประกาศใช้ภาษีเฉพาะกับสินค้าดังกล่าวในภายหลัง คาดว่าจะเก็บเพิ่มในอัตรา 25% • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/business/detail/9680000034144 • #MGROnline #อัตราภาษี
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศหยุดการเก็บภาษีใหม่ทั่วโลกเป็นเวลา 90 วัน แต่เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเทคโนโลยี เช่น แล็ปท็อป, จอภาพ, และ คอนโซลเกม

    🌐 การเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี:
    📉 ลดภาษีทั่วโลก: ภาษีทั่วโลกถูกปรับลดลงเหลือ 10% ยกเว้นบางประเทศ เช่น เม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจมีอัตราภาษีระหว่าง 10%-35%
    📈 เพิ่มภาษีจีน: ภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 54% เป็น 104% และล่าสุดเป็น 125%

    ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี:
    🎮 การเลื่อนการเปิดตัวสินค้า: Nintendo เลื่อนการเปิดตัว Switch 2 และผู้ผลิตแล็ปท็อปบางรายหยุดการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
    💾 การปรับราคาสินค้า: Micron เพิ่มราคาสินค้า เช่น SSD เพื่อตอบสนองต่อภาษีที่เพิ่มขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107487-trump-pauses-global-tariffs-but-raises-china-tariffs.html
    ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศหยุดการเก็บภาษีใหม่ทั่วโลกเป็นเวลา 90 วัน แต่เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเทคโนโลยี เช่น แล็ปท็อป, จอภาพ, และ คอนโซลเกม 🌐 การเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี: 📉 ลดภาษีทั่วโลก: ภาษีทั่วโลกถูกปรับลดลงเหลือ 10% ยกเว้นบางประเทศ เช่น เม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจมีอัตราภาษีระหว่าง 10%-35% 📈 เพิ่มภาษีจีน: ภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 54% เป็น 104% และล่าสุดเป็น 125% ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี: 🎮 การเลื่อนการเปิดตัวสินค้า: Nintendo เลื่อนการเปิดตัว Switch 2 และผู้ผลิตแล็ปท็อปบางรายหยุดการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ 💾 การปรับราคาสินค้า: Micron เพิ่มราคาสินค้า เช่น SSD เพื่อตอบสนองต่อภาษีที่เพิ่มขึ้น https://www.techspot.com/news/107487-trump-pauses-global-tariffs-but-raises-china-tariffs.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump pauses global tariffs but raises China tariffs to 125%, potentially impacting laptops, monitors, and consoles
    The decision marks a sharp reversal from the steep tariffs the President announced on April 2, which included significant duties on imports from countries such as Japan...
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • ภาษีศุลกากรนำเข้าสหรัฐฯอัตรา 104% สำหรับสินค้าจีนมีผลบังคับใช้แล้วในวันพุธ(9 เม.ย)ตามคำสั่งผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดปักกิ่งประกาศตอบโต้สินค้าอเมริกันด้วยอัตราภาษี 84% แต่ผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมาลงที่การเติบโตเศรษฐกิจเอเชียโดนหั่นไปถึง1 ใน 3 ของ 1% ในปีนี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000034016

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ภาษีศุลกากรนำเข้าสหรัฐฯอัตรา 104% สำหรับสินค้าจีนมีผลบังคับใช้แล้วในวันพุธ(9 เม.ย)ตามคำสั่งผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดปักกิ่งประกาศตอบโต้สินค้าอเมริกันด้วยอัตราภาษี 84% แต่ผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมาลงที่การเติบโตเศรษฐกิจเอเชียโดนหั่นไปถึง1 ใน 3 ของ 1% ในปีนี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000034016 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Wow
    14
    0 Comments 0 Shares 684 Views 0 Reviews
  • สงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน ได้สร้างความผันผวนให้กับตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากการประกาศมาตรการภาษีของประธานาธิบดี Donald Trump บริษัท Apple ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาดได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในครั้งนี้

    ✅ ผลกระทบจากมาตรการภาษี 50%: มาตรการภาษีที่กำลังถูกเสนอจะส่งผลโดยตรงต่อผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ผลิตในจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ iPhone ไปจนถึง MacBook ที่อาจต้องเพิ่มราคาขายสูงถึง 350 ดอลลาร์ ต่อเครื่องเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หาก Apple เลือกที่จะส่งต่อภาระภาษีไปยังผู้บริโภค

    ✅ การผลิตในประเทศอื่นที่ยังไม่แน่นอน: แม้ว่า Apple จะมีฐานการผลิตใน เวียดนาม ไทย และอินเดีย แต่ประเทศเหล่านี้ก็ต้องเจอมาตรการภาษีที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Apple อาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยัง บราซิล ซึ่งเผชิญอัตราภาษีต่ำกว่าประเทศอื่น

    ✅ สถานะของหุ้น Apple: มูลค่าหุ้นของ Apple ลดลงเกือบ 20% ในช่วงสามวันแรกของสงครามการค้า ทำให้สูญเสียมูลค่าตลาดกว่า 640 พันล้านดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในวันอังคาร

    https://www.techspot.com/news/107459-apple-stock-plummets-trump-tariff-threat-wiping-out.html
    สงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน ได้สร้างความผันผวนให้กับตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากการประกาศมาตรการภาษีของประธานาธิบดี Donald Trump บริษัท Apple ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาดได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในครั้งนี้ ✅ ผลกระทบจากมาตรการภาษี 50%: มาตรการภาษีที่กำลังถูกเสนอจะส่งผลโดยตรงต่อผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ผลิตในจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ iPhone ไปจนถึง MacBook ที่อาจต้องเพิ่มราคาขายสูงถึง 350 ดอลลาร์ ต่อเครื่องเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หาก Apple เลือกที่จะส่งต่อภาระภาษีไปยังผู้บริโภค ✅ การผลิตในประเทศอื่นที่ยังไม่แน่นอน: แม้ว่า Apple จะมีฐานการผลิตใน เวียดนาม ไทย และอินเดีย แต่ประเทศเหล่านี้ก็ต้องเจอมาตรการภาษีที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Apple อาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยัง บราซิล ซึ่งเผชิญอัตราภาษีต่ำกว่าประเทศอื่น ✅ สถานะของหุ้น Apple: มูลค่าหุ้นของ Apple ลดลงเกือบ 20% ในช่วงสามวันแรกของสงครามการค้า ทำให้สูญเสียมูลค่าตลาดกว่า 640 พันล้านดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในวันอังคาร https://www.techspot.com/news/107459-apple-stock-plummets-trump-tariff-threat-wiping-out.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Apple's China exposure makes it most vulnerable in US-China trade war
    While most major American tech companies have much to lose in a global trade war, Apple – the world's largest by market cap – is the most...
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลา เคยพูดจาขอร้องประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตรงๆ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ให้ยกเลิกมาตรการรีดภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ทว่าโน้มน้าวไม่สำเร็จ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซึ่งอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด
    .
    รายงานฉบับนี้อ้างว่า บทสนทนาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่าง ทรัมป์ และ มัสก์ และเกิดขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ ออกมากำหนดอัตราภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ โดยยังมีอีกหลายสิบประเทศที่จะถูกรีดภาษีสูงเป็นพิเศษ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033490
    อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลา เคยพูดจาขอร้องประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตรงๆ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ให้ยกเลิกมาตรการรีดภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ทว่าโน้มน้าวไม่สำเร็จ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซึ่งอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด . รายงานฉบับนี้อ้างว่า บทสนทนาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่าง ทรัมป์ และ มัสก์ และเกิดขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ ออกมากำหนดอัตราภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ โดยยังมีอีกหลายสิบประเทศที่จะถูกรีดภาษีสูงเป็นพิเศษ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000033490
    Like
    Love
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 1752 Views 0 Reviews
  • ตลาดหุ้นไต้หวัน ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 10% ในวันเดียว หลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ซึ่งเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากไต้หวันถึง 32% มาตรการนี้กระทบกับ TSMC และ Foxconn บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในประเทศ

    == ผลกระทบที่สำคัญต่อบริษัทใหญ่ ==
    ✅ Foxconn:
    - Foxconn รับผิดชอบการประกอบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone, MacBook และ AI Servers
    - ด้วยอัตราภาษีใหม่ Foxconn เผชิญต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อ กำไรและขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างชัดเจน

    ✅ TSMC:
    - แม้ว่าชิปเซมิคอนดักเตอร์จะไม่ได้ถูกรวมในภาษีรอบนี้ แต่รายได้ของ TSMC มีความเชื่อมโยงกับสินค้าที่ใช้ชิป ซึ่งการลดลงของยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลกระทบอย่างมากในอนาคต

    == การตอบสนองจากรัฐบาลและความช่วยเหลือในประเทศ ==
    ✅ กองทุนช่วยเหลือ:
    - รัฐบาลไต้หวันจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือมูลค่า 2.65 พันล้านดอลลาร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ

    ✅ มาตรการควบคุมตลาด:
    - มีการจำกัดการขายชอร์ต (Short Selling) เพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด

    ✅ คำมั่นจากผู้นำประเทศ:
    - ประธานาธิบดี Lai Ching-te ให้คำมั่นในการเพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาความตึงเครียด และมุ่งหวังให้เกิดการลดภาษีในอนาคต

    == คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ==
    ✅ นักวิเคราะห์เตือนถึง ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ Goldman Sachs ถึงขั้นลดอันดับความน่าเชื่อถือของไต้หวันในเอเชีย พร้อมเน้นถึงการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจเป็นจุดอ่อนในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-and-foxconn-hit-hard-in-taiwan-following-trumps-tariffs-announcement
    ตลาดหุ้นไต้หวัน ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 10% ในวันเดียว หลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ซึ่งเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากไต้หวันถึง 32% มาตรการนี้กระทบกับ TSMC และ Foxconn บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในประเทศ == ผลกระทบที่สำคัญต่อบริษัทใหญ่ == ✅ Foxconn: - Foxconn รับผิดชอบการประกอบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone, MacBook และ AI Servers - ด้วยอัตราภาษีใหม่ Foxconn เผชิญต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อ กำไรและขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างชัดเจน ✅ TSMC: - แม้ว่าชิปเซมิคอนดักเตอร์จะไม่ได้ถูกรวมในภาษีรอบนี้ แต่รายได้ของ TSMC มีความเชื่อมโยงกับสินค้าที่ใช้ชิป ซึ่งการลดลงของยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งผลกระทบอย่างมากในอนาคต == การตอบสนองจากรัฐบาลและความช่วยเหลือในประเทศ == ✅ กองทุนช่วยเหลือ: - รัฐบาลไต้หวันจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือมูลค่า 2.65 พันล้านดอลลาร์ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ✅ มาตรการควบคุมตลาด: - มีการจำกัดการขายชอร์ต (Short Selling) เพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด ✅ คำมั่นจากผู้นำประเทศ: - ประธานาธิบดี Lai Ching-te ให้คำมั่นในการเพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาความตึงเครียด และมุ่งหวังให้เกิดการลดภาษีในอนาคต == คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ == ✅ นักวิเคราะห์เตือนถึง ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ Goldman Sachs ถึงขั้นลดอันดับความน่าเชื่อถือของไต้หวันในเอเชีย พร้อมเน้นถึงการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่อาจเป็นจุดอ่อนในระยะยาว https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-and-foxconn-hit-hard-in-taiwan-following-trumps-tariffs-announcement
    0 Comments 0 Shares 324 Views 0 Reviews
  • บทความน่าสนใจจากเฟซบุ๊ก Kornkit Disthan เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 “เวียดนามเป็นประเทศที่ "คุกเข่าเร็วเหลือเกิน" ให้กับทรัมป์

    นี่เป็นทัศนะของสำนักข่าว Pheonix และบอกว่า "การคุกเข่าอย่างรวดเร็วของเวียดนามได้สร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษีศุลกากรของทรัมป์เดิมทีเป็นภาษีสากล โดยอัตราภาษีสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้เคียงกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้เอเชียสามารถรวมตัวเป็นพันธมิตรที่เผชิญหน้าและ "สามัคคีกัน" เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับยุโรป"

    และ "การสื่อสารของเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาในลักษณะนี้และการตอบสนองความต้องการทั้งหมดของทรัมป์โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ เปรียบเสมือนการเปิดโอกาสในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพียงลำพังเพื่อขอการอภัยโทษและรักษาข้อได้เปรียบด้านการค้าที่ต่ำกับสหรัฐอเมริกา"

    ทัศนะนี้ผมเห็นด้วย นายกฯ เวียดนามก้มหัวให้ทรัมป์เร็วไป แน่ล่ะ ประเทศไหนๆ ก็ต้องการเอาตัวรอด แต่แบบนี้มัน "ยอมจำนน" เกินไปเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านประเทศอื่นๆ ที่ยังหาทางตอบโต้แบบไม่เสียศักดิ์ศรีและไม่เสียผลประโยชน์ของชาติ

    เอาเข้าจริง เวียดนามยอมจำนนก่อนที่ทรัมป์จะประกาศวัน Liberation day สักประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนเห็นจะได้ที่เวียดนามประกาศจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จากนั้นก็ส่งสัญญาณเป็นระยะๆ ผมคาดว่าเวียดนามคงจะคิดว่าทำแบบนี้แล้วทรัมป์คงจะมีเมตตา

    แต่เปล่าเลย เวียดนามถูกขึ้นพิกัดอัตราภาษีสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากกัมพูชา (ที่จริงผมคาดการณ์มาระยะหนึ่งแล้วว่าเวียดนามจะต้องโดนหนักกว่าเพื่อน แต่คาดการณ์พลาดไปนิดนึง)

    นั่นหมายความว่าท่าทียอมจำนนของเวียดนามใช้ไม่ได้ผล และพอทรัมป์ประกาศเล่นงานเวียดนาม เวียดนามก็สนองด้วยการลดภาษีสินค้าอเมริกันมันซะเลยให้เหลือ 0% เพื่อเอาใจทรัมป์ เพราะหวังว่าทรัมป์จะมีเมตตา

    ขนาดมหามิตรอย่างแคนาดากับสหภาพยุโรปทรัมป์ยังไม่มีเมตตา แล้วเวียดนามจะได้รับความเวทนาหรือ? แล้วที่เวียดนามขอให้ทรัมป์ละเว้นมาตรการนี้ไปสัก 3 - 4 เดือน เวียดนามจะมีเวลาพอแก้ไขสถานการณ์หรือ? หากทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังระวัง FDI จะไหลออกไม่รู้ตัว

    ยังไม่นับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างๆ ที่อาจจะเห็นว่าเวียดนามต่อรองอะไรไม่เป็น และเรื่องนี้ไม่ควรจะยอมท่าเดียวด้วยซ้ำในทัศนะของนักลงทุนรายใหญ่ๆ ของเวียดนาม เช่น จีน และสหภาพยุโรปที่กำลังมีคิวมาคุยเรื่องลงทุนกับเวียดนาม

    แคนาดากับประเทศในยุโรปไม่ยอมก้มหัวให้ ประกาศตอบโต้แทบจะทันที เช่นเดียวกับจีน สหภาพยุโรปนั้นเตรียมจะสวนกลับหากต่อรองกันไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แม้พวกนี้จะเป็นประเทศใหญ่ก็จริง แต่ประเทศเล็กก็สามารถรวมกลุ่มต่อรองก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังไม่นับการรวมกลุ่มที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ ที่น่าจะเกิดขึ้นมาอีก

    ผมคิดว่าเวียดนามเจริญเติบโต้เร็วก็จริง แต่อาจจะยังขาดประสบการณ์ในโลกทุนนิยมที่ประเทศนายทุนใหญ่มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมสูงกว่า แม้แต่ญี่ปุ่นเองในทศวรรษที่ 80 ก็เคยโตเร็วจนกระทั่่งกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สหรัฐฯ และพวก (ซึ่งก็พวกเดียวกับญี่ปุ่นนั่นเอง) จึงบีบให้ญี่ปุ่นรับข้อเสนอ Plaza Accord ซึ่งเป็นจุดจบของการผงาดของญี่ปุ่น

    ทุกวันนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็ยังง่อยเพราะต้องยอมจำนนให้ "ลูกพี่" คราวนี้นายกฯ ญี่ปุ่นก็แสดงท่าทีอ่อนข้อให้เช่นกัน แต่ "แม้ว่านายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่นจะแสดง "ความผิดหวังอย่างยิ่ง" ต่อภาษีของทรัมป์และเรียกภาษี 24% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับญี่ปุ่นว่าเป็น "วิกฤตระดับชาติ" แต่เขาก็ยังชี้แจงอย่างชัดเจนว่าญี่ปุ่นจะจัดการกับสถานการณ์นี้ด้วยความสงบและจะทำทุกวิถีทางที่จะให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อลดผลกระทบของภาษี คำกล่าวนี้หมายความว่าจะไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้ใดๆ"

    แม้จะไม่ตอบโต้ แต่ก็ยังไม่ยอมขนาดเวียดนาม เวียดนามนั้นเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ คือ เป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    เป็นการตอบสนองที่เร็วจริงๆ แต่สะท้อนว่าเวียดนามไม่ได้เจนจัดเรื่องการค้าโลกสักเท่าไร

    ป.ล. - ในทัศนะของผม แม้เราจะช้าไม่ได้กับการต่อรองกับทรัมป์ แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มของการจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นการสลายและรวมกลุ่มอำนาจใหม่เพื่อตอบสนองกับภาวะ "การล่มสลายของจักรวรรดิ" ของสหรัฐฯ ดังนั้น จะช้าก็ไมได้ แต่จะรีบก็ไม่ดี

    ป.ล. 2 - กับท่าทีต่อไปของจีนต่อการทำแบบนี้ของเวียดนามนั้น แม้เวียดนามจะรับจีนเข้ามาลงทุนมากจนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ (และเป็นตัวการให้ถูกเก็ยภาษีสูงมากจากทรัมป์) ผมคิดตามทัศนะของ Pheonix ที่ว่า "หากเวียดนามทำเช่นนี้ ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ก็อาจทำตามเช่นกัน ระวังอย่าให้ประเทศเหล่านี้สร้างกำแพงภาษีศุลกากรต่อจีนและจำกัดการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อแสดงความภักดีต่อทรัมป์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่จีนต้องป้องกันเมื่อโจมตีสหรัฐฯ โดยตรง" - นั่นหมายความว่า หากประเทศอย่างเวียดนามก้มหัวให้สหรัฐฯ เร็วๆ แบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะ "หักหลัง" จีนในเร็ววันเพื่อเอาตัวรอด ถึงตอนนั้น จีนยังจะลงทุนในเวียดนามหรือไม่? แต่ผมไม่คิดว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะทำตามเวียดนามทั้งหมด เพราะต้องมีสักประเทศที่สบช่องจากความใจเร็วด่วนได้ของเวียดนามแน่ๆ แล้วสามารถสร้างดุลยภาพกับสหรัฐฯ และจีนได้อย่างลงตัว”
    บทความน่าสนใจจากเฟซบุ๊ก Kornkit Disthan เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 “เวียดนามเป็นประเทศที่ "คุกเข่าเร็วเหลือเกิน" ให้กับทรัมป์ นี่เป็นทัศนะของสำนักข่าว Pheonix และบอกว่า "การคุกเข่าอย่างรวดเร็วของเวียดนามได้สร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีสำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาษีศุลกากรของทรัมป์เดิมทีเป็นภาษีสากล โดยอัตราภาษีสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใกล้เคียงกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อให้เอเชียสามารถรวมตัวเป็นพันธมิตรที่เผชิญหน้าและ "สามัคคีกัน" เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับยุโรป" และ "การสื่อสารของเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาในลักษณะนี้และการตอบสนองความต้องการทั้งหมดของทรัมป์โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ เปรียบเสมือนการเปิดโอกาสในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพียงลำพังเพื่อขอการอภัยโทษและรักษาข้อได้เปรียบด้านการค้าที่ต่ำกับสหรัฐอเมริกา" ทัศนะนี้ผมเห็นด้วย นายกฯ เวียดนามก้มหัวให้ทรัมป์เร็วไป แน่ล่ะ ประเทศไหนๆ ก็ต้องการเอาตัวรอด แต่แบบนี้มัน "ยอมจำนน" เกินไปเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านประเทศอื่นๆ ที่ยังหาทางตอบโต้แบบไม่เสียศักดิ์ศรีและไม่เสียผลประโยชน์ของชาติ เอาเข้าจริง เวียดนามยอมจำนนก่อนที่ทรัมป์จะประกาศวัน Liberation day สักประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนเห็นจะได้ที่เวียดนามประกาศจะลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จากนั้นก็ส่งสัญญาณเป็นระยะๆ ผมคาดว่าเวียดนามคงจะคิดว่าทำแบบนี้แล้วทรัมป์คงจะมีเมตตา แต่เปล่าเลย เวียดนามถูกขึ้นพิกัดอัตราภาษีสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากกัมพูชา (ที่จริงผมคาดการณ์มาระยะหนึ่งแล้วว่าเวียดนามจะต้องโดนหนักกว่าเพื่อน แต่คาดการณ์พลาดไปนิดนึง) นั่นหมายความว่าท่าทียอมจำนนของเวียดนามใช้ไม่ได้ผล และพอทรัมป์ประกาศเล่นงานเวียดนาม เวียดนามก็สนองด้วยการลดภาษีสินค้าอเมริกันมันซะเลยให้เหลือ 0% เพื่อเอาใจทรัมป์ เพราะหวังว่าทรัมป์จะมีเมตตา ขนาดมหามิตรอย่างแคนาดากับสหภาพยุโรปทรัมป์ยังไม่มีเมตตา แล้วเวียดนามจะได้รับความเวทนาหรือ? แล้วที่เวียดนามขอให้ทรัมป์ละเว้นมาตรการนี้ไปสัก 3 - 4 เดือน เวียดนามจะมีเวลาพอแก้ไขสถานการณ์หรือ? หากทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังระวัง FDI จะไหลออกไม่รู้ตัว ยังไม่นับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างๆ ที่อาจจะเห็นว่าเวียดนามต่อรองอะไรไม่เป็น และเรื่องนี้ไม่ควรจะยอมท่าเดียวด้วยซ้ำในทัศนะของนักลงทุนรายใหญ่ๆ ของเวียดนาม เช่น จีน และสหภาพยุโรปที่กำลังมีคิวมาคุยเรื่องลงทุนกับเวียดนาม แคนาดากับประเทศในยุโรปไม่ยอมก้มหัวให้ ประกาศตอบโต้แทบจะทันที เช่นเดียวกับจีน สหภาพยุโรปนั้นเตรียมจะสวนกลับหากต่อรองกันไม่สำเร็จด้วยซ้ำ แม้พวกนี้จะเป็นประเทศใหญ่ก็จริง แต่ประเทศเล็กก็สามารถรวมกลุ่มต่อรองก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังไม่นับการรวมกลุ่มที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ ที่น่าจะเกิดขึ้นมาอีก ผมคิดว่าเวียดนามเจริญเติบโต้เร็วก็จริง แต่อาจจะยังขาดประสบการณ์ในโลกทุนนิยมที่ประเทศนายทุนใหญ่มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมสูงกว่า แม้แต่ญี่ปุ่นเองในทศวรรษที่ 80 ก็เคยโตเร็วจนกระทั่่งกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สหรัฐฯ และพวก (ซึ่งก็พวกเดียวกับญี่ปุ่นนั่นเอง) จึงบีบให้ญี่ปุ่นรับข้อเสนอ Plaza Accord ซึ่งเป็นจุดจบของการผงาดของญี่ปุ่น ทุกวันนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็ยังง่อยเพราะต้องยอมจำนนให้ "ลูกพี่" คราวนี้นายกฯ ญี่ปุ่นก็แสดงท่าทีอ่อนข้อให้เช่นกัน แต่ "แม้ว่านายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่นจะแสดง "ความผิดหวังอย่างยิ่ง" ต่อภาษีของทรัมป์และเรียกภาษี 24% ที่สหรัฐฯ กำหนดกับญี่ปุ่นว่าเป็น "วิกฤตระดับชาติ" แต่เขาก็ยังชี้แจงอย่างชัดเจนว่าญี่ปุ่นจะจัดการกับสถานการณ์นี้ด้วยความสงบและจะทำทุกวิถีทางที่จะให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อลดผลกระทบของภาษี คำกล่าวนี้หมายความว่าจะไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้ใดๆ" แม้จะไม่ตอบโต้ แต่ก็ยังไม่ยอมขนาดเวียดนาม เวียดนามนั้นเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ คือ เป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการตอบสนองที่เร็วจริงๆ แต่สะท้อนว่าเวียดนามไม่ได้เจนจัดเรื่องการค้าโลกสักเท่าไร ป.ล. - ในทัศนะของผม แม้เราจะช้าไม่ได้กับการต่อรองกับทรัมป์ แต่ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มของการจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นการสลายและรวมกลุ่มอำนาจใหม่เพื่อตอบสนองกับภาวะ "การล่มสลายของจักรวรรดิ" ของสหรัฐฯ ดังนั้น จะช้าก็ไมได้ แต่จะรีบก็ไม่ดี ป.ล. 2 - กับท่าทีต่อไปของจีนต่อการทำแบบนี้ของเวียดนามนั้น แม้เวียดนามจะรับจีนเข้ามาลงทุนมากจนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ (และเป็นตัวการให้ถูกเก็ยภาษีสูงมากจากทรัมป์) ผมคิดตามทัศนะของ Pheonix ที่ว่า "หากเวียดนามทำเช่นนี้ ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ก็อาจทำตามเช่นกัน ระวังอย่าให้ประเทศเหล่านี้สร้างกำแพงภาษีศุลกากรต่อจีนและจำกัดการนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อแสดงความภักดีต่อทรัมป์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่จีนต้องป้องกันเมื่อโจมตีสหรัฐฯ โดยตรง" - นั่นหมายความว่า หากประเทศอย่างเวียดนามก้มหัวให้สหรัฐฯ เร็วๆ แบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะ "หักหลัง" จีนในเร็ววันเพื่อเอาตัวรอด ถึงตอนนั้น จีนยังจะลงทุนในเวียดนามหรือไม่? แต่ผมไม่คิดว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะทำตามเวียดนามทั้งหมด เพราะต้องมีสักประเทศที่สบช่องจากความใจเร็วด่วนได้ของเวียดนามแน่ๆ แล้วสามารถสร้างดุลยภาพกับสหรัฐฯ และจีนได้อย่างลงตัว”
    0 Comments 0 Shares 504 Views 0 Reviews
  • นายกฯ สิงคโปร์เตือน โลกเข้าสู่ยุค “ไร้เสถียรภาพ” ชี้ยุคการค้าเสรีสิ้นสุดแล้ว หลังสหรัฐทำลายระบบที่ตัวเองสร้าง  แนะประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ .นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ส่งสัญญาณเตือนถึงความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวทีโลก โดยระบุว่า ความสงบและเสถียรภาพที่โลกเคยรู้จักนั้น "จะไม่กลับมาในเร็ววันนี้" และสิงคโปร์ในฐานะประเทศขนาดเล็กจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจ เพื่อเผชิญกับยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน.ลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ โพสต์คลิปวีดีโอกล่าวถึงมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐว่า“พี่น้องชาวสิงคโปร์ทั้งหลาย ฉันเคยพูดไว้แล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กอย่างสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้บางคนเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับการคาดการณ์นี้ แต่การประกาศวันปลดปล่อยของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ทำให้ไม่ต้องสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระเบียบโลก ยุคของโลกาภิวัตน์ที่ยึดตามกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว เรากำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการกระทำตามอำเภอใจ กีดกันทางการค้า และเป็นอันตรายมากขึ้น สหรัฐฯ เป็นรากฐานของเศรษฐกิจตลาดเสรีของโลกมานานหลายทศวรรษ สหรัฐฯ เป็นผู้นำการค้าเสรีและผลักดันความพยายามในการสร้างระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดโยงกับกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานที่ชัดเจน ซึ่งประเทศต่างๆ จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันผ่านการค้า ระบบ WTO นี้ทำให้โลกและสหรัฐฯ เองมีเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พูดให้ชัดเจนก็คือ ระบบนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ สิงคโปร์และอีกหลายประเทศเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์และปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการละทิ้งระบบทั้งหมดที่ตนสร้างขึ้น แนวทางใหม่ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบแทนประเทศต่อประเทศถือเป็นการปฏิเสธกรอบการทำงานขององค์การการค้าโลกอย่างสมบูรณ์ สหรัฐฯ ได้จัดให้สิงคโปร์อยู่ในฐานที่ต่ำที่สุด ด้วยอัตราภาษี 10%ดังนั้นผลกระทบโดยตรงต่อเราอาจจะจำกัดอยู่เพียงเท่านี้ในตอนนี้ แต่จะมีผลกระทบในวงกว้างและลึกซึ้งกว่านั้นหากประเทศอื่นๆ ใช้แนวทางเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือ ละทิ้ง WTO และทำการค้าเฉพาะในประเทศที่มีเงื่อนไขที่ต้องการเท่านั้นจะนำมาซึ่งปัญหาแก่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเล็กๆ เช่น สิงคโปร์ เราเสี่ยงต่อการถูกบีบให้ออก ถูกละเลย และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ เรายังคาดหวังการตอบโต้จากทั่วโลกอย่างรุนแรงต่อภาษีของอเมริกา สิงคโปร์ได้ตัดสินใจที่จะไม่เรียกเก็บภาษีตอบโต้แต่ประเทศอื่นอาจไม่ใช้มาตรการควบคุมเช่นเดียวกัน ความเป็นไปได้ของสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนว่าประเทศอื่นจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะได้รับผลกระทบและการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศนี้พึ่งพาการค้าเป็นอย่างมากครั้งสุดท้ายที่โลกประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้คือในช่วงทศวรรษที่ 1930 สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธ และในที่สุดก็กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีข้างหน้าแต่เราต้องตระหนักถึงอันตรายที่กำลังก่อตัวขึ้นในโลกนี้ สถาบันระดับโลกกำลังอ่อนแอลง บรรทัดฐานระหว่างประเทศกำลังเสื่อมถอย ประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะกระทำการโดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก และใช้กำลังหรือความสุขเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการนี่คือความจริงอันโหดร้ายของโลกเราในปัจจุบัน เราจะเฝ้าระวัง เราจะสร้างศักยภาพของเรา เราจะเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน เรามีความพร้อมมากกว่าประเทศอื่นๆ มากมาย ทั้งในด้านเงินทุนสำรอง ความสามัคคี และความมุ่งมั่น แต่เราต้องเตรียมรับมือกับความตกตะลึงที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตความสงบและเสถียรภาพของโลกที่เราเคยรู้จักในอดีตจะไม่กลับมาอีกในเร็วๆ นี้ เราไม่สามารถคาดหวังว่ากฎเกณฑ์ที่ปกป้องรัฐเล็กๆ จะยังคงอยู่ต่อไปได้ ฉันแบ่งปันสิ่งนี้กับคุณเพื่อให้เราทุกคนเตรียมใจไว้เพื่อที่เราจะไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว อย่าปล่อยให้ตัวเองหลงระเริง ความเสี่ยงเป็นเรื่องจริงและเดิมพันก็สูง เส้นทางข้างหน้าจะยากขึ้น แต่หากเรายังคงแน่วแน่และเป็นหนึ่งเดียว สิงคโปร์จะยังคงยืนหยัดได้ในโลกที่วุ่นวายแห่งนี้”https://youtu.be/xOUbUxa3PVk?si=A1KGjvpj008UtF_b
    นายกฯ สิงคโปร์เตือน โลกเข้าสู่ยุค “ไร้เสถียรภาพ” ชี้ยุคการค้าเสรีสิ้นสุดแล้ว หลังสหรัฐทำลายระบบที่ตัวเองสร้าง  แนะประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ .นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ส่งสัญญาณเตือนถึงความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวทีโลก โดยระบุว่า ความสงบและเสถียรภาพที่โลกเคยรู้จักนั้น "จะไม่กลับมาในเร็ววันนี้" และสิงคโปร์ในฐานะประเทศขนาดเล็กจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจ เพื่อเผชิญกับยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน.ลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ โพสต์คลิปวีดีโอกล่าวถึงมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐว่า“พี่น้องชาวสิงคโปร์ทั้งหลาย ฉันเคยพูดไว้แล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กอย่างสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้บางคนเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับการคาดการณ์นี้ แต่การประกาศวันปลดปล่อยของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ทำให้ไม่ต้องสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระเบียบโลก ยุคของโลกาภิวัตน์ที่ยึดตามกฎเกณฑ์และการค้าเสรีได้สิ้นสุดลงแล้ว เรากำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการกระทำตามอำเภอใจ กีดกันทางการค้า และเป็นอันตรายมากขึ้น สหรัฐฯ เป็นรากฐานของเศรษฐกิจตลาดเสรีของโลกมานานหลายทศวรรษ สหรัฐฯ เป็นผู้นำการค้าเสรีและผลักดันความพยายามในการสร้างระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดโยงกับกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานที่ชัดเจน ซึ่งประเทศต่างๆ จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกันผ่านการค้า ระบบ WTO นี้ทำให้โลกและสหรัฐฯ เองมีเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พูดให้ชัดเจนก็คือ ระบบนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ สิงคโปร์และอีกหลายประเทศเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์และปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการละทิ้งระบบทั้งหมดที่ตนสร้างขึ้น แนวทางใหม่ในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบแทนประเทศต่อประเทศถือเป็นการปฏิเสธกรอบการทำงานขององค์การการค้าโลกอย่างสมบูรณ์ สหรัฐฯ ได้จัดให้สิงคโปร์อยู่ในฐานที่ต่ำที่สุด ด้วยอัตราภาษี 10%ดังนั้นผลกระทบโดยตรงต่อเราอาจจะจำกัดอยู่เพียงเท่านี้ในตอนนี้ แต่จะมีผลกระทบในวงกว้างและลึกซึ้งกว่านั้นหากประเทศอื่นๆ ใช้แนวทางเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือ ละทิ้ง WTO และทำการค้าเฉพาะในประเทศที่มีเงื่อนไขที่ต้องการเท่านั้นจะนำมาซึ่งปัญหาแก่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเล็กๆ เช่น สิงคโปร์ เราเสี่ยงต่อการถูกบีบให้ออก ถูกละเลย และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ เรายังคาดหวังการตอบโต้จากทั่วโลกอย่างรุนแรงต่อภาษีของอเมริกา สิงคโปร์ได้ตัดสินใจที่จะไม่เรียกเก็บภาษีตอบโต้แต่ประเทศอื่นอาจไม่ใช้มาตรการควบคุมเช่นเดียวกัน ความเป็นไปได้ของสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนว่าประเทศอื่นจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะได้รับผลกระทบและการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศนี้พึ่งพาการค้าเป็นอย่างมากครั้งสุดท้ายที่โลกประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้คือในช่วงทศวรรษที่ 1930 สงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธ และในที่สุดก็กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีข้างหน้าแต่เราต้องตระหนักถึงอันตรายที่กำลังก่อตัวขึ้นในโลกนี้ สถาบันระดับโลกกำลังอ่อนแอลง บรรทัดฐานระหว่างประเทศกำลังเสื่อมถอย ประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะกระทำการโดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก และใช้กำลังหรือความสุขเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตนต้องการนี่คือความจริงอันโหดร้ายของโลกเราในปัจจุบัน เราจะเฝ้าระวัง เราจะสร้างศักยภาพของเรา เราจะเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน เรามีความพร้อมมากกว่าประเทศอื่นๆ มากมาย ทั้งในด้านเงินทุนสำรอง ความสามัคคี และความมุ่งมั่น แต่เราต้องเตรียมรับมือกับความตกตะลึงที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตความสงบและเสถียรภาพของโลกที่เราเคยรู้จักในอดีตจะไม่กลับมาอีกในเร็วๆ นี้ เราไม่สามารถคาดหวังว่ากฎเกณฑ์ที่ปกป้องรัฐเล็กๆ จะยังคงอยู่ต่อไปได้ ฉันแบ่งปันสิ่งนี้กับคุณเพื่อให้เราทุกคนเตรียมใจไว้เพื่อที่เราจะไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว อย่าปล่อยให้ตัวเองหลงระเริง ความเสี่ยงเป็นเรื่องจริงและเดิมพันก็สูง เส้นทางข้างหน้าจะยากขึ้น แต่หากเรายังคงแน่วแน่และเป็นหนึ่งเดียว สิงคโปร์จะยังคงยืนหยัดได้ในโลกที่วุ่นวายแห่งนี้”https://youtu.be/xOUbUxa3PVk?si=A1KGjvpj008UtF_b
    0 Comments 0 Shares 497 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าทุกประเภท 10% และเพิ่มภาษีสินค้าจาก 60 ประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จีนโดนหนักสุดด้วยภาษีนำเข้ารวมกว่า 54% หุ้นเทคโนโลยีตกหนัก โดยเฉพาะ Apple, Nvidia และ Tesla นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้อาจนำไปสู่ สงครามการค้าครั้งใหญ่ และราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจพุ่งสูงขึ้น

    ✅ เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย
    - นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจกระตุ้นสงครามการค้าแบบตอบโต้
    - มีการคาดการณ์ว่าหลายประเทศ อาจต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายในปีหน้า

    ✅ ตลาดหุ้นร่วงหนัก หลังข่าวภาษีใหม่ประกาศออกมา
    - หุ้นเทคโนโลยีร่วงอย่างหนัก โดย Apple ลดลง 9% และ Nasdaq Composite ลดลงกว่า 5%
    - Microsoft และ Alphabet ลดลงประมาณ 2% ขณะที่ Nvidia และ Tesla ลดลง 5%

    ✅ ภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี—ชิปคอมพิวเตอร์รอดจากภาษี แต่เพียงชั่วคราว
    - ชิปคอมพิวเตอร์และทองแดง ยังคงได้รับการยกเว้น แต่คาดว่า ภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์จะถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง
    - หุ้นของ Marvell, Arm และ Micron ลดลงกว่า 8% ขณะที่ AMD ลดลง 4%

    ✅ ภาษีสูงสุดสำหรับประเทศคู่ค้า—จีนโดนหนักสุด
    - สินค้าจากจีนจะต้องเผชิญกับ อัตราภาษีรวมกว่า 54% ซึ่งสูงกว่าภาษีนำเข้าเดิมอย่างมาก
    - ประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ เวียดนาม (46%) และกัมพูชา (49%)

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไอทีและผู้บริโภค
    - สินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน, แล็ปท็อป, ทีวี และคอมพิวเตอร์ อาจมีราคาสูงขึ้น
    - Amazon อาจได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจาก ทรัมป์เตรียมยกเลิกข้อยกเว้นสินค้าราคาต่ำกว่า $800 ที่เคยได้รับการปลอดภาษี

    ✅ การตอบโต้จาก EU และจีน
    - ทั้ง สหภาพยุโรปและจีนเตรียมดำเนินมาตรการตอบโต้ แต่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศอื่น ยอมรับการขึ้นภาษีเป็นมาตรฐานใหม่

    https://www.techspot.com/news/107402-trump-tariffs-could-prove-nuclear-bomb-international-trade.html
    ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าทุกประเภท 10% และเพิ่มภาษีสินค้าจาก 60 ประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จีนโดนหนักสุดด้วยภาษีนำเข้ารวมกว่า 54% หุ้นเทคโนโลยีตกหนัก โดยเฉพาะ Apple, Nvidia และ Tesla นักวิเคราะห์เตือนว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้อาจนำไปสู่ สงครามการค้าครั้งใหญ่ และราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจพุ่งสูงขึ้น ✅ เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย - นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจกระตุ้นสงครามการค้าแบบตอบโต้ - มีการคาดการณ์ว่าหลายประเทศ อาจต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายในปีหน้า ✅ ตลาดหุ้นร่วงหนัก หลังข่าวภาษีใหม่ประกาศออกมา - หุ้นเทคโนโลยีร่วงอย่างหนัก โดย Apple ลดลง 9% และ Nasdaq Composite ลดลงกว่า 5% - Microsoft และ Alphabet ลดลงประมาณ 2% ขณะที่ Nvidia และ Tesla ลดลง 5% ✅ ภาษีสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี—ชิปคอมพิวเตอร์รอดจากภาษี แต่เพียงชั่วคราว - ชิปคอมพิวเตอร์และทองแดง ยังคงได้รับการยกเว้น แต่คาดว่า ภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์จะถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง - หุ้นของ Marvell, Arm และ Micron ลดลงกว่า 8% ขณะที่ AMD ลดลง 4% ✅ ภาษีสูงสุดสำหรับประเทศคู่ค้า—จีนโดนหนักสุด - สินค้าจากจีนจะต้องเผชิญกับ อัตราภาษีรวมกว่า 54% ซึ่งสูงกว่าภาษีนำเข้าเดิมอย่างมาก - ประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ เวียดนาม (46%) และกัมพูชา (49%) ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไอทีและผู้บริโภค - สินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน, แล็ปท็อป, ทีวี และคอมพิวเตอร์ อาจมีราคาสูงขึ้น - Amazon อาจได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจาก ทรัมป์เตรียมยกเลิกข้อยกเว้นสินค้าราคาต่ำกว่า $800 ที่เคยได้รับการปลอดภาษี ✅ การตอบโต้จาก EU และจีน - ทั้ง สหภาพยุโรปและจีนเตรียมดำเนินมาตรการตอบโต้ แต่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศอื่น ยอมรับการขึ้นภาษีเป็นมาตรฐานใหม่ https://www.techspot.com/news/107402-trump-tariffs-could-prove-nuclear-bomb-international-trade.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump's tariffs could prove to be a "nuclear bomb" on international trade and tech imports, experts warn
    This aggressive escalation of Trump's trade wars could mean higher prices on virtually every product Americans purchase from overseas. Worse, analysts predict the tariffs could trigger recessions...
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% (ล่าสุดปรับอีกครั้งเป็น 37%) หนึ่งในทางออกคือ ไทยต้องเล่นบทบาทนำในอาเซียน เพื่อผ่านวิกฤตครั้งนี้ให้ได้.ประเด็นเร่งด่วนในระยะสั้นที่ไทยต้องเร่งผลักดันผ่านคณะทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อให้ทันก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้คือ.รับมือกับมาตรการทางทางการค้าของสหรัฐอเมริการ่วมกัน เพราะสมาชิกอาเซียนโดนกันถ้วนหน้า กัมพูชา 49% สปป ลาว 48% เวียดนาม 46% เมียนมา 44% ไทย 36-37% อินโดนีเซีย 32% มาเลเซียและบรูไน 24% ฟิลิปปินส์ 17% หรือแม้แต่สิงคโปร์ก็โดนภาษี 10% เราต้องคำนวณร่วมกันว่า อัตราที่ทรัมป์กล่าวอ้าง นั่นคือ x2 ของอัตราภาษีเหล่านี้ คืออัตราจริงหรือไม่ ที่มาเป็นอย่างไร ถ้าไม่จริงต้องเร่งปฏิเสธ (ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าจะใช่อัตราที่ถูกต้อง รวมทั้งมีผู้คำนวณแล้วว่าตัวเลขชุดนี้ แท้จริงแล้วคือ สัดส่วนมูลค่าการขาดดุลการค้าต่อมูลค่าการนำเข้าที่สหรัฐนำเข้าสินค้าจากแต่ละประเทศ).จากนั้น ต้องคิดต่อว่าหากให้แต่ละประเทศสมาชิกเจรจากับสหรัฐ (ซึ่งจะมีเวลาเตรียมตัวสั้นมาก) เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า อำนาจการต่อรองของแต่ละสมาชิกเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาคือ เรื่องจิ๊บจ๊อยขี้ประติ๋ว แต่หากประชาคมอาเซียนรวมตัวกัน นี้คือตลาดของประชาชนเรือน 700 ล้านประชากร ที่มีรายได้สูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก และเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ดังนั้น อาเซียนต้องร่วมมือกัน อาเซียนต้องเดินหน้าต่อรองด้วยกัน .อาเซียนต้องไม่ดำเนินมาตรการที่ขัดแข้งขัดขาซึ่งกันและกัน มาตรการจำพวกตั้งภาษีตอบโต้กัน หรือเลียนแบบมาตรการทางการค้าเพื่อตอบโต้ซึ่งกันและกัน (Tariff Retaliation and/or Trade Emulation) รวมทั้งนโยบายประเภทเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ขอทานจากประเทศเพื่อบ้าน (Beggar-thy-neighbor) อาทิ ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินทุน แข่งกันให้สิทธิพิเศษทางการค้าการลงทุนจนวายวอดทั้งภูมิภาค ฯลฯ เหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้น .จากนั้นทั้งอาเซียนต้องร่วมกัน.1. แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า อาเซียนคืออาเซียน อาเซียนมีจุดแข็งของตนเอง อาเซียนพร้อมสนับสนุนการค้า การลงทุนเสรี อาเซียนสนับสนุนกฎกติการแบบพหุภาคีนิยม และอาเซียนไม่ได้เป็นเขตอิทธิพลของมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น จีน สหรัฐ หรือ มหาอำนาจใดๆ.2. เร่งสำรวจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการทางการค้าที่สหรัฐประกาศ ณ วันที่ 2 เมษายน ว่าแต่ละประเทศได้รับผลกระทบอย่างไร และหากเราร่วมมือกัน เราต้องการตจะกำหนดทิศทางการเจรจาอย่างไร แน่นอนว่า ทุกประเทศ ทุกคน คงไม่ได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด แต่ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญ บางเรื่อง บางประเทศ คงต้องยอมถอย เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อบางภาคการผลิต บางประเทศ และจากนั้นค่อยไปหารือกันว่าอาเซียนจะช่วยการเยียวยาผลกระทบซึ่งกันและกันได้อย่างไร เร่งปรึกษาหารือกับวิสาหกิจสหรัฐที่ทำการค้า ทำการลงทุนอยู่แล้วในอาเซียน ว่าพวกเขามีข้อเสนอแนะใดบ้าง.3. เร่งสำรวจว่าแต่ละประเทศมีช่องทาง มีสายสัมพันธ์ มีแนวทางการติดต่อประสานงานกับประธานาธิบดีทรัมป์ และทีมงานที่ภักดีของเขา รวมทั้งผู้สนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของเขาในช่องทางใดบ้าง มีอะไรที่จะเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้คนเหล่านี้ต้องการเป็นสะพานเพื่อเปิดการเจรจาระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ.4. วางยุทธศาสตร์การเจรจาร่วมกัน โดยการจัดทำ “ยุทธศาสตร์ราชสีห์กับหนู” นำเสนอนโยบายที่ทำให้ทรัมป์ต้องให้ความสนใจอาเซียน (ทรัมป์เคยมาเยือนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ในปี 2017 แต่ไม่เคยเข้าประชุมกับผู้นำอาเซียน) อาเซียนต้องเป็นหนูที่แสดงความเกรงใจนบนอบในระยะปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นโอกาสที่สหรัฐจะได้จากการร่วมมือกับในอนาคต มีอะไรที่เราจะเสนอกับอาเซียนได้บ้าง อาทิ ความต้องการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของอาเซียนร่วมกันในอีก 5 ปีต่อจากนี้ ความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการที่เป็น Billing ขนาดใหญ่ อาทิ การจัดหาเครื่องบินพาณิชย์ของสายการบินต่างๆ ในประเทศอาเซียนที่มีตลาดการบินขนาดใหญ่และเป็น Hub ทางการบินที่สำคัญ, การจัดซื้อ Software และ Hardware สำหรับระบบบริหาร ASEAN Smart City Network รวมทั้งความต้องการในการจัดซื้อบริการเหล่านี้สำหรับการบริหารกิจการทั้งของรัฐบาลและของภาคเอกชนในอาเซียน, ความต้องการซื้ออุปกรณ์และองค์ความรู้ในการติดตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการสร้างโรงไฟฟ้าและศักยภาพของการผลิตพลังงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิตอลที่ผู้ประกอบการสหรัฐต้องการ, ทรัพยากรธรรมชาติของอาเซียนที่สหรัฐดิ้นรนแสวงหาอยู่ ณ ขณะนี้, ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนคาสิโนแห่ง Las Vegas ได้มีโอกาสในการทำธุรกิจในอาเซียนในประเทศที่กำลังเดินหน้านโยบายการเปิดบ่อน (ส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนคาสิโนที่มอมเมาประชาชน แต่หากรัฐบาลจะดันทุรังเปิดให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะต้องอย่าลืมว่าผู้สนับสนุนทรัมป์ก็เป็นกลุ่มทุนคาสิโนยักษ์ใหญ่) ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอำนาจต่อรองที่หนูตัวนี้จะรอดจากเงื้อมมือราชสีห์ด้วยกันทั้งสิ้น.5. และเนื่องจาก ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ได้รับสิทธิ์ในการเป็น Partner Country ของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ BRICS ในขณะที่อินโดนีเซียได้รับสิทธิ์เป็น Full Member ของ BRICS เรียบร้อยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่หนูน้อยอาเซียนต้องดำเนินการด้วยนั่นก็คือ เร่งเจรจากับผู้นำบราซิลที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ในปีนี้ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะรับอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเข้าเป็นสมาชิก เพราะหนูตัวนี้บางครั้งก็ต้องพึ่งพาราชสีห์อีกตัวมากดดันราชสีห์อันทพาลตัวเก่า การแสวงหาโอกาส การแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่จะเป็นทางเลือกเพื่อมาทดแทนตลาดการค้าที่กำลังจะเสียไป เป็นทางเลือกที่เรามีสิทธิ์ในฐานะรัฐอธิปไตย.ขอเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องมีวิสัยทัศน์ มีความกล้าหาญในการเล่นบทบาทนำของประเทศไทยในประชาคมอาเซียน เราต้องมีข้อเสนอกับประชาคมอาเซียนเพื่อรับมือมาตรการกีดกันทางการค้าจะสหรัฐร่วมกัน.รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนามคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.ปล. รบกวนช่วยกัน Share นะครับ เราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง ไม่งั้นไทยจะหายไปจากจอเรดาร์
    สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% (ล่าสุดปรับอีกครั้งเป็น 37%) หนึ่งในทางออกคือ ไทยต้องเล่นบทบาทนำในอาเซียน เพื่อผ่านวิกฤตครั้งนี้ให้ได้.ประเด็นเร่งด่วนในระยะสั้นที่ไทยต้องเร่งผลักดันผ่านคณะทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อให้ทันก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้คือ.รับมือกับมาตรการทางทางการค้าของสหรัฐอเมริการ่วมกัน เพราะสมาชิกอาเซียนโดนกันถ้วนหน้า กัมพูชา 49% สปป ลาว 48% เวียดนาม 46% เมียนมา 44% ไทย 36-37% อินโดนีเซีย 32% มาเลเซียและบรูไน 24% ฟิลิปปินส์ 17% หรือแม้แต่สิงคโปร์ก็โดนภาษี 10% เราต้องคำนวณร่วมกันว่า อัตราที่ทรัมป์กล่าวอ้าง นั่นคือ x2 ของอัตราภาษีเหล่านี้ คืออัตราจริงหรือไม่ ที่มาเป็นอย่างไร ถ้าไม่จริงต้องเร่งปฏิเสธ (ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าจะใช่อัตราที่ถูกต้อง รวมทั้งมีผู้คำนวณแล้วว่าตัวเลขชุดนี้ แท้จริงแล้วคือ สัดส่วนมูลค่าการขาดดุลการค้าต่อมูลค่าการนำเข้าที่สหรัฐนำเข้าสินค้าจากแต่ละประเทศ).จากนั้น ต้องคิดต่อว่าหากให้แต่ละประเทศสมาชิกเจรจากับสหรัฐ (ซึ่งจะมีเวลาเตรียมตัวสั้นมาก) เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า อำนาจการต่อรองของแต่ละสมาชิกเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาคือ เรื่องจิ๊บจ๊อยขี้ประติ๋ว แต่หากประชาคมอาเซียนรวมตัวกัน นี้คือตลาดของประชาชนเรือน 700 ล้านประชากร ที่มีรายได้สูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก และเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ ดังนั้น อาเซียนต้องร่วมมือกัน อาเซียนต้องเดินหน้าต่อรองด้วยกัน .อาเซียนต้องไม่ดำเนินมาตรการที่ขัดแข้งขัดขาซึ่งกันและกัน มาตรการจำพวกตั้งภาษีตอบโต้กัน หรือเลียนแบบมาตรการทางการค้าเพื่อตอบโต้ซึ่งกันและกัน (Tariff Retaliation and/or Trade Emulation) รวมทั้งนโยบายประเภทเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ขอทานจากประเทศเพื่อบ้าน (Beggar-thy-neighbor) อาทิ ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงดูดเงินทุน แข่งกันให้สิทธิพิเศษทางการค้าการลงทุนจนวายวอดทั้งภูมิภาค ฯลฯ เหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้น .จากนั้นทั้งอาเซียนต้องร่วมกัน.1. แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า อาเซียนคืออาเซียน อาเซียนมีจุดแข็งของตนเอง อาเซียนพร้อมสนับสนุนการค้า การลงทุนเสรี อาเซียนสนับสนุนกฎกติการแบบพหุภาคีนิยม และอาเซียนไม่ได้เป็นเขตอิทธิพลของมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น จีน สหรัฐ หรือ มหาอำนาจใดๆ.2. เร่งสำรวจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการทางการค้าที่สหรัฐประกาศ ณ วันที่ 2 เมษายน ว่าแต่ละประเทศได้รับผลกระทบอย่างไร และหากเราร่วมมือกัน เราต้องการตจะกำหนดทิศทางการเจรจาอย่างไร แน่นอนว่า ทุกประเทศ ทุกคน คงไม่ได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด แต่ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญ บางเรื่อง บางประเทศ คงต้องยอมถอย เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อบางภาคการผลิต บางประเทศ และจากนั้นค่อยไปหารือกันว่าอาเซียนจะช่วยการเยียวยาผลกระทบซึ่งกันและกันได้อย่างไร เร่งปรึกษาหารือกับวิสาหกิจสหรัฐที่ทำการค้า ทำการลงทุนอยู่แล้วในอาเซียน ว่าพวกเขามีข้อเสนอแนะใดบ้าง.3. เร่งสำรวจว่าแต่ละประเทศมีช่องทาง มีสายสัมพันธ์ มีแนวทางการติดต่อประสานงานกับประธานาธิบดีทรัมป์ และทีมงานที่ภักดีของเขา รวมทั้งผู้สนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของเขาในช่องทางใดบ้าง มีอะไรที่จะเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้คนเหล่านี้ต้องการเป็นสะพานเพื่อเปิดการเจรจาระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ.4. วางยุทธศาสตร์การเจรจาร่วมกัน โดยการจัดทำ “ยุทธศาสตร์ราชสีห์กับหนู” นำเสนอนโยบายที่ทำให้ทรัมป์ต้องให้ความสนใจอาเซียน (ทรัมป์เคยมาเยือนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ในปี 2017 แต่ไม่เคยเข้าประชุมกับผู้นำอาเซียน) อาเซียนต้องเป็นหนูที่แสดงความเกรงใจนบนอบในระยะปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นโอกาสที่สหรัฐจะได้จากการร่วมมือกับในอนาคต มีอะไรที่เราจะเสนอกับอาเซียนได้บ้าง อาทิ ความต้องการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของอาเซียนร่วมกันในอีก 5 ปีต่อจากนี้ ความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการที่เป็น Billing ขนาดใหญ่ อาทิ การจัดหาเครื่องบินพาณิชย์ของสายการบินต่างๆ ในประเทศอาเซียนที่มีตลาดการบินขนาดใหญ่และเป็น Hub ทางการบินที่สำคัญ, การจัดซื้อ Software และ Hardware สำหรับระบบบริหาร ASEAN Smart City Network รวมทั้งความต้องการในการจัดซื้อบริการเหล่านี้สำหรับการบริหารกิจการทั้งของรัฐบาลและของภาคเอกชนในอาเซียน, ความต้องการซื้ออุปกรณ์และองค์ความรู้ในการติดตั้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการสร้างโรงไฟฟ้าและศักยภาพของการผลิตพลังงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิตอลที่ผู้ประกอบการสหรัฐต้องการ, ทรัพยากรธรรมชาติของอาเซียนที่สหรัฐดิ้นรนแสวงหาอยู่ ณ ขณะนี้, ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนคาสิโนแห่ง Las Vegas ได้มีโอกาสในการทำธุรกิจในอาเซียนในประเทศที่กำลังเดินหน้านโยบายการเปิดบ่อน (ส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนคาสิโนที่มอมเมาประชาชน แต่หากรัฐบาลจะดันทุรังเปิดให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะต้องอย่าลืมว่าผู้สนับสนุนทรัมป์ก็เป็นกลุ่มทุนคาสิโนยักษ์ใหญ่) ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอำนาจต่อรองที่หนูตัวนี้จะรอดจากเงื้อมมือราชสีห์ด้วยกันทั้งสิ้น.5. และเนื่องจาก ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ได้รับสิทธิ์ในการเป็น Partner Country ของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ BRICS ในขณะที่อินโดนีเซียได้รับสิทธิ์เป็น Full Member ของ BRICS เรียบร้อยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่หนูน้อยอาเซียนต้องดำเนินการด้วยนั่นก็คือ เร่งเจรจากับผู้นำบราซิลที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ในปีนี้ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะรับอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเข้าเป็นสมาชิก เพราะหนูตัวนี้บางครั้งก็ต้องพึ่งพาราชสีห์อีกตัวมากดดันราชสีห์อันทพาลตัวเก่า การแสวงหาโอกาส การแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่จะเป็นทางเลือกเพื่อมาทดแทนตลาดการค้าที่กำลังจะเสียไป เป็นทางเลือกที่เรามีสิทธิ์ในฐานะรัฐอธิปไตย.ขอเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องมีวิสัยทัศน์ มีความกล้าหาญในการเล่นบทบาทนำของประเทศไทยในประชาคมอาเซียน เราต้องมีข้อเสนอกับประชาคมอาเซียนเพื่อรับมือมาตรการกีดกันทางการค้าจะสหรัฐร่วมกัน.รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนามคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.ปล. รบกวนช่วยกัน Share นะครับ เราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง ไม่งั้นไทยจะหายไปจากจอเรดาร์
    Sad
    1
    0 Comments 1 Shares 809 Views 0 Reviews
  • การประกาศภาษีใหม่ของทรัมป์ทำให้ราคาสินค้า Apple พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากเวียดนามและอินเดีย ซึ่งเป็นฐานการผลิตของ Apple ต้องเจอกับภาษีสูงสุดถึง 46% แผนการลดการพึ่งพาจีนของ Apple ถูกกระทบหนัก ขณะที่ ภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจะเริ่มบังคับใช้ใน 5 เมษายน Apple อาจต้องปรับราคาสินค้าหรือหาทางออกอื่นเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจพิจารณายกเว้นภาษีบางส่วนในอนาคต

    ✅ อัตราภาษีใหม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตนอกจีน
    - Apple พยายาม ลดการพึ่งพาการผลิตในจีน มาหลายปี แต่แผนนี้ถูกกระทบจากภาษีใหม่
    - เวียดนามเจอภาษีสูงถึง 46% ขณะที่อินเดียโดน 26%

    ✅ ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต้องแบกรับราคาที่แพงขึ้น
    - นอกจากภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดที่เริ่มใช้ใน 5 เมษายน
    - ยังมีภาษีแบบ Reciprocal Tariffs ที่เพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นสำหรับสินค้าที่ประเทศอื่นขายแพง

    ✅ ภาระต้นทุนการผลิตทำให้ Apple ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
    - ภาษีที่สูงขึ้นทำให้ ต้นทุนการผลิตพุ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรของบริษัท
    - Apple อยู่ในสถานะ Lose-Lose Situation ไม่ว่าจะเลือกปรับราคาหรือดูดซับต้นทุน

    ✅ Trump อาจพิจารณายกเว้นภาษีบางส่วน
    - มีรายงานว่า สหรัฐฯ อาจผ่อนปรนภาษีให้กับบางประเทศ ที่สำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของ Apple

    ✅ จีนยังคงเป็นเป้าหมายหลักของภาษีสหรัฐฯ
    - ภาษี 34% ถูกกำหนดไว้เป็นมาตรการตอบโต้การค้า
    - Apple อาจต้องทบทวนแผนการกระจายฐานการผลิตใหม่ทั้งหมด

    https://wccftech.com/apple-supply-chains-hit-with-up-to-a-46-percent-trump-tariffs/
    การประกาศภาษีใหม่ของทรัมป์ทำให้ราคาสินค้า Apple พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากเวียดนามและอินเดีย ซึ่งเป็นฐานการผลิตของ Apple ต้องเจอกับภาษีสูงสุดถึง 46% แผนการลดการพึ่งพาจีนของ Apple ถูกกระทบหนัก ขณะที่ ภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจะเริ่มบังคับใช้ใน 5 เมษายน Apple อาจต้องปรับราคาสินค้าหรือหาทางออกอื่นเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจพิจารณายกเว้นภาษีบางส่วนในอนาคต ✅ อัตราภาษีใหม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตนอกจีน - Apple พยายาม ลดการพึ่งพาการผลิตในจีน มาหลายปี แต่แผนนี้ถูกกระทบจากภาษีใหม่ - เวียดนามเจอภาษีสูงถึง 46% ขณะที่อินเดียโดน 26% ✅ ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต้องแบกรับราคาที่แพงขึ้น - นอกจากภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดที่เริ่มใช้ใน 5 เมษายน - ยังมีภาษีแบบ Reciprocal Tariffs ที่เพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นสำหรับสินค้าที่ประเทศอื่นขายแพง ✅ ภาระต้นทุนการผลิตทำให้ Apple ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก - ภาษีที่สูงขึ้นทำให้ ต้นทุนการผลิตพุ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อกำไรของบริษัท - Apple อยู่ในสถานะ Lose-Lose Situation ไม่ว่าจะเลือกปรับราคาหรือดูดซับต้นทุน ✅ Trump อาจพิจารณายกเว้นภาษีบางส่วน - มีรายงานว่า สหรัฐฯ อาจผ่อนปรนภาษีให้กับบางประเทศ ที่สำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของ Apple ✅ จีนยังคงเป็นเป้าหมายหลักของภาษีสหรัฐฯ - ภาษี 34% ถูกกำหนดไว้เป็นมาตรการตอบโต้การค้า - Apple อาจต้องทบทวนแผนการกระจายฐานการผลิตใหม่ทั้งหมด https://wccftech.com/apple-supply-chains-hit-with-up-to-a-46-percent-trump-tariffs/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Supply Chain To Bear The Immense Financial Burden Of The Trump Tariffs, With Multiple Countries, Including Vietnam & India, Hit With Up To A 46 Percent Levy
    Various production hubs of Apple will be subject to up to a 46 percent bump in tariffs, forcing mutiple products, including iPhones, to jump in price
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป

    เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว

    จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้

    วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ?
    แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540

    สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ

    ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง

    โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน

    จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
    ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล

    พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น

    - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6%

    - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี

    - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น

    แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้

    ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567

    แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ?

    สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย

    แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567

    ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น

    ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท
    ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท
    ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท

    เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น

    ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี

    นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท

    Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน
    ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ
    ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก

    รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น
    - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ
    - PLN บริษัทไฟฟ้า
    - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม

    แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล

    เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73%

    เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย
    ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ

    จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย

    ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%)

    ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5%

    โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง

    ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย

    แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว
    ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน

    สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้..

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

    รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara
    ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย
    ╔═══════════╗
    ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    TikTok - tiktok.com/@longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played
    -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators
    -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html
    -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้ วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ? แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6% - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้ ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567 แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ? สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567 ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ - PLN บริษัทไฟฟ้า - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73% เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%) ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5% โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย ╔═══════════╗ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman References -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    1 Comments 0 Shares 1109 Views 0 Reviews
  • ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่วุ่น ยสท. วิ่งล็อบบี้คลังเปิดอัตราภาษีใหม่ทำบุหรี่ราคาถูกซองละ 40 บาท สู้คู่แข่ง และแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน
    .
    กระทรวงการคลังยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ แม้ว่าการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จะเสนอให้เพิ่มอัตราการเก็บภาษีเป็น 3 อัตรา เพื่อผลิตบุหรี่ราคาถูกซองละ 40 บาท หวังแข่งขันกับคู่แข่งและลดปัญหาบุหรี่เถื่อน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังไม่เห็นด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาคู่แข่งสามารถออกบุหรี่ราคาถูกมาสู้ได้ และข้อมูลพบว่าการบริโภคบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2567 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีมาก่อนหน้านี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000027633
    ปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่วุ่น ยสท. วิ่งล็อบบี้คลังเปิดอัตราภาษีใหม่ทำบุหรี่ราคาถูกซองละ 40 บาท สู้คู่แข่ง และแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน . กระทรวงการคลังยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ แม้ว่าการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จะเสนอให้เพิ่มอัตราการเก็บภาษีเป็น 3 อัตรา เพื่อผลิตบุหรี่ราคาถูกซองละ 40 บาท หวังแข่งขันกับคู่แข่งและลดปัญหาบุหรี่เถื่อน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังไม่เห็นด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาคู่แข่งสามารถออกบุหรี่ราคาถูกมาสู้ได้ และข้อมูลพบว่าการบริโภคบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2567 แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีมาก่อนหน้านี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000027633
    Like
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 1384 Views 0 Reviews
More Results