• ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้เขียนบทความพิเศษเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและประเภทของการใช้ตราพระราชลัญจกร การสร้างตราพระราชลัญจกร และการใช้ตราพระราชลัญจกรของไทยต่อเนื่องหลายตอนต่อเนื่องในเว็บไซต์ https://mgronline.com
    ขอยกข้อความหนึ่งในตอนการใช้ตราพระราชลัญจกรล่าสุดว่า

    ".....กล่าวได้ว่าเอกสารสำคัญในสมัยโบราณของไทย มิได้มีการลงพระปรมาภิไธย แต่ใช้การประทับพระราชลัญจกรเพียงอย่างเดียว หากเป็นเอกสารสำคัญมาก ก็จะมีการประทับตราพระราชลัญจกรหลายองค์ ทั้งตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินได้แก่ ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ ตราพระราชลัญจกรไอยราพต และตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน และประทับตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลคือ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ ที่ล้อมด้วยอักษรพระปรมาภิไธยด้วย

    พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงใช้ลายพระนามคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นภาษาละตินว่า SPPM. Mongkut Rex Siamensium โดยที่ SPPM ย่อมาจาก Somdet Phra. Poramenthra Maha Mongkut ส่วนคำภาษาละตินว่า Rex Siamensium แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า King of the Siam และภาษาไทยลงพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกทื่ทรงลงพระปรมาภิไธยและมีการประทับตราพระราชลัญจกรกำกับพระปรมาภิไธย และถือเป็นราชประเพณีปฏิบัติเช่นนี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน ....."

    ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9680000020433
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้เขียนบทความพิเศษเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและประเภทของการใช้ตราพระราชลัญจกร การสร้างตราพระราชลัญจกร และการใช้ตราพระราชลัญจกรของไทยต่อเนื่องหลายตอนต่อเนื่องในเว็บไซต์ https://mgronline.com ขอยกข้อความหนึ่งในตอนการใช้ตราพระราชลัญจกรล่าสุดว่า ".....กล่าวได้ว่าเอกสารสำคัญในสมัยโบราณของไทย มิได้มีการลงพระปรมาภิไธย แต่ใช้การประทับพระราชลัญจกรเพียงอย่างเดียว หากเป็นเอกสารสำคัญมาก ก็จะมีการประทับตราพระราชลัญจกรหลายองค์ ทั้งตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินได้แก่ ตราพระราชลัญจกรมหาโองการ ตราพระราชลัญจกรไอยราพต และตราพระราชลัญจกรหงสพิมาน และประทับตราพระราชลัญจกรประจำรัชกาลคือ พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ ที่ล้อมด้วยอักษรพระปรมาภิไธยด้วย พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงใช้ลายพระนามคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นภาษาละตินว่า SPPM. Mongkut Rex Siamensium โดยที่ SPPM ย่อมาจาก Somdet Phra. Poramenthra Maha Mongkut ส่วนคำภาษาละตินว่า Rex Siamensium แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า King of the Siam และภาษาไทยลงพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกทื่ทรงลงพระปรมาภิไธยและมีการประทับตราพระราชลัญจกรกำกับพระปรมาภิไธย และถือเป็นราชประเพณีปฏิบัติเช่นนี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน ....." ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9680000020433
    MGRONLINE.COM
    ผู้จัดการออนไลน์ เว็บไซต์ข่าวชั้นนำของไทย แหล่งรวมข่าวสารที่ครบครัน
    ติดตามข่าวสารล่าสุด อัพเดทเหตุการณ์ปัจจุบัน รับรู้ข่าวสารด่วนทันที ไม่พลาดข่าวสารอัพเดท ข่าววันนี้ ติดตามข่าวอุบัติเหตุ อัพเดทข่าวการเมือง เศรษฐกิจ รับรู้ข่าวสารตลอด 24 ชม. ผู้จัดการออนไลน์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • MOTO GP ไปต่อหรือพอแค่นี้?

    การออกมาเปิดเผยของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่ารัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย หลังจัดการแข่งขันมา 7 ปีติดต่อกัยในนามรัฐบาล และจะไม่ต่อสัญญาอีก ก่อให้เกิดปฎิริยาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งในวันต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอตัวเลข เพื่อพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ยืนยันว่าหากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนหมู่มากก็คงต้องทำต่อ

    ด้านนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องไม่ต่อสัญญาไม่เป็นความจริง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ชื่นชมประเทศไทย ส่วนรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กกท. จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาล และยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อ ดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน

    ทั้งนี้ การแข่งขันโมโตจีพีในปีนี้ทุบสถิติมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมสูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานสูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 52,000 คน สูงขึ้นประมาณ 38% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา

    สำหรับการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติงบประมาณจัดการแข่งขัน เมื่อปี 2560 ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ ตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) และต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปีละ 100 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ระหว่างปี 2561-2563 และมีภาคเอกชนระดมทุนในการดำเนินการทั้งหมด โดยนายเนวินในฐานะประธานสนาม สนับสนุนให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามแข่งขันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    ต่อมาในปี 2563 ครม. มีมติเห็นชอบต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพีออกไปอีก 5 ปี ระหว่างปี 2564-2569 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 50% ส่วนที่เหลือ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ จะหาผู้สนับสนุนในประเทศไทย

    #Newskit
    MOTO GP ไปต่อหรือพอแค่นี้? การออกมาเปิดเผยของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ว่ารัฐบาลจะลงทุนจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี ปี 2026 เป็นปีสุดท้าย หลังจัดการแข่งขันมา 7 ปีติดต่อกัยในนามรัฐบาล และจะไม่ต่อสัญญาอีก ก่อให้เกิดปฎิริยาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งในวันต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำเสนอตัวเลข เพื่อพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ยืนยันว่าหากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชนหมู่มากก็คงต้องทำต่อ ด้านนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องไม่ต่อสัญญาไม่เป็นความจริง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุย ซึ่งทางดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ก็ชื่นชมประเทศไทย ส่วนรัฐบาลก็อยากให้มีการแข่งขันรายการใหญ่ ที่ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กกท. จะนำสถิติตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้นำเสนอกับทางรัฐบาล และยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศก็จ่อคิวรออยู่ ถ้าไทยไม่ตัดสินใจ ก็มีหลายประเทศรออยู่ ซึ่งทุกอย่างต้องชัดเจนก่อน 1 ปี เพราะดอร์น่าจะต้องจัดการเรื่องสนามให้ลงตัว ถ้าไทยไม่เป็นเจ้าภาพต่อ ดอร์น่าก็จะต้องไปคุยกับประเทศอื่นๆ แทน ทั้งนี้ การแข่งขันโมโตจีพีในปีนี้ทุบสถิติมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้าน จำนวนผู้ชมสูงขึ้นเกือบ 7% การสร้างงานสูงขึ้น 12% และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 52,000 คน สูงขึ้นประมาณ 38% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มจัดงานมา สำหรับการแข่งขันโมโตจีพีที่จังหวัดบุรีรัมย์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อนุมัติงบประมาณจัดการแข่งขัน เมื่อปี 2560 ตามที่นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น เป็นผู้เสนอ ตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) และต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น โดยรัฐบาลจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันปีละ 100 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ระหว่างปี 2561-2563 และมีภาคเอกชนระดมทุนในการดำเนินการทั้งหมด โดยนายเนวินในฐานะประธานสนาม สนับสนุนให้ใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นสนามแข่งขันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อมาในปี 2563 ครม. มีมติเห็นชอบต่อสัญญาการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพีออกไปอีก 5 ปี ระหว่างปี 2564-2569 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ 50% ส่วนที่เหลือ บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ จะหาผู้สนับสนุนในประเทศไทย #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในที่สุดออสเตรียก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากผ่านการเลือกตั้งมานานถึงห้าเดือน พรรคที่ได้อันดับหนึ่ง กลายเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่มีใครอยากร่วมด้วย พรรครัฐบาลเกิดจากพรรคอันดับรองลงไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยผสมกันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา

    พรรคเสรีภาพ ( Freedom Party - FPÖ) ต้องเป็นฝ่ายค้าน แม้ว่าพรรคจะได้รับชัยชนะมีที่นั่งสูงสุดมาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งเมื่อห้าเดือนที่แล้ว แต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และ "ไม่มีพรรคใดอยากเข้าร่วมด้วย"

    ขณะที่พรรคอันดับรองลงไป ซึ่งก็คือพรรคประชาชนอนุรักษ์นิยม (The conservative People's Party - ÖVP) พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats - SPÖ) และพรรคเสรีนิยมนีโอ (Austria’s liberal Neos) จับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ซึ่งกินเวลานานถึง 151 วัน หรือประมาณห้าเดือน นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2024 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ใช้ระยะเวลาจัดตั้งรัฐบาลนานที่สุดในการเมืองออสเตรีย นอกจากนี้ยังเป็นพรรคผสมระหว่างฝ่ายซ้าย (เสรีนิยม) และฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) อีกด้วย

    คริสเตียน สต็อคเกอร์ หัวหน้าพรรคประชาชนออสเตรีย (ÖVP) ซึ่งเป็น "พรรคอนุรักษ์นิยมสายกลาง" จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ในที่สุดออสเตรียก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากผ่านการเลือกตั้งมานานถึงห้าเดือน พรรคที่ได้อันดับหนึ่ง กลายเป็นฝ่ายค้าน เพราะไม่มีใครอยากร่วมด้วย พรรครัฐบาลเกิดจากพรรคอันดับรองลงไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยผสมกันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา พรรคเสรีภาพ ( Freedom Party - FPÖ) ต้องเป็นฝ่ายค้าน แม้ว่าพรรคจะได้รับชัยชนะมีที่นั่งสูงสุดมาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งเมื่อห้าเดือนที่แล้ว แต่ไม่พอจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และ "ไม่มีพรรคใดอยากเข้าร่วมด้วย" ขณะที่พรรคอันดับรองลงไป ซึ่งก็คือพรรคประชาชนอนุรักษ์นิยม (The conservative People's Party - ÖVP) พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats - SPÖ) และพรรคเสรีนิยมนีโอ (Austria’s liberal Neos) จับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ซึ่งกินเวลานานถึง 151 วัน หรือประมาณห้าเดือน นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2024 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ใช้ระยะเวลาจัดตั้งรัฐบาลนานที่สุดในการเมืองออสเตรีย นอกจากนี้ยังเป็นพรรคผสมระหว่างฝ่ายซ้าย (เสรีนิยม) และฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) อีกด้วย คริสเตียน สต็อคเกอร์ หัวหน้าพรรคประชาชนออสเตรีย (ÖVP) ซึ่งเป็น "พรรคอนุรักษ์นิยมสายกลาง" จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ในซีรีส์ Radeon RX 9070 แล้ว.... (สักที) ซึ่งจะประกอบด้วยรุ่น RX 9070 XT และ RX 9070 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมนี้

    รายละเอียดของการ์ดจอรุ่นใหม่
    - Radeon RX 9070 XT มีราคาเริ่มต้นที่ $599
    - Radeon RX 9070 มีราคาเริ่มต้นที่ $549

    ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน่วยความจำ VRAM ขนาด 16GB และการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0

    การ์ดจอรุ่น RX 9070 XT ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในด้านการเรย์เทรซิ่งและการประมวลผลกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ในการทดสอบภายในของ AMD การ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อใช้งานในกราฟิกที่มีความละเอียด 4K แบบเนทีฟ นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวว่ารุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Nvidia RTX 5070 Ti ได้ในหลายเกม และมีความเร็วมากกว่า 24% ในเกมเช่น Call of Duty Black Ops 6

    RX 9070 XT ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรย์เทรซิ่ง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 Ti ประมาณ 8% แต่อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่า สถิติเหล่านี้มาจากการทดสอบของ AMD เองและยังไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี Multi-Frame Generation ของ Nvidia มาคำนวณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรอการทดสอบจากผู้ใช้งานจริงเพิ่มเติม

    การเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นนี้ทำให้ตลาดการ์ดจอมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของการ์ดจอราคาประหยัด RX 9070 XT ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับ RTX 5070 Ti ที่มีราคาสูงถึง $749 ความพร้อมในการจำหน่ายและราคาที่ต่ำกว่า อาจทำให้ RX 9070 XT กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด

    ลุงสรุปให้ว่า ถ้าขายราคานี้ +15% เป็นค่าภาษีและกำไร... ซื้อโลด!!!!

    https://www.techradar.com/computing/gpu/finally-we-have-some-gpu-competition-amd-announces-the-radeon-rx-9070-xt-march-6-launch-date-starting-at-usd599-alongside-the-rx-9070-at-usd549
    AMD ได้เปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ในซีรีส์ Radeon RX 9070 แล้ว.... (สักที) ซึ่งจะประกอบด้วยรุ่น RX 9070 XT และ RX 9070 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมนี้ รายละเอียดของการ์ดจอรุ่นใหม่ - Radeon RX 9070 XT มีราคาเริ่มต้นที่ $599 - Radeon RX 9070 มีราคาเริ่มต้นที่ $549 ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับหน่วยความจำ VRAM ขนาด 16GB และการเชื่อมต่อแบบ PCIe 5.0 การ์ดจอรุ่น RX 9070 XT ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในด้านการเรย์เทรซิ่งและการประมวลผลกราฟิกที่มีความละเอียดสูง ในการทดสอบภายในของ AMD การ์ดจอนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อใช้งานในกราฟิกที่มีความละเอียด 4K แบบเนทีฟ นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวว่ารุ่นนี้สามารถแข่งขันกับ Nvidia RTX 5070 Ti ได้ในหลายเกม และมีความเร็วมากกว่า 24% ในเกมเช่น Call of Duty Black Ops 6 RX 9070 XT ยังเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรย์เทรซิ่ง โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า RTX 5070 Ti ประมาณ 8% แต่อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่า สถิติเหล่านี้มาจากการทดสอบของ AMD เองและยังไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี Multi-Frame Generation ของ Nvidia มาคำนวณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรอการทดสอบจากผู้ใช้งานจริงเพิ่มเติม การเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นนี้ทำให้ตลาดการ์ดจอมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของการ์ดจอราคาประหยัด RX 9070 XT ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับ RTX 5070 Ti ที่มีราคาสูงถึง $749 ความพร้อมในการจำหน่ายและราคาที่ต่ำกว่า อาจทำให้ RX 9070 XT กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด ลุงสรุปให้ว่า ถ้าขายราคานี้ +15% เป็นค่าภาษีและกำไร... ซื้อโลด!!!! https://www.techradar.com/computing/gpu/finally-we-have-some-gpu-competition-amd-announces-the-radeon-rx-9070-xt-march-6-launch-date-starting-at-usd599-alongside-the-rx-9070-at-usd549
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตัวอย่าง# ...นี่คือ เซียนดังท่านนึง...ไอ้สารพัดตำราที่บอก 13_31 ไม่ดี...ข้อพิสูจน์หรือสถิติ..คืออ่ะไร...เท่าที่เห็นมา..งานมาก เงินมาก...และเหนื่อยห...แต่ในเลขนี้ มี 8 เลขรวยมาเพียบ.....จึงไม่แปลกที่จะ "เงินเหลือเยอะ" ใครมีพระหลัก ส่งไปขายได้...ขออนุญาตเจ้าของนามบัตร.❤️
    #ตัวอย่าง# ...นี่คือ เซียนดังท่านนึง...ไอ้สารพัดตำราที่บอก 13_31 ไม่ดี...ข้อพิสูจน์หรือสถิติ..คืออ่ะไร...เท่าที่เห็นมา..งานมาก เงินมาก...และเหนื่อยห...แต่ในเลขนี้ มี 8 เลขรวยมาเพียบ.....จึงไม่แปลกที่จะ "เงินเหลือเยอะ" ใครมีพระหลัก ส่งไปขายได้...ขออนุญาตเจ้าของนามบัตร.❤️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติสุดน่าทึ่ง เมื่อบรรดาแม่เต่าหญ้า🐢(Olive Ridley) กว่า 700,000 ตัว ขึ้นบนชายหาด Rushikulya ในเมืองโอริสสา ประเทศอินเดีย ในช่วงฤดูกาลวางไข่ซึ่งทำลายสถิติของชายหาดแห่งนี้

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าในปีนี้ แม่เต่าหญ้า🐢 (Olive Ridley) กว่า 641,000 ตัวขึ้นมาวางไข่บนชายหาด Rushikulya เสมือนเป็นโรงเพาะพันธุ์ Rushikulya ในเขต Ganjam เมืองโอริสสา ประเทศอินเดีย ซึ่งในฤดูวางไข่ปีนี้ มีจำนวนมากกว่าสถิติก่อนหน้านี้ที่เต่า 637,000 ตัวในฤดูกาล 2022-2023

    ปรากฏการณ์ธรรมชาติประจำปีนี้เรียกว่า Arribada เริ่มมาตั้งแต่วันที่15 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 ตามการระบุของ Rabindranath Sahu เลขาธิการกลุ่มพิทักษ์เต่าทะเล Rushikulya

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9680000017846

    #MGROnline #แม่เต่าหญ้า🐢
    ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติสุดน่าทึ่ง เมื่อบรรดาแม่เต่าหญ้า🐢(Olive Ridley) กว่า 700,000 ตัว ขึ้นบนชายหาด Rushikulya ในเมืองโอริสสา ประเทศอินเดีย ในช่วงฤดูกาลวางไข่ซึ่งทำลายสถิติของชายหาดแห่งนี้ • สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าในปีนี้ แม่เต่าหญ้า🐢 (Olive Ridley) กว่า 641,000 ตัวขึ้นมาวางไข่บนชายหาด Rushikulya เสมือนเป็นโรงเพาะพันธุ์ Rushikulya ในเขต Ganjam เมืองโอริสสา ประเทศอินเดีย ซึ่งในฤดูวางไข่ปีนี้ มีจำนวนมากกว่าสถิติก่อนหน้านี้ที่เต่า 637,000 ตัวในฤดูกาล 2022-2023 • ปรากฏการณ์ธรรมชาติประจำปีนี้เรียกว่า Arribada เริ่มมาตั้งแต่วันที่15 กุมภาพันธ์ และคาดว่าจะดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025 ตามการระบุของ Rabindranath Sahu เลขาธิการกลุ่มพิทักษ์เต่าทะเล Rushikulya • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9680000017846 • #MGROnline #แม่เต่าหญ้า🐢
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นหลายคนแล้ว เศร้าใจ เชื่อในทฤษฏีที่ถูกกำหนด โดยใครก็ไม่รู้...และส่งต่อถ่ายทอดกันมา...ไม่มีอะไรอ้างอิงเลย...และเชื่อกันเป็นอุปทานหมู่....คือ ถ้าใครไม่ขัดแนวคิดนั้น...กลายเป็นคนโง่ไปเสียอีก...ถ้าเราไปดูองค์ความรู้ของทฤษฏีหรือแนวคิดต่างๆ ทั่วโลก...จะเห็นได้ว่า ถูกทดสอบ ปฏิบัติจริง และเก็บสถิติ...ย้อนไปยุค โซเกรตีส เพลโต อริสโตเติล ผ่านมาร่วม 3000 ปีแล้ว...ที่วางหลักคิด หลักปรัชญามากมายแก่โลกนี้...ซึ่งไม่ใช่แค่ ความเชื่อ...แบบคนไทย...ที่ไม่มี สถิติ รองรับเลย...ผู้เขียนส่วนตัว ใช้ตำราต่างประเทศ และเอาหลักสถิติ..ย้อนไปเก็บข้อมูล...จนตกผลึก.จึงถ่ายทอดออกมา...ลำพังแค่ เชื่อต่อๆกัน...โดยไม่มีที่มา... ไม่เคยมีกระบวนการคิดแบบนี้น...ในสมอง...
    เห็นหลายคนแล้ว เศร้าใจ เชื่อในทฤษฏีที่ถูกกำหนด โดยใครก็ไม่รู้...และส่งต่อถ่ายทอดกันมา...ไม่มีอะไรอ้างอิงเลย...และเชื่อกันเป็นอุปทานหมู่....คือ ถ้าใครไม่ขัดแนวคิดนั้น...กลายเป็นคนโง่ไปเสียอีก...ถ้าเราไปดูองค์ความรู้ของทฤษฏีหรือแนวคิดต่างๆ ทั่วโลก...จะเห็นได้ว่า ถูกทดสอบ ปฏิบัติจริง และเก็บสถิติ...ย้อนไปยุค โซเกรตีส เพลโต อริสโตเติล ผ่านมาร่วม 3000 ปีแล้ว...ที่วางหลักคิด หลักปรัชญามากมายแก่โลกนี้...ซึ่งไม่ใช่แค่ ความเชื่อ...แบบคนไทย...ที่ไม่มี สถิติ รองรับเลย...ผู้เขียนส่วนตัว ใช้ตำราต่างประเทศ และเอาหลักสถิติ..ย้อนไปเก็บข้อมูล...จนตกผลึก.จึงถ่ายทอดออกมา...ลำพังแค่ เชื่อต่อๆกัน...โดยไม่มีที่มา... ไม่เคยมีกระบวนการคิดแบบนี้น...ในสมอง...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lily Phillips (ลิลี่ ฟิลลิปส์) ชาวอังกฤษ วัย 23 ปี ประกาศข่าวดีว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ หลังจบคอนเทนต์มีเซ็กซ์กับผู้ชาย 100 คน ชาวเน็ตหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องอำกันเล่นนะ

    จากกรณี ก่อนหน้านี้ เมื่อดาราสาว Only Fans อย่าง Lily Phillips (ลิลี่ ฟิลลิปส์) ชาวอังกฤษ วัย 23 ปี ที่ตัดสินใจสร้างหนังในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยการมีความสัมพันธ์กับผู้ชายกว่าร้อยคนภายใน 1 วันเท่านั้น และเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม OnlyFans ของเธอ นอกจากนี้ เธอยังคงวางแผนที่จะทำลายสถิติโลกด้วยการมีเซ็กส์กับผู้ชาย 1,000 คนในหนึ่งวัน เธอวางแผนที่จะทำสิ่งนี้ที่ไหนสักแห่งในอังกฤษ

    ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ลีลี ฟิลลิปส์ ได้โพสต์ภาพของตัวเธอเองกำลังยืนลูบท้องของตัวเองและภาพที่ตรวจครรภ์ ที่ขึ้น 2 ขีดลงใน IG ส่วนตัว พร้อมกับระบุข้อความว่า“Baby Phillips coming 2025”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000016911

    #MGROnline #babyphillips2025
    Lily Phillips (ลิลี่ ฟิลลิปส์) ชาวอังกฤษ วัย 23 ปี ประกาศข่าวดีว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ หลังจบคอนเทนต์มีเซ็กซ์กับผู้ชาย 100 คน ชาวเน็ตหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องอำกันเล่นนะ • จากกรณี ก่อนหน้านี้ เมื่อดาราสาว Only Fans อย่าง Lily Phillips (ลิลี่ ฟิลลิปส์) ชาวอังกฤษ วัย 23 ปี ที่ตัดสินใจสร้างหนังในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยการมีความสัมพันธ์กับผู้ชายกว่าร้อยคนภายใน 1 วันเท่านั้น และเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม OnlyFans ของเธอ นอกจากนี้ เธอยังคงวางแผนที่จะทำลายสถิติโลกด้วยการมีเซ็กส์กับผู้ชาย 1,000 คนในหนึ่งวัน เธอวางแผนที่จะทำสิ่งนี้ที่ไหนสักแห่งในอังกฤษ • ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ลีลี ฟิลลิปส์ ได้โพสต์ภาพของตัวเธอเองกำลังยืนลูบท้องของตัวเองและภาพที่ตรวจครรภ์ ที่ขึ้น 2 ขีดลงใน IG ส่วนตัว พร้อมกับระบุข้อความว่า“Baby Phillips coming 2025” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000016911 • #MGROnline #babyphillips2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้สร้างชิป CMOS (complementary metal-oxide semiconductor) เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองหนู โดยชิปนี้มีแผงอิเล็กโทรดไมโครโฮล 4,096 ช่อง ซึ่งทำให้สามารถบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทมากกว่า 2,000 เซลล์ และเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากถึง 70,000 การเชื่อมต่อ

    ชิปนี้สามารถวัดความแรงของสัญญาณและลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งผ่านระหว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหญ่ในงานวิจัยประสาทวิทยา เนื่องจากการใช้อิเล็กตรอนไมโครสโคปในปัจจุบันสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อประสาท แต่ไม่สามารถบันทึกสัญญาณที่ส่งผ่านได้ และการใช้เทคนิคแบบ patch-clamp electrode จะทำได้เพียงบันทึกสัญญาณจากเซลล์จำนวนน้อยเท่านั้น

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือการใช้ชิปนี้ช่วยให้สามารถศึกษาการทำงานของเซลล์ประสาทจำนวนมาก และเข้าใจกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน เช่น การคิดและการเรียนรู้ นักวิจัยกล่าวว่าแต่ละไมโครโฮลในชิปนี้เหมือนกับการใช้ patch-clamp electrode และการเพิ่มจำนวนไมโครโฮลกว่า 4,000 ช่องในชิปเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบเซลล์ประสาทจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ทีมวิจัยได้ทำการบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนูมากกว่า 3,600 เซลล์ โดยมีอัตราความสำเร็จเกือบ 90% จากนั้นทีมได้บันทึกการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากกว่า 70,000 การเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมถึง 200 เท่า

    แม้จะมีความก้าวหน้านี้ แต่ทีมวิจัยยังคงมีความท้าทายในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับ และกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานในสมองจริง หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึก AI และสร้างชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และยังสามารถใช้ในการวิจัยด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้าใจการทำงานของการเชื่อมต่อประสาทและผลกระทบต่อการรับรู้ของจิตใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/harvard-team-built-a-cmos-chip-to-map-70-000-synaptic-connections-between-2-000-rat-neurons
    ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้สร้างชิป CMOS (complementary metal-oxide semiconductor) เพื่อบันทึกกิจกรรมไฟฟ้าของเซลล์ประสาทในสมองหนู โดยชิปนี้มีแผงอิเล็กโทรดไมโครโฮล 4,096 ช่อง ซึ่งทำให้สามารถบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทมากกว่า 2,000 เซลล์ และเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากถึง 70,000 การเชื่อมต่อ ชิปนี้สามารถวัดความแรงของสัญญาณและลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งผ่านระหว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าใหญ่ในงานวิจัยประสาทวิทยา เนื่องจากการใช้อิเล็กตรอนไมโครสโคปในปัจจุบันสามารถมองเห็นการเชื่อมต่อประสาท แต่ไม่สามารถบันทึกสัญญาณที่ส่งผ่านได้ และการใช้เทคนิคแบบ patch-clamp electrode จะทำได้เพียงบันทึกสัญญาณจากเซลล์จำนวนน้อยเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือการใช้ชิปนี้ช่วยให้สามารถศึกษาการทำงานของเซลล์ประสาทจำนวนมาก และเข้าใจกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อน เช่น การคิดและการเรียนรู้ นักวิจัยกล่าวว่าแต่ละไมโครโฮลในชิปนี้เหมือนกับการใช้ patch-clamp electrode และการเพิ่มจำนวนไมโครโฮลกว่า 4,000 ช่องในชิปเดียว ทำให้สามารถตรวจสอบเซลล์ประสาทจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยได้ทำการบันทึกข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนูมากกว่า 3,600 เซลล์ โดยมีอัตราความสำเร็จเกือบ 90% จากนั้นทีมได้บันทึกการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทได้มากกว่า 70,000 การเชื่อมต่อ ซึ่งมากกว่าสถิติเดิมถึง 200 เท่า แม้จะมีความก้าวหน้านี้ แต่ทีมวิจัยยังคงมีความท้าทายในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับ และกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานในสมองจริง หากประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในการฝึก AI และสร้างชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และยังสามารถใช้ในการวิจัยด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้าใจการทำงานของการเชื่อมต่อประสาทและผลกระทบต่อการรับรู้ของจิตใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/harvard-team-built-a-cmos-chip-to-map-70-000-synaptic-connections-between-2-000-rat-neurons
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Harvard team built a CMOS chip to map 70,000 synaptic connections between 2,000 rat neurons
    Research aims to understand large-scale neural networks via a leap in neuronal recording.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก

    ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย

    จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน

    แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก

    ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม

    ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม

    แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย

    โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

    ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

    หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว

    โดย Sirarom Techasriamornrat

    Source: Brandinside
    https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย: รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว โดย Sirarom Techasriamornrat Source: Brandinside https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
    BRANDINSIDE.ASIA
    ไทยมี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
    รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี 'เศรษฐกิจนอกระบบ' ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • มหกรรมจราจรหนาแน่นติดขัด300 กิโลเมตรที่อินเดีย เนื่องจากเทศกาลแสวงบุญ "กุมภเมลา" (Kumbh Mela) ของชาวฮินดู เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการในปีนี้ ที่อำเภอประยาคราช (Prayagraj) ในเมืองอัลลาฮาบัด (Allahabad) ของรัฐอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเทศกาลนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกว่าเป็นงานชุมนุมขนาดใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติเทศกาลแสวงบุญซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลาทั้งหมด 45 วัน เริ่มต้นวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยเปิดให้ทำพิธีใหญ่เพื่ออาบน้ำชำระล้างบาปในแม่น้ำคงคาได้ ตั้งแต่วันอังคารที่ 14 ม.ค. เป็นต้นไป ซึ่งในพิธีดังกล่าวเหล่า "นาคสาธุ" (Naga Sadhu) นักบวชฮินดูที่เปลือยกายและทาตัวด้วยเถ้าถ่าน ทั้งยังไว้ผมยาวที่พันกันยุ่งเหยิงจนจับตัวเป็นก้อนเหมือนเส้นเชือก จะมาลงอาบน้ำชำระกายซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ของเทศกาลกุมภเมลา ผู้ที่นับถือศรัทธาในศาสนาฮินดูจะพากันมาลงอาบในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตรงบริเวณที่เรียกว่า "สังฆัม" (Sangham) ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายหรือจุฬาตรีคูณ ได้แก่แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา, และแม่น้ำสรัสวตี ซึ่งแม่น้ำสายที่สามนี้เป็นสายธารในตำนานปรัมปราที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ชาวฮินดูเชื่อว่าการทำพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลนี้ จะช่วยล้างบาปมลทินและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารหรือวงจรการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของของศาสนาฮินดูหรือโมกษะวิเวก จตุรเวที เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบอกกับบีบีซีว่า ก่อนจะถึงวันสุดท้ายของการแสวงบุญในวันที่ 26 ก.พ. คาดว่าจะมีผู้คนมาเข้าร่วมเทศกาลกุมภเมลากันอย่างล้นหลามราว 400 ล้านคน ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึงขนาดนี้ ทำให้เทศกาลดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Heritage of Humanity) โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ส่วนกลุ่มก้อนของประชากรมนุษย์จำนวนมหาศาล ก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้จากห้วงอวกาศอีกด้วยที่มา https://www.firstpost.com/explainers/maha-kumbh-2025-traffic-jams-prayagraj-uttar-pradesh-13861659.html
    มหกรรมจราจรหนาแน่นติดขัด300 กิโลเมตรที่อินเดีย เนื่องจากเทศกาลแสวงบุญ "กุมภเมลา" (Kumbh Mela) ของชาวฮินดู เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการในปีนี้ ที่อำเภอประยาคราช (Prayagraj) ในเมืองอัลลาฮาบัด (Allahabad) ของรัฐอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเทศกาลนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกว่าเป็นงานชุมนุมขนาดใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติเทศกาลแสวงบุญซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลาทั้งหมด 45 วัน เริ่มต้นวันแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยเปิดให้ทำพิธีใหญ่เพื่ออาบน้ำชำระล้างบาปในแม่น้ำคงคาได้ ตั้งแต่วันอังคารที่ 14 ม.ค. เป็นต้นไป ซึ่งในพิธีดังกล่าวเหล่า "นาคสาธุ" (Naga Sadhu) นักบวชฮินดูที่เปลือยกายและทาตัวด้วยเถ้าถ่าน ทั้งยังไว้ผมยาวที่พันกันยุ่งเหยิงจนจับตัวเป็นก้อนเหมือนเส้นเชือก จะมาลงอาบน้ำชำระกายซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ของเทศกาลกุมภเมลา ผู้ที่นับถือศรัทธาในศาสนาฮินดูจะพากันมาลงอาบในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตรงบริเวณที่เรียกว่า "สังฆัม" (Sangham) ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายหรือจุฬาตรีคูณ ได้แก่แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา, และแม่น้ำสรัสวตี ซึ่งแม่น้ำสายที่สามนี้เป็นสายธารในตำนานปรัมปราที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ชาวฮินดูเชื่อว่าการทำพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลนี้ จะช่วยล้างบาปมลทินและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ปลดปล่อยพวกเขาให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารหรือวงจรการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของของศาสนาฮินดูหรือโมกษะวิเวก จตุรเวที เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบอกกับบีบีซีว่า ก่อนจะถึงวันสุดท้ายของการแสวงบุญในวันที่ 26 ก.พ. คาดว่าจะมีผู้คนมาเข้าร่วมเทศกาลกุมภเมลากันอย่างล้นหลามราว 400 ล้านคน ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึงขนาดนี้ ทำให้เทศกาลดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Heritage of Humanity) โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ส่วนกลุ่มก้อนของประชากรมนุษย์จำนวนมหาศาล ก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้จากห้วงอวกาศอีกด้วยที่มา https://www.firstpost.com/explainers/maha-kumbh-2025-traffic-jams-prayagraj-uttar-pradesh-13861659.html
    WWW.FIRSTPOST.COM
    ‘Stuck for 48 hours’: Inside the 300-km traffic jams to Maha Kumbh, the ‘world’s biggest’
    Thousands of devotees planning to visit Maha Kumbh Mela in Uttar Pradesh in cars were stranded for 48 hours in 300-kilometre traffic jams leading up to Prayagraj. Some say it took 10-12 hours to cover just 50 kilometres on Sunday. Overcrowding during the weekends is one of the major reasons behind the snarls
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุโรปจะมีการขยายตัวของศูนย์ข้อมูลที่มีความจุสูงสุดในปี 2025 ตามรายงานของ CBRE Group ซึ่งการขยายตัวนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมปัญญาประดิษฐ์และการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์ ความต้องการสำหรับศูนย์ข้อมูลได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามใช้เทคโนโลยีใหม่ในการดำเนินธุรกิจของพวกเขา

    คาดว่าตลาดยุโรปจะมีศูนย์ข้อมูลที่มีความจุไฟฟ้า 937 เมกะวัตต์เข้ามาในปี 2025 ซึ่งจะสร้างสถิติใหม่สำหรับภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นการกระโดดขึ้นถึง 282 เมกะวัตต์ หรือ 43% จากความจุ 655 เมกะวัตต์ที่มีในปี 2024 การเติบโตนี้ได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความพร้อมของพลังงาน ที่ดินที่เหมาะสม และแรงจูงใจจากรัฐบาล

    ตลาดศูนย์ข้อมูลหลักในยุโรป เช่น แฟรงก์เฟิร์ต ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม ปารีส และดับลิน จะเห็นการเพิ่มขึ้นของความจุสูงสุด คิดเป็น 57% ของความจุใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีการเติบโตแบบสองหลักในตลาดรองในยุโรปห้าจากสิบแห่งที่ติดตามโดย CBRE

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/14/europe-set-to-see-record-data-centre-capacity-roll-out-in-2025-cbre-says
    ยุโรปจะมีการขยายตัวของศูนย์ข้อมูลที่มีความจุสูงสุดในปี 2025 ตามรายงานของ CBRE Group ซึ่งการขยายตัวนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมปัญญาประดิษฐ์และการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์ ความต้องการสำหรับศูนย์ข้อมูลได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามใช้เทคโนโลยีใหม่ในการดำเนินธุรกิจของพวกเขา คาดว่าตลาดยุโรปจะมีศูนย์ข้อมูลที่มีความจุไฟฟ้า 937 เมกะวัตต์เข้ามาในปี 2025 ซึ่งจะสร้างสถิติใหม่สำหรับภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นการกระโดดขึ้นถึง 282 เมกะวัตต์ หรือ 43% จากความจุ 655 เมกะวัตต์ที่มีในปี 2024 การเติบโตนี้ได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความพร้อมของพลังงาน ที่ดินที่เหมาะสม และแรงจูงใจจากรัฐบาล ตลาดศูนย์ข้อมูลหลักในยุโรป เช่น แฟรงก์เฟิร์ต ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม ปารีส และดับลิน จะเห็นการเพิ่มขึ้นของความจุสูงสุด คิดเป็น 57% ของความจุใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีการเติบโตแบบสองหลักในตลาดรองในยุโรปห้าจากสิบแห่งที่ติดตามโดย CBRE https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/14/europe-set-to-see-record-data-centre-capacity-roll-out-in-2025-cbre-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Europe set to see record data centre capacity roll-out in 2025, CBRE says
    LONDON (Reuters) - Europe could see a record level of new data centres this year, according to research released on Wednesday by CBRE Group, as companies expand their artificial intelligence and cloud computing activities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม

    📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔

    📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี

    📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด

    🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย
    การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น
    - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์
    - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง
    - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ

    😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม

    🔍 ป.12 คืออะไร? 📜
    ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย

    📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12
    การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น
    ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
    ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง
    ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน

    ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง

    ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ?
    📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้
    1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ
    คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย

    2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง
    ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน

    3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน
    ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น

    🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄
    - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว
    - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย
    - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม

    🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย
    ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

    📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น
    - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV)
    - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ
    - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง

    📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย
    🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
    - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12%
    - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18%
    - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22%

    📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม
    ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน

    ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4

    ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568

    🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม 📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔 📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี 📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด 🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์ - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ 😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม 🔍 ป.12 คืออะไร? 📜 ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย 📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12 การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ? 📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้ 1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย 2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน 3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น 🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄 - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม 🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ 📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง 📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย 🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12% - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18% - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22% 📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น 🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4 ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568 🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 6 นี้ขอแลกเปลี่ยนและนำเสนอมุมมองปรากฏการณ์การรวมตัวกันขององค์กรและสมาคมทางการบินระหว่างประเทศจากทั่วโลกที่ได้ออกประกาศเป็นหนังสือเรียกร้องให้รัฐภาคีประเทศต่าง ๆ ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( International Civil Aviation Organization: ICAO) ปฏิบัติตามมาตรฐานข้อกำหนดตามภาคผนวกที่ 13 แห่งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO Annex 13 - Aircraft Accident and Incident Investigation) โดยขอให้รัฐหรือประเทศต่าง ๆ เร่งดำเนินการสอบสวนและนำเสนอรายงานผลการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์รุนแรงของอากาศยานที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของตนที่ยังค้างคาหรือยังไม่มีรายงานผลการสอบสวนฉบับสุดท้าย (Final Investigation Report) ออกมาหรือมีเพียงแค่รายงานเบื้องต้น (Preliminary Report) หรือรายงานฉบับบกลาง (Interim Report) เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบินตามหน่วยงานต่าง ๆที่เกี่ยวข้องได้รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางการบินที่เกิดขึ้นรวมทั้งแนวทางหรือมาตรการป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์ทำนองเดิมเกิดซ้ำอีก

    สำหรับองค์กรและสมาคมทางการบินระหว่างประเทศที่รวมตัวกันออกแถลงการณ์ร่วมกันในครั้งนี้ได้แก่
    1. Airport Council International, Europe (ACI Europe),
    2. European Cockpit Association (ECA),
    3. Flight Safety Foundation (FSF),
    4. International Air Transport Association (IATA),
    5. The International Coordinating Council of Aerospace Industries Association (ICCAIA),
    6. International Federation of Air Line Pilots’ Associations (IFALPA) และ
    7. International Federation of Air Traffic Controllers’ Associations (IFATCA)
    โดยก่อนหน้านี้ทาง IATA เองได้ออกหนังสือประกาศเรื่องทำนองเดียวกันนี้เรียกร้องให้รัฐภาคีสมาชิกของ ICAO เร่งรัดให้มีการดำเนินการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุหรืออากาศยานอุบัติการณรุนแรงและให้รีบเผยแพร่รายงานออกมาครั้งหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ 5 มิ.ย. 2566 (ดูภาพเอกสารตามที่แนบมา) แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีความคืบหน้าอะไรที่ชัดเจนนัก

    ทั้งนี้คงไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักสำหรับการออกแถลงการณ์ร่วมในครั้งนี้เพราะถ้าเราสังเกตุดูดีดีจะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันมีเหตุการณ์อุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงของอากาศยานจากทั่วโลกเกิดขึ้นซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนที่ถี่มาก ทั้งนี้เมื่อเทียบข้อมูลสถิติที่ระบุอยู่ในเอกสารฉบับนี้จะพบว่าจำนวนการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงของอากาศยานกับจำนวนรายงานผลการสอบสวนฯที่จะรายงานมาพร้อมกับข้อมูลปัจจัยที่เป็นสาเหตุและมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดซ้ำอีกเพื่อไว้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินได้มีแนวทางป้องกันนั้นมีน้อยมาก ยกตัวอย่างบางส่วนของตัวเลขสถิติตามข้อมูลรายงานด้านความปลอดภัยประจำปี ระหว่างปี 2018 ถึง 2023 จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.67 ข้อมูลอุบัติเหตุที่ IATA บันทึกไว้ในจำนวนอุบัติเหตุ 268 รายการมีรายงานผลการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุฉบับสุดท้าย 140 รายการ (52%) ในขณะที่อีก 128 รายการยังไม่มีผลรายงานการสอบสวนอุบัติเหตุอากาศยานฉบับสุดท้ายออกมา คิดเป็น 48%

    เนื้อหาในเอกสารแถลงการณ์ฉบับนี้ยังได้ระบุรายละเอียดถึงขนาดที่ว่ารัฐบางรัฐไม่ได้มีการสอบสวนเหตุการณ์อุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงเลยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มา บางรัฐออกเพียงรายงานเบื้องต้นหรือรายงานฉบับกลางเพียงเท่านั้นซึ่งน่าจะไม่มีประโยชน์เท่าใดนักที่ผู้ที่มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมการบินจะนำไปใช้ หนำซ้ำรัฐบางรัฐออกรายงานฉบับกลางเพื่อจะให้เป็นข้อมูลเสมือนหนึ่งเป็นรายงานฉบับสุดท้ายและจะไม่ดำเนินการอะไรต่อเลย เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้อุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงในรูปแบบเดิมก็สามารถเกิดขึ้นได้อีก ทั้งนี้ในมาตรฐานตาม ICAO Annex 13 นั้นรายงานผลการสอบสวนฉบับสุดท้ายควรออกมาโดยเร็วที่สุดหรือภายใน 12 เดือนนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ ซึ่งตามข้อมูลใน พรบ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้เขียนยังไม่เห็นถ้อยคำกฎหมายที่ชัดเจนที่ระบุรายละเอียดตามข้อความตามที่ ICAO Annex 13 กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดรูปแบบรายงานเบื้องต้นผลการสอบสวนอุบัติเหตุของอากากาศยานหรืออุบัติการณ์รุนแรง รายงานฉบับกลางฯ และรายงานฉบับสุดท้ายฯหรือข้อกำหนดเรื่องระยะเวลาที่ควรต้องระบุไว้สำหรับการออกรายงานว่าจะต้องออกภายในระยะเวลาเท่าใดหรือกี่เดือน เท่าที่ทราบจะมีก็เพียงข้อกำหนดที่ระบุอยู่ในมาตรฐานคู่มือการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบเท่านั้นซึ่งรัฐควรต้องระบุอยู่ในกฎหมายของตนตามวัตถุประสงค์ของการออกข้อกำหนดมาตรฐานใน Annex ต่าง ๆ ของ ICAO (อันนี้ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงไปแล้วต้องขออภัยเป็นอย่างสูงหรือใครมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันสามารถแชร์ได้นะครับ)

    สำหรับประกาศหรือหนังสือแถลงการณ์ฉบับนี้ นัยสำคัญในเรื่องนี้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นการสื่อสารโดยตรงหรือโดยอ้อมไปยังองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ว่าองค์กรแห่งนี้ได้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหนด้านการกำกับดูแลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยการบินพลเรือนระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆที่เป็นรัฐภาคีเพราะเมื่อกลางปี 2566 IATA เองก็ได้ออกประกาศเรียกร้องมาแล้วตามที่กล่าวไว้ข้างต้น มาครั้งนี้มีการรวมตัวกันของสมาคมหรือองค์กรทางการบินระหว่างประเทศหลายองค์กร ทาง ICAO จะสามารถนิ่งเฉยเสียงเรียกร้องอยู่ได้โดยจะไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมที่เป็นที่น่าพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินได้หรือไม่ สำหรับมุมมองของผู้เขียนเองมองว่าการดำเนินงานของ ICAO ระยะหลังรู้สึกกังวลความมีประสิทธิภาพขององค์กรแห่งนี้เป็นอย่างมากโดยดูจากข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ/อุบัติการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งรายงานการจัดการข้อบกพร่องทางกายภาพของสนามบินหรือการจัดการด้านอื่น ๆ และการดำเนินการตามมาตรฐานของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ที่บางรายการมีลำดับความเร่งด่วนที่มีผลต่อความปลอดภัยสูงแต่ก็สามารถคงอยู่มาได้มากว่า 15 ปีแล้วโดยที่ไม่มีอะไรที่การันตีได้เลยว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยกับข้อบกพร่องนั้นที่อยู่ในรายงานของ ICAO ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ICAO Asia and Pacific: ICAO APAC) นี้เลย

    ในส่วนของการดำเนินการของประเทศเราตามที่สมาคมหรือองค์กรทางการบินระหว่างประเทศต่าง ๆ เรียกร้องมานั้น ถ้าเข้าไปดูข้อมูลในเวปไซต์ของหน่วยงานที่รับผิดชอบก็มีลักษณะค่อนข้างคล้ายคลึงกับแถลงการณ์ฉบับบนี้ ถ้าดูให้ลึกต่อไปถึงโครงสร้างองค์กรหรือความเป็นอิสระของการดำเนินการด้านการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินของประเทศ จากมุมมองส่วนตัวแล้วน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งถ้าเข้าไปดูรายงานการสอบสวนฯฉบับบกลางของอุบัติการณ์รุนแรงทางการบินบางรายงานที่จะยังรอผลสอบสวนฉบับสุดท้ายถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันแล้ว จะเกิดความรู้สึกโชคดีมากที่เราไม่ค่อยเดินทางทางอากาศเท่าใดนัก นี้ยังไม่นับรวมถึงโครงการตรวจสอบด้านมาตรฐานการบินพลเรือนประเทศไทยของ ICAO ที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปีนี้ (ซึ่งถูกเลื่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว) ว่าผลการตรวจสอบคงเดาไม่ยากว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะต้องเตรียมตัวถึง Significant Safety Concerns (SSC) หรือธงแดงอีกหรือไม่เพราะเท่าที่ทราบในหัวข้ออื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่ ICAO ตรวจสอบก็มีข้อที่น่ากังวลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยหลายหัวข้อ ยิ่งก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมีผู้เสียชีวิตยกลำในประเทศเรามาแล้วยิ่งน่ากังวลใหญ่ เรื่องบางเรื่อง ICAO เขามีข้อมูลแล้วไม่ใช่เขาจะไม่รู้ อยู่ที่ว่าหน่วยงานที่กำกับดูแลจะจัดการแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้ที่กังวลว่า ICAO จะสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือมีข้อจำกัดบางประการหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นผลกระทบด้านความน่าเชื่อถือขององค์กรแห่งนี้ก็จะมีไม่น้อยและจะเสื่อมถอยไปในที่สุด ตามหลักอธิปจยตา "เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น"

    ข้อมูลอ้างอิง
    1. https://www.ifalpa.org/publications/library/publication-of-final-reports--4144
    2. https://www.iata.org/en/pressroom/2023-releases/2023-06-05-07/
    EP 6 นี้ขอแลกเปลี่ยนและนำเสนอมุมมองปรากฏการณ์การรวมตัวกันขององค์กรและสมาคมทางการบินระหว่างประเทศจากทั่วโลกที่ได้ออกประกาศเป็นหนังสือเรียกร้องให้รัฐภาคีประเทศต่าง ๆ ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ( International Civil Aviation Organization: ICAO) ปฏิบัติตามมาตรฐานข้อกำหนดตามภาคผนวกที่ 13 แห่งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO Annex 13 - Aircraft Accident and Incident Investigation) โดยขอให้รัฐหรือประเทศต่าง ๆ เร่งดำเนินการสอบสวนและนำเสนอรายงานผลการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์รุนแรงของอากาศยานที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของตนที่ยังค้างคาหรือยังไม่มีรายงานผลการสอบสวนฉบับสุดท้าย (Final Investigation Report) ออกมาหรือมีเพียงแค่รายงานเบื้องต้น (Preliminary Report) หรือรายงานฉบับบกลาง (Interim Report) เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบินตามหน่วยงานต่าง ๆที่เกี่ยวข้องได้รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางการบินที่เกิดขึ้นรวมทั้งแนวทางหรือมาตรการป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์ทำนองเดิมเกิดซ้ำอีก สำหรับองค์กรและสมาคมทางการบินระหว่างประเทศที่รวมตัวกันออกแถลงการณ์ร่วมกันในครั้งนี้ได้แก่ 1. Airport Council International, Europe (ACI Europe), 2. European Cockpit Association (ECA), 3. Flight Safety Foundation (FSF), 4. International Air Transport Association (IATA), 5. The International Coordinating Council of Aerospace Industries Association (ICCAIA), 6. International Federation of Air Line Pilots’ Associations (IFALPA) และ 7. International Federation of Air Traffic Controllers’ Associations (IFATCA) โดยก่อนหน้านี้ทาง IATA เองได้ออกหนังสือประกาศเรื่องทำนองเดียวกันนี้เรียกร้องให้รัฐภาคีสมาชิกของ ICAO เร่งรัดให้มีการดำเนินการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุหรืออากาศยานอุบัติการณรุนแรงและให้รีบเผยแพร่รายงานออกมาครั้งหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ 5 มิ.ย. 2566 (ดูภาพเอกสารตามที่แนบมา) แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีความคืบหน้าอะไรที่ชัดเจนนัก ทั้งนี้คงไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักสำหรับการออกแถลงการณ์ร่วมในครั้งนี้เพราะถ้าเราสังเกตุดูดีดีจะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันมีเหตุการณ์อุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงของอากาศยานจากทั่วโลกเกิดขึ้นซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนที่ถี่มาก ทั้งนี้เมื่อเทียบข้อมูลสถิติที่ระบุอยู่ในเอกสารฉบับนี้จะพบว่าจำนวนการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงของอากาศยานกับจำนวนรายงานผลการสอบสวนฯที่จะรายงานมาพร้อมกับข้อมูลปัจจัยที่เป็นสาเหตุและมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดซ้ำอีกเพื่อไว้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินได้มีแนวทางป้องกันนั้นมีน้อยมาก ยกตัวอย่างบางส่วนของตัวเลขสถิติตามข้อมูลรายงานด้านความปลอดภัยประจำปี ระหว่างปี 2018 ถึง 2023 จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.67 ข้อมูลอุบัติเหตุที่ IATA บันทึกไว้ในจำนวนอุบัติเหตุ 268 รายการมีรายงานผลการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุฉบับสุดท้าย 140 รายการ (52%) ในขณะที่อีก 128 รายการยังไม่มีผลรายงานการสอบสวนอุบัติเหตุอากาศยานฉบับสุดท้ายออกมา คิดเป็น 48% เนื้อหาในเอกสารแถลงการณ์ฉบับนี้ยังได้ระบุรายละเอียดถึงขนาดที่ว่ารัฐบางรัฐไม่ได้มีการสอบสวนเหตุการณ์อุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงเลยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มา บางรัฐออกเพียงรายงานเบื้องต้นหรือรายงานฉบับกลางเพียงเท่านั้นซึ่งน่าจะไม่มีประโยชน์เท่าใดนักที่ผู้ที่มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมการบินจะนำไปใช้ หนำซ้ำรัฐบางรัฐออกรายงานฉบับกลางเพื่อจะให้เป็นข้อมูลเสมือนหนึ่งเป็นรายงานฉบับสุดท้ายและจะไม่ดำเนินการอะไรต่อเลย เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้อุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์รุนแรงในรูปแบบเดิมก็สามารถเกิดขึ้นได้อีก ทั้งนี้ในมาตรฐานตาม ICAO Annex 13 นั้นรายงานผลการสอบสวนฉบับสุดท้ายควรออกมาโดยเร็วที่สุดหรือภายใน 12 เดือนนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ ซึ่งตามข้อมูลใน พรบ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้เขียนยังไม่เห็นถ้อยคำกฎหมายที่ชัดเจนที่ระบุรายละเอียดตามข้อความตามที่ ICAO Annex 13 กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดรูปแบบรายงานเบื้องต้นผลการสอบสวนอุบัติเหตุของอากากาศยานหรืออุบัติการณ์รุนแรง รายงานฉบับกลางฯ และรายงานฉบับสุดท้ายฯหรือข้อกำหนดเรื่องระยะเวลาที่ควรต้องระบุไว้สำหรับการออกรายงานว่าจะต้องออกภายในระยะเวลาเท่าใดหรือกี่เดือน เท่าที่ทราบจะมีก็เพียงข้อกำหนดที่ระบุอยู่ในมาตรฐานคู่มือการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบเท่านั้นซึ่งรัฐควรต้องระบุอยู่ในกฎหมายของตนตามวัตถุประสงค์ของการออกข้อกำหนดมาตรฐานใน Annex ต่าง ๆ ของ ICAO (อันนี้ถ้าข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงไปแล้วต้องขออภัยเป็นอย่างสูงหรือใครมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันสามารถแชร์ได้นะครับ) สำหรับประกาศหรือหนังสือแถลงการณ์ฉบับนี้ นัยสำคัญในเรื่องนี้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นการสื่อสารโดยตรงหรือโดยอ้อมไปยังองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ว่าองค์กรแห่งนี้ได้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหนด้านการกำกับดูแลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยการบินพลเรือนระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆที่เป็นรัฐภาคีเพราะเมื่อกลางปี 2566 IATA เองก็ได้ออกประกาศเรียกร้องมาแล้วตามที่กล่าวไว้ข้างต้น มาครั้งนี้มีการรวมตัวกันของสมาคมหรือองค์กรทางการบินระหว่างประเทศหลายองค์กร ทาง ICAO จะสามารถนิ่งเฉยเสียงเรียกร้องอยู่ได้โดยจะไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมที่เป็นที่น่าพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการบินได้หรือไม่ สำหรับมุมมองของผู้เขียนเองมองว่าการดำเนินงานของ ICAO ระยะหลังรู้สึกกังวลความมีประสิทธิภาพขององค์กรแห่งนี้เป็นอย่างมากโดยดูจากข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ/อุบัติการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งรายงานการจัดการข้อบกพร่องทางกายภาพของสนามบินหรือการจัดการด้านอื่น ๆ และการดำเนินการตามมาตรฐานของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ที่บางรายการมีลำดับความเร่งด่วนที่มีผลต่อความปลอดภัยสูงแต่ก็สามารถคงอยู่มาได้มากว่า 15 ปีแล้วโดยที่ไม่มีอะไรที่การันตีได้เลยว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยกับข้อบกพร่องนั้นที่อยู่ในรายงานของ ICAO ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ICAO Asia and Pacific: ICAO APAC) นี้เลย ในส่วนของการดำเนินการของประเทศเราตามที่สมาคมหรือองค์กรทางการบินระหว่างประเทศต่าง ๆ เรียกร้องมานั้น ถ้าเข้าไปดูข้อมูลในเวปไซต์ของหน่วยงานที่รับผิดชอบก็มีลักษณะค่อนข้างคล้ายคลึงกับแถลงการณ์ฉบับบนี้ ถ้าดูให้ลึกต่อไปถึงโครงสร้างองค์กรหรือความเป็นอิสระของการดำเนินการด้านการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินของประเทศ จากมุมมองส่วนตัวแล้วน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งถ้าเข้าไปดูรายงานการสอบสวนฯฉบับบกลางของอุบัติการณ์รุนแรงทางการบินบางรายงานที่จะยังรอผลสอบสวนฉบับสุดท้ายถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันแล้ว จะเกิดความรู้สึกโชคดีมากที่เราไม่ค่อยเดินทางทางอากาศเท่าใดนัก นี้ยังไม่นับรวมถึงโครงการตรวจสอบด้านมาตรฐานการบินพลเรือนประเทศไทยของ ICAO ที่จะมีขึ้นในช่วงกลางปีนี้ (ซึ่งถูกเลื่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว) ว่าผลการตรวจสอบคงเดาไม่ยากว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะต้องเตรียมตัวถึง Significant Safety Concerns (SSC) หรือธงแดงอีกหรือไม่เพราะเท่าที่ทราบในหัวข้ออื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่ ICAO ตรวจสอบก็มีข้อที่น่ากังวลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยหลายหัวข้อ ยิ่งก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมีผู้เสียชีวิตยกลำในประเทศเรามาแล้วยิ่งน่ากังวลใหญ่ เรื่องบางเรื่อง ICAO เขามีข้อมูลแล้วไม่ใช่เขาจะไม่รู้ อยู่ที่ว่าหน่วยงานที่กำกับดูแลจะจัดการแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้ที่กังวลว่า ICAO จะสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือมีข้อจำกัดบางประการหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นผลกระทบด้านความน่าเชื่อถือขององค์กรแห่งนี้ก็จะมีไม่น้อยและจะเสื่อมถอยไปในที่สุด ตามหลักอธิปจยตา "เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น" ข้อมูลอ้างอิง 1. https://www.ifalpa.org/publications/library/publication-of-final-reports--4144 2. https://www.iata.org/en/pressroom/2023-releases/2023-06-05-07/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทองพุ่งทุบสถิติสะท้อนการล่มสลายเงินดอลล่าร์และสกุลเงินทั่วโลก : คนเคาะข่าว 11-02-68
    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์
    #คนเคาะข่าว
    ทองพุ่งทุบสถิติสะท้อนการล่มสลายเงินดอลล่าร์และสกุลเงินทั่วโลก : คนเคาะข่าว 11-02-68 : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • อน่างที่เคยเขียน ผู้เขียน ศึกษาเอง จากตำราต่างประเทศส่วนใหญ่ .และจากการเก็บสถิติมาตลอดหลายสิบปี ..ย้อนรำลึกถึงคนรอบตัว..เอาเลขมาดู และเทียบเคียง..ก็เป็นตามนั้น...ผู้เขียนเองไม่ได้เชื่อ อ.ใด ตำราไหนทั้งสิ้น...เพราะไม่รู้ว่าอันใด..จริง..มาจากเหตุผลที่บอก และเห็นย่อยด้วย อวดอ้าวตนเป็นผู้รู้...สร้างความร่ำรวยกับความเขื่อสารพัด ..คุณบองนึกภาพ ถ้าคุณรู้เรื่องใดแบบ spacialist เลย..แบ้วคนมาพบ่ามเรื่องนี้น คุณฟังออกไหม? ...ผมก็เช่นกัน..
    อน่างที่เคยเขียน ผู้เขียน ศึกษาเอง จากตำราต่างประเทศส่วนใหญ่ .และจากการเก็บสถิติมาตลอดหลายสิบปี ..ย้อนรำลึกถึงคนรอบตัว..เอาเลขมาดู และเทียบเคียง..ก็เป็นตามนั้น...ผู้เขียนเองไม่ได้เชื่อ อ.ใด ตำราไหนทั้งสิ้น...เพราะไม่รู้ว่าอันใด..จริง..มาจากเหตุผลที่บอก และเห็นย่อยด้วย อวดอ้าวตนเป็นผู้รู้...สร้างความร่ำรวยกับความเขื่อสารพัด ..คุณบองนึกภาพ ถ้าคุณรู้เรื่องใดแบบ spacialist เลย..แบ้วคนมาพบ่ามเรื่องนี้น คุณฟังออกไหม? ...ผมก็เช่นกัน..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥 ถ้าเราเข้าใจหลักฟิสิกส์..ทุกๆอย่างในจักรวาล..มีพลังงาน..คำว่ามีพลังงานให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีแรงกระทำต่อสิ่งอื่น...
    ...เรื่องตัวเลข และสัญลักษณ์ ถูกใช้มาหลายพันปี...ก่อนมีศาสนา เสียอีก...ย้อนไปก่อนยุค อิยิปต์ โรมัน เสียอีก ตัวเลข แหละสัญลักษณ์แทนค่าดวงดาวต่างๆ..ที่มีลักษณะแตกต่างกัน..ต่อมาตัวเลข แหละสัญละกษณ์ถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่เขานับถือ ..ลองนึกตามสัญลักษณ์ต่างๆ ของอียิปต์ หรือชาวอินคา.สิ..
    ...ผู้เขียนศึกษามานาน..เรื่องพลังงาน ที่ไม่ใช่ความเขื่อ...ที่เคยเขียนเรื่องทำนายนิสัยคนตามเลขวันเกิด....ของชาวญี่ปุ่น...ทำไมมันตรง..มันไม่ใช่ดูดวง..มันคือการเก็บสถิติ.(ดูจาก reference ท้ายเล่ม สำรวจจากคนหลายหมื่น)..เพราะตัวเลขให้พลังงานแบบนั้น.....
    ....บางคนบอกก้อนหินละ มีพลังงานไหม..ตอบว่า มี ..แค่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถขี้ชัดได้..เอาที่ชี้ชัดคือ หินควอทซ์ ..ที่เอาทำวงจรให้พลังงานนาฬิกาควอทซ์นั่นไง... (แต่ต้องมีอุปกรณ์ร่วมนะให้เกิดพลังงาน) ..หินลาพิส (สีน้ำเงิน) ..ในอารยธรรมอียิปต์ มีโบราณวัตถุหลายชิ้น มีหินนี้เป็นส่วนประกอบ......
    ..แล้วพระเก๊ละ มีพลังงานไหม? ตอบว่า มี ..คือ น้ำหนัก .ที่ส่งผ่านสู่สิ่งอื่น...พลังงานแบบอื่นคงไม่ต้องพูดถึง..☺️
    💥 ถ้าเราเข้าใจหลักฟิสิกส์..ทุกๆอย่างในจักรวาล..มีพลังงาน..คำว่ามีพลังงานให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีแรงกระทำต่อสิ่งอื่น... ...เรื่องตัวเลข และสัญลักษณ์ ถูกใช้มาหลายพันปี...ก่อนมีศาสนา เสียอีก...ย้อนไปก่อนยุค อิยิปต์ โรมัน เสียอีก ตัวเลข แหละสัญลักษณ์แทนค่าดวงดาวต่างๆ..ที่มีลักษณะแตกต่างกัน..ต่อมาตัวเลข แหละสัญละกษณ์ถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่เขานับถือ ..ลองนึกตามสัญลักษณ์ต่างๆ ของอียิปต์ หรือชาวอินคา.สิ.. ...ผู้เขียนศึกษามานาน..เรื่องพลังงาน ที่ไม่ใช่ความเขื่อ...ที่เคยเขียนเรื่องทำนายนิสัยคนตามเลขวันเกิด....ของชาวญี่ปุ่น...ทำไมมันตรง..มันไม่ใช่ดูดวง..มันคือการเก็บสถิติ.(ดูจาก reference ท้ายเล่ม สำรวจจากคนหลายหมื่น)..เพราะตัวเลขให้พลังงานแบบนั้น..... ....บางคนบอกก้อนหินละ มีพลังงานไหม..ตอบว่า มี ..แค่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถขี้ชัดได้..เอาที่ชี้ชัดคือ หินควอทซ์ ..ที่เอาทำวงจรให้พลังงานนาฬิกาควอทซ์นั่นไง... (แต่ต้องมีอุปกรณ์ร่วมนะให้เกิดพลังงาน) ..หินลาพิส (สีน้ำเงิน) ..ในอารยธรรมอียิปต์ มีโบราณวัตถุหลายชิ้น มีหินนี้เป็นส่วนประกอบ...... ..แล้วพระเก๊ละ มีพลังงานไหม? ตอบว่า มี ..คือ น้ำหนัก .ที่ส่งผ่านสู่สิ่งอื่น...พลังงานแบบอื่นคงไม่ต้องพูดถึง..☺️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณเชื่อเรื่อง กรรม ไหม? ...มีคำถามนึง ไม่ได้บูลลี่ ผู้พิการแต่อย่างใด...ทำไมผู้พิการส่วนใหญ่..เกิดในครอบครัวยากจน...? มองในแง่ ฐานะ ก็เข้าใจได้ คือ อาจไม่มีเงินบำรุงร่างกาย หรือตรวจสอบ หรือพบแพทย์เป็นระยะ...คำอ้างนี้ฟังขึ้นไหม..ถามว่า แล้วคนยุคพ่อแม่เราละ...บ้านนอกบ้านนา คลอดหมอตำแย...ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พิการนี่.....
    ....ถามว่าที่เกิดจากครอบครัวคนรวยมีไหม..ที่พิการ..ตอบว่า มี แต่น้อยมากๆ...
    ...ดังนั้น ความเชื่อ + สถิติ ที่อ้างอิงข้างต้น...มันไปด้วยกันได้...ส่วนตัวจึงเชื่อว่า ..นี่คือ กรรม...ที่ให้ผล.
    คุณเชื่อเรื่อง กรรม ไหม? ...มีคำถามนึง ไม่ได้บูลลี่ ผู้พิการแต่อย่างใด...ทำไมผู้พิการส่วนใหญ่..เกิดในครอบครัวยากจน...? มองในแง่ ฐานะ ก็เข้าใจได้ คือ อาจไม่มีเงินบำรุงร่างกาย หรือตรวจสอบ หรือพบแพทย์เป็นระยะ...คำอ้างนี้ฟังขึ้นไหม..ถามว่า แล้วคนยุคพ่อแม่เราละ...บ้านนอกบ้านนา คลอดหมอตำแย...ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พิการนี่..... ....ถามว่าที่เกิดจากครอบครัวคนรวยมีไหม..ที่พิการ..ตอบว่า มี แต่น้อยมากๆ... ...ดังนั้น ความเชื่อ + สถิติ ที่อ้างอิงข้างต้น...มันไปด้วยกันได้...ส่วนตัวจึงเชื่อว่า ..นี่คือ กรรม...ที่ให้ผล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทองคำ

    สภาทองคำโลก: ดีมานด์พุ่งทำสถิติ จากแรงซื้อตุนจากธนาคารกลางทั่วโลก ปีนี้จะเดินหน้าปรับตัวสูงขึ้น มีการซื้อทองเกิน 1 พันตัน/ปี 3 ปีต่อเนื่อง ตุรกิ (75 ตัน) อินเดีย
    ทองอังกฤษ เทรดที่ราคาต่ำกว่าตลาด ~$5/ออนซ์ เนื่องจากมีการเทขาย กังวลเรื่องภาษี ต้องการย้ายการถือครองคำไปสหรัฐเนื่องจากมีราคาสูงกว่า การส่งมอบทองคำแท่งที่ล่าช้าของ BoE ราคาค่าเช่าพื้นที่ gold vault สูงขึ้น BoE ระบุ กำลังติดตามปัญหาและแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งที่เป็นคอขวด

    ราคาทองคำ มีโอกาสไปต่อ ดีมานด์ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยยังมี และเป็นดีมานด์ที่มาจากหลายทาง เช่น ธนาคารกลาง นักลงทุน ความต้องการกระจายความเสี่ยงของการถือสินทรัพย์ ให้เป้าหมายราคาที่ $3020/ออนซ์



    ทองคำ สภาทองคำโลก: ดีมานด์พุ่งทำสถิติ จากแรงซื้อตุนจากธนาคารกลางทั่วโลก ปีนี้จะเดินหน้าปรับตัวสูงขึ้น มีการซื้อทองเกิน 1 พันตัน/ปี 3 ปีต่อเนื่อง ตุรกิ (75 ตัน) อินเดีย ทองอังกฤษ เทรดที่ราคาต่ำกว่าตลาด ~$5/ออนซ์ เนื่องจากมีการเทขาย กังวลเรื่องภาษี ต้องการย้ายการถือครองคำไปสหรัฐเนื่องจากมีราคาสูงกว่า การส่งมอบทองคำแท่งที่ล่าช้าของ BoE ราคาค่าเช่าพื้นที่ gold vault สูงขึ้น BoE ระบุ กำลังติดตามปัญหาและแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งที่เป็นคอขวด ราคาทองคำ มีโอกาสไปต่อ ดีมานด์ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยยังมี และเป็นดีมานด์ที่มาจากหลายทาง เช่น ธนาคารกลาง นักลงทุน ความต้องการกระจายความเสี่ยงของการถือสินทรัพย์ ให้เป้าหมายราคาที่ $3020/ออนซ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่าผลกระทบจากความสนใจของตลาดต่อ AI ได้ส่งผลให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์เติบโตสูงขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 รายได้จากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นถึง 18.1% จากปี 2023 รวมเป็นมูลค่าถึง 626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้คาดว่ารายได้ในปี 2025 อาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยชิป AI และตัวเร่งการประมวลผลที่ออกแบบมาเฉพาะได้สร้างส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้

    George Brocklehurst, รองประธานนักวิเคราะห์จาก Gartner กล่าวว่าชิป GPU และโปรเซสเซอร์ AI ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ และการ์ดเร่งการประมวลผล เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เติบโตในปี 2024 ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการ AI แบบกำเนิดและงานที่ต้องการประมวลผลในศูนย์ข้อมูลได้ทำให้ผลิตภัณฑ์ชิปในศูนย์ข้อมูลกลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    รายได้จากชิปที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 112 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 แม้ว่าจะมีความกังวลจากบางฝ่ายว่าอาจเกิดฟองสบู่ AI ขึ้น แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการเพิ่มขึ้นของ AI ได้ทำให้ Samsung กลายเป็นผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีรายได้รวมถึง 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Intel กลายเป็นที่สองด้วยรายได้ 49.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

    Nvidia ก็ทำได้ดีเช่นกัน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 84% รวมเป็น 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีรายได้เป็นอันดับสามของโลกเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการชิปตัวเร่งการประมวลผลและการ์ด GeForce RTX ที่มีราคาสูง

    ทั้งนี้ เก้าจากสิบบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำได้ทำสถิติรายได้สูงสุดในปี 2024 โดย SK Hynix ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำจากเกาหลีมีการเติบโตสูงสุดถึง 86% รวมเป็นรายได้ 42.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหน่วยความจำมีการขยายตัวอย่างมากถึง 71.8% ในปี 2024

    จากการเติบโตนี้ เราเห็นได้ชัดว่า AI เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในปี 2025

    https://www.techspot.com/news/106637-ai-boom-fuels-semiconductor-growth-2025-set-more.html
    มีรายงานว่าผลกระทบจากความสนใจของตลาดต่อ AI ได้ส่งผลให้ตลาดเซมิคอนดักเตอร์เติบโตสูงขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 รายได้จากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นถึง 18.1% จากปี 2023 รวมเป็นมูลค่าถึง 626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้คาดว่ารายได้ในปี 2025 อาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยชิป AI และตัวเร่งการประมวลผลที่ออกแบบมาเฉพาะได้สร้างส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้ George Brocklehurst, รองประธานนักวิเคราะห์จาก Gartner กล่าวว่าชิป GPU และโปรเซสเซอร์ AI ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ และการ์ดเร่งการประมวลผล เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เติบโตในปี 2024 ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการ AI แบบกำเนิดและงานที่ต้องการประมวลผลในศูนย์ข้อมูลได้ทำให้ผลิตภัณฑ์ชิปในศูนย์ข้อมูลกลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รายได้จากชิปที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 112 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 แม้ว่าจะมีความกังวลจากบางฝ่ายว่าอาจเกิดฟองสบู่ AI ขึ้น แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการเพิ่มขึ้นของ AI ได้ทำให้ Samsung กลายเป็นผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีรายได้รวมถึง 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Intel กลายเป็นที่สองด้วยรายได้ 49.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา Nvidia ก็ทำได้ดีเช่นกัน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 84% รวมเป็น 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีรายได้เป็นอันดับสามของโลกเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการชิปตัวเร่งการประมวลผลและการ์ด GeForce RTX ที่มีราคาสูง ทั้งนี้ เก้าจากสิบบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำได้ทำสถิติรายได้สูงสุดในปี 2024 โดย SK Hynix ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำจากเกาหลีมีการเติบโตสูงสุดถึง 86% รวมเป็นรายได้ 42.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหน่วยความจำมีการขยายตัวอย่างมากถึง 71.8% ในปี 2024 จากการเติบโตนี้ เราเห็นได้ชัดว่า AI เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในปี 2025 https://www.techspot.com/news/106637-ai-boom-fuels-semiconductor-growth-2025-set-more.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI boom fuels semiconductor growth to $626 billion, with 2025 set for more gains
    Gartner recently reported that semiconductor industry revenue in 2024 reached $626 billion, marking an 18.1 percent increase from 2023. Preliminary projections suggest revenue will continue to grow,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศญี่ปุ่นกำลังเข้มงวดการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปท่ามกลางความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การควบคุมการส่งออกนี้รวมถึงการห้ามส่งออกโปรเซสเซอร์ที่ทันสมัย, เครื่องทำความเย็นแบบเย็นยิ่งยวดสำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม, และเครื่องลิโทกราฟี เพื่อป้องกันการใช้ในวัตถุประสงค์ทางการทหาร นโยบายใหม่จะเริ่มมีผลในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทที่จะขายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสูงต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อน

    นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้เพิ่มบริษัทจีน 42 แห่งลงในบัญชีดำ ซึ่งจีนได้วิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวนี้อย่างรุนแรง เตือนถึงความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้งทางการค้า

    แม้จะมีการจำกัดการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทญี่ปุ่นยังคงได้รับประโยชน์จากความต้องการอุปกรณ์ผลิตชิปที่สูงจากบริษัทจีน ยอดขายของอุปกรณ์เหล่านี้ในปีที่ผ่านมาได้ทำลายสถิติสูงสุด

    จากการพิจารณาข่าวนี้เห็นได้ว่า ญี่ปุ่นกำลังดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่สำคัญเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ทางทหาร และตอบสนองต่อความกังวลของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/japan-tightens-chipmaking-export-controls-amid-us-china-tech-tensions
    ประเทศญี่ปุ่นกำลังเข้มงวดการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปท่ามกลางความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน การควบคุมการส่งออกนี้รวมถึงการห้ามส่งออกโปรเซสเซอร์ที่ทันสมัย, เครื่องทำความเย็นแบบเย็นยิ่งยวดสำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม, และเครื่องลิโทกราฟี เพื่อป้องกันการใช้ในวัตถุประสงค์ทางการทหาร นโยบายใหม่จะเริ่มมีผลในเดือนพฤษภาคม 2025 บริษัทที่จะขายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสูงต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อน นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้เพิ่มบริษัทจีน 42 แห่งลงในบัญชีดำ ซึ่งจีนได้วิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวนี้อย่างรุนแรง เตือนถึงความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้งทางการค้า แม้จะมีการจำกัดการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทญี่ปุ่นยังคงได้รับประโยชน์จากความต้องการอุปกรณ์ผลิตชิปที่สูงจากบริษัทจีน ยอดขายของอุปกรณ์เหล่านี้ในปีที่ผ่านมาได้ทำลายสถิติสูงสุด จากการพิจารณาข่าวนี้เห็นได้ว่า ญี่ปุ่นกำลังดำเนินการอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่สำคัญเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ทางทหาร และตอบสนองต่อความกังวลของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/japan-tightens-chipmaking-export-controls-amid-us-china-tech-tensions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • พลังงานของตัวเลข ..ให้ผลได้จริง มีหลักพิสูจน์ทาง สถิติ มากมาย มาหลายร้อยปี....เลขบ้าน เลขบัตร ปชช. เลขวันเดือนปีเกิด เราแก้ไม่ได้ ...และสิ่งเหล่านี้อยู่ติดตัวเราตลอด...ผู้คนจึงหา สิ่งที่แก้ได้..มาติดตัว เพื่อข่วยส่งเสริม และลดพลังงาน ทั้งดี และไม่ดี ..เช่น เบอร์โทรศัพท์ ..เลขทะเบียนรถ....เป็นต้น....คนรวยเขาคิดและเขื่อแบบนั้น....ถ้าคุณจะเสียเงินแบบ วัตถุมงคลที่สร้าง เมื่อวาน จากใครก็ตามที...ใช้แล้วรวย วิเศษสารพัด.. อยากให้ท่านเขื่อศาสตร์แห่งตัวเลข .ที่มีสถิติจริงๆดีกว่า..
    พลังงานของตัวเลข ..ให้ผลได้จริง มีหลักพิสูจน์ทาง สถิติ มากมาย มาหลายร้อยปี....เลขบ้าน เลขบัตร ปชช. เลขวันเดือนปีเกิด เราแก้ไม่ได้ ...และสิ่งเหล่านี้อยู่ติดตัวเราตลอด...ผู้คนจึงหา สิ่งที่แก้ได้..มาติดตัว เพื่อข่วยส่งเสริม และลดพลังงาน ทั้งดี และไม่ดี ..เช่น เบอร์โทรศัพท์ ..เลขทะเบียนรถ....เป็นต้น....คนรวยเขาคิดและเขื่อแบบนั้น....ถ้าคุณจะเสียเงินแบบ วัตถุมงคลที่สร้าง เมื่อวาน จากใครก็ตามที...ใช้แล้วรวย วิเศษสารพัด.. อยากให้ท่านเขื่อศาสตร์แห่งตัวเลข .ที่มีสถิติจริงๆดีกว่า..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวของบริษัทในฝันของคนส่วนใหญ่ครับ !!

    Google ได้เสนอแผน "การออกจากงานโดยสมัครใจ" พร้อมกับเงินชดเชยให้กับพนักงานที่ทำงานในทีม Pixel และ Android ที่เพิ่งรวมกัน โดยแผนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานที่ไม่สอดคล้องกับภารกิจใหม่ของทีมที่รวมกันสามารถออกจากงานได้อย่างสงบสุข

    Rick Osterloh รองประธานอาวุโสของ Google ได้ประกาศในบันทึกภายในว่าแผนการแยกตัวโดยสมัครใจนี้ใช้กับพนักงานในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และมีเป้าหมายที่พนักงานที่ทำงานในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์ Pixel, Android, Chrome OS, Google Photos, อุปกรณ์สมาร์ทโฮม Nest และสายผลิตภัณฑ์ Fitbit

    การเสนอแผนการแยกตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Google ได้รวมกลุ่มฮาร์ดแวร์ Pixel กับทีมซอฟต์แวร์ Android เพื่อสร้างหน่วยงาน Platforms & Devices ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยพนักงานที่ไม่สอดคล้องกับภารกิจใหม่หรือมีปัญหาในการทำงานแบบไฮบริดหลังการปรับโครงสร้างสามารถขอรับเงินชดเชยและออกจากงานได้

    การลดต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ CFO คนใหม่ของ Google, Anat Ashkenazi ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยเธอได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ "เพิ่มประสิทธิภาพ" ในการดำเนินงานของ Alphabet

    แม้ว่ายอดขายสมาร์ทโฟน Pixel จะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างยังคงเป็นแนวโน้มที่สำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    https://www.techspot.com/news/106592-google-offers-voluntary-exit-plan-severance-pay-pixel.html
    ข่าวของบริษัทในฝันของคนส่วนใหญ่ครับ !! Google ได้เสนอแผน "การออกจากงานโดยสมัครใจ" พร้อมกับเงินชดเชยให้กับพนักงานที่ทำงานในทีม Pixel และ Android ที่เพิ่งรวมกัน โดยแผนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานที่ไม่สอดคล้องกับภารกิจใหม่ของทีมที่รวมกันสามารถออกจากงานได้อย่างสงบสุข Rick Osterloh รองประธานอาวุโสของ Google ได้ประกาศในบันทึกภายในว่าแผนการแยกตัวโดยสมัครใจนี้ใช้กับพนักงานในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และมีเป้าหมายที่พนักงานที่ทำงานในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์ Pixel, Android, Chrome OS, Google Photos, อุปกรณ์สมาร์ทโฮม Nest และสายผลิตภัณฑ์ Fitbit การเสนอแผนการแยกตัวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Google ได้รวมกลุ่มฮาร์ดแวร์ Pixel กับทีมซอฟต์แวร์ Android เพื่อสร้างหน่วยงาน Platforms & Devices ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยพนักงานที่ไม่สอดคล้องกับภารกิจใหม่หรือมีปัญหาในการทำงานแบบไฮบริดหลังการปรับโครงสร้างสามารถขอรับเงินชดเชยและออกจากงานได้ การลดต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ CFO คนใหม่ของ Google, Anat Ashkenazi ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยเธอได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ "เพิ่มประสิทธิภาพ" ในการดำเนินงานของ Alphabet แม้ว่ายอดขายสมาร์ทโฟน Pixel จะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 แต่การลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างยังคงเป็นแนวโน้มที่สำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี https://www.techspot.com/news/106592-google-offers-voluntary-exit-plan-severance-pay-pixel.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google offers "voluntary exit" plan with severance pay for Pixel and Android employees
    In an internal memo, Google SVP of Platforms & Devices Rick Osterloh announced that the voluntary separation program applies only to US-based staff. It's aimed at those...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราคาทองทะลุสถิติโลก
    ราคาทองทะลุสถิติโลก
    Like
    Wow
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • โกโก้ป๋า

    วัตถุประสงค์

    เพื่อปรับปรุงหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาหารจี๊ด ๆ ในหลอดเลือดและถูกบอกว่า...โรคนี้รักษาไม่หายต้องปล่อยไปตามยถากรรม แต่หลังจากให้ผู้ที่มีอาการไปหาซื้อกินเองจนอาการหายดี จึงคิดทำขึ้นเนื่องจากเห็นว่าที่ขายกันอยู่ราคาสูงเกินไปและมีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้และฟลาโวนอลต่ำไป

    ส่วนผสมที่ตั้งใจจะคัดสรรมาให้

    ผงดาร์กโกโก้แท้ เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากเบลเยี่ยม ปราศจากการแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ไม่แต่งสีหรือปรุงรสชาติ ไม่ใส่ครีมเทียม ไม่ใส่นม

    ไบโอฟลาโวนอยจากแคนาดา ที่ตั้งใจจะใส่ลงไป และดีที่สุดในโลก เท่าที่จะหาได้

    ขนาดบรรจุ ซองละ 10 กรัม มี 30 ซองใน 1กล่อง ราคา 480 บาท

    BELIEVE THE TRUTH

    ตอน...โกโก้และหลอดเลือดที่เสียหายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    Flavanols ในโกโก้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพของหลอดเลือดช่วยลดความเครียดในหัวใจ

    AMERICAN COLLEGE OF CARDIOLOGY

    หลังจากที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลอดเลือดที่ชำรุดทรุดโทรมก็ลับมาทำงานได้ตามปกติ
    นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการปรับปรุงนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับการออกกำลังกายและการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่จะคิดว่า “ไม่ใช่แค่การคิดนอกกะลาแต่ภายในถ้วยโกโก้”เพื่อเป็นแนวทางในการปัดเป่าโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

    “การรักษาด้วยยาเพียงลำพังไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้” กล่าวโดย นายแพทย์Malte Kelmศาสตราจารย์และประธานด้านโรคหัวใจ วิทยาปอด(pulmonology)และเวชศาสตร์หลอดเลือดที่โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย Aachen เยอรมนี "แพทย์ควรจะมองหาการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อช่วยในการจัดการกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน"

    ในการศึกษา Dr.Kelm และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้โกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการสังเกตผลของโกโก้ที่มีปริมาณ flavanols ในหลอดเลือดแตกต่างกันในผู้ป่วย 10 รายที่มีเบาหวานชนิดที่ 2

    การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการบริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นระยะเวลานานเทียบกับโกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการสุ่มเลือกให้ดื่มโกโก้ที่มี flavolsols 321 มิลลิกรัมและ 25 มิลลิกรัมต่อถ้วย 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 วัน ทั้งสองประเภทของโกโก้มีรสชาติและดูเหมือนกันแม้จะมีความแตกต่างของปริมาณฟลาโวนอล
    การทำงานของเส้นเลือดถูกทดสอบในวันแรกก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ และอีกสองชั่วโมงหลังจากดื่มเครื่องดื่ม การทดสอบทำซ้ำก่อนและหลังการบริโภคโกโก้ในวันที่ 8 และวันที่ 30 ของการศึกษา

    เพื่อการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นของโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูง...นักวิจัยได้ใช้การทดสอบที่เรียกว่า "flow-mediated dilation" (FMD) ซึ่งประเมินความสามารถของหลอดเลือดในการขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเลือด ออกซิเจนและสารอาหาร การทดสอบ FMD เกี่ยวข้องกับการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนโดยใช้อัลตราซาวนด์ ในคนที่มีสุขภาพดีเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงหรือ endothelium จะตรวจจับการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นและส่งสัญญาณทางเคมีเพื่อบอกให้หลอดเลือดแดงขยายตัว ในห้องปฏิบัติการของดร. เคลม์ การตอบสนองในคนที่มีสุขภาพดีในวัยเดียวกันที่เข้าร่วมในการศึกษามีการขยายตัวของเส้นผ่าศูนย์กลางหลอดเลือดเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์
    นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความทรุดโทรมของหลอดเลือดแดงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ หลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สองชั่วโมงหลังจากดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงการตอบสนองต่อ FMD เท่ากับ 4.8 เปอร์เซ็นต์

    เมื่อเวลาผ่านไปผลการวิจัยเหล่านั้นก็ดีขึ้น หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มโกโก้ที่มีระดับฟลาโวนอลสูง 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 วัน อัตราการตอบสนองของ FMD เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มต้นและ5.7 เปอร์เซ็นต์ที่ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานโกโก้

    ในวันที่ 30 การตอบสนองต่อ FMD ดีขึ้นเป็น 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่ระดับพื้นฐานและ 5.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากกินโกโก้...และการปรับปรุงทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติ

    ในหมู่ผู้ป่วยที่บริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลต่ำ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตอบสนองของ FMD หลังการกินโกโก้ในวันที่ 8 และ 30
    การตรวจวัด FMD สามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อ FMD ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาส
    หลอดเลือดหัวใจและแม้แต่ความตายจากโรคหัวใจ

    Dr.Kelm คาดการณ์ว่าฟลาโวนอลในโกโก้ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อ FMD โดยการเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นสัญญาณทางเคมีที่บอกให้หลอดเลือดแดงผ่อนคลายและขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายของหลอดเลือดแดงจะทำให้ความเครียดของหัวใจและหลอดเลือดลดลง

    การใช้โกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลสูงในการศึกษานี้ไม่ได้มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Dr.Kelm เตือนว่า การศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องกินโกโก้อย่างบ้าคลั่ง... แต่การที่มีฟลาโวนอลในอาหารถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถหาแนวทางในการกินช็อกโกแลตเพื่อให้มีสุขภาพดีได้ แต่การศึกษานี้ไม่เกี่ยวกับช็อกโกแลตและไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เป็นเบาหวานกินช็อกโกแลตให้มากขึ้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่อะไรที่เป็นหัวใจที่แท้จริงของ การอภิปรายเรื่อง cocoa flavanols : สารประกอบธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโกโก้ เขากล่าวว่า "ในขณะที่การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็น ผลของเราแสดงให้เห็นว่า flavanols ในอาหารอาจมีผลกระทบที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน "

    Umberto Campia, MD ผู้ร่วมเขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ในฉบับเดียวกันของ JACC กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นประชากรที่เหมาะสำหรับศึกษาผลของ flavanols ต่อการทำงานของเส้นเลือดแดงเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อ endothelium และเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
    “การบำบัดใดๆที่ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้นย่อมสำคัญเสมอ” Dr. Campia นักวิจัยจากสถาบันวิจัย MedStar ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวว่า "เยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของร่างกาย" เขากล่าว "มันรักษาสุขภาพของหลอดเลือดแดงและป้องกันการอุดตันที่อาจทำให้เกิดหัวใจวาย และอัมพาตย์"

    "การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญและกระตุ้นความคิด" เขากล่าว "ตอนนี้เรามีหลักฐานมากมายว่า flavanols ในโกโก้มีผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดแดง นี่เป็นรากฐานที่เราต้องการสำหรับการทำการศึกษาในอนาคตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งจะพิจารณาถึงผลของ flavanols ใสโกโก้ ไม่ใช่แค่การทำงานของ endothelial เท่านั้นแต่ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดร้ายแรงอื่น ๆ "

    American College of Cardiology เป็นผู้นำในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและการป้องกันโรคที่ดีที่สุด วิทยาลัยเป็นองค์กรด้านการแพทย์ที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสมาชิก 34,000 คน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมสามารถดูได้ทางออนไลน์ที่ www.acc.org

    และเพิ่งระลึกไว้ว่า

    เมื่อหลอดเลือดดี แปลว่าท่อลำเลียงสารอาหารและอากาศดี อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะดีไปด้วย

    Cr. Santi Manadee
    โกโก้ป๋า วัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาหารจี๊ด ๆ ในหลอดเลือดและถูกบอกว่า...โรคนี้รักษาไม่หายต้องปล่อยไปตามยถากรรม แต่หลังจากให้ผู้ที่มีอาการไปหาซื้อกินเองจนอาการหายดี จึงคิดทำขึ้นเนื่องจากเห็นว่าที่ขายกันอยู่ราคาสูงเกินไปและมีเปอร์เซ็นต์ของโกโก้และฟลาโวนอลต่ำไป ส่วนผสมที่ตั้งใจจะคัดสรรมาให้ ผงดาร์กโกโก้แท้ เกรดพรีเมี่ยมนำเข้าจากเบลเยี่ยม ปราศจากการแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ไม่แต่งสีหรือปรุงรสชาติ ไม่ใส่ครีมเทียม ไม่ใส่นม ไบโอฟลาโวนอยจากแคนาดา ที่ตั้งใจจะใส่ลงไป และดีที่สุดในโลก เท่าที่จะหาได้ ขนาดบรรจุ ซองละ 10 กรัม มี 30 ซองใน 1กล่อง ราคา 480 บาท BELIEVE THE TRUTH ตอน...โกโก้และหลอดเลือดที่เสียหายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน Flavanols ในโกโก้ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพของหลอดเลือดช่วยลดความเครียดในหัวใจ AMERICAN COLLEGE OF CARDIOLOGY หลังจากที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลอดเลือดที่ชำรุดทรุดโทรมก็ลับมาทำงานได้ตามปกติ นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการปรับปรุงนี้มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับการออกกำลังกายและการใช้ยารักษาโรคเบาหวานที่พบบ่อย การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าอาจถึงเวลาแล้วที่จะคิดว่า “ไม่ใช่แค่การคิดนอกกะลาแต่ภายในถ้วยโกโก้”เพื่อเป็นแนวทางในการปัดเป่าโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคเบาหวาน “การรักษาด้วยยาเพียงลำพังไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้” กล่าวโดย นายแพทย์Malte Kelmศาสตราจารย์และประธานด้านโรคหัวใจ วิทยาปอด(pulmonology)และเวชศาสตร์หลอดเลือดที่โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย Aachen เยอรมนี "แพทย์ควรจะมองหาการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อช่วยในการจัดการกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน" ในการศึกษา Dr.Kelm และเพื่อนร่วมงานของเขาได้ทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้โกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเพื่อปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดด้วยการสังเกตผลของโกโก้ที่มีปริมาณ flavanols ในหลอดเลือดแตกต่างกันในผู้ป่วย 10 รายที่มีเบาหวานชนิดที่ 2 การศึกษาได้ทดสอบประสิทธิภาพของการบริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงเป็นระยะเวลานานเทียบกับโกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการสุ่มเลือกให้ดื่มโกโก้ที่มี flavolsols 321 มิลลิกรัมและ 25 มิลลิกรัมต่อถ้วย 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 วัน ทั้งสองประเภทของโกโก้มีรสชาติและดูเหมือนกันแม้จะมีความแตกต่างของปริมาณฟลาโวนอล การทำงานของเส้นเลือดถูกทดสอบในวันแรกก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ และอีกสองชั่วโมงหลังจากดื่มเครื่องดื่ม การทดสอบทำซ้ำก่อนและหลังการบริโภคโกโก้ในวันที่ 8 และวันที่ 30 ของการศึกษา เพื่อการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นของโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูง...นักวิจัยได้ใช้การทดสอบที่เรียกว่า "flow-mediated dilation" (FMD) ซึ่งประเมินความสามารถของหลอดเลือดในการขยายตัว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเลือด ออกซิเจนและสารอาหาร การทดสอบ FMD เกี่ยวข้องกับการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนโดยใช้อัลตราซาวนด์ ในคนที่มีสุขภาพดีเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือดแดงหรือ endothelium จะตรวจจับการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้นและส่งสัญญาณทางเคมีเพื่อบอกให้หลอดเลือดแดงขยายตัว ในห้องปฏิบัติการของดร. เคลม์ การตอบสนองในคนที่มีสุขภาพดีในวัยเดียวกันที่เข้าร่วมในการศึกษามีการขยายตัวของเส้นผ่าศูนย์กลางหลอดเลือดเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์ นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีความทรุดโทรมของหลอดเลือดแดงอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้นของการศึกษา ก่อนที่ผู้ป่วยจะบริโภคโกโก้ใด ๆ หลอดเลือดแดงที่แขนด้านบนจะขยายตัวเพียง 3.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น สองชั่วโมงหลังจากดื่มโกโก้ที่มีฟลาโวนอลสูงการตอบสนองต่อ FMD เท่ากับ 4.8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไปผลการวิจัยเหล่านั้นก็ดีขึ้น หลังจากที่ผู้ป่วยดื่มโกโก้ที่มีระดับฟลาโวนอลสูง 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 วัน อัตราการตอบสนองของ FMD เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มต้นและ5.7 เปอร์เซ็นต์ที่ 2 ชั่วโมงหลังจากรับประทานโกโก้ ในวันที่ 30 การตอบสนองต่อ FMD ดีขึ้นเป็น 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่ระดับพื้นฐานและ 5.8 เปอร์เซ็นต์หลังจากกินโกโก้...และการปรับปรุงทั้งหมดมีนัยสำคัญทางสถิติ ในหมู่ผู้ป่วยที่บริโภคโกโก้ที่มีฟลาโวนอลต่ำ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการตอบสนองของ FMD หลังการกินโกโก้ในวันที่ 8 และ 30 การตรวจวัด FMD สามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของบุคคล การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อ FMD ไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องผ่าตัดบายพาส หลอดเลือดหัวใจและแม้แต่ความตายจากโรคหัวใจ Dr.Kelm คาดการณ์ว่าฟลาโวนอลในโกโก้ช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อ FMD โดยการเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ซึ่งเป็นสัญญาณทางเคมีที่บอกให้หลอดเลือดแดงผ่อนคลายและขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อการไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น การผ่อนคลายของหลอดเลือดแดงจะทำให้ความเครียดของหัวใจและหลอดเลือดลดลง การใช้โกโก้ที่มีปริมาณฟลาโวนอลสูงในการศึกษานี้ไม่ได้มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต Dr.Kelm เตือนว่า การศึกษานี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต้องกินโกโก้อย่างบ้าคลั่ง... แต่การที่มีฟลาโวนอลในอาหารถือว่าเป็นวิธีการป้องกันโรคหัวใจ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถหาแนวทางในการกินช็อกโกแลตเพื่อให้มีสุขภาพดีได้ แต่การศึกษานี้ไม่เกี่ยวกับช็อกโกแลตและไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ที่เป็นเบาหวานกินช็อกโกแลตให้มากขึ้น การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่อะไรที่เป็นหัวใจที่แท้จริงของ การอภิปรายเรื่อง cocoa flavanols : สารประกอบธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโกโก้ เขากล่าวว่า "ในขณะที่การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็น ผลของเราแสดงให้เห็นว่า flavanols ในอาหารอาจมีผลกระทบที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสุขภาพในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน " Umberto Campia, MD ผู้ร่วมเขียนบทวิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาใหม่ในฉบับเดียวกันของ JACC กล่าวว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นประชากรที่เหมาะสำหรับศึกษาผลของ flavanols ต่อการทำงานของเส้นเลือดแดงเนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อ endothelium และเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด “การบำบัดใดๆที่ช่วยให้หลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้นย่อมสำคัญเสมอ” Dr. Campia นักวิจัยจากสถาบันวิจัย MedStar ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวว่า "เยื่อบุผนังหลอดเลือดเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของร่างกาย" เขากล่าว "มันรักษาสุขภาพของหลอดเลือดแดงและป้องกันการอุดตันที่อาจทำให้เกิดหัวใจวาย และอัมพาตย์" "การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญและกระตุ้นความคิด" เขากล่าว "ตอนนี้เรามีหลักฐานมากมายว่า flavanols ในโกโก้มีผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดแดง นี่เป็นรากฐานที่เราต้องการสำหรับการทำการศึกษาในอนาคตที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งจะพิจารณาถึงผลของ flavanols ใสโกโก้ ไม่ใช่แค่การทำงานของ endothelial เท่านั้นแต่ยังรวมถึง ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดร้ายแรงอื่น ๆ " American College of Cardiology เป็นผู้นำในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดและการป้องกันโรคที่ดีที่สุด วิทยาลัยเป็นองค์กรด้านการแพทย์ที่ไม่หวังผลกำไรที่มีสมาชิก 34,000 คน ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาคมสามารถดูได้ทางออนไลน์ที่ www.acc.org และเพิ่งระลึกไว้ว่า เมื่อหลอดเลือดดี แปลว่าท่อลำเลียงสารอาหารและอากาศดี อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะดีไปด้วย Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 716 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts