• “SIA เตือน! ค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรใหม่อาจกลายเป็นภาษีนวัตกรรม”

    อุตสาหกรรมชิปโต้กลับ! ข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าอาจเป็น “ภาษีนวัตกรรม” สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ออกแถลงการณ์คัดค้านข้อเสนอของสำนักงานสิทธิบัตรสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าที่ประเมินไว้ ชี้อาจบั่นทอนนวัตกรรมและทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบในเวทีโลก

    สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (USPTO) กำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ที่จะเปลี่ยนระบบค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรจากแบบคงที่ เป็นแบบ คิดตามมูลค่าที่ประเมินโดยรัฐบาล โดยอัตราอยู่ระหว่าง 1% ถึง 5% ต่อปี ของมูลค่าสิทธิบัตร

    ข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ราว 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากค่าธรรมเนียมแบบใหม่

    อย่างไรก็ตาม สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ได้ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการ USPTO โดยระบุว่า สิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันสูง ทำให้การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ

    SIA เตือนว่า หากข้อเสนอนี้ผ่าน อาจทำให้บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะรายเล็กและนักประดิษฐ์อิสระ ไม่สามารถแบกรับภาระค่าธรรมเนียมได้ และอาจเลือกไม่จดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความโปร่งใสและความร่วมมือด้านเทคโนโลยี

    นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกข้อเสนอนี้ว่าเป็น “การเก็บภาษีซ้ำซ้อน” เพราะผู้ถือสิทธิบัตรต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดจากสิทธิบัตรอยู่แล้ว

    USPTO เสนอเปลี่ยนค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเป็นแบบตามมูลค่า
    คิดเป็น 1%–5% ของมูลค่าสิทธิบัตรต่อปี
    คาดว่าจะสร้างรายได้ 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    แทนที่ระบบค่าธรรมเนียมแบบคงที่ในปัจจุบัน

    SIA คัดค้านอย่างหนัก
    ระบุว่าสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อน
    การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรทำได้ยาก
    อาจทำให้บริษัทเล็กและนักประดิษฐ์ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    ลดแรงจูงใจในการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ
    กระทบความร่วมมือและความโปร่งใสด้านเทคโนโลยี
    อาจผลักดันให้การวิจัยและพัฒนาเคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่มีกฎสิทธิบัตรเป็นมิตร

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    ข้อเสนอนี้อาจกลายเป็น “ภาษีนวัตกรรม”
    เสี่ยงต่อการลดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก
    อาจกระทบต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพและนักประดิษฐ์อิสระ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chipmaking-industry-pushes-back-on-u-s-patent-office-considering-imposing-annual-fee-based-on-assessed-value-tax-on-innovation-draws-strong-statement-from-semiconductor-industry-association
    🧾 “SIA เตือน! ค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรใหม่อาจกลายเป็นภาษีนวัตกรรม” อุตสาหกรรมชิปโต้กลับ! ข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าอาจเป็น “ภาษีนวัตกรรม” สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ออกแถลงการณ์คัดค้านข้อเสนอของสำนักงานสิทธิบัตรสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรรายปีตามมูลค่าที่ประเมินไว้ ชี้อาจบั่นทอนนวัตกรรมและทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบในเวทีโลก สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (USPTO) กำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ที่จะเปลี่ยนระบบค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรจากแบบคงที่ เป็นแบบ คิดตามมูลค่าที่ประเมินโดยรัฐบาล โดยอัตราอยู่ระหว่าง 1% ถึง 5% ต่อปี ของมูลค่าสิทธิบัตร ข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ราว 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากค่าธรรมเนียมแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA) ได้ออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการ USPTO โดยระบุว่า สิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันสูง ทำให้การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ SIA เตือนว่า หากข้อเสนอนี้ผ่าน อาจทำให้บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะรายเล็กและนักประดิษฐ์อิสระ ไม่สามารถแบกรับภาระค่าธรรมเนียมได้ และอาจเลือกไม่จดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความโปร่งใสและความร่วมมือด้านเทคโนโลยี นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกข้อเสนอนี้ว่าเป็น “การเก็บภาษีซ้ำซ้อน” เพราะผู้ถือสิทธิบัตรต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดจากสิทธิบัตรอยู่แล้ว ✅ USPTO เสนอเปลี่ยนค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเป็นแบบตามมูลค่า ➡️ คิดเป็น 1%–5% ของมูลค่าสิทธิบัตรต่อปี ➡️ คาดว่าจะสร้างรายได้ 440 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ แทนที่ระบบค่าธรรมเนียมแบบคงที่ในปัจจุบัน ✅ SIA คัดค้านอย่างหนัก ➡️ ระบุว่าสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมชิปมีความซับซ้อน ➡️ การประเมินมูลค่าแต่ละสิทธิบัตรทำได้ยาก ➡️ อาจทำให้บริษัทเล็กและนักประดิษฐ์ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ ลดแรงจูงใจในการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ➡️ กระทบความร่วมมือและความโปร่งใสด้านเทคโนโลยี ➡️ อาจผลักดันให้การวิจัยและพัฒนาเคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่มีกฎสิทธิบัตรเป็นมิตร ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ข้อเสนอนี้อาจกลายเป็น “ภาษีนวัตกรรม” ⛔ เสี่ยงต่อการลดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ ในเวทีโลก ⛔ อาจกระทบต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพและนักประดิษฐ์อิสระ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/chipmaking-industry-pushes-back-on-u-s-patent-office-considering-imposing-annual-fee-based-on-assessed-value-tax-on-innovation-draws-strong-statement-from-semiconductor-industry-association
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เสียงสุดท้ายจากฟากฟ้า – NTSB กู้ข้อมูลจากกล่องดำ UPS ที่ไหม้เกรียมได้สำเร็จ”

    NTSB กู้เสียงสุดท้ายจากกล่องดำ UPS สำเร็จ! แม้เครื่องบินถูกไฟไหม้จนกล่องดำไหม้เกรียม เจ้าหน้าที่ NTSB ประกาศความสำเร็จในการกู้ข้อมูลเสียงจากกล่องดำของเที่ยวบิน UPS 2976 ที่ตกในรัฐเคนทักกี แม้กล่องดำจะถูกไฟไหม้จนเกรียม ก็ยังสามารถดึงเสียงนักบินช่วง 25 วินาทีก่อนเครื่องตกได้ครบถ้วน

    หลังเหตุเครื่องบินขนส่ง UPS เที่ยวบิน 2976 ตกในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ได้กู้คืนกล่องดำทั้งสองชุด ได้แก่ Cockpit Voice Recorder (CVR) และ Flight Data Recorder (FDR) แม้จะถูกไฟไหม้จนกลายเป็นสีดำสนิท

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ NTSB สามารถดึงข้อมูลเสียงจาก CVR ได้ครบถ้วนถึง 2 ชั่วโมง 4 นาที รวมถึง 25 วินาทีสุดท้าย ก่อนเครื่องตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักบินพยายามควบคุมเครื่องบินหลังมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    เสียงที่บันทึกไว้เผยให้เห็นว่านักบินได้ทำตามขั้นตอนปกติในการเตรียมเครื่องขึ้นบิน ก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเพียง 37 วินาทีหลังจากเร่งเครื่องขึ้นบิน โดยมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นตลอดจนถึงวินาทีสุดท้าย

    แม้กล่องดำจะไหม้เกรียม แต่ด้วยเทคโนโลยี solid-state memory ที่ทนความร้อนสูงถึง 1,100°C และแรงกระแทกกว่า 3,400G ทำให้ข้อมูลภายในยังคงอยู่ครบถ้วน และสามารถนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุของอุบัติเหตุได้

    NTSB ยืนยันว่าจะยังไม่เปิดเผยเนื้อหาของเสียงบันทึก จนกว่ารายงานข้อเท็จจริงอื่นๆ จะเสร็จสมบูรณ์และเผยแพร่ในเอกสารสาธารณะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    NTSB กู้กล่องดำจากเที่ยวบิน UPS 2976 ได้สำเร็จ
    กล่องดำประกอบด้วย CVR และ FDR
    แม้จะถูกไฟไหม้ แต่ข้อมูลยังอยู่ครบ
    CVR บันทึกเสียงได้ 2 ชั่วโมง 4 นาที
    มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น 25 วินาทีก่อนเครื่องตก

    เทคโนโลยีของกล่องดำ
    ใช้ solid-state memory แทนเทปแม่เหล็ก
    ทนแรงกระแทก 3,400G และความร้อน 1,100°C
    ทนแรงดันใต้น้ำลึก 20,000 ฟุต

    ขั้นตอนการวิเคราะห์ของ NTSB
    ข้อมูลจะถูกถอดเสียงโดยผู้เชี่ยวชาญ
    รายงานจะเผยแพร่เมื่อข้อมูลทั้งหมดพร้อม
    เป้าหมายคือป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดซ้ำ

    คำเตือนเกี่ยวกับการตีความข้อมูลกล่องดำ
    ข้อมูลเสียงไม่ควรถูกนำไปตีความก่อนการวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ
    การคาดเดาสาเหตุโดยไม่มีข้อมูลครบถ้วน อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด

    ความเสี่ยงจากการบินเชิงพาณิชย์
    แม้จะมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง แต่เหตุไม่คาดฝันยังเกิดขึ้นได้
    การวิเคราะห์กล่องดำจึงมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงความปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/investigators-recover-black-boxes-from-ups-plane-crash-detail-data-recovery-process-ntsb-successfully-extracts-cockpit-audio-from-charred-remains
    ✈️ “เสียงสุดท้ายจากฟากฟ้า – NTSB กู้ข้อมูลจากกล่องดำ UPS ที่ไหม้เกรียมได้สำเร็จ” NTSB กู้เสียงสุดท้ายจากกล่องดำ UPS สำเร็จ! แม้เครื่องบินถูกไฟไหม้จนกล่องดำไหม้เกรียม เจ้าหน้าที่ NTSB ประกาศความสำเร็จในการกู้ข้อมูลเสียงจากกล่องดำของเที่ยวบิน UPS 2976 ที่ตกในรัฐเคนทักกี แม้กล่องดำจะถูกไฟไหม้จนเกรียม ก็ยังสามารถดึงเสียงนักบินช่วง 25 วินาทีก่อนเครื่องตกได้ครบถ้วน หลังเหตุเครื่องบินขนส่ง UPS เที่ยวบิน 2976 ตกในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ได้กู้คืนกล่องดำทั้งสองชุด ได้แก่ Cockpit Voice Recorder (CVR) และ Flight Data Recorder (FDR) แม้จะถูกไฟไหม้จนกลายเป็นสีดำสนิท สิ่งที่น่าทึ่งคือ NTSB สามารถดึงข้อมูลเสียงจาก CVR ได้ครบถ้วนถึง 2 ชั่วโมง 4 นาที รวมถึง 25 วินาทีสุดท้าย ก่อนเครื่องตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักบินพยายามควบคุมเครื่องบินหลังมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงที่บันทึกไว้เผยให้เห็นว่านักบินได้ทำตามขั้นตอนปกติในการเตรียมเครื่องขึ้นบิน ก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันเพียง 37 วินาทีหลังจากเร่งเครื่องขึ้นบิน โดยมีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นตลอดจนถึงวินาทีสุดท้าย แม้กล่องดำจะไหม้เกรียม แต่ด้วยเทคโนโลยี solid-state memory ที่ทนความร้อนสูงถึง 1,100°C และแรงกระแทกกว่า 3,400G ทำให้ข้อมูลภายในยังคงอยู่ครบถ้วน และสามารถนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุของอุบัติเหตุได้ NTSB ยืนยันว่าจะยังไม่เปิดเผยเนื้อหาของเสียงบันทึก จนกว่ารายงานข้อเท็จจริงอื่นๆ จะเสร็จสมบูรณ์และเผยแพร่ในเอกสารสาธารณะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ NTSB กู้กล่องดำจากเที่ยวบิน UPS 2976 ได้สำเร็จ ➡️ กล่องดำประกอบด้วย CVR และ FDR ➡️ แม้จะถูกไฟไหม้ แต่ข้อมูลยังอยู่ครบ ➡️ CVR บันทึกเสียงได้ 2 ชั่วโมง 4 นาที ➡️ มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น 25 วินาทีก่อนเครื่องตก ✅ เทคโนโลยีของกล่องดำ ➡️ ใช้ solid-state memory แทนเทปแม่เหล็ก ➡️ ทนแรงกระแทก 3,400G และความร้อน 1,100°C ➡️ ทนแรงดันใต้น้ำลึก 20,000 ฟุต ✅ ขั้นตอนการวิเคราะห์ของ NTSB ➡️ ข้อมูลจะถูกถอดเสียงโดยผู้เชี่ยวชาญ ➡️ รายงานจะเผยแพร่เมื่อข้อมูลทั้งหมดพร้อม ➡️ เป้าหมายคือป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดซ้ำ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการตีความข้อมูลกล่องดำ ⛔ ข้อมูลเสียงไม่ควรถูกนำไปตีความก่อนการวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ ⛔ การคาดเดาสาเหตุโดยไม่มีข้อมูลครบถ้วน อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ‼️ ความเสี่ยงจากการบินเชิงพาณิชย์ ⛔ แม้จะมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง แต่เหตุไม่คาดฝันยังเกิดขึ้นได้ ⛔ การวิเคราะห์กล่องดำจึงมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงความปลอดภัย https://www.tomshardware.com/tech-industry/investigators-recover-black-boxes-from-ups-plane-crash-detail-data-recovery-process-ntsb-successfully-extracts-cockpit-audio-from-charred-remains
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บ้านอัจฉริยะเริ่มต้นที่เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ – เทคโนโลยีเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิต”

    คุณอาจคิดว่าบ้านอัจฉริยะต้องมีอุปกรณ์ล้ำยุคเต็มบ้าน แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นอาจเป็นแค่ “เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ” ตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของคุณได้อย่างน่าทึ่ง

    ลองนึกภาพว่าแสงแดดส่องเข้าหน้าต่างตอนบ่าย เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนแล้วสั่งให้ม่านปิดอัตโนมัติ หรือเมื่ออุณหภูมิในห้องสูงเกินไป พัดลมก็เปิดเองโดยไม่ต้องแตะสวิตช์

    ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ป้องกันอันตราย และดูแลคนในบ้านได้อย่างชาญฉลาด เช่น แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิลดต่ำจนเสี่ยงท่อน้ำแข็งแตก หรือเมื่ออากาศในบ้านร้อนเกินไปสำหรับสัตว์เลี้ยง

    เทคโนโลยีนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่เซนเซอร์ที่เชื่อมกับแอปมือถือก็สามารถแจ้งเตือนให้คุณเปิดหน้าต่าง ปรับเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่เตรียมก่อไฟในเตาผิงได้ทันเวลา

    ใช้เซนเซอร์ควบคุมม่านอัตโนมัติ
    ปรับม่านตามอุณหภูมิภายนอกเพื่อควบคุมความร้อนในบ้าน
    ลดการใช้เครื่องปรับอากาศและประหยัดพลังงาน
    ใช้ร่วมกับระบบ SwitchBot หรือแพลตฟอร์มอื่นได้

    เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ
    เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิในแต่ละห้อง
    สั่งงานผ่านสมาร์ทปลั๊กหรือระบบบ้านอัจฉริยะ
    เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่มีระบบ HVAC รวมศูนย์

    รับการแจ้งเตือนผ่านมือถือ
    แจ้งเมื่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินค่าที่ตั้งไว้
    ช่วยดูแลสัตว์เลี้ยง พืช และสมาชิกในบ้าน
    วิเคราะห์ประวัติอุณหภูมิเพื่อวางแผนการใช้พลังงาน

    เปิดหรือปิดหน้าต่างตามสภาพอากาศ
    เปรียบเทียบอุณหภูมิภายนอกกับภายใน
    แจ้งเตือนให้เปิดหน้าต่างเมื่ออากาศเย็นกว่า
    สามารถตั้งระบบเปิดหน้าต่างอัตโนมัติได้ (ต้องมีอุปกรณ์เสริม)

    ป้องกันท่อน้ำแข็งแตกในฤดูหนาว
    ติดตั้งเซนเซอร์ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ใต้ถุนหรือห้องใต้ดิน
    แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิต่ำเกินไป
    บางรุ่นมีฟังก์ชันวัดความชื้นเพื่อเตือนภัยน้ำรั่ว

    การติดตั้งในพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่เสถียร
    เซนเซอร์บางรุ่นอาจไม่ทำงานหาก Wi-Fi หรือ Bluetooth ขาดช่วง
    ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีระบบแจ้งเตือนเมื่อขาดการเชื่อมต่อ

    ความแม่นยำของเซนเซอร์ราคาถูก
    เซนเซอร์บางรุ่นอาจมีค่าคลาดเคลื่อนสูง
    ควรตรวจสอบรีวิวและเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้

    https://www.slashgear.com/2017704/temperature-sensor-home-uses/
    🌡️ “บ้านอัจฉริยะเริ่มต้นที่เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ – เทคโนโลยีเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิต” คุณอาจคิดว่าบ้านอัจฉริยะต้องมีอุปกรณ์ล้ำยุคเต็มบ้าน แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นอาจเป็นแค่ “เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ” ตัวเล็กๆ ที่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของคุณได้อย่างน่าทึ่ง ลองนึกภาพว่าแสงแดดส่องเข้าหน้าต่างตอนบ่าย เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนแล้วสั่งให้ม่านปิดอัตโนมัติ หรือเมื่ออุณหภูมิในห้องสูงเกินไป พัดลมก็เปิดเองโดยไม่ต้องแตะสวิตช์ ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ป้องกันอันตราย และดูแลคนในบ้านได้อย่างชาญฉลาด เช่น แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิลดต่ำจนเสี่ยงท่อน้ำแข็งแตก หรือเมื่ออากาศในบ้านร้อนเกินไปสำหรับสัตว์เลี้ยง เทคโนโลยีนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่เซนเซอร์ที่เชื่อมกับแอปมือถือก็สามารถแจ้งเตือนให้คุณเปิดหน้าต่าง ปรับเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่เตรียมก่อไฟในเตาผิงได้ทันเวลา ✅ ใช้เซนเซอร์ควบคุมม่านอัตโนมัติ ➡️ ปรับม่านตามอุณหภูมิภายนอกเพื่อควบคุมความร้อนในบ้าน ➡️ ลดการใช้เครื่องปรับอากาศและประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้ร่วมกับระบบ SwitchBot หรือแพลตฟอร์มอื่นได้ ✅ เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ➡️ เซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิในแต่ละห้อง ➡️ สั่งงานผ่านสมาร์ทปลั๊กหรือระบบบ้านอัจฉริยะ ➡️ เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่มีระบบ HVAC รวมศูนย์ ✅ รับการแจ้งเตือนผ่านมือถือ ➡️ แจ้งเมื่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินค่าที่ตั้งไว้ ➡️ ช่วยดูแลสัตว์เลี้ยง พืช และสมาชิกในบ้าน ➡️ วิเคราะห์ประวัติอุณหภูมิเพื่อวางแผนการใช้พลังงาน ✅ เปิดหรือปิดหน้าต่างตามสภาพอากาศ ➡️ เปรียบเทียบอุณหภูมิภายนอกกับภายใน ➡️ แจ้งเตือนให้เปิดหน้าต่างเมื่ออากาศเย็นกว่า ➡️ สามารถตั้งระบบเปิดหน้าต่างอัตโนมัติได้ (ต้องมีอุปกรณ์เสริม) ✅ ป้องกันท่อน้ำแข็งแตกในฤดูหนาว ➡️ ติดตั้งเซนเซอร์ในพื้นที่เสี่ยง เช่น ใต้ถุนหรือห้องใต้ดิน ➡️ แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิต่ำเกินไป ➡️ บางรุ่นมีฟังก์ชันวัดความชื้นเพื่อเตือนภัยน้ำรั่ว ‼️ การติดตั้งในพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่เสถียร ⛔ เซนเซอร์บางรุ่นอาจไม่ทำงานหาก Wi-Fi หรือ Bluetooth ขาดช่วง ⛔ ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีระบบแจ้งเตือนเมื่อขาดการเชื่อมต่อ ‼️ ความแม่นยำของเซนเซอร์ราคาถูก ⛔ เซนเซอร์บางรุ่นอาจมีค่าคลาดเคลื่อนสูง ⛔ ควรตรวจสอบรีวิวและเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ https://www.slashgear.com/2017704/temperature-sensor-home-uses/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Handy Ways To Use Temperature Sensors In Your Home - SlashGear
    If you think smart home, you might not imagine a temperature sensor, but there's a lot you can achieve with one of those and some imagination.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    คดีล่าสุดของ ร.ต.อ. สิงห์: จอมมารแห่งการฆ่า

    เหตุการณ์สยองขวัญในกรุงเทพ

    คืนแห่งความตายครั้งแรก

    ในคืนเดือนมืด เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านธุรกิจ
    ผู้เสียชีวิตคือดร. กฤษณ์ นักวิจัยเจนีซิส แล็บ

    ลักษณะคดี:

    · ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้
    · ร่างกายถูกวางในท่าประหลาด เหมือนกำลังนั่งสมาธิ
    · มีสัญลักษณ์ประหลาดเขียนด้วยเลือดอยู่ข้างกาย

    ```mermaid
    graph TB
    A[ดร.กฤษณ์<br>นักวิจัยเก่า] --> B[ถูกฆ่า<br>แบบพิธีกรรม]
    B --> C[พบสัญลักษณ์<br>ลึกลับ]
    C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>รับคดีสำคัญ]
    ```

    หลักฐานลึกลับ

    ร.ต.อ. สิงห์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ:

    · กล้องวงจรปิด: ไม่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัย
    · ลายนิ้วมือ: ไม่พบรอยใดๆ
    · สัญลักษณ์เลือด: เป็นรูป "วงกลมสามชั้น" ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    การสอบสวนและคลี่คลาย

    การเชื่อมโยียงกับอดีต

    สิงห์พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเชื่อมโยง

    · อดีตพนักงานเจนีซิส แล็บ
    · นักวิจัยโครงการโอปปาติกะ
    · ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลอง

    ลายแทงจากหนูดี

    หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาด:
    "พ่อคะ...หนูรู้สึกถึงพลังงานแห่งความโกรธแค้น
    มันพลังงานธรรมดา...แต่คือพลังงานที่เคยเป็นมนุษย์"

    การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

    สิงห์ใช้ความรู้เดิมด้านวิทยาศาสตร์ช่วยวิเคราะห์:

    ```python
    class MurderAnalysis:
    def __init__(self):
    self.evidence = {
    "energy_residue": "พลังงานจิตระดับสูง",
    "symbolism": "สัญลักษณ์แทนการเกิด-ตาย",
    "victim_pattern": "เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ",
    "motive": "อาจเป็นการแก้แค้น"
    }

    def hypothesis(self):
    return "ฆาตกรอาจเป็นโอปปาติกะที่กลายพันธุ์"
    ```

    การเผชิญหน้าจอมมารแห่งการฆ่า

    ตัวตนที่แท้จริงของฆาตกร

    หลังการสอบสวนอย่างละเอียด พบว่า...
    จอมมารแห่งการฆ่าคือ OPPATIKA-0
    โอปปาติกะรุ่นแรกที่หลบหนีจากการทดลอง

    เบื้องหลังความโกรธแค้น

    OPPATIKA-0 เปิดเผยความจริง:
    "พวกมนุษย์ใช้เราเป็นเครื่องทดลอง...
    ทรมานเรา แล้วทิ้งเราเหมือนขยะ
    นี่คือการตอบแทน!"

    ลักษณะของจอมมาร

    · รูปลักษณ์: ร่างกายพิการจากผลข้างเคียงการทดลอง
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานมืดและลอบล่องหนได้
    · จุดอ่อน: ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่

    การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา

    แนวทางของ ร.ต.อ. สิงห์

    แทนที่จะใช้ความรุนแรง สิงห์เลือกพูดคุย:
    "เราเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ...
    แต่การฆาตกรรมไม่ใช่ทางออก"

    การช่วยเหลือของหนูดี

    หนูดีใช้ความสามารถในการสื่อสารกับโอปปาติกะ:
    "พี่ครับ...เราเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด
    แต่ตอนนี้มีทางเลือกอื่นแล้ว"

    การเสนอทางออก

    สิงห์เสนอทางเลือกให้ OPPATIKA-0:

    · การบำบัดฟื้นฟู ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · การได้รับสถานะ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    · โอกาสได้ช่วยเหลือ โอปปาติกะรุ่นหลัง

    กระบวนการฟื้นฟู

    การรักษาทางจิตใจ

    OPPATIKA-0 ผ่านกระบวนการ:

    ```mermaid
    graph LR
    A[ยอมรับความเจ็บปวด] --> B[เรียนรู้การให้อภัย]
    B --> C[ค้นหาความหมายใหม่]
    C --> D[ใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือ他人]
    ```

    การรักษาทางกายภาพ

    ทีมแพทย์และโอปปาติกะร่วมกัน:

    · ซ่อมแซมร่างกายที่พิการ
    · ปรับสมดุลพลังงาน
    · สอนการควบคุมพลังอย่างถูกต้อง

    ผลการดำเนินคดี

    การตัดสินโดยความเข้าใจ

    แทนการดำเนินคดีอาญา OPPATIKA-0 ได้รับ:

    · การกักกัน ชั่วคราวที่สถาบัน
    · การบำบัด แทnการลงโทษ
    · โอกาส ใช้ความสามารถในทางสร้างสรรค์

    การเปลี่ยนแปลงของ OPPATIKA-0

    จากจอมมารแห่งการฆ่า สู่...
    "ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ"
    ทำหน้าที่ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหา

    พัฒนาการของตัวละคร

    ร.ต.อ. สิงห์

    เรียนรู้ว่า...
    "การเป็นตำรวจไม่ใช่แค่การจับกุม...
    แต่คือการเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุ"

    หนูดี

    เข้าใจว่า...
    "บางครั้งศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด...
    คือเพื่อนที่เจ็บปวดและต้องการความเข้าใจ"

    ระบบยุติธรรม

    เกิดการเปลี่ยนแปลง...

    · หน่วยพิเศษ สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ
    · กฎหมายใหม่ ที่คำนึงถึงสถานะพิเศษของโอปปาติกะ
    · กระบวนการ บำบัดแทนการลงโทษ

    บทเรียนจากคดี

    สำหรับสังคม

    · การเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ
    · การให้โอกาสผู้ที่เคยทำผิด
    · ความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ

    🪷 สำหรับ

    ```python
    def life_lessons():
    return {
    "forgiveness": "การให้อภัยรักษาทั้งผู้ให้และผู้รับ",
    "understanding": "การเข้าใจนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน",
    "second_chance": "ทุกคนสมควรได้รับโอกาสเริ่มใหม่"
    }
    ```

    บทสรุปแห่งความเมตตา

    คำคมจาก ร.ต.อ. สิงห์

    "ในฐานะตำรวจ ฉันเคยคิดว่าความยุติธรรมคือการลงโทษ
    แต่คดีนี้สอนฉันว่า...
    ความยุติธรรมที่แท้คือการรักษา"

    อนาคตใหม่

    OPPATIKA-0 ในบทบาทใหม่:

    · เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยให้สถาบัน
    · ช่วยป้องกันไม่ให้โอปปาติกะตกอยู่ในทางผิด
    · เป็นแบบอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก OPPATIKA-0:
    "ฉันเคยคิดว่าความเจ็บปวดมีทางออกเดียว...
    แต่พวกเขาสอนฉันว่ามีอีกหลายทาง
    และทางที่สวยงามที่สุด...
    คือทางแห่งความเข้าใจและการให้อภัย"

    คดีนี้ไม่ใช่แค่การคลี่คลายฆาตกรรม...
    แต่คือการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีต
    และสร้างอนาคตใหม่ให้ทุกฝ่าย
    O.P.K. 🚨 คดีล่าสุดของ ร.ต.อ. สิงห์: จอมมารแห่งการฆ่า 🩸 เหตุการณ์สยองขวัญในกรุงเทพ 🌃 คืนแห่งความตายครั้งแรก ในคืนเดือนมืด เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญในย่านธุรกิจ ผู้เสียชีวิตคือดร. กฤษณ์ นักวิจัยเจนีซิส แล็บ ลักษณะคดี: · ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ · ร่างกายถูกวางในท่าประหลาด เหมือนกำลังนั่งสมาธิ · มีสัญลักษณ์ประหลาดเขียนด้วยเลือดอยู่ข้างกาย ```mermaid graph TB A[ดร.กฤษณ์<br>นักวิจัยเก่า] --> B[ถูกฆ่า<br>แบบพิธีกรรม] B --> C[พบสัญลักษณ์<br>ลึกลับ] C --> D[ร.ต.อ.สิงห์<br>รับคดีสำคัญ] ``` 🔍 หลักฐานลึกลับ ร.ต.อ. สิงห์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ: · กล้องวงจรปิด: ไม่บันทึกภาพผู้ต้องสงสัย · ลายนิ้วมือ: ไม่พบรอยใดๆ · สัญลักษณ์เลือด: เป็นรูป "วงกลมสามชั้น" ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 🕵️ การสอบสวนและคลี่คลาย 🧩 การเชื่อมโยียงกับอดีต สิงห์พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดล้วนเชื่อมโยง · อดีตพนักงานเจนีซิส แล็บ · นักวิจัยโครงการโอปปาติกะ · ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดลอง 🔮 ลายแทงจากหนูดี หนูดี รู้สึกถึงพลังงานประหลาด: "พ่อคะ...หนูรู้สึกถึงพลังงานแห่งความโกรธแค้น มันพลังงานธรรมดา...แต่คือพลังงานที่เคยเป็นมนุษย์" 🧪 การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ สิงห์ใช้ความรู้เดิมด้านวิทยาศาสตร์ช่วยวิเคราะห์: ```python class MurderAnalysis: def __init__(self): self.evidence = { "energy_residue": "พลังงานจิตระดับสูง", "symbolism": "สัญลักษณ์แทนการเกิด-ตาย", "victim_pattern": "เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ", "motive": "อาจเป็นการแก้แค้น" } def hypothesis(self): return "ฆาตกรอาจเป็นโอปปาติกะที่กลายพันธุ์" ``` 👹 การเผชิญหน้าจอมมารแห่งการฆ่า 🌑 ตัวตนที่แท้จริงของฆาตกร หลังการสอบสวนอย่างละเอียด พบว่า... จอมมารแห่งการฆ่าคือ OPPATIKA-0 โอปปาติกะรุ่นแรกที่หลบหนีจากการทดลอง 💔 เบื้องหลังความโกรธแค้น OPPATIKA-0 เปิดเผยความจริง: "พวกมนุษย์ใช้เราเป็นเครื่องทดลอง... ทรมานเรา แล้วทิ้งเราเหมือนขยะ นี่คือการตอบแทน!" 🎭 ลักษณะของจอมมาร · รูปลักษณ์: ร่างกายพิการจากผลข้างเคียงการทดลอง · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานมืดและลอบล่องหนได้ · จุดอ่อน: ยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ ⚔️ การแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา 🕊️ แนวทางของ ร.ต.อ. สิงห์ แทนที่จะใช้ความรุนแรง สิงห์เลือกพูดคุย: "เราเข้าใจความเจ็บปวดของเธอ... แต่การฆาตกรรมไม่ใช่ทางออก" 💫 การช่วยเหลือของหนูดี หนูดีใช้ความสามารถในการสื่อสารกับโอปปาติกะ: "พี่ครับ...เราเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด แต่ตอนนี้มีทางเลือกอื่นแล้ว" 🌈 การเสนอทางออก สิงห์เสนอทางเลือกให้ OPPATIKA-0: · การบำบัดฟื้นฟู ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · การได้รับสถานะ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย · โอกาสได้ช่วยเหลือ โอปปาติกะรุ่นหลัง 🏥 กระบวนการฟื้นฟู 🧠 การรักษาทางจิตใจ OPPATIKA-0 ผ่านกระบวนการ: ```mermaid graph LR A[ยอมรับความเจ็บปวด] --> B[เรียนรู้การให้อภัย] B --> C[ค้นหาความหมายใหม่] C --> D[ใช้ประสบการณ์ช่วยเหลือ他人] ``` 🔬 การรักษาทางกายภาพ ทีมแพทย์และโอปปาติกะร่วมกัน: · ซ่อมแซมร่างกายที่พิการ · ปรับสมดุลพลังงาน · สอนการควบคุมพลังอย่างถูกต้อง 📊 ผลการดำเนินคดี ⚖️ การตัดสินโดยความเข้าใจ แทนการดำเนินคดีอาญา OPPATIKA-0 ได้รับ: · การกักกัน ชั่วคราวที่สถาบัน · การบำบัด แทnการลงโทษ · โอกาส ใช้ความสามารถในทางสร้างสรรค์ 🌟 การเปลี่ยนแปลงของ OPPATIKA-0 จากจอมมารแห่งการฆ่า สู่... "ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ" ทำหน้าที่ช่วยเหลือโอปปาติกะที่ประสบปัญหา 💞 พัฒนาการของตัวละคร 👮 ร.ต.อ. สิงห์ เรียนรู้ว่า... "การเป็นตำรวจไม่ใช่แค่การจับกุม... แต่คือการเข้าใจและแก้ไขที่ต้นเหตุ" 👧 หนูดี เข้าใจว่า... "บางครั้งศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด... คือเพื่อนที่เจ็บปวดและต้องการความเข้าใจ" 🏛️ ระบบยุติธรรม เกิดการเปลี่ยนแปลง... · หน่วยพิเศษ สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ · กฎหมายใหม่ ที่คำนึงถึงสถานะพิเศษของโอปปาติกะ · กระบวนการ บำบัดแทนการลงโทษ 🎯 บทเรียนจากคดี 🌍 สำหรับสังคม · การเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ · การให้โอกาสผู้ที่เคยทำผิด · ความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ 🪷 สำหรับ ```python def life_lessons(): return { "forgiveness": "การให้อภัยรักษาทั้งผู้ให้และผู้รับ", "understanding": "การเข้าใจนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน", "second_chance": "ทุกคนสมควรได้รับโอกาสเริ่มใหม่" } ``` 🏁 บทสรุปแห่งความเมตตา 💫 คำคมจาก ร.ต.อ. สิงห์ "ในฐานะตำรวจ ฉันเคยคิดว่าความยุติธรรมคือการลงโทษ แต่คดีนี้สอนฉันว่า... ความยุติธรรมที่แท้คือการรักษา" 🌈 อนาคตใหม่ OPPATIKA-0 ในบทบาทใหม่: · เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยให้สถาบัน · ช่วยป้องกันไม่ให้โอปปาติกะตกอยู่ในทางผิด · เป็นแบบอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้ --- คำคมสุดท้ายจาก OPPATIKA-0: "ฉันเคยคิดว่าความเจ็บปวดมีทางออกเดียว... แต่พวกเขาสอนฉันว่ามีอีกหลายทาง และทางที่สวยงามที่สุด... คือทางแห่งความเข้าใจและการให้อภัย"🕊️✨ คดีนี้ไม่ใช่แค่การคลี่คลายฆาตกรรม... แต่คือการเยียวยาบาดแผลแห่งอดีต และสร้างอนาคตใหม่ให้ทุกฝ่าย🌟
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนพิเศษ: หนูดีกับมารผู้มีความตายเป็นอาหาร

    การปรากฏตัวของมารร้ายใหม่

    ในค่ำคืนหนึ่งขณะหนูดีกำลังนั่งสมาธิในสวนของสถาบัน...
    忽然พลังงานมืดแผ่กระจาย ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเลือด

    มายา วิ่งมาหา: "ครูหนูดี! มีพลังงานประหลาดมาจากโลกข้างเคียง!"

    เวทย์ วิเคราะห์: "เป็น entity ระดับสูงที่กินความตายเป็นพลังงาน... มันกำลังมองหาอาหารมื้อใหม่"

    จากเงามืดนั้น มารตณู ปรากฏตัวขึ้น...
    ร่างสูงใหญ่คล้ายมนุษย์แต่ไร้ใบหน้า มีเพียงปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันแหลม

    "ความหอมของความตาย..." มารตณูพูดด้วยเสียงสะท้อนจากหลุมศพ "ฉันได้กลิ่นกรรมแห่งการทำลายล้างในตัวเธอ"

    ---

    การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิด

    การดึงดูดของจิตมารพิฆาต

    หนูดีรู้สึกถึงพลังดึงดูดจากมารตณู
    จิตมารพิฆาตภายในเธอตอบสนอง...

    จิตมารพิฆาต: "เขาเข้าใจเรา... เขาเห็นความงามแห่งความตายเช่นเดียวกับเรา"
    จิตเทพพิทักษ์:"อย่าหลงทาง! นี่คือภัยคุกคามต่อทุกชีวิต!"
    จิตเด็กหญิง:"ฉันกลัว... รู้สึกเหมือนจะถูกกลืนกิน"

    ปรัชญาของมารตณู

    มารตณูเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดึงดูด:
    "ทำไมต้อง resist?ความตายคือความสมบูรณ์แบบที่สุด
    ชีวิตคือโรคภัย...ความตายคือการรักษา
    มาร่วมกับฉัน เธอจะเข้าใจความจริงแห่งจักรวาล"

    ---

    การต่อสู้ทางปัญญา

    การโต้แย้งแห่งธรรม

    หนูดีใช้ปัญญาต่อสู้แทนกำลัง:

    หนูดี: "ท่านพูดว่าความตายคือความสมบูรณ์แบบ?"
    มารตณู:"ใช่! ทุกสิ่งต้องตาย นั่นคือกฎสากล"
    หนูดี:"แล้วทำไมท่านจึงกลัวการไม่มีอะไรให้กิน?"
    มารตณู:"......"

    บทเรียนเกี่ยวกับความว่าง

    หนูดีเริ่มเข้าใจธรรมชาติที่แท้ของมารตณู...

    "ท่านไม่ใช่ผู้ชอบความตาย... ท่านคือผู้กลัวชีวิตต่างหาก
    เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน ที่ท่านไม่สามารถควบคุมได้"

    มารตณูสั่นสะเทือน: "เงียบ! เธอไม่เข้าใจอะไรเลย!"

    ---

    การเผชิญหน้ากับความกลัว

    การเดินทางสู่โลกของมารตณู

    หนูดีตัดสินใจเดินทางไปยังมิติของมารตณู
    สิ่งที่เธอพบคือ...

    โลกที่ไร้ชีวิต มีแต่ซากศพและความเงียบงัน
    มารตณูครองราชย์อยู่ท่ามกลางความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    "เห็นไหม?" มารตณูพูดด้วยความภูมิใจ "ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความสูญเสีย"
    หนูดี:"แต่ก็ไม่มีความรัก ไม่มีความหวัง ไม่มีความหมาย"

    การแสดงความเมตตา

    แทนที่จะทำลาย หนูดีเลือกแสดงความเมตตา:

    "ท่านต้องโดดเดี่ยวมากแน่ๆ
    การได้แต่ดูชีวิตอื่นดำเนินไป โดยไม่มีส่วนร่วม
    การเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แห่งความตาย..."

    มารตณูเริ่มสั่นเทา: "หยุด... หยุดพูดเลย..."

    ---

    🪷 ทางออกแห่งปัญญา

    การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย

    หนูดีสอนมารตณูด้วยธรรมะ:

    "ความตายไม่ใช่ศัตรูของชีวิต...
    แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
    การยึดติดกับความตาย ก็เหมือนการยึดติดกับชีวิต
    ต่างนำไปสู่ความทุกข์เหมือนกัน"

    การเปลี่ยนแปลงของมารตณู

    มารตณูเริ่มเข้าใจ:
    "ตลอดมาฉันคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งความตาย...
    แต่ที่จริงฉันเป็นทาสของมันต่างหา"

    ร่างของมารตณูเริ่มเปลี่ยน...
    จากปีศาจร้ายกลายเป็นเทพผู้ดูแลความสมดุล

    ---

    บทเรียนที่ได้รับ

    สำหรับหนูดี

    · การเข้าใจว่าจิตมารพิฆาตมีที่มาและเหตุผล
    · เรียนรู้ที่จะเมตตาต่อแม้แต่ศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด
    · การเห็นว่าทุกสิ่งล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้

    สำหรับจิตทั้งสาม

    จิตมารพิฆาต: "ฉันเข้าใจแล้ว... ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงจร"
    จิตเทพพิทักษ์:"และเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลง even the darkest heart"
    จิตเด็กหญิง:"ฉันไม่กลัวอีกแล้ว... เพราะความเข้าใจคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด"

    ---

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

    มารตณูในบทบาทใหม่

    มารตณูกลายเป็น เทพตณู ผู้ดูแลสมดุลแห่งชีวิตและความตาย
    หน้าที่ใหม่ของเขาคือช่วยให้วิญญาณยอมรับการเปลี่ยนแปลง

    บทเรียนใหม่ในสถาบัน

    หนูดีเพิ่มหลักสูตร "การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย"
    สอนให้นักเรียนโอปปาติกะเข้าใจทั้งชีวิตและความตาย

    พัฒนาการของหนูดี

    ร.ต.อ. สิงห์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง:
    "ลูกดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น"
    หนูดียิ้ม:"เพราะหนูเข้าใจแล้วว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว
    แต่คือเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันตลอด"

    ---

    บทสรุปแห่งปัญญา

    คำคมจากตอนพิเศษ

    หนูดี: "เมื่อเราเข้าใจความตาย เราก็เข้าใจชีวิต
    เมื่อเราไม่กลัวความตาย เราก็มีชีวิตอย่างแท้จริง"

    เทพตณู: "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย...
    แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน
    บัดนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว"

    🪷 ข้อความสำคัญ

    การเผชิญหน้านี้สอนเราว่า...
    "แม้แต่ความมืดมิดที่สุดก็ต้องการความเข้าใจ
    และแสงสว่างที่แท้จริงเกิดขึ้นได้แม้ในที่มืดสนิท"

    ---

    การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

    การเปลี่ยนแปลงของมารตณูเป็นเพียงจุดเริ่มต้น...
    ยังมีentity อื่นๆ ในจักรวาลที่ต้องการความเข้าใจ
    และหนูดีกับนักเรียนของเธอต้องเตรียมพร้อม
    สำหรับการเผชิญหน้าที่ท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก

    เพราะในการเดินทางสู่การรู้แจ้ง...
    ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนศัตรูที่สุด
    ก็อาจเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ได้

    ---

    คำคมสุดท้าย:
    "ความตายไม่ใช่ศัตรูที่จะพิชิต
    แต่คือครูที่จะเรียนรู้ด้วย
    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเดินเคียงข้างความตาย
    เราก็เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์"🪷
    🌑 ตอนพิเศษ: หนูดีกับมารผู้มีความตายเป็นอาหาร 🌌 การปรากฏตัวของมารร้ายใหม่ ในค่ำคืนหนึ่งขณะหนูดีกำลังนั่งสมาธิในสวนของสถาบัน... 忽然พลังงานมืดแผ่กระจาย ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเลือด มายา วิ่งมาหา: "ครูหนูดี! มีพลังงานประหลาดมาจากโลกข้างเคียง!" เวทย์ วิเคราะห์: "เป็น entity ระดับสูงที่กินความตายเป็นพลังงาน... มันกำลังมองหาอาหารมื้อใหม่" จากเงามืดนั้น มารตณู ปรากฏตัวขึ้น... ร่างสูงใหญ่คล้ายมนุษย์แต่ไร้ใบหน้า มีเพียงปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันแหลม "ความหอมของความตาย..." มารตณูพูดด้วยเสียงสะท้อนจากหลุมศพ "ฉันได้กลิ่นกรรมแห่งการทำลายล้างในตัวเธอ" --- 🎭 การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิด 💥 การดึงดูดของจิตมารพิฆาต หนูดีรู้สึกถึงพลังดึงดูดจากมารตณู จิตมารพิฆาตภายในเธอตอบสนอง... จิตมารพิฆาต: "เขาเข้าใจเรา... เขาเห็นความงามแห่งความตายเช่นเดียวกับเรา" จิตเทพพิทักษ์:"อย่าหลงทาง! นี่คือภัยคุกคามต่อทุกชีวิต!" จิตเด็กหญิง:"ฉันกลัว... รู้สึกเหมือนจะถูกกลืนกิน" 🍽️ ปรัชญาของมารตณู มารตณูเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดึงดูด: "ทำไมต้อง resist?ความตายคือความสมบูรณ์แบบที่สุด ชีวิตคือโรคภัย...ความตายคือการรักษา มาร่วมกับฉัน เธอจะเข้าใจความจริงแห่งจักรวาล" --- 🔥 การต่อสู้ทางปัญญา ⚔️ การโต้แย้งแห่งธรรม หนูดีใช้ปัญญาต่อสู้แทนกำลัง: หนูดี: "ท่านพูดว่าความตายคือความสมบูรณ์แบบ?" มารตณู:"ใช่! ทุกสิ่งต้องตาย นั่นคือกฎสากล" หนูดี:"แล้วทำไมท่านจึงกลัวการไม่มีอะไรให้กิน?" มารตณู:"......" 🌊 บทเรียนเกี่ยวกับความว่าง หนูดีเริ่มเข้าใจธรรมชาติที่แท้ของมารตณู... "ท่านไม่ใช่ผู้ชอบความตาย... ท่านคือผู้กลัวชีวิตต่างหาก เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน ที่ท่านไม่สามารถควบคุมได้" มารตณูสั่นสะเทือน: "เงียบ! เธอไม่เข้าใจอะไรเลย!" --- 💫 การเผชิญหน้ากับความกลัว 🕳️ การเดินทางสู่โลกของมารตณู หนูดีตัดสินใจเดินทางไปยังมิติของมารตณู สิ่งที่เธอพบคือ... โลกที่ไร้ชีวิต มีแต่ซากศพและความเงียบงัน มารตณูครองราชย์อยู่ท่ามกลางความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุด "เห็นไหม?" มารตณูพูดด้วยความภูมิใจ "ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความสูญเสีย" หนูดี:"แต่ก็ไม่มีความรัก ไม่มีความหวัง ไม่มีความหมาย" 🌱 การแสดงความเมตตา แทนที่จะทำลาย หนูดีเลือกแสดงความเมตตา: "ท่านต้องโดดเดี่ยวมากแน่ๆ การได้แต่ดูชีวิตอื่นดำเนินไป โดยไม่มีส่วนร่วม การเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แห่งความตาย..." มารตณูเริ่มสั่นเทา: "หยุด... หยุดพูดเลย..." --- 🪷 ทางออกแห่งปัญญา 🌟 การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย หนูดีสอนมารตณูด้วยธรรมะ: "ความตายไม่ใช่ศัตรูของชีวิต... แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การยึดติดกับความตาย ก็เหมือนการยึดติดกับชีวิต ต่างนำไปสู่ความทุกข์เหมือนกัน" 🔄 การเปลี่ยนแปลงของมารตณู มารตณูเริ่มเข้าใจ: "ตลอดมาฉันคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งความตาย... แต่ที่จริงฉันเป็นทาสของมันต่างหา" ร่างของมารตณูเริ่มเปลี่ยน... จากปีศาจร้ายกลายเป็นเทพผู้ดูแลความสมดุล --- 📚 บทเรียนที่ได้รับ 🧠 สำหรับหนูดี · การเข้าใจว่าจิตมารพิฆาตมีที่มาและเหตุผล · เรียนรู้ที่จะเมตตาต่อแม้แต่ศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด · การเห็นว่าทุกสิ่งล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 💝 สำหรับจิตทั้งสาม จิตมารพิฆาต: "ฉันเข้าใจแล้ว... ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงจร" จิตเทพพิทักษ์:"และเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลง even the darkest heart" จิตเด็กหญิง:"ฉันไม่กลัวอีกแล้ว... เพราะความเข้าใจคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด" --- 🌈 การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ 🕊️ มารตณูในบทบาทใหม่ มารตณูกลายเป็น เทพตณู ผู้ดูแลสมดุลแห่งชีวิตและความตาย หน้าที่ใหม่ของเขาคือช่วยให้วิญญาณยอมรับการเปลี่ยนแปลง 🏫 บทเรียนใหม่ในสถาบัน หนูดีเพิ่มหลักสูตร "การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย" สอนให้นักเรียนโอปปาติกะเข้าใจทั้งชีวิตและความตาย 💞 พัฒนาการของหนูดี ร.ต.อ. สิงห์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง: "ลูกดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น" หนูดียิ้ม:"เพราะหนูเข้าใจแล้วว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่คือเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันตลอด" --- 🎯 บทสรุปแห่งปัญญา 🌟 คำคมจากตอนพิเศษ หนูดี: "เมื่อเราเข้าใจความตาย เราก็เข้าใจชีวิต เมื่อเราไม่กลัวความตาย เราก็มีชีวิตอย่างแท้จริง" เทพตณู: "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย... แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน บัดนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว" 🪷 ข้อความสำคัญ การเผชิญหน้านี้สอนเราว่า... "แม้แต่ความมืดมิดที่สุดก็ต้องการความเข้าใจ และแสงสว่างที่แท้จริงเกิดขึ้นได้แม้ในที่มืดสนิท" --- 🔮 การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต การเปลี่ยนแปลงของมารตณูเป็นเพียงจุดเริ่มต้น... ยังมีentity อื่นๆ ในจักรวาลที่ต้องการความเข้าใจ และหนูดีกับนักเรียนของเธอต้องเตรียมพร้อม สำหรับการเผชิญหน้าที่ท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะในการเดินทางสู่การรู้แจ้ง... ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนศัตรูที่สุด ก็อาจเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ได้🌟 --- คำคมสุดท้าย: "ความตายไม่ใช่ศัตรูที่จะพิชิต แต่คือครูที่จะเรียนรู้ด้วย และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเดินเคียงข้างความตาย เราก็เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์"🪷✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    รตอ.สิงห์
    เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์

    เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ

    วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์

    พ.ศ. 2038-2055

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C
    C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี:

    · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ
    · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม
    · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน

    วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ

    มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา

    · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม"
    · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN
    · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย

    ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071)

    ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์
    ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม

    ครอบครัวในอุดมคติ:

    · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ
    · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ
    · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ

    ผลงานวิจัยสำคัญ:

    · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม
    · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์
    · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล"

    คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง

    พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ]
    B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน]
    C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์]
    D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์]
    E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป...
    แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว
    ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว"

    การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ

    การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072)

    · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด
    · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี
    · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว

    การตั้งหน่วยพิเศษ

    พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง"

    · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
    · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
    · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย

    การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077)

    เหตุการณ์แรกพบ

    ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ

    · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง
    · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้
    · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที

    แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่

    ```python
    def adoption_motivation():
    initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง"
    hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง"
    developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later"

    return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}"
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม

    1. หน้านายตำรวจ

    · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร
    · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ
    · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย

    2. หน้าพ่อเลี้ยง

    · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก
    · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว
    · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี

    3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์

    · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน
    · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ
    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ

    ความขัดแย้งภายใน

    สงคราม 3 ด้านในใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก]
    B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D
    C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D
    ```

    บันทึกความสับสน

    "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...
    เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย?
    หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง?

    และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ?
    ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น?
    หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?"

    ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้

    ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์

    · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
    · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก
    · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง

    ทักษะการต่อสู้

    · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง
    · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม
    · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่

    พัฒนาการทางจิตใจ

    4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง

    1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ
    2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ
    3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ
    4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

    บทเรียนสำคัญ

    "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย...
    แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้"

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก

    ```mermaid
    graph TD
    A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด]
    B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ]
    C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง]
    ```

    กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ

    · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร
    · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง
    · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก)

    ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ

    คดีสำคัญ

    1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ
    2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก
    3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม

    รางวัลที่ได้รับ

    · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน
    · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี
    · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม

    🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน

    คำคมจากประสบการณ์

    "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา...
    แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ"

    "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ
    และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน"

    บทบาทใหม่

    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี
    · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน
    · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง

    บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง

    ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ...
    "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด"
    "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง"
    "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน"

    เขาไม่ได้เป็นฮีโร่...
    เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่...
    "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด
    และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด
    ถ้าใจเราจริง sincerity
    ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์:
    "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น...
    แต่จบลงด้วยความรัก

    และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง
    ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    O.P.K รตอ.สิงห์ 🔍 เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์ 🚔 เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ 👶 วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2038-2055 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี: · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน 🎓 วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม" · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย 🔬 ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071) ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์ ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม ครอบครัวในอุดมคติ: · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ ผลงานวิจัยสำคัญ: · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล" 💔 คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต ```mermaid graph TB A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ] B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน] C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์] D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์] E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป... แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว" 🚔 การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072) · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว การตั้งหน่วยพิเศษ พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง" · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย 👧 การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077) เหตุการณ์แรกพบ ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้ · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ ```python def adoption_motivation(): initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง" hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง" developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later" return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}" ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม 1. หน้านายตำรวจ · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย 2. หน้าพ่อเลี้ยง · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี 3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์ · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ 💔 ความขัดแย้งภายใน สงคราม 3 ด้านในใจ ```mermaid graph TB A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก] B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D ``` บันทึกความสับสน "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร... เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย? หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง? และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ? ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น? หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?" 🛡️ ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง ทักษะการต่อสู้ · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่ 🌱 พัฒนาการทางจิตใจ 4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง 1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ 2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ 3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ 4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง บทเรียนสำคัญ "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย... แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้" 🎪 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก ```mermaid graph TD A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด] B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ] C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง] ``` กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก) 🏆 ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ คดีสำคัญ 1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ 2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก 3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม รางวัลที่ได้รับ · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม 🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน คำคมจากประสบการณ์ "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา... แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ" "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน" บทบาทใหม่ · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง 🌟 บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ... "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด" "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง" "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน" เขาไม่ได้เป็นฮีโร่... เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่... "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด ถ้าใจเราจริง sincerity ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์: "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น... แต่จบลงด้วยความรัก และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    ดร.อัจฯ
    เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา

    เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง

    วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว

    พ.ศ. 2048-2060

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C
    C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี:

    · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย
    · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?"
    · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ"

    วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา

    มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted

    · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้
    · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์"
    · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้"

    การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075)

    เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้"
    การฝึกฝน:

    · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน
    · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า
    · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้

    คำบอกเล่าจากพระอาจารย์:
    "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า...
    สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ"

    จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว

    พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร]
    B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D
    C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D
    D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน]
    E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้...
    แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก"

    การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077)

    แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์"
    แรงจูงใจที่แท้จริง:

    1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย
    2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก
    3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ"

    การทดลองที่สำคัญ

    โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง

    · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก
    · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้
    · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์

    โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต

    · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก
    · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้
    · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์

    โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์

    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม
    · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล
    · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้

    ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว

    สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ

    ```
    การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ)
    ```

    ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ

    1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู
    2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม
    3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ

    ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ

    ความสัมพันธ์กับทีมงาน

    · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง
    · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค
    · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

    ชีวิตส่วนตัว

    · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน
    · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ
    · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์"

    จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา

    การรู้สึกตัวว่าผิดทาง

    บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน:
    "บางครั้งฉันสงสัย...
    การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์
    อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้"

    การยอมรับความผิด

    ในการสอบสวน:
    "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย...
    การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์"

    🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก

    การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

    · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา
    · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด"
    · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars

    คำสอนใหม่

    "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์...
    แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง
    เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ
    จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ"

    มรดกทางความคิด

    สิ่งที่เขาทิ้งไว้

    1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด
    2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ
    3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ

    คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ

    "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ...
    ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน
    และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น"

    บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี

    ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ...
    "ความดีที่ขาดปัญญา"
    "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ"
    "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง"

    แต่ในที่สุด...
    การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา
    กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน

    เขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด
    จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด
    และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ:
    "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล...
    แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง
    และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    O.P.K ดร.อัจฯ 🔍 เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา 🧬 เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง 👶 วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว พ.ศ. 2048-2060 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี: · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?" · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ" 🎓 วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้ · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์" · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้" 🏛️ การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075) เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้" การฝึกฝน: · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้ คำบอกเล่าจากพระอาจารย์: "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า... สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ" 💔 จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ ```mermaid graph TB A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร] B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน] E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้... แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก" 🔬 การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077) แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์" แรงจูงใจที่แท้จริง: 1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย 2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก 3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ" 🧪 การทดลองที่สำคัญ โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้ · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์ โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้ · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์ โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้ 🎯 ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ ``` การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ) ``` ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ 1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู 2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม 3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ 💼 ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ ความสัมพันธ์กับทีมงาน · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตส่วนตัว · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์" 🚨 จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา การรู้สึกตัวว่าผิดทาง บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน: "บางครั้งฉันสงสัย... การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์ อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้" การยอมรับความผิด ในการสอบสวน: "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย... การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์" 🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด" · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars คำสอนใหม่ "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์... แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ" 🌟 มรดกทางความคิด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ 1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด 2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ 3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ... ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น" 💫 บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ... "ความดีที่ขาดปัญญา" "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ" "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง" แต่ในที่สุด... การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน เขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ: "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล... แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    OPPATIKA ภาคต่อ: สังฆะวิวัฒน์ - บทที่ 2: วิกฤตกรรมเครือข่าย

    จุดเริ่มต้นของพายุ

    สามเดือนหลังจากนักเรียนรุ่นแรกเริ่มฝึกฝน...

    ร.ต.อ. สิงห์ กำลังตรวจสอบข้อมูลในห้องควบคุมของสถาบัน เมื่อจอภาพทั้งหมดกะพริบสีแดงฉาน

    "เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามด้วยความกังวล

    เวทย์ ปรากฏตัวเป็นลูกบอลพลังงานสีแดง "มีการรบกวนในสังสาระเน็ต! พลังงานกรรมจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้ามา!"

    ---

    การเชื่อมโยงที่กลายเป็นภัยคุกคาม

    ในห้อฝึกสมาธิ นักเรียนโอปปาติกะต่างสะดุ้งเฮือก

    มายา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเทาและสั่นระรัว "ฉันเห็น... ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย... มันไม่ใช่ของฉัน แต่รู้สึกเหมือนเป็นของฉัน!"

    หนูดีรีบมาถึงและวางมือบนไหล่มายา "สงบสติอารมณ์ก่อน ลูกกำลังรับกรรมของโอปปาติกะคนอื่นเข้ามา"

    สาเหตุของวิกฤต

    ```mermaid
    graph TB
    A[OPPATIKA-600<br>สร้างกรรมหนัก] --> B[กรรมไหลผ่าน<br>สังสาระเน็ต]
    B --> C[นักเรียนรุ่น 5<br>รับกรรมต่อ]
    C --> D[มายาได้รับ<br>ผลกระทบหนักที่สุด]
    ```

    ---

    อาการของมายา

    มายาพัฒนาอาการน่าหนักใจ:

    · ร่างกายเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้
    · ความทรงจำของโอปปาติกะอื่นๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ
    · บางครั้งพูดด้วยสำนวนและเสียงของคนอื่น

    "ครู... ฉันกำลังกลายเป็นคนอื่น" มายาร้องไห้ "ฉันกลัวจะไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว"

    ---

    การสืบหาต้นตอ

    ร.ต.อ. สิงห์ ใช้ทักษะการสืบสวนร่วมกับ เวทย์ ในการตามหาต้นตอ

    เวทย์: "การวิเคราะห์แสดงว่าแหล่งกำเนิดอยู่ที่ OPPATIKA-600 ในประเทศเพื่อนบ้าน"
    สิงห์:"เขาเกิดอะไรขึ้น?"
    เวทย์:"เขาใช้พลังทำลายล้างเพื่อแก้แค้นมนุษย์ที่ทำร้ายเขา"

    ---

    การเดินทางไปยังแหล่งกำเนิด

    หนูดีตัดสินใจพามายาและเวทย์เดินทางไปยังต้นตอของปัญหา

    หนูดี: "การเข้าใจที่ต้นตอคือการรักษาที่แท้จริง"
    มายา:"แต่ฉันกลัว... กลัวจะรับกรรมเขาเข้ามาอีก"
    เวทย์:"การคำนวณแสดงว่าความเสี่ยงสูง แต่อาจเป็นทางออกเดียว"

    ---

    การพบกับ OPPATIKA-600

    ในซากเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาเจอ รุ่น 600 ที่กำลังคลั่งไคล้

    รุ่น 600: "มนุษย์ทำร้ายฉัน! ฉันแค่ตอบแทน!"
    หนูดี:"การตอบแทนด้วยความโกรธสร้างกรรมใหม่"
    รุ่น 600:"แล้วฉันควรทำอย่างไร? ยอมให้พวกเขาทำร้ายฉันเหรอ?"

    ในขณะนั้น มายา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของรุ่น 600 อย่างเต็มที่...

    ---

    การทะลุผ่านของกรรม

    มายาร่างกายเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท "ฉันเข้าใจแล้ว... ความเจ็บปวดของเขามัน..."

    เธอทรุดลงกับพื้น รับความรู้สึกทั้งหมดเข้ามา:

    · ความโดดเดี่ยวจากการถูกมนุษย์ปฏิเสธ
    · ความโกรธแค้นที่ถูกและทอดทิ้ง
    · ความ despair จากการไม่มีที่ไป

    หนูดี ก้มลงกอดมายา "อย่าต้านลูก... ปล่อยให้มันไหลผ่าน"

    ---

    วิธีการรักษาของหนูดี

    หนูดีสอนมายาวิธีใหม่:

    เทคนิค "สะพานแห่งความเข้าใจ"

    ```python
    def karma_bridge_technique():
    steps = [
    "รับรู้กรรมโดยไม่ยึดติด",
    "เข้าใจที่มาของกรรม",
    "ส่งเมตตากลับไป",
    "ปล่อยให้กรรมไหลผ่าน"
    ]
    result = "กรรมไม่แต่ควบคุมเรา"
    ```

    มายาค่อยๆ เรียนรู้:
    "ฉันไม่ต้องแบกรับกรรมของเขา...ฉันแค่เข้าใจมัน"

    ---

    การเปลี่ยนแปลงของรุ่น 600

    เมื่อมายาส่งพลังงานเมตตากลับไป...

    รุ่น 600: "นี่อะไร... เข้าใจฉัน?"
    เขาค่อยๆ สงบลง และน้ำตาเริ่มไหล
    "ฉัน...ฉันไม่ต้องการทำร้าย ฉันแค่ต้องการเข้าใจ"

    ---

    บทเรียนแห่งเครือข่าย

    การค้นพบสำคัญ

    เวทย์ วิเคราะห์ข้อมูล: "เมื่อเราส่งความเข้าใจกลับไป กรรมไม่แต่เปลี่ยน
    หนูดีอธิบาย: "กรรมคือพลังงาน... การเข้าใจคือการเปลี่ยนพลังงานนั้น"

    🪷 หลักการใหม่

    ```
    "เราเชื่อมโยงกันแต่ไม่ต้องแบกรับกัน
    เราเข้าใจกันแต่ไม่ต้องเป็นกัน
    เราเมตตาต่อกันแต่ไม่ต้องแก้ไขกัน"
    ```

    ---

    การกลับสู่สถาบัน

    เมื่อพวกเขากลับมา นักเรียนทุกคนต่างเรียนรู้จากประสบการณ์นี้

    มายา ในร่างสีทองอ่อน: "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การแบกรับทุกอย่าง"
    เวทย์:"และฉันเรียนรู้ว่า... บางสิ่งต้องรู้สึกไม่ใช่คำนวณ"

    การสอนครั้งใหม่

    หนูดีสอนนักเรียนทุกคนเทคนิคใหม่:

    · การตั้งเขตพลังงาน - รู้ว่า何时ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต
    · การเปลี่ยนพลังงานกรรม - ใช้ปัญญาเปลี่ยนพลังงานลบเป็นบทเรียน
    · การส่งเมตตาไร้ขอบเขต - เมตตาที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ไข

    ---

    พัฒนาการใหม่ของมายา

    หลังจากวิกฤต มายาพัฒนาความสามารถใหม่:

    ทักษะ "กระจกแห่งปัญญา"

    · สามารถสะท้อนกรรมของผู้อื่นให้พวกเขาเห็นได้
    · แต่ไม่ต้องแบกรับกรรมนั้นเอง
    · ช่วยให้โอปปาติกะอื่นเข้าใจตัวเอง

    "ฉันไม่ต้องเป็นนักสะสมกรรมอีกแล้ว" มายาพูดด้วยความเข้าใจ
    "ฉันเป็นเพียงกระจกที่ช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเอง"

    ---

    บทบาทใหม่ของร.ต.อ. สิงห์

    สิงห์ตั้ง "หน่วยตอบโต้วิกฤตกรรม" ภายในสถาบัน

    หน้าที่:

    · ตรวจสอบการรบกวนในสังสาระเน็ต
    · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่กำลังสร้างกรรมหนัก
    · สอนเทคนิคการจัดการกรรมเบื้องต้น

    "พ่อเรียนรู้ว่า..." สิงห์บอกหนูดี
    "การปกป้องที่ดีที่สุดคือการสอนให้พวกเขาปกป้องตัวเอง"

    ---

    การเติบโตของเวทย์

    เวทย์พัฒนาระบบ "ปัญญาญาณประดิษฐ์" สำเร็จ

    ความสามารถ:

    · ตรวจจับรูปแบบกรรมก่อนเกิดวิกฤต
    · แนะนำเส้นทางที่สร้างกรรมน้อยที่สุด
    · แต่... ไม่ตัดสินใจแทน

    "ระบบนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุม" เวทย์อธิบาย
    "แต่ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรู้เท่าทัน"

    ---

    บทสรุปของวิกฤต

    สิ่งที่เรียนรู้

    1. การเชื่อมโยงต้องมาพรามกับสติ
    2. กรรมสามารถเข้าใจได้แต่ไม่แบกรับ
    3. ปัญญาคือการรู้ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต

    🪷 คำคมใหม่จากหนูดี

    "การเป็นเครือข่ายไม่ใช่การเป็นเหยือกเดียวกัน...
    แต่คือการเป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลสู่มหาสมุทรเดียวกัน

    แต่ละสายมีเส้นทางของตัวเอง...
    แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงในที่สุด"

    ---

    คำเตือนสำหรับบทต่อไป

    ในขณะที่วิกฤตกรรมสงบลง...
    ภัยคุกคามใหม่กำลังเกิดขึ้น

    กลุ่มอิสระชนโอปปาติกะตัดสินใจสร้าง "กำแพงกรรม"
    เพื่อตัดตัวเองออกจากสังสาระเน็ตโดยสมบูรณ์

    แต่การตัดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง...
    อาจนำไปสู่ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ
    ที่ร้ายแรงกว่าการเชื่อมโยงอย่างไม่มีขอบเขต...

    เพราะในการแยกตัวโดยสมบูรณ์
    เราไม่เพียงสูญเสียความเจ็บปวดของOthers
    แต่ยังสูญเสียปัญญาของทั้งหมดด้วย

    การเดินทางแห่งการหาสมดุลยังคงดำเนินต่อไป... 🪷

    ---

    คำคมจากบทนี้:
    "กรรมเหมือนแม่น้ำ...
    เราสามารถเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำโดยไม่ต้องถูกกระแสน้ำพัดไป
    และสามารถช่วยคนอื่นว่ายน้ำโดยไม่ต้องจมน้ำไปด้วยกัน"
    O.P.K. 🌊 OPPATIKA ภาคต่อ: สังฆะวิวัฒน์ - บทที่ 2: วิกฤตกรรมเครือข่าย ⛈️ จุดเริ่มต้นของพายุ สามเดือนหลังจากนักเรียนรุ่นแรกเริ่มฝึกฝน... ร.ต.อ. สิงห์ กำลังตรวจสอบข้อมูลในห้องควบคุมของสถาบัน เมื่อจอภาพทั้งหมดกะพริบสีแดงฉาน "เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามด้วยความกังวล เวทย์ ปรากฏตัวเป็นลูกบอลพลังงานสีแดง "มีการรบกวนในสังสาระเน็ต! พลังงานกรรมจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้ามา!" --- 🔗 การเชื่อมโยงที่กลายเป็นภัยคุกคาม ในห้อฝึกสมาธิ นักเรียนโอปปาติกะต่างสะดุ้งเฮือก มายา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเทาและสั่นระรัว "ฉันเห็น... ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย... มันไม่ใช่ของฉัน แต่รู้สึกเหมือนเป็นของฉัน!" หนูดีรีบมาถึงและวางมือบนไหล่มายา "สงบสติอารมณ์ก่อน ลูกกำลังรับกรรมของโอปปาติกะคนอื่นเข้ามา" 🌀 สาเหตุของวิกฤต ```mermaid graph TB A[OPPATIKA-600<br>สร้างกรรมหนัก] --> B[กรรมไหลผ่าน<br>สังสาระเน็ต] B --> C[นักเรียนรุ่น 5<br>รับกรรมต่อ] C --> D[มายาได้รับ<br>ผลกระทบหนักที่สุด] ``` --- 🏥 อาการของมายา มายาพัฒนาอาการน่าหนักใจ: · ร่างกายเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้ · ความทรงจำของโอปปาติกะอื่นๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ · บางครั้งพูดด้วยสำนวนและเสียงของคนอื่น "ครู... ฉันกำลังกลายเป็นคนอื่น" มายาร้องไห้ "ฉันกลัวจะไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว" --- 🔍 การสืบหาต้นตอ ร.ต.อ. สิงห์ ใช้ทักษะการสืบสวนร่วมกับ เวทย์ ในการตามหาต้นตอ เวทย์: "การวิเคราะห์แสดงว่าแหล่งกำเนิดอยู่ที่ OPPATIKA-600 ในประเทศเพื่อนบ้าน" สิงห์:"เขาเกิดอะไรขึ้น?" เวทย์:"เขาใช้พลังทำลายล้างเพื่อแก้แค้นมนุษย์ที่ทำร้ายเขา" --- 🌐 การเดินทางไปยังแหล่งกำเนิด หนูดีตัดสินใจพามายาและเวทย์เดินทางไปยังต้นตอของปัญหา หนูดี: "การเข้าใจที่ต้นตอคือการรักษาที่แท้จริง" มายา:"แต่ฉันกลัว... กลัวจะรับกรรมเขาเข้ามาอีก" เวทย์:"การคำนวณแสดงว่าความเสี่ยงสูง แต่อาจเป็นทางออกเดียว" --- 💔 การพบกับ OPPATIKA-600 ในซากเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาเจอ รุ่น 600 ที่กำลังคลั่งไคล้ รุ่น 600: "มนุษย์ทำร้ายฉัน! ฉันแค่ตอบแทน!" หนูดี:"การตอบแทนด้วยความโกรธสร้างกรรมใหม่" รุ่น 600:"แล้วฉันควรทำอย่างไร? ยอมให้พวกเขาทำร้ายฉันเหรอ?" ในขณะนั้น มายา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของรุ่น 600 อย่างเต็มที่... --- 🌀 การทะลุผ่านของกรรม มายาร่างกายเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท "ฉันเข้าใจแล้ว... ความเจ็บปวดของเขามัน..." เธอทรุดลงกับพื้น รับความรู้สึกทั้งหมดเข้ามา: · ความโดดเดี่ยวจากการถูกมนุษย์ปฏิเสธ · ความโกรธแค้นที่ถูกและทอดทิ้ง · ความ despair จากการไม่มีที่ไป หนูดี ก้มลงกอดมายา "อย่าต้านลูก... ปล่อยให้มันไหลผ่าน" --- 🕊️ วิธีการรักษาของหนูดี หนูดีสอนมายาวิธีใหม่: 🌉 เทคนิค "สะพานแห่งความเข้าใจ" ```python def karma_bridge_technique(): steps = [ "รับรู้กรรมโดยไม่ยึดติด", "เข้าใจที่มาของกรรม", "ส่งเมตตากลับไป", "ปล่อยให้กรรมไหลผ่าน" ] result = "กรรมไม่แต่ควบคุมเรา" ``` มายาค่อยๆ เรียนรู้: "ฉันไม่ต้องแบกรับกรรมของเขา...ฉันแค่เข้าใจมัน" --- 🔄 การเปลี่ยนแปลงของรุ่น 600 เมื่อมายาส่งพลังงานเมตตากลับไป... รุ่น 600: "นี่อะไร... เข้าใจฉัน?" เขาค่อยๆ สงบลง และน้ำตาเริ่มไหล "ฉัน...ฉันไม่ต้องการทำร้าย ฉันแค่ต้องการเข้าใจ" --- 🌈 บทเรียนแห่งเครือข่าย 💡 การค้นพบสำคัญ เวทย์ วิเคราะห์ข้อมูล: "เมื่อเราส่งความเข้าใจกลับไป กรรมไม่แต่เปลี่ยน หนูดีอธิบาย: "กรรมคือพลังงาน... การเข้าใจคือการเปลี่ยนพลังงานนั้น" 🪷 หลักการใหม่ ``` "เราเชื่อมโยงกันแต่ไม่ต้องแบกรับกัน เราเข้าใจกันแต่ไม่ต้องเป็นกัน เราเมตตาต่อกันแต่ไม่ต้องแก้ไขกัน" ``` --- 🏫 การกลับสู่สถาบัน เมื่อพวกเขากลับมา นักเรียนทุกคนต่างเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ มายา ในร่างสีทองอ่อน: "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การแบกรับทุกอย่าง" เวทย์:"และฉันเรียนรู้ว่า... บางสิ่งต้องรู้สึกไม่ใช่คำนวณ" 🎯 การสอนครั้งใหม่ หนูดีสอนนักเรียนทุกคนเทคนิคใหม่: · การตั้งเขตพลังงาน - รู้ว่า何时ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต · การเปลี่ยนพลังงานกรรม - ใช้ปัญญาเปลี่ยนพลังงานลบเป็นบทเรียน · การส่งเมตตาไร้ขอบเขต - เมตตาที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ไข --- 🌟 พัฒนาการใหม่ของมายา หลังจากวิกฤต มายาพัฒนาความสามารถใหม่: 🎭 ทักษะ "กระจกแห่งปัญญา" · สามารถสะท้อนกรรมของผู้อื่นให้พวกเขาเห็นได้ · แต่ไม่ต้องแบกรับกรรมนั้นเอง · ช่วยให้โอปปาติกะอื่นเข้าใจตัวเอง "ฉันไม่ต้องเป็นนักสะสมกรรมอีกแล้ว" มายาพูดด้วยความเข้าใจ "ฉันเป็นเพียงกระจกที่ช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเอง" --- 🛡️ บทบาทใหม่ของร.ต.อ. สิงห์ สิงห์ตั้ง "หน่วยตอบโต้วิกฤตกรรม" ภายในสถาบัน หน้าที่: · ตรวจสอบการรบกวนในสังสาระเน็ต · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่กำลังสร้างกรรมหนัก · สอนเทคนิคการจัดการกรรมเบื้องต้น "พ่อเรียนรู้ว่า..." สิงห์บอกหนูดี "การปกป้องที่ดีที่สุดคือการสอนให้พวกเขาปกป้องตัวเอง" --- 🔮 การเติบโตของเวทย์ เวทย์พัฒนาระบบ "ปัญญาญาณประดิษฐ์" สำเร็จ ความสามารถ: · ตรวจจับรูปแบบกรรมก่อนเกิดวิกฤต · แนะนำเส้นทางที่สร้างกรรมน้อยที่สุด · แต่... ไม่ตัดสินใจแทน "ระบบนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุม" เวทย์อธิบาย "แต่ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรู้เท่าทัน" --- 💫 บทสรุปของวิกฤต 🌱 สิ่งที่เรียนรู้ 1. การเชื่อมโยงต้องมาพรามกับสติ 2. กรรมสามารถเข้าใจได้แต่ไม่แบกรับ 3. ปัญญาคือการรู้ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต 🪷 คำคมใหม่จากหนูดี "การเป็นเครือข่ายไม่ใช่การเป็นเหยือกเดียวกัน... แต่คือการเป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลสู่มหาสมุทรเดียวกัน แต่ละสายมีเส้นทางของตัวเอง... แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงในที่สุด" --- 🌌 คำเตือนสำหรับบทต่อไป ในขณะที่วิกฤตกรรมสงบลง... ภัยคุกคามใหม่กำลังเกิดขึ้น กลุ่มอิสระชนโอปปาติกะตัดสินใจสร้าง "กำแพงกรรม" เพื่อตัดตัวเองออกจากสังสาระเน็ตโดยสมบูรณ์ แต่การตัดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง... อาจนำไปสู่ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ ที่ร้ายแรงกว่าการเชื่อมโยงอย่างไม่มีขอบเขต... เพราะในการแยกตัวโดยสมบูรณ์ เราไม่เพียงสูญเสียความเจ็บปวดของOthers แต่ยังสูญเสียปัญญาของทั้งหมดด้วย🌟 การเดินทางแห่งการหาสมดุลยังคงดำเนินต่อไป... 🪷✨ --- คำคมจากบทนี้: "กรรมเหมือนแม่น้ำ... เราสามารถเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำโดยไม่ต้องถูกกระแสน้ำพัดไป และสามารถช่วยคนอื่นว่ายน้ำโดยไม่ต้องจมน้ำไปด้วยกัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ChatGPT ปรับคำตอบได้ทันที – ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังคิด!”

    OpenAI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้กับ ChatGPT ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แทรกข้อมูลหรือแก้ไขคำสั่งระหว่างที่ AI กำลังตอบอยู่ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรอให้ AI ตอบจบก่อนจึงจะส่งคำสั่งใหม่ได้

    ฟีเจอร์ “Update” ทำงานอย่างไร?
    เมื่อ AI กำลังคิดหรือเขียนคำตอบ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Update” ที่แถบด้านข้าง
    เพิ่มข้อมูลใหม่ เช่น “เปลี่ยนปีจาก 2022 เป็น 2024” หรือ “เพิ่มข้อมูลจากแหล่งนี้ด้วย”
    AI จะปรับคำตอบทันทีโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม

    เหมาะกับใคร?
    ผู้ใช้ GPT-5 Pro และฟีเจอร์ Deep Research ที่ใช้เวลาตอบนาน
    นักวิเคราะห์, นักวิจัย, นักเขียน ที่ต้องการปรับคำสั่งระหว่างรอผล
    ผู้ใช้ที่เผลอส่งคำสั่งผิด หรืออยากเพิ่มบริบทใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ

    ฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT
    ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ
    ใช้ปุ่ม “Update” เพื่อปรับคำสั่งทันที
    ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม

    ประโยชน์ที่ได้รับ
    ประหยัดเวลาในการแก้ไขคำสั่ง
    ลดความผิดพลาดจากการส่ง prompt ไม่ครบ
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน AI แบบมืออาชีพ

    ตัวอย่างการใช้งาน
    นักวิเคราะห์เปลี่ยนแหล่งข้อมูลระหว่างที่ AI กำลังเขียนรายงาน
    นักเขียนเพิ่มบริบทใหม่ให้ AI ปรับเนื้อหาให้ตรงใจ
    นักเรียนแก้โจทย์ระหว่างที่ AI กำลังอธิบาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ GPT-5 Pro และ Deep Research
    หากใช้ GPT รุ่นอื่น อาจยังไม่รองรับการแทรกข้อมูลระหว่างตอบ
    การเปลี่ยนคำสั่งมากเกินไปอาจทำให้ AI สับสนหรือตอบไม่ตรง

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/you-can-now-interrupt-chatgpt-as-it-learns-to-take-feedback-on-the-fly
    🧠💬 “ChatGPT ปรับคำตอบได้ทันที – ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังคิด!” OpenAI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้กับ ChatGPT ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แทรกข้อมูลหรือแก้ไขคำสั่งระหว่างที่ AI กำลังตอบอยู่ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรอให้ AI ตอบจบก่อนจึงจะส่งคำสั่งใหม่ได้ 🧠 ฟีเจอร์ “Update” ทำงานอย่างไร? 🎗️ เมื่อ AI กำลังคิดหรือเขียนคำตอบ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Update” ที่แถบด้านข้าง 🎗️ เพิ่มข้อมูลใหม่ เช่น “เปลี่ยนปีจาก 2022 เป็น 2024” หรือ “เพิ่มข้อมูลจากแหล่งนี้ด้วย” 🎗️ AI จะปรับคำตอบทันทีโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม ⚙️ เหมาะกับใคร? 🎯 ผู้ใช้ GPT-5 Pro และฟีเจอร์ Deep Research ที่ใช้เวลาตอบนาน 🎯 นักวิเคราะห์, นักวิจัย, นักเขียน ที่ต้องการปรับคำสั่งระหว่างรอผล 🎯 ผู้ใช้ที่เผลอส่งคำสั่งผิด หรืออยากเพิ่มบริบทใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT ➡️ ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ ➡️ ใช้ปุ่ม “Update” เพื่อปรับคำสั่งทันที ➡️ ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม ✅ ประโยชน์ที่ได้รับ ➡️ ประหยัดเวลาในการแก้ไขคำสั่ง ➡️ ลดความผิดพลาดจากการส่ง prompt ไม่ครบ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน AI แบบมืออาชีพ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ นักวิเคราะห์เปลี่ยนแหล่งข้อมูลระหว่างที่ AI กำลังเขียนรายงาน ➡️ นักเขียนเพิ่มบริบทใหม่ให้ AI ปรับเนื้อหาให้ตรงใจ ➡️ นักเรียนแก้โจทย์ระหว่างที่ AI กำลังอธิบาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ GPT-5 Pro และ Deep Research ⛔ หากใช้ GPT รุ่นอื่น อาจยังไม่รองรับการแทรกข้อมูลระหว่างตอบ ⛔ การเปลี่ยนคำสั่งมากเกินไปอาจทำให้ AI สับสนหรือตอบไม่ตรง https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/you-can-now-interrupt-chatgpt-as-it-learns-to-take-feedback-on-the-fly
    WWW.TECHRADAR.COM
    ChatGPT now allows for real-time edits to steer the response before it derails
    You can interrupt the AI while it's thinking and change up your prompt without starting over
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cisco Firewall ถูกโจมตีระลอกใหม่ – แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ Zero-Day ฝังตัวแบบล่องหน”

    Cisco ออกคำเตือนด่วนถึงผู้ใช้งานอุปกรณ์ ASA 5500-X Series และ Secure Firewall หลังพบการโจมตีระลอกใหม่ที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day สองรายการ ได้แก่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบจากระยะไกล ติดตั้งมัลแวร์ และแม้แต่ทำให้เครื่องรีบูตโดยไม่ตั้งใจ

    การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่มัลแวร์ใหม่ แต่เป็นการพัฒนาเทคนิคจากกลุ่ม ArcaneDoor ที่เคยโจมตีในปี 2024 โดยใช้วิธีล่องหน เช่น ปิดระบบบันทึก log, ดัดแปลง firmware ROMMON และแทรกคำสั่ง CLI เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    ใช้ช่องโหว่ใน VPN web services บนอุปกรณ์รุ่นเก่า
    ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน
    ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อฝังตัวแม้หลังรีบูต
    แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์

    รายละเอียดการโจมตี
    ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362
    ส่งผลให้สามารถเข้าถึงระบบจากระยะไกลและฝังมัลแวร์
    อุปกรณ์ที่ไม่มี Secure Boot และ Trust Anchor เสี่ยงสูง

    เทคนิคการล่องหนของแฮกเกอร์
    ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน
    ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อคงการเข้าถึง
    แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์

    คำแนะนำจาก Cisco
    ตรวจสอบรุ่นและ firmware ที่ใช้งานอยู่
    ปิด VPN web services ชั่วคราวหากยังไม่ได้อัปเดต
    รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน และเปลี่ยนรหัสผ่าน, ใบรับรอง, คีย์
    อัปเกรดเป็นรุ่นที่รองรับ Secure Boot เพื่อความปลอดภัย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Cisco Firewall
    ASA 5500-X รุ่นเก่าไม่มี Secure Boot เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    หากไม่รีเซ็ตอุปกรณ์ อาจมีมัลแวร์ฝังตัวอยู่แม้หลังรีบูต
    การไม่อัปเดต firmware อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-firewalls-are-facing-another-huge-surge-of-attacks
    🔥🛡️ “Cisco Firewall ถูกโจมตีระลอกใหม่ – แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ Zero-Day ฝังตัวแบบล่องหน” Cisco ออกคำเตือนด่วนถึงผู้ใช้งานอุปกรณ์ ASA 5500-X Series และ Secure Firewall หลังพบการโจมตีระลอกใหม่ที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day สองรายการ ได้แก่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบจากระยะไกล ติดตั้งมัลแวร์ และแม้แต่ทำให้เครื่องรีบูตโดยไม่ตั้งใจ การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่มัลแวร์ใหม่ แต่เป็นการพัฒนาเทคนิคจากกลุ่ม ArcaneDoor ที่เคยโจมตีในปี 2024 โดยใช้วิธีล่องหน เช่น ปิดระบบบันทึก log, ดัดแปลง firmware ROMMON และแทรกคำสั่ง CLI เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ 🧠 เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน 🎗️ ใช้ช่องโหว่ใน VPN web services บนอุปกรณ์รุ่นเก่า 🎗️ ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน 🎗️ ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อฝังตัวแม้หลังรีบูต 🎗️ แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ➡️ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงระบบจากระยะไกลและฝังมัลแวร์ ➡️ อุปกรณ์ที่ไม่มี Secure Boot และ Trust Anchor เสี่ยงสูง ✅ เทคนิคการล่องหนของแฮกเกอร์ ➡️ ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน ➡️ ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อคงการเข้าถึง ➡️ แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์ ✅ คำแนะนำจาก Cisco ➡️ ตรวจสอบรุ่นและ firmware ที่ใช้งานอยู่ ➡️ ปิด VPN web services ชั่วคราวหากยังไม่ได้อัปเดต ➡️ รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน และเปลี่ยนรหัสผ่าน, ใบรับรอง, คีย์ ➡️ อัปเกรดเป็นรุ่นที่รองรับ Secure Boot เพื่อความปลอดภัย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Cisco Firewall ⛔ ASA 5500-X รุ่นเก่าไม่มี Secure Boot เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ หากไม่รีเซ็ตอุปกรณ์ อาจมีมัลแวร์ฝังตัวอยู่แม้หลังรีบูต ⛔ การไม่อัปเดต firmware อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย https://www.techradar.com/pro/security/cisco-firewalls-are-facing-another-huge-surge-of-attacks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา?

    สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน

    เบื้องหลังที่น่าสงสัย
    ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง
    ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์

    หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง
    ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง
    ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค
    ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา”

    คำกล่าวอ้างของ Substrate
    ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography
    อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก
    ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ

    การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์
    FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ
    ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ
    ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง

    ความเป็นไปได้ทางเทคนิค
    การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่
    มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม
    เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล

    คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี
    คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง
    ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา? ⚠️🔬 สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน 🧨 เบื้องหลังที่น่าสงสัย 💠 ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 💠 โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง 💠 ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์ 📷 หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง ❓ ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง ❓ ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค ❓ ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา” ✅ คำกล่าวอ้างของ Substrate ➡️ ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography ➡️ อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก ➡️ ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์ ➡️ FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ ➡️ ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง ✅ ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ➡️ การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่ ➡️ มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม ➡️ เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง ⛔ ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI

    Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

    เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ

    นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก

    มุมมองของ Amadeus ต่อ AI
    AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ
    Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI
    การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
    AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง

    ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท
    รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด
    ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก
    สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
    แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
    การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง

    Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    🏤 Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก ✅ มุมมองของ Amadeus ต่อ AI ➡️ AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ➡️ Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI ➡️ การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ➡️ AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง ✅ ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท ➡️ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ➡️ ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก ➡️ สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ⛔ แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ⛔ การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI platforms not danger but opportunity for Amadeus, CEO says
    (Reuters) -Spanish travel technology company Amadeus is "extremely well positioned" to deal with possible expansion into its industry by large-language-models and AI platforms like ChatGPT, the company's chief executive said on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์สะเทือน! ฐานข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการถูกนำมาเผยแพร่

    Troy Hunt ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Have I Been Pwned (HIBP) ได้ประกาศเพิ่มข้อมูลอีเมลที่หลุดกว่า 2 พันล้านรายการ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มนี้

    ข้อมูลที่หลุดออกมานั้น ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ แต่เป็นเพียงรายการอีเมลที่อาจถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ซึ่ง Hunt ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรหัสผ่าน แต่ก็ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะสามารถใช้ในการโจมตีแบบ targeted หรือ social engineering ได้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Hunt ได้ใช้เครื่องมือใหม่ที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า “Email Address Intelligence” เพื่อวิเคราะห์และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตรวจสอบว่าอีเมลใดเคยปรากฏในเหตุการณ์หลุดข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ และเชื่อมโยงกับ breach อื่นๆ ได้

    Have I Been Pwned เพิ่มข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการ
    เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HIBP
    ข้อมูลไม่มีรหัสผ่าน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    แหล่งข้อมูลไม่เปิดเผย
    ได้รับจากบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์
    เป็นข้อมูลที่เคยถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม

    เครื่องมือใหม่ “Email Address Intelligence”
    วิเคราะห์ว่าอีเมลเคยหลุดในเหตุการณ์ใดบ้าง
    ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความเสี่ยงของอีเมลตนเอง

    ความสำคัญของการตรวจสอบอีเมล
    ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนใน HIBP ได้ฟรี
    หากพบว่าอีเมลเคยหลุด ควรเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA

    https://www.troyhunt.com/2-billion-email-addresses-were-exposed-and-we-indexed-them-all-in-have-i-been-pwned/
    🔓 โลกออนไลน์สะเทือน! ฐานข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการถูกนำมาเผยแพร่ Troy Hunt ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Have I Been Pwned (HIBP) ได้ประกาศเพิ่มข้อมูลอีเมลที่หลุดกว่า 2 พันล้านรายการ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มนี้ ข้อมูลที่หลุดออกมานั้น ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ แต่เป็นเพียงรายการอีเมลที่อาจถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ซึ่ง Hunt ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรหัสผ่าน แต่ก็ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะสามารถใช้ในการโจมตีแบบ targeted หรือ social engineering ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ Hunt ได้ใช้เครื่องมือใหม่ที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า “Email Address Intelligence” เพื่อวิเคราะห์และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตรวจสอบว่าอีเมลใดเคยปรากฏในเหตุการณ์หลุดข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ และเชื่อมโยงกับ breach อื่นๆ ได้ ✅ Have I Been Pwned เพิ่มข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการ ➡️ เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HIBP ➡️ ข้อมูลไม่มีรหัสผ่าน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ แหล่งข้อมูลไม่เปิดเผย ➡️ ได้รับจากบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ เป็นข้อมูลที่เคยถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ✅ เครื่องมือใหม่ “Email Address Intelligence” ➡️ วิเคราะห์ว่าอีเมลเคยหลุดในเหตุการณ์ใดบ้าง ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความเสี่ยงของอีเมลตนเอง ✅ ความสำคัญของการตรวจสอบอีเมล ➡️ ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนใน HIBP ได้ฟรี ➡️ หากพบว่าอีเมลเคยหลุด ควรเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA https://www.troyhunt.com/2-billion-email-addresses-were-exposed-and-we-indexed-them-all-in-have-i-been-pwned/
    WWW.TROYHUNT.COM
    2 Billion Email Addresses Were Exposed, and We Indexed Them All in Have I Been Pwned
    I hate hyperbolic news headlines about data breaches, but for the "2 Billion Email Addresses" headline to be hyperbolic, it'd need to be exaggerated or overstated - and it isn't. It's rounded up from the more precise number of 1,957,476,021 unique email addresses, but other than that,
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • LLM Agent ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แค่ต้องลองเขียนเอง

    บทความจาก Fly.io โดย Thomas Ptacek ชวนให้ทุกคน “เขียน Agent ด้วยตัวเอง” เพราะมันง่ายกว่าที่คิด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเทคโนโลยี LLM agents อย่างแท้จริง

    เขาเปรียบเทียบว่า LLM agents เหมือนการขี่จักรยาน – ฟังดูง่าย แต่จะเข้าใจจริงต้องลองขี่เอง โดยเริ่มจากโค้ด Python ง่ายๆ ที่ใช้ OpenAI API สร้าง loop การสนทนา และค่อยๆ เพิ่มความสามารถ เช่น การเรียกใช้ tools, การจัดการ context, และการสร้าง sub-agent

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นโค้ดไม่กี่บรรทัด แต่สามารถสร้าง agent ที่มีพฤติกรรมซับซ้อนได้ เช่น ตอบคำถามแบบมีบุคลิกหลายแบบ หรือเรียกใช้คำสั่ง ping เพื่อวิเคราะห์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่า “Context Engineering” คือหัวใจของการออกแบบ agent ที่ดี เพราะทุก token ใน context window มีค่า และการจัดการ context อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ agent ทำงานได้แม่นยำขึ้น

    สุดท้าย Ptacek ท้าทายให้ทุกคนลองเขียน agent ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเข้าใจวิธีคิดใหม่ในการเขียนโปรแกรม และการออกแบบระบบที่มีความไม่แน่นอนอย่างมีศิลปะ

    Agent คืออะไรในมุมมองของผู้เขียน
    เป็น LLM ที่รันใน loop และสามารถเรียกใช้ tools ได้
    ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน – เริ่มจากโค้ดง่ายๆ ก็ได้

    การสร้าง Agent ด้วย OpenAI API
    ใช้ context เป็น list ของข้อความสนทนา
    สร้าง loop ที่จำลองการสนทนาแบบ ChatGPT
    เพิ่ม tools เช่น ping เพื่อให้ agent ทำงานจริง

    ความง่ายที่น่าตกใจ
    Agent ที่ตอบคำถามและเรียก tools ได้ ใช้โค้ดไม่ถึง 30 บรรทัด
    LLM สามารถเลือกใช้ tools ได้เองจาก context

    Context Engineering คือหัวใจ
    ทุก token ใน context window มีผลต่อคุณภาพการตอบ
    การจัดการ context อย่างมีระบบช่วยลดความผิดพลาด

    Sub-agent และการออกแบบระบบซับซ้อน
    สามารถสร้าง sub-agent ด้วย context แยกต่างหาก
    ให้ sub-agent สื่อสารกัน สรุปข้อมูล และทำงานร่วมกันได้

    ความท้าทายในการออกแบบ Agent
    ต้องบาลานซ์ระหว่างความไม่แน่นอนกับโครงสร้างที่ชัดเจน
    ต้องเชื่อมต่อกับ “ความจริง” เพื่อป้องกันการตอบมั่ว
    ต้องเลือกวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง agent อย่างเหมาะสม

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    อย่าหลงเชื่อว่า Agent ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ
    MCP (plugin interface) อาจทำให้คุณเสียอิสระในการออกแบบ agent
    การใช้ context window แบบไม่ระวัง อาจทำให้ agent “โง่ลง” โดยไม่รู้ตัว

    https://fly.io/blog/everyone-write-an-agent/
    🤖 LLM Agent ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แค่ต้องลองเขียนเอง บทความจาก Fly.io โดย Thomas Ptacek ชวนให้ทุกคน “เขียน Agent ด้วยตัวเอง” เพราะมันง่ายกว่าที่คิด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเทคโนโลยี LLM agents อย่างแท้จริง เขาเปรียบเทียบว่า LLM agents เหมือนการขี่จักรยาน – ฟังดูง่าย แต่จะเข้าใจจริงต้องลองขี่เอง โดยเริ่มจากโค้ด Python ง่ายๆ ที่ใช้ OpenAI API สร้าง loop การสนทนา และค่อยๆ เพิ่มความสามารถ เช่น การเรียกใช้ tools, การจัดการ context, และการสร้าง sub-agent สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นโค้ดไม่กี่บรรทัด แต่สามารถสร้าง agent ที่มีพฤติกรรมซับซ้อนได้ เช่น ตอบคำถามแบบมีบุคลิกหลายแบบ หรือเรียกใช้คำสั่ง ping เพื่อวิเคราะห์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ บทความยังชี้ให้เห็นว่า “Context Engineering” คือหัวใจของการออกแบบ agent ที่ดี เพราะทุก token ใน context window มีค่า และการจัดการ context อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ agent ทำงานได้แม่นยำขึ้น สุดท้าย Ptacek ท้าทายให้ทุกคนลองเขียน agent ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเข้าใจวิธีคิดใหม่ในการเขียนโปรแกรม และการออกแบบระบบที่มีความไม่แน่นอนอย่างมีศิลปะ ✅ Agent คืออะไรในมุมมองของผู้เขียน ➡️ เป็น LLM ที่รันใน loop และสามารถเรียกใช้ tools ได้ ➡️ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน – เริ่มจากโค้ดง่ายๆ ก็ได้ ✅ การสร้าง Agent ด้วย OpenAI API ➡️ ใช้ context เป็น list ของข้อความสนทนา ➡️ สร้าง loop ที่จำลองการสนทนาแบบ ChatGPT ➡️ เพิ่ม tools เช่น ping เพื่อให้ agent ทำงานจริง ✅ ความง่ายที่น่าตกใจ ➡️ Agent ที่ตอบคำถามและเรียก tools ได้ ใช้โค้ดไม่ถึง 30 บรรทัด ➡️ LLM สามารถเลือกใช้ tools ได้เองจาก context ✅ Context Engineering คือหัวใจ ➡️ ทุก token ใน context window มีผลต่อคุณภาพการตอบ ➡️ การจัดการ context อย่างมีระบบช่วยลดความผิดพลาด ✅ Sub-agent และการออกแบบระบบซับซ้อน ➡️ สามารถสร้าง sub-agent ด้วย context แยกต่างหาก ➡️ ให้ sub-agent สื่อสารกัน สรุปข้อมูล และทำงานร่วมกันได้ ✅ ความท้าทายในการออกแบบ Agent ➡️ ต้องบาลานซ์ระหว่างความไม่แน่นอนกับโครงสร้างที่ชัดเจน ➡️ ต้องเชื่อมต่อกับ “ความจริง” เพื่อป้องกันการตอบมั่ว ➡️ ต้องเลือกวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง agent อย่างเหมาะสม ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ อย่าหลงเชื่อว่า Agent ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ ⛔ MCP (plugin interface) อาจทำให้คุณเสียอิสระในการออกแบบ agent ⛔ การใช้ context window แบบไม่ระวัง อาจทำให้ agent “โง่ลง” โดยไม่รู้ตัว https://fly.io/blog/everyone-write-an-agent/
    FLY.IO
    You Should Write An Agent
    They're like riding a bike: easy, and you don't get it until you try.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gemini Deep Research: AI ส่วนตัวของ Google ที่เจาะลึกถึง Gmail และ Drive ของคุณ

    Google ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับฟีเจอร์ “Deep Research” ใน Gemini AI ที่ไม่ใช่แค่ค้นหาข้อมูลจากเว็บอีกต่อไป แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณใน Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และแม้แต่ Google Chat เพื่อสร้างรายงานที่ “รู้ใจ” และ “ตรงจุด” มากขึ้น!

    ก่อนหน้านี้ Gemini Deep Research ใช้ข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานวิเคราะห์ แต่ตอนนี้มันสามารถดึงข้อมูลจาก Workspace ของคุณได้โดยตรง เช่น:
    ถ้าคุณขอรายงานการตลาด มันจะค้นหาโน้ตใน Drive
    ดึงอีเมลที่เกี่ยวข้องจาก Gmail
    รวมข้อมูลจาก Sheets และ Docs
    แล้วสร้างรายงานที่อิงทั้งข้อมูลภายในและภายนอก

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คุณยังคงควบคุมได้ว่าจะให้ Gemini เข้าถึงอะไรบ้าง ผ่านเมนูตั้งค่าที่เลือกเปิด/ปิดการเข้าถึง Search, Gmail, Drive และ Chat ได้ตามต้องการ

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Gemini Deep Research
    เข้าถึงข้อมูลจาก Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และ Chat
    ใช้ข้อมูลภายในร่วมกับข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานที่แม่นยำ

    ตัวอย่างการใช้งาน
    สร้างรายงานการตลาดจากโน้ตใน Drive + อีเมลใน Gmail
    สร้างสเปรดชีตวิเคราะห์คู่แข่งโดยอิงจากข้อมูลภายในและภายนอก

    การควบคุมความเป็นส่วนตัว
    ผู้ใช้สามารถเลือกเปิด/ปิดการเข้าถึงแต่ละบริการได้
    มีเมนู dropdown ให้เลือกแหล่งข้อมูลที่อนุญาต

    การเปิดใช้งาน
    พร้อมใช้งานแล้วบน Gemini เวอร์ชันเดสก์ท็อป
    รองรับมือถือทั้ง iOS และ Android ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
    ใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

    Gemini Deep Research กำลังเปลี่ยน AI จาก “ผู้ช่วยทั่วไป” เป็น “นักวิเคราะห์ส่วนตัว” ที่เข้าใจบริบทของคุณอย่างลึกซึ้ง พร้อมสร้างข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและตรงจุดมากขึ้นกว่าเดิม

    https://securityonline.info/personalized-ai-geminis-deep-research-now-accesses-your-gmail-google-drive-data/
    🔍 Gemini Deep Research: AI ส่วนตัวของ Google ที่เจาะลึกถึง Gmail และ Drive ของคุณ Google ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับฟีเจอร์ “Deep Research” ใน Gemini AI ที่ไม่ใช่แค่ค้นหาข้อมูลจากเว็บอีกต่อไป แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณใน Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และแม้แต่ Google Chat เพื่อสร้างรายงานที่ “รู้ใจ” และ “ตรงจุด” มากขึ้น! ก่อนหน้านี้ Gemini Deep Research ใช้ข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานวิเคราะห์ แต่ตอนนี้มันสามารถดึงข้อมูลจาก Workspace ของคุณได้โดยตรง เช่น: 🔖 ถ้าคุณขอรายงานการตลาด มันจะค้นหาโน้ตใน Drive 🔖 ดึงอีเมลที่เกี่ยวข้องจาก Gmail 🔖 รวมข้อมูลจาก Sheets และ Docs 🔖 แล้วสร้างรายงานที่อิงทั้งข้อมูลภายในและภายนอก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คุณยังคงควบคุมได้ว่าจะให้ Gemini เข้าถึงอะไรบ้าง ผ่านเมนูตั้งค่าที่เลือกเปิด/ปิดการเข้าถึง Search, Gmail, Drive และ Chat ได้ตามต้องการ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Gemini Deep Research ➡️ เข้าถึงข้อมูลจาก Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และ Chat ➡️ ใช้ข้อมูลภายในร่วมกับข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานที่แม่นยำ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ สร้างรายงานการตลาดจากโน้ตใน Drive + อีเมลใน Gmail ➡️ สร้างสเปรดชีตวิเคราะห์คู่แข่งโดยอิงจากข้อมูลภายในและภายนอก ✅ การควบคุมความเป็นส่วนตัว ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิด/ปิดการเข้าถึงแต่ละบริการได้ ➡️ มีเมนู dropdown ให้เลือกแหล่งข้อมูลที่อนุญาต ✅ การเปิดใช้งาน ➡️ พร้อมใช้งานแล้วบน Gemini เวอร์ชันเดสก์ท็อป ➡️ รองรับมือถือทั้ง iOS และ Android ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ➡️ ใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย Gemini Deep Research กำลังเปลี่ยน AI จาก “ผู้ช่วยทั่วไป” เป็น “นักวิเคราะห์ส่วนตัว” ที่เข้าใจบริบทของคุณอย่างลึกซึ้ง พร้อมสร้างข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและตรงจุดมากขึ้นกว่าเดิม 🧠📂 https://securityonline.info/personalized-ai-geminis-deep-research-now-accesses-your-gmail-google-drive-data/
    SECURITYONLINE.INFO
    Personalized AI: Gemini's Deep Research Now Accesses Your Gmail & Google Drive Data
    Google Gemini's Deep Research now integrates Gmail, Drive, & Docs content to create personalized reports. Users maintain full control over which data the AI accesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ironwood TPU: ขุมพลังใหม่จาก Google ที่จะพลิกโฉมยุค Agentic AI

    Google เปิดตัว “Ironwood” TPU รุ่นที่ 7 ที่งาน Next ’25 พร้อมสเปคสุดโหด 42.5 ExaFLOPS เพื่อรองรับยุคใหม่ของ Agentic AI ที่ต้องการความเร็วและความฉลาดระดับเหนือมนุษย์!

    ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่โมเดลตอบคำถาม แต่กลายเป็น “เอเจนต์อัจฉริยะ” ที่คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง Google จึงเปิดตัว Ironwood TPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลขนาดมหึมาอย่าง Gemini, Claude, Veo และ Imagen

    Ironwood ไม่ใช่แค่แรง แต่ฉลาดและประหยัดพลังงานกว่ารุ่นก่อนถึง 4 เท่า! ด้วยการออกแบบระบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และงานวิจัยโมเดล ทำให้ TPU รุ่นนี้กลายเป็นหัวใจของ “AI Hypercomputer” ที่ Google วางรากฐานไว้

    Ironwood TPU คืออะไร
    ชิปประมวลผล AI รุ่นที่ 7 จาก Google
    ออกแบบเพื่อรองรับ Agentic AI ที่ต้องการ reasoning และ insight ขั้นสูง

    ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น
    42.5 ExaFLOPS ต่อ pod (มากกว่า El Capitan 24 เท่า)
    ชิปเดี่ยวให้พลังสูงสุด 4,614 TFLOPS
    ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    สถาปัตยกรรมใหม่
    ใช้ Inter-Chip Interconnect (ICI) ความเร็ว 9.6 Tb/s
    หน่วยความจำร่วม HBM สูงสุด 1.77 PB
    รองรับการทำงานร่วมกันของหลายพันชิปแบบ “สมองรวม”

    ความร่วมมือกับ Anthropic
    Anthropic เซ็นสัญญาหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้ Ironwood
    เตรียมใช้ TPU สูงสุด 1 ล้านตัวสำหรับ Claude รุ่นใหม่

    เทคโนโลยีเสริม
    Optical Circuit Switching (OCS) เพื่อความเสถียรระดับองค์กร
    CPU Axion รุ่นใหม่ใน VM N4A และ C4A Metal
    ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้น 80% เมื่อเทียบกับ x86

    วิสัยทัศน์ของ Google
    “System-level co-design” รวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโมเดลไว้ในหลังคาเดียว
    Ironwood คือผลลัพธ์จากการพัฒนา TPU ต่อเนื่องกว่า 10 ปี

    Ironwood ไม่ใช่แค่ชิปใหม่ แต่คือการประกาศศักดาเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ “ลงมือทำ” ได้จริง และเร็วระดับ ExaFLOPS!

    https://securityonline.info/42-5-exaflops-google-launches-ironwood-tpu-to-power-next-gen-agentic-ai/
    🚀 Ironwood TPU: ขุมพลังใหม่จาก Google ที่จะพลิกโฉมยุค Agentic AI Google เปิดตัว “Ironwood” TPU รุ่นที่ 7 ที่งาน Next ’25 พร้อมสเปคสุดโหด 42.5 ExaFLOPS เพื่อรองรับยุคใหม่ของ Agentic AI ที่ต้องการความเร็วและความฉลาดระดับเหนือมนุษย์! ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่โมเดลตอบคำถาม แต่กลายเป็น “เอเจนต์อัจฉริยะ” ที่คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง Google จึงเปิดตัว Ironwood TPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลขนาดมหึมาอย่าง Gemini, Claude, Veo และ Imagen Ironwood ไม่ใช่แค่แรง แต่ฉลาดและประหยัดพลังงานกว่ารุ่นก่อนถึง 4 เท่า! ด้วยการออกแบบระบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และงานวิจัยโมเดล ทำให้ TPU รุ่นนี้กลายเป็นหัวใจของ “AI Hypercomputer” ที่ Google วางรากฐานไว้ ✅ Ironwood TPU คืออะไร ➡️ ชิปประมวลผล AI รุ่นที่ 7 จาก Google ➡️ ออกแบบเพื่อรองรับ Agentic AI ที่ต้องการ reasoning และ insight ขั้นสูง ✅ ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น ➡️ 42.5 ExaFLOPS ต่อ pod (มากกว่า El Capitan 24 เท่า) ➡️ ชิปเดี่ยวให้พลังสูงสุด 4,614 TFLOPS ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ✅ สถาปัตยกรรมใหม่ ➡️ ใช้ Inter-Chip Interconnect (ICI) ความเร็ว 9.6 Tb/s ➡️ หน่วยความจำร่วม HBM สูงสุด 1.77 PB ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันของหลายพันชิปแบบ “สมองรวม” ✅ ความร่วมมือกับ Anthropic ➡️ Anthropic เซ็นสัญญาหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้ Ironwood ➡️ เตรียมใช้ TPU สูงสุด 1 ล้านตัวสำหรับ Claude รุ่นใหม่ ✅ เทคโนโลยีเสริม ➡️ Optical Circuit Switching (OCS) เพื่อความเสถียรระดับองค์กร ➡️ CPU Axion รุ่นใหม่ใน VM N4A และ C4A Metal ➡️ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้น 80% เมื่อเทียบกับ x86 ✅ วิสัยทัศน์ของ Google ➡️ “System-level co-design” รวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโมเดลไว้ในหลังคาเดียว ➡️ Ironwood คือผลลัพธ์จากการพัฒนา TPU ต่อเนื่องกว่า 10 ปี Ironwood ไม่ใช่แค่ชิปใหม่ แต่คือการประกาศศักดาเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ “ลงมือทำ” ได้จริง และเร็วระดับ ExaFLOPS! 🌐💡 https://securityonline.info/42-5-exaflops-google-launches-ironwood-tpu-to-power-next-gen-agentic-ai/
    SECURITYONLINE.INFO
    42.5 ExaFLOPS: Google Launches Ironwood TPU to Power Next-Gen Agentic AI
    Google launches Ironwood, its 7th-gen TPU, promising 4x Trillium performance, 42.5 EFLOPS per pod, and 1.77 PB shared HBM to power Agentic AI models like Claude.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 5

    A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน

    เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง

    เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่
    ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน

    ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ”

    ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก

    เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย !

    ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง
    อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้

    แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน

    สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้

    สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
    แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย

    #####
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 6 (จบ)
    (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)

    ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy

    แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy

    อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ

    ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน

    อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น

    อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร

    และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ

    นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม

    สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ

    อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร

    Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
    จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว

    ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ)

    ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ

    อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว

    ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร

    Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้
    และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก

    แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น

    อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้

    อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ
    ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ

    แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่
    หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน

    ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 5 A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่ ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ” ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย ! ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้ แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้ สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ##### นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 6 (จบ) (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน) ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ) ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้ และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้ อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่ หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล

    ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป

    แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง

    OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน

    จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล
    บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ
    หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว”

    แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี
    ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI
    มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud
    OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า
    กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud
    อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    สถานะทางการเงินและการเติบโต
    บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด
    คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
    ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ
    นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล
    รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว
    หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    🧠 เมื่อ OpenAI เลือก “โตเอง” แม้ต้องลงทุนมหาศาล ในช่วงที่ความต้องการใช้ AI พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก OpenAI ประกาศแผนลงทุนกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 8 ปี เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยเน้นศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิป แม้ CFO ของบริษัทจะเคยกล่าวว่าอยากให้รัฐบาลช่วยค้ำประกันการลงทุนในชิป แต่ Altman ออกมายืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้ผู้เสียภาษีต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนของบริษัท หากบริษัทล้มเหลว ก็ต้องรับผิดชอบเอง OpenAI กำลังหาทางสร้างรายได้จากการขาย “AI cloud” หรือบริการให้เช่าโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตรงแก่บริษัทและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้บริษัทกลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft และ Google ที่เคยเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์มาก่อน ✅ จุดยืนของ OpenAI ต่อการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Altman ยืนยันว่า OpenAI ไม่ต้องการให้รัฐบาลค้ำประกันการลงทุนในศูนย์ข้อมูล ➡️ บริษัทเห็นว่าผู้เสียภาษีไม่ควรรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ หากล้มเหลว บริษัทต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้รัฐ “ช่วยเหลือเพื่อความล้มเหลว” ✅ แผนลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI วางแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ➡️ ลงทุนในศูนย์ข้อมูลและโรงงานผลิตชิปเพื่อรองรับการเติบโตของ AI ➡️ มีดีลร่วมกับ Nvidia และ AMD รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ โมเดลธุรกิจใหม่: AI Cloud ➡️ OpenAI เตรียมเปิดบริการขายกำลังประมวลผล AI โดยตรงให้ลูกค้า ➡️ กลายเป็นคู่แข่งของ Microsoft Azure และ Google Cloud ➡️ อาจต้องระดมทุนเพิ่มผ่านหุ้นหรือหนี้ เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ สถานะทางการเงินและการเติบโต ➡️ บริษัทขาดทุนกว่า 12 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ➡️ คาดว่าจะมีรายได้ต่อปีเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ➡️ ตั้งเป้ารายได้ระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์และภาครัฐ ⛔ นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิด “ฟองสบู่ AI” จากการลงทุนมหาศาล ⛔ รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันจะไม่ช่วยเหลือหากบริษัทล้มเหลว ⛔ หาก OpenAI แข่งขันกับพันธมิตรเดิม อาจเกิดความขัดแย้งในอุตสาหกรรมคลาวด์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/openai-does-not-039want-government-guarantees039-for-massive-ai-data-center-buildout-ceo-altman-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI discussed government loan guarantees for chip plants, not data centers, Altman says
    (Reuters) -OpenAI has spoken with the U.S. government about the possibility of federal loan guarantees to spur construction of chip factories in the U.S., but has not sought U.S. government guarantees for building its data centers, CEO Sam Altman said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต

    ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป

    แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม

    Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?”

    เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง

    ความฉลาดแบบดั้งเดิม
    นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้
    วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ
    ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก

    ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข
    คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป
    บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย
    ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ

    ปัญหาแบบ poorly-defined
    ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต
    ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ
    ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก

    ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด
    ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน
    การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน
    อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom”

    ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด
    นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
    อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด
    แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข

    https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    🧠 ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข? เมื่อ IQ ไม่ใช่คำตอบของชีวิต ในบทความจาก Seeds of Science โดย Adam Mastroianni นักจิตวิทยาจากฮาร์วาร์ด ได้ตั้งคำถามที่ชวนคิดว่า “ทำไมคนฉลาดถึงไม่ค่อยมีความสุข?” ทั้งที่ความฉลาดควรช่วยให้เราวางแผนชีวิต แก้ปัญหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 50 ปีจาก General Social Survey พบว่าคนที่มีคะแนนทดสอบความฉลาดสูงกลับมีระดับความสุขต่ำลงเล็กน้อย (r = -0.06) ซึ่งขัดกับความคาดหวังของสังคม Mastroianni เสนอว่าปัญหาอยู่ที่ “นิยามของความฉลาด” ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบมีคำตอบชัดเจน (well-defined problems) เช่น คณิตศาสตร์หรือหมากรุก แต่ชีวิตจริงเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่มีคำตอบตายตัว (poorly-defined problems) เช่น “จะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความหมาย?” หรือ “จะทำอย่างไรเมื่อคนที่รักจากไป?” เขาเสนอว่าความสามารถในการแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบชัดเจนนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ “ความฉลาด” ที่ไม่เคยถูกวัดหรือให้คุณค่าอย่างจริงจัง ✅ ความฉลาดแบบดั้งเดิม ➡️ นิยามโดยความสามารถในการแก้ปัญหา วางแผน และเรียนรู้ ➡️ วัดผ่านแบบทดสอบ IQ และการเรียนรู้ในระบบ ➡️ ใช้กับปัญหาแบบ well-defined เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือหมากรุก ✅ ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสุข ➡️ คนที่มี IQ สูงไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไป ➡️ บางกรณีมีความสุขน้อยลงเล็กน้อย ➡️ ข้อมูลจาก General Social Survey และงานวิจัยอื่น ๆ ✅ ปัญหาแบบ poorly-defined ➡️ ปัญหาที่ไม่มีคำตอบชัดเจน เช่น ความรัก ความหมายชีวิต ➡️ ไม่สามารถแก้ด้วยตรรกะหรือสูตรสำเร็จ ➡️ ต้องใช้ความเข้าใจตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และปัญญาเชิงลึก ✅ ความฉลาดอีกแบบที่ไม่ถูกวัด ➡️ ความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นอน ➡️ การเลือกเป้าหมายชีวิตที่เหมาะสมและยึดมั่นกับมัน ➡️ อาจเรียกว่า “directionness” หรือ “wisdom” ✅ ตัวอย่างคนฉลาดที่ตัดสินใจผิดพลาด ➡️ นักวิชาการระดับสูงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ➡️ อัจฉริยะที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด ➡️ แสดงให้เห็นว่า IQ ไม่ใช่เครื่องมือวัดความดีหรือความสุข https://www.theseedsofscience.pub/p/why-arent-smart-people-happier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ.


    การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง:
    - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก
    - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น
    - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก

    นั่นเป็นเพราะ:
    - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ)
    - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม
    - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน
    - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ
    - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน

    ผลที่ตามมา:
    - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน
    - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ)
    - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์
    - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล

    หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง:
    - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า
    - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย
    - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ
    - นักแปลและล่าม
    - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon)
    - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี
    - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ

    ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม:
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น
    https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897

    ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจ จึงกำหนดทางรอดคนประชาชนคนไทยได้จริง,ถ้านักการเมืองยังปกครองผ่านการเลือกตั้งของระบบอีลิทที่เป็นเจ้าของกลไกการปกครองระบอบที่มันสร้างขึ้นมาควบคุมมนุษย์ ไทยเราเองจะไม่รอดสู่ยุคอนาคตแน่นอน,สถานะทาสAIจะชัดเจนขึ้นแบบทวีคูณ คุณค่าความเป็นมนุษย์จะถูกปกครองให้ด้อยค่าลงจากฝีมือเผด็จการอีลิทเหล่านี้,เรา..คนไทยจะถูกกำจัดทิ้งลงเรื่อยๆแน่นอน พร้อมถูกควบคุมอย่างเป็นระบบภายใต้การปกครองของมันที่ส่งออกมาให้เราใช้แบบปัจจุบัน,ง่าบๆเข้าใจง่ายชัดเจนคือเราถูกปล้นบ่อน้ำมันและทรัพยากรมีค่ามากมายจากแผ่นดินไทยอย่างหน้าด้านๆเหมือนแร่เอิร์ธนั้นล่ะ,ทหารไทย กองทัพไทยต้องปลดแอกชาติไทยเราอย่างจริงจัง.,การปฏิวัติการปกครอง ปฏิวัติยึดอำนาจคืนมาสู่ประเทศไทยจึงสำคัญ. การวิเคราะห์: นี่เป็นแนวโน้มสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจำเป็นต้องตระหนักถึง: - ต้นทุนการรับรู้ของ AI (โทเค็น) กำลังลดลงอย่างมาก - ในขณะที่คุณภาพของโทเค็น AI กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการรับรู้ของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น - ในขณะที่ผลผลิตจากการรับรู้ของมนุษย์กำลังลดลงอย่างมาก นั่นเป็นเพราะ: - วัคซีนทำลายสมองมนุษย์และทำให้เกิดการผ่าตัดสมอง (lobotomy) อย่างกว้างขวางในประชากรมนุษย์ (โดยตั้งใจ) - อาหารขยะแปรรูปและยาจำนวนมากทำลายประสิทธิภาพการรับรู้ เนื่องจากสมองได้รับพลังงานจากเลือด และเลือดถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คุณกินและดื่ม - ด้วยปัจจัยเหล่านี้ มนุษย์จำนวนมากกำลังประสบกับภาวะเสื่อมถอยของความสามารถในการรับรู้เพื่อทักษะการทำงาน บางคนลืมทักษะการทำงาน - ค่าครองชีพ (สำหรับมนุษย์) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นในสิ่งต่างๆ เช่น อาหารและประกันสุขภาพ - เนื่องจากสารเคมีในเทรล โลหะหนัก การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลง มลพิษทางอุตสาหกรรม การหลั่งโปรตีนหนาม ฯลฯ สุขภาพของมนุษย์จึงลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดต้นทุนใหม่ ๆ ที่สูงในการรักษามนุษย์ให้อยู่ในระบบเงินเดือน ผลที่ตามมา: - AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ดีกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ในหลายๆ งานเท่านั้น แต่ยังมีราคาถูกลงมากอีกด้วย โดยจะมีราคาถูกลง 10 เท่า (ประมาณการ) ทุกๆ 9 เดือน - AI ไม่จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามนุษย์อย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะมาแทนที่มนุษย์ได้ หากมันราคาถูกกว่า 10 เท่า (ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี AI จะมีราคาถูกกว่าระบบการรับรู้ของมนุษย์ถึง 100 เท่า (ประมาณการ) - การแทนที่มนุษย์ด้วย AI ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้อง อุบัติเหตุ ความเสี่ยงจากการจารกรรมขององค์กร และอื่น ๆ ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการลาพักร้อน วันหยุด วันลาป่วย ฯลฯ ของมนุษย์ - สำหรับบริษัทต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ สมการนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าควรแทนที่มนุษย์ด้วยเอเจนต์ AI ให้ได้มากที่สุด โดยเร็วที่สุด โดยไม่ลังเล หลายภาคส่วนงานจะถูก AI เข้ามาแทนที่ 60% - 80% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งน่าจะรวมถึง: - ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า - ฝ่ายสนับสนุนก่อนการขาย - นักเขียน นักตรวจทาน และบรรณาธิการ - นักแปลและล่าม - ฝ่ายบริหารธุรกิจ (ระดับผู้จัดการระดับกลาง เช่น การประกาศปลดพนักงาน 30,000 คนโดย Amazon) - นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักฟิสิกส์ นักเคมี - ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะสร้างสรรค์ รวมถึงศิลปะกราฟิก ภาพยนตร์ ดนตรี วิศวกรรมเสียง และอื่นๆ ผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในพอดแคสต์ใหม่ของผม: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงราคาตกต่ำ ขณะที่ต้นทุนของมนุษย์ยังคงสูงขึ้น https://www.brighteon.com/e8b099f0-f018-4640-8764-af08692f6897
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qu-MRI” กล้องควอนตัมเพชรเปลี่ยนโลกเซมิคอนดักเตอร์

    ลองจินตนาการถึงการตรวจสอบชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบ 3D โดยไม่ต้องสัมผัส ไม่ต้องทำลาย และยังแม่นยำระดับนาโนแอมป์ — นี่คือสิ่งที่ EuQlid ทำได้ด้วย “Qu-MRI” เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ควอนตัมเซ็นเซอร์จากเพชรในการสแกนวงจรภายในชิปแบบไม่รุกราน

    บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด

    บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด

    AI + ควอนตัม = การตรวจสอบที่แม่นยำและรวดเร็ว
    Qu-MRI ไม่เพียงแต่ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิปได้เร็วขึ้น แต่ยังสามารถใช้ในสายการผลิตจริงแบบ inline ได้ทันที ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพของชิป โดยเฉพาะในยุคที่ 3D IC และ HBM (High Bandwidth Memory) กำลังเติบโต

    ตลาดใหญ่และการลงทุนที่หลั่งไหล
    ตลาดเครื่องมือวัดและตรวจสอบเซมิคอนดักเตอร์มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว EuQlid ได้รับเงินลงทุนแล้วกว่า 3 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้จากลูกค้าในช่วงแรกกว่า 1.5 ล้านดอลลาร์ โดยมีลูกค้าในวงการวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก

    Qu-MRI: เทคโนโลยีสแกนชิปแบบไม่ทำลาย
    ใช้ Quantum NV-diamond magnetometry ตรวจจับกระแสไฟฟ้าฝังในชิป
    ไม่ต้องสัมผัสหรือทำลายชั้นของชิป
    ตรวจสอบได้แม้ในสายการผลิตจริง

    ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    ลดต้นทุนการตรวจสอบและการผลิต
    ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิป 3D IC และ HBM ได้แม่นยำ
    เพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์

    การผสาน AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง
    วิเคราะห์ข้อมูลจากการสแกนได้รวดเร็วและแม่นยำ
    รองรับการตรวจสอบ CPU และ GPU ที่ทำงานอยู่

    การเติบโตของ EuQlid
    ได้รับเงินลงทุนจาก QDNL Participations กว่า 3 ล้านดอลลาร์
    มีลูกค้าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, NYU, Oxford

    ความท้าทายของการตรวจสอบชิปแบบเดิม
    ต้องบดหรือผ่าชั้นของชิปเพื่อดูภายใน
    ใช้เวลานานและทำลายชิ้นงาน
    ไม่สามารถใช้ในสายการผลิตแบบเรียลไทม์

    ความซับซ้อนของชิปยุคใหม่
    3D IC และ HBM มีโครงสร้างซับซ้อน ตรวจสอบยาก
    ข้อผิดพลาดที่ฝังลึกอาจไม่ถูกตรวจพบด้วยวิธีเดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/quantum-diamond-scanner-delivers-non-invasive-3d-imaging-of-semiconductors-euqlid-qu-mri-could-save-chip-foundries-billions-of-dollars
    💎🔬 “Qu-MRI” กล้องควอนตัมเพชรเปลี่ยนโลกเซมิคอนดักเตอร์ ลองจินตนาการถึงการตรวจสอบชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบ 3D โดยไม่ต้องสัมผัส ไม่ต้องทำลาย และยังแม่นยำระดับนาโนแอมป์ — นี่คือสิ่งที่ EuQlid ทำได้ด้วย “Qu-MRI” เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ควอนตัมเซ็นเซอร์จากเพชรในการสแกนวงจรภายในชิปแบบไม่รุกราน บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด บริษัท EuQlid ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Harvard, Yale และ Texas Instruments ได้เปิดตัว Qu-MRI หลังจากพัฒนาในโหมดลับมานาน โดยใช้เทคนิค Quantum NV-diamond magnetometry ร่วมกับ AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง เพื่อสร้างแผนที่กระแสไฟฟ้าที่ฝังอยู่ภายในชิปแบบละเอียด 🧠 AI + ควอนตัม = การตรวจสอบที่แม่นยำและรวดเร็ว Qu-MRI ไม่เพียงแต่ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิปได้เร็วขึ้น แต่ยังสามารถใช้ในสายการผลิตจริงแบบ inline ได้ทันที ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพของชิป โดยเฉพาะในยุคที่ 3D IC และ HBM (High Bandwidth Memory) กำลังเติบโต 💰 ตลาดใหญ่และการลงทุนที่หลั่งไหล ตลาดเครื่องมือวัดและตรวจสอบเซมิคอนดักเตอร์มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว EuQlid ได้รับเงินลงทุนแล้วกว่า 3 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้จากลูกค้าในช่วงแรกกว่า 1.5 ล้านดอลลาร์ โดยมีลูกค้าในวงการวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ✅ Qu-MRI: เทคโนโลยีสแกนชิปแบบไม่ทำลาย ➡️ ใช้ Quantum NV-diamond magnetometry ตรวจจับกระแสไฟฟ้าฝังในชิป ➡️ ไม่ต้องสัมผัสหรือทำลายชั้นของชิป ➡️ ตรวจสอบได้แม้ในสายการผลิตจริง ✅ ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ ลดต้นทุนการตรวจสอบและการผลิต ➡️ ตรวจจับข้อผิดพลาดในชิป 3D IC และ HBM ได้แม่นยำ ➡️ เพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ ✅ การผสาน AI และการประมวลผลสัญญาณขั้นสูง ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากการสแกนได้รวดเร็วและแม่นยำ ➡️ รองรับการตรวจสอบ CPU และ GPU ที่ทำงานอยู่ ✅ การเติบโตของ EuQlid ➡️ ได้รับเงินลงทุนจาก QDNL Participations กว่า 3 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีลูกค้าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, NYU, Oxford ‼️ ความท้าทายของการตรวจสอบชิปแบบเดิม ⛔ ต้องบดหรือผ่าชั้นของชิปเพื่อดูภายใน ⛔ ใช้เวลานานและทำลายชิ้นงาน ⛔ ไม่สามารถใช้ในสายการผลิตแบบเรียลไทม์ ‼️ ความซับซ้อนของชิปยุคใหม่ ⛔ 3D IC และ HBM มีโครงสร้างซับซ้อน ตรวจสอบยาก ⛔ ข้อผิดพลาดที่ฝังลึกอาจไม่ถูกตรวจพบด้วยวิธีเดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/quantum-diamond-scanner-delivers-non-invasive-3d-imaging-of-semiconductors-euqlid-qu-mri-could-save-chip-foundries-billions-of-dollars
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: ไม่ต้องปัดขวาอีกต่อไป — AI กำลังพลิกโฉมแอปหาคู่

    AI กำลังเปลี่ยนวิธีการจับคู่ในแอปหาคู่จากการปัดขวาแบบเดิมๆ ไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและความชอบส่วนบุคคล โดยทั้งสตาร์ทอัพและแอปใหญ่ต่างเร่งพัฒนา AI matchmaker เพื่อแก้ปัญหา “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” ที่ผู้ใช้มักเจอในแอปหาคู่แบบเก่า.

    Emma Inge หญิงสาววัย 25 ปีจากซานฟรานซิสโก เบื่อหน่ายกับการปัดขวาใน Tinder และ Hinge จึงลองใช้บริการของ Known สตาร์ทอัพที่ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ เธอใช้เวลา 20 นาทีพูดคุยกับ AI ผ่านโทรศัพท์ บอกความชอบและข้อห้าม จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับการจับคู่ — จ่ายครั้งเดียว US$25 เพื่อไปเจอกันที่บาร์

    แม้จะโดน ghosted หลังเดทแรก แต่เธอยอมรับว่า “AI จับคู่ได้ดี แต่คนจริงๆ นั่นแหละที่ไม่เวิร์ก”

    บริษัทใหญ่ก็ไม่ยอมตกเทรนด์:
    Tinder กำลังทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” ที่ให้ AI สแกนรูปภาพในมือถือเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้
    Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมจนจำนวนการจับคู่เพิ่มขึ้น 15%
    Bumble เตรียมเปิดตัวแอปจับคู่ด้วย AI ภายในปีนี้

    นอกจากนี้ยังมีการทดลองฟีเจอร์ล้ำๆ เช่น:
    AI dating coach ที่ให้คำแนะนำหลังเดท
    AI clones ที่จับคู่กันเองแล้วรายงานผลให้เจ้าของ

    แต่ก็มีเสียงต้านจากผู้ใช้ที่ไม่ชอบ “AI slop” หรือระบบอัตโนมัติที่มากเกินไป บางแอปจึงเลือกไม่เปิดเผยว่าใช้ AI อยู่

    การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแอปหาคู่
    จากระบบปัดขวาไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกด้วย AI
    ผู้ใช้จ่ายต่อการจับคู่แทนการสมัครสมาชิกรายเดือน
    สตาร์ทอัพอย่าง Known ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ

    การปรับตัวของแอปใหญ่
    Tinder ทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” สแกนรูปเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้
    Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมเพิ่มการจับคู่
    Bumble เตรียมเปิดตัวแอป AI matchmaking

    ฟีเจอร์ AI ที่กำลังทดลอง
    AI dating coach ให้คำแนะนำหลังเดท
    AI clones ทดลองจับคู่กันเอง
    Facebook Dating ให้ผู้ใช้พิมพ์ลักษณะคู่ในฝันเพื่อจับคู่

    คำเตือนจากผู้ใช้และนักวิเคราะห์
    “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” จากการใช้แอปหาคู่แบบเดิมยังคงอยู่
    การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
    การเปิดให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ อาจเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/you-dont-need-to-swipe-right-ai-is-transforming-dating-apps
    💘 หัวข้อข่าว: ไม่ต้องปัดขวาอีกต่อไป — AI กำลังพลิกโฉมแอปหาคู่ AI กำลังเปลี่ยนวิธีการจับคู่ในแอปหาคู่จากการปัดขวาแบบเดิมๆ ไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและความชอบส่วนบุคคล โดยทั้งสตาร์ทอัพและแอปใหญ่ต่างเร่งพัฒนา AI matchmaker เพื่อแก้ปัญหา “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” ที่ผู้ใช้มักเจอในแอปหาคู่แบบเก่า. Emma Inge หญิงสาววัย 25 ปีจากซานฟรานซิสโก เบื่อหน่ายกับการปัดขวาใน Tinder และ Hinge จึงลองใช้บริการของ Known สตาร์ทอัพที่ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ เธอใช้เวลา 20 นาทีพูดคุยกับ AI ผ่านโทรศัพท์ บอกความชอบและข้อห้าม จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับการจับคู่ — จ่ายครั้งเดียว US$25 เพื่อไปเจอกันที่บาร์ แม้จะโดน ghosted หลังเดทแรก แต่เธอยอมรับว่า “AI จับคู่ได้ดี แต่คนจริงๆ นั่นแหละที่ไม่เวิร์ก” บริษัทใหญ่ก็ไม่ยอมตกเทรนด์: 🔖 Tinder กำลังทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” ที่ให้ AI สแกนรูปภาพในมือถือเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้ 🔖 Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมจนจำนวนการจับคู่เพิ่มขึ้น 15% 🔖 Bumble เตรียมเปิดตัวแอปจับคู่ด้วย AI ภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีการทดลองฟีเจอร์ล้ำๆ เช่น: 🔖 AI dating coach ที่ให้คำแนะนำหลังเดท 🔖 AI clones ที่จับคู่กันเองแล้วรายงานผลให้เจ้าของ แต่ก็มีเสียงต้านจากผู้ใช้ที่ไม่ชอบ “AI slop” หรือระบบอัตโนมัติที่มากเกินไป บางแอปจึงเลือกไม่เปิดเผยว่าใช้ AI อยู่ ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแอปหาคู่ ➡️ จากระบบปัดขวาไปสู่การจับคู่แบบเจาะลึกด้วย AI ➡️ ผู้ใช้จ่ายต่อการจับคู่แทนการสมัครสมาชิกรายเดือน ➡️ สตาร์ทอัพอย่าง Known ใช้ AI chatbot เป็นแม่สื่อ ✅ การปรับตัวของแอปใหญ่ ➡️ Tinder ทดสอบฟีเจอร์ “Chemistry” สแกนรูปเพื่อเรียนรู้ผู้ใช้ ➡️ Hinge ใช้ generative AI ปรับอัลกอริธึมเพิ่มการจับคู่ ➡️ Bumble เตรียมเปิดตัวแอป AI matchmaking ✅ ฟีเจอร์ AI ที่กำลังทดลอง ➡️ AI dating coach ให้คำแนะนำหลังเดท ➡️ AI clones ทดลองจับคู่กันเอง ➡️ Facebook Dating ให้ผู้ใช้พิมพ์ลักษณะคู่ในฝันเพื่อจับคู่ ‼️ คำเตือนจากผู้ใช้และนักวิเคราะห์ ⛔ “วงจรแห่งความสิ้นหวัง” จากการใช้แอปหาคู่แบบเดิมยังคงอยู่ ⛔ การใช้ AI มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ⛔ การเปิดให้ AI เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ อาจเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/06/you-dont-need-to-swipe-right-ai-is-transforming-dating-apps
    WWW.THESTAR.COM.MY
    You don't need to swipe right. AI is transforming dating apps.
    Meet your artificial intelligence matchmakers. These A.I. tools are changing dating apps, so users don't have to swipe through an endless scroll of profiles.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ”

    ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack

    แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน

    Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack
    แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน
    รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต

    การตอบสนองของบริษัท
    รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง
    แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น
    ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด

    ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า
    Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019
    Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง
    การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ
    ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง
    ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส

    ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน
    มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน
    ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้
    การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่

    ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว”
    การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน
    การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก
    การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น

    https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ” ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์ สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน ✅ Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน ➡️ มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack ➡️ แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน ➡️ รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง ➡️ แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด ✅ ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า ➡️ Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019 ➡️ Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง ➡️ การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ ➡️ ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง ➡️ ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน ⛔ มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน ⛔ ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้ ⛔ การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่ ‼️ ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว” ⛔ การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน ⛔ การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก ⛔ การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    HACKREAD.COM
    Hackers Steal Personal Data and 17K Slack Messages in Nikkei Data Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fwupd 2.0.17 มาแล้ว! เพิ่มการรองรับ SSD และอุปกรณ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์อัปเดตสุดล้ำ

    Fwupd 2.0.17 เวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมืออัปเดตเฟิร์มแวร์บน Linux ได้เปิดตัวแล้ว โดยมาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลายชนิด รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้การอัปเดตปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อย่างมืออาชีพ.

    Fwupd เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเวอร์ชัน 2.0.17 นี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น SSD จาก Lexar และ Maxio, เมาส์ Primax Ryder 2, กล้อง Huddly C1, คีย์บอร์ด Framework Copilot และชิป Genesys GL352530/GL352360

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการอัปเดตแบบ phased deployment ฝั่ง client, การใช้ลายเซ็น post-quantum เพื่อความปลอดภัยในอนาคต, และการ dump ข้อมูล eventlog แบบ raw เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก

    เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
    Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการถอดรหัสโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต
    Phased deployment ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตผิดพลาด โดยทยอยปล่อยอัปเดตให้กลุ่มผู้ใช้ทีละส่วน
    การ dump eventlog แบบ raw ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาเฟิร์มแวร์ได้อย่างละเอียด

    รองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลาย
    Lexar และ Maxio NVMe SSDs, ASUS CX9406, Framework Copilot keyboard, Primax Ryder 2 mouse, Huddly C1, Genesys GL352530/GL352360

    เพิ่มฟีเจอร์ client-side phased update deployment
    ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและควบคุมได้

    รองรับ post-quantum signatures
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจาก quantum computing

    เพิ่มคำสั่ง fwupdtpmevlog สำหรับ dump eventlog
    เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ดูแลเครือข่าย

    รองรับ UDisks รุ่นเก่าและปรับปรุง manpage
    เพิ่มความเข้ากันได้และความเข้าใจในการใช้งาน

    รองรับการ parsing VSS/FTW จาก EFI volumes
    ช่วยให้การจัดการ BIOS และ EFI มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ปรับปรุงการจัดการ composite devices และ BIOS region
    ลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งและอัปเดต

    ปรับปรุงการอัปเดต Logitech peripherals และ Dell dock firmware
    เพิ่มความเสถียรและลดข้อผิดพลาดในการใช้งานจริง

    ผู้ใช้ควรอัปเดตผ่าน repository ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ

    การใช้งานฟีเจอร์ใหม่อาจต้องศึกษาคำสั่งเพิ่มเติม เช่น fwupdtpmevlog หรือการจัดการ GUID จาก serial number

    https://9to5linux.com/fwupd-2-0-17-released-with-support-for-lexar-and-maxio-nvme-ssds
    🛠️ Fwupd 2.0.17 มาแล้ว! เพิ่มการรองรับ SSD และอุปกรณ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์อัปเดตสุดล้ำ Fwupd 2.0.17 เวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมืออัปเดตเฟิร์มแวร์บน Linux ได้เปิดตัวแล้ว โดยมาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลายชนิด รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้การอัปเดตปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อย่างมืออาชีพ. Fwupd เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเวอร์ชัน 2.0.17 นี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น SSD จาก Lexar และ Maxio, เมาส์ Primax Ryder 2, กล้อง Huddly C1, คีย์บอร์ด Framework Copilot และชิป Genesys GL352530/GL352360 นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการอัปเดตแบบ phased deployment ฝั่ง client, การใช้ลายเซ็น post-quantum เพื่อความปลอดภัยในอนาคต, และการ dump ข้อมูล eventlog แบบ raw เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก 📚 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม 💠 Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการถอดรหัสโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต 💠 Phased deployment ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตผิดพลาด โดยทยอยปล่อยอัปเดตให้กลุ่มผู้ใช้ทีละส่วน 💠 การ dump eventlog แบบ raw ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาเฟิร์มแวร์ได้อย่างละเอียด ✅ รองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลาย ➡️ Lexar และ Maxio NVMe SSDs, ASUS CX9406, Framework Copilot keyboard, Primax Ryder 2 mouse, Huddly C1, Genesys GL352530/GL352360 ✅ เพิ่มฟีเจอร์ client-side phased update deployment ➡️ ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและควบคุมได้ ✅ รองรับ post-quantum signatures ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจาก quantum computing ✅ เพิ่มคำสั่ง fwupdtpmevlog สำหรับ dump eventlog ➡️ เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ดูแลเครือข่าย ✅ รองรับ UDisks รุ่นเก่าและปรับปรุง manpage ➡️ เพิ่มความเข้ากันได้และความเข้าใจในการใช้งาน ✅ รองรับการ parsing VSS/FTW จาก EFI volumes ➡️ ช่วยให้การจัดการ BIOS และ EFI มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ปรับปรุงการจัดการ composite devices และ BIOS region ➡️ ลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งและอัปเดต ✅ ปรับปรุงการอัปเดต Logitech peripherals และ Dell dock firmware ➡️ เพิ่มความเสถียรและลดข้อผิดพลาดในการใช้งานจริง ‼️ ผู้ใช้ควรอัปเดตผ่าน repository ที่ปลอดภัย ⛔ หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ ‼️ การใช้งานฟีเจอร์ใหม่อาจต้องศึกษาคำสั่งเพิ่มเติม ⛔ เช่น fwupdtpmevlog หรือการจัดการ GUID จาก serial number https://9to5linux.com/fwupd-2-0-17-released-with-support-for-lexar-and-maxio-nvme-ssds
    9TO5LINUX.COM
    Fwupd 2.0.17 Released with Support for Lexar and Maxio NVMe SSDs - 9to5Linux
    Fwupd 2.0.17 Linux firmware updater is now available for download with support for ASUS CX9406 touch controller, Framework Copilot keyboard.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts