• #มีความพยายาม ที่จะเป็นคนดี 😀
    #รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ 😀
    #มีความพยายาม ที่จะเป็นคนดี 😀 #รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ 😀
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย แนะรัฐตรวจเข้มกลุ่มรถที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดงบฯ – สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ

    เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น สะท้อนความล้มเหลวในการป้องกัน และควบคุมการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนไทย ตอกย้ำสมญานามประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากการจราจรมากที่สุด สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และครองแชมป์อันดับ 1 ในอาเซียน
    อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยง ทั้งในด้านพฤติกรรมการขับขี่ ความรู้ในการเผชิญเหตุฉุกเฉิน ยังได้นำไปสู่การเปิดโปงข้อบกพร่องของ “ระบบตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย” โดยเฉพาะรถทัศนาจร หรือ “รถรับจ้างไม่ประจำทาง” ที่วิ่งให้บริการขวักไขว่ อันเป็นภาพคุ้นชินตาของคนไทย

    ‘ทีดีอาร์ไอ’ เผยมีรถรับจ้างไม่ประจำทางเพียง 5% ผ่าน “มาตรฐานลุกไหม้”
    ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า แม้ว่ากรมการขนส่งทางบก จะมีความพยายามในการปรับปรุงมาตรฐานรถโดยสารขนาดใหญ่ในหลายประเด็น รวมถึงมาตรฐานด้านการลุกไหม้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดคุณสมบัติด้านการลุกไหม้การลามไฟของวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในรถโดยสาร แต่ปรากฎว่าประกาศดังกล่าวถูกเลื่อนการบังคับใช้อยู่เรื่อย ๆ
    ด้วยเหตุผลเพราะผู้ประกอบการ ไม่มีความพร้อมในการแบกรับต้นทุน จากการเปลี่ยนไปใช้วัสดุกันไฟที่มีราคาแพง จนกระทั่งสุดท้ายเพิ่งบังคับใช้ได้จริงในปี 2565 แต่กลับไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งหมายความว่าใช้บังคับได้เฉพาะกับรถที่จดทะเบียนใหม่ หรือ มีการปรับปรุงตัวถังใหม่ในปี 2565 เท่านั้น “รถคันที่เกิดเหตุก็เป็นหนึ่งในกรณี ที่ไม่เข้าเงื่อนไขของประกาศฉบับนี้ เนื่องจากมีการจดเบียนใหม่ในปี 2561”

    ดร.สุเมธ ระบุว่าปัจจุบันรถทัศนาจรในกลุ่มมาตรฐาน 1 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับรถคันที่เกิดเหตุ มีจำนวน 5,896 คัน และรถมาตรฐาน 4 หรือรถ 2 ชั้น มีจำนวน 4,972 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในจำนวนทั้งหมดกว่า 1 หมื่นคัน มีจำนวนเพียง 5% เท่านั้น ที่ผ่านมาตรฐานด้านการลุกไหม้ และอนุมานได้ว่าส่วนที่เหลืออีก 95% ที่เป็นรถจดทะเบียนก่อนประกาศดังกล่าวบังคับใช้ ยังไม่ถูกกำหนดให้มีมาตรฐานนี้ ขณะที่ในต่างประเทศเวลากำหนดมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้ จะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังด้วย และต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี

    “คาดว่ามีรถที่ไม่ผ่านหรือไม่ได้มาตรฐานใหม่ ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเป็นหมื่นคัน แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่วิ่งอยู่บนท้องถนนตอนนี้ เสมือนกับเป็นระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีกเมื่อไหร่ ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก ควรติดตามตรวจสอบรถในกลุ่มนี้ ที่ยังวิ่งอยู่ในระบบ เช่น ด้านมาตรฐานทนไฟ การชนด้านหน้า สภาพรถเป็นอย่างไร ติดก๊าซหรือไม่ ฯลฯ โดยเร่งกำหนดมาตรการอย่างเข้มข้นในรถกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน”

    จี้ ขบ.ตรวจเข้มรถเสี่ยงสูง – เสนอรัฐจัดงบฯหนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ
    ดร.สุเมธ เน้นย้ำว่าเหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจร ซึ่งความเสี่ยงนี้กระทบต่อสวัสดิภาพของประชาชน โจทย์ใหญ่ของรัฐคือจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้รถเหล่านี้มีมาตรฐานดีขึ้นได้อย่างไร ทั้งการเปลี่ยนวัสดุไวไฟ เช่น เบาะที่นั่ง ม่าน พรม ให้เป็นไปตามมาตรฐาน UNECE ซึ่งคือการใช้วัสดุที่ทนไฟได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟลุกไหม้จะไม่เร็วและแรง สามารถช่วยซื้อเวลาให้ผู้โดยสารหนีออกภายนอกตัวรถได้
    “ภาครัฐอาจจะต้องเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจต่าง ๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงไปยังผู้ประกอบการ หรือ อาจมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนในการปรับปรุงมาตรฐานรถ”

    สำหรับกรณีระยะเวลาการใช้งานของรถคันเกิดเหตุ ที่พบว่ามีการจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2513 นั้น ดร.สุเมธ กล่าวว่า องค์ประกอบหลักของรถจะมี 2 ส่วน คือ
    ส่วนที่ 1 : โครงหลัก หรือที่เรียกว่า “แชสซี” ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของรถ ซึ่งอยู่ด้านใต้ตัวรถติดกับโครงล้อ ซึ่งปกติรถขนาดใหญ่จะจดทะเบียนครั้งแรกด้วยแชสซี ซึ่งส่วนนี้มีอายุการใช้งาน 70-80 ปี
    ส่วนที่ 2 : ตัวถังรถ ประกอบไปด้วย หลังคา ประตู เบาะที่นั่ง โดยตัวถังรถมีอายุการใช้งาน 8-10 ปีเท่านั้น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ
    อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวถังรถหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเป็นหลักว่าต้องการเปลี่ยนหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการกำหนดอายุรถ หรือระยะเวลาการปรับปรุงสภาพรถ มีแต่การตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยกรมการขนส่งทางบก 2 ครั้งต่อปี

    “ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง จะมีการปรับปรุงความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร การตรวจสอบมีความเข้มงวดมากน้อยขนาดไหน ตรงนี้ล้วนเป็นประเด็น เพราะมาตรฐานการติดตั้ง ยังเป็นสิ่งที่มีความท้าทายในการตรวจสอบอยู่ หากการติดตั้งทำโดยช่างผู้ชำนาญการก็จะได้มาตรฐานสูง แต่ถ้าติดตั้งโดยไม่รัดกุมมากนัก ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ประกายไฟ ได้” ดร.สุเมธ ระบุ

    ยกระดับทัศนศึกษาปลอดภัย ซักซ้อม – วางแผน – ลงรายละเอียด รับมือเหตุไม่คาดคิด

    ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถึงเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการ ต้องทบทวนเชิงระบบ เพื่อสร้างแนวทางการไปทัศนศึกษาที่ปลอดภัย โดยปัจจุบันการไปทัศนศึกษาของเด็กมีอยู่ 2 รูปแบบ 1. ไปเช้า – เย็นกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทัศนศึกษาในช่วงปิดเทอมหนึ่ง ประมาณเดือนตุลาคม กับ 2. ทัศนศึกษาแบบพักค้างคืนจะอยู่ในช่วงเทอมสอง ซึ่งจะมีการเดินทางช่วงกลางคืน มีการใช้รถบัสสองชั้น การเกิดอุบัติเหตุจึงมักจะเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม

    นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า คณะผู้จัดกิจกรรมไปทัศนศึกษา ต้องวางแผนโดยการลงรายละเอียด ทั้งการเตรียมครูประจำรถกี่คนต่อจำนวนเด็ก ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เช่น อาจจะต้องเป็นครูหนึ่งคนต่อ 10 คน เป็นต้น หรือหากเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ หรือเกิดเพลิงไหม้ คุณครูก็ต้องรู้จักการใช้ถังดับเพลิง และถ้าจำเป็นต้องอพยพ คุณครูจะต้องวางแผนอพยพออกทางไหน ประตูอยู่ตรงจุดไหน เป็นต้น

    เสนอยกเลิกรถสองชั้นเด็ดขาด – เพิ่มวงเงินประกันภัยภาคบังคับ

    นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวถึงข้อเสนอในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ โดยเน้นย้ำการยกเลิกการใช้รถสองชั้นในการรับจ้างแบบไม่ประจำทาง อันเป็นสิ่งที่องค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้มีข้อเสนอเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ยังไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง รวมถึงรื้อระบบตรวจสภาพรถบริการขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันตรวจสภาพปีละสองครั้ง แต่ในบางประเทศตรวจทุกไตรมาส ซึ่งจริง ๆ ควรจะดูตามจํานวนการใช้งาน หรือกำหนดเป็นระยะเวลาตายตัวเพียงอย่างเดียว

    นอกจากนี้ เสนอให้ขยายวงเงินประกันภัยภาคบังคับ ของรถโดยสารแบบไม่ประจำทาง โดยเพิ่มวงเงินประกันเป็น 30 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันการทำประกันภัยรถภาคบังคับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 กำหนดความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน แต่มีข้อกำหนดวงเงินเฉลี่ยจ่ายจากวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง ซึ่งไม่ครอบคลุมความเสียหายเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

    “ความสูญเสียที่เกิดขึ้นต้องนำไปสู่การพัฒนากฎ ระเบียบ มาตรการต่าง ๆ และวิธีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรถโดยสาร” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าว

    จากอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ สู่ปัญหา “รถโรงเรียนไทยไม่ปลอดภัย”

    ความไม่ปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนไทย ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง และเปรียบเทียบมาตรฐานความปลอดภัยของไทยกับต่างประเทศ โดยล่าสุดในโซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูล รถรับส่งนักเรียนในสหรัฐ มีการควบคุมความปลอดภัยมากกว่ารถปกติถึง 70 เท่า ขณะที่ของญี่ปุ่นกรณีรถบัสทัศนศึกษา นอกจากการตรวจสอบมาตรฐานตัวรถที่เข้มงวด ยังมีการติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็วในการขับขี่อีกด้วย

    สำหรับประเทศไทย หากย้อนกลับไปที่ข้อมูลของ ศวปถ. และสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งระบุในคู่มือการจัดระบบรถโรงเรียนให้ปลอดภัยและเป็นธรรม พบว่าระหว่างปี 2562 – 2564 เกิดอุบัติเหตุกับรถโรงเรียนมากถึง 38 ครั้ง มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 431 ราย

    จากการสํารวจข้อมูลรถโรงเรียนทุกภูมิภาค ได้สะท้อนภาพปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง 3 ปมปัญหาใหญ่ที่รอเวลาเกิดเหตุ ได้แก่

    สภาพรถที่ไม่ได้มาตรฐาน : ดัดแปลงรถ ไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ควรมี เช่น ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง เป็นต้น

    ผู้ขับประมาทไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร : ใช้ประสบการณ์ความเคยชินขับเร็วเสี่ยงอันตราย ขาดความรู้ความเข้าใจบทบาทการขับรถส่งนักเรียน

    ขาดระบบจัดการรถที่ดี : ขาดระบบกำกับควบคุมผู้ขับขี่ รวมถึงกลไกสนับสนุนเพื่อให้เกิดระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ

    แม้การเพิ่มมาตรการและความเข้มงวดภายหลังเกิดเหตุ จะหนีไม่พ้นคำพูดที่ว่า “วัวหายล้อมคอก” แต่ในบริบทของประเทศไทย เมื่อเกิดบทเรียนขึ้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันล้อมคอกไม่ให้เกิดเหตุสลด เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

    ที่มา https://thaipublica.org/2024/10/tdri-reveals-95-of-non-regular-taxis-are-ticking-time-bombs-on-thai-roads/

    #Thaitimes
    ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย แนะรัฐตรวจเข้มกลุ่มรถที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดงบฯ – สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น สะท้อนความล้มเหลวในการป้องกัน และควบคุมการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนไทย ตอกย้ำสมญานามประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากการจราจรมากที่สุด สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และครองแชมป์อันดับ 1 ในอาเซียน อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยง ทั้งในด้านพฤติกรรมการขับขี่ ความรู้ในการเผชิญเหตุฉุกเฉิน ยังได้นำไปสู่การเปิดโปงข้อบกพร่องของ “ระบบตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย” โดยเฉพาะรถทัศนาจร หรือ “รถรับจ้างไม่ประจำทาง” ที่วิ่งให้บริการขวักไขว่ อันเป็นภาพคุ้นชินตาของคนไทย ‘ทีดีอาร์ไอ’ เผยมีรถรับจ้างไม่ประจำทางเพียง 5% ผ่าน “มาตรฐานลุกไหม้” ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า แม้ว่ากรมการขนส่งทางบก จะมีความพยายามในการปรับปรุงมาตรฐานรถโดยสารขนาดใหญ่ในหลายประเด็น รวมถึงมาตรฐานด้านการลุกไหม้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดคุณสมบัติด้านการลุกไหม้การลามไฟของวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในรถโดยสาร แต่ปรากฎว่าประกาศดังกล่าวถูกเลื่อนการบังคับใช้อยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลเพราะผู้ประกอบการ ไม่มีความพร้อมในการแบกรับต้นทุน จากการเปลี่ยนไปใช้วัสดุกันไฟที่มีราคาแพง จนกระทั่งสุดท้ายเพิ่งบังคับใช้ได้จริงในปี 2565 แต่กลับไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งหมายความว่าใช้บังคับได้เฉพาะกับรถที่จดทะเบียนใหม่ หรือ มีการปรับปรุงตัวถังใหม่ในปี 2565 เท่านั้น “รถคันที่เกิดเหตุก็เป็นหนึ่งในกรณี ที่ไม่เข้าเงื่อนไขของประกาศฉบับนี้ เนื่องจากมีการจดเบียนใหม่ในปี 2561” ดร.สุเมธ ระบุว่าปัจจุบันรถทัศนาจรในกลุ่มมาตรฐาน 1 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับรถคันที่เกิดเหตุ มีจำนวน 5,896 คัน และรถมาตรฐาน 4 หรือรถ 2 ชั้น มีจำนวน 4,972 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในจำนวนทั้งหมดกว่า 1 หมื่นคัน มีจำนวนเพียง 5% เท่านั้น ที่ผ่านมาตรฐานด้านการลุกไหม้ และอนุมานได้ว่าส่วนที่เหลืออีก 95% ที่เป็นรถจดทะเบียนก่อนประกาศดังกล่าวบังคับใช้ ยังไม่ถูกกำหนดให้มีมาตรฐานนี้ ขณะที่ในต่างประเทศเวลากำหนดมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้ จะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังด้วย และต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี “คาดว่ามีรถที่ไม่ผ่านหรือไม่ได้มาตรฐานใหม่ ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเป็นหมื่นคัน แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่วิ่งอยู่บนท้องถนนตอนนี้ เสมือนกับเป็นระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีกเมื่อไหร่ ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก ควรติดตามตรวจสอบรถในกลุ่มนี้ ที่ยังวิ่งอยู่ในระบบ เช่น ด้านมาตรฐานทนไฟ การชนด้านหน้า สภาพรถเป็นอย่างไร ติดก๊าซหรือไม่ ฯลฯ โดยเร่งกำหนดมาตรการอย่างเข้มข้นในรถกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน” จี้ ขบ.ตรวจเข้มรถเสี่ยงสูง – เสนอรัฐจัดงบฯหนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ ดร.สุเมธ เน้นย้ำว่าเหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจร ซึ่งความเสี่ยงนี้กระทบต่อสวัสดิภาพของประชาชน โจทย์ใหญ่ของรัฐคือจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้รถเหล่านี้มีมาตรฐานดีขึ้นได้อย่างไร ทั้งการเปลี่ยนวัสดุไวไฟ เช่น เบาะที่นั่ง ม่าน พรม ให้เป็นไปตามมาตรฐาน UNECE ซึ่งคือการใช้วัสดุที่ทนไฟได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟลุกไหม้จะไม่เร็วและแรง สามารถช่วยซื้อเวลาให้ผู้โดยสารหนีออกภายนอกตัวรถได้ “ภาครัฐอาจจะต้องเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจต่าง ๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงไปยังผู้ประกอบการ หรือ อาจมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนในการปรับปรุงมาตรฐานรถ” สำหรับกรณีระยะเวลาการใช้งานของรถคันเกิดเหตุ ที่พบว่ามีการจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2513 นั้น ดร.สุเมธ กล่าวว่า องค์ประกอบหลักของรถจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 : โครงหลัก หรือที่เรียกว่า “แชสซี” ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของรถ ซึ่งอยู่ด้านใต้ตัวรถติดกับโครงล้อ ซึ่งปกติรถขนาดใหญ่จะจดทะเบียนครั้งแรกด้วยแชสซี ซึ่งส่วนนี้มีอายุการใช้งาน 70-80 ปี ส่วนที่ 2 : ตัวถังรถ ประกอบไปด้วย หลังคา ประตู เบาะที่นั่ง โดยตัวถังรถมีอายุการใช้งาน 8-10 ปีเท่านั้น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวถังรถหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเป็นหลักว่าต้องการเปลี่ยนหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการกำหนดอายุรถ หรือระยะเวลาการปรับปรุงสภาพรถ มีแต่การตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย โดยกรมการขนส่งทางบก 2 ครั้งต่อปี “ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง จะมีการปรับปรุงความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร การตรวจสอบมีความเข้มงวดมากน้อยขนาดไหน ตรงนี้ล้วนเป็นประเด็น เพราะมาตรฐานการติดตั้ง ยังเป็นสิ่งที่มีความท้าทายในการตรวจสอบอยู่ หากการติดตั้งทำโดยช่างผู้ชำนาญการก็จะได้มาตรฐานสูง แต่ถ้าติดตั้งโดยไม่รัดกุมมากนัก ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ประกายไฟ ได้” ดร.สุเมธ ระบุ ยกระดับทัศนศึกษาปลอดภัย ซักซ้อม – วางแผน – ลงรายละเอียด รับมือเหตุไม่คาดคิด ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถึงเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการ ต้องทบทวนเชิงระบบ เพื่อสร้างแนวทางการไปทัศนศึกษาที่ปลอดภัย โดยปัจจุบันการไปทัศนศึกษาของเด็กมีอยู่ 2 รูปแบบ 1. ไปเช้า – เย็นกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทัศนศึกษาในช่วงปิดเทอมหนึ่ง ประมาณเดือนตุลาคม กับ 2. ทัศนศึกษาแบบพักค้างคืนจะอยู่ในช่วงเทอมสอง ซึ่งจะมีการเดินทางช่วงกลางคืน มีการใช้รถบัสสองชั้น การเกิดอุบัติเหตุจึงมักจะเกิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า คณะผู้จัดกิจกรรมไปทัศนศึกษา ต้องวางแผนโดยการลงรายละเอียด ทั้งการเตรียมครูประจำรถกี่คนต่อจำนวนเด็ก ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เช่น อาจจะต้องเป็นครูหนึ่งคนต่อ 10 คน เป็นต้น หรือหากเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ หรือเกิดเพลิงไหม้ คุณครูก็ต้องรู้จักการใช้ถังดับเพลิง และถ้าจำเป็นต้องอพยพ คุณครูจะต้องวางแผนอพยพออกทางไหน ประตูอยู่ตรงจุดไหน เป็นต้น เสนอยกเลิกรถสองชั้นเด็ดขาด – เพิ่มวงเงินประกันภัยภาคบังคับ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวถึงข้อเสนอในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ โดยเน้นย้ำการยกเลิกการใช้รถสองชั้นในการรับจ้างแบบไม่ประจำทาง อันเป็นสิ่งที่องค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้มีข้อเสนอเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ยังไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง รวมถึงรื้อระบบตรวจสภาพรถบริการขนส่งสาธารณะ ปัจจุบันตรวจสภาพปีละสองครั้ง แต่ในบางประเทศตรวจทุกไตรมาส ซึ่งจริง ๆ ควรจะดูตามจํานวนการใช้งาน หรือกำหนดเป็นระยะเวลาตายตัวเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ เสนอให้ขยายวงเงินประกันภัยภาคบังคับ ของรถโดยสารแบบไม่ประจำทาง โดยเพิ่มวงเงินประกันเป็น 30 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันการทำประกันภัยรถภาคบังคับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 กำหนดความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน แต่มีข้อกำหนดวงเงินเฉลี่ยจ่ายจากวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง ซึ่งไม่ครอบคลุมความเสียหายเมื่อเกิดเหตุร้ายแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก “ความสูญเสียที่เกิดขึ้นต้องนำไปสู่การพัฒนากฎ ระเบียบ มาตรการต่าง ๆ และวิธีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรถโดยสาร” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าว จากอุบัติเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ สู่ปัญหา “รถโรงเรียนไทยไม่ปลอดภัย” ความไม่ปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียนไทย ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง และเปรียบเทียบมาตรฐานความปลอดภัยของไทยกับต่างประเทศ โดยล่าสุดในโซเชียลมีเดียมีการแชร์ข้อมูล รถรับส่งนักเรียนในสหรัฐ มีการควบคุมความปลอดภัยมากกว่ารถปกติถึง 70 เท่า ขณะที่ของญี่ปุ่นกรณีรถบัสทัศนศึกษา นอกจากการตรวจสอบมาตรฐานตัวรถที่เข้มงวด ยังมีการติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็วในการขับขี่อีกด้วย สำหรับประเทศไทย หากย้อนกลับไปที่ข้อมูลของ ศวปถ. และสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งระบุในคู่มือการจัดระบบรถโรงเรียนให้ปลอดภัยและเป็นธรรม พบว่าระหว่างปี 2562 – 2564 เกิดอุบัติเหตุกับรถโรงเรียนมากถึง 38 ครั้ง มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 431 ราย จากการสํารวจข้อมูลรถโรงเรียนทุกภูมิภาค ได้สะท้อนภาพปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง 3 ปมปัญหาใหญ่ที่รอเวลาเกิดเหตุ ได้แก่ สภาพรถที่ไม่ได้มาตรฐาน : ดัดแปลงรถ ไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ควรมี เช่น ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง เป็นต้น ผู้ขับประมาทไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร : ใช้ประสบการณ์ความเคยชินขับเร็วเสี่ยงอันตราย ขาดความรู้ความเข้าใจบทบาทการขับรถส่งนักเรียน ขาดระบบจัดการรถที่ดี : ขาดระบบกำกับควบคุมผู้ขับขี่ รวมถึงกลไกสนับสนุนเพื่อให้เกิดระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพ แม้การเพิ่มมาตรการและความเข้มงวดภายหลังเกิดเหตุ จะหนีไม่พ้นคำพูดที่ว่า “วัวหายล้อมคอก” แต่ในบริบทของประเทศไทย เมื่อเกิดบทเรียนขึ้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันล้อมคอกไม่ให้เกิดเหตุสลด เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต ที่มา https://thaipublica.org/2024/10/tdri-reveals-95-of-non-regular-taxis-are-ticking-time-bombs-on-thai-roads/ #Thaitimes
    THAIPUBLICA.ORG
    ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย
    ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง! ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ 95% รถรับจ้างไม่ประจำทาง คือ ระเบิดเวลาบนท้องถนนไทย แนะรัฐตรวจเข้มกลุ่มรถที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมจัดงบฯ - สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หนุนผู้ประกอบการใช้วัสดุทนไฟ
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 633 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ

    หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ

    ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร

    บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้

    ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน

    ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน

    กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา

    จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน

    ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ

    เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด

    1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่

    3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน

    4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น

    Cr: Boonchu Chung (羅文娟)
    จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว

    - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง
    การปฏิรูปการศึกษาที่จีน

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที

    ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก

    กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด

    ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย

    ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง

    ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์

    และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก

    นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น

    ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ

    และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง

    งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้

    เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก

    ลดการบ้านเด็ก

    ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ

    คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร

    ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ

    ปรับครูทุก 6 ปี

    ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ

    นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก

    ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่

    ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด

    และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที

    เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา
    #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้ ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด 1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่ 3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน 4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น Cr: Boonchu Chung (羅文娟) จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง การปฏิรูปการศึกษาที่จีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์ และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้ เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก ลดการบ้านเด็ก ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ ปรับครูทุก 6 ปี ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่ ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนึ่งตัวอย่างของเด็กที่มีความพยายาม ในการแสดงความสามารถด้านดนตรีไทย ของน้อง อนัญญา จาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม)
    #ไทยโหมโรง #สยามเด็กเล่น #เดี่ยวจะเข้ #ศรีวัฒนธรรม #thaitimes #thaitimesวัฒนธรรม
    หนึ่งตัวอย่างของเด็กที่มีความพยายาม ในการแสดงความสามารถด้านดนตรีไทย ของน้อง อนัญญา จาก โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) #ไทยโหมโรง #สยามเด็กเล่น #เดี่ยวจะเข้ #ศรีวัฒนธรรม #thaitimes #thaitimesวัฒนธรรม
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 744 มุมมอง 158 0 รีวิว
  • Sep. 13, 2024

    วันนี้เห็นคลิปทหารทุกหมู่เหล่า หน่วยกู้ภัย มูลนิธิต่างๆ และจิตอาสา ต่างระดมกำลังกัน ช่วยชาวบ้านออกจากพื้นที่อันตราย ส่งข้าว ส่งน้ำ และของประทังชีวิตให้ถึงมือทั้งทางเรือ และทางอากาศ
    https://youtu.be/-jaZXpfHsgo?si=YFcFCL5e6vndU-XQ

    มันช่างต่างกับคลิปบ่ายเบี่ยงของนายกคนลูก และออกไปสร้างภาพช่วยผู้ประสบภัยอีกครั้ง หลังจากนายกคนพ่อไปถ่ายรูปสร้างภาพที่สุโขทัยตอนน้ำสูงเท่าพื้นรองเท้า และจัดฉากให้คนนั่งในเรือยกมือไหว้มันซะด้วย ล่อลวงด้วยนโยบายแจกเงินสกุล digital หมื่นนึง ซึ่งบัดนี้กลายเป็นแจกเงินสดที่เลื่อนวันจ่ายออกไปเรื่อยๆ...มันช่างน่าทุเรศใจเหลือเกิน

    คิดย้อนไปถึงตอนก่อนเราจะกลับจาก New York ช่วงพฤศจิกายน 2022 ตอนนั้น Powerball Lotto คือ lottery game ของรัฐที่เข้าร่วมทั้งหมด 45 รัฐ รางวัลที่ฮือฮามากเมื่อก่อน covid คือเกือบ $700 ล้านเหรียญ ถ้าไม่มีใครถูก รางวัลก็จะทบไปเรื่อยๆ จน Jackpot แตกไปเมื่อวันที่ 7 พย. 2022 คือ $2040 ล้านเหรียญ ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา และที่สำคัญ Jackpot winner มีคนเดียวด้วย

    ติ๊ต่างว่าเราคือคนๆนั้นนะ และเราเลือกที่จะไม่รับเบี้ยหัวแตก 30 ปี แต่เราเลือกเอาก้อนเดียวเลย เงินรางวัลเราก็จะได้ครึ่งเดียว คือเหลือ $1020 ล้านเหรียญ จากนั้นก่อนจะอุ้มเงินหนีกลับบ้าน คุณจะโดนหัก state & federal tax อีก 37% ก็จะเหลือกลมๆประมาณ $640 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ตอนนั้น ฿35/$1 ก็คือ ฿22,400 ล้านบาทไทย...ก็เอาละวะ

    ตอนกลับมาไทย เราชอบชวน taxi และคนในพื้นที่ที่ภูเก็ตคุย เราก็จะเล่าเรื่องหวยฝรั่งรางวัลใหญ่ให้พี่ๆ taxi และหลายๆคนฟัง แล้วเราก็นึกสนุกขึ้นมา จึงตั้งคำถามกับ taxi และคนที่ภูเก็ตอีกหลายต่อหลายคนว่า...

    "ถ้าหนูมีเงิน $640 ล้านเหรียญ และในเมืองไทยมีคนอยู่ในประเทศ 70 ล้านคนนะ อ้ะๆ ให้ 80 ล้านคนเลย (เผื่อพม่า ลาว เขมรจะวิ่งเข้ามาด้วย) หนูแจกตังให้ฟรีๆคนละ $1 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยคือคนละ ฿35 ล้านบาท) หนูก็จะเหลือตังอีก $560 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยก็เหลืออีกตั้ง ฿19,600 ล้านบาทไทย) แจกแบบนับจำนวนหัว ไม่ดูอายุกันเลยนะ คุณยายจะตายพรุ่งนี้ก็แจก เด็กเกิดใหม่อายุ 1 วันก็ได้นะ แต่หนูไม่แจกคนที่ติดคุกอยู่ และพระสงฆ์ค่ะ...พี่ว่ามันจะดีมั้ยคะ คิดดีๆก่อนตอบนะ ไม่ต้องรีบ ถามคำถามก่อนตอบก็ได้นะ"

    80% เป็นการตอบแบบไม่หยุดคิดก่อนเลยซักวินาทีเดียว
    "ดีสิครับ" "ดีเด่ะพี่" "โห ผมให้เลขบัญชีคนทั้งครอบครัวพี่เดี๋ยวนี้เลย"
    15% มีการยิงคำถามบ้าง แล้วก็ตอบว่า "ดีครับ ควรแจกครับ"
    มีแค่ 5% ที่คิด-ถาม-คิดอีกที จึงตอบว่า
    "ประเทศเละแน่ๆครับ" "ผมว่าพี่อาจจะโดนยิงตายภายใน 3 วัน" "ผมว่าน่าจะมีหลายคนที่ไม่เคยมี และเขาสามารถทำให้เงินหมดได้ภายในเวลาแป๊บเดียวนะ"

    คราวนี้ตาเราถามพวก 80% แรกกลับบ้าง
    "คำถามแรก ทุกคนมีหนี้นอกระบบพะรุงพะรังถูกมั้ยคะ มีใครคิดจะใช้หนี้ให้หมดก่อนมั้ย หรือคิดว่า ก็เจ้าหนี้ ก็ได้ ฿35 ล้านบาทแล้วไง งั้นก็ไม่ต้องใช้คืนก็ได้
    แล้วหนูบอกว่าหนูแจกทุกคนเลยนะ นักโทษฆ่าข่มขืนเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาหนูก็แจกนะ คนที่แอบทำธุรกิจค้ายาค้ามนุษย์ คนบ้าข้างถนน หนูก็แจกนะคะ ถ้าผัวเมียชาวนามีลูก 8 คน ครอบครัวนั้นจะได้เงิน ฿350 ล้านบาทนะคะ
    คำถามต่อไปคือ พี่ว่าชาวนาจะยังปลูกข้าวอยู่มั้ย พี่ว่าพระจะสึกออกมารับเงินกันกี่รูป พี่ว่าคุณลุงคุณป้าที่ทำร้านอาหารอยู่ แล้วอีกวันเขามีเงินรวมกัน ฿70 ล้านบาท เขาจะเปิดร้านต่อมั้ย พี่เข้าไปร้าน 7-11 แล้วจะมีใครทำงานมั้ย พี่ว่าข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร จะยังอยากรับใช้ประชาชนแบบเช้าชามเย็นชามเพื่อรอเงินบำนาญอยู่มั้ย พี่ว่ารปภ. คนส่ง Grab คนรับจ้างตัดหญ้า คนรับจ้างกรีดยาง คณะละครร้องรำตามงานวัด จะยังอยากทำงานต่อมั้ย งานวัดจะมีอีกมั้ยเพราะคนทำชิงช้าสวรรค์ ขายสายไหม ซุ้มปาเป้า อาจจะไปเที่ยวยุโรปกันหมดแล้ว ไม่มีใครทำงานแล้ว คนต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทย จะยังได้รับรอยยิ้มสยาม และการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนไทยอยู่อีกมั้ย ทำไมต้องมานั่งนวดฝรั่งริมหาดร้อนๆด้วยเนอะ ชาวประมงใส่นาฬิกา 3 ล้านบาทได้เหมือนนักการเมืองแล้วนะ แถมเหลือตังอีกตั้งแยะ เขาจะยังออกไปจับปลามาขายมั้ย...ที่แย่ที่สุดคือ พี่ว่าคนในครอบครัวจะฆ่ากันเองเพราะโลภอยากได้เงินพี่น้องพ่อแม่หรือผัวเมียตัวเองมั้ย
    ...ตกลงพี่ว่าหนูยังควรแจกตังอยู่มั้ยคะ"
    นี่คือความคิดโง่ๆทุเรศๆของเราเล่นๆ แต่มีคนสนับสนุนความคิดบ้องตื้นของเราถึง 80% เพียงเพราะอยากได้เงินก้อนโต

    เวลาผ่านไป 2 ปี มีนักการเมืองเอาความคิดคล้ายๆกัน แต่จะไปกู้เงินมาหยิบยื่นให้ประชาชน แต่ให้แบบเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกคนเป็นหนี้ท่วมหัวชั่วลูกชั่วหลานหนักกว่าเดิม แต่คนส่วนนึงก็ยังสนับสนุนความคิดนี้อย่างแข็งขัน เพราะอยากได้เงินแค่หมื่นเดียว

    ตอนนี้ผู้ประสบภัยพิบัติมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีนักการเมืองแวะมาดูๆ ถ่ายรูปตอนมอบถุงยังชีพ 2-3 แชะ แล้วหนูน้อยก็บอกว่า "ตอนนี้น้ำแรงมาก เรือท้องแบนเข้าไปไม่ได้ เมื่อน้ำลดลง พวกเราพร้อมจะเข้าช่วยทันที" อ๋ออออ เรือท้องท้องแบนเข้าไปสู้กับน้ำเชี่ยวๆได้แหละเนอะ น้ำไม่ค่อยแรงหรอก ไว้เรือท้องแบนเข้าได้ แล้วค่อยไปก็ได้ คนไทยอดข้าวอดน้ำ 4-5 วันได้ อึฉี่บนหลังคาบ้านก็ได้ เก่งจะตาย ไม่รีบๆ
    https://x.com/Kawaaii13/status/1834174006418964973?t=Qgom67KE-O0gYasaeateSA&s=19

    ลองเข้าไปดู tiktok ของ @tiktok.thailand89 นะคะ ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ ขับ jet ski เก่งมากๆทุกคนเลยค่ะ
    https://www.tiktok.com/@tiktok.thailand89?_t=8pghh09pg0q&_r=1

    นายกหนูน้อยคะ นี่ไงคะ แพร่ลดแล้ว สุโขทัยลดแล้ว เมืองพังเละเทะ ที่ว่าพร้อมจะเข้าช่วยทันที ว้า..แย่จัง ตอนนี้ต้องไปช่วยเชียงรายก่อน ไหนจะต้องแอบเร่งทำเรื่องคาสิโนให้ผ่าน ช่วงที่กำลังอลหม่านเรื่องน้ำท่วมนี่แหละ แถมทีม IO ก็ค่อยๆทยอยลงคลิปเสียงคนโน้นคนนี้ ปล่อยข่าวดาราไทยที่โดนดาราชาติอื่นๆหลอก ฯลฯ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คนด่านายกหนูน้อยเยอะ มุขมันเก่าไปแล้วค่ะ รายการเจาะลึกทั่วไทย เอาคลิปลุงมาสร้างกระแส เอาจริงๆ ลุงหยุมแกก็อยากเป็นใหญ่ ใครๆก็รู้มาตั้งนานแล้วป่ะ คุณมดดำ ก็สร้างกระแส acting ทำเป็นโกรธดาราเกาหลีมากมาย ได้ตังกันไปเท่าไหร่จ๊ะ

    สังเกตุมั้ย ครอบครัวนี้ขึ้นมามีอำนาจทีไร น้ำท่วมใหญ่ทุกที โดนทั้งอา ทั้งหลานเลย มันคือสัญญาณอะไรเอ่ย คล้ายกับธรรมชาติไม่พอใจพฤติกรรมของมนุษย์ จึงส่งภัยพิบัติมาช่วยเบิกเนตรให้คนตาสว่าง งั้นเราขอถามคำถามตอนนี้ว่า

    ติ๊ต่างนะคะ ว่าตอนนี้มีเงินหมื่นบาทลอยเข้า app เป๋าตังเรียบร้อยแล้ว...แต่ไปซื้อของก็ไม่ได้ เพราะน้ำท่วมร้านค้ามิดหลังคาเลย ได้ข้าวสารมา แต่ไม่มีไฟฟ้าให้หุงข้าว จะหุงด้วยฟืน ฟืนก็เปียกน้ำหมด เหลือแต่ตัวกับเงินหมื่นบาทใน app

    ก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ ของวิญญูชนชัดเจนแล้วว่า การเอาเงินมาแจกให้คน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องค่ะ หากแต่การให้ความรู้แก่ผู้ใฝ่รู้ที่มีความพยายาม ความอดทน และความมุ่งมั่นต่างหาก ที่จะเป็นทางออกที่แท้จริงให้กับประชาชนและประเทศชาติ

    มีชายท่านนึง ท่านเคยศึกษา และทดลองทำอะไร หลายสิ่งหลายอย่าง มีโครงการมากมายที่ได้ผลสำเร็จ และนำเอาความรู้เหล่านั้นมาเผยแพร่ให้ฟรีๆ และยังเป็นศาสตร์ความรู้ที่นำมาใช้ต่อไปได้ไม่จำกัดกาล แต่คนส่วนใหญ่ กลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลมันนานเกินไป จนภัยมาถึงตัวในวันนี้

    และนี่อาจจะเป็นเหตุผลนึง ที่ทำให้คนที่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ยังเก็บเงินไว้กับตัว เพราะเขาอาจจะต้องการให้สังคมยังมีความเหลื่อมล้ำมากอยู่ตลอดไป ไม่งั้นจะไปหาคนรองมือรองตีนได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะหาลูกหนี้ได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะไปหาเหยื่อที่เห็นเงินตาโตแล้วร้อยไว้ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ

    ปล.
    ภูเก็ตก็หนักอยู่ เตรียมรับอีกลูกวันที่ 17 จ้ะ
    ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ
    https://www.facebook.com/share/v/YGS8GsJ3YXbtrxjK/?mibextid=D5vuiz
    Sep. 13, 2024 วันนี้เห็นคลิปทหารทุกหมู่เหล่า หน่วยกู้ภัย มูลนิธิต่างๆ และจิตอาสา ต่างระดมกำลังกัน ช่วยชาวบ้านออกจากพื้นที่อันตราย ส่งข้าว ส่งน้ำ และของประทังชีวิตให้ถึงมือทั้งทางเรือ และทางอากาศ https://youtu.be/-jaZXpfHsgo?si=YFcFCL5e6vndU-XQ มันช่างต่างกับคลิปบ่ายเบี่ยงของนายกคนลูก และออกไปสร้างภาพช่วยผู้ประสบภัยอีกครั้ง หลังจากนายกคนพ่อไปถ่ายรูปสร้างภาพที่สุโขทัยตอนน้ำสูงเท่าพื้นรองเท้า และจัดฉากให้คนนั่งในเรือยกมือไหว้มันซะด้วย ล่อลวงด้วยนโยบายแจกเงินสกุล digital หมื่นนึง ซึ่งบัดนี้กลายเป็นแจกเงินสดที่เลื่อนวันจ่ายออกไปเรื่อยๆ...มันช่างน่าทุเรศใจเหลือเกิน คิดย้อนไปถึงตอนก่อนเราจะกลับจาก New York ช่วงพฤศจิกายน 2022 ตอนนั้น Powerball Lotto คือ lottery game ของรัฐที่เข้าร่วมทั้งหมด 45 รัฐ รางวัลที่ฮือฮามากเมื่อก่อน covid คือเกือบ $700 ล้านเหรียญ ถ้าไม่มีใครถูก รางวัลก็จะทบไปเรื่อยๆ จน Jackpot แตกไปเมื่อวันที่ 7 พย. 2022 คือ $2040 ล้านเหรียญ ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา และที่สำคัญ Jackpot winner มีคนเดียวด้วย ติ๊ต่างว่าเราคือคนๆนั้นนะ และเราเลือกที่จะไม่รับเบี้ยหัวแตก 30 ปี แต่เราเลือกเอาก้อนเดียวเลย เงินรางวัลเราก็จะได้ครึ่งเดียว คือเหลือ $1020 ล้านเหรียญ จากนั้นก่อนจะอุ้มเงินหนีกลับบ้าน คุณจะโดนหัก state & federal tax อีก 37% ก็จะเหลือกลมๆประมาณ $640 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ตอนนั้น ฿35/$1 ก็คือ ฿22,400 ล้านบาทไทย...ก็เอาละวะ ตอนกลับมาไทย เราชอบชวน taxi และคนในพื้นที่ที่ภูเก็ตคุย เราก็จะเล่าเรื่องหวยฝรั่งรางวัลใหญ่ให้พี่ๆ taxi และหลายๆคนฟัง แล้วเราก็นึกสนุกขึ้นมา จึงตั้งคำถามกับ taxi และคนที่ภูเก็ตอีกหลายต่อหลายคนว่า... "ถ้าหนูมีเงิน $640 ล้านเหรียญ และในเมืองไทยมีคนอยู่ในประเทศ 70 ล้านคนนะ อ้ะๆ ให้ 80 ล้านคนเลย (เผื่อพม่า ลาว เขมรจะวิ่งเข้ามาด้วย) หนูแจกตังให้ฟรีๆคนละ $1 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยคือคนละ ฿35 ล้านบาท) หนูก็จะเหลือตังอีก $560 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยก็เหลืออีกตั้ง ฿19,600 ล้านบาทไทย) แจกแบบนับจำนวนหัว ไม่ดูอายุกันเลยนะ คุณยายจะตายพรุ่งนี้ก็แจก เด็กเกิดใหม่อายุ 1 วันก็ได้นะ แต่หนูไม่แจกคนที่ติดคุกอยู่ และพระสงฆ์ค่ะ...พี่ว่ามันจะดีมั้ยคะ คิดดีๆก่อนตอบนะ ไม่ต้องรีบ ถามคำถามก่อนตอบก็ได้นะ" 80% เป็นการตอบแบบไม่หยุดคิดก่อนเลยซักวินาทีเดียว "ดีสิครับ" "ดีเด่ะพี่" "โห ผมให้เลขบัญชีคนทั้งครอบครัวพี่เดี๋ยวนี้เลย" 15% มีการยิงคำถามบ้าง แล้วก็ตอบว่า "ดีครับ ควรแจกครับ" มีแค่ 5% ที่คิด-ถาม-คิดอีกที จึงตอบว่า "ประเทศเละแน่ๆครับ" "ผมว่าพี่อาจจะโดนยิงตายภายใน 3 วัน" "ผมว่าน่าจะมีหลายคนที่ไม่เคยมี และเขาสามารถทำให้เงินหมดได้ภายในเวลาแป๊บเดียวนะ" คราวนี้ตาเราถามพวก 80% แรกกลับบ้าง "คำถามแรก ทุกคนมีหนี้นอกระบบพะรุงพะรังถูกมั้ยคะ มีใครคิดจะใช้หนี้ให้หมดก่อนมั้ย หรือคิดว่า ก็เจ้าหนี้ ก็ได้ ฿35 ล้านบาทแล้วไง งั้นก็ไม่ต้องใช้คืนก็ได้ แล้วหนูบอกว่าหนูแจกทุกคนเลยนะ นักโทษฆ่าข่มขืนเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาหนูก็แจกนะ คนที่แอบทำธุรกิจค้ายาค้ามนุษย์ คนบ้าข้างถนน หนูก็แจกนะคะ ถ้าผัวเมียชาวนามีลูก 8 คน ครอบครัวนั้นจะได้เงิน ฿350 ล้านบาทนะคะ คำถามต่อไปคือ พี่ว่าชาวนาจะยังปลูกข้าวอยู่มั้ย พี่ว่าพระจะสึกออกมารับเงินกันกี่รูป พี่ว่าคุณลุงคุณป้าที่ทำร้านอาหารอยู่ แล้วอีกวันเขามีเงินรวมกัน ฿70 ล้านบาท เขาจะเปิดร้านต่อมั้ย พี่เข้าไปร้าน 7-11 แล้วจะมีใครทำงานมั้ย พี่ว่าข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร จะยังอยากรับใช้ประชาชนแบบเช้าชามเย็นชามเพื่อรอเงินบำนาญอยู่มั้ย พี่ว่ารปภ. คนส่ง Grab คนรับจ้างตัดหญ้า คนรับจ้างกรีดยาง คณะละครร้องรำตามงานวัด จะยังอยากทำงานต่อมั้ย งานวัดจะมีอีกมั้ยเพราะคนทำชิงช้าสวรรค์ ขายสายไหม ซุ้มปาเป้า อาจจะไปเที่ยวยุโรปกันหมดแล้ว ไม่มีใครทำงานแล้ว คนต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทย จะยังได้รับรอยยิ้มสยาม และการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนไทยอยู่อีกมั้ย ทำไมต้องมานั่งนวดฝรั่งริมหาดร้อนๆด้วยเนอะ ชาวประมงใส่นาฬิกา 3 ล้านบาทได้เหมือนนักการเมืองแล้วนะ แถมเหลือตังอีกตั้งแยะ เขาจะยังออกไปจับปลามาขายมั้ย...ที่แย่ที่สุดคือ พี่ว่าคนในครอบครัวจะฆ่ากันเองเพราะโลภอยากได้เงินพี่น้องพ่อแม่หรือผัวเมียตัวเองมั้ย ...ตกลงพี่ว่าหนูยังควรแจกตังอยู่มั้ยคะ" นี่คือความคิดโง่ๆทุเรศๆของเราเล่นๆ แต่มีคนสนับสนุนความคิดบ้องตื้นของเราถึง 80% เพียงเพราะอยากได้เงินก้อนโต เวลาผ่านไป 2 ปี มีนักการเมืองเอาความคิดคล้ายๆกัน แต่จะไปกู้เงินมาหยิบยื่นให้ประชาชน แต่ให้แบบเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกคนเป็นหนี้ท่วมหัวชั่วลูกชั่วหลานหนักกว่าเดิม แต่คนส่วนนึงก็ยังสนับสนุนความคิดนี้อย่างแข็งขัน เพราะอยากได้เงินแค่หมื่นเดียว ตอนนี้ผู้ประสบภัยพิบัติมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีนักการเมืองแวะมาดูๆ ถ่ายรูปตอนมอบถุงยังชีพ 2-3 แชะ แล้วหนูน้อยก็บอกว่า "ตอนนี้น้ำแรงมาก เรือท้องแบนเข้าไปไม่ได้ เมื่อน้ำลดลง พวกเราพร้อมจะเข้าช่วยทันที" อ๋ออออ เรือท้องท้องแบนเข้าไปสู้กับน้ำเชี่ยวๆได้แหละเนอะ น้ำไม่ค่อยแรงหรอก ไว้เรือท้องแบนเข้าได้ แล้วค่อยไปก็ได้ คนไทยอดข้าวอดน้ำ 4-5 วันได้ อึฉี่บนหลังคาบ้านก็ได้ เก่งจะตาย ไม่รีบๆ https://x.com/Kawaaii13/status/1834174006418964973?t=Qgom67KE-O0gYasaeateSA&s=19 ลองเข้าไปดู tiktok ของ @tiktok.thailand89 นะคะ ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ ขับ jet ski เก่งมากๆทุกคนเลยค่ะ https://www.tiktok.com/@tiktok.thailand89?_t=8pghh09pg0q&_r=1 นายกหนูน้อยคะ นี่ไงคะ แพร่ลดแล้ว สุโขทัยลดแล้ว เมืองพังเละเทะ ที่ว่าพร้อมจะเข้าช่วยทันที ว้า..แย่จัง ตอนนี้ต้องไปช่วยเชียงรายก่อน ไหนจะต้องแอบเร่งทำเรื่องคาสิโนให้ผ่าน ช่วงที่กำลังอลหม่านเรื่องน้ำท่วมนี่แหละ แถมทีม IO ก็ค่อยๆทยอยลงคลิปเสียงคนโน้นคนนี้ ปล่อยข่าวดาราไทยที่โดนดาราชาติอื่นๆหลอก ฯลฯ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คนด่านายกหนูน้อยเยอะ มุขมันเก่าไปแล้วค่ะ รายการเจาะลึกทั่วไทย เอาคลิปลุงมาสร้างกระแส เอาจริงๆ ลุงหยุมแกก็อยากเป็นใหญ่ ใครๆก็รู้มาตั้งนานแล้วป่ะ คุณมดดำ ก็สร้างกระแส acting ทำเป็นโกรธดาราเกาหลีมากมาย ได้ตังกันไปเท่าไหร่จ๊ะ สังเกตุมั้ย ครอบครัวนี้ขึ้นมามีอำนาจทีไร น้ำท่วมใหญ่ทุกที โดนทั้งอา ทั้งหลานเลย มันคือสัญญาณอะไรเอ่ย คล้ายกับธรรมชาติไม่พอใจพฤติกรรมของมนุษย์ จึงส่งภัยพิบัติมาช่วยเบิกเนตรให้คนตาสว่าง งั้นเราขอถามคำถามตอนนี้ว่า ติ๊ต่างนะคะ ว่าตอนนี้มีเงินหมื่นบาทลอยเข้า app เป๋าตังเรียบร้อยแล้ว...แต่ไปซื้อของก็ไม่ได้ เพราะน้ำท่วมร้านค้ามิดหลังคาเลย ได้ข้าวสารมา แต่ไม่มีไฟฟ้าให้หุงข้าว จะหุงด้วยฟืน ฟืนก็เปียกน้ำหมด เหลือแต่ตัวกับเงินหมื่นบาทใน app ก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ ของวิญญูชนชัดเจนแล้วว่า การเอาเงินมาแจกให้คน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องค่ะ หากแต่การให้ความรู้แก่ผู้ใฝ่รู้ที่มีความพยายาม ความอดทน และความมุ่งมั่นต่างหาก ที่จะเป็นทางออกที่แท้จริงให้กับประชาชนและประเทศชาติ มีชายท่านนึง ท่านเคยศึกษา และทดลองทำอะไร หลายสิ่งหลายอย่าง มีโครงการมากมายที่ได้ผลสำเร็จ และนำเอาความรู้เหล่านั้นมาเผยแพร่ให้ฟรีๆ และยังเป็นศาสตร์ความรู้ที่นำมาใช้ต่อไปได้ไม่จำกัดกาล แต่คนส่วนใหญ่ กลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลมันนานเกินไป จนภัยมาถึงตัวในวันนี้ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลนึง ที่ทำให้คนที่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ยังเก็บเงินไว้กับตัว เพราะเขาอาจจะต้องการให้สังคมยังมีความเหลื่อมล้ำมากอยู่ตลอดไป ไม่งั้นจะไปหาคนรองมือรองตีนได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะหาลูกหนี้ได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะไปหาเหยื่อที่เห็นเงินตาโตแล้วร้อยไว้ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ ปล. ภูเก็ตก็หนักอยู่ เตรียมรับอีกลูกวันที่ 17 จ้ะ ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ https://www.facebook.com/share/v/YGS8GsJ3YXbtrxjK/?mibextid=D5vuiz
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 851 มุมมอง 0 รีวิว
  • อรุณสวัสดิ์ มิตรรักแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงที่พี่คิงส์ฯรักยิ่ง
    เมื่อคืน ไม่มีอะไรมาก เพจเก่าปลิว ฮ่าๆๆ
    แต่ที่พี่คิงส์ร้อนใจเพราะรับปากแฟนเพจไว้
    ว่าจะมาเปิดลึกถึงก้นเหว เรื่องของป้า โจว
    ที่ยิ่งสาว ยิ่งลึก ยิ่งอึ้ง
    ซึ่ง บรรดาลัทติ๊หลงกิมจิ๊ ก็ถูกจูงหมูก
    มากด รีพอตรัวๆๆๆๆ แหม่ก็มีอยู่ในคอกเป็นพัน
    ก็ต้องขยันเอาใจอิเหวิงกันหน่อย
    ต้องขอบคุณ แฟนเพจผู้รับความถูกต้อง
    และพร้อมลุยไปกับพี่คิงส์ฯ ที่สร้างเพจสำรอง
    มาทดแทนเพียงคืนเดียว ก็กลับมาติดตามเพจใหม่
    อย่างมากมายและรวดเร็ว ทำให้พี่คิงส์ยิ่งต้องเพิ่มความพยายาม
    ในการขุด ความรำยำของพวกส้งทรีนและเบื้องหน้าเบื้องหลัง
    ของคนที่มีส่วนได้ผลประโยชน์ร่วมกับอิกามิจและระบบเครือข่าย
    สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดที่เจาะลึกเดี๋ยวแปะไว้ในคอมเม้น
    แต่สำหรับคนที่อ่านมาแล้ว พี่คิงส์จะสรุปให้ทราบแบบย่อยง่ายๆให้อ่านกัน
    สรุปคือ
    กิมจิ มีแพลตฟอร์มที่ดักคนไทยไว้แล้ว เรามาไล่ทาร์มไลน์กัน
    เมื่อแปดเดือนโดยประมาณ ที่ผ่านมา
    อิเหวิง ได้ทำการไลฟ์ตต. โดยการสร้างสตอรี่จาก เอเจนซีส้งทรีนกิมจิ
    ว่าอิเหวิงลำบาก แดรกมาม่าคัป หาทุนเรียน ซึ่งอิเหวิงก็เปิดเผยเรื่องนี้เองในไลฟ์เองโป๊ะเองของช่องอิเหวิง ว่าก่อนชาลีเห็นมันไลฟ์ มันก็มีอินคัมจากส่วนแบ่ง ตต. จากที่เหวิงเรียกว่าทำงาน คือการไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน
    สเต็ปสอง
    แน็ก ชาลี ที่มีนิสัยจริงใจ ตรงไปตรงมาและขี้สงสาร บวกกับการแสดงของอิเหวิงที่ต้องยอมรับว่า เป็นนักแสดงที่เก่ง ชาลีก็เข้ามาเห็นสตอรี่ดราม่า ที่เอเจนซี่ส้งทรีนกิมจิ ดักไว้อย่างที่ชาลีไม่รู้ตัว
    สเต็ปสาม
    อิเหวิง ตื่นเต้น ที่คนเข้ามาส่งของขวัญด้วยติ๊กเกอร์รัวๆ เพราะก่อนหน้านั้น ก็จะตกได้แค่ ตัวเล็กๆที่เป็นกิมจิด้วยกัน ก็ยังได้วันละฉองฉามพัน การมาของชาลี จึงกำเนิดโลกใบใหม่ที่กามิจและเอเจนซี่สร้างขึ้น
    สเต็ปที่สี่
    อิเหวิง เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของชาลี และอ่อย เรียกชาลีเข้ากล้องแทบทั้งวันทั้งคืน รายรับเข้าเป๋าเอเจนซี่และกามิจแบบรัวๆ อลังการ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีการทำงาน วางแผนอย่างเป็นระบบ
    สเต็ปที่ห้า
    กามิจ ได้สร้างโลกใบใหม่เป็นกลุ่มพิเศษ ที่ผูกกับแอพของกิมจิ โดยจะล่อคนที่เคลิ้มกับสตอรี่ของอิเหวิง เหมือนกับได้คุยใกล้ชิดส่วนตัวกับคนที่ตนเองปลื้ม
    จุดนี่แหละ คือที่มาโดยทุกคนจะต้องเปย์รายเดือนให้อิเหวิง และเป็นศูนย์บชก ที่อิเหวิงเข้าไลฟ์ แล้วส่งสัญญาณมาในกลุ่มว่า ฉานอยากชนะ แค่นั้นแหละพวกนี้ก็จะเข้าไปส่งติ๊กเกอร์กันชนิดที่ หมดเนื้อหมดตัวก็ยอม ความบังลัยจึงเกิด
    สเต็ปที่หก
    การมีอยู่ของกลุ่มปลื้มกิมจิ๊ ถูกพัฒนาด้วยการสร้างอุปทานหมู่ ยกยอปอปั้นให้อิเหวิงเป็นดุจเทพีจุติ โดยมีนักพูดอย่าง ป้า โจ ม. เป็นหัวหน้าทีม โดยได้รับส่วนแบ่งจากการเปย์ของสมาชิก
    ป้าโจ ทั้งเคลิ้ม ทั้งค-ลั่-ง อิเหวิง เพราะชีวิตผ่านเรื่องราวที่ทำให้ดิ่งมาเยอะมาก เคยให้สัมภาษณ์ทางทีวี ว่าชีวิตนี้มีปัญหาจิต ที่ชอบเ-ส-พ ดราม่ามากๆ จากคนดีๆที่เคยต่อสู้เพื่อชาติและสามสถาบัน กลายเป็นคนที่แม้คนรอบข้างใกล้ชิดก็รู้สึกว่า เธอ ไม่ใช่คนเดิม
    ด้วยกว่าแปดเดือน ที่เหมือนสะกด จิต ทั้งสมาชิกในกลุ่ม และตัวป้า โจเอง ก็สร้างโลกที่บิดเบี้ยว ให้อิเหวิงกลายเป็นเทพีอาเทน่า บอกว่าอินี่เหมือนนกฟินิก ที่ยังไงก็ไม่ตุย ทำเหมือนทั้งจักรวารถูกสร้างขึ้นเพื่ออิเหวิง เอากะเค้าสิ
    แต่ที่มันหนักและส่งผลประทบต่อชาลีและคนไทยคือ
    จากปลื้ม กลายเป็น ค-ลั่-ง
    เมื่อชาลีเอง ได้รับรู้ถึงเกมส์โลกในจินตนาการที่อิเหวิงและเอเจนซี่สร้างขึ้น ชาลีจึงออกมาพูดบ่อยๆว่า อย่าอินนะ และไลฟ์ล่าสุด ชาลีก็ห่วงว่าคนไทยจะถูก ห-ล-อ-ก ก็เพราะเหตุนี้แหละ
    ที่ผ่านมาชาลีเชื่อว่า ความรักที่บริสุทธิ์ของน้อง จะทำให้อิเหวิงเปลี่ยน แต่ชาลีได้ฟังทาง cctv ที่อิเหวิงแอบไปคุยข้างนอกคนเดียวบ่อยๆ แล้วให้ล่ามแปล มันเริ่มเลยเถิด ทำให้ต้องแยกทาง ทั้งที่ยังรักแต่ต้องทนเจ็บเพื่อความถูกต้อง
    อิป้าโจ จึงเริ่มปฏิบัติการ โดยจริงๆเรื่องนี้ ก็มีความพยายามจากกลุ่มพิเศษของอิเหวิงตลอดมา ให้เข้าใจผิดว่าชาลีมีอาการไม่ปกติทางจิตใจ ต่อว่าชาลีเสียๆหายๆมานาน พอมีคนมาแตะต้องเทพีในลัทติ๊ จะอยู่เฉยไม่ได้ และเครือข่ายนี้ แอพกิมจิผูกกับแอพตต. จึงมีคนเข้าไปเล่นแแน๊กใน ตต. มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ เฮ้อ ผช. ทั้งนั้น หลงกลิ่นตัวอิเหวิงที่ทั้งซกมก และหยำเปไปได้ยังไงฟร๊ะ
    ในมุมมองของพี่คิงส์ฯ สำหรับอิป้าโจ ทั้งเรื่องรายได้+ความเพ้อความค-ลั่-ง เป็นส่วนผสมให้นางกล้าออกมาเปิดหน้าแถถถถถ อยู่ตลอดเวลา
    แม้กระทั้งเพจพี่คิงส์ฯที่ปลิว ก็ฝีมือพวกนี้แหละ ไม่แปลกใจ
    ยังมีข้อมูลที่แฟนเพจส่งมาอีกเยอะมากมายมหาศาล
    เดี๋ยวจะเหลาให้ตื่นตาตื่นใจต่อ
    ฝากติดตามเพจด้วยเน้อ
    จะได้ไม่พลาดข้อมูลสำคัญ
    <<<ติดตามกันเพื่อชาติและคนไทยทุกคน
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    อรุณสวัสดิ์ มิตรรักแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงที่พี่คิงส์ฯรักยิ่ง เมื่อคืน ไม่มีอะไรมาก เพจเก่าปลิว ฮ่าๆๆ แต่ที่พี่คิงส์ร้อนใจเพราะรับปากแฟนเพจไว้ ว่าจะมาเปิดลึกถึงก้นเหว เรื่องของป้า โจว ที่ยิ่งสาว ยิ่งลึก ยิ่งอึ้ง ซึ่ง บรรดาลัทติ๊หลงกิมจิ๊ ก็ถูกจูงหมูก มากด รีพอตรัวๆๆๆๆ แหม่ก็มีอยู่ในคอกเป็นพัน ก็ต้องขยันเอาใจอิเหวิงกันหน่อย ต้องขอบคุณ แฟนเพจผู้รับความถูกต้อง และพร้อมลุยไปกับพี่คิงส์ฯ ที่สร้างเพจสำรอง มาทดแทนเพียงคืนเดียว ก็กลับมาติดตามเพจใหม่ อย่างมากมายและรวดเร็ว ทำให้พี่คิงส์ยิ่งต้องเพิ่มความพยายาม ในการขุด ความรำยำของพวกส้งทรีนและเบื้องหน้าเบื้องหลัง ของคนที่มีส่วนได้ผลประโยชน์ร่วมกับอิกามิจและระบบเครือข่าย สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดที่เจาะลึกเดี๋ยวแปะไว้ในคอมเม้น แต่สำหรับคนที่อ่านมาแล้ว พี่คิงส์จะสรุปให้ทราบแบบย่อยง่ายๆให้อ่านกัน สรุปคือ กิมจิ มีแพลตฟอร์มที่ดักคนไทยไว้แล้ว เรามาไล่ทาร์มไลน์กัน เมื่อแปดเดือนโดยประมาณ ที่ผ่านมา อิเหวิง ได้ทำการไลฟ์ตต. โดยการสร้างสตอรี่จาก เอเจนซีส้งทรีนกิมจิ ว่าอิเหวิงลำบาก แดรกมาม่าคัป หาทุนเรียน ซึ่งอิเหวิงก็เปิดเผยเรื่องนี้เองในไลฟ์เองโป๊ะเองของช่องอิเหวิง ว่าก่อนชาลีเห็นมันไลฟ์ มันก็มีอินคัมจากส่วนแบ่ง ตต. จากที่เหวิงเรียกว่าทำงาน คือการไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน สเต็ปสอง แน็ก ชาลี ที่มีนิสัยจริงใจ ตรงไปตรงมาและขี้สงสาร บวกกับการแสดงของอิเหวิงที่ต้องยอมรับว่า เป็นนักแสดงที่เก่ง ชาลีก็เข้ามาเห็นสตอรี่ดราม่า ที่เอเจนซี่ส้งทรีนกิมจิ ดักไว้อย่างที่ชาลีไม่รู้ตัว สเต็ปสาม อิเหวิง ตื่นเต้น ที่คนเข้ามาส่งของขวัญด้วยติ๊กเกอร์รัวๆ เพราะก่อนหน้านั้น ก็จะตกได้แค่ ตัวเล็กๆที่เป็นกิมจิด้วยกัน ก็ยังได้วันละฉองฉามพัน การมาของชาลี จึงกำเนิดโลกใบใหม่ที่กามิจและเอเจนซี่สร้างขึ้น สเต็ปที่สี่ อิเหวิง เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของชาลี และอ่อย เรียกชาลีเข้ากล้องแทบทั้งวันทั้งคืน รายรับเข้าเป๋าเอเจนซี่และกามิจแบบรัวๆ อลังการ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีการทำงาน วางแผนอย่างเป็นระบบ สเต็ปที่ห้า กามิจ ได้สร้างโลกใบใหม่เป็นกลุ่มพิเศษ ที่ผูกกับแอพของกิมจิ โดยจะล่อคนที่เคลิ้มกับสตอรี่ของอิเหวิง เหมือนกับได้คุยใกล้ชิดส่วนตัวกับคนที่ตนเองปลื้ม จุดนี่แหละ คือที่มาโดยทุกคนจะต้องเปย์รายเดือนให้อิเหวิง และเป็นศูนย์บชก ที่อิเหวิงเข้าไลฟ์ แล้วส่งสัญญาณมาในกลุ่มว่า ฉานอยากชนะ แค่นั้นแหละพวกนี้ก็จะเข้าไปส่งติ๊กเกอร์กันชนิดที่ หมดเนื้อหมดตัวก็ยอม ความบังลัยจึงเกิด สเต็ปที่หก การมีอยู่ของกลุ่มปลื้มกิมจิ๊ ถูกพัฒนาด้วยการสร้างอุปทานหมู่ ยกยอปอปั้นให้อิเหวิงเป็นดุจเทพีจุติ โดยมีนักพูดอย่าง ป้า โจ ม. เป็นหัวหน้าทีม โดยได้รับส่วนแบ่งจากการเปย์ของสมาชิก ป้าโจ ทั้งเคลิ้ม ทั้งค-ลั่-ง อิเหวิง เพราะชีวิตผ่านเรื่องราวที่ทำให้ดิ่งมาเยอะมาก เคยให้สัมภาษณ์ทางทีวี ว่าชีวิตนี้มีปัญหาจิต ที่ชอบเ-ส-พ ดราม่ามากๆ จากคนดีๆที่เคยต่อสู้เพื่อชาติและสามสถาบัน กลายเป็นคนที่แม้คนรอบข้างใกล้ชิดก็รู้สึกว่า เธอ ไม่ใช่คนเดิม ด้วยกว่าแปดเดือน ที่เหมือนสะกด จิต ทั้งสมาชิกในกลุ่ม และตัวป้า โจเอง ก็สร้างโลกที่บิดเบี้ยว ให้อิเหวิงกลายเป็นเทพีอาเทน่า บอกว่าอินี่เหมือนนกฟินิก ที่ยังไงก็ไม่ตุย ทำเหมือนทั้งจักรวารถูกสร้างขึ้นเพื่ออิเหวิง เอากะเค้าสิ แต่ที่มันหนักและส่งผลประทบต่อชาลีและคนไทยคือ จากปลื้ม กลายเป็น ค-ลั่-ง เมื่อชาลีเอง ได้รับรู้ถึงเกมส์โลกในจินตนาการที่อิเหวิงและเอเจนซี่สร้างขึ้น ชาลีจึงออกมาพูดบ่อยๆว่า อย่าอินนะ และไลฟ์ล่าสุด ชาลีก็ห่วงว่าคนไทยจะถูก ห-ล-อ-ก ก็เพราะเหตุนี้แหละ ที่ผ่านมาชาลีเชื่อว่า ความรักที่บริสุทธิ์ของน้อง จะทำให้อิเหวิงเปลี่ยน แต่ชาลีได้ฟังทาง cctv ที่อิเหวิงแอบไปคุยข้างนอกคนเดียวบ่อยๆ แล้วให้ล่ามแปล มันเริ่มเลยเถิด ทำให้ต้องแยกทาง ทั้งที่ยังรักแต่ต้องทนเจ็บเพื่อความถูกต้อง อิป้าโจ จึงเริ่มปฏิบัติการ โดยจริงๆเรื่องนี้ ก็มีความพยายามจากกลุ่มพิเศษของอิเหวิงตลอดมา ให้เข้าใจผิดว่าชาลีมีอาการไม่ปกติทางจิตใจ ต่อว่าชาลีเสียๆหายๆมานาน พอมีคนมาแตะต้องเทพีในลัทติ๊ จะอยู่เฉยไม่ได้ และเครือข่ายนี้ แอพกิมจิผูกกับแอพตต. จึงมีคนเข้าไปเล่นแแน๊กใน ตต. มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ เฮ้อ ผช. ทั้งนั้น หลงกลิ่นตัวอิเหวิงที่ทั้งซกมก และหยำเปไปได้ยังไงฟร๊ะ ในมุมมองของพี่คิงส์ฯ สำหรับอิป้าโจ ทั้งเรื่องรายได้+ความเพ้อความค-ลั่-ง เป็นส่วนผสมให้นางกล้าออกมาเปิดหน้าแถถถถถ อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั้งเพจพี่คิงส์ฯที่ปลิว ก็ฝีมือพวกนี้แหละ ไม่แปลกใจ ยังมีข้อมูลที่แฟนเพจส่งมาอีกเยอะมากมายมหาศาล เดี๋ยวจะเหลาให้ตื่นตาตื่นใจต่อ ฝากติดตามเพจด้วยเน้อ จะได้ไม่พลาดข้อมูลสำคัญ <<<ติดตามกันเพื่อชาติและคนไทยทุกคน #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงมีหนึ่งเดียว
    ความชั่วเผย ประจักษ์

    เช้าวันนี้ 11 กันยายน ได้รับอีเมลจากคุณเดวิด วิลแมน (David Willman) นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ที่สัมภาษณ์เรา และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    เรื่องที่เรายุติการรับทุน จาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐ CDC USAID DARPA DTRA ผ่านทาง EcoHealth alliance หาไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่ารวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมดสิ้น

    โดยเช้านี้ ได้ส่งเรื่องของ คุณ Matt Ridley และ Alina Chan ตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงไวรัสโควิดจากห้องแลป การตัดต่อพันธุกรรม ให้ไวรัสธรรมดา รุนแรงขึ้นและจนกระทั่งหลุดออกไประบาดทั่วโลก คนตายหลาย 10,000,000 คน

    และเหตุผลว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐรวมทั้งบรรณาธิการของวารสารดัง อันดับหนึ่งของสหรัฐและอังกฤษ ปิดปากเงียบ และเอนเอียงเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกมาจากห้อง แลป และมีการสร้างตัดต่อไวรัสใหม่

    โยงความเกี่ยวพันไปถึง NIH NIAID Fauci Collins Daszak ที่ถูกสอบสวนไปแล้วในรัฐสภาสหรัฐ และEcoHealth alliance ถูกยุติระงับการให้ทุนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2567

    คนที่ตีแผ่เรื่องนี้ในหนังสือที่เขียน ท้าดีเบต กับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ แต่คนดังๆหลบหมด และเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการเชื่อมโยงการให้ทุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างไวรัสใหม่ปรากฏชัดแจ่มแจ้ง

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าวัคซีนโควิดนั้นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018 ก่อนหน้าการระบาดในปลายปี 2019 และเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบข้างเคียงต่อเนื่องยาวนานซึ่งทั่วโลกดำเนินการฟ้องร้องอยู่

    และเทคโนโลยีนี้ นำมาใช้กับวัคซีนอื่นๆในทุกเชื้อโรค โดยปฏิเสธว่าไม่ต้องทำการประเมินความปลอดภัยอีก เพราะเทคโนโลยีนี้ใช้ไปแล้วกับ วัคซีนโควิด ทั่วโลก และ เป็นที่มา ที่ไม่มีใครยอมรับผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีน

    แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขของไทยประกาศเมื่อ เดือนมกราคม 2567 นี้ว่า วัคซีนโควิดเกิดผลกระทบร้ายแรงเพียงห้ารายเท่านั้นในประเทศไทย

    หมายเหตุ:
    หมอได้ไปบรรยายในที่ต่างๆ เรื่องที่ เราได้รับทุน ทั้งนี้ เราได้รับทราบข้อมูลโดยตรงว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่และมีจุดมุ่งหมายสร้างไวรัสตัวอื่นที่ร้ายแรงขึ้น ทั้งไวรัสในกลุ่มไข้หวัดใหญ่ อีโบลา นิปาห์ โคโรนา

    ทั้งนี้ ไวรัสฝีดาษลิง มีการให้ทุนจาก Fauci แก่ Moss ใน NIH ในปี 2015 ทำให้ฝีดาษลิงรุนแรงและแพร่ได้ดีกว่าเดิมและทำสำเร็จในปี 2021 และการวางแผนจำลองว่ามีการระบาดทั่วโลกในปี 2021 และ 2022 รวมทั้งเริ่มจัดเตรียมวัคซีนฝีดาษลิง และ ถึงกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2024 จาก clade Ib
    ทั้งที่อัตราการระบาดต่ำและไม่ได้สูงมาก อย่างที่หวัง และเกิดจากการสัมผัสต้องใกล้ชิดแนบแน่นนัวเนียและเพศสัมพันธ์ และแน่นอนไม่มีการติดต่อทางอากาศ airborne เหมือนที่พยายามจะให้มีการจำกัดเขตและใส่หน้ากากเว้นระยะห่างกันอีก

    และมีความพยายามที่จะให้ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งถึงสูงวัย โดยประกาศว่าคนในประเทศไทยมีความเสี่ยง และให้ติดต่อขอรับวัคซีนโดยเสียเงินและ จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศว่าฉีดเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ และฉีดคนที่สัมผัสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว และคนจะเดินทางไปยังทวีปที่มีการระบาดต้นตอ
    โดยที่วัคซีนฝีดาษลิงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวใหม่สุดยังมีอัตราหัวใจอักเสบอยู่ที่แปดใน 10,000 รายไม่นับผลแทรกซ้อนอื่น

    ส่วน ไข้หวัดนกมีการให้ทุนเช่นเดียวกันจาก Fauci และทำสำเร็จในปี 2012 และ พัฒนาต่อเรื่อยๆ
    รวมทั้งพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับไข้หวัดนกและมีการประกาศให้เตรียมตัวการระบาดไข้หวัดนกรวมทั้งฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับฝีดาษลิง

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า
    ในประเทศไทย มีรายงานการรับทุนจากต่างประเทศในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    อายุรกรรม และ ระบบสมองและประสาทและโรคติดเชื้อทางสมอง

    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/cr5oyzaPKk9qo29t/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ความจริงมีหนึ่งเดียว ความชั่วเผย ประจักษ์ เช้าวันนี้ 11 กันยายน ได้รับอีเมลจากคุณเดวิด วิลแมน (David Willman) นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ที่สัมภาษณ์เรา และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เรื่องที่เรายุติการรับทุน จาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐ CDC USAID DARPA DTRA ผ่านทาง EcoHealth alliance หาไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่ารวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมดสิ้น โดยเช้านี้ ได้ส่งเรื่องของ คุณ Matt Ridley และ Alina Chan ตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงไวรัสโควิดจากห้องแลป การตัดต่อพันธุกรรม ให้ไวรัสธรรมดา รุนแรงขึ้นและจนกระทั่งหลุดออกไประบาดทั่วโลก คนตายหลาย 10,000,000 คน และเหตุผลว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐรวมทั้งบรรณาธิการของวารสารดัง อันดับหนึ่งของสหรัฐและอังกฤษ ปิดปากเงียบ และเอนเอียงเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกมาจากห้อง แลป และมีการสร้างตัดต่อไวรัสใหม่ โยงความเกี่ยวพันไปถึง NIH NIAID Fauci Collins Daszak ที่ถูกสอบสวนไปแล้วในรัฐสภาสหรัฐ และEcoHealth alliance ถูกยุติระงับการให้ทุนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2567 คนที่ตีแผ่เรื่องนี้ในหนังสือที่เขียน ท้าดีเบต กับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ แต่คนดังๆหลบหมด และเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการเชื่อมโยงการให้ทุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างไวรัสใหม่ปรากฏชัดแจ่มแจ้ง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าวัคซีนโควิดนั้นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018 ก่อนหน้าการระบาดในปลายปี 2019 และเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบข้างเคียงต่อเนื่องยาวนานซึ่งทั่วโลกดำเนินการฟ้องร้องอยู่ และเทคโนโลยีนี้ นำมาใช้กับวัคซีนอื่นๆในทุกเชื้อโรค โดยปฏิเสธว่าไม่ต้องทำการประเมินความปลอดภัยอีก เพราะเทคโนโลยีนี้ใช้ไปแล้วกับ วัคซีนโควิด ทั่วโลก และ เป็นที่มา ที่ไม่มีใครยอมรับผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีน แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขของไทยประกาศเมื่อ เดือนมกราคม 2567 นี้ว่า วัคซีนโควิดเกิดผลกระทบร้ายแรงเพียงห้ารายเท่านั้นในประเทศไทย หมายเหตุ: หมอได้ไปบรรยายในที่ต่างๆ เรื่องที่ เราได้รับทุน ทั้งนี้ เราได้รับทราบข้อมูลโดยตรงว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่และมีจุดมุ่งหมายสร้างไวรัสตัวอื่นที่ร้ายแรงขึ้น ทั้งไวรัสในกลุ่มไข้หวัดใหญ่ อีโบลา นิปาห์ โคโรนา ทั้งนี้ ไวรัสฝีดาษลิง มีการให้ทุนจาก Fauci แก่ Moss ใน NIH ในปี 2015 ทำให้ฝีดาษลิงรุนแรงและแพร่ได้ดีกว่าเดิมและทำสำเร็จในปี 2021 และการวางแผนจำลองว่ามีการระบาดทั่วโลกในปี 2021 และ 2022 รวมทั้งเริ่มจัดเตรียมวัคซีนฝีดาษลิง และ ถึงกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2024 จาก clade Ib ทั้งที่อัตราการระบาดต่ำและไม่ได้สูงมาก อย่างที่หวัง และเกิดจากการสัมผัสต้องใกล้ชิดแนบแน่นนัวเนียและเพศสัมพันธ์ และแน่นอนไม่มีการติดต่อทางอากาศ airborne เหมือนที่พยายามจะให้มีการจำกัดเขตและใส่หน้ากากเว้นระยะห่างกันอีก และมีความพยายามที่จะให้ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งถึงสูงวัย โดยประกาศว่าคนในประเทศไทยมีความเสี่ยง และให้ติดต่อขอรับวัคซีนโดยเสียเงินและ จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศว่าฉีดเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ และฉีดคนที่สัมผัสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว และคนจะเดินทางไปยังทวีปที่มีการระบาดต้นตอ โดยที่วัคซีนฝีดาษลิงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวใหม่สุดยังมีอัตราหัวใจอักเสบอยู่ที่แปดใน 10,000 รายไม่นับผลแทรกซ้อนอื่น ส่วน ไข้หวัดนกมีการให้ทุนเช่นเดียวกันจาก Fauci และทำสำเร็จในปี 2012 และ พัฒนาต่อเรื่อยๆ รวมทั้งพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับไข้หวัดนกและมีการประกาศให้เตรียมตัวการระบาดไข้หวัดนกรวมทั้งฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับฝีดาษลิง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ในประเทศไทย มีรายงานการรับทุนจากต่างประเทศในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อายุรกรรม และ ระบบสมองและประสาทและโรคติดเชื้อทางสมอง ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/cr5oyzaPKk9qo29t/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1767 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥ดิ้นรนหนักมาก!
    เมื่อสหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก
    ชิปขั้นสูง และเทคโนโลยีควอนตัมใหม่
    กฎเกณฑ์มุ่งเป้าไปที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
    ที่ล้ำสมัยของจีน

    🚩โดยสหรัฐฯ กำลังดำเนินการควบคุมการส่งออก
    อุปกรณ์การผลิตชิป และ เทคโนโลยีควอนตัมใหม่
    เนื่องจากยังคงมีความพยายามในการขัดขวางจีน
    ในทุกวิถีทาง ในความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าว
    ที่มา : Nikkeiasia
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥ดิ้นรนหนักมาก! เมื่อสหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก ชิปขั้นสูง และเทคโนโลยีควอนตัมใหม่ กฎเกณฑ์มุ่งเป้าไปที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ล้ำสมัยของจีน 🚩โดยสหรัฐฯ กำลังดำเนินการควบคุมการส่งออก อุปกรณ์การผลิตชิป และ เทคโนโลยีควอนตัมใหม่ เนื่องจากยังคงมีความพยายามในการขัดขวางจีน ในทุกวิถีทาง ในความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าว ที่มา : Nikkeiasia #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 798 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567

    “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan”

    เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น...

    และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

    คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!”

    นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย...

    ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!!

    ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน...

    ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่”

    อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป...

    อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้...

    ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!”

    ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากคอลัมน์ มันเป็นเช่นนั้นเอง โดยทับทิม พญาไท ในผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2567 “สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...แม้ลักษณะภายนอก อาจดูผิดแผก แตกต่างไปจากทั้งสองแนวรบอยู่มั่ง แต่ถ้ามองลึกลงไปถึงไส้ในความร้อนเร่า ร้อนผ่าวๆ หรือ “ความไวไฟ” ก็ไม่น่าจะผิดไปจากกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อมองถึงการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (27-29 ส.ค.) เพราะการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงอเมริกันรายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...อาจต่างไปจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนประเทศแต่ละประเทศตามปกติธรรมดา หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีโดยทั่วๆ ไป แต่ถือเป็นการเดินทางไปเยือนตาม “คำเชื้อเชิญ” ของคณะกรรมการกลางและโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้มีโอกาส “รับฟัง...สิ่งที่ควรได้ยิน” ดังที่บทบรรณาธิการ “Global Times” เขาว่าเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละทั่น... และการพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะเจรจาของ 2 มหาอำนาจในคราวนี้...อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์คิดค้นคำพูดประเภทสวยๆ หรูๆ แบบพวกนักการทูตที่ชอบวกไป-วนมาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการพูดคุยสื่อสารแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” (military-to-military communications) อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปของการพูดคุยเจรจา ถ้าฟังจากคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน หรือจากคำประกาศของตัวแทนฝ่ายจีน อย่างรองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง “พลเอกZhang Youxia” ต้องเรียกว่า...เผลอๆอาจต้อง “หรี่แอร์” ในระหว่างการประชุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะออกจะเป็นอะไรที่ “หนาวว์ว์ว์ยะเยือก” อยู่พอสมควรทีเดียว หรืออย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักเขาถึงกับหยิบไปพาดหัวไว้ว่า...ปักกิ่งแสดงความต้องการที่จะให้วอชิงตัน “หยุดสมคบคิดทางทหาร” กับไต้หวัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! คือ “พลเอกZhang Youxia” รายที่ว่านี้...แม้ว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง จะเป็นแค่ “รองประธาน” ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารกองทัพจีนก็เถอะ แต่โดยความสนิทชิดเชื้อกับผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” นั้นว่ากันว่าสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อของทั้งคู่ และนอกจากเคยผ่านศึกสมรภูมิสงครามอย่าง “สงครามสั่งสอนเวียดนาม” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1979 แล้ว ยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คำพูด คำจาในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของบุคคลผู้นี้ คงต้อง “ฟัง” และฟังแบบต้อง “ได้ยิน” อีกต่างหาก โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ปมประเด็นปัญหาไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้นั้น ถือเป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเป็นหมายเลขหนึ่งของ...เส้นตาย (Red Line) ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวันมาโดยตลอด แต่ก็ต้องขอเตือนเอาไว้ด้วยว่า...สิ่งเหล่านี้อาจเป็นไปไม่ได้ถ้าหากยังมีความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน!!!” นี่...ฟังแล้วต้องหรี่แอร์-ไม่หรี่แอร์ คงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน ยิ่งเป็นคำพูดระหว่าง “ทหาร-ต่อ-ทหาร” ไม่ใช่คำพูดหวานๆ แบบบรรดานักการทูตทั้งหลาย ก็คงต้องคิดหน้า-คิดหลังยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อรองประธานคณะกรรมาธิการทหารรายนี้ได้เน้นย้ำไว้ด้วยว่า “อเมริกาควรจะมียุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในมุมมองที่มีต่อจีน และควรที่จะกลับมาสู่ความมีเหตุมีผลและนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงต่อประเทศของเรา เคารพในผลประโยชน์หลักของจีนในทางปฏิบัติและพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ ร่วมกันแบกรับภาระความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ” อันถือเป็นคำพูดที่สอดคล้องต้องกันกับผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่บอกกับ “นายJake Sullivan” เอาไว้ก่อนหน้านั้นประมาณว่า... “จีนและสหรัฐฯ ควรจะมีความรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ต่อประชาชนและต่อโลก” อีกด้วย... ดังนั้น...คำพูดที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวได้รับฟังแบบชนิดเต็มรูหู ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการพูดคุยหัวข้อต่างๆ ประมาณ 6 วาระ ระหว่างวันอังคารที่ 27 และพุธที่ 28 ส.ค. ถ้าหากจะสรุปย่อๆ แบบสั้นๆ-ง่ายๆ ตามสำบัดสำนวนของ “พลเอกZhang Youxia” ก็คือ... “หยุดสมคบคิดทางทหารกับไต้หวัน-หยุดติดอาวุธ-หยุดสร้างข่าวลือแบบผิดๆ” หรือเลิกกระตุ้น เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดความคิดความทะเยอทะยานของบรรดาชาวไต้หวันบางกลุ่ม-บางราย ที่จะแยกไต้หวันออกจากจีนโดยเด็ดขาด!!! ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้การพบปะระหว่างที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวกับฝ่ายจีนคราวนี้ ในสายตานักคิด-นักเขียนและนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะ อย่าง “K.J. Noh” ถึงได้สรุปว่า นี่ไม่ใช่การพบปะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ หรือปรับปรุงความสัมพันธ์ใดๆ อีกต่อไป แต่ถือเป็นการตอกย้ำ “ข้อสงสัย” ของจีนต่อบทบาทของอเมริการในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ควรจะต้องเป็นไปตาม “ข้อตกลงที่บาหลี” (Bali Agreement) หรือระหว่างการประชุมสุดยอดของผู้นำจีนและผู้นำอเมริกันที่นครซานฟรานซิสโก เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2023 นั่นก็คือข้อห้าม 5 ข้อ (Five Nos) ที่อเมริกาเคยสัญญิง-สัญญาไว้กับจีนว่าไม่คิดจะก่อสงครามเย็น-สงครามร้อน-ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบบปกครองจีน-ไม่ขัดขวางกิจกรรมของกันและกันและไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน... ดังนั้น...การที่คุณพ่ออเมริกายังไม่หยุดขายอาวุธไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้าน-หมื่นล้านให้กับไต้หวัน ยังเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันและที่ปรึกษาความมั่นคง ดอดเข้าไป “ประชุมลับ” กับอเมริกากันถึงที่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแถมยังพยายามหันไปสร้าง “ดาวยั่วดวงใหม่” อย่างฟิลิปปินส์ ชนิดถึงกับยอมทุ่มเทเงินทองถึง 1.894 ล้านล้านเปโซ หรือ 1.1 ล้านล้านบาท (33,740 ล้านดอลลาร์) เพื่อซื้ออาวุธ ซื้อเครื่องบินโจมตีมารับมือกับจีน โดยยังไม่นับรวมไปถึงการคิดจะนำเอาขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกามาติดตั้งไว้ในฟิลิปปินส์อีกต่างหาก ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่น่าจะทำให้ “แนวรบในทะเลจีนใต้” นับแต่นี้ น่าจะยิ่งร้อนเร่า ร้อนแรง ยิ่งขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีน ไม่ได้คิดจะเอาแต่ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันแบบแต่ก่อน แต่กล้าที่จะพูดจาแบบตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “ทหาร-ต่อ-ทหาร” กับอเมริกา ให้ต้อง “ฟัง...แล้วได้ยิน” อย่างมิอาจเอาหูไปนา-เอาตาไปไร่ได้อีกต่อไป... อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ “แนวรบ” ทุกแนวรบ กลายเป็นสิ่งที่สอดประสานซึ่งกันและกันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะแนวรบยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและทะเลจีนใต้ ที่ได้กลายเป็นตัวสร้าง “แรงกดดัน” ให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ที่เพียงแค่เจอกับรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกเท่านั้นก็แทบ “ไปไม่เป็น” กันไปทั้งแผง ไม่ใช่ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” อย่างเยอรมนีเท่านั้น ที่ต้องออกมาสารภาพว่าชักจะ “บ่อจี๊” ไม่เหลือเงิน-เหลือทองพอที่จะไปช่วย “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนได้อีกต่อไปแล้ว แต่กระทั่งโปแลนด์ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซีย เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ยังต้องออกมาสารภาพว่าแทบไม่เหลืออาวุธที่จะส่งไปให้ยูเครนอีกต่อไป ส่วนในแนวรบตะวันออกกลาง การตระเตรียมรับมือกับ “สงครามใหญ่” อันอาจเกิดจากการแก้แค้น-เอาคืนของอิหร่าน ถึงกับทำให้เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำของอเมริกาไม่สามารถถอนสมอไปไหน-มาไหนได้อีก แถมจรวดราคาลูกละเป็นล้านๆ ดอลลาร์ที่ต้องเอาไว้สกัดกั้นจรวดหรือเครื่องบินโดรนราคาถูกๆ ของพวกนักรบเยเมนอย่าง “กบฏฮูตี” ก็ชักจะร่อยหรอแทบไม่เหลือติดคลังเอาไว้เลยก็ว่าได้... ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากต้องมาเจอกับแนวรบอีกแนวรบ นั่นคือแนวรบทะเลจีนใต้ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในโลกตะวันตกทั้งหลาย ที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้นจะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ยอมเปิดโอกาส ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโลกทุกวันนี้ ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงเป็นได้แค่คำคุยโม้ คุยโต ไปวันๆ เท่านั้นเอง!!!” ที่มา : คอลัมน์มันเป็นเช่นนั้นเอง/ทับทิม พญาไท https://mgronline.com/daily/detail/9670000080996 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    สมรภูมิใหม่...ในแนวรบทะเลจีนใต้???
    เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปแวะดู “แนวรบทะเลจีนใต้” เป็นการเฉพาะ เพราะสำหรับแนวรบอีก 2 แนวคือยุโรปตะวันออกกับตะวันออกกลางนั้น แทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์เจาะลึกอะไรกันมาก ด้วยเหตุเพราะโดยสภาพ
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 853 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์"

    การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่

    เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส.

    แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี

    แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้

    นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้

    ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี

    "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน"

    นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง

    ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น

    อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง

    "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม"

    "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม"

    นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่

    "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน"

    "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย"

    เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน

    "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน"

    เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า

    #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร
    ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์" การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส. แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้ นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน" นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม" "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม" นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน" "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย" เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน" เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1108 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌ความทุกข์คืออะไร?

    -ชีวิตประจำวันอันยุ่งเหยิง?
    -รถที่ติดหนักในเมืองหลวง?
    -ฝนที่ตกจนเปียกชุ่ม?
    -อาหารที่ภรรยาทำมีส่วนที่ไหม้เกรียม?
    -บ้านที่มีเสียงเอะอะตลอดทั้งวัน?

    ไม่ว่าจะสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน เมื่อสะสมไประยะเวลาหนึ่งก็กลายร่างเป็นความทุกข์ได้

    ถ้าอย่างนั้น..📌ความสุขคืออะไร
    บางทีมันอาจเป็นสิ่งง่ายๆใกล้ตัว เช่น

    -การที่เรายังมีงานให้ทำ
    ...ในขณะที่อีกหลายคนตกงาน

    -การที่ท่านยังมีรถขับไปทำงาน
    ...ในขณะที่อีกหลายคนต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อนั่งรถประจำทางอีกหลายต่อ

    -การที่มีฝนตกลงมาในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ให้ต้นไม้ และเหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่าและตามถนนได้รับความชุ่มฉ่ำ

    -การที่ภรรยามีความพยายามทำอาหารให้สามีด้วยความตั้งใจ

    -การที่บ้านมีเสียงสนทนาตลอดทั้งวันให้ท่านไม่รู้สึกเงียบเหงา

    ....ทุกข์หรือสุขนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองที่ท่านเลือกมอง

    ....มันเพียงแค่วันที่แย่ ไม่ใช่ชีวิตที่แย่
    🔽
    ...มันเพียงแค่เรื่องที่แย่ ไม่ใช่วันที่แย่

    ถอดเนื้อหาจากหนังสือ :ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #ความสุข #ความทุกข์ #ทัศนคติ #ฮีลใจ
    📌ความทุกข์คืออะไร? -ชีวิตประจำวันอันยุ่งเหยิง? -รถที่ติดหนักในเมืองหลวง? -ฝนที่ตกจนเปียกชุ่ม? -อาหารที่ภรรยาทำมีส่วนที่ไหม้เกรียม? -บ้านที่มีเสียงเอะอะตลอดทั้งวัน? ไม่ว่าจะสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน เมื่อสะสมไประยะเวลาหนึ่งก็กลายร่างเป็นความทุกข์ได้ ถ้าอย่างนั้น..📌ความสุขคืออะไร บางทีมันอาจเป็นสิ่งง่ายๆใกล้ตัว เช่น -การที่เรายังมีงานให้ทำ ...ในขณะที่อีกหลายคนตกงาน -การที่ท่านยังมีรถขับไปทำงาน ...ในขณะที่อีกหลายคนต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อนั่งรถประจำทางอีกหลายต่อ -การที่มีฝนตกลงมาในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ให้ต้นไม้ และเหล่าสัตว์ที่อยู่ในป่าและตามถนนได้รับความชุ่มฉ่ำ -การที่ภรรยามีความพยายามทำอาหารให้สามีด้วยความตั้งใจ -การที่บ้านมีเสียงสนทนาตลอดทั้งวันให้ท่านไม่รู้สึกเงียบเหงา ....ทุกข์หรือสุขนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองที่ท่านเลือกมอง ....มันเพียงแค่วันที่แย่ ไม่ใช่ชีวิตที่แย่ 🔽 ...มันเพียงแค่เรื่องที่แย่ ไม่ใช่วันที่แย่ ถอดเนื้อหาจากหนังสือ :ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #ความสุข #ความทุกข์ #ทัศนคติ #ฮีลใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • พาสปอร์ตโฉมใหม่ ฉลอง 79 ปีอินโดนีเซีย

    ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 79 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งการย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปยังเมืองหลวงใหม่นูซันตารา (Nusantara) ทางฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว และ ปราโบโว ซูเบียนโต กำลังจะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโก วิโดโด ในเดือนตุลาคมนี้

    หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวหนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ ของกรมตรวจคนเข้าเมืองอินโดนีเซีย เปลี่ยนแปลงรูปเล่มจากเดิมสีเขียวเทอร์ควอยซ์ (Turquoise green) และตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีเหลือง ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2557 มาเป็นสีแดงสด (Bright red) ตัดกับตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีขาวแทน

    สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียโฉมใหม่ ประกอบด้วยหน้าปกที่ทนความร้อน มีความยืดหยุ่น ปกป้องชิปที่อยู่ในเล่มได้ หน้าไบโอดาตา (Biodata) ทำจากโพลีคาร์บอเนตเคลือบหลายชั้นเพื่อความทนทาน และมีการพิมพ์โดยใช้ทั้งหมึกที่มองเห็นได้และหมึกที่มองไม่เห็น เรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และลวดลายผ้าดั้งเดิมตามแบบฉบับของแต่ละภูมิภาคในอินโดนีเซีย

    การออกแบบหนังสือเดินทางโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย

    อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป แต่จะให้บริการแก่ประชาชนในปีหน้า วันที่ 17 สิงหาคม 2568 เนื่องจากต้องเตรียมการหลายอย่าง รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ การออกเงื่อนไข การออกหนังสือเดินทาง และการตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงยังคงออกหนังสือเดินทางรูปแบบเดิมให้หมดก่อน

    สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ตามการจัดอันดับของ The Henley Passport Index 2024 Global Ranking สามารถเดินทางได้ 76 ประเทศหรือดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และเป็นอันดับที่ห้าในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์อันดับที่ 1 มาเลเซียอันดับที่ 12 บรูไนอันดับที่ 19 และประเทศไทยอันดับที่ 60

    ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการหนังสือเดินทาง หนึ่งในนั้นคือการขยายอายุหนังสือเดินทางจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ซึ่งประเทศสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างออกหนังสือเดินทางแบบ 10 ปีแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี ส่วนประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการประกาศวันที่เริ่มใช้ในเร็วๆ นี้

    สำหรับประเทศไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมโครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 4 เพื่อรองรับหลังโครงการระยะที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2562 และจะสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2569

    โดยกำลังพิจารณาเพิ่มคุณลักษณะที่มากกว่ามาตรฐาน ICAO เพื่อป้องกันการปลอมแปลง รวมทั้งการเชื่อมระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดทำหนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credentials หรือ DTCs) การเพิ่มคุณลักษณะความปลอดภัย โดยใช้รูปถ่ายสีแทนรูปขาวดำ และมีโฮโลแกรมภาพบุคคลเสมือนจริงเป็นภาพสีในหน้า Biodatabase เป็นต้น

    #Newskit #PassportIndonesia #pasporIndonesia
    พาสปอร์ตโฉมใหม่ ฉลอง 79 ปีอินโดนีเซีย ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 79 ปี วันประกาศอิสรภาพของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 นอกจากจะมีความเปลี่ยนแปลงทั้งการย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตา ไปยังเมืองหลวงใหม่นูซันตารา (Nusantara) ทางฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว และ ปราโบโว ซูเบียนโต กำลังจะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก โจโก วิโดโด ในเดือนตุลาคมนี้ หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การเปิดตัวหนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ ของกรมตรวจคนเข้าเมืองอินโดนีเซีย เปลี่ยนแปลงรูปเล่มจากเดิมสีเขียวเทอร์ควอยซ์ (Turquoise green) และตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีเหลือง ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2557 มาเป็นสีแดงสด (Bright red) ตัดกับตราพญาครุฑปัญจศีลพร้อมข้อความสีขาวแทน สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียโฉมใหม่ ประกอบด้วยหน้าปกที่ทนความร้อน มีความยืดหยุ่น ปกป้องชิปที่อยู่ในเล่มได้ หน้าไบโอดาตา (Biodata) ทำจากโพลีคาร์บอเนตเคลือบหลายชั้นเพื่อความทนทาน และมีการพิมพ์โดยใช้ทั้งหมึกที่มองเห็นได้และหมึกที่มองไม่เห็น เรืองแสงด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และลวดลายผ้าดั้งเดิมตามแบบฉบับของแต่ละภูมิภาคในอินโดนีเซีย การออกแบบหนังสือเดินทางโฉมใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลอดภัยต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น และเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะระหว่างประเทศของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม แม้หนังสือเดินทางธรรมดาโฉมใหม่ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป แต่จะให้บริการแก่ประชาชนในปีหน้า วันที่ 17 สิงหาคม 2568 เนื่องจากต้องเตรียมการหลายอย่าง รวมถึงขั้นตอนการพิมพ์ การออกเงื่อนไข การออกหนังสือเดินทาง และการตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงยังคงออกหนังสือเดินทางรูปแบบเดิมให้หมดก่อน สำหรับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 65 ตามการจัดอันดับของ The Henley Passport Index 2024 Global Ranking สามารถเดินทางได้ 76 ประเทศหรือดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่า และเป็นอันดับที่ห้าในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์อันดับที่ 1 มาเลเซียอันดับที่ 12 บรูไนอันดับที่ 19 และประเทศไทยอันดับที่ 60 ที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียนมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการให้บริการหนังสือเดินทาง หนึ่งในนั้นคือการขยายอายุหนังสือเดินทางจาก 5 ปี เป็น 10 ปี ซึ่งประเทศสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างออกหนังสือเดินทางแบบ 10 ปีแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี ส่วนประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการประกาศวันที่เริ่มใช้ในเร็วๆ นี้ สำหรับประเทศไทย กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมโครงการหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 4 เพื่อรองรับหลังโครงการระยะที่ 3 เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2562 และจะสิ้นสุดสัญญา 7 ปี ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2569 โดยกำลังพิจารณาเพิ่มคุณลักษณะที่มากกว่ามาตรฐาน ICAO เพื่อป้องกันการปลอมแปลง รวมทั้งการเชื่อมระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดทำหนังสือเดินทางดิจิทัล (Digital Travel Credentials หรือ DTCs) การเพิ่มคุณลักษณะความปลอดภัย โดยใช้รูปถ่ายสีแทนรูปขาวดำ และมีโฮโลแกรมภาพบุคคลเสมือนจริงเป็นภาพสีในหน้า Biodatabase เป็นต้น #Newskit #PassportIndonesia #pasporIndonesia
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 891 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เป็นเรื่อง
    หลังจากที่มีความพยายามสืบเส้นทางบช.รับบริจาคของ พรรคก้างเกงในส้ม
    ผลปรากฏว่า พบสิ่งผิดปกติ อย่างไม่น่าเชื่อว่าเท้งเต้งจะกล้า
    ขณะที่เจี๊ยบอมเกียร์ และตัวตึงพรรคกางเกงในส้ม
    แสดงท่าทีลุ้นตัวโก่งว่าพรรคได้มาสิบ ยี่สิบ โอ้ว สามสิบล้านแล้วน๊าาา
    แต่เบื้องหลังสุดติ่ง
    ด้อมส้มสามกีบที่ไม่ทันเหลี่ยม ตังค์ก็ไม่ค่อยจะมี
    ก็ยังงมงาย เจียดบริจาคให้
    แต่แทนที่จะทำเหมือนบริจาคให้พรรคที่เป็นมนุษย์โลกปกติ
    แม่ม ให้บริจาคผ่านแพลตฟอร์มเปย์โซลูกชั่น
    เพื่ออะไรน่ะเหรอ
    1. หักหัวคิวค่าธรรมเนียมการโอน เท่ากับ บริจาค 100 โดนหัก 3 บาททันที เข้ากระเป๋าเอกชน
    2. เงินบริจาคยังอยู่กับตัวกลาง
    3. ข้อนี้สำคัญ กรณีเมกาจะส่งยอดมาเพื่อซัพพอตพรรคล้มล้างการปกครองของไทย ก็ไม่สามารถสืบที่มาที่ไปได้ เพียงแค่หาชื่อด้อมมาสมอ้างว่าโอนให้จำนวนเท่ากับที่ได้รับมา ก็ถือว่าผ่าน อ้างยังไงก็ได้
    เรื่องนี้ ไม่จบง่ายๆ
    และเอาเข้าจริงๆ พี่คิงส์ก็ไม่เชื่อว่า เงินที่กองไว้ที่ เปย์โซลูชั่นก็ยังไม่ได้เอาเข้าบช.พรรค เพราะตอนนี้ พรรคกางเกงในส้มยังถือว่าเป็นพรรคเถื่อน จะเปิดบช.พรรคนี้ไม่ได้ อย่างดีสุดก็โอนเข้าพรรคถิ่นกาขาว แต่พรรคถิ่นกาขาวก็อาจจะตกอยู่ในสภาวะสิ้นสภาพพรรคการเมืองเพราะทิ้งร้างให้ไม่ม่สาขาพรรคครบ 4 ภาคตามเงื่อนไขเกิน 1 ปี
    กีบเอ๊ย จั๊ดง่าว โดนเหลี่ยมก้าวกีย์ทั้งขึ้นทั้งล่อง
    อายุพรรคที่สั้นที่สุดในประเทศไทย กำลังจะถูกจารึกไว้ว่าชื่อพรรค ประชาชน ว่าแต่ ตอนนี้ก็ยังลูกผีลูกคนนะ ว่าพรรคประชาชนตอนนี้สถานะยังเป็นพรรคเถื่อน และพรรคกาขาวอะไรนั่น ดูเหมือนจะตรงตามเงื่อนไขพรรคที่สิ้นสภาพก่อนก้าวไกลมาเซ๊ง
    กรรมของการคิดล้มล้างการปกครอง กรรมใหญ่
    ผลกรรมจะเล็กได้ไง ถามจริง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เป็นเรื่อง หลังจากที่มีความพยายามสืบเส้นทางบช.รับบริจาคของ พรรคก้างเกงในส้ม ผลปรากฏว่า พบสิ่งผิดปกติ อย่างไม่น่าเชื่อว่าเท้งเต้งจะกล้า ขณะที่เจี๊ยบอมเกียร์ และตัวตึงพรรคกางเกงในส้ม แสดงท่าทีลุ้นตัวโก่งว่าพรรคได้มาสิบ ยี่สิบ โอ้ว สามสิบล้านแล้วน๊าาา แต่เบื้องหลังสุดติ่ง ด้อมส้มสามกีบที่ไม่ทันเหลี่ยม ตังค์ก็ไม่ค่อยจะมี ก็ยังงมงาย เจียดบริจาคให้ แต่แทนที่จะทำเหมือนบริจาคให้พรรคที่เป็นมนุษย์โลกปกติ แม่ม ให้บริจาคผ่านแพลตฟอร์มเปย์โซลูกชั่น เพื่ออะไรน่ะเหรอ 1. หักหัวคิวค่าธรรมเนียมการโอน เท่ากับ บริจาค 100 โดนหัก 3 บาททันที เข้ากระเป๋าเอกชน 2. เงินบริจาคยังอยู่กับตัวกลาง 3. ข้อนี้สำคัญ กรณีเมกาจะส่งยอดมาเพื่อซัพพอตพรรคล้มล้างการปกครองของไทย ก็ไม่สามารถสืบที่มาที่ไปได้ เพียงแค่หาชื่อด้อมมาสมอ้างว่าโอนให้จำนวนเท่ากับที่ได้รับมา ก็ถือว่าผ่าน อ้างยังไงก็ได้ เรื่องนี้ ไม่จบง่ายๆ และเอาเข้าจริงๆ พี่คิงส์ก็ไม่เชื่อว่า เงินที่กองไว้ที่ เปย์โซลูชั่นก็ยังไม่ได้เอาเข้าบช.พรรค เพราะตอนนี้ พรรคกางเกงในส้มยังถือว่าเป็นพรรคเถื่อน จะเปิดบช.พรรคนี้ไม่ได้ อย่างดีสุดก็โอนเข้าพรรคถิ่นกาขาว แต่พรรคถิ่นกาขาวก็อาจจะตกอยู่ในสภาวะสิ้นสภาพพรรคการเมืองเพราะทิ้งร้างให้ไม่ม่สาขาพรรคครบ 4 ภาคตามเงื่อนไขเกิน 1 ปี กีบเอ๊ย จั๊ดง่าว โดนเหลี่ยมก้าวกีย์ทั้งขึ้นทั้งล่อง อายุพรรคที่สั้นที่สุดในประเทศไทย กำลังจะถูกจารึกไว้ว่าชื่อพรรค ประชาชน ว่าแต่ ตอนนี้ก็ยังลูกผีลูกคนนะ ว่าพรรคประชาชนตอนนี้สถานะยังเป็นพรรคเถื่อน และพรรคกาขาวอะไรนั่น ดูเหมือนจะตรงตามเงื่อนไขพรรคที่สิ้นสภาพก่อนก้าวไกลมาเซ๊ง กรรมของการคิดล้มล้างการปกครอง กรรมใหญ่ ผลกรรมจะเล็กได้ไง ถามจริง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่อนปรนจ่ายขั้นต่ำ 8% ลูกหนี้ "ดีที่ไม่ตาย"

    การตัดสินใจผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต (Minimum Pay) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ยังคงที่ 8% ออกไปอีก 1 ปี ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จากเดิมวันที่ 1 มกราคม 2568 ต้องเข้าสู่เกณฑ์ปกติ 10% ในมุมมองลูกหนี้ถือว่า "ดีที่ไม่ตาย" หลังสถาบันการเงินปรับอัตราจากเดิม 5% ขึ้นเป็น 8% เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ทำเอาลูกหนี้แทบปรับตัวไม่ทัน

    ยกตัวอย่างแบบกลมๆ วงเงินบัตรเครดิต 100,000 บาท ใช้เต็มวงเงิน ช่วงโควิด-19 จ่ายขั้นต่ำลดลงมาเหลือประมาณ 5,000 บาท ก่อนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8,000 บาทในปัจจุบัน หากยังคงมาตรการเดิมต่อไป ต้องจ่ายขั้นต่ำสูงถึงประมาณ 10,000 บาท ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ค่าครองชีพสูงขึ้น รายได้ไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อลดลง ส่งผลกระทบทำให้ชำระหนี้ได้ลำบากขึ้น

    ย้อนกลับไปในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แบงก์ชาติขอความร่วมมือสถาบันการเงินต่างๆ พิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ จาก 10% เหลือ 5% ตั้งแต่ปี 2563 ถึงสิ้นปี 2566 ก่อนขยับมาเป็น 8% ในปีนี้ และมีแผนกลับสู่เกณฑ์ปกติในปีหน้า

    แม้กระทรวงสาธารณสุขประกาศยกเลิกโควิด-19 เป็นโรคอันตรายตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2565 เป็นต้นมา ประชาชนทั้งประเทศได้รับวัคซีนมากกว่า 70% แต่เศรษฐกิจไทยยังคงซบเซาแม้จะเปลี่ยนรัฐบาล ค่าครองชีพสูงขึ้น ซ้ำด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรัง สินเชื่อบางประเภทที่หยุดเฉพาะเงินต้น แต่ไม่หยุดดอกเบี้ย คนที่เคยเจ็บตัวจากโควิด-19 แทบไม่ฟื้นเป็นปกติ

    เมื่อสถาบันการเงินเลิกใจดีกับผู้ถือบัตรเครดิต ที่มีมากถึง 26 ล้านใบ ปรับอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำจากเดิม 5% เป็น 8% ในขณะที่ประชาชนซึ่งบาดเจ็บทางการเงินจากโควิด-19 ยังไม่หายดี หนำซ้ำแบงก์ชาติยังมองโลกสวย คิดว่าส่งผลดีต่อลูกหนี้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ผลก็คือผู้ที่เคยจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ที่ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือน จ่ายกันกระอักเลือด

    สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร ถึงกับบอกว่า แค่ไตรมาสแรกของปี 2567 หนี้เสียเพิ่มขึ้นถึง 14.6% เป็น 6.4 หมื่นล้านบาท แถมหนี้ที่ต้องจับตาส่อจะเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นอีก 32.4% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท เมื่อส่องที่มาพบว่ามีแต่คนเจนวาย (เกิดปี 2524-2539) แบกหนี้กันหลังแอ่น

    ขณะที่แบงก์ชาติกลับออกแคมเปญโลกสวยอย่าง "มาตรการปิดจบหนี้เรื้อรัง" ให้สถาบันการเงินเสนอทางเลือกปิดจบหนี้เรื้อรังให้แก่กลุ่มเปราะบางที่มีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าชำระเงินต้นแล้วเป็นเวลานานกว่า 5 ปี โดยต้องแลกกับการต้องปิดวงเงินของสินเชื่อที่เข้าร่วม เหลือเพียงแค่วงเงินเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ทั้งที่ประชาชนยังเจ็บตัวไม่หาย และเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว

    ที่ผ่านมามีความพยายามจากรัฐบาล เฉกเช่นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นประธาน มีข้อห่วงใยขอให้แบงก์ชาติพิจารณาปรับลดอัตราการชำระคืนขั้นต่ำบัตรเครดิตกลับมาที่ 5% เนื่องจากขณะนี้เป็นภาวะที่ประชาชนกำลังยากลำบาก เรื่องวินัยทางการเงินค่อยกลับมาแก้ไขอีกครั้ง นำไปสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน

    แต่สุดท้ายแบงก์ชาติเลือกที่จะใช้มาตรการผ่อนปรน 8% ยาวไปถึงปีหน้า ไม่ได้ปรับลดเหลือ 5% ตามที่นายกรัฐมนตรีร้องขอ

    เป็นอีกหนึ่งความเห็นต่างและรอยร้าว ระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลเศรษฐา ไม่ต่างจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่แบงก์ชาติคัดค้านตั้งแต่ต้น และยังนับเป็นก้าวที่พลาดของแบงก์ชาติ ที่ดำเนินมาตรการโลกสวย แต่ไม่ดูความเป็นจริงว่า ประชาชนกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ ท่ามกลางธนาคารพาณิชย์ชั้นนำโชว์ผลประกอบการ ด้วยกำไรหลักหมื่นล้านบาท

    #Newskit #หนี้บัตรเครดิต #ธนาคารแห่งประเทศไทย
    ผ่อนปรนจ่ายขั้นต่ำ 8% ลูกหนี้ "ดีที่ไม่ตาย" การตัดสินใจผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต (Minimum Pay) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ยังคงที่ 8% ออกไปอีก 1 ปี ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จากเดิมวันที่ 1 มกราคม 2568 ต้องเข้าสู่เกณฑ์ปกติ 10% ในมุมมองลูกหนี้ถือว่า "ดีที่ไม่ตาย" หลังสถาบันการเงินปรับอัตราจากเดิม 5% ขึ้นเป็น 8% เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ทำเอาลูกหนี้แทบปรับตัวไม่ทัน ยกตัวอย่างแบบกลมๆ วงเงินบัตรเครดิต 100,000 บาท ใช้เต็มวงเงิน ช่วงโควิด-19 จ่ายขั้นต่ำลดลงมาเหลือประมาณ 5,000 บาท ก่อนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8,000 บาทในปัจจุบัน หากยังคงมาตรการเดิมต่อไป ต้องจ่ายขั้นต่ำสูงถึงประมาณ 10,000 บาท ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น ค่าครองชีพสูงขึ้น รายได้ไม่ฟื้นตัว กำลังซื้อลดลง ส่งผลกระทบทำให้ชำระหนี้ได้ลำบากขึ้น ย้อนกลับไปในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แบงก์ชาติขอความร่วมมือสถาบันการเงินต่างๆ พิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ จาก 10% เหลือ 5% ตั้งแต่ปี 2563 ถึงสิ้นปี 2566 ก่อนขยับมาเป็น 8% ในปีนี้ และมีแผนกลับสู่เกณฑ์ปกติในปีหน้า แม้กระทรวงสาธารณสุขประกาศยกเลิกโควิด-19 เป็นโรคอันตรายตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2565 เป็นต้นมา ประชาชนทั้งประเทศได้รับวัคซีนมากกว่า 70% แต่เศรษฐกิจไทยยังคงซบเซาแม้จะเปลี่ยนรัฐบาล ค่าครองชีพสูงขึ้น ซ้ำด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรัง สินเชื่อบางประเภทที่หยุดเฉพาะเงินต้น แต่ไม่หยุดดอกเบี้ย คนที่เคยเจ็บตัวจากโควิด-19 แทบไม่ฟื้นเป็นปกติ เมื่อสถาบันการเงินเลิกใจดีกับผู้ถือบัตรเครดิต ที่มีมากถึง 26 ล้านใบ ปรับอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำจากเดิม 5% เป็น 8% ในขณะที่ประชาชนซึ่งบาดเจ็บทางการเงินจากโควิด-19 ยังไม่หายดี หนำซ้ำแบงก์ชาติยังมองโลกสวย คิดว่าส่งผลดีต่อลูกหนี้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ผลก็คือผู้ที่เคยจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ที่ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือน จ่ายกันกระอักเลือด สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร ถึงกับบอกว่า แค่ไตรมาสแรกของปี 2567 หนี้เสียเพิ่มขึ้นถึง 14.6% เป็น 6.4 หมื่นล้านบาท แถมหนี้ที่ต้องจับตาส่อจะเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นอีก 32.4% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท เมื่อส่องที่มาพบว่ามีแต่คนเจนวาย (เกิดปี 2524-2539) แบกหนี้กันหลังแอ่น ขณะที่แบงก์ชาติกลับออกแคมเปญโลกสวยอย่าง "มาตรการปิดจบหนี้เรื้อรัง" ให้สถาบันการเงินเสนอทางเลือกปิดจบหนี้เรื้อรังให้แก่กลุ่มเปราะบางที่มีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าชำระเงินต้นแล้วเป็นเวลานานกว่า 5 ปี โดยต้องแลกกับการต้องปิดวงเงินของสินเชื่อที่เข้าร่วม เหลือเพียงแค่วงเงินเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ทั้งที่ประชาชนยังเจ็บตัวไม่หาย และเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว ที่ผ่านมามีความพยายามจากรัฐบาล เฉกเช่นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นประธาน มีข้อห่วงใยขอให้แบงก์ชาติพิจารณาปรับลดอัตราการชำระคืนขั้นต่ำบัตรเครดิตกลับมาที่ 5% เนื่องจากขณะนี้เป็นภาวะที่ประชาชนกำลังยากลำบาก เรื่องวินัยทางการเงินค่อยกลับมาแก้ไขอีกครั้ง นำไปสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน แต่สุดท้ายแบงก์ชาติเลือกที่จะใช้มาตรการผ่อนปรน 8% ยาวไปถึงปีหน้า ไม่ได้ปรับลดเหลือ 5% ตามที่นายกรัฐมนตรีร้องขอ เป็นอีกหนึ่งความเห็นต่างและรอยร้าว ระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลเศรษฐา ไม่ต่างจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่แบงก์ชาติคัดค้านตั้งแต่ต้น และยังนับเป็นก้าวที่พลาดของแบงก์ชาติ ที่ดำเนินมาตรการโลกสวย แต่ไม่ดูความเป็นจริงว่า ประชาชนกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ ท่ามกลางธนาคารพาณิชย์ชั้นนำโชว์ผลประกอบการ ด้วยกำไรหลักหมื่นล้านบาท #Newskit #หนี้บัตรเครดิต #ธนาคารแห่งประเทศไทย
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇹🇭31.วันที่ 17 เม.ย. 2566 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ยื่นหนังสือเรื่อง “ขอให้เพิกถอนการอนุญาตวัคซีน mRNA ในเด็ก” ให้กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และคณะกรรมการยา https://drive.google.com/drive/folders/1M3faHy7ViNiWaa95SVyQa1IFFpa3JjHZ?usp=sharing
    🇹🇭32.วันที่ 20 เม.ย. 2566 นายแพทย์อรรถพร สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ร่วมรายการสภากาแฟเวทีชาวบ้าน 200466 ช่อง News1 เกี่ยวกับความจริงของโควิดระลอกใหม่ เพื่อให้คนไทยไม่ต้องตื่นกล้ว และ การยื่นหนังสือถึงกรรมการยา และผู้มีส่วนรับผิดชอบต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่นำมาฉีดให้คนไทย เกี่ยวกับการระงับการอนุมัติฉุกเฉินของ วัคซีน mRna https://www.youtube.com/live/T0COteCvRRQ?feature=share
    🇹🇭33.วันที่ 20 เม.ย. 2566 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ และทุกทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์สนับสนุน งบประมาณในการยังชีพและค่าทนาย กรณีถูกเลิกจ้างเพราะไม่ฉีดวัคซีน นายจ้างต้องชดใช้ค่าเสียหาย จนเราได้มีคดีตัวอย่างเป็นเคสแรกของประเทศไทย เพื่อให้คนที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมลุกขึ้นมาต่อสู้เอาผิด และเตือนให้นายจ้างไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง รายละเอียดอ่านได้ในลิ้งค์นี้ https://drive.google.com/drive/folders/1moLQyREcKJoE0YYLZ6vOA20EGQuLPUSl?usp=share_link
    🇹🇭34.วันที่ 6 มิ.ย.2566 รายการสยามไทยอัปเดต ช่อง 13 สยามไทย สถานีข่าว ได้จัดเสวนาหัวข้อ “ล้างสุขภาพ : ผลข้างเคียงวัคซีนโควิด" โดยมีวิทยากรดังรายนามต่อไปนี้
    •• พระมหาขวัญชัย อคฺคชโย เจ้าอาวาส วัดคีรีวงก์ จ.ชุมพร
    •• นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง จิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    •• แพทย์แผนไทย(เวชกรรมไทย) เกริกพันธ์ นิลประกอบกุล ประจำคลินิกแพทย์แผนไทย หทัยนเรศวร์ จ.ราชบุรี / ทีมพอรักษา เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ
    >>ผู้ดำเนินรายการ ขจรศักดิ์ เชาว์เจริญรัตน์
    ช่วงที่ 1 https://fb.watch/k-6IORwHvd/
    ช่วงที่ 2 https://fb.watch/k-6NKAbcjN/
    🇹🇭35.คุณอดิเทพ จาวลาห์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Rookon.com ซึ่งเป็นสื่ออิสระ ได้นำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสนธิสัญญาที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้กับทาง WHO โดยรายละเอียดของสนธิสัญญาเป็นไปในทิศทางที่ลดทอน อิสรภาพ เสรีภาพ และอธิปไตยของประชาชนและของประเทศ ทางคุณอดิเทพ และกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์จึงได้มีการรวบรวมรายชื่อผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ได้อย่างน้อย 50,000 รายชื่อ ก่อนเดือนสิงหาคม เพื่อคัดค้านสนธิสัญญาดังกล่าว
    คลิปเข้าใจ สนธิสัญญา องค์การอนามัยโลก ใน 8 นาที
    https://fb.watch/kRJLJeFkz8/
    ร่วมลงนามหยุดสนธิสัญญา Pandemic Treaty และ IHR (International Health Regulations) ที่นี่ครับ https://www.rookon.com/?p=696
    🇹🇭36.วันที่ 14 ก.ค.2566 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ได้เชิญ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง นพ.มนตรี เศรษฐบุตร ทพญ.เพ็ญนภา คณิตจินดา คุณอดิเทพ จาวลาห์ ดร.ศรีวิชัย ศรีสุวรรณ ดร.ธิดารัตน์ เอกศิรินิมิตร พท.อภิชาติ กาญจนาพงศาเวช และผู้กล้าหาญมากมายร่วมกันจัดงานเสวนา เรื่อง “คนไทยขอคัดค้านสนธิสัญญาทาส WHO Treaty” เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสนธิสัญญาดังกล่าว และรวมตัวกันมอบรายชื่อคนไทยที่คัดค้านสนธิสัญญา WHO Treaty นี้ โดยมีการจัดกิจกรรมแบ่งเป็น 2 ภาค คือ
    ภาคเช้า งานสัมนาจัดที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี
    ภาคบ่าย ร่วมกันยื่นรายชื่อเพื่อหยุดสนธิสัญญาทาสของ WHO ที่กระทรวงสาธารณสุข
    https://t.me/stopWHOTreatyinthai
    🇹🇭37.วันที่ 13 ก.ย. 2566 กิจกรรมไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนโควิด และต่อต้านความร่วมมือหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่รพ.ศิริราชได้เชิญ ดร.เฟาชี่ร่วมสัมนา กลุ่มได้ยื่นหนังสือ https://drive.google.com/drive/folders/1alpuUfmLh6EG4oLRUGbuDlpCC35EGu_m ถึงคณบดี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยมีตัวแทนผู้มารับมอบคือ รองผู้อำนวยการรพ.ศิริราช ผศ.นพ.ธารา วงศ์วิริยางกูร ณ ห้องประขุมสิรินธร ตึกเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช
    https://vt.tiktok.com/ZSLwn8Akr/
    https://vt.tiktok.com/ZSLw3WccE/
    https://fb.watch/n0-scBmcCC/?mibextid=Gd9JSz
    https://youtu.be/77ds82Szows?si=SkbEi4GPBqhjbBLc
    https://fb.watch/n36sx6Eqys/
    https://fb.watch/n37Z0FHPth/
    https://t.me/ThaiPitaksithData/3445
    https://t.me/ThaiPitaksithData/5005
    🇹🇭38.วันที่ 17 ต.ค.2566 กลุ่ม คนไทยพิทักษ์สิทธิ์ นำโดยคุณหมอมนตรี เศรษฐบุตร แพทย์จุฬารุ่น 15 อดีต นายกสมาคมศิษย์เก่า แพทย์จุฬา ยื่นหนังสือถึง คณบดีคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ⭐️รูปแบบการจัดกิจกรรม รวมกลุ่มสุภาพชน
    ทีมชุดเสื้อขาว แจกใบปลิวแนะนำช่องทางเข้าถึงความรู้ ทางรอด และกิจกรรมไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากยาฉีด
    https://drive.google.com/drive/folders/1lvLuluTfYOYG0F7VXDZ8KOmM2OHNyNgo
    https://t.me/ThaiPitaksithData/3840
    🇹🇭39.วันที่ 18 ต.ค.2566 กลุ่ม คนไทยพิทักษ์สิทธิ์ นำโดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง แพทย์และอาจารย์แพทย์จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แพทย์แผนไทย พท.อภิชาติ กาญจนาพงศาเวช และ พท.ปภาน ชัยเกษมวรากุล และประชาชนกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ #ยื่นหนังสือ ถึงประธานรัฐสภา และ ส.ส สิริลภัส กองตระการ เรื่องข้อเท็จจริงของวัคซีนโควิด และ นำผู้เสียหายจากการฉีดวัคซีนมายืนยันว่าวัคซีนไม่ปลอดภัย ให้ช่วยประสานงานดำเนินการตรวจสอบข้อมูลและตรวจสอบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
    https://t.me/ThaiPitaksithData/3912
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4123
    https://www.tpchannel.org/news/23148
    https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_news.php?nid=108684&filename=The_House_of_Representatives
    https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_news.php?nid=108683&filename=The_House_of_Representatives
    🇹🇭40.วันที่ 1 พ.ย.2566 ที่คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ช่วงเช้ากลุ่มฯมาร่วมให้กำลังใจคุณหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์​โรคอุบัติ​ใหม่​ สภากาชาด​ไทย
    ตามที่ท่านได้ออกมา​เผยแพร่ข้อมูล​เกี่ยวกับ​พฤติกรรม​ของ​องค์กร​ Ecohealth​ ​alliance​ ที่มีส่วนสำคัญ​ในการสนับสนุน​ทุนวิจัย​เพื่อ​ ดัดแปลง​เชื้อโคโรนาไวรัสในค้างคาว​ ให้สามารถ​ติดต่อในมนุษย์​ได้​อันเป็น​ที่มาของ​โรคโควิด​ 19​ นั้น​ ทาง​กลุ่ม​ของแสดง​ความชื่นชม​ในความกล้าหาญ​ทางวิชาการ​ของท่าน​ และขอสนับสนุน​ให้​เกิดกระบวนการ​ทางวิทยาศาสตร์​ โดย​เปิดโอกาสให้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการ​อย่างรอบด้าน​กับสังคม​ ดังที่มีการดำเนินการ​ในอารยะ​ประเทศ​หลายประเทศ​ทั่วโลก​ อนึ่ง​ทางกลุ่ม​ ขอประนาม​การกระทำใดๆ​ ของหน่วยงาน​ภาครัฐ​ สถาบันการศึกษา​ในความพยายามที่จะให้ร้ายป้ายสี​ ทำลายความน่า​เชื่อถือ​ ของผู้ที่นำเสนอข้อมูล​ ดังที่มีความพยายาม​กระทำกับท่านอาจารย์​อยู่ใน​ปัจจุบัน​ และขอให้องค์กรวิชาการดังกล่าว​ เปิดเวทีวิชาการ​ตามพิสัยที่ควรกระทำของนักวิชาการ​ ทั้งนี้​หากยังมีมาตรการ​ใดๆ​ เพื่อปิดบัง​ เซ็นเซอร์​ ข้อเท็จจริง​ที่​เกี่ยวข้อง​กับ​เรื่อง​นี้​ ทางกลุ่ม​จะดำเนินมาตรการ​ทั้งในทางกฎหมาย​และ​ การสื่อสาร​สังคม​เพื่อยับยั้ง​การกระทำ​ดังกล่าว​ต่อไป ขอแสดงความชื่นชม​และให้กำลังใจ​ให้ท่านอาจารย์​กระทำในสิ่ง​ที่​ถูกต้อง​เพื่อปกป้อง​ผลประโยชน์​ของส่วนรวมต่อไป
    ⭐️งานนี้มีสื่อมวลชนมาทำข่าวจำนวนมาก ซึ่งทางกลุ่มหวังว่าจะช่วยให้สังคมได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกปิดกั้นมาตลอด 3 ปี
    https://drive.google.com/drive/folders/1-HmCKOyvE4415in3Lso7tE-QybucpSFv
    https://mgronline.com/qol/detail/9660000098275
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ประชาชาติธุรกิจ 30 ต.ค. 2566
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    ช่วงบ่าย คุณหมอมนตรี เศรษฐบุตร แพทย์จุฬารุ่น 15 อดีต นายกสมาคมศิษย์เก่า แพทย์จุฬา ตัวแทนกลุ่มฯยื่นหนังสือ(ข้อมูลต่างๆ) ถึง รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
    โพสของคุณหมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10212579857448066&id=1732997516&sfnsn=mo&mibextid=RUbZ1f
    รวมภาพและคลิปกิจกรรม 1 พ.ย.2566
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4006
    🇹🇭41.วันที่ 9 ม.ค. 2567 กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ได้ยื่นหนังสือถึง ท่านประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์
    สำเนาเรียน กรรมาธิการสาธารณสุข และผู้แทนสื่อมวลชนทุกแขนง
    เรื่อง ขอให้มีการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย
    https://www.tpchannel.org/news/24200
    https://www.hfocus.org/content/2024/01/29456
    https://fb.watch/psuPJe2ieg/?mibextid=Nif5oz
    https://youtu.be/m-9_I7UQF94?si=CuO_XYyxeWbyr8Ot
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4400
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4450
    🇹🇭42.วันที่ 15 ม.ค. 2567 แถลงการณ์โดย อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต
    และ ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมคณะ
    https://m.youtube.com/live/NZWNHxOHKyg?si=7a3W8IRItQxI5be2&fbclid=IwAR0FAN18l_BNF-QVRHiQPMmaBeBK6LRoJQezAFlZ3ckNAu2e-c3atVwR0K4_aem_Ac8StbQ-QdDOIyXHSwgqYUD_LPOW5f4yPJZXKG8Da8bb675gJvpBwoxE_KVWB_sT0LCcUkdG5gTsozYMKyeTrpE-
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/909121587248209/?
    🇹🇭43.วันที่ 25 ม.ค. 2567 ผู้แทนกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร รัฐสภา กำหนดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับวัคชีน mRNA ในข้อเท็จจริงด้านความโปร่งใสของการนำเข้า ความปลอดภัยและคุณภาพของวัคซีน
    เอกสารการประชุม https://drive.google.com/drive/folders/1ZLJQk7PFLi_AYIhEym2tn7XPQKjNQ-91
    🇹🇭44.วันที่ 29 ม.ค. 2567 จดหมายเปิด​ผนึก​ถึง​รองอธิบดี​ กรมควบคุม​โรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวรและปลัดกระทรวงสาธารณสุข
    เรื่อง ขอเข้าไปนำเสนอข้อมูลและรับฟังคำชี้แจงข้อสงสัยที่ท่านยังมิได้ชี้แจงในการประชุมของกรรมาธิการ สาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗ https://t.me/ThaiPitaksithData/4593
    🇹🇭45.วันที่ 1 ก.พ. 2567
    จดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นายแพทย์นคร เปรมศรี
    เรื่อง ขอเข้าไปนำเสนอข้อมูลและรับฟังคำชี้แจงข้อคำถามที่ท่านยังมิได้ชี้แจงในการประชุมของกรรมาธิการ การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗
    https://drive.google.com/drive/folders/18oilc3VwHhayBBdNM8ZMQubk1mOicRMC
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4632
    🇹🇭46.วันที่ 2 ก.พ. 2567 สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ อ้างอิงบทความพร้อมข้อมูลจาก ‘กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์’ กล่าวถึงผลการศึกษา การวิจัย และสิ่งที่น่าสงสัยในหลาย ๆ ประเด็น เกี่ยวกับยาฉีดที่อ้างว่าเป็นวัคซีนโควิด
    https://mgronline.com/qolฐ/detail/9670000009954
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4647
    🇹🇭47.วันที่ 6 ก.พ. 2567 จดหมายเปิดผนึกถึง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช
    เรื่อง ขอให้ทบทวนการอนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด ๑๙ ชนิด mRNA vaccine
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4686
    🇹🇭48.วันที่ 8 ก.พ. 2567 ในที่สุด กระทรวงสาธารณสุข ก็ออกมายืนยันสิ่งที่ข้องใจ ไฟเซอร์ หักคอให้รัฐบาลไทย เซ็น”สัญญาทาส“ ไม่อนุญาตให้ ตรวจสอบ
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4864
    อ้างติดเงื่อนไข
    สธ.ปฏิเสธเปิดสัญญา“ไฟเซอร์” คนไทยพิทักษ์สิทธิ์จวกยับ น่าเศร้า ขรก.ไทยกลัวบริษัทยา
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000014134
    และมีการโครงการจัดเสวนาและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่สำหรับภาวะ Long Covid-19 และผลกระทบจากวัคซีน ณ หอศิลป์แห่งวัฒนธรรมกรุงเทพ จาก 9 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ คุณรสนา โตสิตระกูล, นายแพทย์ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ, นายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง, อาจารย์สันติสุข โสภณสิริ , นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์, ศาสตราจารย์คลินิกแพทย์จีน นายแพทย์ภาสกิจ วัณนาวิบูล, แพทย์หญิงสุภาพร มีลาภ, แพทย์แผนไทยประยุกต์แวสะมิง แวหมะ, พันเอก นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา
    https://youtu.be/KuhFBFDIFPo
    https://rumble.com/v4bmro6-title-health-uncensored-by-dr.atapol-test-draft-1-.html?fbclid=IwAR3KiMhm_Jj--rzxsevf2gWazMP-1SdFHD1XDb0GY3Rw0MMu8-Lk-mGY1g0
    https://t.me/injuryjabthaiseminar
    🇹🇭49.วันที่ 12 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้จัดทำจดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร
    เรื่อง ขอให้กรมควบคุมโรคเปิดเผย “สัญญาทาส” ที่ทำไว้กับบริษัทไฟเซอร์
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4841
    🇹🇭50.วันที่ 12 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้จัดทำจดหมายเปิดผนึกถึงเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
    นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี
    https://www.facebook.com/share/p/wFViacXLo6JoUFo4/?mibextid=A7sQZp
    เรื่อง ขอให้ชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด
    https://healthserv.net/healthupdate/89
    🇹🇭51.วันที่ 13 ก.พ. 2567 หมอธีระวัฒน์ เผยรายงานผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ชี้ชัดวัคซีนโควิดส่งผลหัวใจอักเสบ
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000013428
    🇹🇭52.วันที่ 14 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข นพ.ทศพร เสรีรักษ์
    เรื่อง ขอติดตามการดำเนินการเพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างผิดปกติของคนไทยตามที่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข https://t.me/ThaiPitaksithData/4854
    และช่องข่าว News1 สัมภาษณ์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง เอาวัคซีนอะไรมาฉีดคนไทย ทำไมคนป่วยมากขึ้นและตายเพิ่มขึ้น???
    https://www.youtube.com/live/SPtFadcLmzo?si=NQq4S31aLOfGGxQQ
    https://news1live.com/watch/SPtFadcLmzo
    https://www.facebook.com/share/v/5KT7njxNwKvHC95z/?mibextid=oFDknk
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000013738
    https://www.thaipithaksith.com/
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4878
    🇹🇭53.วันที่ 15 ก.พ. 2567 กรมควบคุมโรค เชิญ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ไปให้ข้อมูล นำโดยนพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    เข้าร่วมประชุม เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการตายเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ(Excess Death) ของคนไทย และข้อมูลเกี่ยวกับ ความฉ้อฉลของบริษัทยา ที่ขายวัคซีน mRNA ให้รัฐ
    โดยมี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร
    รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมรับฟังข้อมูลร่วมกับข้าราชการในสังกัดกรมควบคุมโรคหลายท่าน
    https://dailyclout.io/product/war-room-dailyclout-pfizer-documents-analysis-volunteers-reports-book-paperback/
    และยื่นหนังสือ ถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร
    เรื่อง ขอให้กรมควบคุมโรคเปิดเผย “สัญญาทาส” ที่ทำไว้กับบริษัทไฟเซอร์ เลขรับหนังสือ ๑๔๕๙
    https://www.facebook.com/share/p/2MPYJ33WfefmcVig/?mibextid=xfxF2i
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4888
    🇹🇭54.วันที่ 16 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี
    เรื่อง ขอบพระคุณที่กรุณาเปิดเผยความจริงเรื่อง “สัญญาทาส” ที่กรมควบคุมโรคได้ทำไว้กับบริษัทยา
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4874
    🇹🇭55.วันที่ 19 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงรองอธิบดี กรมควบคุมโรค นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร,
    อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร,ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นพ.นคร เปรมศรี
    เรื่อง ขอขอบพระคุณที่จัดเวทีเสวนาวิชาการในหัวข้อ การเสียชีวิตอย่างผิดปกติของคนไทย กับ mRNA vaccine
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4914
    🇹🇭56.วันที่ 20 ก.พ.2567 “หมอธีระวัฒน์” เผยข้อมูลการแพทย์ พบสิ่งไม่เคยปรากฎในคน หลังมีวัคซีนโควิด
    https://www.nationtv.tv/health/378940487
    https://www.facebook.com/share/1pjhGQ6FnicMrTnU/?mibextid=WC7FNe
    คุณสรยุทธสัมภาษณ์เรื่องปรากฏการณ์นี้ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ช่องสามอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงซึ่งได้ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนโควิดทั้งการอักเสบของหัวใจและการตันของเส้นเลือดที่เกิดจากก้อนเลือดและก้อนสีขาวตรงนี้อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่มีใครทราบกันดีเพราะมีการเซ็นเซอร์และปกปิดมาตลอดจนกระทั่งปรากฏการณ์นี้เจอในหลายประเทศทั่วไปตั้งแต่เยอรมันอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกาเอง
    🇹🇭57.วันที่ 21 ก.พ. 2567 สัมภาษณ์สด นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    รายการทัวร์มาลงทางช่องโมโน29
    mRNA ไม่ใช่วัคซีนแต่เป็นยีนเทอราปี gene therapy
    https://www.facebook.com/share/v/ENS2BTLH5oxkuGKD/?mibextid=A7sQZp
    🇹🇭58.วันที่ 22 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช,อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร
    เรื่อง ขอให้นำส่งเอกสารกำกับยาของวัคซีนโคเมอร์เนตีให้กับกรมควบคุมโรค
    https://www.facebook.com/share/p/htqXEB1QWE3uATDP/?mibextid=xfxF2i
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4962
    และอ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เขียนบทความ “เสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่าน งานวิจัยผลกระทบจากวัคซีนต่อเด็กและเยาวชนไทย”
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/930738298419871/
    https://t.me/ThaiPitaksithData/5082
    🇹🇭59.วันที่ 23 ก.พ. 2567 จดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์
    เรื่อง ขอให้ปรับแก้แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากร สาธารณสุข
    https://www.facebook.com/share/p/pLvCKVbwswSXvBHK/?mibextid=xfxF2i
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4963
    🇹🇭60.วันที่ 23 ก.พ. 2567
    รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิเปิดโปงเบื้องหลัง ธุรกิจไวรัสตัดต่อพันธุกรรม ทำไมคนไทยต้อง Save หมอธีระวัฒน์ เพื่อ Save ประชาชน
    https://fb.watch/qpJFWeLSO0/?
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000017172
    🇹🇭31.วันที่ 17 เม.ย. 2566 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ยื่นหนังสือเรื่อง “ขอให้เพิกถอนการอนุญาตวัคซีน mRNA ในเด็ก” ให้กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธาณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และคณะกรรมการยา https://drive.google.com/drive/folders/1M3faHy7ViNiWaa95SVyQa1IFFpa3JjHZ?usp=sharing 🇹🇭32.วันที่ 20 เม.ย. 2566 นายแพทย์อรรถพร สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ร่วมรายการสภากาแฟเวทีชาวบ้าน 200466 ช่อง News1 เกี่ยวกับความจริงของโควิดระลอกใหม่ เพื่อให้คนไทยไม่ต้องตื่นกล้ว และ การยื่นหนังสือถึงกรรมการยา และผู้มีส่วนรับผิดชอบต่าง ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่นำมาฉีดให้คนไทย เกี่ยวกับการระงับการอนุมัติฉุกเฉินของ วัคซีน mRna https://www.youtube.com/live/T0COteCvRRQ?feature=share 🇹🇭33.วันที่ 20 เม.ย. 2566 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ และทุกทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์สนับสนุน งบประมาณในการยังชีพและค่าทนาย กรณีถูกเลิกจ้างเพราะไม่ฉีดวัคซีน นายจ้างต้องชดใช้ค่าเสียหาย จนเราได้มีคดีตัวอย่างเป็นเคสแรกของประเทศไทย เพื่อให้คนที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมลุกขึ้นมาต่อสู้เอาผิด และเตือนให้นายจ้างไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง รายละเอียดอ่านได้ในลิ้งค์นี้ https://drive.google.com/drive/folders/1moLQyREcKJoE0YYLZ6vOA20EGQuLPUSl?usp=share_link 🇹🇭34.วันที่ 6 มิ.ย.2566 รายการสยามไทยอัปเดต ช่อง 13 สยามไทย สถานีข่าว ได้จัดเสวนาหัวข้อ “ล้างสุขภาพ : ผลข้างเคียงวัคซีนโควิด" โดยมีวิทยากรดังรายนามต่อไปนี้ •• พระมหาขวัญชัย อคฺคชโย เจ้าอาวาส วัดคีรีวงก์ จ.ชุมพร •• นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง จิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย •• แพทย์แผนไทย(เวชกรรมไทย) เกริกพันธ์ นิลประกอบกุล ประจำคลินิกแพทย์แผนไทย หทัยนเรศวร์ จ.ราชบุรี / ทีมพอรักษา เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ >>ผู้ดำเนินรายการ ขจรศักดิ์ เชาว์เจริญรัตน์ ช่วงที่ 1 https://fb.watch/k-6IORwHvd/ ช่วงที่ 2 https://fb.watch/k-6NKAbcjN/ 🇹🇭35.คุณอดิเทพ จาวลาห์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Rookon.com ซึ่งเป็นสื่ออิสระ ได้นำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสนธิสัญญาที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้กับทาง WHO โดยรายละเอียดของสนธิสัญญาเป็นไปในทิศทางที่ลดทอน อิสรภาพ เสรีภาพ และอธิปไตยของประชาชนและของประเทศ ทางคุณอดิเทพ และกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์จึงได้มีการรวบรวมรายชื่อผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ได้อย่างน้อย 50,000 รายชื่อ ก่อนเดือนสิงหาคม เพื่อคัดค้านสนธิสัญญาดังกล่าว คลิปเข้าใจ สนธิสัญญา องค์การอนามัยโลก ใน 8 นาที https://fb.watch/kRJLJeFkz8/ ร่วมลงนามหยุดสนธิสัญญา Pandemic Treaty และ IHR (International Health Regulations) ที่นี่ครับ https://www.rookon.com/?p=696 🇹🇭36.วันที่ 14 ก.ค.2566 กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ได้เชิญ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง นพ.มนตรี เศรษฐบุตร ทพญ.เพ็ญนภา คณิตจินดา คุณอดิเทพ จาวลาห์ ดร.ศรีวิชัย ศรีสุวรรณ ดร.ธิดารัตน์ เอกศิรินิมิตร พท.อภิชาติ กาญจนาพงศาเวช และผู้กล้าหาญมากมายร่วมกันจัดงานเสวนา เรื่อง “คนไทยขอคัดค้านสนธิสัญญาทาส WHO Treaty” เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสนธิสัญญาดังกล่าว และรวมตัวกันมอบรายชื่อคนไทยที่คัดค้านสนธิสัญญา WHO Treaty นี้ โดยมีการจัดกิจกรรมแบ่งเป็น 2 ภาค คือ ภาคเช้า งานสัมนาจัดที่วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ภาคบ่าย ร่วมกันยื่นรายชื่อเพื่อหยุดสนธิสัญญาทาสของ WHO ที่กระทรวงสาธารณสุข https://t.me/stopWHOTreatyinthai 🇹🇭37.วันที่ 13 ก.ย. 2566 กิจกรรมไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนโควิด และต่อต้านความร่วมมือหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่รพ.ศิริราชได้เชิญ ดร.เฟาชี่ร่วมสัมนา กลุ่มได้ยื่นหนังสือ https://drive.google.com/drive/folders/1alpuUfmLh6EG4oLRUGbuDlpCC35EGu_m ถึงคณบดี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยมีตัวแทนผู้มารับมอบคือ รองผู้อำนวยการรพ.ศิริราช ผศ.นพ.ธารา วงศ์วิริยางกูร ณ ห้องประขุมสิรินธร ตึกเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช https://vt.tiktok.com/ZSLwn8Akr/ https://vt.tiktok.com/ZSLw3WccE/ https://fb.watch/n0-scBmcCC/?mibextid=Gd9JSz https://youtu.be/77ds82Szows?si=SkbEi4GPBqhjbBLc https://fb.watch/n36sx6Eqys/ https://fb.watch/n37Z0FHPth/ https://t.me/ThaiPitaksithData/3445 https://t.me/ThaiPitaksithData/5005 🇹🇭38.วันที่ 17 ต.ค.2566 กลุ่ม คนไทยพิทักษ์สิทธิ์ นำโดยคุณหมอมนตรี เศรษฐบุตร แพทย์จุฬารุ่น 15 อดีต นายกสมาคมศิษย์เก่า แพทย์จุฬา ยื่นหนังสือถึง คณบดีคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ⭐️รูปแบบการจัดกิจกรรม รวมกลุ่มสุภาพชน ทีมชุดเสื้อขาว แจกใบปลิวแนะนำช่องทางเข้าถึงความรู้ ทางรอด และกิจกรรมไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากยาฉีด https://drive.google.com/drive/folders/1lvLuluTfYOYG0F7VXDZ8KOmM2OHNyNgo https://t.me/ThaiPitaksithData/3840 🇹🇭39.วันที่ 18 ต.ค.2566 กลุ่ม คนไทยพิทักษ์สิทธิ์ นำโดย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง แพทย์และอาจารย์แพทย์จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แพทย์แผนไทย พท.อภิชาติ กาญจนาพงศาเวช และ พท.ปภาน ชัยเกษมวรากุล และประชาชนกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ #ยื่นหนังสือ ถึงประธานรัฐสภา และ ส.ส สิริลภัส กองตระการ เรื่องข้อเท็จจริงของวัคซีนโควิด และ นำผู้เสียหายจากการฉีดวัคซีนมายืนยันว่าวัคซีนไม่ปลอดภัย ให้ช่วยประสานงานดำเนินการตรวจสอบข้อมูลและตรวจสอบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป https://t.me/ThaiPitaksithData/3912 https://t.me/ThaiPitaksithData/4123 https://www.tpchannel.org/news/23148 https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_news.php?nid=108684&filename=The_House_of_Representatives https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_news.php?nid=108683&filename=The_House_of_Representatives 🇹🇭40.วันที่ 1 พ.ย.2566 ที่คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วงเช้ากลุ่มฯมาร่วมให้กำลังใจคุณหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์​โรคอุบัติ​ใหม่​ สภากาชาด​ไทย ตามที่ท่านได้ออกมา​เผยแพร่ข้อมูล​เกี่ยวกับ​พฤติกรรม​ของ​องค์กร​ Ecohealth​ ​alliance​ ที่มีส่วนสำคัญ​ในการสนับสนุน​ทุนวิจัย​เพื่อ​ ดัดแปลง​เชื้อโคโรนาไวรัสในค้างคาว​ ให้สามารถ​ติดต่อในมนุษย์​ได้​อันเป็น​ที่มาของ​โรคโควิด​ 19​ นั้น​ ทาง​กลุ่ม​ของแสดง​ความชื่นชม​ในความกล้าหาญ​ทางวิชาการ​ของท่าน​ และขอสนับสนุน​ให้​เกิดกระบวนการ​ทางวิทยาศาสตร์​ โดย​เปิดโอกาสให้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการ​อย่างรอบด้าน​กับสังคม​ ดังที่มีการดำเนินการ​ในอารยะ​ประเทศ​หลายประเทศ​ทั่วโลก​ อนึ่ง​ทางกลุ่ม​ ขอประนาม​การกระทำใดๆ​ ของหน่วยงาน​ภาครัฐ​ สถาบันการศึกษา​ในความพยายามที่จะให้ร้ายป้ายสี​ ทำลายความน่า​เชื่อถือ​ ของผู้ที่นำเสนอข้อมูล​ ดังที่มีความพยายาม​กระทำกับท่านอาจารย์​อยู่ใน​ปัจจุบัน​ และขอให้องค์กรวิชาการดังกล่าว​ เปิดเวทีวิชาการ​ตามพิสัยที่ควรกระทำของนักวิชาการ​ ทั้งนี้​หากยังมีมาตรการ​ใดๆ​ เพื่อปิดบัง​ เซ็นเซอร์​ ข้อเท็จจริง​ที่​เกี่ยวข้อง​กับ​เรื่อง​นี้​ ทางกลุ่ม​จะดำเนินมาตรการ​ทั้งในทางกฎหมาย​และ​ การสื่อสาร​สังคม​เพื่อยับยั้ง​การกระทำ​ดังกล่าว​ต่อไป ขอแสดงความชื่นชม​และให้กำลังใจ​ให้ท่านอาจารย์​กระทำในสิ่ง​ที่​ถูกต้อง​เพื่อปกป้อง​ผลประโยชน์​ของส่วนรวมต่อไป ⭐️งานนี้มีสื่อมวลชนมาทำข่าวจำนวนมาก ซึ่งทางกลุ่มหวังว่าจะช่วยให้สังคมได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกปิดกั้นมาตลอด 3 ปี https://drive.google.com/drive/folders/1-HmCKOyvE4415in3Lso7tE-QybucpSFv https://mgronline.com/qol/detail/9660000098275 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ประชาชาติธุรกิจ 30 ต.ค. 2566 ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137 ช่วงบ่าย คุณหมอมนตรี เศรษฐบุตร แพทย์จุฬารุ่น 15 อดีต นายกสมาคมศิษย์เก่า แพทย์จุฬา ตัวแทนกลุ่มฯยื่นหนังสือ(ข้อมูลต่างๆ) ถึง รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสของคุณหมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10212579857448066&id=1732997516&sfnsn=mo&mibextid=RUbZ1f รวมภาพและคลิปกิจกรรม 1 พ.ย.2566 https://t.me/ThaiPitaksithData/4006 🇹🇭41.วันที่ 9 ม.ค. 2567 กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ได้ยื่นหนังสือถึง ท่านประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ สำเนาเรียน กรรมาธิการสาธารณสุข และผู้แทนสื่อมวลชนทุกแขนง เรื่อง ขอให้มีการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของคนไทย https://www.tpchannel.org/news/24200 https://www.hfocus.org/content/2024/01/29456 https://fb.watch/psuPJe2ieg/?mibextid=Nif5oz https://youtu.be/m-9_I7UQF94?si=CuO_XYyxeWbyr8Ot https://t.me/ThaiPitaksithData/4400 https://t.me/ThaiPitaksithData/4450 🇹🇭42.วันที่ 15 ม.ค. 2567 แถลงการณ์โดย อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต และ ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมคณะ https://m.youtube.com/live/NZWNHxOHKyg?si=7a3W8IRItQxI5be2&fbclid=IwAR0FAN18l_BNF-QVRHiQPMmaBeBK6LRoJQezAFlZ3ckNAu2e-c3atVwR0K4_aem_Ac8StbQ-QdDOIyXHSwgqYUD_LPOW5f4yPJZXKG8Da8bb675gJvpBwoxE_KVWB_sT0LCcUkdG5gTsozYMKyeTrpE- https://www.facebook.com/100044511276276/posts/909121587248209/? 🇹🇭43.วันที่ 25 ม.ค. 2567 ผู้แทนกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร รัฐสภา กำหนดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับวัคชีน mRNA ในข้อเท็จจริงด้านความโปร่งใสของการนำเข้า ความปลอดภัยและคุณภาพของวัคซีน เอกสารการประชุม https://drive.google.com/drive/folders/1ZLJQk7PFLi_AYIhEym2tn7XPQKjNQ-91 🇹🇭44.วันที่ 29 ม.ค. 2567 จดหมายเปิด​ผนึก​ถึง​รองอธิบดี​ กรมควบคุม​โรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวรและปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ขอเข้าไปนำเสนอข้อมูลและรับฟังคำชี้แจงข้อสงสัยที่ท่านยังมิได้ชี้แจงในการประชุมของกรรมาธิการ สาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗ https://t.me/ThaiPitaksithData/4593 🇹🇭45.วันที่ 1 ก.พ. 2567 จดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นายแพทย์นคร เปรมศรี เรื่อง ขอเข้าไปนำเสนอข้อมูลและรับฟังคำชี้แจงข้อคำถามที่ท่านยังมิได้ชี้แจงในการประชุมของกรรมาธิการ การสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗ https://drive.google.com/drive/folders/18oilc3VwHhayBBdNM8ZMQubk1mOicRMC https://t.me/ThaiPitaksithData/4632 🇹🇭46.วันที่ 2 ก.พ. 2567 สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ อ้างอิงบทความพร้อมข้อมูลจาก ‘กลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์’ กล่าวถึงผลการศึกษา การวิจัย และสิ่งที่น่าสงสัยในหลาย ๆ ประเด็น เกี่ยวกับยาฉีดที่อ้างว่าเป็นวัคซีนโควิด https://mgronline.com/qolฐ/detail/9670000009954 https://t.me/ThaiPitaksithData/4647 🇹🇭47.วันที่ 6 ก.พ. 2567 จดหมายเปิดผนึกถึง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เรื่อง ขอให้ทบทวนการอนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด ๑๙ ชนิด mRNA vaccine https://t.me/ThaiPitaksithData/4686 🇹🇭48.วันที่ 8 ก.พ. 2567 ในที่สุด กระทรวงสาธารณสุข ก็ออกมายืนยันสิ่งที่ข้องใจ ไฟเซอร์ หักคอให้รัฐบาลไทย เซ็น”สัญญาทาส“ ไม่อนุญาตให้ ตรวจสอบ https://t.me/ThaiPitaksithData/4864 อ้างติดเงื่อนไข สธ.ปฏิเสธเปิดสัญญา“ไฟเซอร์” คนไทยพิทักษ์สิทธิ์จวกยับ น่าเศร้า ขรก.ไทยกลัวบริษัทยา https://mgronline.com/qol/detail/9670000014134 และมีการโครงการจัดเสวนาและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่สำหรับภาวะ Long Covid-19 และผลกระทบจากวัคซีน ณ หอศิลป์แห่งวัฒนธรรมกรุงเทพ จาก 9 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ คุณรสนา โตสิตระกูล, นายแพทย์ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ, นายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง, อาจารย์สันติสุข โสภณสิริ , นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์, ศาสตราจารย์คลินิกแพทย์จีน นายแพทย์ภาสกิจ วัณนาวิบูล, แพทย์หญิงสุภาพร มีลาภ, แพทย์แผนไทยประยุกต์แวสะมิง แวหมะ, พันเอก นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา https://youtu.be/KuhFBFDIFPo https://rumble.com/v4bmro6-title-health-uncensored-by-dr.atapol-test-draft-1-.html?fbclid=IwAR3KiMhm_Jj--rzxsevf2gWazMP-1SdFHD1XDb0GY3Rw0MMu8-Lk-mGY1g0 https://t.me/injuryjabthaiseminar 🇹🇭49.วันที่ 12 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้จัดทำจดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร เรื่อง ขอให้กรมควบคุมโรคเปิดเผย “สัญญาทาส” ที่ทำไว้กับบริษัทไฟเซอร์ https://t.me/ThaiPitaksithData/4841 🇹🇭50.วันที่ 12 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้จัดทำจดหมายเปิดผนึกถึงเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี https://www.facebook.com/share/p/wFViacXLo6JoUFo4/?mibextid=A7sQZp เรื่อง ขอให้ชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด https://healthserv.net/healthupdate/89 🇹🇭51.วันที่ 13 ก.พ. 2567 หมอธีระวัฒน์ เผยรายงานผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ชี้ชัดวัคซีนโควิดส่งผลหัวใจอักเสบ https://mgronline.com/qol/detail/9670000013428 🇹🇭52.วันที่ 14 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข นพ.ทศพร เสรีรักษ์ เรื่อง ขอติดตามการดำเนินการเพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างผิดปกติของคนไทยตามที่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการ การสาธารณสุข https://t.me/ThaiPitaksithData/4854 และช่องข่าว News1 สัมภาษณ์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง เอาวัคซีนอะไรมาฉีดคนไทย ทำไมคนป่วยมากขึ้นและตายเพิ่มขึ้น??? https://www.youtube.com/live/SPtFadcLmzo?si=NQq4S31aLOfGGxQQ https://news1live.com/watch/SPtFadcLmzo https://www.facebook.com/share/v/5KT7njxNwKvHC95z/?mibextid=oFDknk https://mgronline.com/qol/detail/9670000013738 https://www.thaipithaksith.com/ https://t.me/ThaiPitaksithData/4878 🇹🇭53.วันที่ 15 ก.พ. 2567 กรมควบคุมโรค เชิญ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์ ไปให้ข้อมูล นำโดยนพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง เข้าร่วมประชุม เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการตายเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ(Excess Death) ของคนไทย และข้อมูลเกี่ยวกับ ความฉ้อฉลของบริษัทยา ที่ขายวัคซีน mRNA ให้รัฐ โดยมี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมรับฟังข้อมูลร่วมกับข้าราชการในสังกัดกรมควบคุมโรคหลายท่าน https://dailyclout.io/product/war-room-dailyclout-pfizer-documents-analysis-volunteers-reports-book-paperback/ และยื่นหนังสือ ถึงอธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร เรื่อง ขอให้กรมควบคุมโรคเปิดเผย “สัญญาทาส” ที่ทำไว้กับบริษัทไฟเซอร์ เลขรับหนังสือ ๑๔๕๙ https://www.facebook.com/share/p/2MPYJ33WfefmcVig/?mibextid=xfxF2i https://t.me/ThaiPitaksithData/4888 🇹🇭54.วันที่ 16 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี เรื่อง ขอบพระคุณที่กรุณาเปิดเผยความจริงเรื่อง “สัญญาทาส” ที่กรมควบคุมโรคได้ทำไว้กับบริษัทยา https://t.me/ThaiPitaksithData/4874 🇹🇭55.วันที่ 19 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงรองอธิบดี กรมควบคุมโรค นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร, อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร,ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นพ.นคร เปรมศรี เรื่อง ขอขอบพระคุณที่จัดเวทีเสวนาวิชาการในหัวข้อ การเสียชีวิตอย่างผิดปกติของคนไทย กับ mRNA vaccine https://t.me/ThaiPitaksithData/4914 🇹🇭56.วันที่ 20 ก.พ.2567 “หมอธีระวัฒน์” เผยข้อมูลการแพทย์ พบสิ่งไม่เคยปรากฎในคน หลังมีวัคซีนโควิด https://www.nationtv.tv/health/378940487 https://www.facebook.com/share/1pjhGQ6FnicMrTnU/?mibextid=WC7FNe คุณสรยุทธสัมภาษณ์เรื่องปรากฏการณ์นี้ในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ช่องสามอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงซึ่งได้ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนโควิดทั้งการอักเสบของหัวใจและการตันของเส้นเลือดที่เกิดจากก้อนเลือดและก้อนสีขาวตรงนี้อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่มีใครทราบกันดีเพราะมีการเซ็นเซอร์และปกปิดมาตลอดจนกระทั่งปรากฏการณ์นี้เจอในหลายประเทศทั่วไปตั้งแต่เยอรมันอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกาเอง 🇹🇭57.วันที่ 21 ก.พ. 2567 สัมภาษณ์สด นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง รายการทัวร์มาลงทางช่องโมโน29 mRNA ไม่ใช่วัคซีนแต่เป็นยีนเทอราปี gene therapy https://www.facebook.com/share/v/ENS2BTLH5oxkuGKD/?mibextid=A7sQZp 🇹🇭58.วันที่ 22 ก.พ. 2567 กลุ่มฯได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช,อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร เรื่อง ขอให้นำส่งเอกสารกำกับยาของวัคซีนโคเมอร์เนตีให้กับกรมควบคุมโรค https://www.facebook.com/share/p/htqXEB1QWE3uATDP/?mibextid=xfxF2i https://t.me/ThaiPitaksithData/4962 และอ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เขียนบทความ “เสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่าน งานวิจัยผลกระทบจากวัคซีนต่อเด็กและเยาวชนไทย” https://www.facebook.com/100044511276276/posts/930738298419871/ https://t.me/ThaiPitaksithData/5082 🇹🇭59.วันที่ 23 ก.พ. 2567 จดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีกรมการแพทย์ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ เรื่อง ขอให้ปรับแก้แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากร สาธารณสุข https://www.facebook.com/share/p/pLvCKVbwswSXvBHK/?mibextid=xfxF2i https://t.me/ThaiPitaksithData/4963 🇹🇭60.วันที่ 23 ก.พ. 2567 รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิเปิดโปงเบื้องหลัง ธุรกิจไวรัสตัดต่อพันธุกรรม ทำไมคนไทยต้อง Save หมอธีระวัฒน์ เพื่อ Save ประชาชน https://fb.watch/qpJFWeLSO0/? https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000017172
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2437 มุมมอง 0 รีวิว