• อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 751
    ชื่อบทธรรม :- วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    --ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพิจารณากันบ้างหรือไม่ ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ?
    --ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า
    “ข้าพระองค์ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ พระเจ้าข้า !”
    --ภิกษุ ! เธอ ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ อย่างไรเล่า ?

    (ภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ก็ไม่ทรงพอพระทัย
    พระอานนท์จึงทูลขอร้องให้พระองค์ทรงแสดง ภิกษุได้ฟังแล้วจักทรงจำไว้,
    ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจฟัง แล้วตรัสว่า :- )

    --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้
    +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็น การพิจารณาในภายใน ว่า
    “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะ ใดแล ;
    ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด
    มีอะไรเป็นแดนเกิด ?
    เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี?”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ อย่างนี้ว่า
    “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อยนานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก
    กล่าวคือ ชรามรณะใดแล;
    ทุกข์นี้หนอ มีอุปธิเป็นเหตุให้เกิด
    มีอุปธิเป็นเครื่องก่อให้เกิด
    มีอุปธิเป็นเครื่องกำเนิด
    มีอุปธิเป็นแดนเกิด;
    เพราะอุปธิมี ชรามรณะจึงมี เพราะอุปธิไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี;”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด
    ซึ่งชรามรณะด้วย
    ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะด้วย
    ซึ่งความดับไม่เหลือชรามรณะด้วย
    ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะด้วย
    และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า
    เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ
    โดยประการทั้งปวง.
    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิด เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า
    “ก็อุปธินี้
    มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด
    มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด
    มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ?
    เพราะอะไรมีอุปธิจึงมี เพราะอะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี ?”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    “อุปธินี้
    มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด
    มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด
    มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด
    มีตัณหาเป็นแดนเกิด;
    เมื่อตัณหามีอุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิจึงไม่มี;”
    ดังนี้.
    +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด
    ซึ่งอุปธิด้วย
    ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปธิด้วย
    ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย
    ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย
    และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย.
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้ เราเรียกว่า #เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปธิ โดยประการทั้งปวง.

    --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า
    “ก็ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ?
    เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?”
    ดังนี้
    +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดี (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก;
    http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=ปิยรูปํ+สาตรูปํ
    ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น,
    เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น.
    ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก?
    จักษุ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    โสตะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    ฆานะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    ชิวหา มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    กายะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    มนะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก.
    ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมมีภาวะน่ารักยินดีเหล่านี้,
    เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในธรรม มีภาวะน่ารักน่ายินดีเหล่านี้​ แล.-

    (ต่อจากนี้ ได้ตรัสถึงบุคคลบางพวกในอดีต อนาคต และปัจจุบัน
    เห็นปิยรูป สาตรูปโดยความเป็นของเที่ยง ของสุขเป็นต้น
    แล้วทำตัณหาให้เจริญ ทำอุปธิให้เจริญ เท่ากับทำทุกข์ให้เจริญ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ; และได้ตรัสฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิปักขนัยไว้เป็นคู่กัน.
    สำหรับปิยรูปสาตรูปนั้น ในที่อื่นกล่าวไว้เป็นสิบหมวด
    ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร รวมกันเป็น ๖๐ อย่าง ;
    ในที่นี้กล่าวไว้เพียง ๖ อย่าง ตามจำนวนแห่งอายตนะภายใน,
    แม้กระนั้นก็อาจจะขยายออกไปได้เป็น ๖๐ อย่าง เช่นเดียวกัน ;
    สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก #มหาสติปัฏฐานสูตร​ เ​ป็นต้น
    ).-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/104 - 106/254 - 262.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/104/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๑๓๐- ๑๓๕/๒๕๔ - ๒๖๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/130/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94​
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=751
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57
    ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 751 ชื่อบทธรรม :- วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีพิจารณาในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์ --ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพิจารณากันบ้างหรือไม่ ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ? --ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ พระเจ้าข้า !” --ภิกษุ ! เธอ ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ อย่างไรเล่า ? (ภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ก็ไม่ทรงพอพระทัย พระอานนท์จึงทูลขอร้องให้พระองค์ทรงแสดง ภิกษุได้ฟังแล้วจักทรงจำไว้, ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจฟัง แล้วตรัสว่า :- ) --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็น การพิจารณาในภายใน ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะ ใดแล ; ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี?” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ อย่างนี้ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อยนานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือ ชรามรณะใดแล; ทุกข์นี้หนอ มีอุปธิเป็นเหตุให้เกิด มีอุปธิเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอุปธิเป็นเครื่องกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด; เพราะอุปธิมี ชรามรณะจึงมี เพราะอุปธิไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี;” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งชรามรณะด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือชรามรณะด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ โดยประการทั้งปวง. --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิด เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็อุปธินี้ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมีอุปธิจึงมี เพราะอะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี ?” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า “อุปธินี้ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด; เมื่อตัณหามีอุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิจึงไม่มี;” ดังนี้. +--ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งอุปธิด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปธิด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้ เราเรียกว่า #เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปธิ โดยประการทั้งปวง. --ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : +--ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ? เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?” ดังนี้ +--ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดี (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก; http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=ปิยรูปํ+สาตรูปํ ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น. ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก? จักษุ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. โสตะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ฆานะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ชิวหา มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. กายะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. มนะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมมีภาวะน่ารักยินดีเหล่านี้, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในธรรม มีภาวะน่ารักน่ายินดีเหล่านี้​ แล.- (ต่อจากนี้ ได้ตรัสถึงบุคคลบางพวกในอดีต อนาคต และปัจจุบัน เห็นปิยรูป สาตรูปโดยความเป็นของเที่ยง ของสุขเป็นต้น แล้วทำตัณหาให้เจริญ ทำอุปธิให้เจริญ เท่ากับทำทุกข์ให้เจริญ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ; และได้ตรัสฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิปักขนัยไว้เป็นคู่กัน. สำหรับปิยรูปสาตรูปนั้น ในที่อื่นกล่าวไว้เป็นสิบหมวด ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร รวมกันเป็น ๖๐ อย่าง ; ในที่นี้กล่าวไว้เพียง ๖ อย่าง ตามจำนวนแห่งอายตนะภายใน, แม้กระนั้นก็อาจจะขยายออกไปได้เป็น ๖๐ อย่าง เช่นเดียวกัน ; สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ จาก #มหาสติปัฏฐานสูตร​ เ​ป็นต้น ).- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. 16/104 - 106/254 - 262. http://etipitaka.com/read/thai/16/104/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน.สํ. ๑๖/๑๓๐- ๑๓๕/๒๕๔ - ๒๖๒. http://etipitaka.com/read/pali/16/130/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94​ ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=751 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57&id=751 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=57 ลำดับสาธยายธรรม : 57​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_57.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ¸§à¸´à¸˜à¸µà¸žà¸´à¸ˆà¸²à¸£à¸“าในภายใน เพื่อความสิ้นทุกข์
    -(คำข้าว เรียกว่าอาหาร เพราะหล่อเลี้ยงร่างกาย; ผัสสะเรียกว่าอาหาร เพราะ ทำให้เกิดเวทนา ; มโนสัญเจตนา เรียกว่าอาหาร เพราะทำให้เกิดกรรม; วิญญาณเรียกว่าอาหาร เพราะทำให้เกิดนามรูป. ถ้าบุคคลพิจารณาเห็นโทษแห่งอาหารแต่ละอย่างๆ ดังที่ตรัสไว้โดยอุปมาในข้อ ความหมายนั้นๆได้, จะดับทุกข์ได้ถึงขั้นเป็นพระอรหันต์). -ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพิจารณากันบ้างหรือไม่ ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ? ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ พระเจ้าข้า !” ภิกษุ ! เธอ ย่อมพิจารณา ชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายในอยู่ อย่างไรเล่า ? (ภิกษุนั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ก็ไม่ทรงพอพระทัย พระอานนท์จึงทูลขอร้องให้พระองค์ทรงแสดง ภิกษุได้ฟังแล้วจักทรงจำไว้, ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายตั้งใจฟัง แล้วตรัสว่า :- ) ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็น การพิจารณาในภายใน ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อย นานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะ ใดแล ; ทุกข์นี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี?” ดังนี้. ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้ อย่างนี้ว่า “ทุกข์มีอย่างมิใช่น้อยนานาประการ ย่อมเกิดขึ้นในโลก กล่าวคือชรามรณะใดแล; ทุกข์นี้หนอ มีอุปธิเป็นเหตุให้เกิด มีอุปธิเป็นเครื่องก่อให้เกิด มี อุปธิเป็นเครื่องกำเนิด มีอุปธิเป็นแดนเกิด; เพราะอุปธิมี ชรามรณะจึงมี เพราะอุปธิไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี;” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งชรามรณะด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือชรามรณะด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ โดยประการทั้งปวง. ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิด เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็อุปธินี้ มีอะไรเป็นเหตุให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีอะไรเป็นเครื่องกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด ? เพราะอะไรมีอุปธิจึงมี เพราะอะไรไม่มี อุปธิจึงไม่มี ?” ดังนี้. ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า “อุปธินี้ มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องก่อให้เกิด มีตัณหาเป็นเครื่องกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด; เมื่อตัณหามีอุปธิจึงมี เมื่อตัณหาไม่มี อุปธิจึงไม่มี;” ดังนี้. ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัด ซึ่งอุปธิด้วย ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งอุปธิด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงซึ่งธรรมอันสมควรแก่ความดับไม่เหลือแห่งอุปธิด้วย และเป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างสมควรแก่ธรรมด้วย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุนี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ กล่าวคือเพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปธิ โดยประการทั้งปวง. ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อม พิจารณาชนิดที่เป็นการพิจารณาในภายใน ว่า “ก็ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ณ ที่ไหน ? เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ?” ดังนี้ ภิกษุนั้น พิจารณาอยู่ย่อมรู้อย่างนี้ว่า สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดี (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก; ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้น ในสิ่งนั้น, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น. ก็สิ่งใดเล่า มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก? จักษุ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. โสตะ .... ฆานะ .... ชิวหา .... กายะ .... มนะ มีภาวะเป็นที่รักเป็นที่ยินดีในโลก. ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในธรรมมีภาวะน่ารักยินดีเหล่านี้, เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในธรรม มีภาวะน่ารักน่ายินดี เหล่านี้. (ต่อจากนี้ ได้ตรัสถึงบุคคลบางพวกในอดีต อนาคต และปัจจุบัน เห็นปิยรูป สาตรูปโดยความเป็นของเที่ยง ของสุขเป็นต้น แล้วทำตัณหาให้เจริญ ทำอุปธิให้เจริญ เท่ากับทำทุกข์ให้เจริญ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ ; และได้ตรัสฝ่ายตรงข้ามโดยปฏิปักขนัยไว้เป็นคู่กัน. สำหรับปิยรูปสาตรูปนั้น ในที่อื่นกล่าวไว้เป็นสิบหมวด ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร รวมกันเป็น ๖๐ อย่าง ; ในที่นี้กล่าวไว้เพียง ๖ อย่าง ตามจำนวนแห่งอายตนะภายใน, แม้กระนั้นก็อาจจะขยายออกไปได้เป็น ๖๐ อย่าง เช่นเดียวกัน ; ผู้สนใจพึงหาอ่านดูได้ จากมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นต้น เองเถิด).
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    0 Comments 1 Shares 1532 Views 0 Reviews

  • มหาสติปัฏฐานสูตร ฉบับ บาลีอักษรไทย(แปล)

    สัจจบรรพ

    (นำ) หันทะ มะยัง อะริยะสัจจะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ

    (รับ) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
    - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

    ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
    - ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

    จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
    - คือ อริยสัจ ๔

    กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
    - ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

    จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
    - คือ อริยสัจ ๔ เป็นอย่างไรเล่า?

    อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
    - ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

    อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
    - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์

    อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
    - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขสมุทัย

    อะยัง ทุกขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
    - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธ

    อะยัง ทุกขะนิโรคะคามินี ปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
    - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

    กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
    - ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า?

    ชาติปิ ทุกขา
    - แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์

    ชะราปิ ทุกขา
    - แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์

    มะระณัมปิ ทุกขัง
    - แม้ความตายก็เป็นทุกข์

    โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
    - แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย
    ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์

    อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
    - ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

    ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
    - ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

    ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
    - มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์

    สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
    - โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์

    กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ
    - ภิกษุทั้งหลาย ชาติ เป็นอย่างไรเล่า?

    ยาเตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย, ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ
    อะภินิพพัตติ ขันธานัง, ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ
    - การเกิด การกำเนิด การก้าวลง การเกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์
    การได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ

    อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ
    - ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ชาติ
    มหาสติปัฏฐานสูตร ฉบับ บาลีอักษรไทย(แปล) สัจจบรรพ (นำ) หันทะ มะยัง อะริยะสัจจะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ (รับ) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ - คือ อริยสัจ ๔ กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ - ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ - คือ อริยสัจ ๔ เป็นอย่างไรเล่า? อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขสมุทัย อะยัง ทุกขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธ อะยัง ทุกขะนิโรคะคามินี ปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ - ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง - ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า? ชาติปิ ทุกขา - แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา - แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ มะระณัมปิ ทุกขัง - แม้ความตายก็เป็นทุกข์ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา - แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข - ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข - ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง - มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา - โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์ กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ - ภิกษุทั้งหลาย ชาติ เป็นอย่างไรเล่า? ยาเตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย, ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อะภินิพพัตติ ขันธานัง, ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ - การเกิด การกำเนิด การก้าวลง การเกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ การได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ - ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ชาติ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews