• เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 5 – อิหร่าน 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 5”
    อิหร่าน 1
อิหร่านตกเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่าสาระพัดสัญชาติ มากว่า 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องนายD’Arcy ถูกนักล่า จากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ เอาลงหม้อตุ๋น เล็ดรอดไปเข้าหู หน่วยสืบราชการลับของชาติต่าง ๆ
    เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 19 อิหร่านยังเป็นประเทศที่ล้าหลังอยู่มาก ชาวบ้านซึ่งมีหลายเผ่าพันธ์ ยังอาศัยอยู่แถวนอกเมือง และทำงานประเภทอาบเหงื่อแทนน้ำ พวกเขานับถือศาสนาเดียวกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งครัด และมีการปกครองโดยผู้ครองนคร
    ย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา อิหร่านโดนต่างชาติบุก และยึดครองดินแดนอยู่เสมอโดยพวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษและรัสเซีย การแย่งชิงอิหร่านระหว่าง 2 คู่ชิง หนักข้อขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีเรื่องน้ำมันมาเกี่ยวข้อง มันมีสาเหตุ มาจากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของอิหร่านเป็นหลัก
    สำหรับอังกฤษ อิหร่านเป็นเส้นทางสำคัญ ที่เชื่อมอังกฤษชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กับอินเดีย กล่องดวงใจ และเป็นที่เหมาะ สำหรับจะวางไม้ขวาง กันไม่ให้รัสเซียขยายอำนาจเข้ามา ส่วนรัสเซียก็มองว่าอิหร่านเป็นด่านสำคัญ ที่จะไม่ให้ใครแหลมเข้ามาในรัฐเล็ก รัฐน้อยของตัวเอง ที่อยู่ทางภาคใต้ของรัสเซีย โดยเฉพาะพวกหน้าซีดเหมือนปลาตาย ทิ้งค้างอยู่บนเกาะ
    แม้อังกฤษจะพยายามปิดข่าว เรื่องการไปตั้งหม้อต้มตุ๋นคนกันเอง อย่างนายD’Arcy เพื่อซื้อสัมปทานน้ำมันในราคาถูก แต่ความลับยิ่งปิด ก็ยิ่งรั่ว ข่าวการต้มตุ๋นคนกันเอง กระฉ่อนไปเข้าหูนักล่าทุกสัญชาติ ต่างก็พากัน พกมีด เตรียมไม้ มุ่งหน้ามาอิหร่านเป็นแถว หวังจะได้เหยื่อ ส้มหล่นแบบอังกฤษบ้าง
    อังกฤษกับรัสเซีย เขม่นหน้ากันมานาน แต่เมื่ออังกฤษมีแผนจะถล่มออตโตมาน และต้องการรัสเซียมาร่วมเข้าฉาก ค.ศ.1907 อังกฤษกัดฟันตกลงกับรัสเซีย ทำสัญญาลับ “Convention of St. Petersburg ที่จะแบ่งอิหร่านระหว่างกัน รัสเซียจับไม้สั้นได้ส่วนเหนือ อังกฤษจับไม้ยาวได้ส่วนใต้ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จับไม้ไหน รัสเซียก็คงได้ส่วนเหนือของอิหร่านทั้งนั่นแหละ ก็อังกฤษเป็นฝ่ายเตรียมไม้ให้จับเอง ทางใต้ของอิหร่าน ที่อังกฤษล๊อกเอามาปรากฎว่าเต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน การจับไม้สั้นไม้ยาวนี้ เป็นการจับกันเองระหว่างพวกตะวันตก รัฐบาลอิหร่านไม่รู้เรื่องด้วย ยิ่งชาวอิหร่านยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ยังนอนหลับฝันร้ายกลางทะเลทรายอยู่เลย
    แล้ว Anglo Persian ก็เริ่มผลิตน้ำมันได้ในปี ค.ศ. 1908 อิหร่านเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลาง ที่สามารถผลิตน้ำมันขายได้ แต่รายได้ค่าน้ำมันไปอยู่ที่ไหน ต้องแจงกันไหม
    เมื่ออังกฤษสามารถเปลี่ยนให้กองทัพเรือ มาใช้น้ำมันเป็นพลังงานแทนถ่านหิน น้ำมันยิ่งกลายเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้กองทัพเรืออังกฤษก้าวขึ้นไปสู่การเป็นเจ้าแห่งทะเลอย่างเต็มภาคภูมิ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงโดยเยอรมันแพ้ลุ่ย อังกฤษ ถึงกับประกาศว่าฝ่ายสัมพันธมิตร ลอยตัวไปบนน้ำมันสู่ชัยชนะ (ไอ้พวกชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ นี่ ทั้งขี้โกง ขี้โม้ น้ำมันต้มเขามา น่าจะบอกให้ครบ )
    แต่น้ำมันไม่ใช้เป็นอาวุธหรือส่วนสำคัญ ในการชนะสงครามเท่านั้น น้ำมันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขัน สู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของการครองโลกไปด้วย ตะวันออกกลาง จึงกลายเป็นเหมือนชุมทางโจร เป็นแหล่งล่าเหยื่อ ที่สร้างอนาคตใหม่ให้เหล่านักล่า อย่างเหลือเชื่อ หลอด Churchill ถึงกับบอกว่า น้ำมันอิหร่านเหมือนเป็นของขวัญที่เทวดาประทานให้ เกินความนึกฝันจริง ๆ
    แต่ความเป็นอยู่ของเจ้าของแผ่นดิน ช่างต่างกับผู้ได้รับของขวัญ อย่างเหลือเชื่อเช่นกัน
    เจ้าหน้าที่ชาวอิหร่านที่ทำงานอยู่ในโรงกลั่นน้ำมัน Anglo – Persian นาย Manucher Farmfarmaian ได้เขียนเล่าถึง โลกของผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินกับผู้ได้รับของขวัญไว้ดังนี้ :
    “ค่าแรงคือวันละ 50 เซ็นต์ ต่อวัน ไม่มีการจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อน ไม่มีการให้ลาป่วย ไม่มีค่าชดเชยหากพิการ คนงานอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ Kaqhazabad โดยไม่มีน้ำและไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงของฟุ่มเฟื่อย เช่น น้ำแข็ง หรือพัดลม หน้าหนาวน้ำจะท่วมพื้นดิน ค้าง บริเวณกว้าง เหมือนเป็นทะเลสาบ โคลนในเมืองสูงเท่าหัวเข่า และต้องใช้เรือขนส่ง แล่นไปตามถนน ที่เต็มไปด้วยน้ำเพื่อขนส่ง หน้าร้อนยิ่งแย่กว่า ที่พักซึ่งถูกเขม่าน้ำมันเกาะกันเป็นแผ่นหนาเตอะ ทำให้กระท่อมร้อนระอุเหมือนเตาอบ และมีกลิ่นเหม็นหื่นของน้ำมันเผาเก่า ๆ…
    ส่วนที่พักของชาวอังกฤษอยู่ใน Abadn เป็นบ้านใหญ่โต มีสนามสวยงาม มีแปลงดอกกุหลาบ สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ และสโมสร แต่ที่ Kaqhazabad ไม่มีอะไรเช่นนั้น ไม่มี… ไม่มีแม้แต่ที่อาบน้ำ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น …”
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 5 – อิหร่าน 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 5” อิหร่าน 1
อิหร่านตกเป็นเหยื่อ ของเหล่านักล่าสาระพัดสัญชาติ มากว่า 100 ปีแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องนายD’Arcy ถูกนักล่า จากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ เอาลงหม้อตุ๋น เล็ดรอดไปเข้าหู หน่วยสืบราชการลับของชาติต่าง ๆ เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 19 อิหร่านยังเป็นประเทศที่ล้าหลังอยู่มาก ชาวบ้านซึ่งมีหลายเผ่าพันธ์ ยังอาศัยอยู่แถวนอกเมือง และทำงานประเภทอาบเหงื่อแทนน้ำ พวกเขานับถือศาสนาเดียวกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเคร่งครัด และมีการปกครองโดยผู้ครองนคร ย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา อิหร่านโดนต่างชาติบุก และยึดครองดินแดนอยู่เสมอโดยพวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษและรัสเซีย การแย่งชิงอิหร่านระหว่าง 2 คู่ชิง หนักข้อขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีเรื่องน้ำมันมาเกี่ยวข้อง มันมีสาเหตุ มาจากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของอิหร่านเป็นหลัก สำหรับอังกฤษ อิหร่านเป็นเส้นทางสำคัญ ที่เชื่อมอังกฤษชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กับอินเดีย กล่องดวงใจ และเป็นที่เหมาะ สำหรับจะวางไม้ขวาง กันไม่ให้รัสเซียขยายอำนาจเข้ามา ส่วนรัสเซียก็มองว่าอิหร่านเป็นด่านสำคัญ ที่จะไม่ให้ใครแหลมเข้ามาในรัฐเล็ก รัฐน้อยของตัวเอง ที่อยู่ทางภาคใต้ของรัสเซีย โดยเฉพาะพวกหน้าซีดเหมือนปลาตาย ทิ้งค้างอยู่บนเกาะ แม้อังกฤษจะพยายามปิดข่าว เรื่องการไปตั้งหม้อต้มตุ๋นคนกันเอง อย่างนายD’Arcy เพื่อซื้อสัมปทานน้ำมันในราคาถูก แต่ความลับยิ่งปิด ก็ยิ่งรั่ว ข่าวการต้มตุ๋นคนกันเอง กระฉ่อนไปเข้าหูนักล่าทุกสัญชาติ ต่างก็พากัน พกมีด เตรียมไม้ มุ่งหน้ามาอิหร่านเป็นแถว หวังจะได้เหยื่อ ส้มหล่นแบบอังกฤษบ้าง อังกฤษกับรัสเซีย เขม่นหน้ากันมานาน แต่เมื่ออังกฤษมีแผนจะถล่มออตโตมาน และต้องการรัสเซียมาร่วมเข้าฉาก ค.ศ.1907 อังกฤษกัดฟันตกลงกับรัสเซีย ทำสัญญาลับ “Convention of St. Petersburg ที่จะแบ่งอิหร่านระหว่างกัน รัสเซียจับไม้สั้นได้ส่วนเหนือ อังกฤษจับไม้ยาวได้ส่วนใต้ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จับไม้ไหน รัสเซียก็คงได้ส่วนเหนือของอิหร่านทั้งนั่นแหละ ก็อังกฤษเป็นฝ่ายเตรียมไม้ให้จับเอง ทางใต้ของอิหร่าน ที่อังกฤษล๊อกเอามาปรากฎว่าเต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน การจับไม้สั้นไม้ยาวนี้ เป็นการจับกันเองระหว่างพวกตะวันตก รัฐบาลอิหร่านไม่รู้เรื่องด้วย ยิ่งชาวอิหร่านยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ยังนอนหลับฝันร้ายกลางทะเลทรายอยู่เลย แล้ว Anglo Persian ก็เริ่มผลิตน้ำมันได้ในปี ค.ศ. 1908 อิหร่านเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลาง ที่สามารถผลิตน้ำมันขายได้ แต่รายได้ค่าน้ำมันไปอยู่ที่ไหน ต้องแจงกันไหม เมื่ออังกฤษสามารถเปลี่ยนให้กองทัพเรือ มาใช้น้ำมันเป็นพลังงานแทนถ่านหิน น้ำมันยิ่งกลายเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้กองทัพเรืออังกฤษก้าวขึ้นไปสู่การเป็นเจ้าแห่งทะเลอย่างเต็มภาคภูมิ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงโดยเยอรมันแพ้ลุ่ย อังกฤษ ถึงกับประกาศว่าฝ่ายสัมพันธมิตร ลอยตัวไปบนน้ำมันสู่ชัยชนะ (ไอ้พวกชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ นี่ ทั้งขี้โกง ขี้โม้ น้ำมันต้มเขามา น่าจะบอกให้ครบ ) แต่น้ำมันไม่ใช้เป็นอาวุธหรือส่วนสำคัญ ในการชนะสงครามเท่านั้น น้ำมันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขัน สู่การเป็นหมายเลขหนึ่งของการครองโลกไปด้วย ตะวันออกกลาง จึงกลายเป็นเหมือนชุมทางโจร เป็นแหล่งล่าเหยื่อ ที่สร้างอนาคตใหม่ให้เหล่านักล่า อย่างเหลือเชื่อ หลอด Churchill ถึงกับบอกว่า น้ำมันอิหร่านเหมือนเป็นของขวัญที่เทวดาประทานให้ เกินความนึกฝันจริง ๆ แต่ความเป็นอยู่ของเจ้าของแผ่นดิน ช่างต่างกับผู้ได้รับของขวัญ อย่างเหลือเชื่อเช่นกัน เจ้าหน้าที่ชาวอิหร่านที่ทำงานอยู่ในโรงกลั่นน้ำมัน Anglo – Persian นาย Manucher Farmfarmaian ได้เขียนเล่าถึง โลกของผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินกับผู้ได้รับของขวัญไว้ดังนี้ : “ค่าแรงคือวันละ 50 เซ็นต์ ต่อวัน ไม่มีการจ่ายค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อน ไม่มีการให้ลาป่วย ไม่มีค่าชดเชยหากพิการ คนงานอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ Kaqhazabad โดยไม่มีน้ำและไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงของฟุ่มเฟื่อย เช่น น้ำแข็ง หรือพัดลม หน้าหนาวน้ำจะท่วมพื้นดิน ค้าง บริเวณกว้าง เหมือนเป็นทะเลสาบ โคลนในเมืองสูงเท่าหัวเข่า และต้องใช้เรือขนส่ง แล่นไปตามถนน ที่เต็มไปด้วยน้ำเพื่อขนส่ง หน้าร้อนยิ่งแย่กว่า ที่พักซึ่งถูกเขม่าน้ำมันเกาะกันเป็นแผ่นหนาเตอะ ทำให้กระท่อมร้อนระอุเหมือนเตาอบ และมีกลิ่นเหม็นหื่นของน้ำมันเผาเก่า ๆ… ส่วนที่พักของชาวอังกฤษอยู่ใน Abadn เป็นบ้านใหญ่โต มีสนามสวยงาม มีแปลงดอกกุหลาบ สนามเทนนิส สระว่ายน้ำ และสโมสร แต่ที่ Kaqhazabad ไม่มีอะไรเช่นนั้น ไม่มี… ไม่มีแม้แต่ที่อาบน้ำ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น …” สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 3”

    ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก

    แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี

    ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ

    ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส

    ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง !
    ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง

    ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy!

    ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น

    นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !)

    ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก

    ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ !
    นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ

    นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน

    สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น

    ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 3” ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง ! ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy! ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !) ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ ! นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 2”

    คงเห็นชัดเจนแล้วว่าอังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟ โดยเฉพาะสาย Berlin Bagdad ซึ่งสร้างโดยเยอรมัน อนุญาตโดยออตโตมาน อังกฤษจะแก้อาการแพ้ทางรถไฟนี้อย่างไร อังกฤษตั้งใจใช้ไม้เสี้ยม หวังให้รางรถไฟแหกโค้ง ตกเขาจบสิ้นไป แต่ถ้าเอาแว่นขยายส่องอีกหน่อย เราจะเห็นความเหี้ยมของอังกฤษว่า ไม่ใช่แค่เสี้ยมให้ทางรถไฟแหกโค้งตกเขา แล้วเรื่องจะจบ อาการแพ้จะหายไป นั่นมันง่ายไป และใจดีไปสำหรับชาวเกาะ มันต้องมีอะไรซับซ้อนซ่อนมากกว่านั้น เกินจิตนาการ เล่าแล้วเหมือนจะทำลายหัวใจ พวกที่นิยมบูชาฝรั่ง

    เริ่มจาก ค.ศ. 1873 เป็นต้นมา ความเจริญทางเศรษฐกิจระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน ดูเหมือนจะใช้อัตราและขนาด ทิ้งห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงระดับที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ต้องถูกจุดให้เกิดระเบิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1914 แต่สาเหตุแท้จริงของการจุดให้เกิดสงครามโลก ได้ถูกซ่อนลึก จนแทบจะไม่มีใครได้รู้จนเวลาผ่านพ้นไปนานพอสมควร

    ประมาณปลายศตวรรษที่ 19 กลุ่มธุรกิจ การเงิน นักการเมือง และพวกอีลิตของชาวเกาะอังกฤษ เริ่มออกอาการ เนื่องจากเห็นความเปลี่ยนแปลง ของพวกอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป ที่ดูจะคึกคักผิดปรกติ

    การเกิดของกองเรือขนส่งสินค้าของเยอรมัน ที่ทำท่าว่ากำลังทำมาค้าขึ้น ข่าวเรื่องการก่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ที่จะวิ่งไปตามเส้นทาง ที่จะทำให้ อินเดีย กล่องดวงใจ ของรักของหวงของชาวเกาะ มีโอกาสล่อแหลมที่จะถูกฉกไปเชยชม แบบนี้ชาวเกาะจะไม่รู้สึกว่า มีอาการของกรดไหลย้อนขึ้นมาละหรือ

    ในช่วง ค.ศ. 1890 อุตสาหกรรมของอังกฤษ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งด้านการเกษตร นำหน้าเยอรมันหลายช่วงตัว เรียกว่าเหลียวหลังหันกลับไปมองจนคอจะเคล็ดตาย ยังไม่เห็นแม้เงาราง ๆ ของเยอรมันวิ่งตามมา อังกฤษเจ้าแห่งนักล่าอาณานิคม มองเยอรมันเหมือนคนป่าเถื่อน เทอะทะ เฟอะฟะ พูดจาเหมือนออกมาจากดงดิบ ดีว่าตัวขาวผมทอง ไม่งั้นคงถูกเหมาว่ามาจากแถบอื่น ไม่ใช่ชาวยุโรป
    เมื่อ ค.ศ. 1850 อังกฤษยังเพลิดเพลินและโดดเด่นในการล่าอาณานิคม ขยายอาณาเขตของตัวเองกว้างไกลไปไม่หยุด เพื่อไปขโมยเอาทรัพยากรของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อังกฤษทำเพราะส่วนหนึ่งเกาะตัวเองใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จะเอาเนื้อที่ส่วนไหนมาให้ประชาชนทำมาหากิน ปลูกผักปลูกหญ้า แถมทรัพยากรสำคัญก็ไม่มี มีแต่ถ่านหินที่พอเชิดหน้าชูตาได้ จะกินเข้าไปได้หรือถ่านหินน่ะ อังกฤษจึงใช้ความคิดกับปากเป็นอาวุธสำคัญในการล่าอาณานิคม แต่อาวุธกับปากมันไปเองไม่ได้ จึงต้องมีกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ เพื่อไปหลอก ไปต้ม ไปเสี้ยม ไปล่า ไปเอาอาณานิคมมาเกือบทั้งโลก ก็ต้องยอมรับว่า วิทยายุทธการล่าเหยื่อของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้ายนี้สูงส่งนัก

    แผนการหนึ่งของการล่า คือทำให้เหยื่อเปิดประตูบ้าน ให้นักล่าเข้านอกออกใน และหลังจากนั้น นักล่าชาวเกาะใหญ่นี้ จะได้ไปถอดกลอนประตูบ้านเขาให้ เปิดกว้าง สู่การค้าเสรี การค้าเสรี นักล่ารุ่นเก่าเขาก็ทำนะ อย่านึกว่ามีแต่รุ่นใหม่ มีอะไรเอามาขายให้หมด (ในราคาถูก) เพื่อแลกกับของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อังกฤษนักล่า เอาไปหลอกขาย คิดดูแล้ว ก็เหมือนพ่อค้าเร่ขายยา มีของอยู่เต็มท้ายรถ ไปถึงก็หลอกชาวบ้าน โดยฉายหนังกลางแปลง ชาวบ้านก็หอบลูกจูงหลานมาดู หนังเลิก ก็อดซื้ออะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นติดไม้ติดมือกลับ บ้านไปไม่ได้ พ่อค้าซื้อมาถูกๆ มาขายต่อราคาแพง ๆ กับชาวบ้านต่างถิ่นไกลโพ้น ที่ไม่มีโอกาสเห็นโลกกว้าง เออ! หลอกต้มแบบนี้มาตั้งกะสมัยปู่ย่า ถึงสมัยลูกหลานก็ยังโดนหลอกอยู่เหมือนเดิม

    สินค้าที่พ่อค้าเร่ขายยา นักล่ารุ่นเก่าชอบเอามาหลอกเหยื่อสมัยนั้น ส่วนมากก็เป็นพวกเครื่องมือ เครื่องใช้สมัยใหม่ วิทยาการใหม่ทางวิทยาศาตร์ เช่น โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟ รถราง และเครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นต้น

    แล้วเหยื่อส่วนใหญ่ก็กินเบ็ด เพราะไม่เคยมี ก็อยากมี แต่ไม่มีทุนพอซื้อหรือสร้าง นักล่าบอกไม่เป็นไร มีแผนสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้ ได้เลย เดี๋ยวไอจัดการให้ ไอหาเงินกู้ดอกถูกมาให้สร้างเสาโทรเลขดีไหม จะได้ไม่ต้องขี่อูฐกันไป 3 เดือนกว่าจะรู้เรื่อง กดแต๊ก แต๊ก แต๊ก เดี๋ยวเดียว ก็รู้แล้วว่าไอ้คนที่เจ้านายส่งไปดูแลหัวเมืองน่ะ มันทำงาน หรือกลับบ้านไปนอนกลางวันทุกวัน นี่มันคิดหลอกกันแบบนี้ เป็นร้อยปีมากแล้ว แต่ยังใช้ได้อยู่ ลุงนิทานเล่าซ้ำซากด้วยความอ่อนใจ

    เหยื่อส่วนใหญ่ก็ตกลง ให้นักล่าจัดการสร้างโน่น ติดตั้งนี้ ไปเรื่อย ๆ ด้วยเงินกู้ที่นักล่าจัดการให้ แล้วเหยื่อก็เป็นหนี้บานทะโล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งที่ออตโตมานเจ๊ง ถูกเรียกว่าเป็นคนป่วยก็มาจากเหตุนี้แหละ ถูกต้ม ให้ซื้อ ให้ทำสงคราม ให้สร้างกองทัพ ฯลฯ ส่วนนักล่าเมื่อได้เงินมา ส่วนหนึ่งก็ซื้อสินค้าพื้นเมืองราคาถูก กลับไปขายแพงที่บ้าน มีกำไรดี แต่เงินส่วนใหญ่กลับไปหานายธนาคารผู้สนับสนุน ทั้งการเดินทาง และการสร้างของเล่นให้เหยื่อ ทำแบบนี้เหมือนอังกฤษน่าจะรวย แต่ ค.ศ. 1870 อังกฤษเกิดอาการเศรษฐกิจตกสะเก็ด เงินไปกระจุกตัวอยู่ที่นายธนาคารผู้ให้กู้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีกิน
    เยอรมันบอกวิธีนี้ ถ้าเราทำตาม เราก็คงเจ็งตาม เยอรมันจึงเปลี่ยนวิธีการพัฒนาประเทศตนเองใหม่ เน้นหนักทางด้านอุตสาหกรรม

    ค.ศ. 1890 เยอรมันผลิตถ่านหินได้ 88 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 182 ล้านตัน

    ค.ศ. 1910 การผลิตถ่านหินของเยอรมัน พุ่งขึ้นเป็น 219 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 264 ล้านตัน ความห่างของปริมาณการผลิตเริ่มแคบเข้ามาเรื่อย ๆ
    ค.ศ. 1914 เรือบรรทุกสินค้าของเยอรมัน ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่อังกฤษ เป็นการปรับตัวขยายที่รวดเร็วมาก เยอรมันเปลี่ยนตัวถังเรือจากไม้เป็นเหล็ก และเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องจักรกลขับเคลื่อนเรือ ทำให้ขนาดเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ขึ้น บรรทุกสินค้าได้มากขึ้น และวิ่งเร็วขึ้น เยอรมันกลับกลายเป็นลูกพี่ในการขนส่งสินค้าทางทะเล

    การขนส่งสินค้าทางเรือบรรทุกของเยอรมัน นอกจากเพิ่มจำนวนสินค้าแล้ว ยังมีการประกันภัยสินค้าด้วย ระบบที่ครบถ้วนของเยอรมัน เป็นที่พอใจของผู้ใช้บริการมาก ขนาดฝรั่งเศส คู่หูอังกฤษเอง ยังออกปากว่า การขนส่งสินค้าทางเรือของเยอรมัน ไม่ได้วางระบบให้วิ่งไปหาการค้า แต่วิธีดำเนินการของเยอรมัน ทำให้การค้าวิ่งมาหาเอง มันเหนือกว่าที่เคย ๆ ทำ

    เอะ ! ฝรั่งเศสหมายถึงใคร พูดชมใคร พูดแดกใคร ! แค่เยอรมันเริ่มทาบรัศมีการขนส่งทางเรือ อังกฤษก็ขัดใจแย่แล้ว นี่คู่หูดันไปชื่นชมอีก แบบนี้มันยิ่งกว่าขัดใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 2” คงเห็นชัดเจนแล้วว่าอังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟ โดยเฉพาะสาย Berlin Bagdad ซึ่งสร้างโดยเยอรมัน อนุญาตโดยออตโตมาน อังกฤษจะแก้อาการแพ้ทางรถไฟนี้อย่างไร อังกฤษตั้งใจใช้ไม้เสี้ยม หวังให้รางรถไฟแหกโค้ง ตกเขาจบสิ้นไป แต่ถ้าเอาแว่นขยายส่องอีกหน่อย เราจะเห็นความเหี้ยมของอังกฤษว่า ไม่ใช่แค่เสี้ยมให้ทางรถไฟแหกโค้งตกเขา แล้วเรื่องจะจบ อาการแพ้จะหายไป นั่นมันง่ายไป และใจดีไปสำหรับชาวเกาะ มันต้องมีอะไรซับซ้อนซ่อนมากกว่านั้น เกินจิตนาการ เล่าแล้วเหมือนจะทำลายหัวใจ พวกที่นิยมบูชาฝรั่ง เริ่มจาก ค.ศ. 1873 เป็นต้นมา ความเจริญทางเศรษฐกิจระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน ดูเหมือนจะใช้อัตราและขนาด ทิ้งห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงระดับที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ต้องถูกจุดให้เกิดระเบิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1914 แต่สาเหตุแท้จริงของการจุดให้เกิดสงครามโลก ได้ถูกซ่อนลึก จนแทบจะไม่มีใครได้รู้จนเวลาผ่านพ้นไปนานพอสมควร ประมาณปลายศตวรรษที่ 19 กลุ่มธุรกิจ การเงิน นักการเมือง และพวกอีลิตของชาวเกาะอังกฤษ เริ่มออกอาการ เนื่องจากเห็นความเปลี่ยนแปลง ของพวกอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป ที่ดูจะคึกคักผิดปรกติ การเกิดของกองเรือขนส่งสินค้าของเยอรมัน ที่ทำท่าว่ากำลังทำมาค้าขึ้น ข่าวเรื่องการก่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ที่จะวิ่งไปตามเส้นทาง ที่จะทำให้ อินเดีย กล่องดวงใจ ของรักของหวงของชาวเกาะ มีโอกาสล่อแหลมที่จะถูกฉกไปเชยชม แบบนี้ชาวเกาะจะไม่รู้สึกว่า มีอาการของกรดไหลย้อนขึ้นมาละหรือ ในช่วง ค.ศ. 1890 อุตสาหกรรมของอังกฤษ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ รวมทั้งด้านการเกษตร นำหน้าเยอรมันหลายช่วงตัว เรียกว่าเหลียวหลังหันกลับไปมองจนคอจะเคล็ดตาย ยังไม่เห็นแม้เงาราง ๆ ของเยอรมันวิ่งตามมา อังกฤษเจ้าแห่งนักล่าอาณานิคม มองเยอรมันเหมือนคนป่าเถื่อน เทอะทะ เฟอะฟะ พูดจาเหมือนออกมาจากดงดิบ ดีว่าตัวขาวผมทอง ไม่งั้นคงถูกเหมาว่ามาจากแถบอื่น ไม่ใช่ชาวยุโรป เมื่อ ค.ศ. 1850 อังกฤษยังเพลิดเพลินและโดดเด่นในการล่าอาณานิคม ขยายอาณาเขตของตัวเองกว้างไกลไปไม่หยุด เพื่อไปขโมยเอาทรัพยากรของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อังกฤษทำเพราะส่วนหนึ่งเกาะตัวเองใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จะเอาเนื้อที่ส่วนไหนมาให้ประชาชนทำมาหากิน ปลูกผักปลูกหญ้า แถมทรัพยากรสำคัญก็ไม่มี มีแต่ถ่านหินที่พอเชิดหน้าชูตาได้ จะกินเข้าไปได้หรือถ่านหินน่ะ อังกฤษจึงใช้ความคิดกับปากเป็นอาวุธสำคัญในการล่าอาณานิคม แต่อาวุธกับปากมันไปเองไม่ได้ จึงต้องมีกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ เพื่อไปหลอก ไปต้ม ไปเสี้ยม ไปล่า ไปเอาอาณานิคมมาเกือบทั้งโลก ก็ต้องยอมรับว่า วิทยายุทธการล่าเหยื่อของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้ายนี้สูงส่งนัก แผนการหนึ่งของการล่า คือทำให้เหยื่อเปิดประตูบ้าน ให้นักล่าเข้านอกออกใน และหลังจากนั้น นักล่าชาวเกาะใหญ่นี้ จะได้ไปถอดกลอนประตูบ้านเขาให้ เปิดกว้าง สู่การค้าเสรี การค้าเสรี นักล่ารุ่นเก่าเขาก็ทำนะ อย่านึกว่ามีแต่รุ่นใหม่ มีอะไรเอามาขายให้หมด (ในราคาถูก) เพื่อแลกกับของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อังกฤษนักล่า เอาไปหลอกขาย คิดดูแล้ว ก็เหมือนพ่อค้าเร่ขายยา มีของอยู่เต็มท้ายรถ ไปถึงก็หลอกชาวบ้าน โดยฉายหนังกลางแปลง ชาวบ้านก็หอบลูกจูงหลานมาดู หนังเลิก ก็อดซื้ออะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นติดไม้ติดมือกลับ บ้านไปไม่ได้ พ่อค้าซื้อมาถูกๆ มาขายต่อราคาแพง ๆ กับชาวบ้านต่างถิ่นไกลโพ้น ที่ไม่มีโอกาสเห็นโลกกว้าง เออ! หลอกต้มแบบนี้มาตั้งกะสมัยปู่ย่า ถึงสมัยลูกหลานก็ยังโดนหลอกอยู่เหมือนเดิม สินค้าที่พ่อค้าเร่ขายยา นักล่ารุ่นเก่าชอบเอามาหลอกเหยื่อสมัยนั้น ส่วนมากก็เป็นพวกเครื่องมือ เครื่องใช้สมัยใหม่ วิทยาการใหม่ทางวิทยาศาตร์ เช่น โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟ รถราง และเครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นต้น แล้วเหยื่อส่วนใหญ่ก็กินเบ็ด เพราะไม่เคยมี ก็อยากมี แต่ไม่มีทุนพอซื้อหรือสร้าง นักล่าบอกไม่เป็นไร มีแผนสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้ ได้เลย เดี๋ยวไอจัดการให้ ไอหาเงินกู้ดอกถูกมาให้สร้างเสาโทรเลขดีไหม จะได้ไม่ต้องขี่อูฐกันไป 3 เดือนกว่าจะรู้เรื่อง กดแต๊ก แต๊ก แต๊ก เดี๋ยวเดียว ก็รู้แล้วว่าไอ้คนที่เจ้านายส่งไปดูแลหัวเมืองน่ะ มันทำงาน หรือกลับบ้านไปนอนกลางวันทุกวัน นี่มันคิดหลอกกันแบบนี้ เป็นร้อยปีมากแล้ว แต่ยังใช้ได้อยู่ ลุงนิทานเล่าซ้ำซากด้วยความอ่อนใจ เหยื่อส่วนใหญ่ก็ตกลง ให้นักล่าจัดการสร้างโน่น ติดตั้งนี้ ไปเรื่อย ๆ ด้วยเงินกู้ที่นักล่าจัดการให้ แล้วเหยื่อก็เป็นหนี้บานทะโล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งที่ออตโตมานเจ๊ง ถูกเรียกว่าเป็นคนป่วยก็มาจากเหตุนี้แหละ ถูกต้ม ให้ซื้อ ให้ทำสงคราม ให้สร้างกองทัพ ฯลฯ ส่วนนักล่าเมื่อได้เงินมา ส่วนหนึ่งก็ซื้อสินค้าพื้นเมืองราคาถูก กลับไปขายแพงที่บ้าน มีกำไรดี แต่เงินส่วนใหญ่กลับไปหานายธนาคารผู้สนับสนุน ทั้งการเดินทาง และการสร้างของเล่นให้เหยื่อ ทำแบบนี้เหมือนอังกฤษน่าจะรวย แต่ ค.ศ. 1870 อังกฤษเกิดอาการเศรษฐกิจตกสะเก็ด เงินไปกระจุกตัวอยู่ที่นายธนาคารผู้ให้กู้ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีกิน เยอรมันบอกวิธีนี้ ถ้าเราทำตาม เราก็คงเจ็งตาม เยอรมันจึงเปลี่ยนวิธีการพัฒนาประเทศตนเองใหม่ เน้นหนักทางด้านอุตสาหกรรม ค.ศ. 1890 เยอรมันผลิตถ่านหินได้ 88 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 182 ล้านตัน ค.ศ. 1910 การผลิตถ่านหินของเยอรมัน พุ่งขึ้นเป็น 219 ล้านตัน ส่วนอังกฤษผลิตได้ 264 ล้านตัน ความห่างของปริมาณการผลิตเริ่มแคบเข้ามาเรื่อย ๆ ค.ศ. 1914 เรือบรรทุกสินค้าของเยอรมัน ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่อังกฤษ เป็นการปรับตัวขยายที่รวดเร็วมาก เยอรมันเปลี่ยนตัวถังเรือจากไม้เป็นเหล็ก และเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องจักรกลขับเคลื่อนเรือ ทำให้ขนาดเรือบรรทุกสินค้าใหญ่ขึ้น บรรทุกสินค้าได้มากขึ้น และวิ่งเร็วขึ้น เยอรมันกลับกลายเป็นลูกพี่ในการขนส่งสินค้าทางทะเล การขนส่งสินค้าทางเรือบรรทุกของเยอรมัน นอกจากเพิ่มจำนวนสินค้าแล้ว ยังมีการประกันภัยสินค้าด้วย ระบบที่ครบถ้วนของเยอรมัน เป็นที่พอใจของผู้ใช้บริการมาก ขนาดฝรั่งเศส คู่หูอังกฤษเอง ยังออกปากว่า การขนส่งสินค้าทางเรือของเยอรมัน ไม่ได้วางระบบให้วิ่งไปหาการค้า แต่วิธีดำเนินการของเยอรมัน ทำให้การค้าวิ่งมาหาเอง มันเหนือกว่าที่เคย ๆ ทำ เอะ ! ฝรั่งเศสหมายถึงใคร พูดชมใคร พูดแดกใคร ! แค่เยอรมันเริ่มทาบรัศมีการขนส่งทางเรือ อังกฤษก็ขัดใจแย่แล้ว นี่คู่หูดันไปชื่นชมอีก แบบนี้มันยิ่งกว่าขัดใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว”

    ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่

    เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้

    นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้

    ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์

    ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
    OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้
    มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
    พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง
    การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง
    ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม
    ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030
    หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030
    พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต
    การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก
    การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    ⚡ “ทำไมศูนย์ข้อมูล AI ถึงยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล? — เมื่อความต้องการพลังงานแซงหน้าความเขียว” ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่ในวงการ AI: Nvidia ประกาศลงทุนกว่า 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ตามมาด้วยดีล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI, SoftBank และ Oracle เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่งในสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการพลังงานมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่พลังงานที่ใช้กลับยังคงเป็นฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลมาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่เรียกพลังงานสะอาดว่า “หลอกลวง” และผลักดันนโยบายสนับสนุนฟอสซิลอย่างเต็มที่ เหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลยังไม่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้เต็มรูปแบบนั้นมีหลายด้าน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดวัน หากไฟดับแม้เพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินมหาศาล การใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานก็ยังมีต้นทุนสูง และไม่สามารถรองรับการใช้งานข้ามฤดูกาลได้ นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ต้องการพลังงานระดับกิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้แผงโซลาร์กว่า 12.5 ล้านแผง หรือกังหันลมจำนวนมหาศาล ซึ่งพื้นที่ใกล้เมืองมักไม่สามารถรองรับได้ ทางเลือกหนึ่งคือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีข้อดีคือปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์และจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องใช้เวลา 7–8 ปีในการสร้างโรงงานใหม่ และยังมีอุปสรรคด้านต้นทุน ความปลอดภัย และการจัดการกากนิวเคลียร์ ดังนั้นในระยะสั้น บริษัทเทคโนโลยีจึงยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้งานภายใน 1–2 ปี และสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia ลงทุน 100 พันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนศูนย์ข้อมูลของ OpenAI ➡️ OpenAI, SoftBank และ Oracle ร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล Stargate Project มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังลงทุนรวมกว่า 325 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูลภายในปีนี้ ➡️ มากกว่าครึ่งของพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ➡️ พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ยังมีต้นทุนสูง ➡️ การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องใช้เวลา 7–8 ปี และมีต้นทุนสูง ➡️ ก๊าซธรรมชาติสามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้ภายใน 1–2 ปี และมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ➡️ ประธานาธิบดีทรัมป์สนับสนุนฟอสซิลและลดเครดิตภาษีสำหรับพลังงานสะอาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Goldman Sachs คาดว่าความต้องการพลังงานจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้น 160% ภายในปี 2030 ➡️ หากใช้ฟอสซิลเป็นหลัก อาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอนถึง 220 ล้านตันทั่วโลกภายในปี 2030 ➡️ พลังงานนิวเคลียร์มีศักยภาพสูง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านแรงงานและการขออนุญาต ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบจัดการข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการใช้พลังงานได้มาก ➡️ การออกแบบโมเดล AI ที่เหมาะสมและใช้ข้อมูลคุณภาพสูงช่วยลดการใช้พลังงานในการฝึกและใช้งานโมเดล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/29/why-dont-data-centres-use-more-green-energy
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why don't data centres use more green energy?
    Reliance on fossil fuels is almost unavoidable — at least for now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง”

    ตอนที่ 11 หุ่นเชิดสีส้ม

    ระหว่างที่รัสเซียเดินหน้าวางท่อส่งไป ทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เหมือนดอกว่านบาน 4 ทิศ อเมริกาก็ใช้ทุกแผน ทั้งบนฟ้า เหนือดินและใต้ดินเหมือนกัน ที่จะตัดทางเดินของท่อส่ง ทางหนึ่งที่ลงทุนไปแยะแล้ว และเป็นด่านสำคัญคือ Ukraine เรื่องเก่า จึงต้องเอามาเล่นใหม่

    ดูจากแผนที่ Ukraine มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อทั้ง NATO และรัสเซีย ไม่ใช่แค่ด้านตะวันออกของ Ukraine อยู่ติดรัสเซียเท่านั้น แต่ Ukraine ยังเป็นทางออกของท่อส่งแก๊ซเส้น ใหญ่ของรัสเซีย ที่ส่งไปให้ยุโรปตะวันตก คิดเป็นประมาณ 80% ของรายได้ที่เป็นดอลล่าร์ จากการส่งออกแก๊ซ มันเป็นเส้นเลือดใหญ่ของรัสเซียเลยล่ะ

    ไม่ใช่แค่เรื่องท่อส่งแก๊ซที่ทำให้อเมริกาจุกอก Ukraine ยังทำสัญญาให้สิทธิรัสเซีย ใช้ท่าเรือของ Ukraine ที่ Stevastopol เพื่อเป็นฐานให้กองทัพเรือของรัสเซียจอดที่ทะเลดำ และที่ Odessa อีกด้วย สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ถึงปี ค.ศ. 2017 ถ้าไม่ต่อออกไปอีก กองทัพเรือรัสเซียที่ทะเลดำนี้ ทำให้ NATO ต้องคิดหนักในการสยายปีกของตนเองเพื่อมาล้อมรัสเซีย

    เมื่อ Georgia ถูกชักใยในปี ค.ศ. 2008 นาย Yushchenko ประธานธิบดีของ Ukraine ถูกผู้ชักใยสั่งให้สวมรอยใช้โอกาสนี้ บอกเลิกสัญญาเช่าท่าเรือนี้ก่อนกำหนดไปด้วย แต่มันไม่ง่ายนักหรอก กองเรือรัสเซียอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1783 ตั้งแต่ Stevastopol ยังเป็นของรัสเซียอยู่
    ทางภาคตะวันออกของ Ukraine ซึ่งติดกับรัสเซีย เป็นถิ่นที่อยู่ของชาว Ukraine ประมาณ 15 ล้านคน ที่มีวัฒนธรรมเหมือนรัสเซีย และเป็นบริเวณที่มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก ปี ค.ศ. 2009 Ukraine เป็นอันดับ 3 ของโลก ในการส่งออกธัญพืช รองจากอเมริกาและสหภาพยุโรป แซงหน้ารัสเซียและแคนาดา chomozem ดินดำที่มีชื่อเสียงของ Ukraine เป็นดินที่มีปุ๋ยธรรมชาติมากที่สุดในโลก และดินดำนี้มีอยู่ทั่วประมาณ 2 ใน 3 ของดินแดน Ukraine

    บริเวณแม่น้ำ Dnieper และ Dniester เป็นที่เดียวในโลกอีกเช่นกัน ที่มีดินดำชนิดที่เรียกว่า “sweet black soil” ยาวไป 500 กิโลเมตร เป็นดินเหมาะสมสำหรับการทำเกษตรกรรมอย่างที่สุด และถือเป็นสมบัติมีค่าของประเทศ บรรษัทใหญ่ที่ทำเกษตรอุตสาหกรรม ของชาติตะวันตก เช่น Monsanto (จำได้ไหมครับ บริษัทนี้แสบอย่างไร เขาเป็นต้นคิดเมล็ดพืช พันธ์พิฆาต GMO) Cargill, ADM และ Kraft ต่างน้ำลายไหลยืด อยากจะมาครอบครองบริเวณนี้ของ Ukraine เพียงรอเวลา “เหมาะสม” อยู่เท่านั้น

    ส่วนบริเวณ Ukrainian Donetsk และ Donets Basin หรือ Donbas นั้น ซึ่งเป็นเขตฐานเสียงของ ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นาย YanuKovych เป็นดินแดน ที่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมถ่านหินและเหล็ก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Donbas มีถ่านหินประมาณ 109 billion ตัน รวมทั้งมีน้ำมันและแก๊ซธรรมชาติด้วย

    โดยรวม นับว่า Ukraine เป็นบริเวณที่รวยที่สุดของทวีปยุโรปในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งหินแกรนิต แกรฟไฟท์ และเกลือ มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการทำกระเบื้องเคลือบ อุตสาหกรรมเคมี และอุตสาหกรรมก่อสร้าง การยึด Ukraine ได้ในปี ค.ศ. 2004 ของอเมริกาจึงถือว่าได้รางวัลใหญ่ สมควรต้องตะโกนว่า We Won, We Won เราชนะ เราชนะ แล้วโว้ย ! แต่ใจเย็นก่อน มันแค่เกือบเท่านั้นเองนะ Emperor Bush !
    นาย Yushchenko “เกือบ” ทำให้แผนการสีส้มของอเมริกา ที่ลงทุนคนขน คนฉาก มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 สำเร็จสมเป้าหมาย ถ้าไม่บังเอิญเกิดอาการสดุดขากันเองก่อน ปี ค.ศ. 2008 ประธานาธิบดี Mikhail Saakaashvili ซึ่งรับใบสั่งลับอีกใบหนึ่งจากอเมริกา ทะเร่อทะร่ายกทัพไปบุก South Ossetia จนโดนกองทัพรัสเซียตีกลับแตกกระเจิง ใช้เวลาแค่ 5 วัน แค่นั้นยังไม่ ฉ.ห พอ บังเอิญช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังจะพิจารณาที่จะรับ Ukraine และ Georgia เป็นสมาชิกของ NATO (ตามคำสั่งของอเมริกา)อยู่ เยอรมันเลยยกมือประท้วง

    เดี๋ยวก่อน พวกเรา ถ้าเรารับไอ้ 2 ประเทศนี้เข้ามาอยู่ใน NATO น่ะนะ ตามกฎบัตรของ NATO เราต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง ไอ้ 2 ประเทศ นี้ด้วยนะ

    บอกแล้วอย่าเพิ่งร้องว่า We Won ฝันเลยค้างเติ่งตั้งแต่ ค.ศ. 2008 เฮ้อ ! เหนื่อยวุ้ย ลงทุนใส่สีส้มมาตั้งหลายปี ตกลงใครหักหลังใครกันนะนี่ ? !

    ตอนจัดรายการปฏิวัติสีส้ม อเมริกาเปิดหน้า เปิดตัว ไม่ใช่แค่ประกาศส่งตัวนักแสดง เป็นหุ่น คือ นาย Viktor Yushchenko และคุณเมียชาว Chicago เท่านั้น อเมริกายังส่งนาย John Herbs มาเป็นฑูตอเมริกันประจำ Ukraine ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2008 อีกด้วย เขามาอยู่Ukraineไม่กี่เดือนก่อนละครเรื่องส้มสลายจะลงโรง นาย Herbs นี้ ก่อนหน้าที่จะมาประจำ Ukraine เขาเคยเป็นฑูตของอเมริกา อยู่ที่ Uzbekistan โดยมีหน้าที่ปฎิบัติภาระกิจสำคัญ ช่วยกำกับการแสดง Operation Enduring Freedom ใน Afkanistan มาแล้ว ภาระกิจแต่ละรายของนาย Herbs เหมาะกับหน้าที่ของคนเป็นทูตอเมริกันอย่างยิ่ง

    คุณหุ่น Yushchenko นี้ ถูกคัดมาแต่งตัวเตรียมเป็นประธานาธิบดี เพราะมีผลงานเข้าตากรรมการ เนื่องจากเป็นอดีตผุ้ว่าการธนาคารกลางของ Ukraine สมัย IMF ใช้โปรแกรม shock therapy

    ในช่วง ค.ศ. 1994 IMF บังคับให้ Ukraine ยกเลิกการควบคุมปริวรรติเงินตรา และลอยค่าเงิน ได้ผลดีมาก เงิน Ukraine ลอยลงสู่พื้น ราคาขนมปังขึ้นไป 300% ค่าไฟฟ้าขึ้นไป 600% ค่าเดินทางโดยบริการสาธารณะขึ้นไป 900% ในปี ค.ศ. 1998 ค่าแรงของชาว Ukraine หายไป 75% เมื่อเปรียบเทียบกับปี ค.ศ. 1991 ในวันที่เต้นรำฉลองชัยออกจากม่านเหล็กกัน

    วอชิงตันเลือกถูกคนจริง ๆ ดินแดนสมันน้อยก็เคยเจอใกล้เคียง หวังว่ายังคงจำกันได้ คงพอมองออกนะครับ เวลาเขาจะปล้นอะไร พวกนักการเงิน นักการธนาคาร ว่าง่าย ใช้คล่อง เข้าใจคำสั่ง และภาระกิจดี..
    เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 2004 มาถึง แม้ขบวนการสีส้มจะเต้นกันไปรอบ เมืองอย่างไร นาย Yushchenko ก็ดันแพ้การเลือกตั้งแก่ นาย Viktor Yanukovych ขบวนการสีส้มมึน เป็นไปได้ไง เราดัก เราหัก เราตีมันทุกทางแล้วนี่นา ลงทุนขนาดนี้ แพ้ได้ยังไงหึ !

    Pora Group ออกมาเดินเต็มถนนอีกรอบ คราวนี้ตะโกน “เลือกตั้งสกปรก เลือกตั้งสกปรก”
    CNN และ BBC ออกข่าวโหม กกต. Ukraine ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ในปี 2005 คราวนี้นาย Yushchenko ชนะแบบฉิวเฉียด เขารีบประกาศตัวเป็นประธานาธิบดี

    ประธานาธิบดี Yushchenko ไม่รอช้า เดินหน้าทุกทางที่จะตัดเส้นเลือดของรัสเซีย โดยเฉพาะท่อส่งแก๊ซเส้นทางที่จะออกไปยังยุโรปตะวันตก วอชิงตันพยายามกล่อมสมาชิกสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันว่า รัสเซียเป็นคู่สัญญาที่ไม่น่าเชื่อถือ

    หุ่นเชิด 2 ตัว Yushenchenko ของ Ukraine และ Saakashvili ของ Georgia ต่างทำงานหนัก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล สหภาพยุโรปยังต้องอาศัยแก๊ซจากรัสเซียต่อไป ทางเลือกใหม่ยังไม่มี

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 มิย. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “หักหน้า หักหลัง” ตอนที่ 11 หุ่นเชิดสีส้ม ระหว่างที่รัสเซียเดินหน้าวางท่อส่งไป ทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เหมือนดอกว่านบาน 4 ทิศ อเมริกาก็ใช้ทุกแผน ทั้งบนฟ้า เหนือดินและใต้ดินเหมือนกัน ที่จะตัดทางเดินของท่อส่ง ทางหนึ่งที่ลงทุนไปแยะแล้ว และเป็นด่านสำคัญคือ Ukraine เรื่องเก่า จึงต้องเอามาเล่นใหม่ ดูจากแผนที่ Ukraine มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อทั้ง NATO และรัสเซีย ไม่ใช่แค่ด้านตะวันออกของ Ukraine อยู่ติดรัสเซียเท่านั้น แต่ Ukraine ยังเป็นทางออกของท่อส่งแก๊ซเส้น ใหญ่ของรัสเซีย ที่ส่งไปให้ยุโรปตะวันตก คิดเป็นประมาณ 80% ของรายได้ที่เป็นดอลล่าร์ จากการส่งออกแก๊ซ มันเป็นเส้นเลือดใหญ่ของรัสเซียเลยล่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องท่อส่งแก๊ซที่ทำให้อเมริกาจุกอก Ukraine ยังทำสัญญาให้สิทธิรัสเซีย ใช้ท่าเรือของ Ukraine ที่ Stevastopol เพื่อเป็นฐานให้กองทัพเรือของรัสเซียจอดที่ทะเลดำ และที่ Odessa อีกด้วย สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ถึงปี ค.ศ. 2017 ถ้าไม่ต่อออกไปอีก กองทัพเรือรัสเซียที่ทะเลดำนี้ ทำให้ NATO ต้องคิดหนักในการสยายปีกของตนเองเพื่อมาล้อมรัสเซีย เมื่อ Georgia ถูกชักใยในปี ค.ศ. 2008 นาย Yushchenko ประธานธิบดีของ Ukraine ถูกผู้ชักใยสั่งให้สวมรอยใช้โอกาสนี้ บอกเลิกสัญญาเช่าท่าเรือนี้ก่อนกำหนดไปด้วย แต่มันไม่ง่ายนักหรอก กองเรือรัสเซียอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1783 ตั้งแต่ Stevastopol ยังเป็นของรัสเซียอยู่ ทางภาคตะวันออกของ Ukraine ซึ่งติดกับรัสเซีย เป็นถิ่นที่อยู่ของชาว Ukraine ประมาณ 15 ล้านคน ที่มีวัฒนธรรมเหมือนรัสเซีย และเป็นบริเวณที่มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก ปี ค.ศ. 2009 Ukraine เป็นอันดับ 3 ของโลก ในการส่งออกธัญพืช รองจากอเมริกาและสหภาพยุโรป แซงหน้ารัสเซียและแคนาดา chomozem ดินดำที่มีชื่อเสียงของ Ukraine เป็นดินที่มีปุ๋ยธรรมชาติมากที่สุดในโลก และดินดำนี้มีอยู่ทั่วประมาณ 2 ใน 3 ของดินแดน Ukraine บริเวณแม่น้ำ Dnieper และ Dniester เป็นที่เดียวในโลกอีกเช่นกัน ที่มีดินดำชนิดที่เรียกว่า “sweet black soil” ยาวไป 500 กิโลเมตร เป็นดินเหมาะสมสำหรับการทำเกษตรกรรมอย่างที่สุด และถือเป็นสมบัติมีค่าของประเทศ บรรษัทใหญ่ที่ทำเกษตรอุตสาหกรรม ของชาติตะวันตก เช่น Monsanto (จำได้ไหมครับ บริษัทนี้แสบอย่างไร เขาเป็นต้นคิดเมล็ดพืช พันธ์พิฆาต GMO) Cargill, ADM และ Kraft ต่างน้ำลายไหลยืด อยากจะมาครอบครองบริเวณนี้ของ Ukraine เพียงรอเวลา “เหมาะสม” อยู่เท่านั้น ส่วนบริเวณ Ukrainian Donetsk และ Donets Basin หรือ Donbas นั้น ซึ่งเป็นเขตฐานเสียงของ ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นาย YanuKovych เป็นดินแดน ที่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมถ่านหินและเหล็ก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัย Donbas มีถ่านหินประมาณ 109 billion ตัน รวมทั้งมีน้ำมันและแก๊ซธรรมชาติด้วย โดยรวม นับว่า Ukraine เป็นบริเวณที่รวยที่สุดของทวีปยุโรปในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งหินแกรนิต แกรฟไฟท์ และเกลือ มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการทำกระเบื้องเคลือบ อุตสาหกรรมเคมี และอุตสาหกรรมก่อสร้าง การยึด Ukraine ได้ในปี ค.ศ. 2004 ของอเมริกาจึงถือว่าได้รางวัลใหญ่ สมควรต้องตะโกนว่า We Won, We Won เราชนะ เราชนะ แล้วโว้ย ! แต่ใจเย็นก่อน มันแค่เกือบเท่านั้นเองนะ Emperor Bush ! นาย Yushchenko “เกือบ” ทำให้แผนการสีส้มของอเมริกา ที่ลงทุนคนขน คนฉาก มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 สำเร็จสมเป้าหมาย ถ้าไม่บังเอิญเกิดอาการสดุดขากันเองก่อน ปี ค.ศ. 2008 ประธานาธิบดี Mikhail Saakaashvili ซึ่งรับใบสั่งลับอีกใบหนึ่งจากอเมริกา ทะเร่อทะร่ายกทัพไปบุก South Ossetia จนโดนกองทัพรัสเซียตีกลับแตกกระเจิง ใช้เวลาแค่ 5 วัน แค่นั้นยังไม่ ฉ.ห พอ บังเอิญช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังจะพิจารณาที่จะรับ Ukraine และ Georgia เป็นสมาชิกของ NATO (ตามคำสั่งของอเมริกา)อยู่ เยอรมันเลยยกมือประท้วง เดี๋ยวก่อน พวกเรา ถ้าเรารับไอ้ 2 ประเทศนี้เข้ามาอยู่ใน NATO น่ะนะ ตามกฎบัตรของ NATO เราต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง ไอ้ 2 ประเทศ นี้ด้วยนะ บอกแล้วอย่าเพิ่งร้องว่า We Won ฝันเลยค้างเติ่งตั้งแต่ ค.ศ. 2008 เฮ้อ ! เหนื่อยวุ้ย ลงทุนใส่สีส้มมาตั้งหลายปี ตกลงใครหักหลังใครกันนะนี่ ? ! ตอนจัดรายการปฏิวัติสีส้ม อเมริกาเปิดหน้า เปิดตัว ไม่ใช่แค่ประกาศส่งตัวนักแสดง เป็นหุ่น คือ นาย Viktor Yushchenko และคุณเมียชาว Chicago เท่านั้น อเมริกายังส่งนาย John Herbs มาเป็นฑูตอเมริกันประจำ Ukraine ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2008 อีกด้วย เขามาอยู่Ukraineไม่กี่เดือนก่อนละครเรื่องส้มสลายจะลงโรง นาย Herbs นี้ ก่อนหน้าที่จะมาประจำ Ukraine เขาเคยเป็นฑูตของอเมริกา อยู่ที่ Uzbekistan โดยมีหน้าที่ปฎิบัติภาระกิจสำคัญ ช่วยกำกับการแสดง Operation Enduring Freedom ใน Afkanistan มาแล้ว ภาระกิจแต่ละรายของนาย Herbs เหมาะกับหน้าที่ของคนเป็นทูตอเมริกันอย่างยิ่ง คุณหุ่น Yushchenko นี้ ถูกคัดมาแต่งตัวเตรียมเป็นประธานาธิบดี เพราะมีผลงานเข้าตากรรมการ เนื่องจากเป็นอดีตผุ้ว่าการธนาคารกลางของ Ukraine สมัย IMF ใช้โปรแกรม shock therapy ในช่วง ค.ศ. 1994 IMF บังคับให้ Ukraine ยกเลิกการควบคุมปริวรรติเงินตรา และลอยค่าเงิน ได้ผลดีมาก เงิน Ukraine ลอยลงสู่พื้น ราคาขนมปังขึ้นไป 300% ค่าไฟฟ้าขึ้นไป 600% ค่าเดินทางโดยบริการสาธารณะขึ้นไป 900% ในปี ค.ศ. 1998 ค่าแรงของชาว Ukraine หายไป 75% เมื่อเปรียบเทียบกับปี ค.ศ. 1991 ในวันที่เต้นรำฉลองชัยออกจากม่านเหล็กกัน วอชิงตันเลือกถูกคนจริง ๆ ดินแดนสมันน้อยก็เคยเจอใกล้เคียง หวังว่ายังคงจำกันได้ คงพอมองออกนะครับ เวลาเขาจะปล้นอะไร พวกนักการเงิน นักการธนาคาร ว่าง่าย ใช้คล่อง เข้าใจคำสั่ง และภาระกิจดี.. เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 2004 มาถึง แม้ขบวนการสีส้มจะเต้นกันไปรอบ เมืองอย่างไร นาย Yushchenko ก็ดันแพ้การเลือกตั้งแก่ นาย Viktor Yanukovych ขบวนการสีส้มมึน เป็นไปได้ไง เราดัก เราหัก เราตีมันทุกทางแล้วนี่นา ลงทุนขนาดนี้ แพ้ได้ยังไงหึ ! Pora Group ออกมาเดินเต็มถนนอีกรอบ คราวนี้ตะโกน “เลือกตั้งสกปรก เลือกตั้งสกปรก” CNN และ BBC ออกข่าวโหม กกต. Ukraine ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ในปี 2005 คราวนี้นาย Yushchenko ชนะแบบฉิวเฉียด เขารีบประกาศตัวเป็นประธานาธิบดี ประธานาธิบดี Yushchenko ไม่รอช้า เดินหน้าทุกทางที่จะตัดเส้นเลือดของรัสเซีย โดยเฉพาะท่อส่งแก๊ซเส้นทางที่จะออกไปยังยุโรปตะวันตก วอชิงตันพยายามกล่อมสมาชิกสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันว่า รัสเซียเป็นคู่สัญญาที่ไม่น่าเชื่อถือ หุ่นเชิด 2 ตัว Yushenchenko ของ Ukraine และ Saakashvili ของ Georgia ต่างทำงานหนัก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล สหภาพยุโรปยังต้องอาศัยแก๊ซจากรัสเซียต่อไป ทางเลือกใหม่ยังไม่มี สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 มิย. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูท่าจะเป็นจริง เพราะยังไม่ทันที่นายกฯหนูจะสั่ง รัฐมนตรีคนนอกอย่าง วรภัค และอรรถพล ก็ลงมือทำไปตั้งนานแล้ว พัวพันคดีทุจริตมากมาย ทั้งมหากาพย์โคตรโกงปาล์มน้ำมัน Starks และอภิมหาโกงถ่านหิน Energy Earth
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ดูท่าจะเป็นจริง เพราะยังไม่ทันที่นายกฯหนูจะสั่ง รัฐมนตรีคนนอกอย่าง วรภัค และอรรถพล ก็ลงมือทำไปตั้งนานแล้ว พัวพันคดีทุจริตมากมาย ทั้งมหากาพย์โคตรโกงปาล์มน้ำมัน Starks และอภิมหาโกงถ่านหิน Energy Earth #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 11 – ปฏิบัติการฟอกย้อม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม
    ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร
    ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ
    นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา !
    วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป
    โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่อง ของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น
    นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ
    ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !)
    นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย
    วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ
    วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 11 – ปฏิบัติการฟอกย้อม นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา ! วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงคราม โลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่อง ของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !) นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เอาจริงๆนะ ถึงวันนี้ ต้องให้กำลังใจทหารไทยดีๆคนดีๆเราจริงๆที่มีผู้บังคับบัญชาบัดสบมาจนถึงเวลานี้,จัดการอะไรเด็ดขาดกับเขมรจริงๆจังๆแบบถีบออกหลังเสาหมุดสยามเราก็จบแล้ว.,ตามคลิปนี้ล่ะ,ตามข่าวอื่นๆมุมสูงด้วย ราบหมดมันแย่งชิงของชาวบ้านหนองจานจริงๆ.,รั้วลวดหนามถาวรแบบปิดตายตลอดแนวชายแดนแถวนี้ต้องเอาจริง,และเวลานี้ยุคนี้สร้างปิดตายตลอดพรมแดนเลย,เจ้าสัวคนไหน นายใหญ่คนไหนสั่งมีทางเข้าออกก็ห้ามให้มี จนกว่าจะสร้างรั้วลวดหนามจบทั้งอีสานใต้,ค่อยว่าเรื่องด่านอีกที,ตัดน้ำมัน ตัดไฟฟ้าจริงๆทีเถอะ,ตัดสายเน็ตสายเคเบิลส่งไปเขมรจากไทยต้องตัดจริงๆด้วย,กิจการใดในไทยมีธุรกิจในเขมร มาอาศัยเปิดบริษัทในไทยบังหน้าแล้วค้าขายให้ความช่วยเหลือเขมร ยกเลิกใบอนุญาตประกอบการในไทยหมดเช่นกิจการเดินเรือในอ่าวไทยแอบใช้นามกิจการไทยช่วยเหลือขนส่งน้ำมันขนส่งถ่านหินให้เขมร ซื้อน้ำมันจากแท่งเจาะในอ่าวไทยไปส่งน้ำมันให้เขมรผลิตไฟฟ้าแก๊สก๊าซไทยผลิตไฟฟ้าให้เขมร เราต้องยกเลิกกิจการเขมรใช้ไทยเปิดบริษัทที่เราช่วยเหลือเขมรต้องกำจัดทุนพวกนี้ทันที,นี้คือยุทธศาสตร์ความมั่นคงกำจัดภัยคุกคามอธิปไตยไทยจริงจัง อย่างทำกันเล่นๆอีกเลย เราเบื่อหน่ายการปกครองไทยทั้งระบบเต็มทีจริงๆ,ไม่เด็ดขาดกำจัดกวาดล้างคนไม่ดีภายนอกจริงและคนไม่ดีภายในเราเองก็เพิ่มมากมายเกินไปแล้ว,ถึงเวลาลดประชากรคนพวกนี้จริงๆบนแผ่นดินไทยเราได้แล้ว.

    https://youtube.com/shorts/8ou4GkDCZig?si=K7UprxfPrn3IF96M
    ..เอาจริงๆนะ ถึงวันนี้ ต้องให้กำลังใจทหารไทยดีๆคนดีๆเราจริงๆที่มีผู้บังคับบัญชาบัดสบมาจนถึงเวลานี้,จัดการอะไรเด็ดขาดกับเขมรจริงๆจังๆแบบถีบออกหลังเสาหมุดสยามเราก็จบแล้ว.,ตามคลิปนี้ล่ะ,ตามข่าวอื่นๆมุมสูงด้วย ราบหมดมันแย่งชิงของชาวบ้านหนองจานจริงๆ.,รั้วลวดหนามถาวรแบบปิดตายตลอดแนวชายแดนแถวนี้ต้องเอาจริง,และเวลานี้ยุคนี้สร้างปิดตายตลอดพรมแดนเลย,เจ้าสัวคนไหน นายใหญ่คนไหนสั่งมีทางเข้าออกก็ห้ามให้มี จนกว่าจะสร้างรั้วลวดหนามจบทั้งอีสานใต้,ค่อยว่าเรื่องด่านอีกที,ตัดน้ำมัน ตัดไฟฟ้าจริงๆทีเถอะ,ตัดสายเน็ตสายเคเบิลส่งไปเขมรจากไทยต้องตัดจริงๆด้วย,กิจการใดในไทยมีธุรกิจในเขมร มาอาศัยเปิดบริษัทในไทยบังหน้าแล้วค้าขายให้ความช่วยเหลือเขมร ยกเลิกใบอนุญาตประกอบการในไทยหมดเช่นกิจการเดินเรือในอ่าวไทยแอบใช้นามกิจการไทยช่วยเหลือขนส่งน้ำมันขนส่งถ่านหินให้เขมร ซื้อน้ำมันจากแท่งเจาะในอ่าวไทยไปส่งน้ำมันให้เขมรผลิตไฟฟ้าแก๊สก๊าซไทยผลิตไฟฟ้าให้เขมร เราต้องยกเลิกกิจการเขมรใช้ไทยเปิดบริษัทที่เราช่วยเหลือเขมรต้องกำจัดทุนพวกนี้ทันที,นี้คือยุทธศาสตร์ความมั่นคงกำจัดภัยคุกคามอธิปไตยไทยจริงจัง อย่างทำกันเล่นๆอีกเลย เราเบื่อหน่ายการปกครองไทยทั้งระบบเต็มทีจริงๆ,ไม่เด็ดขาดกำจัดกวาดล้างคนไม่ดีภายนอกจริงและคนไม่ดีภายในเราเองก็เพิ่มมากมายเกินไปแล้ว,ถึงเวลาลดประชากรคนพวกนี้จริงๆบนแผ่นดินไทยเราได้แล้ว. https://youtube.com/shorts/8ou4GkDCZig?si=K7UprxfPrn3IF96M
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 13 : สิ่งมหัศจรรย์
    ตกลงนาย Kissinger ไม่ได้โม้ แต่พูดเรื่องจริงและไม่ใช่จริงธรรมดา แต่มันเป็นประกาศ บอกทิศทางการเมืองโลก ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังจะเป็นต่อไปในอนาคต
    คนแรกที่มองเห็นว่าน้ำมันคืออาวุธที่สำคัญ สำหรับผู้ที่จะครองโลก ไม่ใช่นาย Kissinger แต่เป็นนาย Winston Churchill นายกรัฐมนตรีจอมอึดของอังกฤษ ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นนายพลเรือ เมื่อ ปี ค.ศ. 1919 ว่า “เราจะต้องพยายามเป็นเจ้าของ หรืออย่างน้อยต้องควบคุมแหล่งน้ำมันให้ได้ ตามจำนวนที่เราต้องการใช้ ไม่ว่าจากแหล่งน้ำมันที่เรามีเอง หรือมีอิทธิพลเหนือ” เรียกว่าเป็นคนมองไกลกว่ามือเอื้อมจริง ๆ
    แล้วเชื่อหรือไม่ว่า สงคราม การรุกราน การขัดแย้ง การอ้างเป็นผู้พิทักษ์ การอ้างเป็นผู้คุ้มครอง ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกในศตวรรษที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ขณะนี้ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงน้ำมันเกือบทั้งสิ้น เพราะน้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการครองโลก
    ก่อนที่น้ำมันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทุกชาติแสวงหาและต้องการเป็นเจ้าของ สิ่งมหัศจรรย์รุ่นเก่า คือ “ถ่านหิน” จะทำอุตสาหกรรมได้ ต้องมีถ่านหิน ปลายศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมเยอรมันพุ่งแซงหน้าอังกฤษ ที่กำลังเริ่มเดินลงเขา การผลิตเหล็กของเยอรมันแซงหน้าอังกฤษ การผลิตยา ปุ๋ยการเกษตร ทุกอย่างแซงหน้าอังกฤษ เพราะเยอรมันมีแหล่งถ่านหิน และเหล็กมหาศาลอยู่ในแคว้น Ruhr ที่สำคัญเยอรมันกำลังคิดการใหญ่วางแผน สร้างทางรถไฟ ยาวเข้าไปในอาณาจักร Ottoman ของตุรกี ปี ค.ศ. 1899 แผนของเยอรมันทำท่าจะเป็นจริง เยอรมันได้ทำข้อตกลงกับตุรกี เพื่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad เป็นการขยายตลาดการค้าของตนไปทางตะวันออก กะจะไปให้ถึง Kuwait มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดในการเข้าไปสู่แหล่งน้ำมันมหาศาลในภูมิภาคนั้นอังกฤษไม่ได้ฉลาด เป็นชาติเดียวนะ !
    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเปลี่ยนจากมาดผู้ดี ทำท่าจะตั้งโรงงิ้วแทน จะยอมได้อย่างไร มันหักหน้ากันชัด ๆ อังกฤษถือว่า กองกำลังทางเรือของตนนั้นสุดแข็งแกร่ง เป็นหน้าเป็นตา และที่สำคัญเป็นกลไกที่อังกฤษ ใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ ในการเข้าไปยึดประเทศต่างๆ มาเป็นอาณานิคมของตนมาตลอดเวลา แต่เรือจะแล่นได้ นอกจากใช้กำลังคนแล้ว ในสมัยต่อมาต้องใช้เครื่องจักรกล เครื่องจักรกลสมัยก่อน ใช้ถ่านหินจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนมันกินน้ำหนักเรือมาก
    ย้อนไปประมาณปี ค.ศ. 1882 เกิดมีนายพลเรือของอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งคิดนอกหัวสี่เหลี่ยม ผิดธรรมเนียมทหาร (เอะ ! หรือทหารหัวสี่เหลี่ยมนี้จะมีเฉพาะบางประเทศ?) ชื่อท่าน Lord Fisher เห็นว่าน้ำมันน่าจะมีคุณสมบัติดีกว่าถ่านหิน เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า ถ้าอังกฤษจะพัฒนาเปลี่ยนเครื่องจักรกลของกองทัพเรือ จากการใช้ถ่านหินเป็นน้ำมัน จะทำให้อังกฤษสามารถขยายกองทัพเรือได้ถึง 4 เท่า
    นักการเมืองผู้ดีตาถลนออกมานอกเบ้า นี่มันบ้าหรือกินยาผิดวะ เรามีถ่านหินอยู่เต็มประเทศ คนของเราก็ขุดถ่านหินกันจนหน้าดำมะเมี่ยมอย่างนี้ มันจะไปเลิกไปเปลี่ยนได้ยังไง เหมืองถ่านหินเราก็เจ็งหมดซิวุ้ย
    คำทักท้วงแบบนี้เราจะได้ยินเสมอ เวลาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยชินกัน ใช้ได้เหรอ ใช่เหรอ ทำได้เหรอ แบบนี้มันต้องน้อยลงบ้างนะ ทุกอย่างมันจะก้าวหน้า ต้องมีคนเริ่มฝันก่อน และที่สำคัญ ทำฝันนั้นให้เป็นความจริง กองทัพเรืออังกฤษไม่สนใจคำทักท้วงของนักการ เมือง กองทัพเขาไม่ได้เชื่อนักการเมืองจนแยกแยะไม่ออก แบบบางประเทศ แต่กลับก้มหน้าก้มตา ออกแบบเปลี่ยนเครื่องจักรกล เพื่อใช้น้ำมันแทนถ่านหิน ใช้เวลาดำเนินการไป 20 ปี กว่าจะสำเร็จ อังกฤษเหมือนวาสนาดี แต่กรรมยังบัง เกิดปัญหาคาดไม่ถึง อังกฤษไม่มีน้ำมันของตัวเองพอ ! อ้าว ! แล้วกัน และจำเป็นต้องรีบหาแหล่งน้ำมันเป็นการด่วน ! ฝันเกือบเป็นจริง แต่ยังไม่สลาย ไม่เป็นไร ท่าน Lord Winston จึงออกมาตั้งเข็มทิศใหม่ให้อังกฤษ เราไปหาน้ำมันกันเร็ว รีบด่วน ทำยังไงก็ได้
    แล้วการล่าอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันก็ทยอยเกิดขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 13 : สิ่งมหัศจรรย์ ตกลงนาย Kissinger ไม่ได้โม้ แต่พูดเรื่องจริงและไม่ใช่จริงธรรมดา แต่มันเป็นประกาศ บอกทิศทางการเมืองโลก ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ เป็นอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังจะเป็นต่อไปในอนาคต คนแรกที่มองเห็นว่าน้ำมันคืออาวุธที่สำคัญ สำหรับผู้ที่จะครองโลก ไม่ใช่นาย Kissinger แต่เป็นนาย Winston Churchill นายกรัฐมนตรีจอมอึดของอังกฤษ ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาอังกฤษ ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นนายพลเรือ เมื่อ ปี ค.ศ. 1919 ว่า “เราจะต้องพยายามเป็นเจ้าของ หรืออย่างน้อยต้องควบคุมแหล่งน้ำมันให้ได้ ตามจำนวนที่เราต้องการใช้ ไม่ว่าจากแหล่งน้ำมันที่เรามีเอง หรือมีอิทธิพลเหนือ” เรียกว่าเป็นคนมองไกลกว่ามือเอื้อมจริง ๆ แล้วเชื่อหรือไม่ว่า สงคราม การรุกราน การขัดแย้ง การอ้างเป็นผู้พิทักษ์ การอ้างเป็นผู้คุ้มครอง ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในโลกในศตวรรษที่ผ่านมา และที่เป็นอยู่ขณะนี้ ล้วนเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงน้ำมันเกือบทั้งสิ้น เพราะน้ำมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการครองโลก ก่อนที่น้ำมันจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ทุกชาติแสวงหาและต้องการเป็นเจ้าของ สิ่งมหัศจรรย์รุ่นเก่า คือ “ถ่านหิน” จะทำอุตสาหกรรมได้ ต้องมีถ่านหิน ปลายศตวรรษที่ 19 อุตสาหกรรมเยอรมันพุ่งแซงหน้าอังกฤษ ที่กำลังเริ่มเดินลงเขา การผลิตเหล็กของเยอรมันแซงหน้าอังกฤษ การผลิตยา ปุ๋ยการเกษตร ทุกอย่างแซงหน้าอังกฤษ เพราะเยอรมันมีแหล่งถ่านหิน และเหล็กมหาศาลอยู่ในแคว้น Ruhr ที่สำคัญเยอรมันกำลังคิดการใหญ่วางแผน สร้างทางรถไฟ ยาวเข้าไปในอาณาจักร Ottoman ของตุรกี ปี ค.ศ. 1899 แผนของเยอรมันทำท่าจะเป็นจริง เยอรมันได้ทำข้อตกลงกับตุรกี เพื่อสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad เป็นการขยายตลาดการค้าของตนไปทางตะวันออก กะจะไปให้ถึง Kuwait มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดในการเข้าไปสู่แหล่งน้ำมันมหาศาลในภูมิภาคนั้นอังกฤษไม่ได้ฉลาด เป็นชาติเดียวนะ ! ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเปลี่ยนจากมาดผู้ดี ทำท่าจะตั้งโรงงิ้วแทน จะยอมได้อย่างไร มันหักหน้ากันชัด ๆ อังกฤษถือว่า กองกำลังทางเรือของตนนั้นสุดแข็งแกร่ง เป็นหน้าเป็นตา และที่สำคัญเป็นกลไกที่อังกฤษ ใช้ในการแสดงแสนยานุภาพ ในการเข้าไปยึดประเทศต่างๆ มาเป็นอาณานิคมของตนมาตลอดเวลา แต่เรือจะแล่นได้ นอกจากใช้กำลังคนแล้ว ในสมัยต่อมาต้องใช้เครื่องจักรกล เครื่องจักรกลสมัยก่อน ใช้ถ่านหินจำนวนมหาศาล ซึ่งแน่นอนมันกินน้ำหนักเรือมาก ย้อนไปประมาณปี ค.ศ. 1882 เกิดมีนายพลเรือของอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งคิดนอกหัวสี่เหลี่ยม ผิดธรรมเนียมทหาร (เอะ ! หรือทหารหัวสี่เหลี่ยมนี้จะมีเฉพาะบางประเทศ?) ชื่อท่าน Lord Fisher เห็นว่าน้ำมันน่าจะมีคุณสมบัติดีกว่าถ่านหิน เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่า ถ้าอังกฤษจะพัฒนาเปลี่ยนเครื่องจักรกลของกองทัพเรือ จากการใช้ถ่านหินเป็นน้ำมัน จะทำให้อังกฤษสามารถขยายกองทัพเรือได้ถึง 4 เท่า นักการเมืองผู้ดีตาถลนออกมานอกเบ้า นี่มันบ้าหรือกินยาผิดวะ เรามีถ่านหินอยู่เต็มประเทศ คนของเราก็ขุดถ่านหินกันจนหน้าดำมะเมี่ยมอย่างนี้ มันจะไปเลิกไปเปลี่ยนได้ยังไง เหมืองถ่านหินเราก็เจ็งหมดซิวุ้ย คำทักท้วงแบบนี้เราจะได้ยินเสมอ เวลาที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เคยชินกัน ใช้ได้เหรอ ใช่เหรอ ทำได้เหรอ แบบนี้มันต้องน้อยลงบ้างนะ ทุกอย่างมันจะก้าวหน้า ต้องมีคนเริ่มฝันก่อน และที่สำคัญ ทำฝันนั้นให้เป็นความจริง กองทัพเรืออังกฤษไม่สนใจคำทักท้วงของนักการ เมือง กองทัพเขาไม่ได้เชื่อนักการเมืองจนแยกแยะไม่ออก แบบบางประเทศ แต่กลับก้มหน้าก้มตา ออกแบบเปลี่ยนเครื่องจักรกล เพื่อใช้น้ำมันแทนถ่านหิน ใช้เวลาดำเนินการไป 20 ปี กว่าจะสำเร็จ อังกฤษเหมือนวาสนาดี แต่กรรมยังบัง เกิดปัญหาคาดไม่ถึง อังกฤษไม่มีน้ำมันของตัวเองพอ ! อ้าว ! แล้วกัน และจำเป็นต้องรีบหาแหล่งน้ำมันเป็นการด่วน ! ฝันเกือบเป็นจริง แต่ยังไม่สลาย ไม่เป็นไร ท่าน Lord Winston จึงออกมาตั้งเข็มทิศใหม่ให้อังกฤษ เราไปหาน้ำมันกันเร็ว รีบด่วน ทำยังไงก็ได้ แล้วการล่าอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันก็ทยอยเกิดขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️ เมื่อ AI กลายเป็นตัวดูดพลังงาน: จีนพร้อม แต่สหรัฐฯ ยังติดหล่ม

    ลองจินตนาการว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ แต่เป็นเครื่องจักรที่กินไฟมหาศาลเหมือนสัตว์ประหลาดในโรงงานไฟฟ้า และในสงครามเทคโนโลยีนี้ จีนดูเหมือนจะเตรียมตัวมาดีกว่าสหรัฐฯ หลายช่วงตัว

    จีนลงทุนมหาศาลในพลังงานสะอาด ทั้งพลังน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ และโซลาร์ฟาร์มขนาดยักษ์ ทำให้มีพลังงานสำรองถึง 80–100% พร้อมรองรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ใหม่ได้ทันที ในขณะที่สหรัฐฯ กลับต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่ไม่ทันความต้องการ จนบริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง หรือหันไปพัฒนานิวเคลียร์ขนาดเล็ก

    แม้จีนจะมีข้อครหาว่าใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ก็มีแผนรองรับด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และสามารถเปิดโรงไฟฟ้าสำรองได้ทันทีหากจำเป็น ขณะที่สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่ และความไม่แน่นอนของระบบสายส่ง

    ที่น่าสนใจคือ แม้จีนจะมีพลังงานเหลือเฟือ แต่ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งกลับยังไม่ได้ใช้งานเต็มที่ จึงกำลังพัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างกัน ส่วนสหรัฐฯ หากไม่เร่งแก้ปัญหา อาจเสียเปรียบในสงคราม AI แม้จะมีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า เพราะ “ไม่มีไฟ ก็ไม่มี AI”

    จีนเตรียมพร้อมด้านพลังงานเพื่อรองรับ AI
    มีพลังงานสำรอง 80–100% รองรับการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่
    ลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังน้ำ นิวเคลียร์ และโซลาร์
    วางแผนพลังงานล่วงหน้าเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต
    สามารถเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสำรองได้ทันทีหากจำเป็น
    พัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างศูนย์ข้อมูล

    สหรัฐฯ เผชิญปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า
    ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้ระบบไฟฟ้าสหรัฐฯ ตึงเครียด
    บริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Elon Musk
    ลงทุนในนิวเคลียร์ขนาดเล็กเพื่อรองรับความต้องการ
    ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่เป็นอุปสรรคใหญ่
    ระบบสายส่งยังไม่พร้อมรองรับการขยายตัวของ AI

    ผลกระทบต่อการแข่งขันด้าน AI
    จีนสามารถใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเร่งการประมวลผล AI
    สหรัฐฯ แม้มีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า แต่ขาดพลังงานอาจเสียเปรียบ
    Huawei CloudMatrix ใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเอาชนะ Nvidia GB200

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-experts-warn-that-china-is-miles-ahead-of-the-us-in-electricity-generation-lack-of-supply-and-infrastructure-threatens-the-uss-long-term-ai-plans
    ⚡️ เมื่อ AI กลายเป็นตัวดูดพลังงาน: จีนพร้อม แต่สหรัฐฯ ยังติดหล่ม ลองจินตนาการว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ แต่เป็นเครื่องจักรที่กินไฟมหาศาลเหมือนสัตว์ประหลาดในโรงงานไฟฟ้า และในสงครามเทคโนโลยีนี้ จีนดูเหมือนจะเตรียมตัวมาดีกว่าสหรัฐฯ หลายช่วงตัว จีนลงทุนมหาศาลในพลังงานสะอาด ทั้งพลังน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ และโซลาร์ฟาร์มขนาดยักษ์ ทำให้มีพลังงานสำรองถึง 80–100% พร้อมรองรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ใหม่ได้ทันที ในขณะที่สหรัฐฯ กลับต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าที่ไม่ทันความต้องการ จนบริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง หรือหันไปพัฒนานิวเคลียร์ขนาดเล็ก แม้จีนจะมีข้อครหาว่าใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ก็มีแผนรองรับด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และสามารถเปิดโรงไฟฟ้าสำรองได้ทันทีหากจำเป็น ขณะที่สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่ และความไม่แน่นอนของระบบสายส่ง ที่น่าสนใจคือ แม้จีนจะมีพลังงานเหลือเฟือ แต่ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งกลับยังไม่ได้ใช้งานเต็มที่ จึงกำลังพัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างกัน ส่วนสหรัฐฯ หากไม่เร่งแก้ปัญหา อาจเสียเปรียบในสงคราม AI แม้จะมีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า เพราะ “ไม่มีไฟ ก็ไม่มี AI” ✅ จีนเตรียมพร้อมด้านพลังงานเพื่อรองรับ AI ➡️ มีพลังงานสำรอง 80–100% รองรับการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ➡️ ลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังน้ำ นิวเคลียร์ และโซลาร์ ➡️ วางแผนพลังงานล่วงหน้าเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ➡️ สามารถเปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินสำรองได้ทันทีหากจำเป็น ➡️ พัฒนาเครือข่ายซื้อขายพลังงานสำรองระหว่างศูนย์ข้อมูล ✅ สหรัฐฯ เผชิญปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้ระบบไฟฟ้าสหรัฐฯ ตึงเครียด ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างโรงไฟฟ้าเอง เช่น Elon Musk ➡️ ลงทุนในนิวเคลียร์ขนาดเล็กเพื่อรองรับความต้องการ ➡️ ความล่าช้าในการอนุมัติโครงการใหม่เป็นอุปสรรคใหญ่ ➡️ ระบบสายส่งยังไม่พร้อมรองรับการขยายตัวของ AI ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขันด้าน AI ➡️ จีนสามารถใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเร่งการประมวลผล AI ➡️ สหรัฐฯ แม้มีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่า แต่ขาดพลังงานอาจเสียเปรียบ ➡️ Huawei CloudMatrix ใช้พลังงานมหาศาลเพื่อเอาชนะ Nvidia GB200 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-experts-warn-that-china-is-miles-ahead-of-the-us-in-electricity-generation-lack-of-supply-and-infrastructure-threatens-the-uss-long-term-ai-plans
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pontianak เมืองกลางเส้นศูนย์สูตร

    ปอนเตียนัค (Pontianak) จังหวัดกาลิมันตันตะวันตก บนเกาะกาลิมันตัน ประเทศอินโดนีเซีย หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะบอร์เนียว ในประเทศมาเลเซีย เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่

    สำหรับปอนเตียนัคเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร (Equator) ที่แบ่งโลกออกเป็นซีกเหนือและซีกใต้พอดี จากทั้งหมดนับพันเมืองใน 12 ประเทศ โดยมีแลนด์มาร์คหลักคือ อนุสาวรีย์เส้นศูนย์สูตร (Equator Monument) ที่ย่านซินตัง (Sintang) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1928 เพื่อบ่งชี้ตำแหน่งของเส้นศูนย์สูตรที่ระดับ 0 องศา จากเทคโนโลยีในยุคนั้น โดยมีนักสำรวจชาวดัตช์เป็นผู้ระบุจุดดังกล่าว โดยใช้เสาไม้เหล็ก (ironwood) จำนวน 4 ต้น พร้อมลูกศรบอกทิศทาง

    ต่อมามีการปรับปรุงและต่อเติมหลายครั้ง เช่น การสร้างโดมขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ทำให้อนุสาวรีย์ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า ภายในมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์จัดแสดงไว้ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมอยู่ด้านใน สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติกิดขึ้นที่นี่ปีละ 2 ครั้ง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุดบนศีรษะ (Sun at zenith) บนเส้นศูนย์สูตร คือ วันที่ 21–23 มี.ค. (ช่วงวสันตวิษุวัต – Vernal Equinox) และวันที่ 21–23 ก.ย. (ช่วงศารทวิษุวัต – Autumnal Equinox) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ไม่มีเงา ผู้คนจะมาร่วมกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลา 5 นาที ที่ร้อนที่สุดบนเกาะกาลิมันตัน

    นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลประจำท้องถิ่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน ได้แก่ เมอเรียมการ์บิต (Meriam Karbit) ประเพณีดั้งเดิมของชาวมลายู ใช้ปืนใหญ่ทำจากไม้ หรือเหล็ก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ กาปัวส์ (Kapuas River) แล้วใช้ก๊าซการ์บิตเป็นเชื้อเพลิงจุดระเบิดให้เกิดเสียงดังสนั่น เสียงกึกก้องทั่วเมืองยามค่ำคืน สร้างความตื่นเต้นแก่ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว จัดขึ้นในช่วงวันสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือวันอีดิลฟิฏร์

    การเดินทางจากกรุงเทพฯ ต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา กรุงจาการ์ตา (CGK) หลังจากนั้นต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติสุปาดีโอ (PNK) โดยมีเที่ยวบินระหว่างจาการ์ตากับเมืองปอนเตียนัครวม 240 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ หากเดินทางจากประเทศบรูไน หรือเมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย มีรถโดยสารประจำทางของบริษัทดามรี (Damri) ใช้เวลาเดินทางจากเมืองกูชิงผ่านด่านเอนติกง (Entikong) ประมาณ 8 ชั่วโมง

    #Newskit
    Pontianak เมืองกลางเส้นศูนย์สูตร ปอนเตียนัค (Pontianak) จังหวัดกาลิมันตันตะวันตก บนเกาะกาลิมันตัน ประเทศอินโดนีเซีย หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะบอร์เนียว ในประเทศมาเลเซีย เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ สำหรับปอนเตียนัคเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร (Equator) ที่แบ่งโลกออกเป็นซีกเหนือและซีกใต้พอดี จากทั้งหมดนับพันเมืองใน 12 ประเทศ โดยมีแลนด์มาร์คหลักคือ อนุสาวรีย์เส้นศูนย์สูตร (Equator Monument) ที่ย่านซินตัง (Sintang) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1928 เพื่อบ่งชี้ตำแหน่งของเส้นศูนย์สูตรที่ระดับ 0 องศา จากเทคโนโลยีในยุคนั้น โดยมีนักสำรวจชาวดัตช์เป็นผู้ระบุจุดดังกล่าว โดยใช้เสาไม้เหล็ก (ironwood) จำนวน 4 ต้น พร้อมลูกศรบอกทิศทาง ต่อมามีการปรับปรุงและต่อเติมหลายครั้ง เช่น การสร้างโดมขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ทำให้อนุสาวรีย์ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า ภายในมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์จัดแสดงไว้ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมอยู่ด้านใน สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติกิดขึ้นที่นี่ปีละ 2 ครั้ง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุดบนศีรษะ (Sun at zenith) บนเส้นศูนย์สูตร คือ วันที่ 21–23 มี.ค. (ช่วงวสันตวิษุวัต – Vernal Equinox) และวันที่ 21–23 ก.ย. (ช่วงศารทวิษุวัต – Autumnal Equinox) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ไม่มีเงา ผู้คนจะมาร่วมกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลา 5 นาที ที่ร้อนที่สุดบนเกาะกาลิมันตัน นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลประจำท้องถิ่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน ได้แก่ เมอเรียมการ์บิต (Meriam Karbit) ประเพณีดั้งเดิมของชาวมลายู ใช้ปืนใหญ่ทำจากไม้ หรือเหล็ก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ กาปัวส์ (Kapuas River) แล้วใช้ก๊าซการ์บิตเป็นเชื้อเพลิงจุดระเบิดให้เกิดเสียงดังสนั่น เสียงกึกก้องทั่วเมืองยามค่ำคืน สร้างความตื่นเต้นแก่ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว จัดขึ้นในช่วงวันสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือวันอีดิลฟิฏร์ การเดินทางจากกรุงเทพฯ ต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา กรุงจาการ์ตา (CGK) หลังจากนั้นต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติสุปาดีโอ (PNK) โดยมีเที่ยวบินระหว่างจาการ์ตากับเมืองปอนเตียนัครวม 240 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ หากเดินทางจากประเทศบรูไน หรือเมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย มีรถโดยสารประจำทางของบริษัทดามรี (Damri) ใช้เวลาเดินทางจากเมืองกูชิงผ่านด่านเอนติกง (Entikong) ประมาณ 8 ชั่วโมง #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 560 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อ AI ทำให้ Amazon ปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น

    Amazon รายงานว่าในปี 2024 บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปถึง 68.25 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2023 และเพิ่มขึ้นถึง 33% นับตั้งแต่ปี 2019 ที่ Amazon เคยให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2040

    สาเหตุหลักมาจากการเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล (data centre) เพื่อรองรับการใช้งาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล โดยเฉพาะจากการผลิตวัสดุอย่างคอนกรีตและเหล็ก ซึ่งใช้พลังงานสูงมาก

    นอกจากนี้ การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นยังทำให้ Amazon ต้องกลับไปใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหินในบางพื้นที่ ซึ่งเคยถูกลดบทบาทลงในช่วงก่อนหน้า

    แม้ Amazon และบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ เช่น Google, Meta และ Microsoft จะมีแผนใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ปลอดคาร์บอนในอนาคต แต่การเปลี่ยนผ่านยังไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI

    Amazon ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 68.25 ล้านเมตริกตันในปี 2024
    เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2023 และเพิ่มขึ้น 33% จากปี 2019

    สาเหตุหลักคือการสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI
    ใช้วัสดุที่ใช้พลังงานสูง เช่น คอนกรีตและเหล็ก

    การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019
    เพื่อรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องใช้พลังงานมาก

    Amazon ยอมรับว่าต้องเร่งใช้พลังงานปลอดคาร์บอนให้ทัน
    เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าโดยไม่เพิ่มการปล่อยคาร์บอน

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ มีแผนใช้พลังงานนิวเคลียร์ในอนาคต
    เช่น Google, Meta, Microsoft และ Amazon เอง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/17/amazons-emissions-climbed-6-in-2024-on-data-centre-buildout
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อ AI ทำให้ Amazon ปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น Amazon รายงานว่าในปี 2024 บริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปถึง 68.25 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2023 และเพิ่มขึ้นถึง 33% นับตั้งแต่ปี 2019 ที่ Amazon เคยให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2040 สาเหตุหลักมาจากการเร่งสร้างศูนย์ข้อมูล (data centre) เพื่อรองรับการใช้งาน AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล โดยเฉพาะจากการผลิตวัสดุอย่างคอนกรีตและเหล็ก ซึ่งใช้พลังงานสูงมาก นอกจากนี้ การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นยังทำให้ Amazon ต้องกลับไปใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหินในบางพื้นที่ ซึ่งเคยถูกลดบทบาทลงในช่วงก่อนหน้า แม้ Amazon และบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่น ๆ เช่น Google, Meta และ Microsoft จะมีแผนใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ปลอดคาร์บอนในอนาคต แต่การเปลี่ยนผ่านยังไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของ AI ✅ Amazon ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 68.25 ล้านเมตริกตันในปี 2024 ➡️ เพิ่มขึ้น 6% จากปี 2023 และเพิ่มขึ้น 33% จากปี 2019 ✅ สาเหตุหลักคือการสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ➡️ ใช้วัสดุที่ใช้พลังงานสูง เช่น คอนกรีตและเหล็ก ✅ การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 ➡️ เพื่อรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องใช้พลังงานมาก ✅ Amazon ยอมรับว่าต้องเร่งใช้พลังงานปลอดคาร์บอนให้ทัน ➡️ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าโดยไม่เพิ่มการปล่อยคาร์บอน ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ มีแผนใช้พลังงานนิวเคลียร์ในอนาคต ➡️ เช่น Google, Meta, Microsoft และ Amazon เอง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/17/amazons-emissions-climbed-6-in-2024-on-data-centre-buildout
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon's emissions climbed 6% in 2024 on data centre buildout
    Amazon.com Inc's carbon emissions rose for the first time in three years in 2024, driven by data centre construction and fuel consumption by its delivery providers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเมืองเล็กๆ ในเวสต์เวอร์จิเนียลุกขึ้นสู้ – ไม่เอาโรงไฟฟ้าเพื่อ AI ที่ทำลายธรรมชาติ

    เมือง Davis ที่มีประชากรเพียง 600 คนและตั้งอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอปพาเลเชียน กำลังเผชิญกับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อจ่ายไฟให้กับศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ของบริษัท Fundamental Data ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบริษัทตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ไม่เปิดเผยชื่อ

    นายกเทศมนตรี Al Tomson และชาวเมืองจำนวนมากคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ห่างจากบ้านเรือนเพียง 1 ไมล์ และปล่อยมลพิษที่อาจกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

    แม้จะมีการประชุมสาธารณะอย่างเข้มข้นและการแจกป้าย “No data centre complex” ให้ติดหน้าบ้าน แต่กฎหมายรัฐเวสต์เวอร์จิเนียฉบับใหม่กลับห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคัดค้านโครงการศูนย์ข้อมูล เพื่อดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์

    ในขณะที่บางคนเห็นว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเหมืองถ่านหิน แต่หลายคนกังวลเรื่องมลพิษและสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

    รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตือนว่า หากไม่สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เพราะประเทศคู่แข่งอาจควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแทน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/west-virginia-villagers-take-on-ai-driven-power-plant-boom
    ชาวเมืองเล็กๆ ในเวสต์เวอร์จิเนียลุกขึ้นสู้ – ไม่เอาโรงไฟฟ้าเพื่อ AI ที่ทำลายธรรมชาติ เมือง Davis ที่มีประชากรเพียง 600 คนและตั้งอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอปพาเลเชียน กำลังเผชิญกับแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อจ่ายไฟให้กับศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ของบริษัท Fundamental Data ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นบริษัทตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ไม่เปิดเผยชื่อ นายกเทศมนตรี Al Tomson และชาวเมืองจำนวนมากคัดค้านโครงการนี้อย่างหนัก โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ห่างจากบ้านเรือนเพียง 1 ไมล์ และปล่อยมลพิษที่อาจกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แม้จะมีการประชุมสาธารณะอย่างเข้มข้นและการแจกป้าย “No data centre complex” ให้ติดหน้าบ้าน แต่กฎหมายรัฐเวสต์เวอร์จิเนียฉบับใหม่กลับห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคัดค้านโครงการศูนย์ข้อมูล เพื่อดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ในขณะที่บางคนเห็นว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเหมืองถ่านหิน แต่หลายคนกังวลเรื่องมลพิษและสุขภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ รายงานจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตือนว่า หากไม่สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับ AI ได้ทันเวลา อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เพราะประเทศคู่แข่งอาจควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแทน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/15/west-virginia-villagers-take-on-ai-driven-power-plant-boom
    WWW.THESTAR.COM.MY
    West Virginia villagers take on AI-driven power plant boom
    Al Tomson, mayor of a tiny town tucked away in an idyllic corner of the eastern United States, points to a spot on a map of his region.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า
    “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย
    แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า”
    .
    ความห่วงใยของปราชญ์ สามสี ในบทความเรื่องไต้หวันและยูเครน เป็นสิ่งพึงสังวร
    [https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1239830264171665]
    แต่เด็กรุ่นหลังไม่เข้าใจภัยที่ต้องสังวรนี้
    ขณะที่คนรุ่นเก่าพยายามใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเพื่อป้องกันภัยนี้ให้พวกเขา
    พวกเขากลับเรียกร้องที่จะเป็นผู้จงรักต่อภัยคุกคามจากต่างชาติเหล่านี้
    .
    .
    เหล่าหมู่เกาะในอุษาสมุทร มีเกาะหนึ่งชื่อฟอโมซา พวกปอร์ตุเกสเป็นคนเรียกชื่อนี้และเขียนลงบนแผนที่ เกาะแห่งนี้เป็นบ้านของชนเผ่าหลายเผ่าที่พูดภาษาออสโตรนีเชียน (มาลาโย-โพลีนีเชียน) ในเลือดพวกเขามียีนที่เกี่ยวพันกับบรรพบุรุษอัสเลียนเช่นเดียวกับเราและกลุ่มที่กระจายอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ ในอุษาสมุทร พวกเขาประกอบด้วยชนเผ่าหลายเผ่า เช่น อตายาล พูยูมะ อาหมี ไพวัน ตาว เถา บูนัน ฮลาวาลัว กาวาลัน กานากานาวู รูไก ไซซิแยต ซากิซายะ ซีดิก ทาโรโก มากาเตา สิรายา บาบูจา บาเซ เกตากาลัน ปาโปรา.... พวกเขาคือเจ้าของแท้จริงของดินแดนที่ซึ่งวันนี้รู้จักกันว่า ไต้หวัน
    .
    อย่างที่รู้ ไต้หวันทุกวันนี้ถูกปกครองโดยคนจีนพลัดถิ่นที่แรกเริ่มนำมาโดยเจียงไคเช็คซึ่งหนีกองทัพรัฐบาลกลางมาตั้งมั่นที่เกาะแห่งนี้ ประวัติศาสตร์เหล่านี้หาอ่านได้ จึงไม่ขอกล่าวถึง
    .
    ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์จีน บันทึกจีนสมัยสามก๊กเขียนถึงเกาะแห่งหนึ่ง จีนเรียกชื่อว่าหยี่โจว.. ในยุคต่อๆมาพ่อค้าจีนเรียกว่า เสี่ยวตงเต้า บ้าง.. ต้าฮุยกัว บ้าง.. มีการติดต่อค้าขายระหว่างคนจีนและคนพื้นเมืองมาตั้งแต่ราชวงศ์สุย เรื่อยมาจนถึงราชวงศ์หยวน มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก ทะเลในแถบนี้คนจีนถือเป็นบริเวณที่สำคัญของปลากระบอก ขุนนางคนหนึ่งชื่อเฉินตี้เดินทางมากับกองทหารปราบโจรสลัดในทะเลตะวันออกและมาเยือนเกาะแห่งนี้ เฉินตี้เขียนบันทึกเล่มหนึ่งชื่อตงฟานจี (แปลว่าบันทึกของชาวป่าเถื่อนตะวันออก) บรรยายถึงชาวพื้นเมืองและวิถีชีวิตของพวกเขา รวมทั้งบันทึกถึงถิ่นฐานต่างๆ ที่ชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ พ่อค้าจีนค้าขายเหล็กและสิ่งทอ แลกกับถ่านหิน กำมะถัน ทองคำและเนื้อกวางกับคนพื้นเมือง คนจีนจึงรับรู้ตัวตนของพวกเขาและยอมรับสถานะพวกเขามาแต่โบราณ ถือเป็นดินแดนหนึ่งในอาณัตของจีน เมื่อโชกุนโทกูกาวายกทัพมาเพื่อพยายามจะยึดเกาะแห่งนี้ จีนจึงส่งกองกำลังมาขับไล่
    .
    ผมเคยเขียนถึงเพื่อนศิลปินคนหนึ่งจากเผ่าพูยูมะ เธอชื่อซามิงัน เธอเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกในฐานะชนเผ่าที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ไม่เคยมีศักดิ์ฐานะเช่นเจ้าของแผ่นดินเลยเมื่อเทียบกับคนจีนที่มาปกครอง ศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ถูกละเลยและเสื่อมลงเรื่อยๆ
    .
    อย่างที่ทราบ รัฐบาลไต้หวันทุกวันนี้เป็นชาวจีนอพยพ แต่พวกเขาไม่ยอมรับจีนแผ่นดินใหญ่ คณะปกครองปัจจุบันพยายามที่จะแยกว่าไต้หวันเป็นอิสระจากจีนและอาศัยอเมริกาเป็นโล่ห์กำบังทั้งที่อเมริกาและสหประชาชาติตกลงยอมรับความเป็นจีนเดียว ไต้หวันทำทุกอย่างที่อเมริกาสั่งเพื่อเป็นฐานในการต่อต้านจีนในแปซิฟิค และอย่างที่ทุกคนรู้ ชะตากรรมของไต้หวันนั้นล่อแหลมอย่างมากและโดยแท้แล้วอเมริกาไม่แยแสพวกเขา แต่จะใช้ประโยชน์เท่าที่ใช้ได้ และในที่สุดแล้วไม่มีทางเลยที่ไต้หวันจะแยกตัวออกไปจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้ พวกเขาจะถูกบดขยี้ถ้าเลือกหนทางที่ต่อต้านขัดขืนด้วยการใช้กำลังทหาร
    .
    เอาจริงๆ ประชาชนจีนพลัดถิ่นในไต้หวัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเลวร้ายหรอกถ้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ทุกวันนี้จากข่าวก็เห็นกันไปทั้งโลกว่าจีนก้าวหน้าเพียงใด และไต้หวันจะก้าวหน้าไปไกลกว่านี้ถ้ากลับไปสู่จีน แต่ชนชั้นปกครองไม่ต้องบอกก็รู้ว่าล้วนรับใช้อเมริกัน คนพวกนี้จะลงเอยในฐานกบฏ
    .
    ในความรู้สึกของผม คนจีนพลัดถิ่นในไต้หวันควรที่จะคืนศักดิ์ฐานะให้ชาวพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินตัวจริง ให้พวกเขามีส่วนในการปกครองและตัดสินใจในอนาคตของประชากรบนเกาะแห่งนี้
    .
    คงไม่ต้องบอก ผู้ชายชาวไต้หวันไม่ว่าจะชนพื้นเมืองหรือคนจีนอพยพล้วนอยู่ในสาแหรก Hg O พวกชนพื้นเมืองมียีนที่เก่ากว่ามากเมื่อเทียบกับคนจีนแม้ในแผ่นดินใหญ่ ยีนแม่ของพวกเขามีสายใยเชื่อมโยงกับคนไทยอย่างเราทาง mt Hg F และ D พวกเขามีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับชนเผ่าไทอย่างหลี ก้ำ สุ่ย ในไห่หนานและชนเผ่าฮักกา เกี่ยวพันกับชนเผ่าในฟิลิปปินส์ และยังเกี่ยวพันกับชนพื้นเมืองบนเกาะโอกินาวา
    .
    บทความของ ปราชญ์ สามสี ที่ผมเอาลิ๊งก์มาแนบนี้ น่าจะทำให้คนไทยคิดให้มากขึ้น ยูเครนนั้นเดินไปสู่หนทางสิ้นชาติแล้วอย่างแน่นอน แต่ไต้หวันจะไม่แย่ขนาดนั้น สำหรับจีน ชนพื้นเมืองต่างๆ ถือเป็นทรัพยากรอันมีคุณต่อเศรษฐกิจ เป็นซอฟพาวเวอร์สำหรับโลกยุคปัจจุบัน ไทยควรจะต้องรู้ว่าการสังเวยตัวเองไปอยู่ระหว่างคมหอกของมหาอำนาจอย่างที่ไต้หวันกำลังทำนั้นเป็นความโง่เขลาสิ้นคิด อย่าได้ถลำไปในทางนั้นอย่างเด็ดขาด
    .
    กรณีของไต้หวัน หากจะยึดถือจุดยืนตรงข้ออ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน มีทางเดียว คนจีนทั้งหมดต้องยุติบทบาทการปกครองแล้วมอบสิทธิ์คืนแก่คนพื้นเมือง คนจีนอพยพทั้งหมดต้องถอยไปในจุดที่เป็นแค่ผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคงยอมไม่ได้
    .
    คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” . ความห่วงใยของปราชญ์ สามสี ในบทความเรื่องไต้หวันและยูเครน เป็นสิ่งพึงสังวร [https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1239830264171665] แต่เด็กรุ่นหลังไม่เข้าใจภัยที่ต้องสังวรนี้ ขณะที่คนรุ่นเก่าพยายามใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเพื่อป้องกันภัยนี้ให้พวกเขา พวกเขากลับเรียกร้องที่จะเป็นผู้จงรักต่อภัยคุกคามจากต่างชาติเหล่านี้ . . เหล่าหมู่เกาะในอุษาสมุทร มีเกาะหนึ่งชื่อฟอโมซา พวกปอร์ตุเกสเป็นคนเรียกชื่อนี้และเขียนลงบนแผนที่ เกาะแห่งนี้เป็นบ้านของชนเผ่าหลายเผ่าที่พูดภาษาออสโตรนีเชียน (มาลาโย-โพลีนีเชียน) ในเลือดพวกเขามียีนที่เกี่ยวพันกับบรรพบุรุษอัสเลียนเช่นเดียวกับเราและกลุ่มที่กระจายอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ ในอุษาสมุทร พวกเขาประกอบด้วยชนเผ่าหลายเผ่า เช่น อตายาล พูยูมะ อาหมี ไพวัน ตาว เถา บูนัน ฮลาวาลัว กาวาลัน กานากานาวู รูไก ไซซิแยต ซากิซายะ ซีดิก ทาโรโก มากาเตา สิรายา บาบูจา บาเซ เกตากาลัน ปาโปรา.... พวกเขาคือเจ้าของแท้จริงของดินแดนที่ซึ่งวันนี้รู้จักกันว่า ไต้หวัน . อย่างที่รู้ ไต้หวันทุกวันนี้ถูกปกครองโดยคนจีนพลัดถิ่นที่แรกเริ่มนำมาโดยเจียงไคเช็คซึ่งหนีกองทัพรัฐบาลกลางมาตั้งมั่นที่เกาะแห่งนี้ ประวัติศาสตร์เหล่านี้หาอ่านได้ จึงไม่ขอกล่าวถึง . ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์จีน บันทึกจีนสมัยสามก๊กเขียนถึงเกาะแห่งหนึ่ง จีนเรียกชื่อว่าหยี่โจว.. ในยุคต่อๆมาพ่อค้าจีนเรียกว่า เสี่ยวตงเต้า บ้าง.. ต้าฮุยกัว บ้าง.. มีการติดต่อค้าขายระหว่างคนจีนและคนพื้นเมืองมาตั้งแต่ราชวงศ์สุย เรื่อยมาจนถึงราชวงศ์หยวน มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก ทะเลในแถบนี้คนจีนถือเป็นบริเวณที่สำคัญของปลากระบอก ขุนนางคนหนึ่งชื่อเฉินตี้เดินทางมากับกองทหารปราบโจรสลัดในทะเลตะวันออกและมาเยือนเกาะแห่งนี้ เฉินตี้เขียนบันทึกเล่มหนึ่งชื่อตงฟานจี (แปลว่าบันทึกของชาวป่าเถื่อนตะวันออก) บรรยายถึงชาวพื้นเมืองและวิถีชีวิตของพวกเขา รวมทั้งบันทึกถึงถิ่นฐานต่างๆ ที่ชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ พ่อค้าจีนค้าขายเหล็กและสิ่งทอ แลกกับถ่านหิน กำมะถัน ทองคำและเนื้อกวางกับคนพื้นเมือง คนจีนจึงรับรู้ตัวตนของพวกเขาและยอมรับสถานะพวกเขามาแต่โบราณ ถือเป็นดินแดนหนึ่งในอาณัตของจีน เมื่อโชกุนโทกูกาวายกทัพมาเพื่อพยายามจะยึดเกาะแห่งนี้ จีนจึงส่งกองกำลังมาขับไล่ . ผมเคยเขียนถึงเพื่อนศิลปินคนหนึ่งจากเผ่าพูยูมะ เธอชื่อซามิงัน เธอเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกในฐานะชนเผ่าที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ไม่เคยมีศักดิ์ฐานะเช่นเจ้าของแผ่นดินเลยเมื่อเทียบกับคนจีนที่มาปกครอง ศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ถูกละเลยและเสื่อมลงเรื่อยๆ . อย่างที่ทราบ รัฐบาลไต้หวันทุกวันนี้เป็นชาวจีนอพยพ แต่พวกเขาไม่ยอมรับจีนแผ่นดินใหญ่ คณะปกครองปัจจุบันพยายามที่จะแยกว่าไต้หวันเป็นอิสระจากจีนและอาศัยอเมริกาเป็นโล่ห์กำบังทั้งที่อเมริกาและสหประชาชาติตกลงยอมรับความเป็นจีนเดียว ไต้หวันทำทุกอย่างที่อเมริกาสั่งเพื่อเป็นฐานในการต่อต้านจีนในแปซิฟิค และอย่างที่ทุกคนรู้ ชะตากรรมของไต้หวันนั้นล่อแหลมอย่างมากและโดยแท้แล้วอเมริกาไม่แยแสพวกเขา แต่จะใช้ประโยชน์เท่าที่ใช้ได้ และในที่สุดแล้วไม่มีทางเลยที่ไต้หวันจะแยกตัวออกไปจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้ พวกเขาจะถูกบดขยี้ถ้าเลือกหนทางที่ต่อต้านขัดขืนด้วยการใช้กำลังทหาร . เอาจริงๆ ประชาชนจีนพลัดถิ่นในไต้หวัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเลวร้ายหรอกถ้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ทุกวันนี้จากข่าวก็เห็นกันไปทั้งโลกว่าจีนก้าวหน้าเพียงใด และไต้หวันจะก้าวหน้าไปไกลกว่านี้ถ้ากลับไปสู่จีน แต่ชนชั้นปกครองไม่ต้องบอกก็รู้ว่าล้วนรับใช้อเมริกัน คนพวกนี้จะลงเอยในฐานกบฏ . ในความรู้สึกของผม คนจีนพลัดถิ่นในไต้หวันควรที่จะคืนศักดิ์ฐานะให้ชาวพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินตัวจริง ให้พวกเขามีส่วนในการปกครองและตัดสินใจในอนาคตของประชากรบนเกาะแห่งนี้ . คงไม่ต้องบอก ผู้ชายชาวไต้หวันไม่ว่าจะชนพื้นเมืองหรือคนจีนอพยพล้วนอยู่ในสาแหรก Hg O พวกชนพื้นเมืองมียีนที่เก่ากว่ามากเมื่อเทียบกับคนจีนแม้ในแผ่นดินใหญ่ ยีนแม่ของพวกเขามีสายใยเชื่อมโยงกับคนไทยอย่างเราทาง mt Hg F และ D พวกเขามีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับชนเผ่าไทอย่างหลี ก้ำ สุ่ย ในไห่หนานและชนเผ่าฮักกา เกี่ยวพันกับชนเผ่าในฟิลิปปินส์ และยังเกี่ยวพันกับชนพื้นเมืองบนเกาะโอกินาวา . บทความของ ปราชญ์ สามสี ที่ผมเอาลิ๊งก์มาแนบนี้ น่าจะทำให้คนไทยคิดให้มากขึ้น ยูเครนนั้นเดินไปสู่หนทางสิ้นชาติแล้วอย่างแน่นอน แต่ไต้หวันจะไม่แย่ขนาดนั้น สำหรับจีน ชนพื้นเมืองต่างๆ ถือเป็นทรัพยากรอันมีคุณต่อเศรษฐกิจ เป็นซอฟพาวเวอร์สำหรับโลกยุคปัจจุบัน ไทยควรจะต้องรู้ว่าการสังเวยตัวเองไปอยู่ระหว่างคมหอกของมหาอำนาจอย่างที่ไต้หวันกำลังทำนั้นเป็นความโง่เขลาสิ้นคิด อย่าได้ถลำไปในทางนั้นอย่างเด็ดขาด . กรณีของไต้หวัน หากจะยึดถือจุดยืนตรงข้ออ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน มีทางเดียว คนจีนทั้งหมดต้องยุติบทบาทการปกครองแล้วมอบสิทธิ์คืนแก่คนพื้นเมือง คนจีนอพยพทั้งหมดต้องถอยไปในจุดที่เป็นแค่ผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคงยอมไม่ได้ .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 689 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนที่ 1
    .
    ฉากทัศน์ปัจจุบันในลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ต่างมากนักกับหนังเรื่อง Blood Diamond ที่สร้างจากเรื่องจริงที่ที่แอฟริกา ว่าด้วยการด้านมืดของทำเหมืองเพชร ฉายในปีค.ศ. 2006 ดารานำคือ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงคู่กับ โซโลมอน แวนดี้ ชาวประมงผู้ถูกจับตัวไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชรของกลุ่มกบฏ
    .
    Blood Diamond ในเรื่องถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มกบฏ กระบวนการคือการกดขี่แรงงาน สังหารชาวบ้าน ที่ต่อต้าน ล้างสมองใช้แรงงานเด็กถืออาวุธเคี่ยวเข่น ฟอกเงินจากขายเพชรไปซื้ออาวุธ เสริมสร้างกองทัพ การค้าอาวุธและของเถื่อน เรียกว่าเถื่อนครบวงจร
    .
    หลังจากน้ำท่วมแม่สายอย่างสาหัส ด้วยมวลขุ่นชี้โคลนมหาศาลโถมทับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation ; SHRF) ได้เปิดผลการศึกษา ว่าด้วย “การขยายตัวของเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในเมียนมาและไทย”
    .
    เสียงสะท้อนจากเรื่องนี้ดังมาจากฝั่งเมียนมาร์ถือเป็นครั้งแรกห้วงเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากโคลนคือการได้รับของแถมคือ สารหนู นิเกิลและสังกะสีปนเปื้อนในระดับสูง โดยระดับปนเปื้อนของสังกะสีในแม่น้ำสายสูงงกว่าระดับปลอดภัยถึง 18 เท่า
    .
    ประเด็นชี้เป้าไปที่ 4 พื้นที่หลักภายใต้การคือ การขยายตัวของเหมืองทองคำด้านตะวันออกของเมืองสาด รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ริมฝั่งแม่น้ำกก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำรวก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ตามริมฝั่งน้ำเลน รัฐฉาน
    .
    Deep State ที่ตัวแสดงหลักคือกองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army ทำขอตกลงกับรัฐบาลเมียนมาคือ เขตปกครองพิเศษที่ 2 มีพื้นที่อิทธิพลในเขตเปกครองตนเองว้า ภาคเหนือติดชายแดนจีน และทางภาคใต้-ตะวันออกของรัฐฉาน ติดกับประเทศไทย และการพันลึกกับจีน
    .
    ปมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผลกระทบได้ขยายวงแผ่ไปตามกระแสน้ำที่มีมลพิษจากการทำเหมืองทองคำเป็นต้นเหตุหลักในพื้นที่รัฐฉาน ที่ไหลลงแม่น้ำลัดเลาะลงอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย ลงแม่น้ำโขง
    .
    เรื่องนี้มีความน่าสนใจเชิงทรัพยากรเหมืองแร่ที่มีทุนจีนเข้ามาโอบล้อมภาคเหนือของไทยสูบแร่ ที่คิดว่าไม่ใช่เฉพาะทองคำ แต่จะกินไปถึงถ่านหิน และแมงกานีส เป็นอุตสาหกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนเป็นทองคำสีเลือดที่สร้างผลกระทบชีวิตคนลุ่มแม่น้ำโขง สุขภาพตายผ่อนส่ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยังไม่รวมเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนจากการบายพาสสินค้าไปตลาดจีน คาสิโน บ่อนที่ประชิดชายแดนไทย ทั้งพม่าและคิงส์โรมัน
    .
    ทั้งหมดล้วนพัวพันเป็นเนื้อเดียวที่ส่งสัญญาณอนาคตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มนํ้าสาละวิน กก สาย และอิง ไม่รวมแม่น้ำสาขา น้ำแม่ฝาง น้ำแม่ลาว และน้ำแม่สรวย กำลังเผชิญวิกฤติที่ลุกลามเป็นกินพื้นที่ภาคเหนือ
    .
    ต้องยอมรับว่าการ Reaction ของรัฐไทยช้า และไม่มีพลังที่จะชน Deep State ประเทศเพื่อนบ้าน ภาพปรากฎเป็นการตั้งรับเกือบ 100% และไม่ทันการณ์
    .
    ความอ่อนแอเชิงพื้นที่ที่ได้ถูกกัดกร่อน ทำให้พลังการแสดงออกของพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน มิได้ส่งเสียงส่งพลังให้เกิดการมีปฏิกิริยาเชิงรุกกับรัฐบาลไทยเพื่อปกป้องผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือ
    .
    หากประมวลมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของไทย นอกจากการเกาะติดของสื่อ ก็จะมีข้อเรียกร้องทางให้เปิดโต๊ะเจรจาจีน-เมียนมา-ว้า ประสานพี่ใหญ่จีนด้วยที่มีบริษัทจีนส่วนใหญ่เข้าไปสัมปทาน ทั้งรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ร่วมกันหาทางออกทั้งการยุติการทำเหมืองทอง หรือการควบคุมการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ
    .
    จังหวัดเชียงรายต้องทำฉากทัศน์ (Scenarios) หลายระดับ 1.ในช่วง 5 ปี หน้าดินที่เสื่อมสลายไป จะทำอย่างไรในเรื่องตะกอน น้ำท่วม และสารพิษในแม่น้ำ 2.ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากเหมืองทองขยายตัวมากกว่านี้ ขยายเหมือนไร่ข้าวโพดในเมียนมา จะมีการบริหารจัดการอย่างไร 3.ประเด็นการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA)
    .
    ก่อนหน้านี้กลางเดือนมีนาคมมีการรวมตัวของชุมชน 700 คน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำกก ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำบนต้นน้ำกกที่ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กิโลเมตรทางทิศใต้ของเมืองสาด ที่ดำเนินขุดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดทองในวงกว้างเกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในเมืองยอน ตอนใต้ของอำเภอเมืองสาด
    .
    ในแถลงการณ์ระบุว่ามีบริษัทจีนหลัก 4 แห่ง ที่ดำเนินการขุดเหมือง มีซับคอนแทรกอีก 20 ราย มีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทำเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจการบริโภคในครัวเรือน และทำให้ปลาแทบสูญพันธุ์
    .
    ล่าสุดมีการขยับของ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกหนังสือไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong Committee Secretariat: MRCS) เสนอจัดตั้ง “กลไกความร่วมมือทวิภาคี” สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมี MRCS ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งต้องติดตามต่อไป
    .
    หลังจากการเปิดฉากเรื่อง Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนต่อไปคือการเจาะลึกการขยายอุตสาหกรรมเหมืองทองคำในลุ่มแม่น้ำโขงในเงื้อมมือทุนจีน การเล่นแร่แปรธาตุสู่อาวุธ บ่อน และสงคราม ไปจนทางถึง Supply Chain การเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเหมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ผลประโยชน์ขนาดไหน ความสูญเสียของคนลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้ความเสี่ยงของมลพิษข้ามแดนจะวิกฤติอย่างไร มีทางออกอย่างไรโปรดติดตาม

    อ้างอิง :
    • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ https://shanhumanrights.org/
    • วิกฤตสารหนู ‘แม่น้ำกก’ จี้รัฐถก 3 ชาติ ป้องเศรษฐกิจเชียงรายพัง https://www.prachachat.net/local-economy/news-1792140
    • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 https://www.facebook.com/share/p/1D8ZwWYsN1/
    • ไทยกับว้าแดง https://www.facebook.com/share/p/15KvYRaDH1/
    • Toxic Waters, Dysfunctional States The Destruction of the Kok and Sai Rivers
    By Paskorn Jumlongrach https://transbordernews.in.th/home/?p=42108
    Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนที่ 1 . ฉากทัศน์ปัจจุบันในลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ต่างมากนักกับหนังเรื่อง Blood Diamond ที่สร้างจากเรื่องจริงที่ที่แอฟริกา ว่าด้วยการด้านมืดของทำเหมืองเพชร ฉายในปีค.ศ. 2006 ดารานำคือ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงคู่กับ โซโลมอน แวนดี้ ชาวประมงผู้ถูกจับตัวไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชรของกลุ่มกบฏ . Blood Diamond ในเรื่องถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มกบฏ กระบวนการคือการกดขี่แรงงาน สังหารชาวบ้าน ที่ต่อต้าน ล้างสมองใช้แรงงานเด็กถืออาวุธเคี่ยวเข่น ฟอกเงินจากขายเพชรไปซื้ออาวุธ เสริมสร้างกองทัพ การค้าอาวุธและของเถื่อน เรียกว่าเถื่อนครบวงจร . หลังจากน้ำท่วมแม่สายอย่างสาหัส ด้วยมวลขุ่นชี้โคลนมหาศาลโถมทับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation ; SHRF) ได้เปิดผลการศึกษา ว่าด้วย “การขยายตัวของเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในเมียนมาและไทย” . เสียงสะท้อนจากเรื่องนี้ดังมาจากฝั่งเมียนมาร์ถือเป็นครั้งแรกห้วงเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากโคลนคือการได้รับของแถมคือ สารหนู นิเกิลและสังกะสีปนเปื้อนในระดับสูง โดยระดับปนเปื้อนของสังกะสีในแม่น้ำสายสูงงกว่าระดับปลอดภัยถึง 18 เท่า . ประเด็นชี้เป้าไปที่ 4 พื้นที่หลักภายใต้การคือ การขยายตัวของเหมืองทองคำด้านตะวันออกของเมืองสาด รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ริมฝั่งแม่น้ำกก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำรวก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ตามริมฝั่งน้ำเลน รัฐฉาน . Deep State ที่ตัวแสดงหลักคือกองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army ทำขอตกลงกับรัฐบาลเมียนมาคือ เขตปกครองพิเศษที่ 2 มีพื้นที่อิทธิพลในเขตเปกครองตนเองว้า ภาคเหนือติดชายแดนจีน และทางภาคใต้-ตะวันออกของรัฐฉาน ติดกับประเทศไทย และการพันลึกกับจีน . ปมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผลกระทบได้ขยายวงแผ่ไปตามกระแสน้ำที่มีมลพิษจากการทำเหมืองทองคำเป็นต้นเหตุหลักในพื้นที่รัฐฉาน ที่ไหลลงแม่น้ำลัดเลาะลงอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย ลงแม่น้ำโขง . เรื่องนี้มีความน่าสนใจเชิงทรัพยากรเหมืองแร่ที่มีทุนจีนเข้ามาโอบล้อมภาคเหนือของไทยสูบแร่ ที่คิดว่าไม่ใช่เฉพาะทองคำ แต่จะกินไปถึงถ่านหิน และแมงกานีส เป็นอุตสาหกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนเป็นทองคำสีเลือดที่สร้างผลกระทบชีวิตคนลุ่มแม่น้ำโขง สุขภาพตายผ่อนส่ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยังไม่รวมเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนจากการบายพาสสินค้าไปตลาดจีน คาสิโน บ่อนที่ประชิดชายแดนไทย ทั้งพม่าและคิงส์โรมัน . ทั้งหมดล้วนพัวพันเป็นเนื้อเดียวที่ส่งสัญญาณอนาคตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มนํ้าสาละวิน กก สาย และอิง ไม่รวมแม่น้ำสาขา น้ำแม่ฝาง น้ำแม่ลาว และน้ำแม่สรวย กำลังเผชิญวิกฤติที่ลุกลามเป็นกินพื้นที่ภาคเหนือ . ต้องยอมรับว่าการ Reaction ของรัฐไทยช้า และไม่มีพลังที่จะชน Deep State ประเทศเพื่อนบ้าน ภาพปรากฎเป็นการตั้งรับเกือบ 100% และไม่ทันการณ์ . ความอ่อนแอเชิงพื้นที่ที่ได้ถูกกัดกร่อน ทำให้พลังการแสดงออกของพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน มิได้ส่งเสียงส่งพลังให้เกิดการมีปฏิกิริยาเชิงรุกกับรัฐบาลไทยเพื่อปกป้องผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือ . หากประมวลมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของไทย นอกจากการเกาะติดของสื่อ ก็จะมีข้อเรียกร้องทางให้เปิดโต๊ะเจรจาจีน-เมียนมา-ว้า ประสานพี่ใหญ่จีนด้วยที่มีบริษัทจีนส่วนใหญ่เข้าไปสัมปทาน ทั้งรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ร่วมกันหาทางออกทั้งการยุติการทำเหมืองทอง หรือการควบคุมการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ . จังหวัดเชียงรายต้องทำฉากทัศน์ (Scenarios) หลายระดับ 1.ในช่วง 5 ปี หน้าดินที่เสื่อมสลายไป จะทำอย่างไรในเรื่องตะกอน น้ำท่วม และสารพิษในแม่น้ำ 2.ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากเหมืองทองขยายตัวมากกว่านี้ ขยายเหมือนไร่ข้าวโพดในเมียนมา จะมีการบริหารจัดการอย่างไร 3.ประเด็นการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) . ก่อนหน้านี้กลางเดือนมีนาคมมีการรวมตัวของชุมชน 700 คน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำกก ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำบนต้นน้ำกกที่ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กิโลเมตรทางทิศใต้ของเมืองสาด ที่ดำเนินขุดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดทองในวงกว้างเกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในเมืองยอน ตอนใต้ของอำเภอเมืองสาด . ในแถลงการณ์ระบุว่ามีบริษัทจีนหลัก 4 แห่ง ที่ดำเนินการขุดเหมือง มีซับคอนแทรกอีก 20 ราย มีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทำเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจการบริโภคในครัวเรือน และทำให้ปลาแทบสูญพันธุ์ . ล่าสุดมีการขยับของ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกหนังสือไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong Committee Secretariat: MRCS) เสนอจัดตั้ง “กลไกความร่วมมือทวิภาคี” สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมี MRCS ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งต้องติดตามต่อไป . หลังจากการเปิดฉากเรื่อง Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนต่อไปคือการเจาะลึกการขยายอุตสาหกรรมเหมืองทองคำในลุ่มแม่น้ำโขงในเงื้อมมือทุนจีน การเล่นแร่แปรธาตุสู่อาวุธ บ่อน และสงคราม ไปจนทางถึง Supply Chain การเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเหมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ผลประโยชน์ขนาดไหน ความสูญเสียของคนลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้ความเสี่ยงของมลพิษข้ามแดนจะวิกฤติอย่างไร มีทางออกอย่างไรโปรดติดตาม อ้างอิง : • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ https://shanhumanrights.org/ • วิกฤตสารหนู ‘แม่น้ำกก’ จี้รัฐถก 3 ชาติ ป้องเศรษฐกิจเชียงรายพัง https://www.prachachat.net/local-economy/news-1792140 • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 https://www.facebook.com/share/p/1D8ZwWYsN1/ • ไทยกับว้าแดง https://www.facebook.com/share/p/15KvYRaDH1/ • Toxic Waters, Dysfunctional States The Destruction of the Kok and Sai Rivers By Paskorn Jumlongrach https://transbordernews.in.th/home/?p=42108
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1412 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือนกระจก โลกร้อนเอาไว้ทีหลัง!
    ทรัมป์อนุมัติการผลิตพลังงานโดยใช้ถ่านหิน

    “ผมมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารของผมเริ่มดำเนินการได้ทันทีในการผลิตพลังงานที่สวยงามด้วยเชื้อเพลิงถ่านหินล้วนๆ”
    เรือนกระจก โลกร้อนเอาไว้ทีหลัง! ทรัมป์อนุมัติการผลิตพลังงานโดยใช้ถ่านหิน “ผมมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารของผมเริ่มดำเนินการได้ทันทีในการผลิตพลังงานที่สวยงามด้วยเชื้อเพลิงถ่านหินล้วนๆ”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากฐานข้อมูล Carbon Majors รายงานล่าสุดเปิดเผยว่าในปี 2023 การปล่อยมลพิษจากบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างมหาศาล ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ กว่า 50% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 36 แห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ

    บริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023
    บริษัทของรัฐ:
    - Aramco (ซาอุดิอาระเบีย)
    - Coal India (อินเดีย)
    - CHN Energy (จีน)
    - NIOC (อิหร่าน)
    - Jinneng Group (จีน)

    บริษัทเอกชน:
    - ExxonMobil (สหรัฐฯ)
    - Chevron (สหรัฐฯ)
    - Shell (สหราชอาณาจักร)
    - TotalEnergies (ฝรั่งเศส)
    - BP (สหราชอาณาจักร)

    บริษัทของรัฐในกลุ่ม Top 20 มีส่วนปล่อย CO2 ถึง 52% ของการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะที่บริษัทจากจีนเพียงประเทศเดียวปล่อย CO2 ถึง 23% ของการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลและปูนซีเมนต์

    นอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังมีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดยบริษัทที่มียอดปล่อยมลพิษสูงสุดได้แก่ Holcim Group, Heidelberg Materials, UltraTech Cement และ CRH

    ฐานข้อมูล Carbon Majors ไม่เพียงแต่ใช้ติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีทางกฎหมาย เช่น การผลักดันกฎหมาย Climate Superfund ในรัฐ Vermont และ New York รวมถึงการประเมินผลกระทบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency ชี้ว่าโครงการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มขึ้นหลังปี 2021 ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของการลดปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การปล่อยก๊าซต้องลดลง 45% ภายในปี 2030

    https://www.techspot.com/news/107070-36-companies-account-50-global-co2-emissions-report.html
    จากฐานข้อมูล Carbon Majors รายงานล่าสุดเปิดเผยว่าในปี 2023 การปล่อยมลพิษจากบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างมหาศาล ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ กว่า 50% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 36 แห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ บริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023 บริษัทของรัฐ: - Aramco (ซาอุดิอาระเบีย) - Coal India (อินเดีย) - CHN Energy (จีน) - NIOC (อิหร่าน) - Jinneng Group (จีน) บริษัทเอกชน: - ExxonMobil (สหรัฐฯ) - Chevron (สหรัฐฯ) - Shell (สหราชอาณาจักร) - TotalEnergies (ฝรั่งเศส) - BP (สหราชอาณาจักร) บริษัทของรัฐในกลุ่ม Top 20 มีส่วนปล่อย CO2 ถึง 52% ของการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะที่บริษัทจากจีนเพียงประเทศเดียวปล่อย CO2 ถึง 23% ของการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลและปูนซีเมนต์ นอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังมีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดยบริษัทที่มียอดปล่อยมลพิษสูงสุดได้แก่ Holcim Group, Heidelberg Materials, UltraTech Cement และ CRH ฐานข้อมูล Carbon Majors ไม่เพียงแต่ใช้ติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีทางกฎหมาย เช่น การผลักดันกฎหมาย Climate Superfund ในรัฐ Vermont และ New York รวมถึงการประเมินผลกระทบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency ชี้ว่าโครงการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มขึ้นหลังปี 2021 ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของการลดปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การปล่อยก๊าซต้องลดลง 45% ภายในปี 2030 https://www.techspot.com/news/107070-36-companies-account-50-global-co2-emissions-report.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Just 36 companies account for 50% of global CO2 emissions, report reveals
    The data indicates that over 50 percent of these emissions can be attributed to just 36 high-emitting companies, with state-owned enterprises playing a significant role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 648 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องบดแห้ง (PULVERIZER) บดพริกแห้งเม็ดใหญ่ ความละเอียด 2 มม.
    #พริกป่น #บดพริกแห้ง
    เครื่องบดผง สแตนเลส "BONNY" บดหยาบ บดละเอียดได้ตามต้องการ
    โดยปรับเปลี่ยนแผ่นตะแกรงภายในตัวเครื่อง
    ใช้งานง่าย ทำความสะอาดง่าย บดได้หลาก เช่น ข้าวสาร ถั่ว เม็ดข้าวโพด ธัญพืชต่างๆ ใบชา พริกไทย สมุนไพร นิยมใช้ในอุตสาหกรรมยา สมุนไพร เคมี เครื่องสำอาง ยิปซั่ม ปูนซีเมนต์ เครื่องเทศ ถ่านหิน แร่ เป็นต้o

    ลักษณะพิเศษ เปลี่ยนฟันตี เฉพาะฟันได้ แตกต่างจากเครื่องบดแห้งทั่วไป เมื่อเกิดความเสียหาย เช่นฟันตีหักจะต้องเปลี่ยนจานฟันตีใหม่ทั้งหมด แต่เครื่องBONNY สามารถเปลี่ยนเฉพาะฟันตีที่หัก
    จึงช่วยท่านประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ได้มากกว่า
    เครื่องได้มาตรฐานยุโรปCE รองรับมาตรฐาน GMP, HACCP
    เหมาะใช้ในงานวิจัย โรงงาน หรือในครัวเรือน

    Model : YWF-10B-6P-JCXT-S
    Capacity : 5-30 KG./H.
    Power : 3 HP , 380V
    Speed : 4,500 RPM
    Dimensions : 64x45x142 cm.
    Weight : 100 KG

    สามารถเข้ามาดูสินค้าจริงที่หน้าร้านได้เลยนะคะ
    เวลาเปิดทำการ :
    จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-17.00
    และวันเสาร์ เวลา 8.00-16.00
    แผนที่ https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7

    #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    m.me/yonghahheng แชทเลย
    LINE Business ID : @yonghahheng (มี@ข้างหน้า)
    หรือ https://lin.ee/HV4lSKp
    02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    www.yoryonghahheng.com
    E-mail : sales@yoryonghahheng.com
    yonghahheng@gmail.com

    #สไลด์ชาบู #สไลซ์เนื้อแช่แข็ง #สไลซ์พูทุเรียนดิบ #ขอดเกล็ดปลา #ลอกหนังปลา #ผ่าซีกปลา #เครื่องทำน้ำจิ้ม #ทำเครื่องปรุงรส #ทำเครื่องสำอาง #เครื่องแกะเม็ดข้าวโพด #แกะเมล็ดข้าวโพด #เครื่องย่อย #ย่อยกาก #ย่อยกากอาหาร #บดพริกคั่ว #บีดอัดกระป๋องสี #บีดอัดกระดาษ #บีบอัดลัง #เครื่องทำซอส #oilscrewpress #สกัดน้ำมัน #เครื่องปอก #ปอกเปลือกกระเทียม #ปอกเปลือกหอมแดง #บดพริกป่น #บดพริกผง
    เครื่องบดแห้ง (PULVERIZER) บดพริกแห้งเม็ดใหญ่ ความละเอียด 2 มม. #พริกป่น #บดพริกแห้ง เครื่องบดผง สแตนเลส "BONNY" บดหยาบ บดละเอียดได้ตามต้องการ โดยปรับเปลี่ยนแผ่นตะแกรงภายในตัวเครื่อง ใช้งานง่าย ทำความสะอาดง่าย👍 บดได้หลาก เช่น ข้าวสาร ถั่ว เม็ดข้าวโพด ธัญพืชต่างๆ ใบชา พริกไทย สมุนไพร นิยมใช้ในอุตสาหกรรมยา สมุนไพร เคมี เครื่องสำอาง ยิปซั่ม ปูนซีเมนต์ เครื่องเทศ ถ่านหิน แร่ เป็นต้o ลักษณะพิเศษ เปลี่ยนฟันตี เฉพาะฟันได้ แตกต่างจากเครื่องบดแห้งทั่วไป เมื่อเกิดความเสียหาย เช่นฟันตีหักจะต้องเปลี่ยนจานฟันตีใหม่ทั้งหมด แต่เครื่องBONNY สามารถเปลี่ยนเฉพาะฟันตีที่หัก จึงช่วยท่านประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ได้มากกว่า เครื่องได้มาตรฐานยุโรปCE รองรับมาตรฐาน GMP, HACCP เหมาะใช้ในงานวิจัย โรงงาน หรือในครัวเรือน Model : YWF-10B-6P-JCXT-S Capacity : 5-30 KG./H. Power : 3 HP , 380V Speed : 4,500 RPM Dimensions : 64x45x142 cm. Weight : 100 KG สามารถเข้ามาดูสินค้าจริงที่หน้าร้านได้เลยนะคะ เวลาเปิดทำการ : จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-17.00 และวันเสาร์ เวลา 8.00-16.00 แผนที่ https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน m.me/yonghahheng 👈👈 แชทเลย LINE Business ID : @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) หรือ https://lin.ee/HV4lSKp 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 www.yoryonghahheng.com E-mail : sales@yoryonghahheng.com yonghahheng@gmail.com #สไลด์ชาบู #สไลซ์เนื้อแช่แข็ง #สไลซ์พูทุเรียนดิบ #ขอดเกล็ดปลา #ลอกหนังปลา #ผ่าซีกปลา #เครื่องทำน้ำจิ้ม #ทำเครื่องปรุงรส #ทำเครื่องสำอาง #เครื่องแกะเม็ดข้าวโพด #แกะเมล็ดข้าวโพด #เครื่องย่อย #ย่อยกาก #ย่อยกากอาหาร #บดพริกคั่ว #บีดอัดกระป๋องสี #บีดอัดกระดาษ #บีบอัดลัง #เครื่องทำซอส #oilscrewpress #สกัดน้ำมัน #เครื่องปอก #ปอกเปลือกกระเทียม #ปอกเปลือกหอมแดง #บดพริกป่น #บดพริกผง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2443 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน
    .
    ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร
    .
    ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.
    .
    นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน
    .
    แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด
    .
    นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis
    .
    ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่
    .
    ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน
    .
    รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว
    .
    แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด
    .
    กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929
    ..............
    Sondhi X
    จีนแถลงวันพุธ (5 ก.พ.) ยืนกรานคัดค้านสหรัฐฯ ประกาศมาตรการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าแดนมังกร พร้อมเรียกร้องเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้า ทว่า ทำเนียบขาวระบุทรัมป์ยังไม่รีบร้อนหารือสี จิ้นผิง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์จากจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดหมายกันว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีนอย่าง “ชีอิน” และ “เทมู” โดยที่ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า วอชิงตันกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำยักษ์ใหญ่แดนมังกรทั้งสองเจ้านี้ว่าเป็นบริษัทที่มีการบังคับใช้แรงงาน . ในวันพุธ ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยราชการของจีนเปิดทำการหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงว่า จีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านถึงที่สุดต่อมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของอเมริกา และเรียกร้องให้เปิดการเจรจาอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ก่อนทิ้งท้ายว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร . ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นคือเมื่อวันอังคาร (4) จีนประกาศตอบโต้อเมริกา โดยจะขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากสหรัฐฯสูงขึ้น 15% จากน้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. . นอกจากนั้น จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . เวลาเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . การประกาศมาตรการตอบโต้ของจีนเช่นนี้ เกิดขึ้นแทบจะทันที หลังจากการมีผลบังคับใช้ของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของฝ่ายอเมริกา ซึ่งเป็นการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจัดเก็บจากสินค้านำเข้าจีนทุกรายการขึ้นอีก 10% โดยที่ทรัมป์ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (3) ทำเนียบขาวส่งสัญญาณว่า ทรัมป์จะมีการหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ในตอนบ่ายวันอังคาร (4) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับบอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า ไม่รีบร้อนที่จะคุยกับผู้นำจีน . แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่า การหารือระหว่างทรัมป์กับสีที่ถูกมองว่า เป็นกุญแจสำคัญที่อาจผ่อนปรนหรือชะลอการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนั้น จำเป็นต้องมีการตกลงกันเรื่องตารางเวลา ทว่า ขณะนี้ผู้นำจีนยังไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด . นอกจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาแล้ว เมื่อวันอังคาร สำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ (ยูเอสพีเอส) ได้ประกาศระงับการรับพัสดุภัณฑ์ที่ส่งจากจีนและฮ่องกง หลังจากทรัมป์ออกคำสั่งยกเลิกข้อยกเว้นการเก็บภาษีอากรกับพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ที่เรียกกันว่า ข้อยกเว้น de minimis . ยูเอสพีเอสยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่กระทบจดหมายและจดหมายขนาดใหญ่ (ความยาวไม่เกิน 38 ซม. หรือหนาไม่เกิน 1.9 ซม.) จากจีนและฮ่องกง แต่ไม่ได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกข้อยกเว้น de minimis หรือไม่ . ตามรายงานของคณะกรรมาธิการรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ระบุว่าพัสดุภัณฑ์เกือบครึ่งหนึ่งที่จัดส่งภายใต้ข้อยกเว้น de minimis นั้นส่งมาจากจีน . รายงานดังกล่าวยังระบุว่า “ชีอิน” แพลตฟอร์มฟาสต์แฟชั่น และ “เทมู” แพลตฟอร์มขายสินค้าราคาถูก ซึ่งต่างก็เป็นของจีนและขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นจนถึงสมาร์ทโฟนนั้น เติบโตเร็วมากในอเมริกา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อยกเว้น de minimis โดยทั้งสองบริษัทมีแนวโน้มเป็นเจ้าของพัสดุกว่า 30% ที่จัดส่งไปยังอเมริกาในแต่ละวันภายใต้ข้อยกเว้นดังกล่าว . แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การยกเลิกข้อยกเว้น de minimis อาจทำให้สินค้าบนแพลตฟอร์มชีอินและเทมูแพงขึ้น แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะทำให้ยอดจัดส่งของทั้งสองบริษัทลดลงแต่อย่างใด . กระนั้น แพลตฟอร์มทั้งสองแห่งอาจหนีไม่พ้นการเล่นงานเพิ่มเติมของคณะบริหารทรัมป์ โดยเมื่อวันอังคาร เว็บไซต์เซมาฟอร์รายงานว่า อเมริกากำลังพิจารณาขึ้นบัญชีเทมูและชีอินในรายชื่อบริษัทที่บังคับใช้แรงงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011929 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3145 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามการค้าระดับมหาอำนาจระอุ จีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ทันควัน สั่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากอเมริกา รวมทั้งเปิดสอบสวนกูเกิลกรณีผูกขาดตลาด และขึ้นบัญชีบริษัทอเมริกันอีก 2 แห่งในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชัน ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันจันทร์ (3) ผู้นำสหรัฐฯ ผ่อนผันหยุดพักการเล่นงานแคนาดากับเม็กซิโกเอาไว้ก่อน ทำให้ 3 ชาติที่ถูกวอชิงตันหมายหัวในตอนแรก เหลือเพียงปักกิ่งเท่านั้นซึ่งเกิดการต่อกรกันอย่างจริงจัง
    .
    อเมริกาเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการเพิ่มขึ้น 10% รวด ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีผลเมื่อเวลา 00.01 น. วันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาในวอชิงตัน หรือ 12.01 น.ตามเวลาเมืองไทย โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา
    .
    จากนั้นภายในไม่กี่นาทีต่อมา กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากอเมริกา สูงขึ้น 15% จาก น้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% โดยที่การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่นำเข้าจากอเมริกานั้น อาจบังคับใช้กับไซเบอร์ทรัค “เทสลา” ของอีลอน มัสก์ในอนาคต
    .
    จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของจีนเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ซึ่งดูจะเพื่อเปิดโอกาสให้วอชิงตันและปักกิ่งได้ใช้ความพยายามและบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า โดยที่โฆษกทำเนียบขาวก็ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทรัมป์มีแผนหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายสัปดาห์นี้
    .
    ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็ได้เริ่มสงครามการค้าอันโหดร้ายกับจีนในปี 2018 โดยอ้างเหตุจากกรณีที่ปักกิ่งเกินดุลการค้าอเมริกามหาศาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กันไปมาซึ่งครอบคลุมสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก
    .
    สำหรับคราวนี้ บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ได้ลดการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนลง พร้อมกับชี้ว่า สงครามการค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีแนวโน้มจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กันอีก
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และกับสินค้านำเข้าจากแคนดา ยกเว้นสินค้าบางชนิดอย่างเช่นน้ำมัน เก็บเพิ่ม 10% และเรียกเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เพื่อบีบบังคับให้ 3 ประเทศนี้ซึ่งต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยดินแดนของเม็กซิโกและแคนาดา หลบหนีเข้าสหรัฐฯ ตลอดจนให้เม็กซิโก แคนาดา และจีนเร่งความกวดขันไม่ให้มีการแอบจัดส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ ทรัมป์ได้มีการพูดจาทางโทรศัพท์แยกต่างหากกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบามของเม็กซิโก หลังจากนั้น เขาก็สั่งชะลอการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วันในนาทีสุดท้าย โดยระบุว่าทั้งผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ตกลงยกระดับการควบคุมชายแดนตามที่เขาเรียกร้อง เพื่อปราบปรามการลักลอบส่งยาเสพติดและการลักลอบจัดส่งผู้อพยพเข้าอเมริกา
    .
    ทั้งนี้ แคนาดาตกลงใช้เทคโนโลยีใหม่และเจ้าหน้าที่ประจำการบริเวณชายแดนติดกับอเมริกา รวมทั้งร่วมมือกับอเมริกาต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรม การลักลอบส่งเฟนทานิล และการฟอกเงิน
    .
    ส่วนเม็กซิโกตกลงส่งสมาชิกกองกำลังป้องกันประเทศ 10,000 นายประจำการบริเวณชายแดนด้านเหนือที่ติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดผู้ลักลอบข้ามแดนและการส่งยาเสพติดเข้าไปในอเมริกา
    .
    สำหรับกรณีของจีนนั้น ผู้นำของ 2 ประเทศไม่ได้มีการติดต่อพูดโทรศัพท์กัน โดยที่ทำเนียบขาวระบุว่า สี กับ ทรัมป์ จะหารือกันในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เหลือเพียงจีนประเทศเดียว ที่จะถูกสหรัฐฯ เล่นงานขึ้นภาษีตั้งแต่วันอังคาร
    .
    ทรัมป์ยังเตือนว่า อาจขึ้นภาษีศุลกากรจีนรอบใหม่อีก ยกเว้นจีนจะลงมือสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทว่า จีนตอบโต้ว่า เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกาเอง และเตรียมร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WHO) รวมทั้งใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ถึงแม้ปักกิ่งบอกด้วยว่า พร้อมเจรจากับอเมริกา
    .
    แกรี อึง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิสในฮ่องกง ชี้ว่า การตกลงระหว่างอเมริกากับจีนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์จะยากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก และถึงแม้ตกลงกันได้ในบางประเด็น แต่เป็นไปได้ว่า ภาษีศุลกากรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันในประเด็นอื่นๆ อีก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวนในปีนี้
    .
    ก่อนหน้านั้นทรัมป์ยอมรับว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจส่งผลลบระยะสั้นต่อผู้บริโภคอเมริกัน แต่ก็อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ
    .
    ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศดังกล่าวข้างหน้า ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (2) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป อาจเป็นเป้าหมายต่อไป
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ บรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการในบรัสเซลส์ได้ประกาศว่า ยุโรปพร้อมตอบโต้ หากอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องขอเจรจากับวอชิงตัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนใหญ่ที่สุด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011540
    ..............
    Sondhi X
    สงครามการค้าระดับมหาอำนาจระอุ จีนประกาศตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ทันควัน สั่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากอเมริกา รวมทั้งเปิดสอบสวนกูเกิลกรณีผูกขาดตลาด และขึ้นบัญชีบริษัทอเมริกันอีก 2 แห่งในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชัน ทั้งนี้หลังจากเมื่อวันจันทร์ (3) ผู้นำสหรัฐฯ ผ่อนผันหยุดพักการเล่นงานแคนาดากับเม็กซิโกเอาไว้ก่อน ทำให้ 3 ชาติที่ถูกวอชิงตันหมายหัวในตอนแรก เหลือเพียงปักกิ่งเท่านั้นซึ่งเกิดการต่อกรกันอย่างจริงจัง . อเมริกาเริ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการเพิ่มขึ้น 10% รวด ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ มีผลเมื่อเวลา 00.01 น. วันอังคาร (4 ก.พ.) ตามเวลาในวอชิงตัน หรือ 12.01 น.ตามเวลาเมืองไทย โดยที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำข้อกล่าวหาของเขาที่ว่า ปักกิ่งไม่พยายามมากพอในการสกัดการลักลอบขนยาเสพติดแฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา . จากนั้นภายในไม่กี่นาทีต่อมา กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ซึ่งส่งมาจากอเมริกา สูงขึ้น 15% จาก น้ำมันดิบ อุปกรณ์เกษตรกรรม รถบรรทุก รถซีดาน 10% โดยที่การเรียกเก็บภาษี 10% สำหรับรถกระบะไฟฟ้าที่นำเข้าจากอเมริกานั้น อาจบังคับใช้กับไซเบอร์ทรัค “เทสลา” ของอีลอน มัสก์ในอนาคต . จีนยังประกาศเริ่มการสอบสวนที่มุ่งต่อต้านพฤติการณ์การผูกขาดของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต รวมทั้งขึ้นบัญชีพีวีเอช คอร์ป บริษัทโฮลดิ้งเจ้าของแบรนด์แคลวิน ไคลน์ และบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อิลลูมินา เอาไว้ในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกแซงก์ชันในจีน โดยบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นกิจการของอเมริกา . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานศุลกากรจีนยังสั่งควบคุมการส่งออกโลหะบางรายการที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางทหาร และแผงพลังงานแสงอาทิตย์ . มาตรการภาษีศุลกากรใหม่ของจีนเหล่านี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ซึ่งดูจะเพื่อเปิดโอกาสให้วอชิงตันและปักกิ่งได้ใช้ความพยายามและบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า โดยที่โฆษกทำเนียบขาวก็ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ทรัมป์มีแผนหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปลายสัปดาห์นี้ . ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์ก็ได้เริ่มสงครามการค้าอันโหดร้ายกับจีนในปี 2018 โดยอ้างเหตุจากกรณีที่ปักกิ่งเกินดุลการค้าอเมริกามหาศาล จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กันไปมาซึ่งครอบคลุมสินค้ามูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกชะงักงัน และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก . สำหรับคราวนี้ บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ได้ลดการคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนลง พร้อมกับชี้ว่า สงครามการค้าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีแนวโน้มจะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กันอีก . ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับ เรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด และกับสินค้านำเข้าจากแคนดา ยกเว้นสินค้าบางชนิดอย่างเช่นน้ำมัน เก็บเพิ่ม 10% และเรียกเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด โดยที่เขาให้เหตุผลว่า เพื่อบีบบังคับให้ 3 ประเทศนี้ซึ่งต่างเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายอาศัยดินแดนของเม็กซิโกและแคนาดา หลบหนีเข้าสหรัฐฯ ตลอดจนให้เม็กซิโก แคนาดา และจีนเร่งความกวดขันไม่ให้มีการแอบจัดส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ . อย่างไรก็ดี ในวันจันทร์ ทรัมป์ได้มีการพูดจาทางโทรศัพท์แยกต่างหากกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบามของเม็กซิโก หลังจากนั้น เขาก็สั่งชะลอการเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วันในนาทีสุดท้าย โดยระบุว่าทั้งผู้นำของแคนาดาและเม็กซิโก ตกลงยกระดับการควบคุมชายแดนตามที่เขาเรียกร้อง เพื่อปราบปรามการลักลอบส่งยาเสพติดและการลักลอบจัดส่งผู้อพยพเข้าอเมริกา . ทั้งนี้ แคนาดาตกลงใช้เทคโนโลยีใหม่และเจ้าหน้าที่ประจำการบริเวณชายแดนติดกับอเมริกา รวมทั้งร่วมมือกับอเมริกาต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรม การลักลอบส่งเฟนทานิล และการฟอกเงิน . ส่วนเม็กซิโกตกลงส่งสมาชิกกองกำลังป้องกันประเทศ 10,000 นายประจำการบริเวณชายแดนด้านเหนือที่ติดต่อกับสหรัฐฯ เพื่อสกัดผู้ลักลอบข้ามแดนและการส่งยาเสพติดเข้าไปในอเมริกา . สำหรับกรณีของจีนนั้น ผู้นำของ 2 ประเทศไม่ได้มีการติดต่อพูดโทรศัพท์กัน โดยที่ทำเนียบขาวระบุว่า สี กับ ทรัมป์ จะหารือกันในช่วงต่อไปของสัปดาห์นี้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เหลือเพียงจีนประเทศเดียว ที่จะถูกสหรัฐฯ เล่นงานขึ้นภาษีตั้งแต่วันอังคาร . ทรัมป์ยังเตือนว่า อาจขึ้นภาษีศุลกากรจีนรอบใหม่อีก ยกเว้นจีนจะลงมือสกัดการลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสู่อเมริกา . ทว่า จีนตอบโต้ว่า เฟนทานิลเป็นปัญหาของอเมริกาเอง และเตรียมร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WHO) รวมทั้งใช้มาตรการตอบโต้อื่นๆ ถึงแม้ปักกิ่งบอกด้วยว่า พร้อมเจรจากับอเมริกา . แกรี อึง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเนติซิสในฮ่องกง ชี้ว่า การตกลงระหว่างอเมริกากับจีนเกี่ยวกับข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์จะยากกว่ากรณีแคนาดาและเม็กซิโก และถึงแม้ตกลงกันได้ในบางประเด็น แต่เป็นไปได้ว่า ภาษีศุลกากรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดดันในประเด็นอื่นๆ อีก และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการเงินผันผวนในปีนี้ . ก่อนหน้านั้นทรัมป์ยอมรับว่า มาตรการภาษีศุลกากรอาจส่งผลลบระยะสั้นต่อผู้บริโภคอเมริกัน แต่ก็อ้างว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ . ไม่เพียงพุ่งเป้าไปที่ 3 ประเทศดังกล่าวข้างหน้า ในการแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (2) ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า สหภาพยุโรป อาจเป็นเป้าหมายต่อไป . ต่อมาในวันจันทร์ บรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการในบรัสเซลส์ได้ประกาศว่า ยุโรปพร้อมตอบโต้ หากอเมริกาเรียกเก็บภาษีศุลกากร แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องขอเจรจากับวอชิงตัน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนใหญ่ที่สุด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000011540 .............. Sondhi X
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 3052 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กูไม่กลัวมึง!"

    ปักกิ่งตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐ โดยการประกาศขึ้นภาษี
    - น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และยานยนต์ 10%
    - ถ่านหิน และก๊าซ LNG 15%

    โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์

    การตอบโต้ของจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่จีนยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO และให้คำมั่นว่าจะ "ปกป้องสิทธิของตนอย่างแข็งขัน"
    "กูไม่กลัวมึง!" ปักกิ่งตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐ โดยการประกาศขึ้นภาษี - น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และยานยนต์ 10% - ถ่านหิน และก๊าซ LNG 15% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ การตอบโต้ของจีนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่จีนยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ WTO และให้คำมั่นว่าจะ "ปกป้องสิทธิของตนอย่างแข็งขัน"
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 727 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จีน ขึ้น ภาษีนำเข้า น้ำมัน_US 10%
    และ ขี้นภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ
    #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน

    China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    #จีน ขึ้น ภาษีนำเข้า น้ำมัน_US 10% และ ขี้นภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จีน ขึ้น #ภาษีนำเข้า #สินค้า_US 10%
    และ ขี้น #ภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ
    #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน
    China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    #จีน ขึ้น #ภาษีนำเข้า #สินค้า_US 10% และ ขี้น #ภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • มอลโดวากลายเป็นประเทศแรกที่ต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงาน หลังจากเซเลนสกียุติการจ่ายก๊าซของรัสเซียไปยังยุโรป

    - การตัดก๊าซของยูเครนไม่เพียงแต่สร้างวิกฤตให้กับมอลโดวาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐทรานส์นีสเตรีย รัฐอิสระซึ่งแยกตัวออกจากมอลโดวาอีกด้วย

    - ทั้งมอลโดวาและรัฐทรานส์นีสเตรีย ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ระบบทำความร้อนและน้ำร้อนหยุดให้บริการ จะคงมีเฉพาะหน่วยงานที่จำเป็นเท่านั้น

    - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES (Thermal Power Station) ซึ่งตั้งอยู่ในทรานส์นีสเตรีย เดิมทีรับก๊าซจากยูเครนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ได้หันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทน ทำให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอที่จะจ่ายให้กับมอลโดวาได้อีกต่อไป

    - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,720 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าโรงไฟฟ้าอื่นๆในมอลโดวาอย่างมาก โรงไฟฟ้าแห่งนี้ส่งไฟฟ้าให้กับมอลโดวามากถึง 80%

    - มอลโดวาต้องเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากโรมาเนียแทน แน่นอนว่ามันจะมีราคาแพงกว่าในปัจจุบันอย่างมาก ส่งผลให้ราคาผู้บริโภคสูงขึ้น และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการเลือกตั้งรัฐสภาในปี 2025 พรรค Action and Solidarity ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากไว้ได้

    - นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า Moldavskaya GRES ที่อยู่ในทรานส์นีสเตรียจะสามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ภายในรัฐของตนเองได้เพียง 50-52 วันเท่านั้น เนื่องจากเชื้อเพลิงถ่านหินมีจำกัด

    - อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายูเครนจะไม่ได้หยุดจ่ายก๊าซ แต่ Gazprom ของรัสเซียก็จะเป็นฝ่ายหยุดจ่ายก๊าซให้กับมอลโดวาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เช่นกัน เนื่องจากปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าก๊าซค้างจ่าย โดยที่มอลโดวาปฏิเสธที่จะจ่ายค่าก๊าซ ซึ่งพวกเขาอ้างว่ามีหนี้ค้างชำระเพียง 8.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ไม่ใช่ 730 ล้านดอลลาร์ ตามที่ Gazprom ระบุ
    มอลโดวากลายเป็นประเทศแรกที่ต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงาน หลังจากเซเลนสกียุติการจ่ายก๊าซของรัสเซียไปยังยุโรป - การตัดก๊าซของยูเครนไม่เพียงแต่สร้างวิกฤตให้กับมอลโดวาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐทรานส์นีสเตรีย รัฐอิสระซึ่งแยกตัวออกจากมอลโดวาอีกด้วย - ทั้งมอลโดวาและรัฐทรานส์นีสเตรีย ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ระบบทำความร้อนและน้ำร้อนหยุดให้บริการ จะคงมีเฉพาะหน่วยงานที่จำเป็นเท่านั้น - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES (Thermal Power Station) ซึ่งตั้งอยู่ในทรานส์นีสเตรีย เดิมทีรับก๊าซจากยูเครนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ได้หันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทน ทำให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอที่จะจ่ายให้กับมอลโดวาได้อีกต่อไป - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,720 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าโรงไฟฟ้าอื่นๆในมอลโดวาอย่างมาก โรงไฟฟ้าแห่งนี้ส่งไฟฟ้าให้กับมอลโดวามากถึง 80% - มอลโดวาต้องเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากโรมาเนียแทน แน่นอนว่ามันจะมีราคาแพงกว่าในปัจจุบันอย่างมาก ส่งผลให้ราคาผู้บริโภคสูงขึ้น และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการเลือกตั้งรัฐสภาในปี 2025 พรรค Action and Solidarity ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากไว้ได้ - นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า Moldavskaya GRES ที่อยู่ในทรานส์นีสเตรียจะสามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ภายในรัฐของตนเองได้เพียง 50-52 วันเท่านั้น เนื่องจากเชื้อเพลิงถ่านหินมีจำกัด - อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายูเครนจะไม่ได้หยุดจ่ายก๊าซ แต่ Gazprom ของรัสเซียก็จะเป็นฝ่ายหยุดจ่ายก๊าซให้กับมอลโดวาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เช่นกัน เนื่องจากปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าก๊าซค้างจ่าย โดยที่มอลโดวาปฏิเสธที่จะจ่ายค่าก๊าซ ซึ่งพวกเขาอ้างว่ามีหนี้ค้างชำระเพียง 8.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ไม่ใช่ 730 ล้านดอลลาร์ ตามที่ Gazprom ระบุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นี่แหละที่ต้องการ"

    รัฐมนตรีคมนาคมตุรกีกล่าวว่า ตุรกีจะลงนามข้อตกลงกำหนดเขตทางทะเลกับซีเรียในเร็วๆนี้

    “เราจะร่วมกันสำรวจน้ำมันและแหล่งปิโตรเลียมรวมทั้งถ่านหินในซีเรียโดยจะทำตามข้อตกลงของกฎหมายระหว่างประเทศ”
    "นี่แหละที่ต้องการ" รัฐมนตรีคมนาคมตุรกีกล่าวว่า ตุรกีจะลงนามข้อตกลงกำหนดเขตทางทะเลกับซีเรียในเร็วๆนี้ “เราจะร่วมกันสำรวจน้ำมันและแหล่งปิโตรเลียมรวมทั้งถ่านหินในซีเรียโดยจะทำตามข้อตกลงของกฎหมายระหว่างประเทศ”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts