อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษา​ว่าสัญญาในอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่นในตน)​ระงับไป
สัทธรรมลำดับที่ : 657
ชื่อบทธรรม :- สัญญาในอุปาทานระงับไป
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657
เนื้อความทั้งหมด :-
--สัญญาในอุปาทานระงับไป--เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นวิภูตะ
(ขอให้ผู้ศึกษาอดทนอ่านข้อความอันเป็นอุปมาในตอนต้น
ซึ่งค่อนข้างจะยืดยาวให้เห็นชัดเสียก่อน ว่า
ม้ากระจอกกับม้าอาชาไนยต่างกันอย่างไร
จึงจะเข้าใจความต่างระหว่างผู้ที่เพ่งด้วยความยึดถือและเพ่งด้วยความไม่ยึดถือ
จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า
วิภูตะ--ความเห็นแจ้งของผู้ที่เพ่งด้วยความไม่ยึดถือ).

--สันธะ ! เธอจงเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์อาชาไนย ;
อย่าเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์กระจอก.
--สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก ?
+--สันธะ ! ม้ากระจอก ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร
ใจของมันก็จะเพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ?
+--สันธะ ! เพราะเหตุว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะคิดว่า
“วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ;
มันมัวเพ่งอยู่ในใจว่า “ ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้.
+--สันธะ ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุกระจอกบางรูปในกรณีนี้
ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม
มีจิตถูก -​ กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่.
เขาไม่รู้ตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจาก กามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ;
เขากระทำกามราคะนั้น ๆ ให้เนื่องกันไม่ขาดสาย
เพ่งอยู่ เพ่งทั่วอยู่ เพ่งโดยไม่เหลืออยู่ เพ่งลงอยู่.

(ในกรณีแห่ง
-​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์
ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่ง กามราคะนิวรณ์).

ภิกษุนั้นย่อมเพ่ง
อาศัยความสำคัญว่า ดินบ้าง
อาศัยความสำคัญว่า น้ำบ้าง
อาศัยความสำคัญว่า ไฟบ้าง
อาศัยความสำคัญว่า ลมบ้าง
ว่าอากาสานัญจายตนะบ้าง
ว่าวิญญาณัญจายตนะบ้าง
ว่าอากิญจัญญายตนะบ้าง
ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง
ว่าโลกนี้บ้าง ว่าโลกอื่นบ้าง
อาศัยความสำคัญว่า
“สิ่งที่เราเห็นแล้ว”.
“สิ่งที่เราฟังแล้ว”,
“สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”,
“สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”,
“สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”,
“สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”,
“สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว”
แต่ละอย่างๆเป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่.
+--สันธะ ! อย่างนี้แล #เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก.

--สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์อาชาไนย ?
+--สันธะ ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร
ใจของมันจะไม่เพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ?
+--สันธะ ! เพราะเหตุว่า แม้ถูกผูกอยู่ที่รางเลี้ยงอาหาร แต่ใจของมันมัวไปคิดอยู่ว่า
“วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ”
ดังนี้ ;
มันไม่มัวแต่เพ่งอยู่ในใจว่า “ข้าวเปลือก ๆ”
ดังนี้.
+-สันธะ ! ก็ม้าอาชาไนยนั้น รู้สึกอยู่ว่า
การถูกลงปะฏักนั้นเป็นเหมือน การใช้หนี้
การถูกจองจำ ความเสื่อมเสีย เป็นเหมือนเสนียดจัญไร.

(ขอให้สังเกตว่า แม้อยู่ในที่เดียวกัน ต่อหน้าสถานการณ์อย่างเดียวกัน
ม้าสองตัวนี้ก็มีความรู้สึกอยู่ในใจคนละอย่างตามความต่างของมัน
คือตัวหนึ่งเพ่งแต่จะกิน ตัวหนึ่งเพ่งแต่ในหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้บกพร่องจนถูกลงโทษ ;
ดังนี้เรียกว่า มีความเพ่งต่างกันเป็นคนละอย่าง).

+--สันธะ ! ภิกษุอาชาไนยผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
: ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม,
มีจิตถูก --กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุม ห่อหุ้ม อยู่,
เขาเห็นตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว.

(ในกรณีแห่ง
-​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์
ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์).

ภิกษุนั้น ย่อมเพ่ง
ไม่อาศัยความสำคัญว่าดิน
ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำ
ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟ
ไม่อาศัยความสำคัญว่าลม
ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากาสานัญจายตนะ
ไม่อาศัยความสำคัญว่าวิญญาณัญจายตนะ
ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากิญจัญญายตนะ
ไม่อาศัยความสำคัญว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกนี้ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกอื่น
ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่า
“สิ่งที่เราเห็นแล้ว”,
“สิ่งที่เราฟังแล้ว”,
“สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”,
“สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”,
“สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”,
“สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”,
“สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว”
แต่ละอย่างๆ เป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่ ๆ.
+--สันธะ ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี
ย่อมนมัสการบุรุษอาชาไนยผู้เจริญผู้เพ่งอยู่อย่างนี้ มาแต่ที่ไกลทีเดียว
กล่าวว่า :-
“ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษสูงสุด !
ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน
เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่านอาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน"

(เมื่อตรัสดังนี้แล้ว สันธะภิกษุได้ทูลถามว่า : -)

--“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอย่างไรกัน
ชนิดที่ไม่อาศัยดินหรือน้ำ เป็นต้น แล้วเพ่ง
... ฯลฯ...
จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น พระเจ้าข้า ?”

(ต่อไปนี้ เป็นคำตรัสที่แสดงให้เห็นว่า
สัญญาต่างๆ จะถูกเพิกถอนไป
เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ผู้เพ่ง
ว่าสิ่งนั้นๆ มิได้เป็นตามที่คนธรรมดาสามัญที่สำคัญว่าเป็นอย่างไร ;
ขอให้ผู้ศึกษาตั้งใจทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ดังต่อไปนี้ : -)

--สัทธะ ! ในกรณีนี้
ปฐวีสัญญา (ความสำคัญในดินว่าดิน)
ย่อมเป็นแจ้ง (วิภูติเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง)
แก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ

(ว่าดินที่สำคัญกันว่าเป็นดินนั้น หาใช่ดินไม่
หากแต่เป็นเพียงสังขตธรรมตามธรรมชาติ
เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
---ตามนัยแห่งอรรถกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒)

ความสำคัญในน้ำว่าน้ำ,
ความสำคัญในไฟว่าไฟ,
ความสำคัญในลมว่าลม,
ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าอากาสานัญจายตนะ,
ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าวิญญาณัญจายตนะ,
ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะ ว่าอากิญจัญญายตนะ,
ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ,
ความสำคัญในโลกนี้ว่าโลกนี้,
ความสำคัญในโลกอื่นว่าโลกอื่น,
ความสำคัญในสิ่งที่เห็นแล้ว ฟังแล้ว
... ฯลฯ...
ว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว” “สิ่งที่เราฟังแล้ว”
... ฯลฯ...
ก็ล้วนแต่เป็นแจ้งแก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ

(ว่าสิ่งเหล่านั้น หาได้เป็นที่สำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นอะไร ๆ กันนั้นไม่
หากแต่เป็นสังขตธรรมตามธรรมชาติ
เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
--- ตามนัยแห่งอรรถกถา : นโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒).

--สันธะ ! #บุรุษอาชาไนยผู้เจริญเพ่งอยู่อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า
ไม่อาศัยความสำคัญว่าดินแล้วเพ่ง
ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำแล้วเพ่ง
ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟแล้วเพ่ง เป็นต้น
จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น.-

#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/298/216.
http://etipitaka.com/read/thai/24/298/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๘/๒๑๖.
http://etipitaka.com/read/pali/24/348/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=657
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45
ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษา​ว่าสัญญาในอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่นในตน)​ระงับไป สัทธรรมลำดับที่ : 657 ชื่อบทธรรม :- สัญญาในอุปาทานระงับไป https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657 เนื้อความทั้งหมด :- --สัญญาในอุปาทานระงับไป--เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นวิภูตะ (ขอให้ผู้ศึกษาอดทนอ่านข้อความอันเป็นอุปมาในตอนต้น ซึ่งค่อนข้างจะยืดยาวให้เห็นชัดเสียก่อน ว่า ม้ากระจอกกับม้าอาชาไนยต่างกันอย่างไร จึงจะเข้าใจความต่างระหว่างผู้ที่เพ่งด้วยความยึดถือและเพ่งด้วยความไม่ยึดถือ จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า วิภูตะ--ความเห็นแจ้งของผู้ที่เพ่งด้วยความไม่ยึดถือ). --สันธะ ! เธอจงเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์อาชาไนย ; อย่าเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์กระจอก. --สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก ? +--สันธะ ! ม้ากระจอก ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันก็จะเพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? +--สันธะ ! เพราะเหตุว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะคิดว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ; มันมัวเพ่งอยู่ในใจว่า “ ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. +--สันธะ ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุกระจอกบางรูปในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม มีจิตถูก -​ กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่. เขาไม่รู้ตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจาก กามราคะ ที่เกิดขึ้นแล้ว ; เขากระทำกามราคะนั้น ๆ ให้เนื่องกันไม่ขาดสาย เพ่งอยู่ เพ่งทั่วอยู่ เพ่งโดยไม่เหลืออยู่ เพ่งลงอยู่. (ในกรณีแห่ง -​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์ ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่ง กามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้นย่อมเพ่ง อาศัยความสำคัญว่า ดินบ้าง อาศัยความสำคัญว่า น้ำบ้าง อาศัยความสำคัญว่า ไฟบ้าง อาศัยความสำคัญว่า ลมบ้าง ว่าอากาสานัญจายตนะบ้าง ว่าวิญญาณัญจายตนะบ้าง ว่าอากิญจัญญายตนะบ้าง ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง ว่าโลกนี้บ้าง ว่าโลกอื่นบ้าง อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”. “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆเป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่. +--สันธะ ! อย่างนี้แล #เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก. --สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์อาชาไนย ? +--สันธะ ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันจะไม่เพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? +--สันธะ ! เพราะเหตุว่า แม้ถูกผูกอยู่ที่รางเลี้ยงอาหาร แต่ใจของมันมัวไปคิดอยู่ว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ดังนี้ ; มันไม่มัวแต่เพ่งอยู่ในใจว่า “ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. +-สันธะ ! ก็ม้าอาชาไนยนั้น รู้สึกอยู่ว่า การถูกลงปะฏักนั้นเป็นเหมือน การใช้หนี้ การถูกจองจำ ความเสื่อมเสีย เป็นเหมือนเสนียดจัญไร. (ขอให้สังเกตว่า แม้อยู่ในที่เดียวกัน ต่อหน้าสถานการณ์อย่างเดียวกัน ม้าสองตัวนี้ก็มีความรู้สึกอยู่ในใจคนละอย่างตามความต่างของมัน คือตัวหนึ่งเพ่งแต่จะกิน ตัวหนึ่งเพ่งแต่ในหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้บกพร่องจนถูกลงโทษ ; ดังนี้เรียกว่า มีความเพ่งต่างกันเป็นคนละอย่าง). +--สันธะ ! ภิกษุอาชาไนยผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม, มีจิตถูก --กามราคะนิวรณ์ กลุ้มรุม ห่อหุ้ม อยู่, เขาเห็นตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว. (ในกรณีแห่ง -​ พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา --นิวรณ์ ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้น ย่อมเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าดิน ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำ ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟ ไม่อาศัยความสำคัญว่าลม ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากาสานัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าวิญญาณัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากิญจัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกนี้ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกอื่น ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”, “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆ เป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่ ๆ. +--สันธะ ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี ย่อมนมัสการบุรุษอาชาไนยผู้เจริญผู้เพ่งอยู่อย่างนี้ มาแต่ที่ไกลทีเดียว กล่าวว่า :- “ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษสูงสุด ! ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่านอาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน" (เมื่อตรัสดังนี้แล้ว สันธะภิกษุได้ทูลถามว่า : -) --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอย่างไรกัน ชนิดที่ไม่อาศัยดินหรือน้ำ เป็นต้น แล้วเพ่ง ... ฯลฯ... จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น พระเจ้าข้า ?” (ต่อไปนี้ เป็นคำตรัสที่แสดงให้เห็นว่า สัญญาต่างๆ จะถูกเพิกถอนไป เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ผู้เพ่ง ว่าสิ่งนั้นๆ มิได้เป็นตามที่คนธรรมดาสามัญที่สำคัญว่าเป็นอย่างไร ; ขอให้ผู้ศึกษาตั้งใจทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ดังต่อไปนี้ : -) --สัทธะ ! ในกรณีนี้ ปฐวีสัญญา (ความสำคัญในดินว่าดิน) ย่อมเป็นแจ้ง (วิภูติเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง) แก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าดินที่สำคัญกันว่าเป็นดินนั้น หาใช่ดินไม่ หากแต่เป็นเพียงสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ---ตามนัยแห่งอรรถกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒) ความสำคัญในน้ำว่าน้ำ, ความสำคัญในไฟว่าไฟ, ความสำคัญในลมว่าลม, ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าอากาสานัญจายตนะ, ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะ ว่าวิญญาณัญจายตนะ, ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะ ว่าอากิญจัญญายตนะ, ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ, ความสำคัญในโลกนี้ว่าโลกนี้, ความสำคัญในโลกอื่นว่าโลกอื่น, ความสำคัญในสิ่งที่เห็นแล้ว ฟังแล้ว ... ฯลฯ... ว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว” “สิ่งที่เราฟังแล้ว” ... ฯลฯ... ก็ล้วนแต่เป็นแจ้งแก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าสิ่งเหล่านั้น หาได้เป็นที่สำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นอะไร ๆ กันนั้นไม่ หากแต่เป็นสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา --- ตามนัยแห่งอรรถกถา : นโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒). --สันธะ ! #บุรุษอาชาไนยผู้เจริญเพ่งอยู่อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า ไม่อาศัยความสำคัญว่าดินแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟแล้วเพ่ง เป็นต้น จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. 24/298/216. http://etipitaka.com/read/thai/24/298/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - เอกาทสก. อํ. ๒๔/๓๔๘/๒๑๖. http://etipitaka.com/read/pali/24/348/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%91%E0%B9%96 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=657 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45&id=657 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=45 ลำดับสาธยายธรรม : 45 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_45.mp3
WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
- สัญญาในอุปาทานระงับไป
-สัญญาในอุปาทานระงับไป เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นวิภูตะ (ขอให้ผู้ศึกษาอดทนอ่านข้อความอันเป็นอุปมาในตอนต้น ซึ่งค่อนข้างจะยืดยาวให้เห็นชัดเสียก่อน ว่า ม้ากระจอกกับม้าอาชาไนยต่างกันอย่างไร จึงจะเข้าใจความต่างระหว่างผู้ที่เพ่งด้วยความยึดถือและเพ่งด้วยความไม่ยึดถือ จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า วิภูตะ-ความเห็นแจ้งของผู้ที่เพ่งด้วยความไม่ยึดถือ). สันธะ ! เธอจงเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์อาชาไนย ; อย่าเพ่งอย่างการเพ่งของสัตว์กระจอก. สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก ? สันธะ ! ม้ากระจอก ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันก็จะเพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? สันธะ ! เพราะเหตุว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะคิดว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ; มันมัวเพ่งอยู่ในใจว่า “ ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. สันธะ ! ฉันใดก็ฉันนั้น ที่ภิกษุกระจอกบางรูปในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างก็ตาม มีจิตถูกกามราคนิวรณ์กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่. เขาไม่รู้ตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจากกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ; เขากระทำกามราคะนั้น ๆ ให้เนื่องกันไม่ขาดสาย เพ่งอยู่ เพ่งทั่วอยู่ เพ่งโดยไม่เหลืออยู่ เพ่งลงอยู่. (ในกรณีแห่ง พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉานิวรณ์ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้นย่อมเพ่งอาศัยความสำคัญว่าดินบ้าง ย่อมเพ่งอาศัยความสำคัญว่าน้ำบ้าง อาศัยความสำคัญว่าไฟบ้าง อาศัยความสำคัญว่าลมบ้าง ว่าอากาสานัญจายตนะบ้าง ว่าวิญญาณัญจายตนะบ้าง ว่าอากิญจัญญายตนะบ้าง ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง ว่าโลกนี้บ้าง ว่าโลกอื่นบ้าง อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”. “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆเป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่. สันธะ ! อย่างนี้แล เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์กระจอก. สันธะ ! อย่างไรเล่า เป็นการเพ่งอย่างของสัตว์อาชาไนย ? สันธะ ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญ ถูกผูกไว้ที่รางเลี้ยงอาหาร ใจของมันจะไม่เพ่งอยู่แต่ว่า “ข้าวเปลือก ๆ” เพราะเหตุไรเล่า ? สันธะ ! เพราะเหตุว่า แม้ถูกผูกอยู่ที่รางเลี้ยงอาหาร แต่ใจของมันมัวไปคิดอยู่ว่า “วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำอะไรหนอ เราจะตอบสนองเขาอย่างไรหนอ” ดังนี้ ; มันไม่มัวแต่เพ่งอยู่ในใจว่า “ข้าวเปลือก ๆ” ดังนี้. สันธะ ! ก็ม้าอาชาไนยนั้น รู้สึกอยู่ว่า การถูกลงปะฏักนั้นเป็นเหมือนการใช้หนี้ การถูกจองจำ ความเสื่อมเสีย เป็นเหมือนเสนียดจัญไร. (ขอให้สังเกตว่า แม้อยู่ในที่เดียวกัน ต่อหน้าสถานการณ์อย่างเดียวกัน ม้าสองตัวนี้ก็มีความรู้สึกอยู่ในใจคนละอย่างตามความต่างของมัน คือตัวหนึ่งเพ่งแต่จะกิน ตัวหนึ่งเพ่งแต่ในหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้บกพร่องจนถูกลงโทษ ; ดังนี้เรียกว่า มีความเพ่งต่างกันเป็นคนละอย่าง). สันธะ ! ภิกษุอาชาไนยผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ไปแล้วสู่ป่าก็ตาม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม, มีจิตไม่ถูกกามราคนิวรณ์กลุ้มรุม ห่อหุ้ม อยู่, เขาเห็นตามเป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว. (ในกรณีแห่ง พยาบาท - ถีนมิทธะ - อุทธัจจกุกกุจจะ - และวิจิกิจฉา - นิวรณ์ ก็ได้เป็นไปในลักษณะอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งกามราคะนิวรณ์). ภิกษุนั้น ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่าดิน ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำ ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟ ไม่อาศัยความสำคัญว่าลม ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากาสานัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าวิญญาณัญจายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าอากิญจัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกนี้ ไม่อาศัยความสำคัญว่าโลกอื่น ย่อมเพ่งไม่อาศัยความสำคัญว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว”. “สิ่งที่เราฟังแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้สึกแล้ว”, “สิ่งที่เรารู้แจ้งแล้ว”, “สิ่งที่เราบรรลุแล้ว”, “สิ่งที่เราแสวงหาแล้ว”, “สิ่งที่ใจของเราติดตามแล้ว” แต่ละอย่างๆ เป็นต้น ดังนี้บ้าง, เพ่งอยู่ ๆ. สันธะ ! เทวดาทั้งหลาย พร้อมทั้งอินทร์ พรหม และปชาบดี ย่อมนมัสการบุรุษอาชาไนยผู้เจริญผู้เพ่งอยู่อย่างนี้ มาแต่ที่ไกลทีเดียว กล่าวว่า : “ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ! ข้าแต่ท่านบุรุษสูงสุด ! ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน เพราะข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบสิ่งซึ่งท่านอาศัยแล้วเพ่ง ของท่าน” (เมื่อตรัสดังนี้แล้ว สันธภิกษุได้ทูลถามว่า :-) “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอย่างไรกัน ชนิดที่ไม่อาศัยดินหรือน้ำเป็นต้นแล้วเพ่ง จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น พระเจ้าข้า ?” (ต่อไปนี้ เป็นคำตรัสที่แสดงให้เห็นว่า สัญญาต่างๆ จะถูกเพิกถอนไป เมื่ออารมณ์แห่งสัญญานั้นเป็นที่แจ่มแจ้งแก่ผู้เพ่ง ว่าสิ่งนั้นๆ มิได้เป็นตามที่คนธรรมดาสามัญที่สำคัญว่าเป็นอย่างไร ; ขอให้ผู้ศึกษาตั้งใจทำความเข้าใจให้ดีที่สุด ดังต่อไปนี้ :-) สัทธะ ! ในกรณีนี้ ปฐวีสัญญา (ความสำคัญในดินว่าดิน) ย่อมเป็นแจ้ง (วิภูติเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง) แก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าดินที่สำคัญกันว่าเป็นดินนั้น หาใช่ดินไม่ หากแต่เป็นเพียงสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา - ตามนัยแห่งอรรถกถา : มโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒) ความสำคัญในน้ำว่าน้ำ, ความสำคัญในไฟว่าไฟ, ความสำคัญในลมว่าลม, ความสำคัญในอากาสานัญจายตนะ ว่าอากาสานัญจายตนะ, ความสำคัญในวิญญาณัญจายตนะว่าวิญญาณัญจายตนะ, ความสำคัญในอากิญจัญญายตนะว่าอากิญจัญญายตนะ, ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนะว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ, ความสำคัญในโลกนี้ว่าโลกนี้, ความสำคัญในโลกอื่นว่าโลกอื่น, ความสำคัญในสิ่งที่เห็นแล้ว ฟังแล้ว ฯลฯ ว่า “สิ่งที่เราเห็นแล้ว” “สิ่งที่เราฟังแล้ว” ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นแจ้งแก่บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ (ว่าสิ่งเหล่านั้น หาได้เป็นที่สำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นอะไร ๆ กันนั้นไม่ หากแต่เป็นสังขตธรรมตามธรรมชาติ เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา - ตามนัยแห่งอรรถกถา : นโนรถปูรณี ภ. ๓ น. ๔๓๒). สันธะ ! บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ เพ่งอยู่อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า ไม่อาศัยความสำคัญว่าดินแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าน้ำแล้วเพ่ง ไม่อาศัยความสำคัญว่าไฟแล้วเพ่ง เป็นต้น จนกระทั่งพวกเทวดาพากันสรรเสริญว่าดังนั้น.
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว