• ทุกชีวิต...ก่อนแต่จะได้มาเป็นสัตว์อยู่ในปัจจุบันชาติ
    Cr.wiwan Boonya
    ทุกชีวิต...ก่อนแต่จะได้มาเป็นสัตว์อยู่ในปัจจุบันชาติ Cr.wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 127
    ภาพทองในการเริ่มต้นของสัปดาห์นี้
    BY.
    EP 127 ภาพทองในการเริ่มต้นของสัปดาห์นี้ BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • EP 128
    รายงานก่อน SET + DELTA เปิดตลาดในสัปดาห์นี้
    BY.
    EP 128 รายงานก่อน SET + DELTA เปิดตลาดในสัปดาห์นี้ BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเรีย คอรินา มาชาโด เจ้าของรางวัลโนเบลและผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ส่งเสียงสนับสนุนยุทธการของวอชิงตัน ในความพยายามกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในนั้นรวมถึงปฏิบัติการยึดเรือบรรทุกน้ำมันเมื่อเร็วๆนี้ จากบทสัมภาษณ์ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์(14ธ.ค.)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120362

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    มาเรีย คอรินา มาชาโด เจ้าของรางวัลโนเบลและผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ส่งเสียงสนับสนุนยุทธการของวอชิงตัน ในความพยายามกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในนั้นรวมถึงปฏิบัติการยึดเรือบรรทุกน้ำมันเมื่อเร็วๆนี้ จากบทสัมภาษณ์ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์(14ธ.ค.) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120362 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อการทหารต่างชาติวิเคราะห์ไทยยึดอาวุธทันสมัยจีนเพิ่งเปิดตัวได้จากฐานที่มั่นกัมพูชาใกล้เนิน 677 หลังพบมิสไซล์นำวิถีต่อต้านรถถังได้จำนวนมาก GAM-102LR เพิ่งเปิดตัวที่งานเอ็กซโปกรุงไคโรเมื่อต้นเดือนนี้ ความสามารถหลากหลายมาพร้อมระบบเน็ตเวิร์กพิสัยไกลสนนราคาต่อลูก 3.5 ล้านบาท
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120359

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สื่อการทหารต่างชาติวิเคราะห์ไทยยึดอาวุธทันสมัยจีนเพิ่งเปิดตัวได้จากฐานที่มั่นกัมพูชาใกล้เนิน 677 หลังพบมิสไซล์นำวิถีต่อต้านรถถังได้จำนวนมาก GAM-102LR เพิ่งเปิดตัวที่งานเอ็กซโปกรุงไคโรเมื่อต้นเดือนนี้ ความสามารถหลากหลายมาพร้อมระบบเน็ตเวิร์กพิสัยไกลสนนราคาต่อลูก 3.5 ล้านบาท . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120359 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯส่งฝูงบินเอฟ-16 ของกองทัพอากาศ บินว่อนเหนือน่านฟ้าตอนกลางของซีเรีย ในความเคลื่อนไหวสำแดงกำลัง ตามหลังมือปืนรายหนึ่งที่เชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ก่อเหตุซุ่มสังหารทหารสหรัฐฯ 2 นายและพลเมืองอเมริการายหนึ่ง เมื่อวันเสาร์(13ธ.ค.) ที่ผ่านมา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120369

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สหรัฐฯส่งฝูงบินเอฟ-16 ของกองทัพอากาศ บินว่อนเหนือน่านฟ้าตอนกลางของซีเรีย ในความเคลื่อนไหวสำแดงกำลัง ตามหลังมือปืนรายหนึ่งที่เชื่อมโยงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ก่อเหตุซุ่มสังหารทหารสหรัฐฯ 2 นายและพลเมืองอเมริการายหนึ่ง เมื่อวันเสาร์(13ธ.ค.) ที่ผ่านมา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120369 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ใหม่ใน ImageMagick: PSX TIM Integer Overflow

    ImageMagick ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมสำหรับการจัดการภาพ ถูกค้นพบว่ามีช่องโหว่ร้ายแรงในตัวแปลไฟล์ PSX TIM ที่ใช้ในยุคเครื่อง PlayStation รุ่นแรก ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-66628 โดยมีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 7.5) เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการอ่านข้อมูลหน่วยความจำที่ไม่ควรเข้าถึงได้บนระบบ 32-bit

    กลไกการโจมตีและผลกระทบ
    สาเหตุเกิดจากการคำนวณขนาดภาพที่ผิดพลาดในฟังก์ชัน ReadTIMImage ซึ่งใช้สูตร image_size = 2 * width * height โดยไม่ตรวจสอบการ overflow หากผู้โจมตีสร้างไฟล์ TIM ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ เช่น 65535 x 65535 โปรแกรมจะจัดสรรหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้เกิดการอ่านข้อมูลเกินขอบเขต (Out-of-Bounds Read) ซึ่งอาจเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส หรือ session data

    การแก้ไขและข้อแนะนำ
    ทีมพัฒนาได้แก้ไขปัญหาใน ImageMagick เวอร์ชัน 7.1.2-10 โดยเพิ่มการตรวจสอบ overflow เพื่อป้องกันการ wraparound ของค่าคำนวณ ผู้ดูแลระบบที่ยังใช้เวอร์ชันก่อนหน้า (≤ 7.1.2-9) โดยเฉพาะบนเซิร์ฟเวอร์ 32-bit และอุปกรณ์ IoT ควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

    มุมมองเพิ่มเติมจากโลกไซเบอร์
    แม้ไฟล์ PSX TIM จะเป็นฟอร์แมตเก่าจากยุคเกมคอนโซล แต่การที่มันยังถูกสนับสนุนในซอฟต์แวร์สมัยใหม่สะท้อนถึงความเสี่ยงจาก legacy formats ที่อาจถูกนำมาใช้โจมตีในปัจจุบัน นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า การสนับสนุนฟอร์แมตที่ไม่จำเป็นควรถูกจำกัด และควรมีการตรวจสอบโค้ดอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาศัยไฟล์เก่าเหล่านี้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-66628 ใน ImageMagick
    เกิดจากการประมวลผลไฟล์ PSX TIM ที่มีค่า width/height เกินขอบเขต
    ทำให้เกิดการจัดสรรหน่วยความจำผิดพลาดและอ่านข้อมูลเกินขอบเขต

    ผลกระทบ
    ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและคีย์เข้ารหัส
    กระทบระบบ 32-bit และอุปกรณ์ IoT ที่ยังใช้งานเวอร์ชันเก่า

    การแก้ไข
    ปัญหาถูกแก้ในเวอร์ชัน 7.1.2-10 โดยเพิ่มการตรวจสอบ overflow
    ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัย

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังใช้เวอร์ชัน ≤ 7.1.2-9 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี
    การสนับสนุนไฟล์ legacy format อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีในอนาคต

    https://securityonline.info/imagemagick-flaw-risks-arbitrary-memory-disclosure-via-psx-tim-file-integer-overflow-on-32-bit-systems/
    🖼️ ช่องโหว่ใหม่ใน ImageMagick: PSX TIM Integer Overflow ImageMagick ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมสำหรับการจัดการภาพ ถูกค้นพบว่ามีช่องโหว่ร้ายแรงในตัวแปลไฟล์ PSX TIM ที่ใช้ในยุคเครื่อง PlayStation รุ่นแรก ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-66628 โดยมีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 7.5) เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการอ่านข้อมูลหน่วยความจำที่ไม่ควรเข้าถึงได้บนระบบ 32-bit ⚙️ กลไกการโจมตีและผลกระทบ สาเหตุเกิดจากการคำนวณขนาดภาพที่ผิดพลาดในฟังก์ชัน ReadTIMImage ซึ่งใช้สูตร image_size = 2 * width * height โดยไม่ตรวจสอบการ overflow หากผู้โจมตีสร้างไฟล์ TIM ที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ เช่น 65535 x 65535 โปรแกรมจะจัดสรรหน่วยความจำผิดพลาด ทำให้เกิดการอ่านข้อมูลเกินขอบเขต (Out-of-Bounds Read) ซึ่งอาจเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส หรือ session data 🔒 การแก้ไขและข้อแนะนำ ทีมพัฒนาได้แก้ไขปัญหาใน ImageMagick เวอร์ชัน 7.1.2-10 โดยเพิ่มการตรวจสอบ overflow เพื่อป้องกันการ wraparound ของค่าคำนวณ ผู้ดูแลระบบที่ยังใช้เวอร์ชันก่อนหน้า (≤ 7.1.2-9) โดยเฉพาะบนเซิร์ฟเวอร์ 32-bit และอุปกรณ์ IoT ควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากโลกไซเบอร์ แม้ไฟล์ PSX TIM จะเป็นฟอร์แมตเก่าจากยุคเกมคอนโซล แต่การที่มันยังถูกสนับสนุนในซอฟต์แวร์สมัยใหม่สะท้อนถึงความเสี่ยงจาก legacy formats ที่อาจถูกนำมาใช้โจมตีในปัจจุบัน นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่า การสนับสนุนฟอร์แมตที่ไม่จำเป็นควรถูกจำกัด และควรมีการตรวจสอบโค้ดอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาศัยไฟล์เก่าเหล่านี้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-66628 ใน ImageMagick ➡️ เกิดจากการประมวลผลไฟล์ PSX TIM ที่มีค่า width/height เกินขอบเขต ➡️ ทำให้เกิดการจัดสรรหน่วยความจำผิดพลาดและอ่านข้อมูลเกินขอบเขต ✅ ผลกระทบ ➡️ ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและคีย์เข้ารหัส ➡️ กระทบระบบ 32-bit และอุปกรณ์ IoT ที่ยังใช้งานเวอร์ชันเก่า ✅ การแก้ไข ➡️ ปัญหาถูกแก้ในเวอร์ชัน 7.1.2-10 โดยเพิ่มการตรวจสอบ overflow ➡️ ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัย ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังใช้เวอร์ชัน ≤ 7.1.2-9 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี ⛔ การสนับสนุนไฟล์ legacy format อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีในอนาคต https://securityonline.info/imagemagick-flaw-risks-arbitrary-memory-disclosure-via-psx-tim-file-integer-overflow-on-32-bit-systems/
    SECURITYONLINE.INFO
    ImageMagick Flaw Risks Arbitrary Memory Disclosure via PSX TIM File Integer Overflow on 32-bit Systems
    A High-severity (CVSS 7.5) flaw in ImageMagick's PSX TIM parser allows Arbitrary Memory Disclosure on 32-bit systems via an integer overflow. Patch immediately to v7.1.2-10.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ Hard-Coded Key ใน Apache StreamPark

    นักพัฒนาของ Apache StreamPark ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-54947 ซึ่งเกิดจากการใช้คีย์เข้ารหัสที่ถูกฝังอยู่ในซอฟต์แวร์ (hard-coded key) แทนที่จะสร้างคีย์ใหม่สำหรับแต่ละการติดตั้ง การใช้คีย์แบบตายตัวนี้เปรียบเสมือน “กุญแจหลัก” ที่ทุกคนสามารถค้นพบได้ หากผู้โจมตีทำการ reverse engineering ก็สามารถนำคีย์นี้ไปใช้ถอดรหัสข้อมูลหรือปลอมแปลงโทเค็นได้ทันที

    การใช้ AES-ECB Mode ที่ไม่ปลอดภัย
    อีกหนึ่งช่องโหว่คือ CVE-2025-54981 ซึ่งเกิดจากการใช้โหมด AES-ECB ในการเข้ารหัสข้อมูล โหมดนี้มีข้อเสียตรงที่ยังคงรักษาลักษณะของข้อมูลต้นฉบับไว้ ทำให้ผู้โจมตีสามารถวิเคราะห์รูปแบบและเจาะระบบได้ง่ายขึ้น เมื่อรวมกับการใช้ random number generator ที่ไม่แข็งแรง ช่องโหว่นี้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการปลอมแปลง JWT tokens และข้อมูลการยืนยันตัวตนอื่น ๆ

    ผลกระทบต่อระบบ Cloud และ IoT
    Apache StreamPark เป็นเฟรมเวิร์กที่นิยมใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบสตรีมมิ่งและระบบ cloud-native ดังนั้นช่องโหว่นี้อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อองค์กรที่ใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว โดยเฉพาะระบบที่ต้องพึ่งพาการเข้ารหัสเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล หากไม่ได้อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและข้อมูลรั่วไหลในระดับใหญ่

    แนวทางแก้ไขและคำแนะนำ
    ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดต Apache StreamPark เป็นเวอร์ชัน 2.1.7 ซึ่งได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งตรวจสอบระบบที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสว่ามีการใช้โหมดที่ปลอดภัย เช่น AES-GCM หรือ AES-CBC แทน ECB และควรมีการจัดการคีย์เข้ารหัสอย่างถูกต้อง ไม่ใช้คีย์ที่ฝังอยู่ในซอฟต์แวร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-54947
    เกิดจากการใช้ hard-coded key ในการเข้ารหัส
    ผู้โจมตีสามารถ reverse engineering เพื่อหาคีย์และปลอมแปลงข้อมูลได้

    ช่องโหว่ CVE-2025-54981
    ใช้ AES-ECB mode ที่ไม่ปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการปลอมแปลง JWT tokens และข้อมูลยืนยันตัวตน

    ผลกระทบต่อระบบ
    กระทบระบบ cloud-native และแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งที่ใช้ StreamPark
    อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลและระบบถูกยึดครอง

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น Apache StreamPark เวอร์ชัน 2.1.7
    ใช้โหมดเข้ารหัสที่ปลอดภัยและจัดการคีย์อย่างถูกต้อง

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังใช้เวอร์ชัน 2.0.0–2.1.6 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี
    การใช้ AES-ECB และ hard-coded key ถือเป็นการละเมิดหลักการเข้ารหัสที่ปลอดภัย

    https://securityonline.info/apache-streampark-flaw-risks-data-decryption-token-forgery-via-hard-coded-key-and-aes-ecb-mode/
    🔑 ช่องโหว่ Hard-Coded Key ใน Apache StreamPark นักพัฒนาของ Apache StreamPark ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-54947 ซึ่งเกิดจากการใช้คีย์เข้ารหัสที่ถูกฝังอยู่ในซอฟต์แวร์ (hard-coded key) แทนที่จะสร้างคีย์ใหม่สำหรับแต่ละการติดตั้ง การใช้คีย์แบบตายตัวนี้เปรียบเสมือน “กุญแจหลัก” ที่ทุกคนสามารถค้นพบได้ หากผู้โจมตีทำการ reverse engineering ก็สามารถนำคีย์นี้ไปใช้ถอดรหัสข้อมูลหรือปลอมแปลงโทเค็นได้ทันที 🧩 การใช้ AES-ECB Mode ที่ไม่ปลอดภัย อีกหนึ่งช่องโหว่คือ CVE-2025-54981 ซึ่งเกิดจากการใช้โหมด AES-ECB ในการเข้ารหัสข้อมูล โหมดนี้มีข้อเสียตรงที่ยังคงรักษาลักษณะของข้อมูลต้นฉบับไว้ ทำให้ผู้โจมตีสามารถวิเคราะห์รูปแบบและเจาะระบบได้ง่ายขึ้น เมื่อรวมกับการใช้ random number generator ที่ไม่แข็งแรง ช่องโหว่นี้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการปลอมแปลง JWT tokens และข้อมูลการยืนยันตัวตนอื่น ๆ ☁️ ผลกระทบต่อระบบ Cloud และ IoT Apache StreamPark เป็นเฟรมเวิร์กที่นิยมใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบสตรีมมิ่งและระบบ cloud-native ดังนั้นช่องโหว่นี้อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อองค์กรที่ใช้แพลตฟอร์มดังกล่าว โดยเฉพาะระบบที่ต้องพึ่งพาการเข้ารหัสเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล หากไม่ได้อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีและข้อมูลรั่วไหลในระดับใหญ่ 🔒 แนวทางแก้ไขและคำแนะนำ ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดต Apache StreamPark เป็นเวอร์ชัน 2.1.7 ซึ่งได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งตรวจสอบระบบที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสว่ามีการใช้โหมดที่ปลอดภัย เช่น AES-GCM หรือ AES-CBC แทน ECB และควรมีการจัดการคีย์เข้ารหัสอย่างถูกต้อง ไม่ใช้คีย์ที่ฝังอยู่ในซอฟต์แวร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-54947 ➡️ เกิดจากการใช้ hard-coded key ในการเข้ารหัส ➡️ ผู้โจมตีสามารถ reverse engineering เพื่อหาคีย์และปลอมแปลงข้อมูลได้ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-54981 ➡️ ใช้ AES-ECB mode ที่ไม่ปลอดภัย ➡️ เสี่ยงต่อการปลอมแปลง JWT tokens และข้อมูลยืนยันตัวตน ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ กระทบระบบ cloud-native และแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งที่ใช้ StreamPark ➡️ อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลและระบบถูกยึดครอง ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น Apache StreamPark เวอร์ชัน 2.1.7 ➡️ ใช้โหมดเข้ารหัสที่ปลอดภัยและจัดการคีย์อย่างถูกต้อง ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังใช้เวอร์ชัน 2.0.0–2.1.6 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี ⛔ การใช้ AES-ECB และ hard-coded key ถือเป็นการละเมิดหลักการเข้ารหัสที่ปลอดภัย https://securityonline.info/apache-streampark-flaw-risks-data-decryption-token-forgery-via-hard-coded-key-and-aes-ecb-mode/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apache StreamPark Flaw Risks Data Decryption & Token Forgery via Hard-Coded Key and AES ECB Mode
    A critical flaw in Apache StreamPark uses a hard-coded encryption key and the insecure AES ECB mode, risking data decryption and JWT authentication token forgery. Update to v2.1.7 immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ใหม่ใน Plesk: เสี่ยงยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ CVE-2025-66430 ใน Plesk ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการเว็บโฮสติ้งยอดนิยม ช่องโหว่นี้มีความรุนแรงสูง เนื่องจากสามารถนำไปสู่การยึดครองเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ โดยอาศัยการโจมตีแบบ Local Privilege Escalation (LPE) และการแก้ไขค่าใน Apache Config ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์ระดับ root

    กลไกการโจมตี
    ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบในระดับต่ำสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเพิ่มสิทธิ์เป็น root จากนั้นสามารถแก้ไขการตั้งค่า Apache Config เพื่อฝังโค้ดอันตรายหรือเปลี่ยนเส้นทางการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ได้ การโจมตีลักษณะนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ การแก้ไขเว็บไซต์ และการติดตั้งมัลแวร์

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    เนื่องจาก Plesk ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งและองค์กรต่าง ๆ ช่องโหว่นี้จึงมีผลกระทบในวงกว้าง หากถูกโจมตี อาจทำให้ข้อมูลลูกค้ารั่วไหล เว็บไซต์ถูกเปลี่ยนแปลง หรือระบบถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อทั้งธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไป

    แนวทางแก้ไข
    ทีมพัฒนา Plesk ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที พร้อมทั้งตรวจสอบการตั้งค่า Apache และสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ในระบบ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ควรมีการตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-66430 ใน Plesk
    เกิดจากการโจมตีแบบ Local Privilege Escalation (LPE)
    สามารถฉีดค่าเข้าไปใน Apache Config เพื่อควบคุมเซิร์ฟเวอร์

    ผลกระทบ
    ผู้โจมตีสามารถยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ
    เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลและการติดตั้งมัลแวร์

    การแก้ไข
    อัปเดต Plesk เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีแพตช์แก้ไข
    ตรวจสอบ Apache Config และสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังใช้เวอร์ชันที่มีช่องโหว่ มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกยึดครองเซิร์ฟเวอร์
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ระบบถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อเป้าหมายอื่น

    https://securityonline.info/critical-plesk-flaw-cve-2025-66430-risks-full-server-takeover-via-lpe-and-apache-config-injection/
    ⚠️ ช่องโหว่ใหม่ใน Plesk: เสี่ยงยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ค้นพบช่องโหว่ CVE-2025-66430 ใน Plesk ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการเว็บโฮสติ้งยอดนิยม ช่องโหว่นี้มีความรุนแรงสูง เนื่องจากสามารถนำไปสู่การยึดครองเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ โดยอาศัยการโจมตีแบบ Local Privilege Escalation (LPE) และการแก้ไขค่าใน Apache Config ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์ระดับ root 🛠️ กลไกการโจมตี ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบในระดับต่ำสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเพิ่มสิทธิ์เป็น root จากนั้นสามารถแก้ไขการตั้งค่า Apache Config เพื่อฝังโค้ดอันตรายหรือเปลี่ยนเส้นทางการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ได้ การโจมตีลักษณะนี้ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ การแก้ไขเว็บไซต์ และการติดตั้งมัลแวร์ 🌐 ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน เนื่องจาก Plesk ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งและองค์กรต่าง ๆ ช่องโหว่นี้จึงมีผลกระทบในวงกว้าง หากถูกโจมตี อาจทำให้ข้อมูลลูกค้ารั่วไหล เว็บไซต์ถูกเปลี่ยนแปลง หรือระบบถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อทั้งธุรกิจและผู้ใช้งานทั่วไป 🔒 แนวทางแก้ไข ทีมพัฒนา Plesk ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที พร้อมทั้งตรวจสอบการตั้งค่า Apache และสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ในระบบ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ควรมีการตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-66430 ใน Plesk ➡️ เกิดจากการโจมตีแบบ Local Privilege Escalation (LPE) ➡️ สามารถฉีดค่าเข้าไปใน Apache Config เพื่อควบคุมเซิร์ฟเวอร์ ✅ ผลกระทบ ➡️ ผู้โจมตีสามารถยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ ➡️ เสี่ยงต่อการรั่วไหลข้อมูลและการติดตั้งมัลแวร์ ✅ การแก้ไข ➡️ อัปเดต Plesk เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีแพตช์แก้ไข ➡️ ตรวจสอบ Apache Config และสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันที่มีช่องโหว่ มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกยึดครองเซิร์ฟเวอร์ ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้ระบบถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อเป้าหมายอื่น https://securityonline.info/critical-plesk-flaw-cve-2025-66430-risks-full-server-takeover-via-lpe-and-apache-config-injection/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Plesk Flaw (CVE-2025-66430) Risks Full Server Takeover via LPE and Apache Config Injection
    A critical LPE flaw (CVSS 9.1) in Plesk's Password-Protected Directories allows Apache configuration injection. Any Plesk user can execute root commands and achieve full server takeover. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ใหม่ใน pgAdmin: RCE ผ่าน Database Restore

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการ PostgreSQL ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 9.1) เนื่องจากสามารถทำให้เกิด Remote Code Execution (RCE) ได้ โดยอาศัยการโจมตีผ่านไฟล์ SQL dump ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของระบบ

    กลไกการโจมตี
    ปัญหาเกิดจากการ mismatch ระหว่างฟังก์ชันกรองคำสั่ง (has_meta_commands()) และการทำงานของ psql utility โดยฟังก์ชันกรองใช้ regex ตรวจสอบไฟล์ SQL dump แต่ไม่สามารถจัดการกับ UTF-8 BOM (Byte Order Mark) ได้อย่างถูกต้อง ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ SQL dump ที่เริ่มต้นด้วย BOM และซ่อนคำสั่งอันตราย เช่น \! (ซึ่งใช้รันคำสั่ง shell) ทำให้ pgAdmin เข้าใจผิดว่าไฟล์ปลอดภัย แต่เมื่อส่งต่อให้ psql utility มันจะลบ BOM และรันคำสั่งอันตรายทันที

    ผลกระทบต่อระบบ
    หากการโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถ:
    เข้าถึงและยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ
    ขโมยหรือลบข้อมูลฐานข้อมูล
    ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานในการโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย

    ช่องโหว่นี้กระทบกับ pgAdmin เวอร์ชัน ≤ 9.10 โดยเฉพาะระบบที่รันใน server mode ซึ่งมีการ restore ฐานข้อมูลบ่อยครั้ง

    แนวทางแก้ไข
    ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.11 โดยเพิ่มการตรวจสอบ BOM และปรับปรุงการกรองคำสั่งอันตราย ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตทันที และตรวจสอบ log ของระบบเพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการโจมตี

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin
    เกิดจากการ bypass filter ด้วย UTF-8 BOM
    ทำให้คำสั่ง shell ที่ซ่อนอยู่ถูก execute โดย psql

    ผลกระทบ
    เสี่ยงต่อการยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ
    ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือลบ

    การแก้ไข
    อัปเดต pgAdmin เป็นเวอร์ชัน 9.11
    ตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังใช้เวอร์ชัน ≤ 9.10 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี
    การ restore ฐานข้อมูลจากไฟล์ที่ไม่เชื่อถือได้อาจเปิดช่องให้เกิด RCE

    https://securityonline.info/critical-pgadmin-rce-cve-2025-13780-flaw-bypasses-fix-allowing-server-takeover-via-malicious-database-restore/
    🖥️ ช่องโหว่ใหม่ใน pgAdmin: RCE ผ่าน Database Restore นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการ PostgreSQL ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 9.1) เนื่องจากสามารถทำให้เกิด Remote Code Execution (RCE) ได้ โดยอาศัยการโจมตีผ่านไฟล์ SQL dump ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของระบบ ⚙️ กลไกการโจมตี ปัญหาเกิดจากการ mismatch ระหว่างฟังก์ชันกรองคำสั่ง (has_meta_commands()) และการทำงานของ psql utility โดยฟังก์ชันกรองใช้ regex ตรวจสอบไฟล์ SQL dump แต่ไม่สามารถจัดการกับ UTF-8 BOM (Byte Order Mark) ได้อย่างถูกต้อง ผู้โจมตีสามารถสร้างไฟล์ SQL dump ที่เริ่มต้นด้วย BOM และซ่อนคำสั่งอันตราย เช่น \! (ซึ่งใช้รันคำสั่ง shell) ทำให้ pgAdmin เข้าใจผิดว่าไฟล์ปลอดภัย แต่เมื่อส่งต่อให้ psql utility มันจะลบ BOM และรันคำสั่งอันตรายทันที 🌐 ผลกระทบต่อระบบ หากการโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถ: 🌀 เข้าถึงและยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ 🌀 ขโมยหรือลบข้อมูลฐานข้อมูล 🌀 ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานในการโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย ช่องโหว่นี้กระทบกับ pgAdmin เวอร์ชัน ≤ 9.10 โดยเฉพาะระบบที่รันใน server mode ซึ่งมีการ restore ฐานข้อมูลบ่อยครั้ง 🔒 แนวทางแก้ไข ทีมพัฒนา pgAdmin ได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.11 โดยเพิ่มการตรวจสอบ BOM และปรับปรุงการกรองคำสั่งอันตราย ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตทันที และตรวจสอบ log ของระบบเพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการโจมตี 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13780 ใน pgAdmin ➡️ เกิดจากการ bypass filter ด้วย UTF-8 BOM ➡️ ทำให้คำสั่ง shell ที่ซ่อนอยู่ถูก execute โดย psql ✅ ผลกระทบ ➡️ เสี่ยงต่อการยึดครองเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ ➡️ ข้อมูลฐานข้อมูลอาจถูกขโมยหรือลบ ✅ การแก้ไข ➡️ อัปเดต pgAdmin เป็นเวอร์ชัน 9.11 ➡️ ตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังใช้เวอร์ชัน ≤ 9.10 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี ⛔ การ restore ฐานข้อมูลจากไฟล์ที่ไม่เชื่อถือได้อาจเปิดช่องให้เกิด RCE https://securityonline.info/critical-pgadmin-rce-cve-2025-13780-flaw-bypasses-fix-allowing-server-takeover-via-malicious-database-restore/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical pgAdmin RCE (CVE-2025-13780) Flaw Bypasses Fix, Allowing Server Takeover Via Malicious Database Restore
    A critical RCE flaw (CVSS 9.1) in pgAdmin bypasses security via a UTF-8 BOM parsing mismatch. It allows attackers to execute root commands during a database restore operation. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ RasMan: เสี่ยงต่อการยกระดับสิทธิ์

    นักวิจัยจาก 0patch พบว่ามีช่องโหว่ในบริการ RasMan ของ Windows ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการการเชื่อมต่อ Remote Access โดยปัญหานี้ถูกค้นพบระหว่างการวิเคราะห์ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) ที่ Microsoft เพิ่งแก้ไขไป แต่กลับพบว่า exploit ที่ใช้โจมตีมี “อาวุธลับ” คือช่องโหว่ใหม่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ผู้โจมตีสามารถทำให้บริการ RasMan crash ได้แม้จะไม่มีสิทธิ์ระดับสูง

    กลไกการโจมตี
    ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) อาศัยการหลอกให้บริการ privileged เชื่อมต่อไปยัง endpoint ที่ผู้โจมตีควบคุม แต่ปัญหาคือ RasMan มักจะเริ่มทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อ Windows เปิดเครื่อง ทำให้การโจมตีทำได้ยาก เพื่อแก้ปัญหานี้ exploit จึงใช้ช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ บังคับให้ RasMan crash ได้ตามต้องการ โดยเกิดจากการจัดการ linked list ที่ผิดพลาด เมื่อ pointer กลายเป็น NULL โปรแกรมยังคงอ่านต่อไปจนเกิด memory access violation และ crash

    ผลกระทบต่อระบบ
    หากผู้โจมตีสามารถทำให้ RasMan crash และหยุดทำงานได้ จะเปิดโอกาสให้ exploit เดิมทำงานต่อเนื่องจนสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น Local System ได้ ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงและควบคุมเครื่องในระดับสูงสุด ผลกระทบคือ:
    การเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ
    การติดตั้งมัลแวร์หรือ backdoor
    การใช้เครื่องเป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น

    การแก้ไขและคำแนะนำ
    แม้ Microsoft ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่ 0patch ได้ปล่อย micropatch เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเพิ่มการตรวจสอบ pointer ที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการ crash ผู้ใช้ Windows 7, Windows 10, Windows 11 และ Server 2008 R2 ควรรีบติดตั้ง micropatch หรือรอการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อความปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ช่องโหว่ RasMan ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถบังคับให้บริการ crash ได้
    ใช้ร่วมกับ CVE-2025-59230 เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น Local System

    ผลกระทบ
    เสี่ยงต่อการยึดครองเครื่องเต็มรูปแบบ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น

    การแก้ไข
    0patch ปล่อย micropatch แก้ไขแล้ว
    Microsoft คาดว่าจะออกแพตช์ในอนาคต

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    หากยังไม่ได้ติดตั้ง micropatch หรืออัปเดต มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี
    ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ

    https://securityonline.info/unpatched-windows-rasman-flaw-allows-unprivileged-crash-enabling-local-system-privilege-escalation-exploit/
    🖥️ ช่องโหว่ RasMan: เสี่ยงต่อการยกระดับสิทธิ์ นักวิจัยจาก 0patch พบว่ามีช่องโหว่ในบริการ RasMan ของ Windows ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการการเชื่อมต่อ Remote Access โดยปัญหานี้ถูกค้นพบระหว่างการวิเคราะห์ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) ที่ Microsoft เพิ่งแก้ไขไป แต่กลับพบว่า exploit ที่ใช้โจมตีมี “อาวุธลับ” คือช่องโหว่ใหม่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ผู้โจมตีสามารถทำให้บริการ RasMan crash ได้แม้จะไม่มีสิทธิ์ระดับสูง ⚙️ กลไกการโจมตี ช่องโหว่เดิม (CVE-2025-59230) อาศัยการหลอกให้บริการ privileged เชื่อมต่อไปยัง endpoint ที่ผู้โจมตีควบคุม แต่ปัญหาคือ RasMan มักจะเริ่มทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อ Windows เปิดเครื่อง ทำให้การโจมตีทำได้ยาก เพื่อแก้ปัญหานี้ exploit จึงใช้ช่องโหว่ใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถ บังคับให้ RasMan crash ได้ตามต้องการ โดยเกิดจากการจัดการ linked list ที่ผิดพลาด เมื่อ pointer กลายเป็น NULL โปรแกรมยังคงอ่านต่อไปจนเกิด memory access violation และ crash 🌐 ผลกระทบต่อระบบ หากผู้โจมตีสามารถทำให้ RasMan crash และหยุดทำงานได้ จะเปิดโอกาสให้ exploit เดิมทำงานต่อเนื่องจนสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น Local System ได้ ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงและควบคุมเครื่องในระดับสูงสุด ผลกระทบคือ: 💠 การเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระบบ 💠 การติดตั้งมัลแวร์หรือ backdoor 💠 การใช้เครื่องเป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น 🔒 การแก้ไขและคำแนะนำ แม้ Microsoft ยังไม่ได้ออกแพตช์อย่างเป็นทางการ แต่ 0patch ได้ปล่อย micropatch เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยเพิ่มการตรวจสอบ pointer ที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการ crash ผู้ใช้ Windows 7, Windows 10, Windows 11 และ Server 2008 R2 ควรรีบติดตั้ง micropatch หรือรอการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อความปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ RasMan ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถบังคับให้บริการ crash ได้ ➡️ ใช้ร่วมกับ CVE-2025-59230 เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น Local System ✅ ผลกระทบ ➡️ เสี่ยงต่อการยึดครองเครื่องเต็มรูปแบบ ➡️ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีเครือข่ายอื่น ✅ การแก้ไข ➡️ 0patch ปล่อย micropatch แก้ไขแล้ว ➡️ Microsoft คาดว่าจะออกแพตช์ในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ หากยังไม่ได้ติดตั้ง micropatch หรืออัปเดต มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี ⛔ ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบ log และระบบ monitoring เพื่อหาพฤติกรรมผิดปกติ https://securityonline.info/unpatched-windows-rasman-flaw-allows-unprivileged-crash-enabling-local-system-privilege-escalation-exploit/
    SECURITYONLINE.INFO
    Unpatched Windows RasMan Flaw Allows Unprivileged Crash, Enabling Local System Privilege Escalation Exploit
    0patch found an unpatched flaw in Windows RasMan that allows any user to crash the service on demand. This unprivileged crash is the necessary step to exploit the CVE-2025-59230 LPE flaw. Micropatch is available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 Release Candidate (RC1)

    Linus Torvalds ได้ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 RC1 เพื่อให้ชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ได้ทดสอบกันก่อนที่จะออกเวอร์ชันเสถียร ตัว RC1 นี้ถือเป็นก้าวแรกของการพัฒนา kernel รุ่นใหม่ ที่จะมาพร้อมกับการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการแก้ไขบั๊กที่สะสมมาจากรุ่นก่อนหน้า

    ฟีเจอร์และการปรับปรุงที่น่าสนใจ
    แม้รายละเอียดเชิงลึกยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ kernel รุ่นใหม่นี้มีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น:
    การรองรับ ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ทั้ง CPU และ GPU
    การปรับปรุง ระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    การแก้ไขบั๊กและเพิ่มความเสถียรในการทำงานกับระบบที่ใช้ Linux ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์, IoT และอุปกรณ์พกพา

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งานและนักพัฒนา
    สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การเปิดตัว RC1 หมายถึงการเริ่มต้นของการทดสอบที่อาจยังมีบั๊กอยู่ แต่สำหรับนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ นี่คือโอกาสในการตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์กับ kernel รุ่นใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการอัปเดตเวอร์ชันเสถียรในอนาคต

    กำหนดการออกตัวเต็ม
    ตามแผนการพัฒนา Linux Kernel ปกติ ตัวเต็มของ Linux Kernel 6.19 คาดว่าจะออกในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 หากไม่มีปัญหาหนักระหว่างการทดสอบ RC ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก kernel 6.18 ที่เพิ่งออกไปไม่นาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Kernel 6.19 RC1 เปิดตัวแล้ว
    เป็นเวอร์ชันทดสอบแรกของซีรีส์ใหม่
    เปิดให้ชุมชนช่วยทดสอบและรายงานบั๊ก

    ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง
    รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่
    ปรับปรุงระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชันเสถียร
    นักพัฒนาควรเริ่มทดสอบความเข้ากันได้

    กำหนดการออกตัวเต็ม
    คาดว่าจะออกต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026

    คำเตือนด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ
    RC1 ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบ production
    อาจมีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

    https://9to5linux.com/linus-torvalds-announces-first-linux-kernel-6-19-release-candidate
    🐧 Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 Release Candidate (RC1) Linus Torvalds ได้ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.19 RC1 เพื่อให้ชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้ได้ทดสอบกันก่อนที่จะออกเวอร์ชันเสถียร ตัว RC1 นี้ถือเป็นก้าวแรกของการพัฒนา kernel รุ่นใหม่ ที่จะมาพร้อมกับการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพ ความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ และการแก้ไขบั๊กที่สะสมมาจากรุ่นก่อนหน้า ⚙️ ฟีเจอร์และการปรับปรุงที่น่าสนใจ แม้รายละเอียดเชิงลึกยังอยู่ในขั้นทดสอบ แต่ kernel รุ่นใหม่นี้มีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น: 💠 การรองรับ ฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ทั้ง CPU และ GPU 💠 การปรับปรุง ระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💠 การแก้ไขบั๊กและเพิ่มความเสถียรในการทำงานกับระบบที่ใช้ Linux ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เซิร์ฟเวอร์, IoT และอุปกรณ์พกพา 🌐 ผลกระทบต่อผู้ใช้งานและนักพัฒนา สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การเปิดตัว RC1 หมายถึงการเริ่มต้นของการทดสอบที่อาจยังมีบั๊กอยู่ แต่สำหรับนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ นี่คือโอกาสในการตรวจสอบความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์กับ kernel รุ่นใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการอัปเดตเวอร์ชันเสถียรในอนาคต 🔮 กำหนดการออกตัวเต็ม ตามแผนการพัฒนา Linux Kernel ปกติ ตัวเต็มของ Linux Kernel 6.19 คาดว่าจะออกในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 หากไม่มีปัญหาหนักระหว่างการทดสอบ RC ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจาก kernel 6.18 ที่เพิ่งออกไปไม่นาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Kernel 6.19 RC1 เปิดตัวแล้ว ➡️ เป็นเวอร์ชันทดสอบแรกของซีรีส์ใหม่ ➡️ เปิดให้ชุมชนช่วยทดสอบและรายงานบั๊ก ✅ ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงระบบไฟล์และการจัดการหน่วยความจำ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปควรรอเวอร์ชันเสถียร ➡️ นักพัฒนาควรเริ่มทดสอบความเข้ากันได้ ✅ กำหนดการออกตัวเต็ม ➡️ คาดว่าจะออกต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ ⛔ RC1 ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบ production ⛔ อาจมีบั๊กที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข https://9to5linux.com/linus-torvalds-announces-first-linux-kernel-6-19-release-candidate
    9TO5LINUX.COM
    Linus Torvalds Announces First Linux Kernel 6.19 Release Candidate - 9to5Linux
    Linus Torvalds announced the general availability of the first Release Candidate of the upcoming Linux 6.19 kernel series for public testing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mixxx 2.5.4: เวอร์ชันใหม่สำหรับดีเจสายโอเพ่นซอร์ส

    ทีมพัฒนา Mixxx ได้ประกาศเปิดตัว Mixxx 2.5.4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุดของซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์ส จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์หลายรุ่น โดยเฉพาะ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีเจมืออาชีพและนักเล่นดนตรีอิสระ

    การปรับปรุงที่สำคัญ
    นอกจาก Korg และ Pioneer แล้ว Mixxx 2.5.4 ยังเพิ่มการรองรับและปรับปรุงการทำงานกับคอนโทรลเลอร์อื่น ๆ เช่น Numark NS6II, Traktor S4 MK3, และ Reloop Beatmix 2 ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น การอัปเดตนี้ยังแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม เพื่อให้การมิกซ์เพลงสดมีความเสถียรและตอบสนองได้ดีขึ้น

    ผลกระทบต่อวงการ DJ
    Mixxx ถือเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเปิดให้ใช้งานฟรีและมีชุมชนผู้พัฒนาที่แข็งแกร่ง การปรับปรุงในเวอร์ชัน 2.5.4 นี้ช่วยให้ดีเจทั้งมือใหม่และมืออาชีพสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่มีคุณภาพ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง

    แนวโน้มในอนาคต
    การพัฒนา Mixxx อย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชุมชนโอเพ่นซอร์สในการสร้างเครื่องมือที่แข่งขันได้กับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ การรองรับคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่ ๆ จะช่วยให้ Mixxx เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับดีเจที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับแต่งที่หลากหลาย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Mixxx 2.5.4 เปิดตัวแล้ว
    ปรับปรุงการรองรับ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ
    เพิ่มความเสถียรและแก้ไขบั๊ก

    การรองรับอุปกรณ์เพิ่มเติม
    รองรับ Numark NS6II, Traktor S4 MK3, Reloop Beatmix 2
    ทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ DJ หลากหลายขึ้น

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    ดีเจมือใหม่และมืออาชีพเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพฟรี
    ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง

    คำเตือนด้านการใช้งาน
    RC หรือเวอร์ชันทดสอบอาจยังมีบั๊ก ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในงานใหญ่
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของคอนโทรลเลอร์ก่อนใช้งานจริง

    https://9to5linux.com/mixxx-2-5-4-open-source-dj-app-improves-support-for-korg-kaoss-dj-pioneer-dj-cdj
    🎧 Mixxx 2.5.4: เวอร์ชันใหม่สำหรับดีเจสายโอเพ่นซอร์ส ทีมพัฒนา Mixxx ได้ประกาศเปิดตัว Mixxx 2.5.4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุดของซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์ส จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุงการรองรับคอนโทรลเลอร์หลายรุ่น โดยเฉพาะ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ดีเจมืออาชีพและนักเล่นดนตรีอิสระ ⚙️ การปรับปรุงที่สำคัญ นอกจาก Korg และ Pioneer แล้ว Mixxx 2.5.4 ยังเพิ่มการรองรับและปรับปรุงการทำงานกับคอนโทรลเลอร์อื่น ๆ เช่น Numark NS6II, Traktor S4 MK3, และ Reloop Beatmix 2 ทำให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น การอัปเดตนี้ยังแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม เพื่อให้การมิกซ์เพลงสดมีความเสถียรและตอบสนองได้ดีขึ้น 🌐 ผลกระทบต่อวงการ DJ Mixxx ถือเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ DJ แบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเปิดให้ใช้งานฟรีและมีชุมชนผู้พัฒนาที่แข็งแกร่ง การปรับปรุงในเวอร์ชัน 2.5.4 นี้ช่วยให้ดีเจทั้งมือใหม่และมืออาชีพสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่มีคุณภาพ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง 🔮 แนวโน้มในอนาคต การพัฒนา Mixxx อย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชุมชนโอเพ่นซอร์สในการสร้างเครื่องมือที่แข่งขันได้กับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ การรองรับคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่ ๆ จะช่วยให้ Mixxx เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับดีเจที่ต้องการความยืดหยุ่นและการปรับแต่งที่หลากหลาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Mixxx 2.5.4 เปิดตัวแล้ว ➡️ ปรับปรุงการรองรับ Korg KAOSS DJ และ Pioneer DJ CDJ ➡️ เพิ่มความเสถียรและแก้ไขบั๊ก ✅ การรองรับอุปกรณ์เพิ่มเติม ➡️ รองรับ Numark NS6II, Traktor S4 MK3, Reloop Beatmix 2 ➡️ ทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ DJ หลากหลายขึ้น ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน ➡️ ดีเจมือใหม่และมืออาชีพเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพฟรี ➡️ ลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ราคาแพง ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน ⛔ RC หรือเวอร์ชันทดสอบอาจยังมีบั๊ก ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในงานใหญ่ ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้ของคอนโทรลเลอร์ก่อนใช้งานจริง https://9to5linux.com/mixxx-2-5-4-open-source-dj-app-improves-support-for-korg-kaoss-dj-pioneer-dj-cdj
    9TO5LINUX.COM
    Mixxx 2.5.4 Open-Source DJ App Improves Support for Korg KAOSS DJ, Pioneer DJ CDJ - 9to5Linux
    Mixxx 2.5.4 open-source virtual DJ software for performing live mixes is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ทางเลือกแทน Apple CarPlay ที่หลายคนอาจไม่รู้จัก

    Magic Box – กล่องแปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ
    Magic Box เป็นอุปกรณ์ที่เสียบเข้ากับพอร์ต USB ของรถ แล้วหลอกให้รถคิดว่ากำลังรัน CarPlay แต่จริง ๆ แล้วมันส่งต่อระบบ Android OS เต็มรูปแบบ ไปยังหน้าจอรถ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปจาก Google Play Store ได้ทุกชนิด เช่น YouTube, Netflix, หรือแอปนำทางอื่น ๆ โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน

    GROM VLine / NavTool – อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่า
    สำหรับรถหรูรุ่นเก่าอย่าง Lexus หรือ Infiniti ที่ระบบ infotainment ล้าสมัย GROM VLine และ NavTool ช่วยเพิ่มความสามารถสมัยใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวเครื่องเสียงเดิม อุปกรณ์นี้เชื่อมต่อกับสายไฟเดิม ทำให้ยังคงใช้ฟังก์ชันเดิม เช่น ปุ่มบนพวงมาลัยและกล้องถอยหลัง แต่เพิ่มการรองรับ Google Maps, Waze และ Spotify ได้

    OpenAuto Pro – ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi
    สำหรับสายเทคนิค OpenAuto Pro เปิดโอกาสให้สร้างระบบ infotainment เองบน Raspberry Pi ผู้ใช้สามารถออกแบบหน้าจอ, เพิ่มเกจวัด OBD-II, หรือแม้แต่ควบคุมระบบปรับอากาศผ่านซอฟต์แวร์ที่เขียนเอง ถือเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด แต่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคพอสมควร

    Native Android Automotive OS – ระบบฝังตัวจากผู้ผลิต
    ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง GM และ Rivian กำลังเลิกใช้ CarPlay แล้วหันไปใช้ Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ทำให้แอปอย่าง Google Maps และ Spotify ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์รถ เช่น ตรวจสอบแบตเตอรี่ EV และแนะนำเส้นทางไปยังสถานีชาร์จ

    Aftermarket Android Head Units – จอใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม
    สำหรับรถรุ่นเก่า สามารถเปลี่ยนเครื่องเสียงเป็น Android Head Unit ที่มาพร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่และระบบ Android เต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์, เก็บเพลงในเครื่อง, และใช้แอปตรวจสอบเครื่องยนต์ผ่าน OBD-II ได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Magic Box
    แปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ
    ติดตั้งแอปได้ทุกชนิดจาก Google Play

    GROM VLine / NavTool
    อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่าโดยไม่เปลี่ยนเครื่องเสียง
    รองรับ Google Maps, Waze, Spotify

    OpenAuto Pro
    ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi
    เพิ่มเกจวัด OBD-II และปรับแต่งได้เต็มที่

    Android Automotive OS
    ระบบฝังตัวจากผู้ผลิตรถยนต์
    ทำงานโดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน

    Android Head Units
    จอสัมผัสใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม
    รองรับแผนที่ออฟไลน์และแอปตรวจสอบเครื่องยนต์

    คำเตือนด้านความปลอดภัยและการใช้งาน
    อุปกรณ์เสริมบางชนิดอาจทำให้หมดประกันรถ
    ระบบ DIY ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อความผิดพลาด

    https://www.slashgear.com/2049901/carplay-alternatives-you-didnt-realize-existed/
    🧭 5 ทางเลือกแทน Apple CarPlay ที่หลายคนอาจไม่รู้จัก 🚗 Magic Box – กล่องแปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ Magic Box เป็นอุปกรณ์ที่เสียบเข้ากับพอร์ต USB ของรถ แล้วหลอกให้รถคิดว่ากำลังรัน CarPlay แต่จริง ๆ แล้วมันส่งต่อระบบ Android OS เต็มรูปแบบ ไปยังหน้าจอรถ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปจาก Google Play Store ได้ทุกชนิด เช่น YouTube, Netflix, หรือแอปนำทางอื่น ๆ โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน 🏎️ GROM VLine / NavTool – อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่า สำหรับรถหรูรุ่นเก่าอย่าง Lexus หรือ Infiniti ที่ระบบ infotainment ล้าสมัย GROM VLine และ NavTool ช่วยเพิ่มความสามารถสมัยใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนหัวเครื่องเสียงเดิม อุปกรณ์นี้เชื่อมต่อกับสายไฟเดิม ทำให้ยังคงใช้ฟังก์ชันเดิม เช่น ปุ่มบนพวงมาลัยและกล้องถอยหลัง แต่เพิ่มการรองรับ Google Maps, Waze และ Spotify ได้ 🛠️ OpenAuto Pro – ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi สำหรับสายเทคนิค OpenAuto Pro เปิดโอกาสให้สร้างระบบ infotainment เองบน Raspberry Pi ผู้ใช้สามารถออกแบบหน้าจอ, เพิ่มเกจวัด OBD-II, หรือแม้แต่ควบคุมระบบปรับอากาศผ่านซอฟต์แวร์ที่เขียนเอง ถือเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด แต่ต้องมีทักษะด้านเทคนิคพอสมควร 🚙 Native Android Automotive OS – ระบบฝังตัวจากผู้ผลิต ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง GM และ Rivian กำลังเลิกใช้ CarPlay แล้วหันไปใช้ Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ทำให้แอปอย่าง Google Maps และ Spotify ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์รถ เช่น ตรวจสอบแบตเตอรี่ EV และแนะนำเส้นทางไปยังสถานีชาร์จ 📱 Aftermarket Android Head Units – จอใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม สำหรับรถรุ่นเก่า สามารถเปลี่ยนเครื่องเสียงเป็น Android Head Unit ที่มาพร้อมจอสัมผัสขนาดใหญ่และระบบ Android เต็มรูปแบบ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแผนที่ออฟไลน์, เก็บเพลงในเครื่อง, และใช้แอปตรวจสอบเครื่องยนต์ผ่าน OBD-II ได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Magic Box ➡️ แปลง CarPlay เป็น Android เต็มรูปแบบ ➡️ ติดตั้งแอปได้ทุกชนิดจาก Google Play ✅ GROM VLine / NavTool ➡️ อัปเกรดรถหรูรุ่นเก่าโดยไม่เปลี่ยนเครื่องเสียง ➡️ รองรับ Google Maps, Waze, Spotify ✅ OpenAuto Pro ➡️ ระบบ DIY ด้วย Raspberry Pi ➡️ เพิ่มเกจวัด OBD-II และปรับแต่งได้เต็มที่ ✅ Android Automotive OS ➡️ ระบบฝังตัวจากผู้ผลิตรถยนต์ ➡️ ทำงานโดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน ✅ Android Head Units ➡️ จอสัมผัสใหญ่แทนเครื่องเสียงเดิม ➡️ รองรับแผนที่ออฟไลน์และแอปตรวจสอบเครื่องยนต์ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัยและการใช้งาน ⛔ อุปกรณ์เสริมบางชนิดอาจทำให้หมดประกันรถ ⛔ ระบบ DIY ต้องใช้ทักษะสูงและเสี่ยงต่อความผิดพลาด https://www.slashgear.com/2049901/carplay-alternatives-you-didnt-realize-existed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Alternatives To Apple CarPlay That You Didn't Realize Existed - SlashGear
    If you're an iPhone user, Apple CarPlay is not the end-all, be-all of hands-free navigation utilities. Check out these uncommon, but useful alternatives.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย

    บทความนี้อธิบายว่าไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย แม้ปัจจุบันหลายรุ่นจะรองรับทั้งสอง แต่ยังมีข้อยกเว้นจากบางแบรนด์และบางรุ่นที่เลือกไม่ใส่ Android Auto หรือแม้แต่เลิกใช้ระบบทั้งคู่

    ประวัติการพัฒนา CarPlay และ Android Auto
    Apple เปิดตัว CarPlay ในปี 2014 โดยเริ่มใช้ใน Kia Soul และ Ferrari FF ก่อนจะขยายไปยัง GM, Hyundai, Honda และ Volkswagen ในปี 2016 ส่วน Google เปิดตัว Android Auto ในปี 2015 โดยเริ่มจาก Hyundai และตามมาด้วย Chevrolet, GMC และ Honda ในปี 2016 แต่กว่าที่ Toyota จะรองรับ Android Auto ก็ต้องรอถึงปี 2018 และ BMW เพิ่งเพิ่มในปี 2020 ซึ่งช้ากว่า CarPlay หลายปี

    รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto
    แม้ปัจจุบันรถส่วนใหญ่จะมีทั้ง CarPlay และ Android Auto แต่ยังมีข้อยกเว้น เช่น:
    Toyota GR Supra 2025 ใช้ระบบ infotainment ที่พัฒนาจาก BMW ซึ่งไม่รองรับ Android Auto
    Rivian R1T และ Tesla เลือกใช้ระบบซอฟต์แวร์ภายใน ไม่รองรับทั้ง CarPlay และ Android Auto
    Porsche 718 Cayman และ Macan รองรับเฉพาะ CarPlay ทำให้ผู้ใช้ Android ต้องใช้ Bluetooth หรือแอปพื้นฐานของรถ

    แนวโน้มในอนาคต
    แม้ปัจจุบันผู้ใช้คาดหวังว่ารถใหม่จะรองรับทั้งสองระบบ แต่บางค่ายเริ่มวางแผนเลิกใช้ เช่น General Motors (GM) ที่ประกาศจะยกเลิก CarPlay และ Android Auto เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองบน Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CarPlay และ Android Auto ไม่ได้มาคู่เสมอไป
    CarPlay เปิดตัวก่อนและถูกนำไปใช้ในหลายแบรนด์เร็วกว่าของ Google
    Android Auto เข้ามาช้ากว่า ทำให้บางรุ่นยังไม่รองรับ

    รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto
    Toyota GR Supra 2025
    Rivian R1T และ Tesla
    Porsche 718 Cayman และ Macan

    แนวโน้มในอนาคต
    GM เตรียมเลิกใช้ CarPlay และ Android Auto
    หันไปใช้ Android Automotive OS ที่ฝังในรถ

    คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถใหม่
    อย่าคิดว่ารถที่มี CarPlay จะมี Android Auto เสมอ
    ควรตรวจสอบสเปก infotainment ก่อนซื้อ โดยเฉพาะรุ่นย่อยหรือรถ fleet

    https://www.slashgear.com/2049633/does-every-car-with-carplay-have-android-auto/
    🧭 ไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย บทความนี้อธิบายว่าไม่ใช่รถทุกคันที่มี Apple CarPlay จะมี Android Auto ด้วย แม้ปัจจุบันหลายรุ่นจะรองรับทั้งสอง แต่ยังมีข้อยกเว้นจากบางแบรนด์และบางรุ่นที่เลือกไม่ใส่ Android Auto หรือแม้แต่เลิกใช้ระบบทั้งคู่ 📱 ประวัติการพัฒนา CarPlay และ Android Auto Apple เปิดตัว CarPlay ในปี 2014 โดยเริ่มใช้ใน Kia Soul และ Ferrari FF ก่อนจะขยายไปยัง GM, Hyundai, Honda และ Volkswagen ในปี 2016 ส่วน Google เปิดตัว Android Auto ในปี 2015 โดยเริ่มจาก Hyundai และตามมาด้วย Chevrolet, GMC และ Honda ในปี 2016 แต่กว่าที่ Toyota จะรองรับ Android Auto ก็ต้องรอถึงปี 2018 และ BMW เพิ่งเพิ่มในปี 2020 ซึ่งช้ากว่า CarPlay หลายปี 🚙 รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto แม้ปัจจุบันรถส่วนใหญ่จะมีทั้ง CarPlay และ Android Auto แต่ยังมีข้อยกเว้น เช่น: 💠 Toyota GR Supra 2025 ใช้ระบบ infotainment ที่พัฒนาจาก BMW ซึ่งไม่รองรับ Android Auto 💠 Rivian R1T และ Tesla เลือกใช้ระบบซอฟต์แวร์ภายใน ไม่รองรับทั้ง CarPlay และ Android Auto 💠 Porsche 718 Cayman และ Macan รองรับเฉพาะ CarPlay ทำให้ผู้ใช้ Android ต้องใช้ Bluetooth หรือแอปพื้นฐานของรถ 🛠️ แนวโน้มในอนาคต แม้ปัจจุบันผู้ใช้คาดหวังว่ารถใหม่จะรองรับทั้งสองระบบ แต่บางค่ายเริ่มวางแผนเลิกใช้ เช่น General Motors (GM) ที่ประกาศจะยกเลิก CarPlay และ Android Auto เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองบน Android Automotive OS ซึ่งเป็นระบบที่ฝังอยู่ในรถโดยตรง ไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CarPlay และ Android Auto ไม่ได้มาคู่เสมอไป ➡️ CarPlay เปิดตัวก่อนและถูกนำไปใช้ในหลายแบรนด์เร็วกว่าของ Google ➡️ Android Auto เข้ามาช้ากว่า ทำให้บางรุ่นยังไม่รองรับ ✅ รถรุ่นที่ยังไม่รองรับ Android Auto ➡️ Toyota GR Supra 2025 ➡️ Rivian R1T และ Tesla ➡️ Porsche 718 Cayman และ Macan ✅ แนวโน้มในอนาคต ➡️ GM เตรียมเลิกใช้ CarPlay และ Android Auto ➡️ หันไปใช้ Android Automotive OS ที่ฝังในรถ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ซื้อรถใหม่ ⛔ อย่าคิดว่ารถที่มี CarPlay จะมี Android Auto เสมอ ⛔ ควรตรวจสอบสเปก infotainment ก่อนซื้อ โดยเฉพาะรุ่นย่อยหรือรถ fleet https://www.slashgear.com/2049633/does-every-car-with-carplay-have-android-auto/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Does Every Car With Apple CarPlay Also Have Android Auto? - SlashGear
    Apple CarPlay and Android Auto now dominate the infotainment screens of cars around the world, but do cars ever feature one over the other today?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 15-12-68
    .
    เช้าวันนี้วงประชุม และรับประทานอาหารเช้าของคุณสนธิ อ.ปานเทพ และทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเป็นโกยซีหมี่ไก่ มีการอัพเดตสถานการณ์ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ความคืบหน้าในการจัดหาโดรนและระบบแอนตี้โดรนให้กับกองทัพภาคที่ 2, กองทัพภาคที่ 1 รวมถึงเหล่าทัพที่ต้องการ ที่สำคัญก็คือ คุณสนธิได้ฉายภาพให้เห็นว่า "ประเทศไทย" ควรจะวางตัว และทำอย่างไรดีท่ามกลางความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ สหรัฐอเมริกา และจีน กำลังแย่งชิงอำนาจในภูมิภาคนี้ ... แต่คนที่ตายจริง เจ็บจริง และสูญเสียจริงคือคนไทยและคนเขมร
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=_8VSxoSHwW0
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #สงครามไทยเขมร #ไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง
    สนธิเล่าเรื่อง 15-12-68 . เช้าวันนี้วงประชุม และรับประทานอาหารเช้าของคุณสนธิ อ.ปานเทพ และทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเป็นโกยซีหมี่ไก่ มีการอัพเดตสถานการณ์ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ความคืบหน้าในการจัดหาโดรนและระบบแอนตี้โดรนให้กับกองทัพภาคที่ 2, กองทัพภาคที่ 1 รวมถึงเหล่าทัพที่ต้องการ ที่สำคัญก็คือ คุณสนธิได้ฉายภาพให้เห็นว่า "ประเทศไทย" ควรจะวางตัว และทำอย่างไรดีท่ามกลางความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ สหรัฐอเมริกา และจีน กำลังแย่งชิงอำนาจในภูมิภาคนี้ ... แต่คนที่ตายจริง เจ็บจริง และสูญเสียจริงคือคนไทยและคนเขมร . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=_8VSxoSHwW0 . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #สงครามไทยเขมร #ไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #สันติภาพไม่มีอยู่จริง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกู้คืน Li.st ของ Anthony Bourdain

    ผู้เขียนเล่าถึงความพยายามในการกู้คืนเนื้อหาที่ Anthony Bourdain เคยเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม li.st ซึ่งปิดตัวไปแล้ว โดยอ้างอิงจากงานของ Greg Technology ที่เคยเผยแพร่บางส่วน และใช้ Common Crawl เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML ที่ยังหลงเหลืออยู่ในอินเทอร์เน็ต

    วิธีการและเครื่องมือที่ใช้
    ผู้เขียนได้สร้างสคริปต์ Python (commoncrawl_search.py) เพื่อค้นหาเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับ Bourdain บน Common Crawl และดึงไฟล์ HTML ที่ยังคงอยู่มาแสดงผลใหม่ พร้อมปรับแต่งเลย์เอาต์ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด แม้ภาพประกอบจำนวนมากจะสูญหายไป แต่ข้อความต้นฉบับยังสามารถกู้คืนได้ค่อนข้างสมบูรณ์

    เนื้อหาที่ถูกกู้คืน
    หลายลิสต์ที่ Bourdain เคยเขียนถูกกู้คืน เช่น:
    Things I No Longer Have Time or Patience For (สิ่งที่เขาไม่มีเวลาและความอดทนอีกต่อไป เช่น Cocaine, Beer nerds)
    Nice Views (สถานที่ที่เขาชื่นชอบ เช่น Montana, Puerto Rico, Istanbul)
    Objects of Desire (สิ่งของที่เขาหลงใหล เช่น แว่น Persol, มีด Kramer, เครื่องมือเจาะกะโหลกโบราณ)
    Hotel Slut (That’s Me) (โรงแรมที่เขารัก เช่น Chateau Marmont, Chiltern Firehouse, Park Hyatt Tokyo)
    Some New York Sandwiches (แซนด์วิชที่เขาชื่นชอบในนิวยอร์ก เช่น Pastrami Queen, Eisenberg’s Sandwich Shop)

    ความหมายและคุณค่า
    การกู้คืนนี้ไม่ใช่เพียงการเก็บบันทึกดิจิทัล แต่ยังเป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Bourdain ให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสอีกครั้ง เนื้อหาของเขาเต็มไปด้วยมุมมองตรงไปตรงมา ความหลงใหลในอาหาร การเดินทาง และชีวิตที่ไม่เหมือนใคร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการกู้คืน Li.st ของ Bourdain
    ใช้ Common Crawl และสคริปต์ Python เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML
    แม้ภาพสูญหาย แต่ข้อความยังคงอยู่

    เนื้อหาที่กู้คืนได้
    Things I No Longer Have Time or Patience For
    Nice Views, Objects of Desire, Hotel Slut, Some New York Sandwiches

    คุณค่าของการกู้คืน
    รักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Anthony Bourdain
    เปิดโอกาสให้สาธารณะเข้าถึงงานเขียนที่สูญหายไป

    คำเตือนด้านการกู้คืนข้อมูลดิจิทัล
    ภาพประกอบจำนวนมากไม่สามารถกู้คืนได้
    ข้อมูลบางส่วนอาจสูญหายถาวรและไม่สามารถเข้าถึงได้อีก

    https://sandyuraz.com/blogs/bourdain/
    📜 การกู้คืน Li.st ของ Anthony Bourdain ผู้เขียนเล่าถึงความพยายามในการกู้คืนเนื้อหาที่ Anthony Bourdain เคยเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม li.st ซึ่งปิดตัวไปแล้ว โดยอ้างอิงจากงานของ Greg Technology ที่เคยเผยแพร่บางส่วน และใช้ Common Crawl เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML ที่ยังหลงเหลืออยู่ในอินเทอร์เน็ต 🛠️ วิธีการและเครื่องมือที่ใช้ ผู้เขียนได้สร้างสคริปต์ Python (commoncrawl_search.py) เพื่อค้นหาเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับ Bourdain บน Common Crawl และดึงไฟล์ HTML ที่ยังคงอยู่มาแสดงผลใหม่ พร้อมปรับแต่งเลย์เอาต์ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด แม้ภาพประกอบจำนวนมากจะสูญหายไป แต่ข้อความต้นฉบับยังสามารถกู้คืนได้ค่อนข้างสมบูรณ์ 🌍 เนื้อหาที่ถูกกู้คืน หลายลิสต์ที่ Bourdain เคยเขียนถูกกู้คืน เช่น: 💠 Things I No Longer Have Time or Patience For (สิ่งที่เขาไม่มีเวลาและความอดทนอีกต่อไป เช่น Cocaine, Beer nerds) 💠 Nice Views (สถานที่ที่เขาชื่นชอบ เช่น Montana, Puerto Rico, Istanbul) 💠 Objects of Desire (สิ่งของที่เขาหลงใหล เช่น แว่น Persol, มีด Kramer, เครื่องมือเจาะกะโหลกโบราณ) 💠 Hotel Slut (That’s Me) (โรงแรมที่เขารัก เช่น Chateau Marmont, Chiltern Firehouse, Park Hyatt Tokyo) 💠 Some New York Sandwiches (แซนด์วิชที่เขาชื่นชอบในนิวยอร์ก เช่น Pastrami Queen, Eisenberg’s Sandwich Shop) 🔮 ความหมายและคุณค่า การกู้คืนนี้ไม่ใช่เพียงการเก็บบันทึกดิจิทัล แต่ยังเป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Bourdain ให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสอีกครั้ง เนื้อหาของเขาเต็มไปด้วยมุมมองตรงไปตรงมา ความหลงใหลในอาหาร การเดินทาง และชีวิตที่ไม่เหมือนใคร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการกู้คืน Li.st ของ Bourdain ➡️ ใช้ Common Crawl และสคริปต์ Python เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML ➡️ แม้ภาพสูญหาย แต่ข้อความยังคงอยู่ ✅ เนื้อหาที่กู้คืนได้ ➡️ Things I No Longer Have Time or Patience For ➡️ Nice Views, Objects of Desire, Hotel Slut, Some New York Sandwiches ✅ คุณค่าของการกู้คืน ➡️ รักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Anthony Bourdain ➡️ เปิดโอกาสให้สาธารณะเข้าถึงงานเขียนที่สูญหายไป ‼️ คำเตือนด้านการกู้คืนข้อมูลดิจิทัล ⛔ ภาพประกอบจำนวนมากไม่สามารถกู้คืนได้ ⛔ ข้อมูลบางส่วนอาจสูญหายถาวรและไม่สามารถเข้าถึงได้อีก https://sandyuraz.com/blogs/bourdain/
    SANDYURAZ.COM
    Recovering Anthony Bourdain’s (really) lost Li.st’s
    Loved reading through GReg TeChnoLogY Anthony Bourdain’s Lost Li.st’s and seeing the list of los...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microservices ไม่ใช่คำตอบเสมอไป

    บทความนี้จาก Twilio พูดถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดจาก Microservices ไปสู่สถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายขึ้น เน้นการลดความซับซ้อนและการจัดการที่ง่ายกว่า โดยชี้ให้เห็นว่าการใช้ microservices ไม่ได้เหมาะสมกับทุกกรณี และบางครั้งอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์

    บทความอธิบายว่าแม้ microservices จะได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การนำไปใช้โดยไม่พิจารณาให้เหมาะสมกับบริบท อาจทำให้ระบบซับซ้อนเกินไป ทั้งในด้านการจัดการ การสื่อสารระหว่างบริการ และการบำรุงรักษา ทีมพัฒนาหลายแห่งพบว่าการแยกบริการออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการดูแล

    ปัญหาที่เกิดจาก Microservices
    หนึ่งในปัญหาหลักคือการ overhead ของการสื่อสารระหว่างบริการ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการทำ observability และ debugging เนื่องจากระบบถูกแยกออกเป็นหลายส่วน การ deploy และการจัดการเวอร์ชันก็ซับซ้อนขึ้น ทำให้ทีมต้องใช้เวลาและเครื่องมือมากขึ้นในการควบคุม

    ทางเลือกใหม่: Monolith ที่ปรับปรุงแล้ว
    บทความเสนอว่าในหลายกรณี การใช้ monolith ที่ออกแบบดี อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการและการ deploy ระบบ การรวมโค้ดไว้ในที่เดียวทำให้การตรวจสอบและการแก้ไขง่ายขึ้น อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนเกินจำเป็น

    บทเรียนสำหรับนักพัฒนา
    สิ่งสำคัญคือการเลือกสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับขนาดทีมและความต้องการของระบบ ไม่ใช่การตามกระแสเทคโนโลยี Microservices อาจเหมาะกับองค์กรใหญ่ที่มีทีมแยกชัดเจน แต่สำหรับทีมเล็กหรือโปรเจกต์ที่ไม่ซับซ้อน การใช้ monolith ที่ปรับปรุงแล้วอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Microservices ไม่ได้เหมาะกับทุกระบบ
    อาจสร้างความซับซ้อนในการจัดการและบำรุงรักษา
    มี overhead ในการสื่อสารระหว่างบริการ

    ปัญหาที่พบจากการใช้ Microservices
    Observability และ debugging ยากขึ้น
    การ deploy และจัดการเวอร์ชันซับซ้อน

    ทางเลือกใหม่
    Monolith ที่ออกแบบดีสามารถลดความซับซ้อน
    ง่ายต่อการตรวจสอบและแก้ไข

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    อย่าเลือกสถาปัตยกรรมเพียงเพราะเป็นกระแส
    หากทีมเล็กหรือระบบไม่ซับซ้อน Microservices อาจเป็นภาระมากกว่าประโยชน์

    https://www.twilio.com/en-us/blog/developers/best-practices/goodbye-microservices
    🏗️ Microservices ไม่ใช่คำตอบเสมอไป บทความนี้จาก Twilio พูดถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดจาก Microservices ไปสู่สถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายขึ้น เน้นการลดความซับซ้อนและการจัดการที่ง่ายกว่า โดยชี้ให้เห็นว่าการใช้ microservices ไม่ได้เหมาะสมกับทุกกรณี และบางครั้งอาจสร้างภาระมากกว่าประโยชน์ บทความอธิบายว่าแม้ microservices จะได้รับความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การนำไปใช้โดยไม่พิจารณาให้เหมาะสมกับบริบท อาจทำให้ระบบซับซ้อนเกินไป ทั้งในด้านการจัดการ การสื่อสารระหว่างบริการ และการบำรุงรักษา ทีมพัฒนาหลายแห่งพบว่าการแยกบริการออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการดูแล ⚙️ ปัญหาที่เกิดจาก Microservices หนึ่งในปัญหาหลักคือการ overhead ของการสื่อสารระหว่างบริการ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการทำ observability และ debugging เนื่องจากระบบถูกแยกออกเป็นหลายส่วน การ deploy และการจัดการเวอร์ชันก็ซับซ้อนขึ้น ทำให้ทีมต้องใช้เวลาและเครื่องมือมากขึ้นในการควบคุม 🌐 ทางเลือกใหม่: Monolith ที่ปรับปรุงแล้ว บทความเสนอว่าในหลายกรณี การใช้ monolith ที่ออกแบบดี อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการและการ deploy ระบบ การรวมโค้ดไว้ในที่เดียวทำให้การตรวจสอบและการแก้ไขง่ายขึ้น อีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนเกินจำเป็น 🔮 บทเรียนสำหรับนักพัฒนา สิ่งสำคัญคือการเลือกสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับขนาดทีมและความต้องการของระบบ ไม่ใช่การตามกระแสเทคโนโลยี Microservices อาจเหมาะกับองค์กรใหญ่ที่มีทีมแยกชัดเจน แต่สำหรับทีมเล็กหรือโปรเจกต์ที่ไม่ซับซ้อน การใช้ monolith ที่ปรับปรุงแล้วอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Microservices ไม่ได้เหมาะกับทุกระบบ ➡️ อาจสร้างความซับซ้อนในการจัดการและบำรุงรักษา ➡️ มี overhead ในการสื่อสารระหว่างบริการ ✅ ปัญหาที่พบจากการใช้ Microservices ➡️ Observability และ debugging ยากขึ้น ➡️ การ deploy และจัดการเวอร์ชันซับซ้อน ✅ ทางเลือกใหม่ ➡️ Monolith ที่ออกแบบดีสามารถลดความซับซ้อน ➡️ ง่ายต่อการตรวจสอบและแก้ไข ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ อย่าเลือกสถาปัตยกรรมเพียงเพราะเป็นกระแส ⛔ หากทีมเล็กหรือระบบไม่ซับซ้อน Microservices อาจเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ https://www.twilio.com/en-us/blog/developers/best-practices/goodbye-microservices
    WWW.TWILIO.COM
    Goodbye Microservices
    Discover Twilio’s shift to a single powerful service! Learn cloud communication trends, customer success stories, and how to build scalable apps. Join now!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • เข้าทางฮวยเซง งูพิษจอมเสี้ยม ปั่นลาวต้านไทย
    หลังกองทัพห้ามส่งน้ำมันผ่านช่องเม็ก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เข้าทางฮวยเซง งูพิษจอมเสี้ยม ปั่นลาวต้านไทย หลังกองทัพห้ามส่งน้ำมันผ่านช่องเม็ก #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าว: VPN หลายเจ้าโฆษณาเกินจริง ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับความจริง

    การศึกษาล่าสุดจาก IPinfo วิเคราะห์ VPN 20 ราย พบว่า 17 รายมีการ mismatch ระหว่างประเทศที่โฆษณากับประเทศที่ทราฟฟิกออกจริง โดยบางเจ้าอ้างว่ามีเซิร์ฟเวอร์กว่า 100 ประเทศ แต่แท้จริงแล้วใช้เพียงไม่กี่ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ และยุโรป การตรวจสอบกว่า 150,000 IP พบว่ามีถึง 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” คือมีชื่ออยู่ในรายการ แต่ไม่เคยมีการเชื่อมต่อจริงเลย

    Virtual Location: ภาพลวงตาของการเชื่อมต่อ
    ตัวอย่างเช่น VPN ที่ให้ผู้ใช้เลือก “Bahamas” หรือ “Somalia” แต่การวัด latency และ routing แสดงว่าทราฟฟิกจริงออกจากสหรัฐฯ หรือยุโรป การตั้งค่าเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่เลือก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ การพึ่งพาเพียงข้อมูล self-declared ของผู้ให้บริการยิ่งทำให้ฐานข้อมูล IP อื่น ๆ ติดตามผิดพลาดไปด้วย

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก VPN
    นอกจากปัญหาการโฆษณาเกินจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า VPN ยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ, การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks), การใช้โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ, หรือแม้แต่การเจอผู้ให้บริการ VPN ที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ต่อไป ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้การเลือก VPN ที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

    บทเรียนสำหรับผู้ใช้
    รายงานนี้ไม่ใช่การบอกว่า VPN ทั้งหมด “ไม่ดี” แต่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการ เช่น การระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดเป็น virtual, มีการทดสอบ latency จริงหรือไม่ และมีนโยบายไม่เก็บ log ที่ชัดเจนหรือเปล่า การใช้ VPN ที่มีมาตรฐานเข้ารหัสแข็งแรงและมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ผลการศึกษา VPN
    17 จาก 20 ผู้ให้บริการมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับที่โฆษณา
    พบ 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” ไม่มีเซิร์ฟเวอร์จริง

    ตัวอย่าง Virtual Location
    Bahamas ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากสหรัฐฯ
    Somalia ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร

    ผู้ให้บริการที่ตรวจสอบแล้วตรงจริง
    Mullvad, IVPN และ Windscribe ไม่มี mismatch

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Man-in-the-Middle Attack หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ
    การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks)
    VPN ปลอมที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้
    โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ ทำให้ถูกเจาะได้ง่าย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    อย่าเลือก VPN เพียงเพราะจำนวนประเทศที่โฆษณา
    ตรวจสอบนโยบายความโปร่งใสและการไม่เก็บ log ก่อนใช้งาน

    https://ipinfo.io/blog/vpn-location-mismatch-report
    🌐 ข่าว: VPN หลายเจ้าโฆษณาเกินจริง ตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับความจริง การศึกษาล่าสุดจาก IPinfo วิเคราะห์ VPN 20 ราย พบว่า 17 รายมีการ mismatch ระหว่างประเทศที่โฆษณากับประเทศที่ทราฟฟิกออกจริง โดยบางเจ้าอ้างว่ามีเซิร์ฟเวอร์กว่า 100 ประเทศ แต่แท้จริงแล้วใช้เพียงไม่กี่ศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ และยุโรป การตรวจสอบกว่า 150,000 IP พบว่ามีถึง 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” คือมีชื่ออยู่ในรายการ แต่ไม่เคยมีการเชื่อมต่อจริงเลย 🔍 Virtual Location: ภาพลวงตาของการเชื่อมต่อ ตัวอย่างเช่น VPN ที่ให้ผู้ใช้เลือก “Bahamas” หรือ “Somalia” แต่การวัด latency และ routing แสดงว่าทราฟฟิกจริงออกจากสหรัฐฯ หรือยุโรป การตั้งค่าเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าตัวเองอยู่ในประเทศที่เลือก ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ การพึ่งพาเพียงข้อมูล self-declared ของผู้ให้บริการยิ่งทำให้ฐานข้อมูล IP อื่น ๆ ติดตามผิดพลาดไปด้วย ⚠️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาก VPN นอกจากปัญหาการโฆษณาเกินจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า VPN ยังมีช่องโหว่หลายประการ เช่น การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ, การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks), การใช้โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ, หรือแม้แต่การเจอผู้ให้บริการ VPN ที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ต่อไป ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้การเลือก VPN ที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก 🛡️ บทเรียนสำหรับผู้ใช้ รายงานนี้ไม่ใช่การบอกว่า VPN ทั้งหมด “ไม่ดี” แต่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้ควรตรวจสอบความโปร่งใสของผู้ให้บริการ เช่น การระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดเป็น virtual, มีการทดสอบ latency จริงหรือไม่ และมีนโยบายไม่เก็บ log ที่ชัดเจนหรือเปล่า การใช้ VPN ที่มีมาตรฐานเข้ารหัสแข็งแรงและมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใส จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ผลการศึกษา VPN ➡️ 17 จาก 20 ผู้ให้บริการมีตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ตรงกับที่โฆษณา ➡️ พบ 38 ประเทศที่เป็น “virtual-only” ไม่มีเซิร์ฟเวอร์จริง ✅ ตัวอย่าง Virtual Location ➡️ Bahamas ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากสหรัฐฯ ➡️ Somalia ที่แท้จริงเชื่อมต่อจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร ✅ ผู้ให้บริการที่ตรวจสอบแล้วตรงจริง ➡️ Mullvad, IVPN และ Windscribe ไม่มี mismatch ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Man-in-the-Middle Attack หากเซิร์ฟเวอร์ถูกเจาะ ⛔ การรั่วไหลของข้อมูล (IP/DNS leaks) ⛔ VPN ปลอมที่แฝงมัลแวร์และขายข้อมูลผู้ใช้ ⛔ โปรโตคอลเข้ารหัสที่อ่อนแอ ทำให้ถูกเจาะได้ง่าย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ อย่าเลือก VPN เพียงเพราะจำนวนประเทศที่โฆษณา ⛔ ตรวจสอบนโยบายความโปร่งใสและการไม่เก็บ log ก่อนใช้งาน https://ipinfo.io/blog/vpn-location-mismatch-report
    IPINFO.IO
    Should You Trust Your VPN Location?
    17 out of 20 popular VPNs exit traffic from different countries than they claim. Dig into what that means and why it matters in our VPN report.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gleam กลายเป็นดาวเด่นใน Advent of Code 2025

    Advent of Code ปีนี้จัดเพียง 12 วัน แต่ความเข้มข้นไม่ลดลง ผู้เขียนเลือก Gleam เป็นภาษาหลัก และพบว่า compiler ของ Gleam ให้ error message ที่ชัดเจนระดับ Rust ทำให้การเรียนรู้และแก้โจทย์เป็นไปอย่างราบรื่น การใช้ pipeline และ functional style ทำให้การแก้โจทย์ที่ซับซ้อน เช่น parsing และการแปลงข้อมูล มีความชัดเจนและกระชับมากขึ้น

    จุดแข็งที่ทำให้ Gleam น่าสนใจ
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ echo ซึ่งช่วย inspect ค่าได้ทันทีโดยไม่ต้อง format string อีกทั้ง Gleam มีฟังก์ชัน list ที่ครบครัน เช่น list.transpose ที่ช่วยแก้โจทย์ day 6 ได้อย่างง่ายดาย และ list.combination_pairs ที่ทำให้การหาคู่ข้อมูลเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ฟังก์ชัน fold_until ยังช่วยให้การหยุด loop ทำได้อย่างชัดเจนและตรงตามเจตนา

    ความท้าทายและข้อจำกัด
    แม้ Gleam จะมีจุดแข็ง แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่มี file I/O ใน standard library, ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex, และ pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร อีกทั้งเมื่อ target ไปที่ JavaScript ต้องระวังเรื่อง big integers ที่ไม่รองรับ arbitrary precision เหมือนบน Erlang VM

    บทเรียนและแรงบันดาลใจ
    ผู้เขียนสรุปว่า Gleam เป็นภาษาที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่าน AoC เพราะทำให้การแก้โจทย์ซับซ้อนชัดเจนขึ้น และยังสร้างแรงบันดาลใจให้นำ Gleam ไปใช้ในโปรเจกต์จริง เช่นการเขียน webserver ในอนาคต การทดลองครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการแก้โจทย์ แต่ยังเป็นการค้นพบเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังสำหรับงานจริง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    จุดแข็งของ Gleam
    Syntax สะอาด และ error message ระดับ Rust
    ฟังก์ชัน list เช่น transpose และ combination_pairs ช่วยแก้โจทย์ได้ง่าย
    echo ทำให้ inspect ค่าได้สะดวก
    fold_until ช่วยหยุด loop ได้ตรงตามเจตนา

    ประสบการณ์ Advent of Code 2025
    ปีนี้มีเพียง 12 วัน แต่โจทย์เข้มข้น
    Gleam ทำให้การเรียนรู้ functional programming สนุกและชัดเจน

    ข้อจำกัดของ Gleam
    ไม่มี file I/O ใน standard library
    ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex
    Pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่น
    Big integers บน JavaScript มีข้อจำกัด ไม่เหมือน Erlang VM

    แรงบันดาลใจต่อยอด
    ผู้เขียนตั้งใจจะลองใช้ Gleam เขียน webserver จริง
    AoC ช่วยให้ค้นพบศักยภาพของ Gleam ในงานจริง

    https://blog.tymscar.com/posts/gleamaoc2025/
    💻 Gleam กลายเป็นดาวเด่นใน Advent of Code 2025 Advent of Code ปีนี้จัดเพียง 12 วัน แต่ความเข้มข้นไม่ลดลง ผู้เขียนเลือก Gleam เป็นภาษาหลัก และพบว่า compiler ของ Gleam ให้ error message ที่ชัดเจนระดับ Rust ทำให้การเรียนรู้และแก้โจทย์เป็นไปอย่างราบรื่น การใช้ pipeline และ functional style ทำให้การแก้โจทย์ที่ซับซ้อน เช่น parsing และการแปลงข้อมูล มีความชัดเจนและกระชับมากขึ้น 🔧 จุดแข็งที่ทำให้ Gleam น่าสนใจ หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ echo ซึ่งช่วย inspect ค่าได้ทันทีโดยไม่ต้อง format string อีกทั้ง Gleam มีฟังก์ชัน list ที่ครบครัน เช่น list.transpose ที่ช่วยแก้โจทย์ day 6 ได้อย่างง่ายดาย และ list.combination_pairs ที่ทำให้การหาคู่ข้อมูลเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ฟังก์ชัน fold_until ยังช่วยให้การหยุด loop ทำได้อย่างชัดเจนและตรงตามเจตนา ⚡ ความท้าทายและข้อจำกัด แม้ Gleam จะมีจุดแข็ง แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่มี file I/O ใน standard library, ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex, และ pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร อีกทั้งเมื่อ target ไปที่ JavaScript ต้องระวังเรื่อง big integers ที่ไม่รองรับ arbitrary precision เหมือนบน Erlang VM 🚀 บทเรียนและแรงบันดาลใจ ผู้เขียนสรุปว่า Gleam เป็นภาษาที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่าน AoC เพราะทำให้การแก้โจทย์ซับซ้อนชัดเจนขึ้น และยังสร้างแรงบันดาลใจให้นำ Gleam ไปใช้ในโปรเจกต์จริง เช่นการเขียน webserver ในอนาคต การทดลองครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการแก้โจทย์ แต่ยังเป็นการค้นพบเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังสำหรับงานจริง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ จุดแข็งของ Gleam ➡️ Syntax สะอาด และ error message ระดับ Rust ➡️ ฟังก์ชัน list เช่น transpose และ combination_pairs ช่วยแก้โจทย์ได้ง่าย ➡️ echo ทำให้ inspect ค่าได้สะดวก ➡️ fold_until ช่วยหยุด loop ได้ตรงตามเจตนา ✅ ประสบการณ์ Advent of Code 2025 ➡️ ปีนี้มีเพียง 12 วัน แต่โจทย์เข้มข้น ➡️ Gleam ทำให้การเรียนรู้ functional programming สนุกและชัดเจน ‼️ ข้อจำกัดของ Gleam ⛔ ไม่มี file I/O ใน standard library ⛔ ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex ⛔ Pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่น ⛔ Big integers บน JavaScript มีข้อจำกัด ไม่เหมือน Erlang VM ✅ แรงบันดาลใจต่อยอด ➡️ ผู้เขียนตั้งใจจะลองใช้ Gleam เขียน webserver จริง ➡️ AoC ช่วยให้ค้นพบศักยภาพของ Gleam ในงานจริง https://blog.tymscar.com/posts/gleamaoc2025/
    BLOG.TYMSCAR.COM
    I Tried Gleam for Advent of Code, and I Get the Hype
    A 12 day Advent of Code year convinced me Gleam is the real deal, thanks to Rust-like errors, great pipes, and surprisingly ergonomic FP.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวทางใหม่ในการสร้าง HTML Tools

    Simon Willison ใช้คำว่า HTML tools เรียกแอปพลิเคชันที่เขาสร้างขึ้นกว่า 150 ตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เขียนขึ้นด้วยความช่วยเหลือจาก LLMs จุดเด่นคือ รวมทุกอย่างไว้ในไฟล์เดียว ทำให้สามารถ copy-paste ไปใช้งานหรือโฮสต์บน GitHub Pages ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ React หรือ build step ที่ซับซ้อน

    เทคนิคสำคัญในการพัฒนา
    เขาแนะนำให้ โหลด dependencies จาก CDN เพื่อลดความยุ่งยาก และใช้ copy-paste เป็นกลไกหลัก เช่น การสร้างปุ่ม “Copy to clipboard” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการใช้ localStorage สำหรับเก็บ state หรือ API keys และการเก็บข้อมูลใน URL เพื่อแชร์หรือ bookmark ได้ง่าย

    การต่อยอดด้วย Pyodide และ WebAssembly
    หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือการใช้ Pyodide เพื่อรัน Python ในเบราว์เซอร์ และการใช้ WebAssembly เพื่อเปิดโอกาสให้ซอฟต์แวร์จากภาษาอื่น ๆ ทำงานบน HTML tools ได้ เช่น OCR หรือการบีบอัดภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ HTML tools สามารถทำงานซับซ้อนโดยไม่ต้องพึ่ง server

    บทเรียนและแรงบันดาลใจ
    Simon ย้ำว่า การสร้าง HTML tools เป็นวิธีที่สนุกและทรงพลังในการเรียนรู้ความสามารถของ LLMs และยังช่วยให้เข้าใจศักยภาพของ Web APIs ได้ลึกขึ้น เขาแนะนำให้ทุกคนลองสร้างคอลเลกชันของตัวเอง โดยเริ่มจาก GitHub Pages และไฟล์ HTML ง่าย ๆ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิด HTML Tools
    แอปพลิเคชันเล็ก ๆ รวม HTML, CSS, JS ในไฟล์เดียว
    ไม่ต้องใช้ React หรือ build step

    เทคนิคการพัฒนา
    โหลด dependencies จาก CDN
    ใช้ copy-paste และปุ่ม clipboard
    เก็บข้อมูลใน URL และ localStorage

    การต่อยอดด้วยเทคโนโลยี
    Pyodide สำหรับรัน Python ในเบราว์เซอร์
    WebAssembly สำหรับ OCR และ image compression

    คำเตือนในการใช้งาน
    การฝัง API key ใน HTML อาจเสี่ยงถูกขโมย
    การพึ่งพา CDN ต้องตรวจสอบเวอร์ชันและความปลอดภัย
    การใช้ localStorage เก็บข้อมูลสำคัญอาจเสี่ยงต่อการรั่วไหล

    https://simonwillison.net/2025/Dec/10/html-tools/
    🛠️ แนวทางใหม่ในการสร้าง HTML Tools Simon Willison ใช้คำว่า HTML tools เรียกแอปพลิเคชันที่เขาสร้างขึ้นกว่า 150 ตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เขียนขึ้นด้วยความช่วยเหลือจาก LLMs จุดเด่นคือ รวมทุกอย่างไว้ในไฟล์เดียว ทำให้สามารถ copy-paste ไปใช้งานหรือโฮสต์บน GitHub Pages ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ React หรือ build step ที่ซับซ้อน 🌐 เทคนิคสำคัญในการพัฒนา เขาแนะนำให้ โหลด dependencies จาก CDN เพื่อลดความยุ่งยาก และใช้ copy-paste เป็นกลไกหลัก เช่น การสร้างปุ่ม “Copy to clipboard” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการใช้ localStorage สำหรับเก็บ state หรือ API keys และการเก็บข้อมูลใน URL เพื่อแชร์หรือ bookmark ได้ง่าย ⚡ การต่อยอดด้วย Pyodide และ WebAssembly หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือการใช้ Pyodide เพื่อรัน Python ในเบราว์เซอร์ และการใช้ WebAssembly เพื่อเปิดโอกาสให้ซอฟต์แวร์จากภาษาอื่น ๆ ทำงานบน HTML tools ได้ เช่น OCR หรือการบีบอัดภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ HTML tools สามารถทำงานซับซ้อนโดยไม่ต้องพึ่ง server 🚀 บทเรียนและแรงบันดาลใจ Simon ย้ำว่า การสร้าง HTML tools เป็นวิธีที่สนุกและทรงพลังในการเรียนรู้ความสามารถของ LLMs และยังช่วยให้เข้าใจศักยภาพของ Web APIs ได้ลึกขึ้น เขาแนะนำให้ทุกคนลองสร้างคอลเลกชันของตัวเอง โดยเริ่มจาก GitHub Pages และไฟล์ HTML ง่าย ๆ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิด HTML Tools ➡️ แอปพลิเคชันเล็ก ๆ รวม HTML, CSS, JS ในไฟล์เดียว ➡️ ไม่ต้องใช้ React หรือ build step ✅ เทคนิคการพัฒนา ➡️ โหลด dependencies จาก CDN ➡️ ใช้ copy-paste และปุ่ม clipboard ➡️ เก็บข้อมูลใน URL และ localStorage ✅ การต่อยอดด้วยเทคโนโลยี ➡️ Pyodide สำหรับรัน Python ในเบราว์เซอร์ ➡️ WebAssembly สำหรับ OCR และ image compression ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ การฝัง API key ใน HTML อาจเสี่ยงถูกขโมย ⛔ การพึ่งพา CDN ต้องตรวจสอบเวอร์ชันและความปลอดภัย ⛔ การใช้ localStorage เก็บข้อมูลสำคัญอาจเสี่ยงต่อการรั่วไหล https://simonwillison.net/2025/Dec/10/html-tools/
    SIMONWILLISON.NET
    Useful patterns for building HTML tools
    I’ve started using the term HTML tools to refer to HTML applications that I’ve been building which combine HTML, JavaScript, and CSS in a single file and use them to …
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใช้แท็บเล็ต E-Ink เป็นจอเสริมบน Linux

    ผู้เขียนเล่าว่าหลังจากทำงานอ่านเอกสารด้านกฎหมายกว่า 14 ชั่วโมงติดต่อกัน จึงอยากหาวิธีลดอาการล้าตา และได้ลองใช้แท็บเล็ต E-Ink เก่าเป็นจอเสริมสำหรับอ่านและเขียนโค้ด ผลลัพธ์คือสามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะงานที่เน้นตัวอักษร ทำให้การทำงานสบายตามากขึ้น แม้จะไม่เหมาะกับงานที่ต้องการสีหรือการตอบสนองเร็ว

    วิธีการทดลอง: Deskreen vs VNC
    การทดลองแรกคือใช้ Deskreen ซึ่งง่ายต่อการตั้งค่า แต่คุณภาพการแสดงผลไม่คมชัดและมี input lag สูง จึงไม่เหมาะกับแท็บเล็ต E-Ink ที่รีเฟรชช้าอยู่แล้ว สุดท้ายผู้เขียนเลือกใช้ TigerVNC ร่วมกับแอป AVNC บน Android ซึ่งให้ผลลัพธ์ดีกว่า ทั้งความคมชัดและ latency ที่ต่ำกว่า

    ขั้นตอนการตั้งค่า VNC
    ผู้เขียนอธิบายการติดตั้ง TigerVNC บน Arch Linux ตั้งค่า geometry ให้ตรงกับความละเอียดของแท็บเล็ต (เช่น 1400x1050) และใช้ x0vncserver เพื่อแชร์หน้าจอไปยังแท็บเล็ต Android ผ่านเครือข่ายภายในบ้าน การปรับค่าเหล่านี้ทำให้แท็บเล็ตสามารถแสดงผลได้เต็มจอโดยไม่มีขอบดำ และยังสามารถเขียนสคริปต์เพื่อเปิดใช้งานโหมด E-Ink ได้อย่างรวดเร็ว

    ประโยชน์และข้อจำกัด
    การใช้แท็บเล็ต E-Ink เป็นจอเสริมช่วยให้ อ่านและเขียนโค้ดได้โดยไม่ล้าตา และเหมาะกับงานที่ต้องการสมาธิสูง แต่ข้อจำกัดคือ รีเฟรชเรตต่ำและการตอบสนองช้า ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการการเคลื่อนไหวหรือสีสัน เช่น การดูวิดีโอหรือทำงานกราฟิก อย่างไรก็ตาม สำหรับงานด้านข้อความถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่า

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิดการใช้แท็บเล็ต E-Ink
    ลดอาการล้าตาในการอ่านและเขียนโค้ด
    เหมาะกับงานที่เน้นข้อความมากกว่างานกราฟิก

    วิธีการทดลอง
    Deskreen: ใช้ง่ายแต่คุณภาพไม่คมและ lag สูง
    TigerVNC: ให้ผลลัพธ์ดีกว่า ทั้งความคมและ latency ต่ำ

    ขั้นตอนการตั้งค่า
    ใช้ TigerVNC และ AVNC บน Android
    กำหนด geometry ให้ตรงกับความละเอียดแท็บเล็ต
    เขียนสคริปต์เพื่อเปิดโหมด E-Ink ได้รวดเร็ว

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    รีเฟรชเรตต่ำ ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการการเคลื่อนไหว
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการสีสัน เช่น วิดีโอหรือกราฟิก
    ต้องเปิดพอร์ตและตั้งค่าเครือข่ายให้ปลอดภัย หากใช้นอกบ้าน

    https://alavi.me/blog/e-ink-tablet-as-monitor-linux/
    📺 ใช้แท็บเล็ต E-Ink เป็นจอเสริมบน Linux ผู้เขียนเล่าว่าหลังจากทำงานอ่านเอกสารด้านกฎหมายกว่า 14 ชั่วโมงติดต่อกัน จึงอยากหาวิธีลดอาการล้าตา และได้ลองใช้แท็บเล็ต E-Ink เก่าเป็นจอเสริมสำหรับอ่านและเขียนโค้ด ผลลัพธ์คือสามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะงานที่เน้นตัวอักษร ทำให้การทำงานสบายตามากขึ้น แม้จะไม่เหมาะกับงานที่ต้องการสีหรือการตอบสนองเร็ว 🖥️ วิธีการทดลอง: Deskreen vs VNC การทดลองแรกคือใช้ Deskreen ซึ่งง่ายต่อการตั้งค่า แต่คุณภาพการแสดงผลไม่คมชัดและมี input lag สูง จึงไม่เหมาะกับแท็บเล็ต E-Ink ที่รีเฟรชช้าอยู่แล้ว สุดท้ายผู้เขียนเลือกใช้ TigerVNC ร่วมกับแอป AVNC บน Android ซึ่งให้ผลลัพธ์ดีกว่า ทั้งความคมชัดและ latency ที่ต่ำกว่า ⚙️ ขั้นตอนการตั้งค่า VNC ผู้เขียนอธิบายการติดตั้ง TigerVNC บน Arch Linux ตั้งค่า geometry ให้ตรงกับความละเอียดของแท็บเล็ต (เช่น 1400x1050) และใช้ x0vncserver เพื่อแชร์หน้าจอไปยังแท็บเล็ต Android ผ่านเครือข่ายภายในบ้าน การปรับค่าเหล่านี้ทำให้แท็บเล็ตสามารถแสดงผลได้เต็มจอโดยไม่มีขอบดำ และยังสามารถเขียนสคริปต์เพื่อเปิดใช้งานโหมด E-Ink ได้อย่างรวดเร็ว 🌟 ประโยชน์และข้อจำกัด การใช้แท็บเล็ต E-Ink เป็นจอเสริมช่วยให้ อ่านและเขียนโค้ดได้โดยไม่ล้าตา และเหมาะกับงานที่ต้องการสมาธิสูง แต่ข้อจำกัดคือ รีเฟรชเรตต่ำและการตอบสนองช้า ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการการเคลื่อนไหวหรือสีสัน เช่น การดูวิดีโอหรือทำงานกราฟิก อย่างไรก็ตาม สำหรับงานด้านข้อความถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่า 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิดการใช้แท็บเล็ต E-Ink ➡️ ลดอาการล้าตาในการอ่านและเขียนโค้ด ➡️ เหมาะกับงานที่เน้นข้อความมากกว่างานกราฟิก ✅ วิธีการทดลอง ➡️ Deskreen: ใช้ง่ายแต่คุณภาพไม่คมและ lag สูง ➡️ TigerVNC: ให้ผลลัพธ์ดีกว่า ทั้งความคมและ latency ต่ำ ✅ ขั้นตอนการตั้งค่า ➡️ ใช้ TigerVNC และ AVNC บน Android ➡️ กำหนด geometry ให้ตรงกับความละเอียดแท็บเล็ต ➡️ เขียนสคริปต์เพื่อเปิดโหมด E-Ink ได้รวดเร็ว ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ รีเฟรชเรตต่ำ ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการการเคลื่อนไหว ⛔ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการสีสัน เช่น วิดีโอหรือกราฟิก ⛔ ต้องเปิดพอร์ตและตั้งค่าเครือข่ายให้ปลอดภัย หากใช้นอกบ้าน https://alavi.me/blog/e-ink-tablet-as-monitor-linux/
    ALAVI.ME
    Using E-Ink tablet as monitor for Linux - alavi.me
    We will explore how we can use an Android E-ink tablet (or any tablet) as a monitor for Linux computer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 15-12-68

    https://www.youtube.com/watch?v=_8VSxoSHwW0
    สนธิเล่าเรื่อง 15-12-68 • https://www.youtube.com/watch?v=_8VSxoSHwW0
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว