• สหรัฐฯ และพันธมิตรนานาชาติร่วมกันจัดการ Bulletproof Hosting

    Bulletproof Hosting (BPH) คือผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่ ตั้งใจเปิดพื้นที่ให้กลุ่มอาชญากรไซเบอร์เช่าใช้งาน โดยไม่สนใจคำร้องเรียนหรือคำสั่งจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ในการกระจายมัลแวร์, ควบคุม Command-and-Control (C2), ส่งอีเมล Phishing และแม้กระทั่งโฮสต์เนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างปลอดภัย

    คู่มือใหม่ที่ชื่อว่า “Bulletproof Defense: Mitigating Risks From Bulletproof Hosting Providers” ถือเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป-เอเชีย โดยมีการแนะนำวิธีการตรวจจับและปิดกั้นโครงสร้าง BPH เช่น การวิเคราะห์ทราฟฟิกที่ผิดปกติ, การสร้างรายการ IP/ASN ที่มีความเสี่ยงสูง และการแชร์ข้อมูลข่าวกรองระหว่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)

    สิ่งที่น่ากังวลคือ BPH มักจะ แฝงตัวอยู่ในระบบคลาวด์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้การบล็อกแบบกว้าง ๆ อาจกระทบผู้ใช้งานทั่วไป คู่มือจึงเน้นการใช้ การกรองแบบแม่นยำ (Precision Filtering) เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ไม่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแนะนำให้ ISP ใช้นโยบาย “Know Your Customer” เพื่อตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดก่อนให้บริการ

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงความจริงที่ว่า โครงสร้างพื้นฐาน BPH คือหัวใจของอาชญากรรมไซเบอร์สมัยใหม่ หากสามารถลดพื้นที่ปลอดภัยของแฮกเกอร์ได้ ก็จะช่วยลดการโจมตีต่อระบบสำคัญ เช่น ธนาคาร, โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัวคู่มือ Bulletproof Defense
    ร่วมมือระหว่าง CISA, FBI, NSA และพันธมิตรนานาชาติ
    เน้นการตรวจจับและปิดกั้นโครงสร้าง BPH

    บทบาทของ ISP
    ต้องสร้างรายการ IP/ASN ที่มีความเสี่ยงสูง
    ใช้นโยบาย “Know Your Customer” เพื่อตรวจสอบลูกค้า

    ความเสี่ยงจาก BPH
    สนับสนุนการโจมตี Ransomware, Phishing และการกระจายมัลแวร์
    มักแฝงตัวอยู่ในระบบคลาวด์ที่ถูกต้อง ทำให้ยากต่อการบล็อก

    ข้อควรระวังในการป้องกัน
    การบล็อกแบบกว้างอาจกระทบผู้ใช้ทั่วไป
    ต้องใช้การกรองแบบแม่นยำและแชร์ข้อมูลข่าวกรองอย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide/
    🛡️ สหรัฐฯ และพันธมิตรนานาชาติร่วมกันจัดการ Bulletproof Hosting Bulletproof Hosting (BPH) คือผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่ ตั้งใจเปิดพื้นที่ให้กลุ่มอาชญากรไซเบอร์เช่าใช้งาน โดยไม่สนใจคำร้องเรียนหรือคำสั่งจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ในการกระจายมัลแวร์, ควบคุม Command-and-Control (C2), ส่งอีเมล Phishing และแม้กระทั่งโฮสต์เนื้อหาผิดกฎหมายได้อย่างปลอดภัย คู่มือใหม่ที่ชื่อว่า “Bulletproof Defense: Mitigating Risks From Bulletproof Hosting Providers” ถือเป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป-เอเชีย โดยมีการแนะนำวิธีการตรวจจับและปิดกั้นโครงสร้าง BPH เช่น การวิเคราะห์ทราฟฟิกที่ผิดปกติ, การสร้างรายการ IP/ASN ที่มีความเสี่ยงสูง และการแชร์ข้อมูลข่าวกรองระหว่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) สิ่งที่น่ากังวลคือ BPH มักจะ แฝงตัวอยู่ในระบบคลาวด์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้การบล็อกแบบกว้าง ๆ อาจกระทบผู้ใช้งานทั่วไป คู่มือจึงเน้นการใช้ การกรองแบบแม่นยำ (Precision Filtering) เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ไม่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแนะนำให้ ISP ใช้นโยบาย “Know Your Customer” เพื่อตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดก่อนให้บริการ การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงความจริงที่ว่า โครงสร้างพื้นฐาน BPH คือหัวใจของอาชญากรรมไซเบอร์สมัยใหม่ หากสามารถลดพื้นที่ปลอดภัยของแฮกเกอร์ได้ ก็จะช่วยลดการโจมตีต่อระบบสำคัญ เช่น ธนาคาร, โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัวคู่มือ Bulletproof Defense ➡️ ร่วมมือระหว่าง CISA, FBI, NSA และพันธมิตรนานาชาติ ➡️ เน้นการตรวจจับและปิดกั้นโครงสร้าง BPH ✅ บทบาทของ ISP ➡️ ต้องสร้างรายการ IP/ASN ที่มีความเสี่ยงสูง ➡️ ใช้นโยบาย “Know Your Customer” เพื่อตรวจสอบลูกค้า ‼️ ความเสี่ยงจาก BPH ⛔ สนับสนุนการโจมตี Ransomware, Phishing และการกระจายมัลแวร์ ⛔ มักแฝงตัวอยู่ในระบบคลาวด์ที่ถูกต้อง ทำให้ยากต่อการบล็อก ‼️ ข้อควรระวังในการป้องกัน ⛔ การบล็อกแบบกว้างอาจกระทบผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ต้องใช้การกรองแบบแม่นยำและแชร์ข้อมูลข่าวกรองอย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/cisa-fbi-nsa-unite-to-dismantle-bulletproof-hosting-ecosystem-with-new-global-defense-guide/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA/FBI/NSA Unite to Dismantle Bulletproof Hosting Ecosystem with New Global Defense Guide
    CISA, NSA, and FBI released a guide to dismantle Bulletproof Hosting (BPH) networks. It advises ISPs on precision filtering and stricter vetting to curb infrastructure used by ransomware and phishing campaigns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP2 CAM350
    BASIC IMPORT GERBER
    EP2 CAM350 BASIC IMPORT GERBER
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Sturnus Trojan มัลแวร์ที่ข้ามการเข้ารหัสและยึดครอง Android

    นักวิจัยจาก ThreatFabric รายงานการค้นพบมัลแวร์ Sturnus Trojan ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ Android โดยเฉพาะ จุดเด่นของมันคือการใช้ Android Accessibility Service เพื่อดักจับข้อมูลบนหน้าจอหลังจากที่แอปแชทเข้ารหัสได้ทำการถอดรหัสข้อความแล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถเห็นข้อความ, รายชื่อผู้ติดต่อ และเนื้อหาการสนทนาแบบเรียลไทม์

    นอกจากการดักจับข้อความแล้ว Sturnus ยังมีความสามารถในการทำ Overlay Attack โดยสร้างหน้าจอปลอมเลียนแบบแอปธนาคารเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ จากนั้นข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังผู้โจมตีทันที นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Black Screen Overlay ที่สามารถปิดหน้าจอของเหยื่อไว้ชั่วคราวเพื่อซ่อนการทำธุรกรรมที่ผู้โจมตีกำลังดำเนินการอยู่เบื้องหลัง

    สิ่งที่ทำให้ Sturnus อันตรายยิ่งขึ้นคือมันสามารถทำ Device Takeover (DTO) ได้เต็มรูปแบบ ผู้โจมตีสามารถควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ทั้งการคลิก, พิมพ์ข้อความ, และสั่งงานต่าง ๆ โดยใช้การสตรีมหน้าจอแบบ Pixel-based และ UI-tree control ที่ใช้แบนด์วิดท์ต่ำและไม่ถูกตรวจจับง่าย ๆ

    แม้จะยังอยู่ในช่วง Pre-deployment แต่ Sturnus ถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์และมีความซับซ้อนมากกว่ามัลแวร์ตระกูลเดิม ๆ โดยเป้าหมายหลักคือสถาบันการเงินในยุโรปตอนใต้และตอนกลาง ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการขยายการโจมตีในวงกว้างในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    ความสามารถหลักของ Sturnus Trojan
    ดักจับข้อความจาก WhatsApp, Telegram และ Signal หลังการถอดรหัส
    ทำ Overlay Attack หลอกขโมยข้อมูลธนาคาร
    ใช้ Black Screen Overlay เพื่อซ่อนธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย

    การควบคุมอุปกรณ์เต็มรูปแบบ
    ทำ Device Takeover (DTO) ได้ทั้งการคลิกและพิมพ์ข้อความ
    ใช้ Pixel-based streaming และ UI-tree control เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Android
    ข้อมูลการสนทนาและธุรกรรมทางการเงินถูกเปิดเผยต่อผู้โจมตี
    การปิดกั้นการลบสิทธิ์ Device Administrator ทำให้กำจัดมัลแวร์ยากมาก

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
    ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง Accessibility Service ของแอปที่ติดตั้ง

    https://securityonline.info/sturnus-trojan-bypasses-whatsapp-signal-encryption-takes-over-android-devices/
    📱 Sturnus Trojan มัลแวร์ที่ข้ามการเข้ารหัสและยึดครอง Android นักวิจัยจาก ThreatFabric รายงานการค้นพบมัลแวร์ Sturnus Trojan ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ Android โดยเฉพาะ จุดเด่นของมันคือการใช้ Android Accessibility Service เพื่อดักจับข้อมูลบนหน้าจอหลังจากที่แอปแชทเข้ารหัสได้ทำการถอดรหัสข้อความแล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถเห็นข้อความ, รายชื่อผู้ติดต่อ และเนื้อหาการสนทนาแบบเรียลไทม์ นอกจากการดักจับข้อความแล้ว Sturnus ยังมีความสามารถในการทำ Overlay Attack โดยสร้างหน้าจอปลอมเลียนแบบแอปธนาคารเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ จากนั้นข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังผู้โจมตีทันที นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Black Screen Overlay ที่สามารถปิดหน้าจอของเหยื่อไว้ชั่วคราวเพื่อซ่อนการทำธุรกรรมที่ผู้โจมตีกำลังดำเนินการอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่ทำให้ Sturnus อันตรายยิ่งขึ้นคือมันสามารถทำ Device Takeover (DTO) ได้เต็มรูปแบบ ผู้โจมตีสามารถควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล ทั้งการคลิก, พิมพ์ข้อความ, และสั่งงานต่าง ๆ โดยใช้การสตรีมหน้าจอแบบ Pixel-based และ UI-tree control ที่ใช้แบนด์วิดท์ต่ำและไม่ถูกตรวจจับง่าย ๆ แม้จะยังอยู่ในช่วง Pre-deployment แต่ Sturnus ถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์และมีความซับซ้อนมากกว่ามัลแวร์ตระกูลเดิม ๆ โดยเป้าหมายหลักคือสถาบันการเงินในยุโรปตอนใต้และตอนกลาง ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการขยายการโจมตีในวงกว้างในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความสามารถหลักของ Sturnus Trojan ➡️ ดักจับข้อความจาก WhatsApp, Telegram และ Signal หลังการถอดรหัส ➡️ ทำ Overlay Attack หลอกขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ ใช้ Black Screen Overlay เพื่อซ่อนธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ✅ การควบคุมอุปกรณ์เต็มรูปแบบ ➡️ ทำ Device Takeover (DTO) ได้ทั้งการคลิกและพิมพ์ข้อความ ➡️ ใช้ Pixel-based streaming และ UI-tree control เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Android ⛔ ข้อมูลการสนทนาและธุรกรรมทางการเงินถูกเปิดเผยต่อผู้โจมตี ⛔ การปิดกั้นการลบสิทธิ์ Device Administrator ทำให้กำจัดมัลแวร์ยากมาก ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง Accessibility Service ของแอปที่ติดตั้ง https://securityonline.info/sturnus-trojan-bypasses-whatsapp-signal-encryption-takes-over-android-devices/
    SECURITYONLINE.INFO
    Sturnus Trojan Bypasses WhatsApp/Signal Encryption & Takes Over Android Devices
    The new Sturnus Android banking trojan bypasses end-to-end encryption on WhatsApp & Signal and enables full device takeover for hidden financial fraud.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Accelerator สร้างผลกระทบระดับโลก

    Google ได้เผยแพร่รายงานผลกระทบครั้งที่สองของโครงการ Google Accelerator ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2016 โดยมุ่งสนับสนุนสตาร์ทอัพและองค์กรด้านสังคมทั่วโลก ผ่านการให้คำปรึกษา, การสนับสนุนทางเทคนิค และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ ผลลัพธ์ที่ได้คือการระดมทุนรวมกว่า 31.2 พันล้านดอลลาร์ และการสร้างงานใหม่กว่า 109,000 ตำแหน่ง

    รายงานยังชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในแต่ละภูมิภาค เช่น เอเชีย ที่มีการระดมทุนสูงสุดกว่า 12.4 พันล้านดอลลาร์ จาก 318 บริษัท, ละตินอเมริกา ที่สร้างงานกว่า 44,600 ตำแหน่ง และมีสตาร์ทอัพระดับ Unicorn เกิดขึ้นถึง 9 ราย ขณะที่ สหรัฐฯ และแคนาดา มีการระดมทุนกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ โดยใช้ประโยชน์จาก AI และเทคโนโลยีคลาวด์ของ Google

    นอกจากนี้ Google ยังเน้น 3 เสาหลักในการสนับสนุน ได้แก่ Deep-tech support (โซลูชัน AI และ Cloud เฉพาะด้าน), Infrastructure & mentorship (คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของ Google), และ Equity-free support (การสนับสนุนโดยไม่ต้องแลกหุ้น) ซึ่งช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้โดยไม่เสียความเป็นเจ้าของ

    รายงานยังยกตัวอย่างโครงการที่สร้างผลกระทบจริง เช่น การใช้ Smart Sensors ในเอเชียเพื่อลดการใช้พลังงานกว่า 40% และการสร้าง แพลตฟอร์มสุขภาพบนมือถือในแอฟริกา ที่เข้าถึงผู้ใช้นับล้านคน สะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีไปแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในระดับโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลลัพธ์จาก Google Accelerator
    ระดมทุนรวมกว่า 31.2 พันล้านดอลลาร์
    สร้างงานใหม่กว่า 109,000 ตำแหน่ง

    ความสำเร็จในภูมิภาคต่าง ๆ
    เอเชีย: 318 บริษัท ระดมทุนกว่า 12.4 พันล้านดอลลาร์
    ละตินอเมริกา: 9 Unicorn และงานกว่า 44,600 ตำแหน่ง
    สหรัฐฯ/แคนาดา: 1.8 พันล้านดอลลาร์ และงานกว่า 8,200 ตำแหน่ง

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทใหญ่ อาจทำให้สตาร์ทอัพขาดความเป็นอิสระ
    ความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคยังคงมีอยู่ โดยบางพื้นที่เข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่า

    https://securityonline.info/31-2-billion-raised-google-accelerator-reveals-massive-global-impact-report/
    🚀 Google Accelerator สร้างผลกระทบระดับโลก Google ได้เผยแพร่รายงานผลกระทบครั้งที่สองของโครงการ Google Accelerator ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2016 โดยมุ่งสนับสนุนสตาร์ทอัพและองค์กรด้านสังคมทั่วโลก ผ่านการให้คำปรึกษา, การสนับสนุนทางเทคนิค และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ ผลลัพธ์ที่ได้คือการระดมทุนรวมกว่า 31.2 พันล้านดอลลาร์ และการสร้างงานใหม่กว่า 109,000 ตำแหน่ง รายงานยังชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในแต่ละภูมิภาค เช่น เอเชีย ที่มีการระดมทุนสูงสุดกว่า 12.4 พันล้านดอลลาร์ จาก 318 บริษัท, ละตินอเมริกา ที่สร้างงานกว่า 44,600 ตำแหน่ง และมีสตาร์ทอัพระดับ Unicorn เกิดขึ้นถึง 9 ราย ขณะที่ สหรัฐฯ และแคนาดา มีการระดมทุนกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์ โดยใช้ประโยชน์จาก AI และเทคโนโลยีคลาวด์ของ Google นอกจากนี้ Google ยังเน้น 3 เสาหลักในการสนับสนุน ได้แก่ Deep-tech support (โซลูชัน AI และ Cloud เฉพาะด้าน), Infrastructure & mentorship (คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของ Google), และ Equity-free support (การสนับสนุนโดยไม่ต้องแลกหุ้น) ซึ่งช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้โดยไม่เสียความเป็นเจ้าของ รายงานยังยกตัวอย่างโครงการที่สร้างผลกระทบจริง เช่น การใช้ Smart Sensors ในเอเชียเพื่อลดการใช้พลังงานกว่า 40% และการสร้าง แพลตฟอร์มสุขภาพบนมือถือในแอฟริกา ที่เข้าถึงผู้ใช้นับล้านคน สะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีไปแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในระดับโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลลัพธ์จาก Google Accelerator ➡️ ระดมทุนรวมกว่า 31.2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ สร้างงานใหม่กว่า 109,000 ตำแหน่ง ✅ ความสำเร็จในภูมิภาคต่าง ๆ ➡️ เอเชีย: 318 บริษัท ระดมทุนกว่า 12.4 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ละตินอเมริกา: 9 Unicorn และงานกว่า 44,600 ตำแหน่ง ➡️ สหรัฐฯ/แคนาดา: 1.8 พันล้านดอลลาร์ และงานกว่า 8,200 ตำแหน่ง ‼️ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทใหญ่ อาจทำให้สตาร์ทอัพขาดความเป็นอิสระ ⛔ ความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคยังคงมีอยู่ โดยบางพื้นที่เข้าถึงทรัพยากรได้น้อยกว่า https://securityonline.info/31-2-billion-raised-google-accelerator-reveals-massive-global-impact-report/
    SECURITYONLINE.INFO
    $31.2 Billion Raised: Google Accelerator Reveals Massive Global Impact Report
    Google's Accelerator Impact Report reveals over 1,700 alumni have raised a massive $31.2 billion and created over 109,000 jobs globally since 2016.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thunderbird 145 รองรับ Microsoft Exchange แบบ Native

    Mozilla Foundation เปิดตัว Thunderbird 145.0 โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา ปลั๊กอินเสริม หรือใช้โปรโตคอล IMAP/POP ที่มีข้อจำกัด ทำให้การใช้งานในองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 หรือ Office 365 ไม่สะดวกนัก

    ด้วยการรองรับ Native Exchange ผู้ใช้สามารถ ซิงค์โฟลเดอร์, จัดการข้อความ, และไฟล์แนบได้โดยตรง ทั้งในเครื่องและบนเซิร์ฟเวอร์ โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม อีกทั้งยังรองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ทำให้การเข้าสู่ระบบปลอดภัยและง่ายขึ้นมาก

    การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจาก Outlook ไปใช้ Thunderbird เพราะระบบสามารถตรวจจับและตั้งค่าบัญชีอัตโนมัติ ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการย้ายข้อมูลและตั้งค่าอีเมล

    Mozilla ยังเผยแผนในอนาคตว่าจะเพิ่มฟีเจอร์เสริม เช่น การซิงค์ปฏิทิน, การเชื่อมต่อสมุดที่อยู่, การกรองข้อความขั้นสูง และการรองรับ Microsoft Graph API เพื่อให้ Thunderbird กลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้ในองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเป็น Open-source

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145
    รองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native
    ซิงค์โฟลเดอร์, ข้อความ และไฟล์แนบได้โดยตรง

    ประโยชน์ต่อผู้ใช้
    ย้ายจาก Outlook ไป Thunderbird ได้ง่ายขึ้น
    รองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ปลอดภัยกว่าเดิม

    ข้อจำกัดและความท้าทาย
    ฟีเจอร์เสริม เช่น ปฏิทินและสมุดที่อยู่ ยังไม่พร้อมใช้งาน
    การพัฒนา Microsoft Graph API ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

    สิ่งที่ควรระวังสำหรับองค์กร
    ต้องทดสอบการทำงานกับระบบ Exchange ที่ซับซ้อนก่อนใช้งานจริง
    อาจมีการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ในอนาคตที่กระทบการตั้งค่า

    https://securityonline.info/thunderbird-145-native-microsoft-exchange-support-makes-outlook-migration-easy/
    📧 Thunderbird 145 รองรับ Microsoft Exchange แบบ Native Mozilla Foundation เปิดตัว Thunderbird 145.0 โดยเพิ่มฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ใช้ต้องพึ่งพา ปลั๊กอินเสริม หรือใช้โปรโตคอล IMAP/POP ที่มีข้อจำกัด ทำให้การใช้งานในองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 หรือ Office 365 ไม่สะดวกนัก ด้วยการรองรับ Native Exchange ผู้ใช้สามารถ ซิงค์โฟลเดอร์, จัดการข้อความ, และไฟล์แนบได้โดยตรง ทั้งในเครื่องและบนเซิร์ฟเวอร์ โดยไม่ต้องติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม อีกทั้งยังรองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ทำให้การเข้าสู่ระบบปลอดภัยและง่ายขึ้นมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจาก Outlook ไปใช้ Thunderbird เพราะระบบสามารถตรวจจับและตั้งค่าบัญชีอัตโนมัติ ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการย้ายข้อมูลและตั้งค่าอีเมล Mozilla ยังเผยแผนในอนาคตว่าจะเพิ่มฟีเจอร์เสริม เช่น การซิงค์ปฏิทิน, การเชื่อมต่อสมุดที่อยู่, การกรองข้อความขั้นสูง และการรองรับ Microsoft Graph API เพื่อให้ Thunderbird กลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ใช้ในองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและความเป็น Open-source 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Thunderbird 145 ➡️ รองรับ Microsoft Exchange Web Services (EWS) แบบ Native ➡️ ซิงค์โฟลเดอร์, ข้อความ และไฟล์แนบได้โดยตรง ✅ ประโยชน์ต่อผู้ใช้ ➡️ ย้ายจาก Outlook ไป Thunderbird ได้ง่ายขึ้น ➡️ รองรับการตรวจสอบสิทธิ์ด้วย OAuth2 ปลอดภัยกว่าเดิม ‼️ ข้อจำกัดและความท้าทาย ⛔ ฟีเจอร์เสริม เช่น ปฏิทินและสมุดที่อยู่ ยังไม่พร้อมใช้งาน ⛔ การพัฒนา Microsoft Graph API ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ‼️ สิ่งที่ควรระวังสำหรับองค์กร ⛔ ต้องทดสอบการทำงานกับระบบ Exchange ที่ซับซ้อนก่อนใช้งานจริง ⛔ อาจมีการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ในอนาคตที่กระทบการตั้งค่า https://securityonline.info/thunderbird-145-native-microsoft-exchange-support-makes-outlook-migration-easy/
    SECURITYONLINE.INFO
    Thunderbird 145: Native Microsoft Exchange Support Makes Outlook Migration Easy!
    Thunderbird 145.0 now includes full, native support for Microsoft Exchange (EWS), eliminating plugins and making migration from Outlook/M365 accounts seamless!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • Grafana ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ SCIM ร้ายแรง

    Grafana Enterprise ได้ออก การอัปเดตฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในระบบ SCIM (System for Cross-domain Identity Management) ที่ใช้สำหรับจัดการวงจรชีวิตผู้ใช้ในองค์กร ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ระบบอนุญาตให้ SCIM client ที่ถูกโจมตีสามารถส่งค่า externalId แบบตัวเลข ซึ่งไปแมปกับ internal user ID โดยตรง ทำให้สามารถสวมรอยเป็นบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin ได้

    ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงสูงสุดด้วยคะแนน CVSS 10.0 และส่งผลเฉพาะกับ Grafana Enterprise เวอร์ชัน 12.0.0 ถึง 12.2.1 ที่เปิดใช้งาน SCIM และตั้งค่า enableSCIM = true และ user_sync_enabled = true โดยผู้ใช้ Grafana OSS และ Grafana Cloud ไม่ได้รับผลกระทบ

    เพื่อแก้ไขปัญหา Grafana ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 12.3.0, 12.2.1, 12.1.3 และ 12.0.6 พร้อมแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที เนื่องจากการโจมตีสามารถทำได้ง่ายหากมีการเข้าถึง SCIM client ที่ถูกปรับแต่งหรือถูกบุกรุก

    การค้นพบนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ระบบจัดการผู้ใช้แบบอัตโนมัติในองค์กร หากไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงและควบคุมระบบได้ทั้งหมด

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-41115
    เกิดจากการแมป externalId แบบตัวเลขไปยัง internal user ID
    อาจทำให้ผู้โจมตีสวมรอยเป็น Admin ได้

    ระบบที่ได้รับผลกระทบ
    Grafana Enterprise เวอร์ชัน 12.0.0 → 12.2.1
    ต้องเปิดใช้งาน SCIM และ user_sync_enabled

    ความเสี่ยงร้ายแรง
    คะแนน CVSS 10.0 สูงสุด
    อาจนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์และการสวมรอยผู้ใช้

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ
    รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ (12.3.0, 12.2.1, 12.1.3, 12.0.6)
    ตรวจสอบการตั้งค่า SCIM และปิดใช้งานหากไม่จำเป็น

    https://securityonline.info/grafana-patches-critical-scim-flaw-cve-2025-41115-cvss-10-allowing-privilege-escalation-and-user-impersonation/
    ⚠️ Grafana ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ SCIM ร้ายแรง Grafana Enterprise ได้ออก การอัปเดตฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขช่องโหว่ในระบบ SCIM (System for Cross-domain Identity Management) ที่ใช้สำหรับจัดการวงจรชีวิตผู้ใช้ในองค์กร ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ระบบอนุญาตให้ SCIM client ที่ถูกโจมตีสามารถส่งค่า externalId แบบตัวเลข ซึ่งไปแมปกับ internal user ID โดยตรง ทำให้สามารถสวมรอยเป็นบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูง เช่น Admin ได้ ช่องโหว่นี้มีความร้ายแรงสูงสุดด้วยคะแนน CVSS 10.0 และส่งผลเฉพาะกับ Grafana Enterprise เวอร์ชัน 12.0.0 ถึง 12.2.1 ที่เปิดใช้งาน SCIM และตั้งค่า enableSCIM = true และ user_sync_enabled = true โดยผู้ใช้ Grafana OSS และ Grafana Cloud ไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อแก้ไขปัญหา Grafana ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 12.3.0, 12.2.1, 12.1.3 และ 12.0.6 พร้อมแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที เนื่องจากการโจมตีสามารถทำได้ง่ายหากมีการเข้าถึง SCIM client ที่ถูกปรับแต่งหรือถูกบุกรุก การค้นพบนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการใช้ระบบจัดการผู้ใช้แบบอัตโนมัติในองค์กร หากไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด อาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงและควบคุมระบบได้ทั้งหมด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-41115 ➡️ เกิดจากการแมป externalId แบบตัวเลขไปยัง internal user ID ➡️ อาจทำให้ผู้โจมตีสวมรอยเป็น Admin ได้ ✅ ระบบที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Grafana Enterprise เวอร์ชัน 12.0.0 → 12.2.1 ➡️ ต้องเปิดใช้งาน SCIM และ user_sync_enabled ‼️ ความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ คะแนน CVSS 10.0 สูงสุด ⛔ อาจนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์และการสวมรอยผู้ใช้ ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ (12.3.0, 12.2.1, 12.1.3, 12.0.6) ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่า SCIM และปิดใช้งานหากไม่จำเป็น https://securityonline.info/grafana-patches-critical-scim-flaw-cve-2025-41115-cvss-10-allowing-privilege-escalation-and-user-impersonation/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grafana Patches Critical SCIM Flaw (CVE-2025-41115, CVSS 10) Allowing Privilege Escalation and User Impersonation
    Grafana Enterprise released emergency patches for CVE-2025-41115 (CVSS 10.0), a critical flaw in SCIM provisioning that could allow attackers to impersonate high-privilege users.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: SonicWall เตือนช่องโหว่ SSLVPN ใหม่ CVE-2025-40601

    SonicWall ได้เผยแพร่คำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับช่องโหว่ Pre-authentication Stack-based Buffer Overflow ในบริการ SSLVPN ของ SonicOS โดยผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อทำให้ไฟร์วอลล์ที่เปิดใช้งาน SSLVPN ล่มทันที (Denial of Service) โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบหรือมีสิทธิ์ใด ๆ

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทั้ง Gen7 และ Gen8 Firewalls รวมถึงรุ่น Virtual (NSv) ที่ทำงานบน ESX, KVM, Hyper-V, AWS และ Azure โดยมีเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ เช่น 7.3.0-7012 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen7) และ 8.0.2-8011 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen8) ขณะที่สาขา 7.0.1 ไม่ได้รับผลกระทบ

    เพื่อแก้ไขปัญหา SonicWall ได้ออกแพตช์สำหรับทุกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันชั่วคราว เช่น จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือ ปิดการใช้งาน SSLVPN จากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย โดยปรับแต่งกฎการเข้าถึงใน SonicOS

    การค้นพบนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่องค์กรต้องเผชิญ เนื่องจาก SSLVPN เป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อระยะไกล หากถูกโจมตีจนไฟร์วอลล์ล่ม อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่สำคัญ

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-40601
    เป็น Pre-authentication Buffer Overflow ใน SonicOS SSLVPN
    คะแนน CVSS 7.5 (High Severity)

    ระบบที่ได้รับผลกระทบ
    Gen7 Firewalls (TZ270, TZ370, TZ470, TZ570, TZ670, NSa series, NSsp series)
    Gen8 Firewalls (TZ80–TZ680, NSa 2800–5800)
    Gen7 Virtual Firewalls (NSv270, NSv470, NSv870 บน ESX, KVM, Hyper-V, AWS, Azure)

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    ผู้โจมตีสามารถทำให้ไฟร์วอลล์ล่มโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเชื่อมต่อเครือข่ายสำคัญ

    ข้อควรระวังและการป้องกัน
    รีบอัปเดตแพตช์ที่ SonicWall ปล่อยออกมา
    จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือปิดการใช้งานจากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย

    https://securityonline.info/sonicwall-warns-of-new-sonicos-sslvpn-pre-auth-buffer-overflow-vulnerability-cve-2025-40601/
    🔐 ข่าวใหญ่: SonicWall เตือนช่องโหว่ SSLVPN ใหม่ CVE-2025-40601 SonicWall ได้เผยแพร่คำเตือนด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับช่องโหว่ Pre-authentication Stack-based Buffer Overflow ในบริการ SSLVPN ของ SonicOS โดยผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อทำให้ไฟร์วอลล์ที่เปิดใช้งาน SSLVPN ล่มทันที (Denial of Service) โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบหรือมีสิทธิ์ใด ๆ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทั้ง Gen7 และ Gen8 Firewalls รวมถึงรุ่น Virtual (NSv) ที่ทำงานบน ESX, KVM, Hyper-V, AWS และ Azure โดยมีเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ เช่น 7.3.0-7012 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen7) และ 8.0.2-8011 และเก่ากว่า (สำหรับ Gen8) ขณะที่สาขา 7.0.1 ไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อแก้ไขปัญหา SonicWall ได้ออกแพตช์สำหรับทุกแพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันชั่วคราว เช่น จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือ ปิดการใช้งาน SSLVPN จากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย โดยปรับแต่งกฎการเข้าถึงใน SonicOS การค้นพบนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่องค์กรต้องเผชิญ เนื่องจาก SSLVPN เป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อระยะไกล หากถูกโจมตีจนไฟร์วอลล์ล่ม อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่สำคัญ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-40601 ➡️ เป็น Pre-authentication Buffer Overflow ใน SonicOS SSLVPN ➡️ คะแนน CVSS 7.5 (High Severity) ✅ ระบบที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Gen7 Firewalls (TZ270, TZ370, TZ470, TZ570, TZ670, NSa series, NSsp series) ➡️ Gen8 Firewalls (TZ80–TZ680, NSa 2800–5800) ➡️ Gen7 Virtual Firewalls (NSv270, NSv470, NSv870 บน ESX, KVM, Hyper-V, AWS, Azure) ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ผู้โจมตีสามารถทำให้ไฟร์วอลล์ล่มโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ⛔ อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและสูญเสียการเชื่อมต่อเครือข่ายสำคัญ ‼️ ข้อควรระวังและการป้องกัน ⛔ รีบอัปเดตแพตช์ที่ SonicWall ปล่อยออกมา ⛔ จำกัดการเข้าถึง SSLVPN เฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือปิดการใช้งานจากอินเทอร์เน็ตที่ไม่ปลอดภัย https://securityonline.info/sonicwall-warns-of-new-sonicos-sslvpn-pre-auth-buffer-overflow-vulnerability-cve-2025-40601/
    SECURITYONLINE.INFO
    SonicWall Warns of New SonicOS SSLVPN Pre-Auth Buffer Overflow Vulnerability (CVE-2025-40601)
    SonicWall reports a pre-auth stack-based buffer overflow flaw (CVE-2025-40601) in SonicOS SSLVPN, allowing remote DoS attacks. Patches and mitigation are available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ WSUS RCE ถูกใช้โจมตีเพื่อติดตั้ง ShadowPad

    นักวิจัยจาก AhnLab Security Intelligence Center (ASEC) รายงานว่าแฮกเกอร์ได้ใช้ช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ใน WSUS เพื่อรันคำสั่ง PowerShell และติดตั้ง ShadowPad ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ถูกใช้ในหลายการโจมตีระดับชาติ ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา

    หลังจากที่โค้ด PoC (Proof-of-Concept) ถูกเผยแพร่สาธารณะเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2025 แฮกเกอร์ก็รีบปรับใช้เพื่อโจมตีทันที โดยเริ่มจากการใช้ PowerCat เพื่อเปิด shell ระดับ SYSTEM จากนั้นใช้เครื่องมือ Windows ที่ถูกต้อง เช่น curl.exe และ certutil.exe ในการดาวน์โหลดและถอดรหัสไฟล์มัลแวร์ ShadowPad ให้ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์เป้าหมาย

    ShadowPad ไม่ได้ทำงานเป็นไฟล์เดี่ยว แต่จะซ่อนตัวอยู่หลังโปรแกรมที่ถูกต้อง โดยไฟล์ .tmp ที่ถูกถอดรหัสจะบรรจุข้อมูลการตั้งค่าและโมดูลการทำงานของ backdoor ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบได้อย่างลึกซึ้งและยาวนาน

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59287
    เป็น Remote Code Execution (RCE) ใน WSUS
    คะแนน CVSS สูงมาก (Critical)

    วิธีการโจมตีที่พบ
    ใช้ PowerCat เพื่อเปิด SYSTEM shell
    ใช้ curl.exe และ certutil.exe เพื่อติดตั้ง ShadowPad

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    ผู้โจมตีสามารถควบคุม Windows Server ได้เต็มรูปแบบ
    ShadowPad ถูกใช้ในหลายการโจมตีระดับชาติและการสอดแนม

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ
    รีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดจาก Microsoft
    จำกัดการเข้าถึง WSUS เฉพาะจาก Microsoft Update เท่านั้น
    บล็อกการเข้าถึง TCP 8530 และ 8531 จากแหล่งที่ไม่เกี่ยวข้อง
    ตรวจสอบประวัติการรัน PowerShell, certutil.exe และ curl.exe

    https://securityonline.info/critical-wsus-rce-cve-2025-59287-actively-exploited-to-deploy-shadowpad-backdoor/
    ⚠️ ช่องโหว่ WSUS RCE ถูกใช้โจมตีเพื่อติดตั้ง ShadowPad นักวิจัยจาก AhnLab Security Intelligence Center (ASEC) รายงานว่าแฮกเกอร์ได้ใช้ช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ใน WSUS เพื่อรันคำสั่ง PowerShell และติดตั้ง ShadowPad ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่ถูกใช้ในหลายการโจมตีระดับชาติ ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา หลังจากที่โค้ด PoC (Proof-of-Concept) ถูกเผยแพร่สาธารณะเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2025 แฮกเกอร์ก็รีบปรับใช้เพื่อโจมตีทันที โดยเริ่มจากการใช้ PowerCat เพื่อเปิด shell ระดับ SYSTEM จากนั้นใช้เครื่องมือ Windows ที่ถูกต้อง เช่น curl.exe และ certutil.exe ในการดาวน์โหลดและถอดรหัสไฟล์มัลแวร์ ShadowPad ให้ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์เป้าหมาย ShadowPad ไม่ได้ทำงานเป็นไฟล์เดี่ยว แต่จะซ่อนตัวอยู่หลังโปรแกรมที่ถูกต้อง โดยไฟล์ .tmp ที่ถูกถอดรหัสจะบรรจุข้อมูลการตั้งค่าและโมดูลการทำงานของ backdoor ทำให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบได้อย่างลึกซึ้งและยาวนาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-59287 ➡️ เป็น Remote Code Execution (RCE) ใน WSUS ➡️ คะแนน CVSS สูงมาก (Critical) ✅ วิธีการโจมตีที่พบ ➡️ ใช้ PowerCat เพื่อเปิด SYSTEM shell ➡️ ใช้ curl.exe และ certutil.exe เพื่อติดตั้ง ShadowPad ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ผู้โจมตีสามารถควบคุม Windows Server ได้เต็มรูปแบบ ⛔ ShadowPad ถูกใช้ในหลายการโจมตีระดับชาติและการสอดแนม ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ดูแลระบบ ⛔ รีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดจาก Microsoft ⛔ จำกัดการเข้าถึง WSUS เฉพาะจาก Microsoft Update เท่านั้น ⛔ บล็อกการเข้าถึง TCP 8530 และ 8531 จากแหล่งที่ไม่เกี่ยวข้อง ⛔ ตรวจสอบประวัติการรัน PowerShell, certutil.exe และ curl.exe https://securityonline.info/critical-wsus-rce-cve-2025-59287-actively-exploited-to-deploy-shadowpad-backdoor/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical WSUS RCE (CVE-2025-59287) Actively Exploited to Deploy ShadowPad Backdoor
    Threat actors are actively exploiting a new WSUS RCE flaw (CVE-2025-59287) to gain SYSTEM shells and deploy the dangerous ShadowPad backdoor. Patch immediately!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 0 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Wireshark 4.6.1 อัปเดตโปรโตคอลและแก้บั๊กสำคัญ

    Wireshark ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์แพ็กเก็ตเครือข่ายยอดนิยม ได้ออกเวอร์ชัน 4.6.1 โดยเน้นการปรับปรุงการรองรับโปรโตคอลใหม่ ๆ และแก้ไขบั๊กที่ผู้ใช้รายงานเข้ามา การอัปเดตนี้ครอบคลุมโปรโตคอลจำนวนมาก เช่น ASN.1 BER, BPv7, BT L2CAP, DNS, DTLS, HTTP3, LTP, SMB, SNMP, TCP, VLAN และอื่น ๆ อีกหลายสิบรายการ ทำให้การวิเคราะห์ทราฟฟิกเครือข่ายมีความแม่นยำมากขึ้น

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือการรองรับ Peektagged protocol ซึ่งเป็นฟอร์แมตไฟล์เฉพาะของ OmniPeek ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลแพ็กเก็ต โดย Wireshark สามารถอ่านและแสดงผลได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้นักวิเคราะห์ที่ต้องทำงานกับหลายเครื่องมือสามารถรวมข้อมูลได้สะดวกขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กที่ทำให้โปรแกรมล่ม เช่น BPv7 dissector crash, Kafka dissector crash, TShark crash จาก Lua plugin รวมถึงการแก้ไขปัญหาการ decode โปรโตคอลบางตัว เช่น DoQ (DNS over QUIC) และการจัดการ UTF-16 strings ใน IsoBus dissector ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Wireshark 4.6.1 ได้ทั้งแบบ source tarball และ Flatpak จาก Flathub หรือจาก repository ของแต่ละดิสโทร Linux ถือเป็นการอัปเดตที่แนะนำให้ติดตั้งทันทีสำหรับผู้ที่ใช้งาน Wireshark ในงานวิจัยหรือการตรวจสอบความปลอดภัยเครือข่าย

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน Wireshark 4.6.1
    รองรับโปรโตคอลใหม่ เช่น HTTP3, SMB, SNMP, VLAN
    เพิ่มการรองรับ Peektagged protocol จาก OmniPeek

    การแก้ไขบั๊กสำคัญ
    แก้ BPv7, Kafka, และ TShark crash
    ปรับปรุงการ decode โปรโตคอล เช่น DoQ และ UTF-16 strings

    ความเสี่ยงหากไม่อัปเดต
    อาจเจอปัญหาโปรแกรมล่มระหว่างการวิเคราะห์แพ็กเก็ต
    การ decode โปรโตคอลบางตัวอาจผิดพลาด ทำให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ตรวจสอบว่าใช้เวอร์ชันล่าสุดจาก Flathub หรือ repository ของดิสโทร
    หากใช้ปลั๊กอินเสริม ต้องทดสอบความเข้ากันได้กับเวอร์ชันใหม่

    https://9to5linux.com/wireshark-4-6-1-released-with-updated-protocol-support-and-various-bug-fixes
    🧩 Wireshark 4.6.1 อัปเดตโปรโตคอลและแก้บั๊กสำคัญ Wireshark ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์แพ็กเก็ตเครือข่ายยอดนิยม ได้ออกเวอร์ชัน 4.6.1 โดยเน้นการปรับปรุงการรองรับโปรโตคอลใหม่ ๆ และแก้ไขบั๊กที่ผู้ใช้รายงานเข้ามา การอัปเดตนี้ครอบคลุมโปรโตคอลจำนวนมาก เช่น ASN.1 BER, BPv7, BT L2CAP, DNS, DTLS, HTTP3, LTP, SMB, SNMP, TCP, VLAN และอื่น ๆ อีกหลายสิบรายการ ทำให้การวิเคราะห์ทราฟฟิกเครือข่ายมีความแม่นยำมากขึ้น หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือการรองรับ Peektagged protocol ซึ่งเป็นฟอร์แมตไฟล์เฉพาะของ OmniPeek ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลแพ็กเก็ต โดย Wireshark สามารถอ่านและแสดงผลได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้นักวิเคราะห์ที่ต้องทำงานกับหลายเครื่องมือสามารถรวมข้อมูลได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กที่ทำให้โปรแกรมล่ม เช่น BPv7 dissector crash, Kafka dissector crash, TShark crash จาก Lua plugin รวมถึงการแก้ไขปัญหาการ decode โปรโตคอลบางตัว เช่น DoQ (DNS over QUIC) และการจัดการ UTF-16 strings ใน IsoBus dissector ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรในการใช้งาน ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Wireshark 4.6.1 ได้ทั้งแบบ source tarball และ Flatpak จาก Flathub หรือจาก repository ของแต่ละดิสโทร Linux ถือเป็นการอัปเดตที่แนะนำให้ติดตั้งทันทีสำหรับผู้ที่ใช้งาน Wireshark ในงานวิจัยหรือการตรวจสอบความปลอดภัยเครือข่าย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Wireshark 4.6.1 ➡️ รองรับโปรโตคอลใหม่ เช่น HTTP3, SMB, SNMP, VLAN ➡️ เพิ่มการรองรับ Peektagged protocol จาก OmniPeek ✅ การแก้ไขบั๊กสำคัญ ➡️ แก้ BPv7, Kafka, และ TShark crash ➡️ ปรับปรุงการ decode โปรโตคอล เช่น DoQ และ UTF-16 strings ‼️ ความเสี่ยงหากไม่อัปเดต ⛔ อาจเจอปัญหาโปรแกรมล่มระหว่างการวิเคราะห์แพ็กเก็ต ⛔ การ decode โปรโตคอลบางตัวอาจผิดพลาด ทำให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ตรวจสอบว่าใช้เวอร์ชันล่าสุดจาก Flathub หรือ repository ของดิสโทร ⛔ หากใช้ปลั๊กอินเสริม ต้องทดสอบความเข้ากันได้กับเวอร์ชันใหม่ https://9to5linux.com/wireshark-4-6-1-released-with-updated-protocol-support-and-various-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    Wireshark 4.6.1 Released with Updated Protocol Support and Various Bug Fixes - 9to5Linux
    Wireshark 4.6.1 open-source network protocol analyzer is now available to download with various bug fixes and updated protocols.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • PHP 8.5 เปิดตัวพร้อม Pipe Operator และฟีเจอร์ใหม่

    PHP 8.5 ถือเป็นการอัปเดตครั้งสำคัญที่เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับนักพัฒนา โดยหนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Pipe Operator (|>) ซึ่งช่วยให้การเขียนโค้ดแบบ functional programming ง่ายขึ้นมาก นักพัฒนาสามารถส่งค่าจากฟังก์ชันหนึ่งไปยังอีกฟังก์ชันได้อย่างชัดเจนและลดความซับซ้อนของโค้ด

    อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาคือ URI Extension ที่ช่วยให้การจัดการ URL และการทำงานกับข้อมูล URI มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น โดยรองรับการ parsing และ manipulation ที่เป็นมาตรฐานสากล

    นอกจากนี้ยังมี Clone with Functionality ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสำเนาของอ็อบเจ็กต์พร้อมการปรับแต่งบางส่วนได้ทันที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดซ้ำซ้อน ถือเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานกับ OOP (Object-Oriented Programming)

    การอัปเดตครั้งนี้ยังรวมถึงการแก้ไขบั๊กจำนวนมากและการปรับปรุงประสิทธิภาพ ทำให้ PHP 8.5 เป็นเวอร์ชันที่เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในโปรเจกต์ใหม่ ๆ และการอัปเกรดระบบที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน PHP 8.5
    Pipe Operator (|>) สำหรับการเขียนโค้ดแบบ functional programming
    URI Extension สำหรับการจัดการ URL/URI อย่างมีประสิทธิภาพ
    Clone with Functionality สำหรับการสร้างสำเนาอ็อบเจ็กต์แบบปรับแต่งได้

    การปรับปรุงเพิ่มเติม
    แก้ไขบั๊กจำนวนมาก
    ปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของภาษา

    ข้อควรระวังสำหรับนักพัฒนา
    ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้ของโค้ดเดิมกับ Pipe Operator และ Clone with
    หากใช้ Extension เก่า อาจต้องปรับปรุงให้รองรับ URI Extension ใหม่

    https://9to5linux.com/php-8-5-released-with-pipe-operator-uri-extension-and-clone-with-functionality
    💻 PHP 8.5 เปิดตัวพร้อม Pipe Operator และฟีเจอร์ใหม่ PHP 8.5 ถือเป็นการอัปเดตครั้งสำคัญที่เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับนักพัฒนา โดยหนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Pipe Operator (|>) ซึ่งช่วยให้การเขียนโค้ดแบบ functional programming ง่ายขึ้นมาก นักพัฒนาสามารถส่งค่าจากฟังก์ชันหนึ่งไปยังอีกฟังก์ชันได้อย่างชัดเจนและลดความซับซ้อนของโค้ด อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาคือ URI Extension ที่ช่วยให้การจัดการ URL และการทำงานกับข้อมูล URI มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น โดยรองรับการ parsing และ manipulation ที่เป็นมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังมี Clone with Functionality ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสำเนาของอ็อบเจ็กต์พร้อมการปรับแต่งบางส่วนได้ทันที โดยไม่ต้องเขียนโค้ดซ้ำซ้อน ถือเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานกับ OOP (Object-Oriented Programming) การอัปเดตครั้งนี้ยังรวมถึงการแก้ไขบั๊กจำนวนมากและการปรับปรุงประสิทธิภาพ ทำให้ PHP 8.5 เป็นเวอร์ชันที่เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในโปรเจกต์ใหม่ ๆ และการอัปเกรดระบบที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน PHP 8.5 ➡️ Pipe Operator (|>) สำหรับการเขียนโค้ดแบบ functional programming ➡️ URI Extension สำหรับการจัดการ URL/URI อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ Clone with Functionality สำหรับการสร้างสำเนาอ็อบเจ็กต์แบบปรับแต่งได้ ✅ การปรับปรุงเพิ่มเติม ➡️ แก้ไขบั๊กจำนวนมาก ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของภาษา ‼️ ข้อควรระวังสำหรับนักพัฒนา ⛔ ต้องตรวจสอบความเข้ากันได้ของโค้ดเดิมกับ Pipe Operator และ Clone with ⛔ หากใช้ Extension เก่า อาจต้องปรับปรุงให้รองรับ URI Extension ใหม่ https://9to5linux.com/php-8-5-released-with-pipe-operator-uri-extension-and-clone-with-functionality
    9TO5LINUX.COM
    PHP 8.5 Released with Pipe Operator, URI Extension, and Clone With Functionality - 9to5Linux
    PHP 8.5 open-source scripting language is out now with URI extension, Pipe operator, and support for modifying properties while cloning.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google เตรียมแก้ปัญหา AI Spam บน Discover

    Google Discover ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่แนะนำบทความและข่าวสารตามความสนใจของผู้ใช้ กำลังเผชิญปัญหาใหญ่จาก AI spam articles ที่ถูกสร้างขึ้นจำนวนมากเพื่อดึงทราฟฟิกและสร้างรายได้จากโฆษณา บทความเหล่านี้มักมีหัวข้อชวนเชื่อ แต่เนื้อหาขาดความน่าเชื่อถือ และบางครั้งเป็นข้อมูลเท็จโดยตรง

    รายงานจาก Press Gazette ระบุว่า ผู้โจมตีใช้วิธี ซื้อโดเมนที่หมดอายุ แล้วนำมาใช้ใหม่ พร้อมใส่เนื้อหา AI ที่ละเอียดพอให้ดูเหมือนจริง ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปหลงเชื่อและคลิกเข้าไปอ่าน ส่งผลให้บทความเหล่านี้ถูกจัดอันดับสูงใน Discover และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

    Google ยอมรับว่าปัญหานี้กระทบต่อคุณภาพของ Discover และกำลังพัฒนา ระบบตรวจจับเฉพาะสำหรับ AI spam โดยจะใช้เทคโนโลยี anti-spam ที่มีอยู่ร่วมกับการปรับปรุงใหม่ เพื่อให้สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำและป้องกันไม่ให้ขึ้นไปอยู่ใน feed ของผู้ใช้

    ผู้เชี่ยวชาญด้านการเติบโตของผู้ชม Malcolm Coles อธิบายว่า เทคนิคนี้คือการสร้างหัวข้อที่ดูน่าตกใจหรือแปลกใหม่เพื่อดึงคนคลิก จากนั้นใช้เนื้อหาที่ละเอียดจนดูเหมือนน่าเชื่อถือ ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อ ทำเงินจากการเข้าชม โดยไม่ได้สนใจคุณภาพหรือความถูกต้องของข้อมูล

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาที่เกิดขึ้นใน Google Discover
    AI spam articles ถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก
    ใช้โดเมนหมดอายุและหัวข้อชวนคลิกเพื่อดึงทราฟฟิก

    การตอบสนองของ Google
    กำลังพัฒนาระบบตรวจจับใหม่เพื่อจัดการ AI spam
    ใช้เทคโนโลยี anti-spam และนโยบายเนื้อหาคุณภาพ

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้
    อาจได้รับข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนจากบทความปลอม
    ผู้ใช้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านสื่ออาจหลงเชื่อได้ง่าย

    ข้อควรระวังในการใช้งาน Discover
    ตรวจสอบแหล่งข่าวว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่
    หลีกเลี่ยงการแชร์บทความที่ไม่มีที่มาชัดเจน

    https://www.slashgear.com/2028222/google-discover-ai-spam-fix/
    📰 Google เตรียมแก้ปัญหา AI Spam บน Discover Google Discover ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่แนะนำบทความและข่าวสารตามความสนใจของผู้ใช้ กำลังเผชิญปัญหาใหญ่จาก AI spam articles ที่ถูกสร้างขึ้นจำนวนมากเพื่อดึงทราฟฟิกและสร้างรายได้จากโฆษณา บทความเหล่านี้มักมีหัวข้อชวนเชื่อ แต่เนื้อหาขาดความน่าเชื่อถือ และบางครั้งเป็นข้อมูลเท็จโดยตรง รายงานจาก Press Gazette ระบุว่า ผู้โจมตีใช้วิธี ซื้อโดเมนที่หมดอายุ แล้วนำมาใช้ใหม่ พร้อมใส่เนื้อหา AI ที่ละเอียดพอให้ดูเหมือนจริง ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปหลงเชื่อและคลิกเข้าไปอ่าน ส่งผลให้บทความเหล่านี้ถูกจัดอันดับสูงใน Discover และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว Google ยอมรับว่าปัญหานี้กระทบต่อคุณภาพของ Discover และกำลังพัฒนา ระบบตรวจจับเฉพาะสำหรับ AI spam โดยจะใช้เทคโนโลยี anti-spam ที่มีอยู่ร่วมกับการปรับปรุงใหม่ เพื่อให้สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำและป้องกันไม่ให้ขึ้นไปอยู่ใน feed ของผู้ใช้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเติบโตของผู้ชม Malcolm Coles อธิบายว่า เทคนิคนี้คือการสร้างหัวข้อที่ดูน่าตกใจหรือแปลกใหม่เพื่อดึงคนคลิก จากนั้นใช้เนื้อหาที่ละเอียดจนดูเหมือนน่าเชื่อถือ ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อ ทำเงินจากการเข้าชม โดยไม่ได้สนใจคุณภาพหรือความถูกต้องของข้อมูล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นใน Google Discover ➡️ AI spam articles ถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก ➡️ ใช้โดเมนหมดอายุและหัวข้อชวนคลิกเพื่อดึงทราฟฟิก ✅ การตอบสนองของ Google ➡️ กำลังพัฒนาระบบตรวจจับใหม่เพื่อจัดการ AI spam ➡️ ใช้เทคโนโลยี anti-spam และนโยบายเนื้อหาคุณภาพ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ ⛔ อาจได้รับข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนจากบทความปลอม ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านสื่ออาจหลงเชื่อได้ง่าย ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน Discover ⛔ ตรวจสอบแหล่งข่าวว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ⛔ หลีกเลี่ยงการแชร์บทความที่ไม่มีที่มาชัดเจน https://www.slashgear.com/2028222/google-discover-ai-spam-fix/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Is Actively Working On A Fix For The AI Spam In Your Discover Feed - SlashGear
    Annoyed by AI spam in your Google Discover feed? Google confirms it is actively working on a fix to address the low-quality, misleading articles.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่: Proton Pass แอปรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านฟรีบนมือถือ

    Proton ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นส่วนตัวและ VPN ได้เปิดตัว Proton Pass แอปจัดการรหัสผ่านฟรีสำหรับผู้ใช้ Android และ iOS โดยออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่แข็งแรงได้โดยไม่ต้องจำเองทั้งหมด แอปนี้รองรับการทำงานร่วมกับระบบ autofill ของ Android ทำให้การเข้าสู่ระบบเว็บไซต์และแอปต่าง ๆ สะดวกขึ้นมาก

    นอกจากการจัดการรหัสผ่านแล้ว Proton Pass ยังรองรับ passkeys ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยลดการพึ่งพารหัสผ่านแบบเดิม แม้การย้าย passkeys จากผู้จัดการรหัสผ่านอื่นจะยุ่งยาก แต่ Proton Pass ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างใหม่สำหรับบัญชีสำคัญได้ง่ายขึ้น

    ฟีเจอร์ที่โดดเด่นอีกอย่างคือการสร้าง alias อีเมล ซึ่งเป็นอีเมลปลอมที่ยังคงส่งต่อไปยังกล่องหลักของผู้ใช้ ช่วยป้องกันการถูกสแปมและการเปิดเผยอีเมลจริง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลบัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ เช่น ใบขับขี่หรือพาสปอร์ต และโน้ตเข้ารหัสได้อย่างปลอดภัย

    แม้ Proton Pass จะมีเวอร์ชันฟรีที่ครอบคลุมฟีเจอร์หลัก แต่ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) และการเก็บข้อมูลบัตรเครดิต จะต้องสมัครแพ็กเกจแบบเสียเงินในราคา $5 ต่อเดือน หรือเลือกใช้ Proton Unlimited Plan ที่รวมบริการอื่น ๆ เช่น Proton VPN และ Proton Mail

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์หลักของ Proton Pass
    จัดการรหัสผ่านและ passkeys
    รองรับ autofill บน Android และ iOS
    สร้าง alias อีเมลเพื่อป้องกันสแปม

    การเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
    บัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ
    โน้ตเข้ารหัสสำหรับข้อมูลส่วนตัว

    ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี
    ไม่รองรับ 2FA และการเก็บบัตรเครดิต
    จำกัด alias อีเมลสูงสุด 10 รายการ

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ต้องย้าย passkeys ด้วยการสร้างใหม่ ไม่สามารถนำเข้าทั้งหมดได้ง่าย
    ฟีเจอร์ขั้นสูงต้องสมัครแพ็กเกจเสียเงิน

    https://www.slashgear.com/2028333/free-android-app-proton-pass-password-manager-install-on-new-phone/
    🔐 ข่าวใหญ่: Proton Pass แอปรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านฟรีบนมือถือ Proton ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านความเป็นส่วนตัวและ VPN ได้เปิดตัว Proton Pass แอปจัดการรหัสผ่านฟรีสำหรับผู้ใช้ Android และ iOS โดยออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่แข็งแรงได้โดยไม่ต้องจำเองทั้งหมด แอปนี้รองรับการทำงานร่วมกับระบบ autofill ของ Android ทำให้การเข้าสู่ระบบเว็บไซต์และแอปต่าง ๆ สะดวกขึ้นมาก นอกจากการจัดการรหัสผ่านแล้ว Proton Pass ยังรองรับ passkeys ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยลดการพึ่งพารหัสผ่านแบบเดิม แม้การย้าย passkeys จากผู้จัดการรหัสผ่านอื่นจะยุ่งยาก แต่ Proton Pass ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างใหม่สำหรับบัญชีสำคัญได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์ที่โดดเด่นอีกอย่างคือการสร้าง alias อีเมล ซึ่งเป็นอีเมลปลอมที่ยังคงส่งต่อไปยังกล่องหลักของผู้ใช้ ช่วยป้องกันการถูกสแปมและการเปิดเผยอีเมลจริง นอกจากนี้ยังสามารถเก็บข้อมูลบัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ เช่น ใบขับขี่หรือพาสปอร์ต และโน้ตเข้ารหัสได้อย่างปลอดภัย แม้ Proton Pass จะมีเวอร์ชันฟรีที่ครอบคลุมฟีเจอร์หลัก แต่ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) และการเก็บข้อมูลบัตรเครดิต จะต้องสมัครแพ็กเกจแบบเสียเงินในราคา $5 ต่อเดือน หรือเลือกใช้ Proton Unlimited Plan ที่รวมบริการอื่น ๆ เช่น Proton VPN และ Proton Mail 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์หลักของ Proton Pass ➡️ จัดการรหัสผ่านและ passkeys ➡️ รองรับ autofill บน Android และ iOS ➡️ สร้าง alias อีเมลเพื่อป้องกันสแปม ✅ การเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ บัตรเครดิต, Wi-Fi logins, เอกสารสำคัญ ➡️ โน้ตเข้ารหัสสำหรับข้อมูลส่วนตัว ‼️ ข้อจำกัดของเวอร์ชันฟรี ⛔ ไม่รองรับ 2FA และการเก็บบัตรเครดิต ⛔ จำกัด alias อีเมลสูงสุด 10 รายการ ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ต้องย้าย passkeys ด้วยการสร้างใหม่ ไม่สามารถนำเข้าทั้งหมดได้ง่าย ⛔ ฟีเจอร์ขั้นสูงต้องสมัครแพ็กเกจเสียเงิน https://www.slashgear.com/2028333/free-android-app-proton-pass-password-manager-install-on-new-phone/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Free Android Password App Should Be One Of The First Installed On Your New Phone - Here's Why - SlashGear
    Proton Pass is one of the smartest early installs on a new Android device because it offers passkeys, encrypted notes, secure autofill, and aliases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 การตั้งค่าที่ควรเปลี่ยนบน E-Ink Tablet

    แท็บเล็ต E-Ink เช่น Kindle และ Kobo ได้รับความนิยมเพราะให้ประสบการณ์การอ่านที่ใกล้เคียงกับกระดาษจริง แต่หลายคนไม่รู้ว่าการปรับแต่งการตั้งค่าบางอย่างสามารถทำให้การใช้งานดียิ่งขึ้น บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 การตั้งค่าที่ควรเปลี่ยนทันที เพื่อเพิ่มความสะดวกและยืดอายุการใช้งาน

    ปรับ Page Refresh
    หน้าจอ E-Ink มักเกิดปัญหา ghosting หรือร่องรอยข้อความจากหน้าก่อน การเปิดใช้งาน Page Refresh บ่อยขึ้นช่วยลบสิ่งเหล่านี้ แต่ต้องแลกกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วขึ้นและอายุการใช้งานจอที่สั้นลง

    ตั้ง Sleep Timer ให้นานขึ้น
    ค่าเริ่มต้นของ Kindle คือ 10 นาที แต่สามารถปรับเป็น 15–30 นาทีได้ โดยไม่กระทบแบตเตอรี่มากนัก เหมาะสำหรับคนที่อ่านต่อเนื่องและไม่อยากให้เครื่องดับเองบ่อย ๆ

    ปรับ Color Temperature ให้อุ่นขึ้น
    การใช้แสงสีขาวอาจทำให้ตาล้า การปรับเป็นโทนสีอุ่น (Warm Light) จะช่วยให้การอ่านสบายตา โดย Kindle และ Kobo มีฟีเจอร์ปรับอัตโนมัติตามพระอาทิตย์ขึ้น–ตก

    เปิด Airplane Mode
    การปิด Wi-Fi และ Bluetooth จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มาก บางคนสามารถใช้งาน Kindle ได้ 5–6 เดือนต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากเปิด Airplane Mode ตลอดเวลา

    ตั้งรหัสผ่าน (Passcode/PIN)
    แม้แท็บเล็ต E-Ink มักไม่ได้เก็บข้อมูลสำคัญ แต่การตั้งรหัสผ่านช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาเปลี่ยนการตั้งค่า หรือซื้อหนังสือโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.slashgear.com/2027122/e-ink-tablet-settings-you-should-immediately-change/
    📖 5 การตั้งค่าที่ควรเปลี่ยนบน E-Ink Tablet แท็บเล็ต E-Ink เช่น Kindle และ Kobo ได้รับความนิยมเพราะให้ประสบการณ์การอ่านที่ใกล้เคียงกับกระดาษจริง แต่หลายคนไม่รู้ว่าการปรับแต่งการตั้งค่าบางอย่างสามารถทำให้การใช้งานดียิ่งขึ้น บทความจาก SlashGear แนะนำ 5 การตั้งค่าที่ควรเปลี่ยนทันที เพื่อเพิ่มความสะดวกและยืดอายุการใช้งาน 🔄 ปรับ Page Refresh หน้าจอ E-Ink มักเกิดปัญหา ghosting หรือร่องรอยข้อความจากหน้าก่อน การเปิดใช้งาน Page Refresh บ่อยขึ้นช่วยลบสิ่งเหล่านี้ แต่ต้องแลกกับแบตเตอรี่ที่หมดเร็วขึ้นและอายุการใช้งานจอที่สั้นลง ⏱️ ตั้ง Sleep Timer ให้นานขึ้น ค่าเริ่มต้นของ Kindle คือ 10 นาที แต่สามารถปรับเป็น 15–30 นาทีได้ โดยไม่กระทบแบตเตอรี่มากนัก เหมาะสำหรับคนที่อ่านต่อเนื่องและไม่อยากให้เครื่องดับเองบ่อย ๆ 🌙 ปรับ Color Temperature ให้อุ่นขึ้น การใช้แสงสีขาวอาจทำให้ตาล้า การปรับเป็นโทนสีอุ่น (Warm Light) จะช่วยให้การอ่านสบายตา โดย Kindle และ Kobo มีฟีเจอร์ปรับอัตโนมัติตามพระอาทิตย์ขึ้น–ตก ✈️ เปิด Airplane Mode การปิด Wi-Fi และ Bluetooth จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มาก บางคนสามารถใช้งาน Kindle ได้ 5–6 เดือนต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หากเปิด Airplane Mode ตลอดเวลา 🔒 ตั้งรหัสผ่าน (Passcode/PIN) แม้แท็บเล็ต E-Ink มักไม่ได้เก็บข้อมูลสำคัญ แต่การตั้งรหัสผ่านช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาเปลี่ยนการตั้งค่า หรือซื้อหนังสือโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.slashgear.com/2027122/e-ink-tablet-settings-you-should-immediately-change/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Settings You Should Immediately Change On Any E-Ink Tablet - SlashGear
    Your e-ink tablet can run longer, look cleaner, and stay more comfortable to read with a few smart adjustments. A practical walkthrough for everyday use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • Everest Ransomware โจมตี Petrobras ขโมยข้อมูลสำรวจน้ำมัน

    เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 กลุ่ม Everest Ransomware ได้โพสต์ข้อมูลบนเว็บไซต์ dark web ของตนเอง โดยระบุว่าได้เจาะระบบของ Petrobras และบริษัทคู่ค้า SAExploration ขโมยข้อมูลการสำรวจทางทะเลกว่า 176GB ซึ่งในนั้นมากกว่า 90GB เป็นข้อมูลของ Petrobras โดยตรง

    ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วยรายละเอียดเชิงเทคนิค เช่น ตำแหน่งเรือ, การตั้งค่าอุปกรณ์, การอ่านค่าจาก hydrophone, ความลึกของการสำรวจ, เอกสารควบคุมคุณภาพ และรายงานการประมวลผลเบื้องต้น ซึ่งถือเป็นข้อมูลเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อการสำรวจและผลิตน้ำมัน หากคู่แข่งเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ อาจใช้เลียนแบบวิธีการของ Petrobras เพื่อลดต้นทุนหรือสร้างความได้เปรียบในการเจรจาสัญญา

    นอกจากนี้ Everest ยังเผยว่ามีการขโมยข้อมูลการสำรวจ Campos Basin ของ Petrobras รวมกว่า 90GB ครอบคลุมทั้งข้อมูล 3D และ 4D เช่น พิกัดเรือ, ความลึกของแหล่งพลังงาน, ความดันการยิง และการจัดเรียงอุปกรณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการเข้าถึงเอกสารการสำรวจภาคสนามอย่างละเอียด

    กลุ่มแฮกเกอร์ได้ตั้งเส้นตายให้ Petrobras ติดต่อผ่านแพลตฟอร์มเข้ารหัส Tox ภายใน 4 วัน พร้อมโพสต์ countdown timer หากไม่มีการตอบสนอง จะมีการดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งอาจหมายถึงการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะหรือขายต่อให้คู่แข่งในตลาดพลังงานโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดการโจมตี
    ขโมยข้อมูลการสำรวจทางทะเลกว่า 180GB
    รวมข้อมูลเชิงเทคนิค เช่น ตำแหน่งเรือและการตั้งค่าอุปกรณ์

    ผลกระทบต่อ Petrobras
    ข้อมูลสำรวจ Campos Basin กว่า 90GB ถูกขโมย
    อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการเจรจาสัญญา

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
    ข้อมูลเชิงกลยุทธ์อาจถูกนำไปใช้โดยคู่แข่ง
    เสี่ยงต่อการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะหากไม่ติดต่อกลับ

    ข้อควรระวังสำหรับองค์กรพลังงาน
    ต้องเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบสำรวจและจัดเก็บข้อมูล
    ควรมีแผนตอบสนองต่อ ransomware และการเจรจาอย่างรอบคอบ

    https://hackread.com/everest-ransomware-brazil-petrobras-breach/
    🛢️ Everest Ransomware โจมตี Petrobras ขโมยข้อมูลสำรวจน้ำมัน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 กลุ่ม Everest Ransomware ได้โพสต์ข้อมูลบนเว็บไซต์ dark web ของตนเอง โดยระบุว่าได้เจาะระบบของ Petrobras และบริษัทคู่ค้า SAExploration ขโมยข้อมูลการสำรวจทางทะเลกว่า 176GB ซึ่งในนั้นมากกว่า 90GB เป็นข้อมูลของ Petrobras โดยตรง ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วยรายละเอียดเชิงเทคนิค เช่น ตำแหน่งเรือ, การตั้งค่าอุปกรณ์, การอ่านค่าจาก hydrophone, ความลึกของการสำรวจ, เอกสารควบคุมคุณภาพ และรายงานการประมวลผลเบื้องต้น ซึ่งถือเป็นข้อมูลเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญต่อการสำรวจและผลิตน้ำมัน หากคู่แข่งเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ อาจใช้เลียนแบบวิธีการของ Petrobras เพื่อลดต้นทุนหรือสร้างความได้เปรียบในการเจรจาสัญญา นอกจากนี้ Everest ยังเผยว่ามีการขโมยข้อมูลการสำรวจ Campos Basin ของ Petrobras รวมกว่า 90GB ครอบคลุมทั้งข้อมูล 3D และ 4D เช่น พิกัดเรือ, ความลึกของแหล่งพลังงาน, ความดันการยิง และการจัดเรียงอุปกรณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการเข้าถึงเอกสารการสำรวจภาคสนามอย่างละเอียด กลุ่มแฮกเกอร์ได้ตั้งเส้นตายให้ Petrobras ติดต่อผ่านแพลตฟอร์มเข้ารหัส Tox ภายใน 4 วัน พร้อมโพสต์ countdown timer หากไม่มีการตอบสนอง จะมีการดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งอาจหมายถึงการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะหรือขายต่อให้คู่แข่งในตลาดพลังงานโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ ขโมยข้อมูลการสำรวจทางทะเลกว่า 180GB ➡️ รวมข้อมูลเชิงเทคนิค เช่น ตำแหน่งเรือและการตั้งค่าอุปกรณ์ ✅ ผลกระทบต่อ Petrobras ➡️ ข้อมูลสำรวจ Campos Basin กว่า 90GB ถูกขโมย ➡️ อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการเจรจาสัญญา ‼️ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ⛔ ข้อมูลเชิงกลยุทธ์อาจถูกนำไปใช้โดยคู่แข่ง ⛔ เสี่ยงต่อการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะหากไม่ติดต่อกลับ ‼️ ข้อควรระวังสำหรับองค์กรพลังงาน ⛔ ต้องเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในระบบสำรวจและจัดเก็บข้อมูล ⛔ ควรมีแผนตอบสนองต่อ ransomware และการเจรจาอย่างรอบคอบ https://hackread.com/everest-ransomware-brazil-petrobras-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Says It Breached Brazilian Energy Giant Petrobras
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • Border Patrol สหรัฐฯ ขยายการสอดส่องผู้ขับรถภายในประเทศ

    หน่วยงาน Border Patrol ของสหรัฐฯ ได้พัฒนาโครงการสอดส่องการเดินทางของประชาชนผ่านระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมที่คัดกรองเส้นทาง "น่าสงสัย" โดยไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดนอีกต่อไป แต่ขยายเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ และฟีนิกซ์ การดำเนินการนี้ทำให้ผู้ขับรถจำนวนมากถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย

    โครงการดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อราวสิบปีก่อนเพื่อปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติดและการค้ามนุษย์ แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้ขยายขอบเขตอย่างมาก โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น DEA และบริษัทเอกชนที่ให้บริการระบบอ่านป้ายทะเบียน ข้อมูลที่ได้ถูกนำไปใช้สร้าง "รูปแบบชีวิต" ของผู้ขับรถ เพื่อหาความผิดปกติในการเดินทาง

    นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเตือนว่า การสอดส่องในระดับมหภาคเช่นนี้อาจละเมิดสิทธิพลเมืองและขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการตีความมาตรา Fourth Amendment ที่คุ้มครองประชาชนจากการค้นและจับกุมโดยไม่มีเหตุผลอันควร หลายกรณีที่ถูกเปิดเผยพบว่าผู้ขับรถถูกหยุดเพียงเพราะเส้นทางสั้น ๆ ไปยังพื้นที่ชายแดน หรือเพราะใช้รถเช่า

    นอกจากนี้ยังมีการใช้เงินทุนจากโครงการ Operation Stonegarden เพื่อสนับสนุนตำรวจท้องถิ่นติดตั้งระบบสอดส่องและทำงานร่วมกับ Border Patrol ทำให้เครือข่ายการเฝ้าระวังขยายตัวอย่างกว้างขวาง นักเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองชี้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจสร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การสอดส่องของ Border Patrol
    ใช้กล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมตรวจจับเส้นทาง "น่าสงสัย"
    ขยายพื้นที่จากชายแดนเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ ฟีนิกซ์

    ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น
    DEA และบริษัทเอกชนให้ข้อมูลระบบอ่านป้ายทะเบียน
    ใช้งบประมาณจาก Operation Stonegarden สนับสนุนตำรวจท้องถิ่น

    ผลกระทบต่อประชาชน
    ผู้ขับรถถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานผิดกฎหมาย
    มีกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่าเป็นการละเมิดสิทธิพลเมือง

    คำเตือนด้านสิทธิมนุษยชน
    การสอดส่องในระดับมหภาคอาจละเมิดรัฐธรรมนูญ (Fourth Amendment)
    สร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐ

    ความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    การเก็บข้อมูลเส้นทางและพฤติกรรมการเดินทางอาจถูกนำไปใช้เกินขอบเขต
    เสี่ยงต่อการถูกตีความผิดและสร้างผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์

    https://apnews.com/article/immigration-border-patrol-surveillance-drivers-ice-trump-9f5d05469ce8c629d6fecf32d32098cd
    🚨 Border Patrol สหรัฐฯ ขยายการสอดส่องผู้ขับรถภายในประเทศ หน่วยงาน Border Patrol ของสหรัฐฯ ได้พัฒนาโครงการสอดส่องการเดินทางของประชาชนผ่านระบบกล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมที่คัดกรองเส้นทาง "น่าสงสัย" โดยไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดนอีกต่อไป แต่ขยายเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ และฟีนิกซ์ การดำเนินการนี้ทำให้ผู้ขับรถจำนวนมากถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย โครงการดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อราวสิบปีก่อนเพื่อปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติดและการค้ามนุษย์ แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้ขยายขอบเขตอย่างมาก โดยอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น DEA และบริษัทเอกชนที่ให้บริการระบบอ่านป้ายทะเบียน ข้อมูลที่ได้ถูกนำไปใช้สร้าง "รูปแบบชีวิต" ของผู้ขับรถ เพื่อหาความผิดปกติในการเดินทาง นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเตือนว่า การสอดส่องในระดับมหภาคเช่นนี้อาจละเมิดสิทธิพลเมืองและขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการตีความมาตรา Fourth Amendment ที่คุ้มครองประชาชนจากการค้นและจับกุมโดยไม่มีเหตุผลอันควร หลายกรณีที่ถูกเปิดเผยพบว่าผู้ขับรถถูกหยุดเพียงเพราะเส้นทางสั้น ๆ ไปยังพื้นที่ชายแดน หรือเพราะใช้รถเช่า นอกจากนี้ยังมีการใช้เงินทุนจากโครงการ Operation Stonegarden เพื่อสนับสนุนตำรวจท้องถิ่นติดตั้งระบบสอดส่องและทำงานร่วมกับ Border Patrol ทำให้เครือข่ายการเฝ้าระวังขยายตัวอย่างกว้างขวาง นักเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองชี้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจสร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การสอดส่องของ Border Patrol ➡️ ใช้กล้องอ่านป้ายทะเบียนและอัลกอริทึมตรวจจับเส้นทาง "น่าสงสัย" ➡️ ขยายพื้นที่จากชายแดนเข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ ฟีนิกซ์ ✅ ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ➡️ DEA และบริษัทเอกชนให้ข้อมูลระบบอ่านป้ายทะเบียน ➡️ ใช้งบประมาณจาก Operation Stonegarden สนับสนุนตำรวจท้องถิ่น ✅ ผลกระทบต่อประชาชน ➡️ ผู้ขับรถถูกหยุด ตรวจค้น และสอบสวน แม้ไม่มีหลักฐานผิดกฎหมาย ➡️ มีกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่าเป็นการละเมิดสิทธิพลเมือง ‼️ คำเตือนด้านสิทธิมนุษยชน ⛔ การสอดส่องในระดับมหภาคอาจละเมิดรัฐธรรมนูญ (Fourth Amendment) ⛔ สร้างบรรยากาศความหวาดระแวงและบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ⛔ การเก็บข้อมูลเส้นทางและพฤติกรรมการเดินทางอาจถูกนำไปใช้เกินขอบเขต ⛔ เสี่ยงต่อการถูกตีความผิดและสร้างผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ https://apnews.com/article/immigration-border-patrol-surveillance-drivers-ice-trump-9f5d05469ce8c629d6fecf32d32098cd
    APNEWS.COM
    Border Patrol is monitoring US drivers and detaining those with 'suspicious' travel patterns
    The U.S. Border Patrol is monitoring millions of American drivers nationwide in a secretive program to identify and detain people whose travel patterns it deems suspicious.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Nano Banana Pro: ก้าวใหม่ของการสร้างภาพด้วย AI

    Google DeepMind ได้เปิดตัว Nano Banana Pro ซึ่งเป็นโมเดลสร้างและแก้ไขภาพรุ่นล่าสุดที่ใช้ Gemini 3 Pro เป็นแกนหลัก จุดเด่นคือการสร้างภาพที่มีรายละเอียดสูง ความสามารถในการใส่ข้อความที่อ่านได้ชัดเจนในหลายภาษา และการเชื่อมโยงกับข้อมูลจริง เช่น สภาพอากาศหรือสูตรอาหาร เพื่อสร้างอินโฟกราฟิกที่มีสาระครบถ้วนและสวยงาม

    Nano Banana Pro ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างภาพ แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงไอเดียเป็นภาพที่มีความหมาย เช่น การทำอินโฟกราฟิกการเรียนรู้ การออกแบบโปสเตอร์ หรือแม้แต่การสร้างสตอรีบอร์ดสำหรับภาพยนตร์ ด้วยความสามารถด้าน reasoning ที่ลึกซึ้งของ Gemini 3 Pro ทำให้ภาพที่สร้างขึ้นมีความสมจริงและสอดคล้องกับบริบทมากขึ้น

    ความสามารถใหม่: ข้อความหลายภาษาและการเชื่อมโยงข้อมูลจริง
    หนึ่งในจุดแข็งของ Nano Banana Pro คือการสร้างข้อความที่อ่านได้ชัดเจนในภาพ ไม่ว่าจะเป็นสโลแกนสั้น ๆ หรือย่อหน้าที่ยาวขึ้น พร้อมรองรับหลายภาษาเพื่อการใช้งานระดับสากล ผู้ใช้สามารถสร้างโปสเตอร์ที่มีข้อความทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลี หรือออกแบบโลโก้ที่ใช้ตัวอักษรเชิงศิลป์ได้อย่างแม่นยำ

    นอกจากนี้ Nano Banana Pro ยังสามารถเชื่อมโยงกับ Google Search เพื่อดึงข้อมูลจริงมาใช้ เช่น การสร้างอินโฟกราฟิกเกี่ยวกับพืช การทำชา หรือการแสดงข้อมูลสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ทำให้ภาพที่ได้ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ยังมีสาระและความถูกต้องทางข้อมูล

    ควบคุมการสร้างภาพระดับสตูดิโอ
    Nano Banana Pro มาพร้อมความสามารถในการควบคุมภาพอย่างละเอียด เช่น การปรับโฟกัส การเปลี่ยนแสงจากกลางวันเป็นกลางคืน การจัดองค์ประกอบหลายตัวละครในฉากเดียว และการสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 4K สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างงานออกแบบที่มีความเป็นมืออาชีพ ตั้งแต่โฆษณาไปจนถึงงานศิลป์เชิงสร้างสรรค์

    Google ยังเพิ่มระบบ SynthID watermark เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่า ภาพที่สร้างขึ้นมาจาก AI ของ Google หรือไม่ ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในการใช้งาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Nano Banana Pro
    พัฒนาบน Gemini 3 Pro เพื่อสร้างภาพที่แม่นยำและมีข้อมูลจริง
    รองรับการใช้งานใน Google Ads, Workspace, Gemini App และ AI Studio

    ความสามารถด้านข้อความและภาษา
    สร้างข้อความที่อ่านได้ชัดเจนในหลายภาษา
    ใช้ตัวอักษรเชิงศิลป์และฟอนต์ที่หลากหลาย

    การเชื่อมโยงข้อมูลจริง
    ดึงข้อมูลจาก Google Search เช่น สภาพอากาศ สูตรอาหาร หรือข้อมูลพืช
    สร้างอินโฟกราฟิกที่มีสาระและความถูกต้อง

    การควบคุมภาพระดับมืออาชีพ
    ปรับแสง โฟกัส และองค์ประกอบภาพได้ละเอียด
    รองรับความละเอียดสูงสุด 4K และหลายอัตราส่วนภาพ

    คำเตือนด้านการใช้งาน AI
    แม้ภาพจะสวยงามและสมจริง แต่ยังคงเป็น Generative AI ที่อาจมีข้อผิดพลาด
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏในภาพก่อนนำไปใช้จริง

    https://blog.google/technology/ai/nano-banana-pro/
    🖼️ เปิดตัว Nano Banana Pro: ก้าวใหม่ของการสร้างภาพด้วย AI Google DeepMind ได้เปิดตัว Nano Banana Pro ซึ่งเป็นโมเดลสร้างและแก้ไขภาพรุ่นล่าสุดที่ใช้ Gemini 3 Pro เป็นแกนหลัก จุดเด่นคือการสร้างภาพที่มีรายละเอียดสูง ความสามารถในการใส่ข้อความที่อ่านได้ชัดเจนในหลายภาษา และการเชื่อมโยงกับข้อมูลจริง เช่น สภาพอากาศหรือสูตรอาหาร เพื่อสร้างอินโฟกราฟิกที่มีสาระครบถ้วนและสวยงาม Nano Banana Pro ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างภาพ แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลงไอเดียเป็นภาพที่มีความหมาย เช่น การทำอินโฟกราฟิกการเรียนรู้ การออกแบบโปสเตอร์ หรือแม้แต่การสร้างสตอรีบอร์ดสำหรับภาพยนตร์ ด้วยความสามารถด้าน reasoning ที่ลึกซึ้งของ Gemini 3 Pro ทำให้ภาพที่สร้างขึ้นมีความสมจริงและสอดคล้องกับบริบทมากขึ้น 🌍 ความสามารถใหม่: ข้อความหลายภาษาและการเชื่อมโยงข้อมูลจริง หนึ่งในจุดแข็งของ Nano Banana Pro คือการสร้างข้อความที่อ่านได้ชัดเจนในภาพ ไม่ว่าจะเป็นสโลแกนสั้น ๆ หรือย่อหน้าที่ยาวขึ้น พร้อมรองรับหลายภาษาเพื่อการใช้งานระดับสากล ผู้ใช้สามารถสร้างโปสเตอร์ที่มีข้อความทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลี หรือออกแบบโลโก้ที่ใช้ตัวอักษรเชิงศิลป์ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ Nano Banana Pro ยังสามารถเชื่อมโยงกับ Google Search เพื่อดึงข้อมูลจริงมาใช้ เช่น การสร้างอินโฟกราฟิกเกี่ยวกับพืช การทำชา หรือการแสดงข้อมูลสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ทำให้ภาพที่ได้ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ยังมีสาระและความถูกต้องทางข้อมูล 🎨 ควบคุมการสร้างภาพระดับสตูดิโอ Nano Banana Pro มาพร้อมความสามารถในการควบคุมภาพอย่างละเอียด เช่น การปรับโฟกัส การเปลี่ยนแสงจากกลางวันเป็นกลางคืน การจัดองค์ประกอบหลายตัวละครในฉากเดียว และการสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 4K สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างงานออกแบบที่มีความเป็นมืออาชีพ ตั้งแต่โฆษณาไปจนถึงงานศิลป์เชิงสร้างสรรค์ Google ยังเพิ่มระบบ SynthID watermark เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่า ภาพที่สร้างขึ้นมาจาก AI ของ Google หรือไม่ ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในการใช้งาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Nano Banana Pro ➡️ พัฒนาบน Gemini 3 Pro เพื่อสร้างภาพที่แม่นยำและมีข้อมูลจริง ➡️ รองรับการใช้งานใน Google Ads, Workspace, Gemini App และ AI Studio ✅ ความสามารถด้านข้อความและภาษา ➡️ สร้างข้อความที่อ่านได้ชัดเจนในหลายภาษา ➡️ ใช้ตัวอักษรเชิงศิลป์และฟอนต์ที่หลากหลาย ✅ การเชื่อมโยงข้อมูลจริง ➡️ ดึงข้อมูลจาก Google Search เช่น สภาพอากาศ สูตรอาหาร หรือข้อมูลพืช ➡️ สร้างอินโฟกราฟิกที่มีสาระและความถูกต้อง ✅ การควบคุมภาพระดับมืออาชีพ ➡️ ปรับแสง โฟกัส และองค์ประกอบภาพได้ละเอียด ➡️ รองรับความละเอียดสูงสุด 4K และหลายอัตราส่วนภาพ ‼️ คำเตือนด้านการใช้งาน AI ⛔ แม้ภาพจะสวยงามและสมจริง แต่ยังคงเป็น Generative AI ที่อาจมีข้อผิดพลาด ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏในภาพก่อนนำไปใช้จริง https://blog.google/technology/ai/nano-banana-pro/
    BLOG.GOOGLE
    Introducing Nano Banana Pro
    Nano Banana Pro is our new image generation and editing model from Google DeepMind.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อบิ๊กเล็ก “เสี้ยน” อยากแต่จะเจรจา GBC พี่ TOON จึงฝากถึงแบบนี้ (21/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #บิ๊กเล็ก #GBC #TOON #ชายแดนไทยกัมพูชา #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    เมื่อบิ๊กเล็ก “เสี้ยน” อยากแต่จะเจรจา GBC พี่ TOON จึงฝากถึงแบบนี้ (21/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #บิ๊กเล็ก #GBC #TOON #ชายแดนไทยกัมพูชา #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Chrono Divide: RTS คลาสสิกกลับมาอีกครั้งบนเว็บ

    Chrono Divide เป็นโครงการที่แฟนเกมสร้างขึ้นเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำของ Red Alert 2 เกมวางแผนแบบเรียลไทม์ในตำนานจากซีรีส์ Command & Conquer จุดเด่นคือสามารถเล่นได้โดยตรงผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมหรือปลั๊กอินเพิ่มเติม ทำให้เข้าถึงง่ายทั้งบน PC, Mac, มือถือ และแท็บเล็ต

    โปรเจกต์นี้เริ่มต้นจากการทดลองว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสร้างเกม RTS เต็มรูปแบบบนเว็บ และปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลจนมีระบบมัลติเพลเยอร์ที่ทำงานได้จริง รองรับแผนที่ดั้งเดิมทั้งหมด และมีระบบจัดอันดับผู้เล่นผ่าน Leaderboards

    ฟีเจอร์ที่ทันสมัยและรองรับการปรับแต่ง
    Chrono Divide ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเลียนแบบเกมต้นฉบับ แต่ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การเลือกใช้ระบบควบคุมแบบคลาสสิก (คลิกซ้าย) หรือแบบสมัยใหม่ (คลิกขวา), ระบบรีเพลย์เกม, และการรองรับม็อดที่สามารถติดตั้งได้ง่าย หลายม็อดของ Red Alert 2 สามารถใช้งานได้ทันทีหรือปรับแต่งเล็กน้อยก็เล่นได้

    นอกจากนี้ยังใช้ระบบ client-server ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อเสถียร ไม่ต้องยุ่งยากกับการตั้งค่า port forwarding หรือ firewall exceptions อีกต่อไป ทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมเกมได้สะดวกขึ้นมาก

    ชุมชนและการสนับสนุนโปรเจกต์
    Chrono Divide มีชุมชนผู้เล่นที่เชื่อมต่อผ่าน Discord, YouTube และ GitHub เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามการพัฒนา ตัวเกมยังคงอยู่ในสถานะ Beta และทีมงานเปิดรับการสนับสนุนจากผู้เล่นผ่านการบริจาค เพื่อช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์และการพัฒนาต่อเนื่อง

    แม้จะเป็นโปรเจกต์แฟนเมด แต่ Chrono Divide ก็ประกาศชัดเจนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Electronic Arts ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Command & Conquer และทำขึ้นเพื่อความสนุกของแฟนเกมโดยไม่หวังผลกำไร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การสร้าง Chrono Divide
    โปรเจกต์แฟนเมดที่นำ Red Alert 2 มาสร้างใหม่บนเว็บเบราว์เซอร์
    เล่นได้ทั้ง PC, Mac, มือถือ และแท็บเล็ต

    ฟีเจอร์หลัก
    รองรับมัลติเพลเยอร์และแผนที่ดั้งเดิมทั้งหมด
    ระบบควบคุมเลือกได้ทั้งแบบคลาสสิกและสมัยใหม่
    รองรับการติดตั้งม็อดง่าย ๆ

    ระบบเชื่อมต่อและชุมชน
    ใช้ client-server model เพื่อการเชื่อมต่อที่เสถียร
    มี Leaderboards และระบบรีเพลย์
    ชุมชนเชื่อมต่อผ่าน Discord, YouTube และ GitHub

    คำเตือนด้านลิขสิทธิ์และการใช้งาน
    Chrono Divide เป็นโปรเจกต์แฟนเมด ไม่เกี่ยวข้องกับ EA
    ยังอยู่ในสถานะ Beta อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ที่ไม่สมบูรณ์

    https://chronodivide.com/
    🎮 Chrono Divide: RTS คลาสสิกกลับมาอีกครั้งบนเว็บ Chrono Divide เป็นโครงการที่แฟนเกมสร้างขึ้นเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำของ Red Alert 2 เกมวางแผนแบบเรียลไทม์ในตำนานจากซีรีส์ Command & Conquer จุดเด่นคือสามารถเล่นได้โดยตรงผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมหรือปลั๊กอินเพิ่มเติม ทำให้เข้าถึงง่ายทั้งบน PC, Mac, มือถือ และแท็บเล็ต โปรเจกต์นี้เริ่มต้นจากการทดลองว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสร้างเกม RTS เต็มรูปแบบบนเว็บ และปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลจนมีระบบมัลติเพลเยอร์ที่ทำงานได้จริง รองรับแผนที่ดั้งเดิมทั้งหมด และมีระบบจัดอันดับผู้เล่นผ่าน Leaderboards ⚙️ ฟีเจอร์ที่ทันสมัยและรองรับการปรับแต่ง Chrono Divide ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเลียนแบบเกมต้นฉบับ แต่ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การเลือกใช้ระบบควบคุมแบบคลาสสิก (คลิกซ้าย) หรือแบบสมัยใหม่ (คลิกขวา), ระบบรีเพลย์เกม, และการรองรับม็อดที่สามารถติดตั้งได้ง่าย หลายม็อดของ Red Alert 2 สามารถใช้งานได้ทันทีหรือปรับแต่งเล็กน้อยก็เล่นได้ นอกจากนี้ยังใช้ระบบ client-server ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อเสถียร ไม่ต้องยุ่งยากกับการตั้งค่า port forwarding หรือ firewall exceptions อีกต่อไป ทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมเกมได้สะดวกขึ้นมาก 🌐 ชุมชนและการสนับสนุนโปรเจกต์ Chrono Divide มีชุมชนผู้เล่นที่เชื่อมต่อผ่าน Discord, YouTube และ GitHub เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามการพัฒนา ตัวเกมยังคงอยู่ในสถานะ Beta และทีมงานเปิดรับการสนับสนุนจากผู้เล่นผ่านการบริจาค เพื่อช่วยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์และการพัฒนาต่อเนื่อง แม้จะเป็นโปรเจกต์แฟนเมด แต่ Chrono Divide ก็ประกาศชัดเจนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Electronic Arts ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Command & Conquer และทำขึ้นเพื่อความสนุกของแฟนเกมโดยไม่หวังผลกำไร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การสร้าง Chrono Divide ➡️ โปรเจกต์แฟนเมดที่นำ Red Alert 2 มาสร้างใหม่บนเว็บเบราว์เซอร์ ➡️ เล่นได้ทั้ง PC, Mac, มือถือ และแท็บเล็ต ✅ ฟีเจอร์หลัก ➡️ รองรับมัลติเพลเยอร์และแผนที่ดั้งเดิมทั้งหมด ➡️ ระบบควบคุมเลือกได้ทั้งแบบคลาสสิกและสมัยใหม่ ➡️ รองรับการติดตั้งม็อดง่าย ๆ ✅ ระบบเชื่อมต่อและชุมชน ➡️ ใช้ client-server model เพื่อการเชื่อมต่อที่เสถียร ➡️ มี Leaderboards และระบบรีเพลย์ ➡️ ชุมชนเชื่อมต่อผ่าน Discord, YouTube และ GitHub ‼️ คำเตือนด้านลิขสิทธิ์และการใช้งาน ⛔ Chrono Divide เป็นโปรเจกต์แฟนเมด ไม่เกี่ยวข้องกับ EA ⛔ ยังอยู่ในสถานะ Beta อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ที่ไม่สมบูรณ์ https://chronodivide.com/
    CHRONODIVIDE.COM
    Red Alert 2: Chrono Divide
    Play now, in your web browser!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • พี่ทิตมาแล้วถามแทนคนไทย “เน็ตส่งไปเขมร” ที่มาตุ๋นคนไทย..สรุปตัดยัง! (21/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #พี่ทิต #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เน็ตชายแดน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    พี่ทิตมาแล้วถามแทนคนไทย “เน็ตส่งไปเขมร” ที่มาตุ๋นคนไทย..สรุปตัดยัง! (21/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #พี่ทิต #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #เน็ตชายแดน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • USPTO เตรียมทำให้สิทธิบัตรที่ผิดพลาด “แตะต้องไม่ได้”

    USPTO เสนอข้อบังคับใหม่ที่จะจำกัดกระบวนการ Inter Partes Review (IPR) ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กใช้ในการท้าทายสิทธิบัตรที่ออกโดยไม่ถูกต้อง หากข้อบังคับนี้มีผล จะทำให้ผู้ถูกฟ้องร้องแทบไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่าในการป้องกันตนเอง เพราะการต่อสู้ในศาลใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

    ความสำคัญของ IPR และตัวอย่างจริง
    IPR ถูกสร้างขึ้นโดยสภาคองเกรสในปี 2013 เพื่อให้มีการตรวจสอบสิทธิบัตรใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญใน Patent Trial and Appeal Board (PTAB) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเล็กและนักพัฒนาสามารถต่อสู้กับสิทธิบัตรที่ไม่สมควรได้โดยไม่ต้องเสียเงินมหาศาล ตัวอย่างเช่น:
    Podcasting Patent (Personal Audio) – EFF ใช้ IPR เพื่อล้มสิทธิบัตรที่อ้างว่า “คิดค้นพอดแคสต์”
    SportBrain Patent – สิทธิบัตรที่อ้างการอัปโหลดข้อมูลฟิตเนสถูกยกเลิกทุกข้อเรียกร้อง
    Shipping & Transit – Troll ที่ฟ้องธุรกิจหลายร้อยรายด้วยสิทธิบัตรการแจ้งเตือนการส่งของ สุดท้ายล้มเหลวเพราะ IPR

    ผลกระทบจากข้อบังคับใหม่
    ข้อบังคับใหม่จะ:
    บังคับให้ผู้ถูกฟ้องต้องเลือกว่าจะใช้ IPR หรือเก็บสิทธิ์ในการต่อสู้ในศาล แต่ไม่สามารถทำทั้งสองได้
    ทำให้สิทธิบัตรกลายเป็น “unchallengeable” หากเคยผ่านการต่อสู้ครั้งหนึ่ง แม้จะมีหลักฐานใหม่ในอนาคต
    ปิดกั้น IPR หากคดีในศาลมีแนวโน้มจะเดินหน้าเร็วกว่า PTAB

    สิ่งนี้จะทำให้ Patent Trolls มีอำนาจมากขึ้น และผู้ประกอบการรายเล็กแทบไม่มีทางเลือกในการป้องกันตนเอง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อเสนอใหม่ของ USPTO
    จำกัดการใช้ IPR ในการท้าทายสิทธิบัตร
    ทำให้สิทธิบัตรที่ผิดพลาดยังคงอยู่และถูกใช้ฟ้องร้อง

    ความสำคัญของ IPR
    เป็นช่องทางที่ธุรกิจเล็กและนักพัฒนาสามารถใช้ต่อสู้กับสิทธิบัตรที่ไม่สมควร
    ตัวอย่างจริงเช่น Podcasting Patent และ SportBrain

    คำเตือนต่อผู้ประกอบการและนักพัฒนา
    หากข้อบังคับมีผล จะทำให้การต่อสู้กับสิทธิบัตรที่ไม่ถูกต้องแทบเป็นไปไม่ได้
    เสี่ยงต่อการถูก Patent Trolls ใช้สิทธิบัตรกวาดฟ้องธุรกิจจำนวนมาก

    https://www.eff.org/deeplinks/2025/11/patent-office-about-make-bad-patents-untouchable
    ⚖️ USPTO เตรียมทำให้สิทธิบัตรที่ผิดพลาด “แตะต้องไม่ได้” USPTO เสนอข้อบังคับใหม่ที่จะจำกัดกระบวนการ Inter Partes Review (IPR) ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กใช้ในการท้าทายสิทธิบัตรที่ออกโดยไม่ถูกต้อง หากข้อบังคับนี้มีผล จะทำให้ผู้ถูกฟ้องร้องแทบไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่าในการป้องกันตนเอง เพราะการต่อสู้ในศาลใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก 🛡️ ความสำคัญของ IPR และตัวอย่างจริง IPR ถูกสร้างขึ้นโดยสภาคองเกรสในปี 2013 เพื่อให้มีการตรวจสอบสิทธิบัตรใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญใน Patent Trial and Appeal Board (PTAB) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเล็กและนักพัฒนาสามารถต่อสู้กับสิทธิบัตรที่ไม่สมควรได้โดยไม่ต้องเสียเงินมหาศาล ตัวอย่างเช่น: 🎗️ Podcasting Patent (Personal Audio) – EFF ใช้ IPR เพื่อล้มสิทธิบัตรที่อ้างว่า “คิดค้นพอดแคสต์” 🎗️ SportBrain Patent – สิทธิบัตรที่อ้างการอัปโหลดข้อมูลฟิตเนสถูกยกเลิกทุกข้อเรียกร้อง 🎗️ Shipping & Transit – Troll ที่ฟ้องธุรกิจหลายร้อยรายด้วยสิทธิบัตรการแจ้งเตือนการส่งของ สุดท้ายล้มเหลวเพราะ IPR 🚨 ผลกระทบจากข้อบังคับใหม่ ข้อบังคับใหม่จะ: 🎗️ บังคับให้ผู้ถูกฟ้องต้องเลือกว่าจะใช้ IPR หรือเก็บสิทธิ์ในการต่อสู้ในศาล แต่ไม่สามารถทำทั้งสองได้ 🎗️ ทำให้สิทธิบัตรกลายเป็น “unchallengeable” หากเคยผ่านการต่อสู้ครั้งหนึ่ง แม้จะมีหลักฐานใหม่ในอนาคต 🎗️ ปิดกั้น IPR หากคดีในศาลมีแนวโน้มจะเดินหน้าเร็วกว่า PTAB สิ่งนี้จะทำให้ Patent Trolls มีอำนาจมากขึ้น และผู้ประกอบการรายเล็กแทบไม่มีทางเลือกในการป้องกันตนเอง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อเสนอใหม่ของ USPTO ➡️ จำกัดการใช้ IPR ในการท้าทายสิทธิบัตร ➡️ ทำให้สิทธิบัตรที่ผิดพลาดยังคงอยู่และถูกใช้ฟ้องร้อง ✅ ความสำคัญของ IPR ➡️ เป็นช่องทางที่ธุรกิจเล็กและนักพัฒนาสามารถใช้ต่อสู้กับสิทธิบัตรที่ไม่สมควร ➡️ ตัวอย่างจริงเช่น Podcasting Patent และ SportBrain ‼️ คำเตือนต่อผู้ประกอบการและนักพัฒนา ⛔ หากข้อบังคับมีผล จะทำให้การต่อสู้กับสิทธิบัตรที่ไม่ถูกต้องแทบเป็นไปไม่ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการถูก Patent Trolls ใช้สิทธิบัตรกวาดฟ้องธุรกิจจำนวนมาก https://www.eff.org/deeplinks/2025/11/patent-office-about-make-bad-patents-untouchable
    WWW.EFF.ORG
    The Patent Office Is About To Make Bad Patents Untouchable
    The U.S. Patent and Trademark Office (USPTO) has proposed new rules that would effectively end the public’s ability to challenge improperly granted patents at the Patent Office itself. We need EFF supporters to file public comments opposing these rules this week. The USPTO is moving quickly, and staying silent will only help those who profit from abusive patents.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปลี่ยนมาใช้ Linux Gaming Desktop: CachyOS

    ผู้เขียนบทความทดลองเปลี่ยนจาก Windows มาใช้ CachyOS ซึ่งเป็นดิสโทร Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อการเล่นเกม จุดเด่นคือการใช้ kernel ที่ปรับแต่งพิเศษ และการตั้งค่าที่เน้นประสิทธิภาพ ทำให้เกมหลายเกมทำงานได้ลื่นไหลขึ้นเมื่อเทียบกับ Windows โดยเฉพาะเกมที่รองรับ Proton หรือ Steam Play

    นอกจากนี้ CachyOS ยังมีเครื่องมือช่วยจัดการไดรเวอร์และการตั้งค่ากราฟิก ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้ละเอียด เช่น การเลือก scheduler, การปรับแต่ง I/O, และการจัดการหน่วยความจำ เพื่อให้เหมาะสมกับการเล่นเกมแต่ละประเภท

    ข้อดีและความท้าทาย
    ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือ ประสิทธิภาพและความเสถียร ของระบบ รวมถึงความยืดหยุ่นในการปรับแต่งที่ Windows ไม่สามารถทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทาย เช่น:
    เกมบางเกมที่ใช้ anti-cheat ไม่รองรับ Linux ทำให้ไม่สามารถเล่นได้
    การตั้งค่าบางอย่างต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคมากกว่าปกติ
    เครื่องมือเสริม เช่น Discord หรือแอปสตรีมมิ่ง อาจมีฟีเจอร์ไม่ครบเท่าบน Windows

    บริบทที่กว้างขึ้น
    การเปลี่ยนมาใช้ Linux สำหรับเล่นเกมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากความสำเร็จของ Steam Deck และการพัฒนา Proton ที่ทำให้เกม Windows เล่นได้บน Linux โดยตรง CachyOS เป็นหนึ่งในดิสโทรที่พยายามผลักดันแนวคิดนี้ให้ไปไกลกว่าเดสก์ท็อปทั่วไป ด้วยการปรับแต่งเชิงลึกเพื่อให้ผู้เล่นได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CachyOS สำหรับเกมเมอร์
    ดิสโทร Linux ที่ปรับแต่ง kernel และระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม
    รองรับ Proton และ Steam Play ทำให้เล่นเกม Windows ได้จำนวนมาก

    ข้อดีที่พบ
    ประสิทธิภาพสูงขึ้นและเสถียรกว่า Windows ในบางเกม
    ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งระบบ

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    เกมที่ใช้ anti-cheat บางเกมไม่สามารถเล่นบน Linux ได้
    ต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคในการปรับแต่งและแก้ปัญหา
    แอปพลิเคชันเสริมบางตัวมีฟีเจอร์ไม่ครบเท่าบน Windows

    https://www.theverge.com/tech/823337/switching-linux-gaming-desktop-cachyos
    🎮 เปลี่ยนมาใช้ Linux Gaming Desktop: CachyOS ผู้เขียนบทความทดลองเปลี่ยนจาก Windows มาใช้ CachyOS ซึ่งเป็นดิสโทร Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อการเล่นเกม จุดเด่นคือการใช้ kernel ที่ปรับแต่งพิเศษ และการตั้งค่าที่เน้นประสิทธิภาพ ทำให้เกมหลายเกมทำงานได้ลื่นไหลขึ้นเมื่อเทียบกับ Windows โดยเฉพาะเกมที่รองรับ Proton หรือ Steam Play นอกจากนี้ CachyOS ยังมีเครื่องมือช่วยจัดการไดรเวอร์และการตั้งค่ากราฟิก ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งระบบได้ละเอียด เช่น การเลือก scheduler, การปรับแต่ง I/O, และการจัดการหน่วยความจำ เพื่อให้เหมาะสมกับการเล่นเกมแต่ละประเภท ⚙️ ข้อดีและความท้าทาย ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือ ประสิทธิภาพและความเสถียร ของระบบ รวมถึงความยืดหยุ่นในการปรับแต่งที่ Windows ไม่สามารถทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทาย เช่น: 🎗️ เกมบางเกมที่ใช้ anti-cheat ไม่รองรับ Linux ทำให้ไม่สามารถเล่นได้ 🎗️ การตั้งค่าบางอย่างต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคมากกว่าปกติ 🎗️ เครื่องมือเสริม เช่น Discord หรือแอปสตรีมมิ่ง อาจมีฟีเจอร์ไม่ครบเท่าบน Windows 🌐 บริบทที่กว้างขึ้น การเปลี่ยนมาใช้ Linux สำหรับเล่นเกมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากความสำเร็จของ Steam Deck และการพัฒนา Proton ที่ทำให้เกม Windows เล่นได้บน Linux โดยตรง CachyOS เป็นหนึ่งในดิสโทรที่พยายามผลักดันแนวคิดนี้ให้ไปไกลกว่าเดสก์ท็อปทั่วไป ด้วยการปรับแต่งเชิงลึกเพื่อให้ผู้เล่นได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CachyOS สำหรับเกมเมอร์ ➡️ ดิสโทร Linux ที่ปรับแต่ง kernel และระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม ➡️ รองรับ Proton และ Steam Play ทำให้เล่นเกม Windows ได้จำนวนมาก ✅ ข้อดีที่พบ ➡️ ประสิทธิภาพสูงขึ้นและเสถียรกว่า Windows ในบางเกม ➡️ ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งระบบ ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ⛔ เกมที่ใช้ anti-cheat บางเกมไม่สามารถเล่นบน Linux ได้ ⛔ ต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคในการปรับแต่งและแก้ปัญหา ⛔ แอปพลิเคชันเสริมบางตัวมีฟีเจอร์ไม่ครบเท่าบน Windows https://www.theverge.com/tech/823337/switching-linux-gaming-desktop-cachyos
    WWW.THEVERGE.COM
    Screw it, I’m installing Linux
    It’s the year of Linux on my desktop.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • อึ้ง! สื่ออาวุโสเล่าละเอียดยิบ ช่องทางพิเศษ “ส่งด่วนหอยเข้าเรือนจำ” (21/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สื่ออาวุโส #เรือนจำ #ประเด็นสังคม #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    อึ้ง! สื่ออาวุโสเล่าละเอียดยิบ ช่องทางพิเศษ “ส่งด่วนหอยเข้าเรือนจำ” (21/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สื่ออาวุโส #เรือนจำ #ประเด็นสังคม #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • AI อัจฉริยะปัญญาประดิษฐ์ จริงๆ แล้ว สร้างมาเพื่อใคร !!??

    บทความ What AI is Really For โดย Christopher Butler วิเคราะห์ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูก โอเวอร์ไฮป์จนกลายเป็นฟองสบู่ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการสะสมทรัพยากรและอำนาจ มากกว่าการสร้างคุณค่าแท้จริงในงานหรือสังคม

    AI: เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูกโอเวอร์ไฮป์
    Christopher Butler ชี้ว่า AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ เช่น การสังเคราะห์ข้อมูล การค้นหา และการสรุป แต่เมื่อถูกนำไปใช้ในงานขนาดใหญ่ เช่น การแทนที่กระบวนการทำงานทั้งระบบ กลับมีค่าใช้จ่ายสูงและผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า เขาเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอมและการโอเวอร์ไฮป์ของ Segway ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเปลี่ยนโลก แต่สุดท้ายก็เป็นเพียง “สกู๊ตเตอร์” ที่ไม่สมกับคำโฆษณา

    ฟองสบู่และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
    ตลาด AI ปัจจุบันถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่รายที่ลงทุนมหาศาลและพึ่งพากันเอง หากฟองสบู่แตก ผลกระทบจะรุนแรงกว่าฟองสบู่เทคโนโลยีในอดีต เพราะการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนรองรับ Butler เตือนว่าแม้ AI จะไม่ล้มเหลวทั้งหมด แต่การลดลงของมูลค่าตลาดจะส่งผลกระทบวงกว้าง

    ผลกระทบต่อสังคมและความจริง
    AI ยังสร้างความเสี่ยงต่อ “ความจริง” เพราะสามารถผลิตข้อมูลที่บิดเบือนและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าโซเชียลมีเดียในอดีต สิ่งนี้อาจทำให้สังคมสูญเสียความเชื่อมั่นในข้อมูลและระบบสื่อสาร Butler เปรียบเทียบว่าเป็นเหมือน “การทดลองระเบิดนิวเคลียร์กลางเมือง” ที่สร้างผลกระทบต่อสังคมโดยตรง

    จุดประสงค์ที่แท้จริง: โครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากร
    Butler เสนอ “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่า AI อาจเป็นเพียงหน้าฉากเพื่อการสะสมทรัพยากร เช่น ที่ดิน น้ำ และพลังงาน เนื่องจากการสร้างศูนย์ข้อมูล (datacenter) ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและประเทศ การควบคุมทรัพยากรเหล่านี้อาจสร้างอำนาจที่เหนือกว่ารัฐบาล และเปลี่ยนสมดุลอำนาจในสังคม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ
    เช่น การค้นหา สรุป และวิเคราะห์ข้อมูล
    แต่การใช้งานขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงและไม่คุ้มค่า

    ฟองสบู่ AI
    ตลาดถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย
    หากฟองสบู่แตกจะกระทบเศรษฐกิจรุนแรง

    คำเตือนด้านสังคมและข้อมูล
    AI สามารถสร้างข้อมูลบิดเบือนและทำลายความเชื่อมั่นในความจริง
    เสี่ยงต่อการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและการควบคุมสังคม

    คำเตือนด้านทรัพยากรและอำนาจ
    การสร้าง datacenter ต้องใช้ที่ดิน น้ำ และพลังงานมหาศาล
    อาจนำไปสู่การสะสมอำนาจเหนือรัฐและสังคม

    https://www.chrbutler.com/what-ai-is-really-for
    🤖 AI อัจฉริยะปัญญาประดิษฐ์ จริงๆ แล้ว สร้างมาเพื่อใคร !!?? บทความ What AI is Really For โดย Christopher Butler วิเคราะห์ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูก โอเวอร์ไฮป์จนกลายเป็นฟองสบู่ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการสะสมทรัพยากรและอำนาจ มากกว่าการสร้างคุณค่าแท้จริงในงานหรือสังคม 💡 AI: เทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ถูกโอเวอร์ไฮป์ Christopher Butler ชี้ว่า AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ เช่น การสังเคราะห์ข้อมูล การค้นหา และการสรุป แต่เมื่อถูกนำไปใช้ในงานขนาดใหญ่ เช่น การแทนที่กระบวนการทำงานทั้งระบบ กลับมีค่าใช้จ่ายสูงและผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า เขาเปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอมและการโอเวอร์ไฮป์ของ Segway ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเปลี่ยนโลก แต่สุดท้ายก็เป็นเพียง “สกู๊ตเตอร์” ที่ไม่สมกับคำโฆษณา ⚖️ ฟองสบู่และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ตลาด AI ปัจจุบันถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่รายที่ลงทุนมหาศาลและพึ่งพากันเอง หากฟองสบู่แตก ผลกระทบจะรุนแรงกว่าฟองสบู่เทคโนโลยีในอดีต เพราะการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนรองรับ Butler เตือนว่าแม้ AI จะไม่ล้มเหลวทั้งหมด แต่การลดลงของมูลค่าตลาดจะส่งผลกระทบวงกว้าง 🌍 ผลกระทบต่อสังคมและความจริง AI ยังสร้างความเสี่ยงต่อ “ความจริง” เพราะสามารถผลิตข้อมูลที่บิดเบือนและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าโซเชียลมีเดียในอดีต สิ่งนี้อาจทำให้สังคมสูญเสียความเชื่อมั่นในข้อมูลและระบบสื่อสาร Butler เปรียบเทียบว่าเป็นเหมือน “การทดลองระเบิดนิวเคลียร์กลางเมือง” ที่สร้างผลกระทบต่อสังคมโดยตรง 🏗️ จุดประสงค์ที่แท้จริง: โครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากร Butler เสนอ “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่า AI อาจเป็นเพียงหน้าฉากเพื่อการสะสมทรัพยากร เช่น ที่ดิน น้ำ และพลังงาน เนื่องจากการสร้างศูนย์ข้อมูล (datacenter) ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและประเทศ การควบคุมทรัพยากรเหล่านี้อาจสร้างอำนาจที่เหนือกว่ารัฐบาล และเปลี่ยนสมดุลอำนาจในสังคม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AI มีประโยชน์ในงานเล็ก ๆ ➡️ เช่น การค้นหา สรุป และวิเคราะห์ข้อมูล ➡️ แต่การใช้งานขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงและไม่คุ้มค่า ✅ ฟองสบู่ AI ➡️ ตลาดถูกครอบครองโดยบริษัทใหญ่ไม่กี่ราย ➡️ หากฟองสบู่แตกจะกระทบเศรษฐกิจรุนแรง ‼️ คำเตือนด้านสังคมและข้อมูล ⛔ AI สามารถสร้างข้อมูลบิดเบือนและทำลายความเชื่อมั่นในความจริง ⛔ เสี่ยงต่อการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและการควบคุมสังคม ‼️ คำเตือนด้านทรัพยากรและอำนาจ ⛔ การสร้าง datacenter ต้องใช้ที่ดิน น้ำ และพลังงานมหาศาล ⛔ อาจนำไปสู่การสะสมอำนาจเหนือรัฐและสังคม https://www.chrbutler.com/what-ai-is-really-for
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื้องหลังไฟร์วอลล์: ความท้าทายของผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์ที่มีความพิการ

    บทความจาก CSO Online เปิดเผยเรื่องราวของผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ที่มีความพิการหรือภาวะทางระบบประสาท (neurodivergent) ซึ่งยังคงเผชิญกับอคติและอุปสรรคในที่ทำงาน แม้ว่าอุตสาหกรรมจะพูดถึงความหลากหลายและการมีส่วนร่วมมากขึ้นก็ตาม

    เรื่องราวของ Daisy Wong
    Daisy Wong หัวหน้าฝ่าย Security Awareness ที่ Medibank เล่าว่าเมื่อเริ่มต้นในสายงาน เธอถูกตั้งคำถามเรื่องความสามารถทางกายภาพมากกว่าประสบการณ์จริง เช่น ผู้จัดการสนใจว่าเธอสามารถ “ชงชาแล้วเดินกลับโต๊ะได้หรือไม่” มากกว่าทักษะด้านไซเบอร์ ความไม่เข้าใจนี้ทำให้เธอต้องสร้าง personal brand เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้นำที่ผลักดันการสร้างวัฒนธรรมการเข้าถึง (Accessibility) ในองค์กร

    ประสบการณ์ของ Jacob Griffiths
    Jacob Griffiths นักวิเคราะห์ความเสี่ยงไซเบอร์ที่ Procare Cyber ต้องจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งส่งผลต่อสมาธิและพลังงาน เขาเล่าว่าการทำงานในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูงทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องยาก แต่โชคดีที่มีผู้จัดการที่เข้าใจและให้ความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าระบบทุนนิยมยังคงกดดันให้คนทำงานต้องผลิตผลงานโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านสุขภาพ

    จุดแข็งของ Angelina Liu
    Angelina Liu ผู้จัดการฝ่ายขายเชิงพาณิชย์ที่ SentinelOne พบว่า ADHD กลายเป็น “ซูเปอร์พาวเวอร์” ของเธอ เพราะช่วยให้คิดเร็ว มองเห็นรูปแบบที่คนอื่นอาจพลาด และปรับตัวได้ไวในสถานการณ์วิกฤติ แม้จะเคยเผชิญกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เป็นมิตร แต่เธอใช้ประสบการณ์นั้นมาเป็นแรงผลักดันในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจให้กับทีม และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและผู้ที่มีความแตกต่างทางระบบประสาทในวงการไซเบอร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    อุปสรรคที่พบในอุตสาหกรรมไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญที่มีความพิการยังถูกตั้งคำถามเรื่องความสามารถทางกายภาพมากกว่าทักษะจริง
    การขาดความเข้าใจทำให้โอกาสความก้าวหน้าถูกจำกัด

    ตัวอย่างแรงบันดาลใจ
    Daisy Wong ใช้ personal brand สร้างความน่าเชื่อถือและผลักดัน Accessibility
    Jacob Griffiths แสดงให้เห็นความสำคัญของผู้จัดการที่มี empathy
    Angelina Liu ใช้ ADHD เป็นจุดแข็งในการทำงานและสนับสนุนทีม

    คำเตือนต่อองค์กร
    หากไม่สร้างวัฒนธรรมที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย อาจสูญเสียบุคลากรที่มีศักยภาพสูง
    การละเลยความหลากหลายทำให้ทีมขาดมุมมองที่สำคัญต่อการแก้ปัญหาซับซ้อน

    https://www.csoonline.com/article/4089055/behind-the-firewall-the-hidden-struggles-of-cyber-professionals-with-a-disability.html
    🛡️ เบื้องหลังไฟร์วอลล์: ความท้าทายของผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์ที่มีความพิการ บทความจาก CSO Online เปิดเผยเรื่องราวของผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ที่มีความพิการหรือภาวะทางระบบประสาท (neurodivergent) ซึ่งยังคงเผชิญกับอคติและอุปสรรคในที่ทำงาน แม้ว่าอุตสาหกรรมจะพูดถึงความหลากหลายและการมีส่วนร่วมมากขึ้นก็ตาม 👩‍💻 เรื่องราวของ Daisy Wong Daisy Wong หัวหน้าฝ่าย Security Awareness ที่ Medibank เล่าว่าเมื่อเริ่มต้นในสายงาน เธอถูกตั้งคำถามเรื่องความสามารถทางกายภาพมากกว่าประสบการณ์จริง เช่น ผู้จัดการสนใจว่าเธอสามารถ “ชงชาแล้วเดินกลับโต๊ะได้หรือไม่” มากกว่าทักษะด้านไซเบอร์ ความไม่เข้าใจนี้ทำให้เธอต้องสร้าง personal brand เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และปัจจุบันเธอกลายเป็นผู้นำที่ผลักดันการสร้างวัฒนธรรมการเข้าถึง (Accessibility) ในองค์กร 💉 ประสบการณ์ของ Jacob Griffiths Jacob Griffiths นักวิเคราะห์ความเสี่ยงไซเบอร์ที่ Procare Cyber ต้องจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งส่งผลต่อสมาธิและพลังงาน เขาเล่าว่าการทำงานในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูงทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องยาก แต่โชคดีที่มีผู้จัดการที่เข้าใจและให้ความยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าระบบทุนนิยมยังคงกดดันให้คนทำงานต้องผลิตผลงานโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านสุขภาพ ⚡ จุดแข็งของ Angelina Liu Angelina Liu ผู้จัดการฝ่ายขายเชิงพาณิชย์ที่ SentinelOne พบว่า ADHD กลายเป็น “ซูเปอร์พาวเวอร์” ของเธอ เพราะช่วยให้คิดเร็ว มองเห็นรูปแบบที่คนอื่นอาจพลาด และปรับตัวได้ไวในสถานการณ์วิกฤติ แม้จะเคยเผชิญกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เป็นมิตร แต่เธอใช้ประสบการณ์นั้นมาเป็นแรงผลักดันในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจให้กับทีม และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้หญิงและผู้ที่มีความแตกต่างทางระบบประสาทในวงการไซเบอร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ อุปสรรคที่พบในอุตสาหกรรมไซเบอร์ ➡️ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความพิการยังถูกตั้งคำถามเรื่องความสามารถทางกายภาพมากกว่าทักษะจริง ➡️ การขาดความเข้าใจทำให้โอกาสความก้าวหน้าถูกจำกัด ✅ ตัวอย่างแรงบันดาลใจ ➡️ Daisy Wong ใช้ personal brand สร้างความน่าเชื่อถือและผลักดัน Accessibility ➡️ Jacob Griffiths แสดงให้เห็นความสำคัญของผู้จัดการที่มี empathy ➡️ Angelina Liu ใช้ ADHD เป็นจุดแข็งในการทำงานและสนับสนุนทีม ‼️ คำเตือนต่อองค์กร ⛔ หากไม่สร้างวัฒนธรรมที่ยืดหยุ่นและปลอดภัย อาจสูญเสียบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ⛔ การละเลยความหลากหลายทำให้ทีมขาดมุมมองที่สำคัญต่อการแก้ปัญหาซับซ้อน https://www.csoonline.com/article/4089055/behind-the-firewall-the-hidden-struggles-of-cyber-professionals-with-a-disability.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Behind the firewall: The hidden struggles of cyber professionals with a disability
    Three cybersecurity professionals share how they’ve navigated bias, built resilience, and found belonging in an industry still learning what true inclusion means.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว