• โดนเลยจ้า #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ทหารไทย
    โดนเลยจ้า💚🇹🇭 #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ทหารไทย
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 0 Reviews
  • #ชีวิตคือสมมุติ #ว่างว่างก็แวะมา
    #ชีวิตคือสมมุติ #ว่างว่างก็แวะมา
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 0 Reviews
  • ความเงียบ...นั้น ไม่ใช่ความว่างเปล่า
    Cr.Wiwan Boonya
    ความเงียบ...นั้น ไม่ใช่ความว่างเปล่า Cr.Wiwan Boonya
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • BIG Story | “ดำดินปล้น” สะท้านเมือง

    ย้อนแผนจารกรรมสุดอุกอาจเมื่อ 27 ปีก่อน กับคดี “ดำดินปล้น” สะเทือนเมือง โจรเจาะอุโมงค์ใต้ดินแอบลักลอบเข้าไปกลางธนาคาร งัดเซฟกวาดทรัพย์นับล้านอย่างแนบเนียน ก่อนหายตัวไร้ร่องรอย ตำรวจต้องใช้เวลาสืบข้ามปีในการล่า "โจรไร้เงา" คดีนี้จึงกลายเป็นตำนานปล้นที่ล้ำทั้งแผนและความกล้า

    ติดตามสารคดีเชิงข่าว BIG STORY: “ดำดินปล้น” สะท้านเมือง ได้ที่ Thaitimes App

    #BigStory #ดำดินปล้น #คดีปล้นธนาคาร #เจาะอุโมงค์ #โจรไร้เงา #คดีในตำนาน #ThaiTimes
    BIG Story | “ดำดินปล้น” สะท้านเมือง ย้อนแผนจารกรรมสุดอุกอาจเมื่อ 27 ปีก่อน กับคดี “ดำดินปล้น” สะเทือนเมือง โจรเจาะอุโมงค์ใต้ดินแอบลักลอบเข้าไปกลางธนาคาร งัดเซฟกวาดทรัพย์นับล้านอย่างแนบเนียน ก่อนหายตัวไร้ร่องรอย ตำรวจต้องใช้เวลาสืบข้ามปีในการล่า "โจรไร้เงา" คดีนี้จึงกลายเป็นตำนานปล้นที่ล้ำทั้งแผนและความกล้า 📲 ติดตามสารคดีเชิงข่าว BIG STORY: “ดำดินปล้น” สะท้านเมือง ได้ที่ Thaitimes App #BigStory #ดำดินปล้น #คดีปล้นธนาคาร #เจาะอุโมงค์ #โจรไร้เงา #คดีในตำนาน #ThaiTimes
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 0 Reviews
  • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดสั่งรัฐมนตรียุติธรรรมสหรัฐฯ แพม บอนดี เร่งดำเนินคดีเอาผิดศัตรูทางการเมืองของตัวเองทั้ง อดีตผอ.FBI เจมส์ โคมีย์ อัยการรัฐนิวยอร์กที่เคยเล่นงานบริษัท Trump Organization ในคดีฉ้อโกงธนาคาร และสว.พรรคเดโมแครตที่เดินหน้าการไต่สวนถอดถอนจากตำแหน่งสมัยแรก กลายเป็นผู้นำสหรัฐฯที่ใช้กระทรวงยุติธรรมที่ต้องเป็นอิสระเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090830

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดสั่งรัฐมนตรียุติธรรรมสหรัฐฯ แพม บอนดี เร่งดำเนินคดีเอาผิดศัตรูทางการเมืองของตัวเองทั้ง อดีตผอ.FBI เจมส์ โคมีย์ อัยการรัฐนิวยอร์กที่เคยเล่นงานบริษัท Trump Organization ในคดีฉ้อโกงธนาคาร และสว.พรรคเดโมแครตที่เดินหน้าการไต่สวนถอดถอนจากตำแหน่งสมัยแรก กลายเป็นผู้นำสหรัฐฯที่ใช้กระทรวงยุติธรรมที่ต้องเป็นอิสระเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090830 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • ฝรั่งเศสกับซาอุดีอาระเบีย ร่วมจัดประชุมผู้นำจากหลายสิบประเทศทั่วโลกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) เพื่อระดมความสนับสนุนในการแก้ไขวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ด้วยแนวทางให้ 2 ฝ่ายต่างมีฐานะเป็นรัฐอยู่เคียงคู่กัน โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะมีอีกหลายชาติใช้โอกาสหารือกันที่นิวยอร์กคราวนี้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ (21) 4 ชาติตะวันตก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และโปรตุเกส นำร่องไปก่อนแล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090833

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ฝรั่งเศสกับซาอุดีอาระเบีย ร่วมจัดประชุมผู้นำจากหลายสิบประเทศทั่วโลกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) เพื่อระดมความสนับสนุนในการแก้ไขวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ด้วยแนวทางให้ 2 ฝ่ายต่างมีฐานะเป็นรัฐอยู่เคียงคู่กัน โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะมีอีกหลายชาติใช้โอกาสหารือกันที่นิวยอร์กคราวนี้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์เพิ่มมากขึ้น หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ (21) 4 ชาติตะวันตก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, และโปรตุเกส นำร่องไปก่อนแล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090833 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Sad
    2
    1 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • KO กับ TKO ต่างกันอย่างไร 23/09/68 #กีฬาชกมวย #มวยสากล #K.O. #T.K.O. #น็อกเอาต์ #เทคนิเคิล น็อกเอาต์
    KO กับ TKO ต่างกันอย่างไร 23/09/68 #กีฬาชกมวย #มวยสากล #K.O. #T.K.O. #น็อกเอาต์ #เทคนิเคิล น็อกเอาต์
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 0 Reviews
  • “Git 3.0 อาจบังคับใช้ Rust — เมื่อระบบควบคุมเวอร์ชันระดับโลกเตรียมเปลี่ยนแกนหลักจาก C สู่ยุคใหม่แห่งความปลอดภัย”

    Git ซึ่งเป็นระบบควบคุมเวอร์ชันแบบกระจายที่ใช้กันทั่วโลก ตั้งแต่โครงการโอเพ่นซอร์สไปจนถึงซอฟต์แวร์ระดับองค์กร กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยในเดือนกันยายน 2025 มีการเสนอ RFC (Request for Comments) โดย Patrick Steinhardt เพื่อเตรียมให้ Rust กลายเป็นภาษาบังคับใน Git เวอร์ชัน 3.0 ที่จะมาถึงในอนาคต

    เป้าหมายของ RFC นี้ไม่ใช่การเขียน Git ใหม่ทั้งหมดด้วย Rust แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเวิร์กโฟลว์ที่รองรับการพัฒนาใน Rust ได้อย่างมั่นใจ โดยเริ่มจากการแยกส่วนของ xdiff และค่อย ๆ เพิ่มการใช้งาน Rust เข้าไปในระบบอย่างเป็นขั้นตอน

    เหตุผลหลักคือ Rust มีระบบจัดการหน่วยความจำที่ปลอดภัยกว่า C ซึ่งช่วยลดบั๊กประเภท memory corruption ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการดูแลรักษาโค้ดในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ Rust อาจทำให้การ build ซับซ้อนขึ้น และอาจไม่สามารถใช้งานได้ในบางแพลตฟอร์มที่ไม่มี toolchain ของ Rust ที่เสถียร เช่น อุปกรณ์ฝังตัวหรือระบบเก่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Git อาจบังคับใช้ Rust ในเวอร์ชัน 3.0 ตามข้อเสนอ RFC โดย Patrick Steinhardt2
    เป้าหมายคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ Rust โดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด
    Rust จะถูกนำมาใช้ในส่วนของ xdiff และค่อย ๆ ขยายไปยังส่วนอื่น
    Rust มีข้อดีด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำและการดูแลรักษาโค้ด

    แผนการเปลี่ยนผ่านและผลกระทบ
    จะมีการสร้าง CI jobs แบบ “breaking-changes” เพื่อทดสอบความเข้ากันได้
    การ build Git จะต้องใช้ Rust toolchain เป็นส่วนหนึ่งของระบบ
    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อการแจกจ่าย Git ในระบบที่ไม่รองรับ Rust
    การใช้ Meson build system จะช่วยให้การรวม Rust เป็นไปอย่างราบรื่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rust ถูกนำมาใช้ใน Linux kernel แล้ว และได้รับการสนับสนุนจาก Linus Torvalds
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มเปลี่ยนมาใช้ Rust เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
    Git 3.0 ยังมีแผนเปลี่ยนมาใช้ SHA-256 เป็นค่าแฮชเริ่มต้นแทน SHA-1
    การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่สุดของ Git ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2005

    https://news.itsfoss.com/git-3-rust/
    🦀 “Git 3.0 อาจบังคับใช้ Rust — เมื่อระบบควบคุมเวอร์ชันระดับโลกเตรียมเปลี่ยนแกนหลักจาก C สู่ยุคใหม่แห่งความปลอดภัย” Git ซึ่งเป็นระบบควบคุมเวอร์ชันแบบกระจายที่ใช้กันทั่วโลก ตั้งแต่โครงการโอเพ่นซอร์สไปจนถึงซอฟต์แวร์ระดับองค์กร กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยในเดือนกันยายน 2025 มีการเสนอ RFC (Request for Comments) โดย Patrick Steinhardt เพื่อเตรียมให้ Rust กลายเป็นภาษาบังคับใน Git เวอร์ชัน 3.0 ที่จะมาถึงในอนาคต เป้าหมายของ RFC นี้ไม่ใช่การเขียน Git ใหม่ทั้งหมดด้วย Rust แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและเวิร์กโฟลว์ที่รองรับการพัฒนาใน Rust ได้อย่างมั่นใจ โดยเริ่มจากการแยกส่วนของ xdiff และค่อย ๆ เพิ่มการใช้งาน Rust เข้าไปในระบบอย่างเป็นขั้นตอน เหตุผลหลักคือ Rust มีระบบจัดการหน่วยความจำที่ปลอดภัยกว่า C ซึ่งช่วยลดบั๊กประเภท memory corruption ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการดูแลรักษาโค้ดในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้ Rust อาจทำให้การ build ซับซ้อนขึ้น และอาจไม่สามารถใช้งานได้ในบางแพลตฟอร์มที่ไม่มี toolchain ของ Rust ที่เสถียร เช่น อุปกรณ์ฝังตัวหรือระบบเก่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Git อาจบังคับใช้ Rust ในเวอร์ชัน 3.0 ตามข้อเสนอ RFC โดย Patrick Steinhardt2 ➡️ เป้าหมายคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ Rust โดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด ➡️ Rust จะถูกนำมาใช้ในส่วนของ xdiff และค่อย ๆ ขยายไปยังส่วนอื่น ➡️ Rust มีข้อดีด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำและการดูแลรักษาโค้ด ✅ แผนการเปลี่ยนผ่านและผลกระทบ ➡️ จะมีการสร้าง CI jobs แบบ “breaking-changes” เพื่อทดสอบความเข้ากันได้ ➡️ การ build Git จะต้องใช้ Rust toolchain เป็นส่วนหนึ่งของระบบ ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อการแจกจ่าย Git ในระบบที่ไม่รองรับ Rust ➡️ การใช้ Meson build system จะช่วยให้การรวม Rust เป็นไปอย่างราบรื่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rust ถูกนำมาใช้ใน Linux kernel แล้ว และได้รับการสนับสนุนจาก Linus Torvalds ➡️ หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มเปลี่ยนมาใช้ Rust เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ➡️ Git 3.0 ยังมีแผนเปลี่ยนมาใช้ SHA-256 เป็นค่าแฮชเริ่มต้นแทน SHA-1 ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่สุดของ Git ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2005 https://news.itsfoss.com/git-3-rust/
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • “LMDE 7 ‘Gigi’ Beta เปิดตัวแล้ว — พลัง Debian 13 ผสาน Mint 22.2 พร้อมรองรับ Arrow Lake และ Raspberry Pi 5”

    Linux Mint Debian Edition หรือ LMDE 7 รหัส “Gigi” ได้เปิดตัวเวอร์ชัน Beta อย่างเป็นทางการ โดยเป็นการผสานความเสถียรของ Debian 13 “Trixie” เข้ากับความเป็นมิตรของ Linux Mint 22.2 “Zara” เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการที่พร้อมใช้งานแม้ในวันที่ Ubuntu หายไปจากโลก

    LMDE ถูกออกแบบมาเพื่อให้ Linux Mint สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Ubuntu โดยใช้ฐานแพ็กเกจจาก Debian ซึ่งมีความเสถียรสูงและเหมาะกับการใช้งานระยะยาว โดยเวอร์ชันใหม่นี้ใช้ Linux Kernel 6.12 ที่รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่าง Intel Arrow Lake, Lunar Lake, AMD RDNA 4 และ Raspberry Pi 5 ได้ดีขึ้น

    ในด้านซอฟต์แวร์ LMDE 7 ได้รับการอัปเกรดจาก Mint 22.2 อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Software Manager ที่แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบได้ชัดเจน, แอปใหม่สำหรับสแกนลายนิ้วมือชื่อ Fingwit, Hypnotix ที่มีโหมด Theater และ Borderless, Sticky Notes ที่รองรับ Wayland และหน้าจอล็อกอินที่มีเอฟเฟกต์เบลอ

    นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่ง libAdwaita ให้ทำงานร่วมกับธีมของ Mint ได้อย่างกลมกลืน และเพิ่มการรองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่ต้องการพรีโหลด LMDE 7 ลงในเครื่องก่อนส่งถึงลูกค้า

    อย่างไรก็ตาม LMDE 7 Beta ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบผลิต เพราะยังอยู่ในช่วงทดสอบ และยังไม่มีประกาศวันเปิดตัวเวอร์ชันเสถียรอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    LMDE 7 “Gigi” Beta ใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานระบบ
    ใช้ Linux Kernel 6.12 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Arrow Lake และ Raspberry Pi 5
    ได้รับฟีเจอร์จาก Mint 22.2 “Zara” อย่างครบถ้วน
    รองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์

    ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง
    Software Manager แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบ
    Fingwit แอปใหม่สำหรับการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ
    Hypnotix เพิ่มโหมด Theater และ Borderless
    Sticky Notes รองรับ Wayland และมีมุมโค้งสวยงาม
    หน้าจอล็อกอินใหม่มีเอฟเฟกต์เบลอและแสดงรูปโปรไฟล์ผู้ใช้
    libAdwaita ถูกแพตช์ให้รองรับธีม Mint-Y, Mint-X และ Mint-L
    เพิ่มการรองรับ EDID-based color correction ใน XViewer
    WebApp Manager รองรับการแก้ไขคำอธิบายของแอป
    Warpinator มีแอป iOS สำหรับแชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LMDE มีเป้าหมายเพื่อให้ Mint อยู่รอดได้หาก Ubuntu หยุดพัฒนา
    Debian 13 “Trixie” มาพร้อม APT 3.0 และ Solver3 ที่จัดการ dependency ได้ดีขึ้น
    ระบบ /tmp ถูกปรับให้เก็บไฟล์ชั่วคราวใน RAM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    Cinnamon 6.4.12 เป็นเดสก์ท็อปหลักของ LMDE 7 Beta
    LMDE 7 รองรับเฉพาะระบบ 64-bit เนื่องจาก Debian 13 ยกเลิกการสนับสนุน i386

    https://news.itsfoss.com/lmde-7-beta/
    🐧 “LMDE 7 ‘Gigi’ Beta เปิดตัวแล้ว — พลัง Debian 13 ผสาน Mint 22.2 พร้อมรองรับ Arrow Lake และ Raspberry Pi 5” Linux Mint Debian Edition หรือ LMDE 7 รหัส “Gigi” ได้เปิดตัวเวอร์ชัน Beta อย่างเป็นทางการ โดยเป็นการผสานความเสถียรของ Debian 13 “Trixie” เข้ากับความเป็นมิตรของ Linux Mint 22.2 “Zara” เพื่อสร้างระบบปฏิบัติการที่พร้อมใช้งานแม้ในวันที่ Ubuntu หายไปจากโลก LMDE ถูกออกแบบมาเพื่อให้ Linux Mint สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Ubuntu โดยใช้ฐานแพ็กเกจจาก Debian ซึ่งมีความเสถียรสูงและเหมาะกับการใช้งานระยะยาว โดยเวอร์ชันใหม่นี้ใช้ Linux Kernel 6.12 ที่รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่าง Intel Arrow Lake, Lunar Lake, AMD RDNA 4 และ Raspberry Pi 5 ได้ดีขึ้น ในด้านซอฟต์แวร์ LMDE 7 ได้รับการอัปเกรดจาก Mint 22.2 อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Software Manager ที่แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบได้ชัดเจน, แอปใหม่สำหรับสแกนลายนิ้วมือชื่อ Fingwit, Hypnotix ที่มีโหมด Theater และ Borderless, Sticky Notes ที่รองรับ Wayland และหน้าจอล็อกอินที่มีเอฟเฟกต์เบลอ นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่ง libAdwaita ให้ทำงานร่วมกับธีมของ Mint ได้อย่างกลมกลืน และเพิ่มการรองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ที่ต้องการพรีโหลด LMDE 7 ลงในเครื่องก่อนส่งถึงลูกค้า อย่างไรก็ตาม LMDE 7 Beta ยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบผลิต เพราะยังอยู่ในช่วงทดสอบ และยังไม่มีประกาศวันเปิดตัวเวอร์ชันเสถียรอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ LMDE 7 “Gigi” Beta ใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานระบบ ➡️ ใช้ Linux Kernel 6.12 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น Arrow Lake และ Raspberry Pi 5 ➡️ ได้รับฟีเจอร์จาก Mint 22.2 “Zara” อย่างครบถ้วน ➡️ รองรับการติดตั้งแบบ OEM สำหรับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ✅ ฟีเจอร์ใหม่และการปรับปรุง ➡️ Software Manager แสดงความแตกต่างระหว่าง Flatpak กับแพ็กเกจระบบ ➡️ Fingwit แอปใหม่สำหรับการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ ➡️ Hypnotix เพิ่มโหมด Theater และ Borderless ➡️ Sticky Notes รองรับ Wayland และมีมุมโค้งสวยงาม ➡️ หน้าจอล็อกอินใหม่มีเอฟเฟกต์เบลอและแสดงรูปโปรไฟล์ผู้ใช้ ➡️ libAdwaita ถูกแพตช์ให้รองรับธีม Mint-Y, Mint-X และ Mint-L ➡️ เพิ่มการรองรับ EDID-based color correction ใน XViewer ➡️ WebApp Manager รองรับการแก้ไขคำอธิบายของแอป ➡️ Warpinator มีแอป iOS สำหรับแชร์ไฟล์ข้ามอุปกรณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LMDE มีเป้าหมายเพื่อให้ Mint อยู่รอดได้หาก Ubuntu หยุดพัฒนา ➡️ Debian 13 “Trixie” มาพร้อม APT 3.0 และ Solver3 ที่จัดการ dependency ได้ดีขึ้น ➡️ ระบบ /tmp ถูกปรับให้เก็บไฟล์ชั่วคราวใน RAM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Cinnamon 6.4.12 เป็นเดสก์ท็อปหลักของ LMDE 7 Beta ➡️ LMDE 7 รองรับเฉพาะระบบ 64-bit เนื่องจาก Debian 13 ยกเลิกการสนับสนุน i386 https://news.itsfoss.com/lmde-7-beta/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    LMDE 7 "Gigi" Beta Released With Debian 13 Base
    LMDE 7 is shaping up well, but you will need to wait a little longer for the final release.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • “APT เตรียมเพิ่มคำสั่งดูประวัติการติดตั้งแพ็กเกจ — ยกระดับการจัดการระบบ Linux ให้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น”

    ใครที่เคยใช้ Linux โดยเฉพาะสาย Debian และ Ubuntu คงคุ้นเคยกับคำสั่ง apt สำหรับติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ที่ผ่านมา หากต้องการดูว่าเคยติดตั้งหรือถอดถอนแพ็กเกจอะไรไปบ้าง ต้องใช้คำสั่งระดับล่างอย่าง dpkg ร่วมกับ grep หรือเปิดไฟล์ log ด้วยมือ ซึ่งไม่สะดวกและไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ทั่วไป

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 มีการเสนอฟีเจอร์ใหม่ให้กับ apt โดยเพิ่มคำสั่งย่อยสองตัวคือ apt history-list และ apt history-info เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด หรือถอดถอนแพ็กเกจได้โดยตรงจาก apt โดยไม่ต้องพึ่ง log file หรือคำสั่งซับซ้อนอีกต่อไป

    apt history-list จะใช้แสดงรายการธุรกรรมทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับแพ็กเกจในระบบ

    apt history-info จะใช้ดูรายละเอียดของธุรกรรมแต่ละรายการ เช่น ติดตั้งเมื่อไร มีแพ็กเกจใดเกี่ยวข้องบ้าง

    ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบจัดการแพ็กเกจ DNF ของ Fedora ที่มีคำสั่ง dnf history list และ dnf history info มานานแล้ว โดยนักพัฒนาเชื่อว่าการเพิ่มฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การตรวจสอบย้อนหลัง การแก้ไขปัญหา และการทำ auditing ระบบเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก

    นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงว่า apt เวอร์ชัน 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวก็มีหลายฟีเจอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก DNF เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพัฒนา apt ให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    apt เตรียมเพิ่มคำสั่งใหม่ apt history-list และ apt history-info
    ใช้สำหรับดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด และถอดถอนแพ็กเกจในระบบ
    ไม่ต้องพึ่ง dpkg หรือเปิด log file ด้วยมืออีกต่อไป
    ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสั่ง dnf history ของ Fedora

    ประโยชน์ต่อผู้ดูแลระบบและผู้ใช้
    ช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่ายขึ้น เช่น “ติดตั้งแพ็กเกจนี้เมื่อไร”
    ลดความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาและการ audit ระบบ
    เพิ่มความสะดวกในการทำงาน DevOps และการจัดการเซิร์ฟเวอร์
    apt เวอร์ชันใหม่มีแนวโน้มพัฒนาให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DNF ของ Fedora มีระบบ history มานาน และได้รับความนิยมในกลุ่ม sysadmin
    Debian และ Ubuntu ใช้ apt เป็นระบบหลักในการจัดการแพ็กเกจ
    log ของ apt เดิมอยู่ใน /var/log/apt/history.log ซึ่งต้องเปิดอ่านด้วยมือ
    apt history จะช่วยให้การทำ snapshot และ rollback ระบบง่ายขึ้นในอนาคต

    https://news.itsfoss.com/apt-upcoming-history-features/
    📜 “APT เตรียมเพิ่มคำสั่งดูประวัติการติดตั้งแพ็กเกจ — ยกระดับการจัดการระบบ Linux ให้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น” ใครที่เคยใช้ Linux โดยเฉพาะสาย Debian และ Ubuntu คงคุ้นเคยกับคำสั่ง apt สำหรับติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ที่ผ่านมา หากต้องการดูว่าเคยติดตั้งหรือถอดถอนแพ็กเกจอะไรไปบ้าง ต้องใช้คำสั่งระดับล่างอย่าง dpkg ร่วมกับ grep หรือเปิดไฟล์ log ด้วยมือ ซึ่งไม่สะดวกและไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ทั่วไป ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 มีการเสนอฟีเจอร์ใหม่ให้กับ apt โดยเพิ่มคำสั่งย่อยสองตัวคือ apt history-list และ apt history-info เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด หรือถอดถอนแพ็กเกจได้โดยตรงจาก apt โดยไม่ต้องพึ่ง log file หรือคำสั่งซับซ้อนอีกต่อไป 🗝️ apt history-list จะใช้แสดงรายการธุรกรรมทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับแพ็กเกจในระบบ 🗝️ apt history-info จะใช้ดูรายละเอียดของธุรกรรมแต่ละรายการ เช่น ติดตั้งเมื่อไร มีแพ็กเกจใดเกี่ยวข้องบ้าง ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบจัดการแพ็กเกจ DNF ของ Fedora ที่มีคำสั่ง dnf history list และ dnf history info มานานแล้ว โดยนักพัฒนาเชื่อว่าการเพิ่มฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การตรวจสอบย้อนหลัง การแก้ไขปัญหา และการทำ auditing ระบบเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงว่า apt เวอร์ชัน 3.0 ที่เพิ่งเปิดตัวก็มีหลายฟีเจอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก DNF เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพัฒนา apt ให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ apt เตรียมเพิ่มคำสั่งใหม่ apt history-list และ apt history-info ➡️ ใช้สำหรับดูประวัติการติดตั้ง อัปเกรด และถอดถอนแพ็กเกจในระบบ ➡️ ไม่ต้องพึ่ง dpkg หรือเปิด log file ด้วยมืออีกต่อไป ➡️ ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสั่ง dnf history ของ Fedora ✅ ประโยชน์ต่อผู้ดูแลระบบและผู้ใช้ ➡️ ช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่ายขึ้น เช่น “ติดตั้งแพ็กเกจนี้เมื่อไร” ➡️ ลดความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาและการ audit ระบบ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน DevOps และการจัดการเซิร์ฟเวอร์ ➡️ apt เวอร์ชันใหม่มีแนวโน้มพัฒนาให้ทันสมัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DNF ของ Fedora มีระบบ history มานาน และได้รับความนิยมในกลุ่ม sysadmin ➡️ Debian และ Ubuntu ใช้ apt เป็นระบบหลักในการจัดการแพ็กเกจ ➡️ log ของ apt เดิมอยู่ใน /var/log/apt/history.log ซึ่งต้องเปิดอ่านด้วยมือ ➡️ apt history จะช่วยให้การทำ snapshot และ rollback ระบบง่ายขึ้นในอนาคต https://news.itsfoss.com/apt-upcoming-history-features/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Apt Command is Finally Getting the Much Needed History Features
    In the upcoming versions of apt, you'll be able to see the history of package transactions and get details on them.
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง”

    ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต

    FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก

    ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น

    หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons

    FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส
    ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB
    รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization

    ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์
    รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก
    หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail
    กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP
    แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2
    พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons
    เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้
    ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls
    รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM
    ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ
    Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา

    https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    📱 “Furi Labs เปิดตัว FLX1s — สมาร์ตโฟน Linux พร้อมสวิตช์ตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม เพื่อความเป็นส่วนตัวระดับสูง” ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งหายาก Furi Labs บริษัทจากฮ่องกงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Linux รุ่นใหม่ชื่อ FLX1s ที่มาพร้อมแนวคิด “ควบคุมฮาร์ดแวร์ด้วยมือคุณ” โดยมีสวิตช์ตัดการทำงานของไมโครโฟน กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส แบบฮาร์ดแวร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่าไม่มีการแอบฟังหรือติดตามโดยไม่ได้รับอนุญาต FLX1s ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900 พร้อม RAM 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB รองรับ microSD สูงสุด 1TB แม้สเปกจะไม่เทียบเท่าเรือธง แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก ระบบปฏิบัติการที่ใช้คือ FuriOS ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐาน Debian และ Mobian รองรับการใช้งานหลายระบบพร้อมกันผ่าน KVM virtualization และสามารถรันแอป Android ผ่าน container แยกที่ไม่เชื่อมต่อกับระบบหลัก เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 1600x720 รีเฟรชเรต 90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail กล้องหลัง 20MP + 2MP macro และกล้องหน้า 13MP แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB-C 2.0 ตัวเครื่องใช้โครงสร้างแบบ polycarbonate + metal buttons FLX1s เปิดให้พรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว และล็อตที่สองจะเริ่มผลิตภายในตุลาคม 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FLX1s เป็นสมาร์ตโฟน Linux จาก Furi Labs ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ มีสวิตช์ฮาร์ดแวร์ 3 ตัวสำหรับตัดไมค์ กล้อง และโมเด็ม/จีพีเอส ➡️ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 900, RAM 8GB, ROM 128GB, รองรับ microSD สูงสุด 1TB ➡️ รัน FuriOS ซึ่งเป็น Debian-based OS รองรับ multi-boot และ virtualization ✅ ฟีเจอร์เด่นของระบบและฮาร์ดแวร์ ➡️ รองรับแอป Android ผ่าน container แยกจากระบบหลัก ➡️ หน้าจอ 6.7 นิ้ว @90Hz พร้อมกระจก AGC Dragontrail ➡️ กล้องหลัง 20MP + 2MP macro, กล้องหน้า 13MP ➡️ แบตเตอรี่ 5,000mAh, รองรับ 5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.2 ➡️ พอร์ต USB-C 2.0, ไม่มีช่องหูฟัง, ตัวเครื่องใช้ polycarbonate + metal buttons ➡️ เปิดพรีออร์เดอร์ในราคา $550 โดยล็อตแรกขายหมดแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FLX1s ใช้ Halium และ Libhybris เพื่อให้ Linux ใช้ไดรเวอร์ Android ได้ ➡️ ระบบโทรศัพท์ใช้ stack ofono2mm และ GNOME Calls ➡️ รองรับ Ubuntu Touch และระบบอื่นผ่าน KVM ➡️ ไม่มีการส่ง telemetry หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์โดยอัตโนมัติ ➡️ Furi Labs เปิดซอร์สโค้ดทั้งหมดบน GitHub เพื่อให้ชุมชนร่วมพัฒนา https://news.itsfoss.com/furi-labs-flx1s/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    This $550 Linux Phone Has Kill Switches That Protect Your Privacy
    This smartphone has hardware switches for the microphone, cameras, and modem/GPS.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • “OpenAI จับมือ NVIDIA สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ — ก้าวใหม่สู่ยุค Superintelligence ด้วยพลัง GPU นับล้านตัว”

    วันที่ 22 กันยายน 2025 OpenAI และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI รุ่นถัดไป โดยมีแผนจะติดตั้งระบบของ NVIDIA รวมพลังงานสูงถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ GPU หลายล้านตัว เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ระดับ Superintelligence ในอนาคต

    NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุดถึง $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI โดยจะทยอยลงทุนตามการติดตั้งแต่ละกิกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะเริ่มใช้งานในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งเป็นระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI รุ่นใหม่ของ NVIDIA ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่และการประมวลผลแบบกระจาย

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นจาก compute” และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานนี้จะเป็นรากฐานของเศรษฐกิจแห่งอนาคต ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ย้ำว่า “นี่คือก้าวกระโดดครั้งใหม่” หลังจากที่ทั้งสองบริษัทผลักดันกันมาตั้งแต่ยุค DGX จนถึง ChatGPT

    ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการ co-optimize ระหว่างซอฟต์แวร์ของ OpenAI และฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เพื่อให้การฝึกโมเดลและการใช้งานจริงมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก

    OpenAI ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคน และมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในองค์กรทั่วโลก ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการขยายขอบเขตของ AI ให้เข้าถึงผู้คนในระดับมหภาค

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ NVIDIA ร่วมมือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 10 กิกะวัตต์
    NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุด $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI ตามการติดตั้งแต่ละเฟส
    เฟสแรกจะเริ่มใช้งานในครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin
    ใช้ GPU หลายล้านตัวเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลระดับ Superintelligence

    ความร่วมมือและการพัฒนา
    OpenAI และ NVIDIA จะ co-optimize ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ร่วมกัน
    ทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners
    OpenAI มีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคนทั่วโลก
    ความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภารกิจของ OpenAI ในการสร้าง AGI เพื่อมนุษยชาติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    10 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของเมืองขนาดกลาง
    Vera Rubin เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่องาน AI ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
    การลงทุนระดับนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้าน compute infrastructure ที่รุนแรงขึ้น
    การใช้ GPU จำนวนมากต้องการระบบระบายความร้อนและพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง

    https://openai.com/index/openai-nvidia-systems-partnership/

    ⚡ “OpenAI จับมือ NVIDIA สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ — ก้าวใหม่สู่ยุค Superintelligence ด้วยพลัง GPU นับล้านตัว” วันที่ 22 กันยายน 2025 OpenAI และ NVIDIA ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI รุ่นถัดไป โดยมีแผนจะติดตั้งระบบของ NVIDIA รวมพลังงานสูงถึง 10 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ GPU หลายล้านตัว เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ระดับ Superintelligence ในอนาคต NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุดถึง $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI โดยจะทยอยลงทุนตามการติดตั้งแต่ละกิกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะเริ่มใช้งานในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ซึ่งเป็นระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI รุ่นใหม่ของ NVIDIA ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่และการประมวลผลแบบกระจาย Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นจาก compute” และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานนี้จะเป็นรากฐานของเศรษฐกิจแห่งอนาคต ขณะที่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ย้ำว่า “นี่คือก้าวกระโดดครั้งใหม่” หลังจากที่ทั้งสองบริษัทผลักดันกันมาตั้งแต่ยุค DGX จนถึง ChatGPT ความร่วมมือนี้ยังรวมถึงการ co-optimize ระหว่างซอฟต์แวร์ของ OpenAI และฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เพื่อให้การฝึกโมเดลและการใช้งานจริงมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก OpenAI ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคน และมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในองค์กรทั่วโลก ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการขยายขอบเขตของ AI ให้เข้าถึงผู้คนในระดับมหภาค ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ NVIDIA ร่วมมือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ ➡️ NVIDIA เตรียมลงทุนสูงสุด $100 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI ตามการติดตั้งแต่ละเฟส ➡️ เฟสแรกจะเริ่มใช้งานในครึ่งหลังของปี 2026 บนแพลตฟอร์ม Vera Rubin ➡️ ใช้ GPU หลายล้านตัวเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลระดับ Superintelligence ✅ ความร่วมมือและการพัฒนา ➡️ OpenAI และ NVIDIA จะ co-optimize ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ร่วมกัน ➡️ ทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Microsoft, Oracle, SoftBank และ Stargate Partners ➡️ OpenAI มีผู้ใช้งานประจำรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคนทั่วโลก ➡️ ความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภารกิจของ OpenAI ในการสร้าง AGI เพื่อมนุษยชาติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 10 กิกะวัตต์ เทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของเมืองขนาดกลาง ➡️ Vera Rubin เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่องาน AI ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ ➡️ การลงทุนระดับนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้าน compute infrastructure ที่รุนแรงขึ้น ➡️ การใช้ GPU จำนวนมากต้องการระบบระบายความร้อนและพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง https://openai.com/index/openai-nvidia-systems-partnership/
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “Local-First Apps ยังไม่เกิดจริง เพราะการ Sync ไม่ง่ายอย่างที่คิด — แต่ SQLite + HLC + CRDT อาจเป็นคำตอบ”

    แอปพลิเคชันแบบ Local-First หรือ Offline-First เคยถูกมองว่าเป็นอนาคตของการใช้งานซอฟต์แวร์ ด้วยคุณสมบัติที่โหลดเร็ว ใช้แบบไม่ต้องต่อเน็ต และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ในความเป็นจริง แอปที่รองรับการทำงานแบบออฟไลน์จริง ๆ ยังมีน้อยมาก เพราะการ “ซิงก์ข้อมูล” ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่องนั้นยากกว่าที่คิด

    Marco Bambini ผู้ก่อตั้ง SQLite Cloud อธิบายว่า การสร้างแอปแบบ Local-First คือการสร้างระบบกระจาย (Distributed System) ที่ต้องให้หลายอุปกรณ์สามารถแก้ไขข้อมูลแบบออฟไลน์ และสุดท้ายต้องรวมข้อมูลให้ตรงกันโดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งมีสองปัญหาหลักที่ต้องแก้คือ:

    1️⃣ ลำดับเหตุการณ์ไม่แน่นอน (Unreliable Ordering) อุปกรณ์แต่ละเครื่องมีเวลาไม่ตรงกัน และเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หากนำข้อมูลมารวมโดยไม่จัดลำดับให้ดี อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น เครื่อง A ตั้งค่า x = 3 ส่วนเครื่อง B ตั้ง x = 5 แล้วใครควร “ชนะ”?

    วิธีแก้คือ Hybrid Logical Clocks (HLC) — ระบบ timestamp ที่รวมเวลาเครื่องจริงกับตัวนับเหตุการณ์ เพื่อให้สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้แม้ไม่มีนาฬิกากลาง

    2️⃣ ความขัดแย้งของข้อมูล (Conflicts) แม้จะจัดลำดับได้แล้ว แต่ถ้าอุปกรณ์สองเครื่องแก้ไขข้อมูลเดียวกัน เช่น ยอดเงินในบัญชี แล้วซิงก์เข้ามา อาจเกิดการเขียนทับและข้อมูลหาย

    วิธีแก้คือ CRDTs (Conflict-Free Replicated Data Types) — โครงสร้างข้อมูลที่สามารถรวมกันได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล เช่น ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) ที่ให้ข้อมูลล่าสุดเป็นฝ่ายชนะ

    เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้จริง SQLite ถูกเลือกเป็นฐานข้อมูลหลัก เพราะมีความเสถียร ใช้งานง่าย และมีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดย Bambini ได้สร้าง SQLite extension ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงเป็น “ข้อความ” พร้อม timestamp จาก HLC และใช้ CRDT ในการตัดสินว่าเปลี่ยนแปลงใดควรนำมาใช้

    ผลลัพธ์คือระบบที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้เป็นสัปดาห์โดยไม่สูญเสียข้อมูล และเมื่อกลับมาออนไลน์ก็สามารถรวมข้อมูลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Local-First Apps ยังไม่แพร่หลายเพราะการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ยาก
    ปัญหาหลักคือการจัดลำดับเหตุการณ์และการแก้ไขความขัดแย้งของข้อมูล
    ใช้ Hybrid Logical Clocks (HLC) เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์แบบกระจาย
    ใช้ CRDTs เพื่อรวมข้อมูลโดยไม่สูญเสียหรือเขียนทับกัน

    แนวทางการแก้ปัญหา
    SQLite ถูกใช้เป็นฐานข้อมูลหลักเพราะเสถียรและมีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม
    ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกเก็บเป็นข้อความพร้อม timestamp
    ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) เพื่อเลือกข้อมูลล่าสุด
    ระบบสามารถทำงานออฟไลน์ได้นานโดยไม่สูญเสียข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Turso และ cr-sqlite เป็นตัวอย่างของระบบที่ใช้ SQLite ในการซิงก์แบบ Local-First
    CRDTs ถูกใช้ในระบบ collaboration เช่น Automerge และ Yjs
    HLCs ถูกใช้ในระบบฐานข้อมูลกระจาย เช่น CockroachDB และ Spanner
    Local-First Apps ช่วยลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัว

    https://marcobambini.substack.com/p/why-local-first-apps-havent-become
    📱 “Local-First Apps ยังไม่เกิดจริง เพราะการ Sync ไม่ง่ายอย่างที่คิด — แต่ SQLite + HLC + CRDT อาจเป็นคำตอบ” แอปพลิเคชันแบบ Local-First หรือ Offline-First เคยถูกมองว่าเป็นอนาคตของการใช้งานซอฟต์แวร์ ด้วยคุณสมบัติที่โหลดเร็ว ใช้แบบไม่ต้องต่อเน็ต และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด แต่ในความเป็นจริง แอปที่รองรับการทำงานแบบออฟไลน์จริง ๆ ยังมีน้อยมาก เพราะการ “ซิงก์ข้อมูล” ระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่องนั้นยากกว่าที่คิด Marco Bambini ผู้ก่อตั้ง SQLite Cloud อธิบายว่า การสร้างแอปแบบ Local-First คือการสร้างระบบกระจาย (Distributed System) ที่ต้องให้หลายอุปกรณ์สามารถแก้ไขข้อมูลแบบออฟไลน์ และสุดท้ายต้องรวมข้อมูลให้ตรงกันโดยไม่สูญเสียอะไรเลย ซึ่งมีสองปัญหาหลักที่ต้องแก้คือ: 1️⃣ ลำดับเหตุการณ์ไม่แน่นอน (Unreliable Ordering) อุปกรณ์แต่ละเครื่องมีเวลาไม่ตรงกัน และเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน หากนำข้อมูลมารวมโดยไม่จัดลำดับให้ดี อาจเกิดความขัดแย้ง เช่น เครื่อง A ตั้งค่า x = 3 ส่วนเครื่อง B ตั้ง x = 5 แล้วใครควร “ชนะ”? 🔧 วิธีแก้คือ Hybrid Logical Clocks (HLC) — ระบบ timestamp ที่รวมเวลาเครื่องจริงกับตัวนับเหตุการณ์ เพื่อให้สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้แม้ไม่มีนาฬิกากลาง 2️⃣ ความขัดแย้งของข้อมูล (Conflicts) แม้จะจัดลำดับได้แล้ว แต่ถ้าอุปกรณ์สองเครื่องแก้ไขข้อมูลเดียวกัน เช่น ยอดเงินในบัญชี แล้วซิงก์เข้ามา อาจเกิดการเขียนทับและข้อมูลหาย 🔧 วิธีแก้คือ CRDTs (Conflict-Free Replicated Data Types) — โครงสร้างข้อมูลที่สามารถรวมกันได้โดยไม่สูญเสียข้อมูล เช่น ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) ที่ให้ข้อมูลล่าสุดเป็นฝ่ายชนะ เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้จริง SQLite ถูกเลือกเป็นฐานข้อมูลหลัก เพราะมีความเสถียร ใช้งานง่าย และมีอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม โดย Bambini ได้สร้าง SQLite extension ที่เก็บทุกการเปลี่ยนแปลงเป็น “ข้อความ” พร้อม timestamp จาก HLC และใช้ CRDT ในการตัดสินว่าเปลี่ยนแปลงใดควรนำมาใช้ ผลลัพธ์คือระบบที่สามารถทำงานออฟไลน์ได้เป็นสัปดาห์โดยไม่สูญเสียข้อมูล และเมื่อกลับมาออนไลน์ก็สามารถรวมข้อมูลได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Local-First Apps ยังไม่แพร่หลายเพราะการซิงก์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทำได้ยาก ➡️ ปัญหาหลักคือการจัดลำดับเหตุการณ์และการแก้ไขความขัดแย้งของข้อมูล ➡️ ใช้ Hybrid Logical Clocks (HLC) เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์แบบกระจาย ➡️ ใช้ CRDTs เพื่อรวมข้อมูลโดยไม่สูญเสียหรือเขียนทับกัน ✅ แนวทางการแก้ปัญหา ➡️ SQLite ถูกใช้เป็นฐานข้อมูลหลักเพราะเสถียรและมีอยู่ทุกแพลตฟอร์ม ➡️ ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกเก็บเป็นข้อความพร้อม timestamp ➡️ ใช้กลยุทธ์ Last-Write-Wins (LWW) เพื่อเลือกข้อมูลล่าสุด ➡️ ระบบสามารถทำงานออฟไลน์ได้นานโดยไม่สูญเสียข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Turso และ cr-sqlite เป็นตัวอย่างของระบบที่ใช้ SQLite ในการซิงก์แบบ Local-First ➡️ CRDTs ถูกใช้ในระบบ collaboration เช่น Automerge และ Yjs ➡️ HLCs ถูกใช้ในระบบฐานข้อมูลกระจาย เช่น CockroachDB และ Spanner ➡️ Local-First Apps ช่วยลดการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางและเพิ่มความเป็นส่วนตัว https://marcobambini.substack.com/p/why-local-first-apps-havent-become
    MARCOBAMBINI.SUBSTACK.COM
    Why Local-First Apps Haven’t Become Popular?
    Offline-first apps promise instant loading and privacy, but in practice, very few apps get offline support because getting sync right is surprisingly hard.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • คณะอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี) ตั้งข้อหา โรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานความผิดก่ออาชญากรรมกับมนุษยชาติ 3 ข้อหา กล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชนอย่างน้อย 76 ราย ส่วนหนึ่งใน "สงครามต้านยาเสพติด" ของเขา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090836

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    คณะอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี) ตั้งข้อหา โรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานความผิดก่ออาชญากรรมกับมนุษยชาติ 3 ข้อหา กล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชนอย่างน้อย 76 ราย ส่วนหนึ่งใน "สงครามต้านยาเสพติด" ของเขา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000090836 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “Cap’n Web: RPC ยุคใหม่สำหรับเบราว์เซอร์ — เขียนโค้ดเหมือนเรียกฟังก์ชันปกติ แต่ทำงานข้ามเครือข่ายได้ทันที”

    Cloudflare เปิดตัว Cap’n Web ระบบ RPC (Remote Procedure Call) ใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน ๆ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในเบราว์เซอร์, Cloudflare Workers, Node.js และทุก runtime ที่รองรับ JavaScript สมัยใหม่ จุดเด่นคือการใช้งานง่ายมาก — ไม่ต้องมี schema, ไม่ต้องมี boilerplate และใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร

    Cap’n Web เป็นญาติทางจิตวิญญาณของ Cap’n Proto ที่ Kenton Varda เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่ถูกออกแบบใหม่ให้เหมาะกับโลกเว็บ โดยเน้นความสามารถแบบ object-capability เช่น การส่งฟังก์ชันหรืออ็อบเจกต์ข้ามเครือข่ายแบบ reference, การเรียกแบบสองทาง (bidirectional), และการใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวนรอบการสื่อสาร

    ระบบนี้ยังรองรับการใช้งานแบบ batch ผ่าน HTTP และ WebSocket ได้ทันที โดยสามารถส่งคำสั่งหลายชุดในรอบเดียว และใช้ promise ที่ยังไม่ resolve เป็น input ของคำสั่งถัดไปได้ทันที ซึ่งช่วยลด latency อย่างมาก

    Cap’n Web ยังมีระบบความปลอดภัยแบบ capability-based ที่ช่วยให้การยืนยันตัวตนและการควบคุมสิทธิ์ทำได้ในระดับ object เช่น การเรียก authenticate() แล้วได้ session object ที่มีสิทธิ์เฉพาะตัว ไม่สามารถปลอมแปลงได้

    ที่น่าทึ่งคือ Cap’n Web รองรับการ map array แบบไม่ต้องเพิ่มรอบการสื่อสาร โดยใช้เทคนิค record-replay เพื่อแปลง callback เป็นชุดคำสั่งที่สามารถรันฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้อง round-trip กลับไปยัง client

    ทั้งหมดนี้ทำให้ Cap’n Web เป็นระบบ RPC ที่ “คิดแบบ JavaScript” อย่างแท้จริง และอาจเป็นทางเลือกใหม่แทน GraphQL สำหรับแอปที่ต้องการความโต้ตอบแบบ real-time และโครงสร้าง API ที่ยืดหยุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cap’n Web เป็น RPC system แบบใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน
    ใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร พร้อม pre/post-processing สำหรับ type พิเศษ
    รองรับ WebSocket, HTTP, postMessage และสามารถขยายไปยัง transport อื่นได้
    ขนาดไฟล์หลังบีบอัดต่ำกว่า 10kB และไม่มี dependency

    ความสามารถหลักของ Cap’n Web
    รองรับ bidirectional calling — server เรียก client ได้ และกลับกัน
    ส่งฟังก์ชันและอ็อบเจกต์แบบ reference ข้ามเครือข่ายได้
    ใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวน network round trip
    รองรับ capability-based security เช่น session object ที่ไม่สามารถปลอมได้
    รองรับ HTTP batch mode สำหรับการเรียกหลายคำสั่งในรอบเดียว
    รองรับ array.map() แบบไม่ต้อง round-trip โดยใช้ DSL ที่แปลงจาก callback

    การใช้งานกับ TypeScript
    สามารถประกาศ interface เดียวแล้วใช้ทั้ง client และ server ได้
    รองรับ auto-complete และ type checking แบบ end-to-end
    สามารถใช้ร่วมกับระบบ runtime type-checking เช่น Zod ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cap’n Proto เป็นระบบ RPC ที่ใช้ในระบบ distributed ขนาดใหญ่ เช่น Sandstorm
    GraphQL แก้ปัญหา waterfall ของ REST แต่มีข้อจำกัดด้าน composability
    Cap’n Web แก้ปัญหาเดียวกันโดยไม่ต้องใช้ schema หรือ tooling ใหม่
    Cloudflare ใช้ Cap’n Web ใน Wrangler และเริ่มทดลองใน frontend apps แล้ว

    https://blog.cloudflare.com/capnweb-javascript-rpc-library/
    🔗 “Cap’n Web: RPC ยุคใหม่สำหรับเบราว์เซอร์ — เขียนโค้ดเหมือนเรียกฟังก์ชันปกติ แต่ทำงานข้ามเครือข่ายได้ทันที” Cloudflare เปิดตัว Cap’n Web ระบบ RPC (Remote Procedure Call) ใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน ๆ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในเบราว์เซอร์, Cloudflare Workers, Node.js และทุก runtime ที่รองรับ JavaScript สมัยใหม่ จุดเด่นคือการใช้งานง่ายมาก — ไม่ต้องมี schema, ไม่ต้องมี boilerplate และใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร Cap’n Web เป็นญาติทางจิตวิญญาณของ Cap’n Proto ที่ Kenton Varda เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่ถูกออกแบบใหม่ให้เหมาะกับโลกเว็บ โดยเน้นความสามารถแบบ object-capability เช่น การส่งฟังก์ชันหรืออ็อบเจกต์ข้ามเครือข่ายแบบ reference, การเรียกแบบสองทาง (bidirectional), และการใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวนรอบการสื่อสาร ระบบนี้ยังรองรับการใช้งานแบบ batch ผ่าน HTTP และ WebSocket ได้ทันที โดยสามารถส่งคำสั่งหลายชุดในรอบเดียว และใช้ promise ที่ยังไม่ resolve เป็น input ของคำสั่งถัดไปได้ทันที ซึ่งช่วยลด latency อย่างมาก Cap’n Web ยังมีระบบความปลอดภัยแบบ capability-based ที่ช่วยให้การยืนยันตัวตนและการควบคุมสิทธิ์ทำได้ในระดับ object เช่น การเรียก authenticate() แล้วได้ session object ที่มีสิทธิ์เฉพาะตัว ไม่สามารถปลอมแปลงได้ ที่น่าทึ่งคือ Cap’n Web รองรับการ map array แบบไม่ต้องเพิ่มรอบการสื่อสาร โดยใช้เทคนิค record-replay เพื่อแปลง callback เป็นชุดคำสั่งที่สามารถรันฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้อง round-trip กลับไปยัง client ทั้งหมดนี้ทำให้ Cap’n Web เป็นระบบ RPC ที่ “คิดแบบ JavaScript” อย่างแท้จริง และอาจเป็นทางเลือกใหม่แทน GraphQL สำหรับแอปที่ต้องการความโต้ตอบแบบ real-time และโครงสร้าง API ที่ยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cap’n Web เป็น RPC system แบบใหม่ที่เขียนด้วย TypeScript ล้วน ➡️ ใช้ JSON เป็นพื้นฐานในการสื่อสาร พร้อม pre/post-processing สำหรับ type พิเศษ ➡️ รองรับ WebSocket, HTTP, postMessage และสามารถขยายไปยัง transport อื่นได้ ➡️ ขนาดไฟล์หลังบีบอัดต่ำกว่า 10kB และไม่มี dependency ✅ ความสามารถหลักของ Cap’n Web ➡️ รองรับ bidirectional calling — server เรียก client ได้ และกลับกัน ➡️ ส่งฟังก์ชันและอ็อบเจกต์แบบ reference ข้ามเครือข่ายได้ ➡️ ใช้ promise pipelining เพื่อลดจำนวน network round trip ➡️ รองรับ capability-based security เช่น session object ที่ไม่สามารถปลอมได้ ➡️ รองรับ HTTP batch mode สำหรับการเรียกหลายคำสั่งในรอบเดียว ➡️ รองรับ array.map() แบบไม่ต้อง round-trip โดยใช้ DSL ที่แปลงจาก callback ✅ การใช้งานกับ TypeScript ➡️ สามารถประกาศ interface เดียวแล้วใช้ทั้ง client และ server ได้ ➡️ รองรับ auto-complete และ type checking แบบ end-to-end ➡️ สามารถใช้ร่วมกับระบบ runtime type-checking เช่น Zod ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cap’n Proto เป็นระบบ RPC ที่ใช้ในระบบ distributed ขนาดใหญ่ เช่น Sandstorm ➡️ GraphQL แก้ปัญหา waterfall ของ REST แต่มีข้อจำกัดด้าน composability ➡️ Cap’n Web แก้ปัญหาเดียวกันโดยไม่ต้องใช้ schema หรือ tooling ใหม่ ➡️ Cloudflare ใช้ Cap’n Web ใน Wrangler และเริ่มทดลองใน frontend apps แล้ว https://blog.cloudflare.com/capnweb-javascript-rpc-library/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Cap'n Web: A new RPC system for browsers and web servers
    Cap'n Web is a new open source, JavaScript-native RPC protocol for use in browsers and web servers. It provides the expressive power of Cap'n Proto, but with no schemas and no boilerplate.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • “Cloudflare หนุนอนาคตเว็บเปิด ด้วยการสนับสนุน Ladybird และ Omarchy — สร้างเบราว์เซอร์ใหม่ และ Linux ที่นักพัฒนาควบคุมได้จริง”

    ในยุคที่เบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดย Chromium และระบบปฏิบัติการนักพัฒนาถูกจำกัดอยู่ในไม่กี่ตัวเลือก Cloudflare ประกาศสนับสนุนสองโครงการโอเพ่นซอร์สที่กล้าท้าทายสถานการณ์นี้ ได้แก่ Ladybird และ Omarchy เพื่อผลักดันอนาคตของเว็บเปิดให้กลับมามีความหลากหลายอีกครั้ง

    Ladybird คือเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium เลยแม้แต่นิดเดียว โดยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ rendering engine (LibWeb) ไปจนถึง JavaScript engine (LibJS) ซึ่งมี parser, interpreter และ bytecode execution engine ของตัวเอง จุดประสงค์คือเพื่อสร้างเบราว์เซอร์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์

    การสร้างเบราว์เซอร์จากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรองรับมาตรฐานเว็บที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Ladybird กลับใช้โอกาสนี้ในการ “ทดสอบ” มาตรฐานเหล่านั้นจริง ๆ และรายงานบั๊กกลับไปยังองค์กรกำกับมาตรฐาน เช่น W3C และ WHATWG ซึ่งช่วยให้เว็บโดยรวมดีขึ้นสำหรับทุกคน

    อีกด้านหนึ่ง Omarchy คือระบบ Arch Linux ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น มาพร้อมเครื่องมือสำคัญอย่าง Neovim, Docker, Git และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม UI ที่สวยงามและปรับแต่งได้ง่าย จุดเด่นคือการทำให้ Linux เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญระบบปฏิบัติการ

    Cloudflare สนับสนุนทั้งสองโครงการโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของ Cloudflare และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง เพราะเชื่อว่าการมีตัวเลือกที่หลากหลายคือหัวใจของอินเทอร์เน็ตที่ดี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cloudflare สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์ส Ladybird และ Omarchy เพื่อส่งเสริมเว็บเปิด
    Ladybird เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium สร้าง engine ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
    Omarchy เป็น Arch Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาใช้งานได้ทันที
    Cloudflare สนับสนุนโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของตนเอง

    จุดเด่นของ Ladybird
    มี LibWeb เป็น rendering engine และ LibJS เป็น JavaScript engine ที่สร้างเอง
    ใช้โอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์เพื่อทดสอบและปรับปรุงมาตรฐานเว็บ
    เน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพโดยไม่พึ่งพาโมเดลธุรกิจ

    จุดเด่นของ Omarchy
    ติดตั้งง่าย มีเครื่องมือพัฒนาให้พร้อมใช้งานทันที เช่น Neovim, Docker, Git
    UI สวยงาม ปรับแต่งได้ง่าย เหมาะกับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญ Linux
    Omarchy 3.0 รองรับ MacBook ได้ดีขึ้น และติดตั้งเร็วขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Chromium ครองตลาดเบราว์เซอร์กว่า 65% ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของเทคโนโลยีเว็บ
    Arch Linux เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง
    Ladybird วางแผนเปิดตัวเวอร์ชัน alpha ในปี 2026
    Omarchy ใช้ Cloudflare CDN และ R2 storage เพื่อส่ง ISO และแพ็กเกจได้เร็วทั่วโลก

    https://blog.cloudflare.com/supporting-the-future-of-the-open-web/
    🌐 “Cloudflare หนุนอนาคตเว็บเปิด ด้วยการสนับสนุน Ladybird และ Omarchy — สร้างเบราว์เซอร์ใหม่ และ Linux ที่นักพัฒนาควบคุมได้จริง” ในยุคที่เบราว์เซอร์ถูกครอบงำโดย Chromium และระบบปฏิบัติการนักพัฒนาถูกจำกัดอยู่ในไม่กี่ตัวเลือก Cloudflare ประกาศสนับสนุนสองโครงการโอเพ่นซอร์สที่กล้าท้าทายสถานการณ์นี้ ได้แก่ Ladybird และ Omarchy เพื่อผลักดันอนาคตของเว็บเปิดให้กลับมามีความหลากหลายอีกครั้ง Ladybird คือเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium เลยแม้แต่นิดเดียว โดยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ rendering engine (LibWeb) ไปจนถึง JavaScript engine (LibJS) ซึ่งมี parser, interpreter และ bytecode execution engine ของตัวเอง จุดประสงค์คือเพื่อสร้างเบราว์เซอร์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ การสร้างเบราว์เซอร์จากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องรองรับมาตรฐานเว็บที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ Ladybird กลับใช้โอกาสนี้ในการ “ทดสอบ” มาตรฐานเหล่านั้นจริง ๆ และรายงานบั๊กกลับไปยังองค์กรกำกับมาตรฐาน เช่น W3C และ WHATWG ซึ่งช่วยให้เว็บโดยรวมดีขึ้นสำหรับทุกคน อีกด้านหนึ่ง Omarchy คือระบบ Arch Linux ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องตั้งค่าทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น มาพร้อมเครื่องมือสำคัญอย่าง Neovim, Docker, Git และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม UI ที่สวยงามและปรับแต่งได้ง่าย จุดเด่นคือการทำให้ Linux เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญระบบปฏิบัติการ Cloudflare สนับสนุนทั้งสองโครงการโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของ Cloudflare และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง เพราะเชื่อว่าการมีตัวเลือกที่หลากหลายคือหัวใจของอินเทอร์เน็ตที่ดี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cloudflare สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์ส Ladybird และ Omarchy เพื่อส่งเสริมเว็บเปิด ➡️ Ladybird เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่ไม่ใช้ Chromium สร้าง engine ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ➡️ Omarchy เป็น Arch Linux ที่ปรับแต่งมาเพื่อให้นักพัฒนาใช้งานได้ทันที ➡️ Cloudflare สนับสนุนโดยไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีของตนเอง ✅ จุดเด่นของ Ladybird ➡️ มี LibWeb เป็น rendering engine และ LibJS เป็น JavaScript engine ที่สร้างเอง ➡️ ใช้โอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์เพื่อทดสอบและปรับปรุงมาตรฐานเว็บ ➡️ เน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และประสิทธิภาพโดยไม่พึ่งพาโมเดลธุรกิจ ✅ จุดเด่นของ Omarchy ➡️ ติดตั้งง่าย มีเครื่องมือพัฒนาให้พร้อมใช้งานทันที เช่น Neovim, Docker, Git ➡️ UI สวยงาม ปรับแต่งได้ง่าย เหมาะกับนักพัฒนาที่ไม่เชี่ยวชาญ Linux ➡️ Omarchy 3.0 รองรับ MacBook ได้ดีขึ้น และติดตั้งเร็วขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Chromium ครองตลาดเบราว์เซอร์กว่า 65% ทำให้เกิดการรวมศูนย์ของเทคโนโลยีเว็บ ➡️ Arch Linux เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง ➡️ Ladybird วางแผนเปิดตัวเวอร์ชัน alpha ในปี 2026 ➡️ Omarchy ใช้ Cloudflare CDN และ R2 storage เพื่อส่ง ISO และแพ็กเกจได้เร็วทั่วโลก https://blog.cloudflare.com/supporting-the-future-of-the-open-web/
    BLOG.CLOUDFLARE.COM
    Supporting the future of the open web: Cloudflare is sponsoring Ladybird and Omarchy
    We're excited to announce our support of two independent, open source projects: Ladybird, an ambitious project to build a completely independent browser from the ground up, and Omarchy, an opinionated Arch Linux setup for developers.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • “เมื่อมือใหม่อ่าน Tutorial จากนักพัฒนา — ความจริงที่นักเขียนโค้ดควรรู้ก่อนสอนคนอื่น”

    บล็อกโพสต์จาก Annie Mueller ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจและจริงใจจากผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนา แต่พยายามทำตาม tutorial ที่นักพัฒนาเขียนไว้ โดยเนื้อหานี้ไม่ได้เน้นเทคนิค แต่สะท้อนถึงช่องว่างระหว่าง “คนเขียน” กับ “คนอ่าน” ที่มักถูกมองข้าม

    Annie เล่าประสบการณ์การอ่าน tutorial ที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะ เช่น “Hoobijag”, “jabbernocks”, “Snarfus”, “chronostatiomatrix” ซึ่งแม้จะเป็นการล้อเลียน แต่สะท้อนความรู้สึกของมือใหม่ที่ต้องเผชิญกับคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และขั้นตอนที่ดูเหมือนง่ายสำหรับนักพัฒนา แต่กลับใช้เวลาเป็นชั่วโมงสำหรับผู้เริ่มต้น

    เธอพยายามทำตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะ “ตรงไปตรงมา” เช่น การเปิด terminal แล้วพิมพ์คำสั่งที่ดูเหมือนหลุดมาจากโลกไซไฟ และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า “library/library/library/liiiiiibrarrrary” ซึ่งเป็นการเสียดสีถึงความซับซ้อนของโครงสร้างไฟล์ในระบบจริง

    แม้จะงงและเกือบถอดใจ แต่ Annie ก็ยังพยายามต่อจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เรียกว่า “Boop!” ซึ่งเป็นจุดที่ทุกอย่างเริ่มทำงานได้จริง และเธอรู้สึกถึงความสำเร็จ แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม

    บทความนี้จึงเป็นเสียงสะท้อนถึงนักพัฒนาทุกคนว่า การเขียน tutorial ไม่ใช่แค่การสื่อสารขั้นตอน แต่คือการเข้าใจผู้อ่านที่อาจไม่มีพื้นฐานเลย และการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น คำอธิบายที่ชัดเจน โครงสร้างที่เป็นมิตร และการลดศัพท์เฉพาะ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนหนึ่งคน “ไม่ถอดใจ” และเดินต่อในเส้นทางการเรียนรู้

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    ผู้เขียนเป็นมือใหม่ที่พยายามทำตาม tutorial จากนักพัฒนา
    เนื้อหาสะท้อนถึงความยากในการเข้าใจคำศัพท์และขั้นตอนที่ดูง่ายแต่ซับซ้อน
    ตัวอย่างเช่นการพิมพ์คำสั่งใน terminal และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ลึก
    จุด “Boop!” คือช่วงที่ระบบเริ่มทำงานได้จริง และผู้เขียนรู้สึกถึงความสำเร็จ

    มุมมองที่นักพัฒนาควรรับรู้
    Tutorial ที่ดีควรเขียนโดยคำนึงถึงผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐาน
    การใช้ศัพท์เฉพาะมากเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านสับสนและถอดใจ
    การอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดและเป็นมิตรช่วยให้มือใหม่เรียนรู้ได้ดีขึ้น
    การใส่ความเข้าใจและความเห็นใจในเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีแนวทาง “Beginner First” ในการเขียนเอกสาร
    การใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริงช่วยให้ tutorial เข้าถึงง่ายขึ้น
    Stack Overflow และ GitHub Discussions เป็นแหล่งช่วยเหลือที่มือใหม่ใช้บ่อย
    การเรียนรู้ผ่านความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่ควรมีคำแนะนำที่ชัดเจน

    https://anniemueller.com/posts/how-i-a-non-developer-read-the-tutorial-you-a-developer-wrote-for-me-a-beginner
    🧩 “เมื่อมือใหม่อ่าน Tutorial จากนักพัฒนา — ความจริงที่นักเขียนโค้ดควรรู้ก่อนสอนคนอื่น” บล็อกโพสต์จาก Annie Mueller ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจและจริงใจจากผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนา แต่พยายามทำตาม tutorial ที่นักพัฒนาเขียนไว้ โดยเนื้อหานี้ไม่ได้เน้นเทคนิค แต่สะท้อนถึงช่องว่างระหว่าง “คนเขียน” กับ “คนอ่าน” ที่มักถูกมองข้าม Annie เล่าประสบการณ์การอ่าน tutorial ที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะ เช่น “Hoobijag”, “jabbernocks”, “Snarfus”, “chronostatiomatrix” ซึ่งแม้จะเป็นการล้อเลียน แต่สะท้อนความรู้สึกของมือใหม่ที่ต้องเผชิญกับคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และขั้นตอนที่ดูเหมือนง่ายสำหรับนักพัฒนา แต่กลับใช้เวลาเป็นชั่วโมงสำหรับผู้เริ่มต้น เธอพยายามทำตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะ “ตรงไปตรงมา” เช่น การเปิด terminal แล้วพิมพ์คำสั่งที่ดูเหมือนหลุดมาจากโลกไซไฟ และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า “library/library/library/liiiiiibrarrrary” ซึ่งเป็นการเสียดสีถึงความซับซ้อนของโครงสร้างไฟล์ในระบบจริง แม้จะงงและเกือบถอดใจ แต่ Annie ก็ยังพยายามต่อจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เรียกว่า “Boop!” ซึ่งเป็นจุดที่ทุกอย่างเริ่มทำงานได้จริง และเธอรู้สึกถึงความสำเร็จ แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม บทความนี้จึงเป็นเสียงสะท้อนถึงนักพัฒนาทุกคนว่า การเขียน tutorial ไม่ใช่แค่การสื่อสารขั้นตอน แต่คือการเข้าใจผู้อ่านที่อาจไม่มีพื้นฐานเลย และการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น คำอธิบายที่ชัดเจน โครงสร้างที่เป็นมิตร และการลดศัพท์เฉพาะ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนหนึ่งคน “ไม่ถอดใจ” และเดินต่อในเส้นทางการเรียนรู้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ ผู้เขียนเป็นมือใหม่ที่พยายามทำตาม tutorial จากนักพัฒนา ➡️ เนื้อหาสะท้อนถึงความยากในการเข้าใจคำศัพท์และขั้นตอนที่ดูง่ายแต่ซับซ้อน ➡️ ตัวอย่างเช่นการพิมพ์คำสั่งใน terminal และการตามหาไฟล์ในโฟลเดอร์ลึก ➡️ จุด “Boop!” คือช่วงที่ระบบเริ่มทำงานได้จริง และผู้เขียนรู้สึกถึงความสำเร็จ ✅ มุมมองที่นักพัฒนาควรรับรู้ ➡️ Tutorial ที่ดีควรเขียนโดยคำนึงถึงผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐาน ➡️ การใช้ศัพท์เฉพาะมากเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านสับสนและถอดใจ ➡️ การอธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดและเป็นมิตรช่วยให้มือใหม่เรียนรู้ได้ดีขึ้น ➡️ การใส่ความเข้าใจและความเห็นใจในเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีแนวทาง “Beginner First” ในการเขียนเอกสาร ➡️ การใช้ภาพประกอบและตัวอย่างจริงช่วยให้ tutorial เข้าถึงง่ายขึ้น ➡️ Stack Overflow และ GitHub Discussions เป็นแหล่งช่วยเหลือที่มือใหม่ใช้บ่อย ➡️ การเรียนรู้ผ่านความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่ควรมีคำแนะนำที่ชัดเจน https://anniemueller.com/posts/how-i-a-non-developer-read-the-tutorial-you-a-developer-wrote-for-me-a-beginner
    ANNIEMUELLER.COM
    How I, a non-developer, read the tutorial you, a developer, wrote for me, a beginner - annie's blog
    “Hello! I am a developer. Here is my relevant experience: I code in Hoobijag and sometimes jabbernocks and of course ABCDE++++ (but never ABCDE+/^+ are you kidding? ha!) and I like working with Shoobababoo and occasionally kleptomitrons. I’ve gotten to work for Company1 doing Shoobaboo-ing code things and that’s what led me to the Snarfus. So, let’s dive in!
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “เกมพังเพราะ Microsoft ‘ใส่ชื่อไว้ในลิสต์’ — เมื่อ DXGI Detour ทำ ARM64 Crash แบบไร้คำอธิบาย”

    นักพัฒนาเกม Space Station 14 ได้แชร์ประสบการณ์การดีบักสุดโกลาหลบน Windows ARM64 ที่นำไปสู่การค้นพบว่า Microsoft แอบใส่ชื่อ executable ของเกมไว้ใน “ลิสต์พิเศษ” ซึ่งทำให้ระบบ DXGI บน Windows 11 ติดตั้ง detour เข้าไปในฟังก์ชัน GetDC() และทำให้เกม crash ทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างที่สอง

    เรื่องเริ่มจากการพอร์ตเกมไปยัง ARM64 โดยใช้ SDL3 และ ANGLE เพื่อรองรับ OpenGL บน Windows ARM64 แต่เมื่อรันเกมผ่าน launcher ที่รวมทั้ง x64 และ ARM64 กลับพบว่าเกม crash โดยไม่มี log ใด ๆ เลย หลังจากใช้ WinDbg ดีบักอย่างหนัก พบว่า crash เกิดใน USER32!GetDC ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของ Win32

    เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า DXGI!My_GetDC ได้ติดตั้ง detour เข้าไปใน GetDC() เพื่อบังคับใช้ “flip model” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 11 ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลใน windowed mode โดยเฉพาะกับเกมเก่า แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน

    สิ่งที่น่าตกใจคือ crash เกิดเฉพาะเมื่อ executable มีชื่อว่า SS14.Loader.exe เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อไฟล์ เกมจะไม่ crash ซึ่งหมายความว่า Microsoft ใช้ “ลิสต์ชื่อเกม” ที่ฝังอยู่ใน Windows เพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ และ Space Station 14 ถูกใส่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

    นักพัฒนาพยายามหาทางแก้ เช่น ปิดฟีเจอร์ใน Settings หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่ก็เจอข้อจำกัดจาก Steamworks ที่ไม่รองรับ ARM64 ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ในระบบจริง สุดท้ายจึงต้องเลื่อนการรองรับ Windows ARM64 ออกไปจนกว่าบั๊กจะถูกแก้ หรือจนกว่าจะเปลี่ยน renderer ไปใช้ DirectX แทน OpenGL

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกม Space Station 14 crash บน Windows ARM64 เมื่อใช้ชื่อไฟล์ SS14.Loader.exe
    Crash เกิดในฟังก์ชัน USER32!GetDC ซึ่งถูก DXGI ติดตั้ง detour เข้าไป
    Detour นี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ “Optimizations for windowed games” บน Windows 11
    ฟีเจอร์นี้บังคับใช้ “flip model” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล

    การดีบักและการค้นพบ
    ใช้ WinDbg ดีบัก พบว่า stack trace แสดง DXGI!My_GetDC เป็นจุดเริ่มของปัญหา
    การเปลี่ยนชื่อ executable ทำให้เกมไม่ crash อีก
    Microsoft ใช้ลิสต์ชื่อเกมเพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ
    ฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “flip model” เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ใน DirectX เพื่อแทน bitblt model แบบเก่า
    ANGLE ใช้ SWAP_EFFECT_SEQUENTIAL ซึ่งไม่รองรับ flip model โดยตรง
    OpenGL บน Windows ARM64 ใช้ Mesa บน D3D12 ซึ่งมีบั๊กด้านกราฟิก
    WinDbg บน ARM64 ยังมีข้อจำกัดในการดีบัก .NET และ C# stack trace

    https://slugcat.systems/post/25-09-21-dxgi-debugging-microsoft-put-me-on-a-list/
    🧠 “เกมพังเพราะ Microsoft ‘ใส่ชื่อไว้ในลิสต์’ — เมื่อ DXGI Detour ทำ ARM64 Crash แบบไร้คำอธิบาย” นักพัฒนาเกม Space Station 14 ได้แชร์ประสบการณ์การดีบักสุดโกลาหลบน Windows ARM64 ที่นำไปสู่การค้นพบว่า Microsoft แอบใส่ชื่อ executable ของเกมไว้ใน “ลิสต์พิเศษ” ซึ่งทำให้ระบบ DXGI บน Windows 11 ติดตั้ง detour เข้าไปในฟังก์ชัน GetDC() และทำให้เกม crash ทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างที่สอง เรื่องเริ่มจากการพอร์ตเกมไปยัง ARM64 โดยใช้ SDL3 และ ANGLE เพื่อรองรับ OpenGL บน Windows ARM64 แต่เมื่อรันเกมผ่าน launcher ที่รวมทั้ง x64 และ ARM64 กลับพบว่าเกม crash โดยไม่มี log ใด ๆ เลย หลังจากใช้ WinDbg ดีบักอย่างหนัก พบว่า crash เกิดใน USER32!GetDC ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานของ Win32 เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า DXGI!My_GetDC ได้ติดตั้ง detour เข้าไปใน GetDC() เพื่อบังคับใช้ “flip model” ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Windows 11 ที่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลใน windowed mode โดยเฉพาะกับเกมเก่า แต่ปัญหาคือฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน สิ่งที่น่าตกใจคือ crash เกิดเฉพาะเมื่อ executable มีชื่อว่า SS14.Loader.exe เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อไฟล์ เกมจะไม่ crash ซึ่งหมายความว่า Microsoft ใช้ “ลิสต์ชื่อเกม” ที่ฝังอยู่ใน Windows เพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ และ Space Station 14 ถูกใส่เข้าไปโดยไม่รู้ตัว นักพัฒนาพยายามหาทางแก้ เช่น ปิดฟีเจอร์ใน Settings หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์ แต่ก็เจอข้อจำกัดจาก Steamworks ที่ไม่รองรับ ARM64 ทำให้ไม่สามารถใช้ชื่ออื่นได้ในระบบจริง สุดท้ายจึงต้องเลื่อนการรองรับ Windows ARM64 ออกไปจนกว่าบั๊กจะถูกแก้ หรือจนกว่าจะเปลี่ยน renderer ไปใช้ DirectX แทน OpenGL ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกม Space Station 14 crash บน Windows ARM64 เมื่อใช้ชื่อไฟล์ SS14.Loader.exe ➡️ Crash เกิดในฟังก์ชัน USER32!GetDC ซึ่งถูก DXGI ติดตั้ง detour เข้าไป ➡️ Detour นี้เป็นส่วนหนึ่งของฟีเจอร์ “Optimizations for windowed games” บน Windows 11 ➡️ ฟีเจอร์นี้บังคับใช้ “flip model” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล ✅ การดีบักและการค้นพบ ➡️ ใช้ WinDbg ดีบัก พบว่า stack trace แสดง DXGI!My_GetDC เป็นจุดเริ่มของปัญหา ➡️ การเปลี่ยนชื่อ executable ทำให้เกมไม่ crash อีก ➡️ Microsoft ใช้ลิสต์ชื่อเกมเพื่อบังคับใช้ฟีเจอร์นี้กับบางเกมโดยเฉพาะ ➡️ ฟีเจอร์นี้ไม่เคยถูกทดสอบกับเกม ARM64 มาก่อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “flip model” เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ใน DirectX เพื่อแทน bitblt model แบบเก่า ➡️ ANGLE ใช้ SWAP_EFFECT_SEQUENTIAL ซึ่งไม่รองรับ flip model โดยตรง ➡️ OpenGL บน Windows ARM64 ใช้ Mesa บน D3D12 ซึ่งมีบั๊กด้านกราฟิก ➡️ WinDbg บน ARM64 ยังมีข้อจำกัดในการดีบัก .NET และ C# stack trace https://slugcat.systems/post/25-09-21-dxgi-debugging-microsoft-put-me-on-a-list/
    SLUGCAT.SYSTEMS
    DXGI debugging: Microsoft put me on a list
    Why does Space Station 14 crash with ANGLE on ARM64? 6 hours later…
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • “RPM 6.0 เปิดยุคใหม่ของการเซ็นแพ็กเกจ — รองรับหลายลายเซ็น, PQC, SHA-3 และระบบตรวจสอบที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม”

    RPM 6.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้ใน Red Hat Enterprise Linux และ Fedora Linux จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการเซ็นและตรวจสอบแพ็กเกจ

    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ “หลายลายเซ็น” ต่อแพ็กเกจ โดยสามารถเพิ่ม OpenPGP signatures ได้มากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถเซ็นแพ็กเกจร่วมกันได้ หรือใช้ลายเซ็นสำรองในกรณีที่คีย์หลักหมดอายุ

    RPM 6.0 ยังรองรับ OpenPGP v6 และ PQC (Post-Quantum Cryptography) keys ซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังยุคควอนตัมที่การเข้ารหัสแบบเดิมอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พร้อมทั้งรองรับการอัปเดตคีย์ที่เคยนำเข้าแล้ว โดยไม่ต้องลบและนำเข้าใหม่

    ระบบการตรวจสอบลายเซ็นถูกปรับปรุงให้สามารถใช้ full key ID หรือ fingerprint ได้ทุกที่ แทนการใช้ short key ID ที่เคยมีปัญหาเรื่องการชนกัน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงคำสั่ง rpmkeys และ rpmsign ให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมเพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo สำหรับดูชื่ออัลกอริธึมแฮช และ --filemime สำหรับดู MIME type ของไฟล์ในแพ็กเกจ

    RPM 6.0 ยังเพิ่มการรองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถคำนวณ digest หลายชุดในขั้นตอนการตรวจสอบ และบันทึกไว้ใน rpmdb เพื่อใช้ในการติดตามต้นทางของแพ็กเกจ

    ภายใต้ระบบ RPM ใหม่ยังมี macro ใหม่ เช่น %{span:...} สำหรับเขียน macro หลายบรรทัด และ %{xdg:...} สำหรับประเมินตำแหน่ง XDG base directory รวมถึงระบบจัดการ keystore แบบถาวรใน transaction

    RPM 6.0 ต้องการคอมไพล์เลอร์ C++20 และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build จาก source และจะถูกใช้เป็นระบบจัดการแพ็กเกจหลักใน Red Hat และ Fedora รุ่นถัดไป

    ฟีเจอร์ใหม่ใน RPM 6.0
    รองรับหลาย OpenPGP signatures ต่อแพ็กเกจ
    รองรับ OpenPGP v6 และ PQC keys สำหรับความปลอดภัยในอนาคต
    สามารถอัปเดตคีย์ที่นำเข้าแล้วได้โดยไม่ต้องลบก่อน
    ใช้ full key ID หรือ fingerprint แทน short key ID ที่เคยมีปัญหา

    การปรับปรุงคำสั่งและระบบตรวจสอบ
    rpmkeys และ rpmsign ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
    เพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo และ --filemime
    รองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่
    เพิ่มฟีเจอร์คำนวณ digest หลายชุดและบันทึกใน rpmdb

    การปรับปรุงระบบ macro และ keystore
    macro ใหม่ %{span:...} และ %{xdg:...} สำหรับการเขียนที่ยืดหยุ่น
    ระบบจัดการ transaction keystore แบบถาวร
    เพิ่มฟังก์ชันควบคุมระดับการตรวจสอบต่อแพ็กเกจ
    เพิ่ม flags ใหม่สำหรับควบคุมการเซ็นแพ็กเกจด้วย rpmSign()

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RPM 6.0 ต้องการ C++20 compiler และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build
    RPM v3 ถูกยกเลิกการติดตั้ง แต่ยังสามารถ query และ unpack ได้ด้วย rpm2cpio
    Fedora 43 ยังใช้ RPM v4 เป็นค่าเริ่มต้น แม้ RPM 6.0 รองรับ v6 format
    การเซ็นแพ็กเกจด้วย Sequoia ต้องใช้ rpm-sequoia 1.9.0 ขึ้นไป

    https://9to5linux.com/rpm-6-0-released-with-support-for-multiple-openpgp-signatures-per-package
    📦 “RPM 6.0 เปิดยุคใหม่ของการเซ็นแพ็กเกจ — รองรับหลายลายเซ็น, PQC, SHA-3 และระบบตรวจสอบที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม” RPM 6.0 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้ใน Red Hat Enterprise Linux และ Fedora Linux จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มความสามารถด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในการเซ็นและตรวจสอบแพ็กเกจ หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือการรองรับ “หลายลายเซ็น” ต่อแพ็กเกจ โดยสามารถเพิ่ม OpenPGP signatures ได้มากกว่าหนึ่งชุด ซึ่งช่วยให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถเซ็นแพ็กเกจร่วมกันได้ หรือใช้ลายเซ็นสำรองในกรณีที่คีย์หลักหมดอายุ RPM 6.0 ยังรองรับ OpenPGP v6 และ PQC (Post-Quantum Cryptography) keys ซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับโลกหลังยุคควอนตัมที่การเข้ารหัสแบบเดิมอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พร้อมทั้งรองรับการอัปเดตคีย์ที่เคยนำเข้าแล้ว โดยไม่ต้องลบและนำเข้าใหม่ ระบบการตรวจสอบลายเซ็นถูกปรับปรุงให้สามารถใช้ full key ID หรือ fingerprint ได้ทุกที่ แทนการใช้ short key ID ที่เคยมีปัญหาเรื่องการชนกัน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงคำสั่ง rpmkeys และ rpmsign ให้ใช้งานง่ายขึ้น พร้อมเพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo สำหรับดูชื่ออัลกอริธึมแฮช และ --filemime สำหรับดู MIME type ของไฟล์ในแพ็กเกจ RPM 6.0 ยังเพิ่มการรองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถคำนวณ digest หลายชุดในขั้นตอนการตรวจสอบ และบันทึกไว้ใน rpmdb เพื่อใช้ในการติดตามต้นทางของแพ็กเกจ ภายใต้ระบบ RPM ใหม่ยังมี macro ใหม่ เช่น %{span:...} สำหรับเขียน macro หลายบรรทัด และ %{xdg:...} สำหรับประเมินตำแหน่ง XDG base directory รวมถึงระบบจัดการ keystore แบบถาวรใน transaction RPM 6.0 ต้องการคอมไพล์เลอร์ C++20 และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build จาก source และจะถูกใช้เป็นระบบจัดการแพ็กเกจหลักใน Red Hat และ Fedora รุ่นถัดไป ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน RPM 6.0 ➡️ รองรับหลาย OpenPGP signatures ต่อแพ็กเกจ ➡️ รองรับ OpenPGP v6 และ PQC keys สำหรับความปลอดภัยในอนาคต ➡️ สามารถอัปเดตคีย์ที่นำเข้าแล้วได้โดยไม่ต้องลบก่อน ➡️ ใช้ full key ID หรือ fingerprint แทน short key ID ที่เคยมีปัญหา ✅ การปรับปรุงคำสั่งและระบบตรวจสอบ ➡️ rpmkeys และ rpmsign ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น ➡️ เพิ่ม query tag ใหม่ เช่น :hashalgo และ --filemime ➡️ รองรับ SHA3-256 และ SHA3-512 เป็นอัลกอริธึมแฮชใหม่ ➡️ เพิ่มฟีเจอร์คำนวณ digest หลายชุดและบันทึกใน rpmdb ✅ การปรับปรุงระบบ macro และ keystore ➡️ macro ใหม่ %{span:...} และ %{xdg:...} สำหรับการเขียนที่ยืดหยุ่น ➡️ ระบบจัดการ transaction keystore แบบถาวร ➡️ เพิ่มฟังก์ชันควบคุมระดับการตรวจสอบต่อแพ็กเกจ ➡️ เพิ่ม flags ใหม่สำหรับควบคุมการเซ็นแพ็กเกจด้วย rpmSign() ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RPM 6.0 ต้องการ C++20 compiler และ Python 3.10 ขึ้นไปในการ build ➡️ RPM v3 ถูกยกเลิกการติดตั้ง แต่ยังสามารถ query และ unpack ได้ด้วย rpm2cpio ➡️ Fedora 43 ยังใช้ RPM v4 เป็นค่าเริ่มต้น แม้ RPM 6.0 รองรับ v6 format ➡️ การเซ็นแพ็กเกจด้วย Sequoia ต้องใช้ rpm-sequoia 1.9.0 ขึ้นไป https://9to5linux.com/rpm-6-0-released-with-support-for-multiple-openpgp-signatures-per-package
    9TO5LINUX.COM
    RPM 6.0 Released with Support for Multiple OpenPGP Signatures per Package - 9to5Linux
    RPM 6.0 package manager for Red Hat Enterprise Linux-based distributions is now available with numerous new features and improvements.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “OBS Studio 32.0 มาแล้ว — เพิ่มระบบ Plugin Manager, รองรับ Hybrid MOV และปรับปรุง PipeWire สำหรับ Linux อย่างจริงจัง”

    OBS Studio 32.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายสตรีมและบันทึกวิดีโออย่างชัดเจน โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐาน ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดต และลบปลั๊กอินได้จากในแอปโดยตรง ไม่ต้องจัดการไฟล์ด้วยตนเองอีกต่อไป

    อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการรองรับ Hybrid MOV ซึ่งรวม codec แบบ HEVC/H.264 กับเสียง PCM เข้าไว้ใน container เดียว ทำให้การตัดต่อและส่งออกวิดีโอข้ามแพลตฟอร์มง่ายขึ้น โดยเฉพาะบน macOS ที่มีการเพิ่มการรองรับ ProRes เข้ามาโดยตรง

    สำหรับผู้ใช้ NVIDIA RTX มีการเพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) เพื่อให้ระบบตัดเสียงรบกวนทำงานเฉพาะเมื่อมีเสียงพูดจริง ๆ รวมถึงเพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ซึ่งช่วยให้ฉากหลังดูสะอาดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ green screen

    ฝั่ง Linux ก็ได้รับการปรับปรุง PipeWire video capture ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น และแก้ปัญหาการแสดงผลสีขาวในบางกรณี นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal), ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน scene ซ้อนกัน และเพิ่ม logic สำหรับ deduplication ในหลายกรณี

    OBS Studio 32.0 ยังเปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps และเปลี่ยน Hybrid MP4/MOV ให้เป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่ พร้อมเพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS เพื่อช่วยให้ทีมพัฒนาตรวจสอบปัญหาได้เร็วขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ใน OBS Studio 32.0
    เพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐานสำหรับจัดการปลั๊กอินในแอป
    รองรับ Hybrid MOV ที่รวม HEVC/H.264 + PCM และ ProRes บน macOS
    เพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) สำหรับ NVIDIA RTX Audio Effects
    เพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ของ RTX
    ปรับปรุง PipeWire video capture บน Linux ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น
    เพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal)
    ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน nested scenes และ multiple canvases
    เปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps
    Hybrid MP4/MOV กลายเป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่
    เพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Plugin Manager ช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งปลั๊กอินที่เคยต้องใช้ไฟล์ .so/.dll
    Hybrid MOV ช่วยให้การทำงานร่วมกับโปรแกรมตัดต่อเช่น DaVinci Resolve หรือ Final Cut Pro ง่ายขึ้น
    VAD ช่วยลดการใช้ CPU โดยให้ระบบตัดเสียงทำงานเฉพาะเมื่อจำเป็น
    PipeWire เป็นระบบ multimedia ใหม่ที่มาแทน PulseAudio บน Linux
    Metal renderer บน Apple Silicon ช่วยให้ OBS ทำงานได้ลื่นขึ้นบน Mac รุ่นใหม่

    https://9to5linux.com/obs-studio-32-0-pipewire-video-capture-improvements-basic-plugin-manager
    🎥 “OBS Studio 32.0 มาแล้ว — เพิ่มระบบ Plugin Manager, รองรับ Hybrid MOV และปรับปรุง PipeWire สำหรับ Linux อย่างจริงจัง” OBS Studio 32.0 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายสตรีมและบันทึกวิดีโออย่างชัดเจน โดยหนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐาน ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดต และลบปลั๊กอินได้จากในแอปโดยตรง ไม่ต้องจัดการไฟล์ด้วยตนเองอีกต่อไป อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการรองรับ Hybrid MOV ซึ่งรวม codec แบบ HEVC/H.264 กับเสียง PCM เข้าไว้ใน container เดียว ทำให้การตัดต่อและส่งออกวิดีโอข้ามแพลตฟอร์มง่ายขึ้น โดยเฉพาะบน macOS ที่มีการเพิ่มการรองรับ ProRes เข้ามาโดยตรง สำหรับผู้ใช้ NVIDIA RTX มีการเพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) เพื่อให้ระบบตัดเสียงรบกวนทำงานเฉพาะเมื่อมีเสียงพูดจริง ๆ รวมถึงเพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ซึ่งช่วยให้ฉากหลังดูสะอาดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ green screen ฝั่ง Linux ก็ได้รับการปรับปรุง PipeWire video capture ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น และแก้ปัญหาการแสดงผลสีขาวในบางกรณี นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal), ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน scene ซ้อนกัน และเพิ่ม logic สำหรับ deduplication ในหลายกรณี OBS Studio 32.0 ยังเปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps และเปลี่ยน Hybrid MP4/MOV ให้เป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่ พร้อมเพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS เพื่อช่วยให้ทีมพัฒนาตรวจสอบปัญหาได้เร็วขึ้น ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OBS Studio 32.0 ➡️ เพิ่มระบบ Plugin Manager แบบพื้นฐานสำหรับจัดการปลั๊กอินในแอป ➡️ รองรับ Hybrid MOV ที่รวม HEVC/H.264 + PCM และ ProRes บน macOS ➡️ เพิ่ม Voice Activity Detection (VAD) สำหรับ NVIDIA RTX Audio Effects ➡️ เพิ่มตัวเลือก “ลบเก้าอี้” ในฟีเจอร์ Background Removal ของ RTX ➡️ ปรับปรุง PipeWire video capture บน Linux ให้เลือก format ได้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่ม renderer แบบ experimental สำหรับ Apple Silicon (Metal) ➡️ ปรับปรุงการจัดการเสียงซ้ำใน nested scenes และ multiple canvases ➡️ เปลี่ยนค่า default bitrate จาก 2500 เป็น 6000 Kbps ➡️ Hybrid MP4/MOV กลายเป็น container เริ่มต้นสำหรับ profile ใหม่ ➡️ เพิ่มระบบอัปโหลด crash log อัตโนมัติสำหรับ Windows และ macOS ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Plugin Manager ช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งปลั๊กอินที่เคยต้องใช้ไฟล์ .so/.dll ➡️ Hybrid MOV ช่วยให้การทำงานร่วมกับโปรแกรมตัดต่อเช่น DaVinci Resolve หรือ Final Cut Pro ง่ายขึ้น ➡️ VAD ช่วยลดการใช้ CPU โดยให้ระบบตัดเสียงทำงานเฉพาะเมื่อจำเป็น ➡️ PipeWire เป็นระบบ multimedia ใหม่ที่มาแทน PulseAudio บน Linux ➡️ Metal renderer บน Apple Silicon ช่วยให้ OBS ทำงานได้ลื่นขึ้นบน Mac รุ่นใหม่ https://9to5linux.com/obs-studio-32-0-pipewire-video-capture-improvements-basic-plugin-manager
    9TO5LINUX.COM
    OBS Studio 32.0 Adds PipeWire Video Capture Improvements, Basic Plugin Manager - 9to5Linux
    OBS Studio 32.0 is now available for download with a basic plugin manager, Voice Activity Detection for NVIDIA RTX Audio Effects, and more.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • “ภาพโปรไฟล์สีดำบน Facebook คืออะไร? จากการไว้อาลัยสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคดิจิทัล”

    ในโลกที่การแสดงออกทางสังคมเกิดขึ้นผ่านหน้าจอมากกว่าท้องถนน การเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำบน Facebook กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่แค่การไว้อาลัย แต่ยังเป็นการประกาศจุดยืน การประท้วง และการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

    ย้อนกลับไปในปี 2016 ผู้ใช้ Facebook จำนวนมากเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งของ Donald Trump และในปี 2024 เทรนด์นี้ก็กลับมาอีกครั้งในบริบทที่คล้ายกัน แต่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น — ในปี 2018 ภาพโปรไฟล์สีดำถูกใช้เพื่อรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะในแคมเปญที่ให้ผู้หญิง “หายไป” จากโซเชียลเพื่อให้ผู้ชายตระหนักถึงบทบาทของพวกเธอในชีวิต

    เหตุการณ์ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นในปี 2020 บน Instagram กับ “Black Tuesday” ที่ผู้คนในวงการบันเทิงเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของ George Floyd และสนับสนุนการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ซึ่งแพร่กระจายไปยังแพลตฟอร์มอื่นอย่าง X (Twitter เดิม)

    แต่ภาพโปรไฟล์สีดำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเคลื่อนไหวระดับชาติ บางคนใช้เพื่อแสดงความเศร้า สูญเสีย หรือไว้อาลัยต่อบุคคลที่รัก หรือแม้แต่เพื่อบอกว่า “ฉันไม่สนใจภาพลักษณ์ออนไลน์” เป็นการปฏิเสธวัฒนธรรมการตกแต่งโปรไฟล์อย่างเงียบ ๆ

    นอกจากการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ ผู้ใช้ยังใช้วิธีอื่นในการแสดงออก เช่น การใส่กรอบรูปโปรไฟล์ที่มีธงชาติฝรั่งเศสหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในปี 2015 หรือธงสีรุ้งหลังคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐที่รับรองการแต่งงานเพศเดียวกัน รวมถึงการใช้ hashtag เพื่อเข้าร่วมบทสนทนาและแสดงจุดยืนทางสังคม

    https://www.slashgear.com/1970336/black-profile-pictures-facebook-meaning/
    🖤 “ภาพโปรไฟล์สีดำบน Facebook คืออะไร? จากการไว้อาลัยสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมในยุคดิจิทัล” ในโลกที่การแสดงออกทางสังคมเกิดขึ้นผ่านหน้าจอมากกว่าท้องถนน การเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำบน Facebook กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่แค่การไว้อาลัย แต่ยังเป็นการประกาศจุดยืน การประท้วง และการแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ย้อนกลับไปในปี 2016 ผู้ใช้ Facebook จำนวนมากเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งของ Donald Trump และในปี 2024 เทรนด์นี้ก็กลับมาอีกครั้งในบริบทที่คล้ายกัน แต่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองเท่านั้น — ในปี 2018 ภาพโปรไฟล์สีดำถูกใช้เพื่อรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะในแคมเปญที่ให้ผู้หญิง “หายไป” จากโซเชียลเพื่อให้ผู้ชายตระหนักถึงบทบาทของพวกเธอในชีวิต เหตุการณ์ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นในปี 2020 บน Instagram กับ “Black Tuesday” ที่ผู้คนในวงการบันเทิงเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นสีดำเพื่อไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของ George Floyd และสนับสนุนการเคลื่อนไหว Black Lives Matter ซึ่งแพร่กระจายไปยังแพลตฟอร์มอื่นอย่าง X (Twitter เดิม) แต่ภาพโปรไฟล์สีดำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเคลื่อนไหวระดับชาติ บางคนใช้เพื่อแสดงความเศร้า สูญเสีย หรือไว้อาลัยต่อบุคคลที่รัก หรือแม้แต่เพื่อบอกว่า “ฉันไม่สนใจภาพลักษณ์ออนไลน์” เป็นการปฏิเสธวัฒนธรรมการตกแต่งโปรไฟล์อย่างเงียบ ๆ นอกจากการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ ผู้ใช้ยังใช้วิธีอื่นในการแสดงออก เช่น การใส่กรอบรูปโปรไฟล์ที่มีธงชาติฝรั่งเศสหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในปี 2015 หรือธงสีรุ้งหลังคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐที่รับรองการแต่งงานเพศเดียวกัน รวมถึงการใช้ hashtag เพื่อเข้าร่วมบทสนทนาและแสดงจุดยืนทางสังคม https://www.slashgear.com/1970336/black-profile-pictures-facebook-meaning/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Why Do People Put Black Profile Pictures On Facebook? Here's What It Means - SlashGear
    A profile picture can tell you a lot about somebody's account online, and a blacked out profile picture may be symbolic of an important message.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • “11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ทำให้ขโมยคิดว่าคุณอยู่บ้าน — เทคนิคหลอกตาเพื่อความปลอดภัยในยุคสมาร์ตโฮม”

    ในยุคที่บ้านว่างเปล่าคือเป้าหมายของโจร อุปกรณ์สมาร์ตโฮมกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “หลอก” ให้ผู้ไม่หวังดีคิดว่ามีคนอยู่บ้าน แม้คุณจะกำลังเดินทางไกลหรือพักผ่อนอยู่ต่างจังหวัดก็ตาม

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ช่วยสร้างภาพลวงตาให้บ้านดูมีชีวิต เช่น ไฟ floodlight ที่เปิดเมื่อมีการเคลื่อนไหว, ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลา, กล้องที่ซ่อนอยู่ในหลอดไฟ, ไปจนถึงเครื่องจำลองแสงจากทีวี—all เพื่อให้บ้านดูเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา

    อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้แค่เปิดปิดตามเวลา แต่ยังใช้ “ความสุ่ม” และ “พฤติกรรมเลียนแบบ” เช่น การเปิดไฟแบบไม่สม่ำเสมอ หรือการเปิดเพลงผ่าน Echo Pop เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมือนมีคนอยู่จริง ๆ

    แม้เทคโนโลยีจะไม่สามารถป้องกันขโมยได้ 100% แต่การทำให้บ้านของคุณดูไม่น่าเสี่ยง ก็เพียงพอที่จะทำให้โจรเลือกเป้าหมายอื่นแทน

    อุปกรณ์สมาร์ตที่ช่วยหลอกขโมย
    Smart Wi-Fi Floodlights: เปิดไฟเมื่อมีการเคลื่อนไหว และสามารถควบคุมจากแอป
    Motorized Roller Shades: ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลาแบบไม่สม่ำเสมอ
    Wyze Video Doorbell Pro: กล้องหน้าบ้านที่แจ้งเตือนเมื่อมีคนเข้าใกล้
    Lorex Smart Lightbulb Camera: กล้องซ่อนในหลอดไฟที่หมุนได้ 360°
    Robot Lawn Mower: ตัดหญ้าอัตโนมัติแม้เจ้าของไม่อยู่บ้าน
    Smart Package Vault: ตู้รับพัสดุอัจฉริยะที่ซ่อนกล่องจากสายตาคนภายนอก
    FakeTV Simulator: อุปกรณ์จำลองแสงจากทีวีเพื่อให้ดูเหมือนมีคนดูอยู่
    Amazon Echo Pop: ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมดผ่านเสียงและตั้งเวลาเปิดเพลง
    Kasa Smart Bulbs: หลอดไฟที่เปิดปิดแบบสุ่มเพื่อเลียนแบบพฤติกรรมจริง
    Smart Garage Door Opener: เปิดปิดประตูโรงรถจากระยะไกล
    Wi-Fi Sprinkler Timer: ตั้งเวลารดน้ำต้นไม้เพื่อให้บ้านดูมีคนดูแล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ “Away Mode” บนอุปกรณ์ช่วยสร้างความสุ่มที่ดูสมจริง
    การเปิดไฟในห้องต่าง ๆ ด้วยความสว่างที่ต่างกันช่วยให้ดูเหมือนมีคนอยู่
    การใช้กล้องที่ไม่ดูเหมือนกล้องช่วยลดการหลบเลี่ยงจากขโมยที่มีประสบการณ์
    การควบคุมผ่านสมาร์ตฮับ เช่น Alexa หรือ Google Home ช่วยให้จัดการง่ายขึ้น

    https://www.slashgear.com/1971492/smart-products-that-make-thieves-think-you-are-home/
    🏠 “11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ทำให้ขโมยคิดว่าคุณอยู่บ้าน — เทคนิคหลอกตาเพื่อความปลอดภัยในยุคสมาร์ตโฮม” ในยุคที่บ้านว่างเปล่าคือเป้าหมายของโจร อุปกรณ์สมาร์ตโฮมกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “หลอก” ให้ผู้ไม่หวังดีคิดว่ามีคนอยู่บ้าน แม้คุณจะกำลังเดินทางไกลหรือพักผ่อนอยู่ต่างจังหวัดก็ตาม บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ช่วยสร้างภาพลวงตาให้บ้านดูมีชีวิต เช่น ไฟ floodlight ที่เปิดเมื่อมีการเคลื่อนไหว, ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลา, กล้องที่ซ่อนอยู่ในหลอดไฟ, ไปจนถึงเครื่องจำลองแสงจากทีวี—all เพื่อให้บ้านดูเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้แค่เปิดปิดตามเวลา แต่ยังใช้ “ความสุ่ม” และ “พฤติกรรมเลียนแบบ” เช่น การเปิดไฟแบบไม่สม่ำเสมอ หรือการเปิดเพลงผ่าน Echo Pop เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมือนมีคนอยู่จริง ๆ แม้เทคโนโลยีจะไม่สามารถป้องกันขโมยได้ 100% แต่การทำให้บ้านของคุณดูไม่น่าเสี่ยง ก็เพียงพอที่จะทำให้โจรเลือกเป้าหมายอื่นแทน ✅ อุปกรณ์สมาร์ตที่ช่วยหลอกขโมย ➡️ Smart Wi-Fi Floodlights: เปิดไฟเมื่อมีการเคลื่อนไหว และสามารถควบคุมจากแอป ➡️ Motorized Roller Shades: ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลาแบบไม่สม่ำเสมอ ➡️ Wyze Video Doorbell Pro: กล้องหน้าบ้านที่แจ้งเตือนเมื่อมีคนเข้าใกล้ ➡️ Lorex Smart Lightbulb Camera: กล้องซ่อนในหลอดไฟที่หมุนได้ 360° ➡️ Robot Lawn Mower: ตัดหญ้าอัตโนมัติแม้เจ้าของไม่อยู่บ้าน ➡️ Smart Package Vault: ตู้รับพัสดุอัจฉริยะที่ซ่อนกล่องจากสายตาคนภายนอก ➡️ FakeTV Simulator: อุปกรณ์จำลองแสงจากทีวีเพื่อให้ดูเหมือนมีคนดูอยู่ ➡️ Amazon Echo Pop: ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมดผ่านเสียงและตั้งเวลาเปิดเพลง ➡️ Kasa Smart Bulbs: หลอดไฟที่เปิดปิดแบบสุ่มเพื่อเลียนแบบพฤติกรรมจริง ➡️ Smart Garage Door Opener: เปิดปิดประตูโรงรถจากระยะไกล ➡️ Wi-Fi Sprinkler Timer: ตั้งเวลารดน้ำต้นไม้เพื่อให้บ้านดูมีคนดูแล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ “Away Mode” บนอุปกรณ์ช่วยสร้างความสุ่มที่ดูสมจริง ➡️ การเปิดไฟในห้องต่าง ๆ ด้วยความสว่างที่ต่างกันช่วยให้ดูเหมือนมีคนอยู่ ➡️ การใช้กล้องที่ไม่ดูเหมือนกล้องช่วยลดการหลบเลี่ยงจากขโมยที่มีประสบการณ์ ➡️ การควบคุมผ่านสมาร์ตฮับ เช่น Alexa หรือ Google Home ช่วยให้จัดการง่ายขึ้น https://www.slashgear.com/1971492/smart-products-that-make-thieves-think-you-are-home/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    11 Smart Products That Can Fool Thieves Into Thinking You're Home - SlashGear
    If you're planning to be away from home for an extended period of time, you may be worrying about the risk of a break-in. These smart home products can help.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “รู้จักเสาอากาศ Wi-Fi และวิธีอัปเกรดให้สัญญาณแรงขึ้น — เพราะอินเทอร์เน็ตเร็วไม่พอ ถ้าเสาอากาศไม่ส่งดี”

    แม้คุณจะจ่ายเงินเพื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ถ้า Wi-Fi ยังอืดหรือมีจุดอับสัญญาณในบ้าน ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แพ็กเกจเน็ตหรือเราเตอร์เสมอไป — แต่อาจอยู่ที่ “เสาอากาศ Wi-Fi” ที่คุณมองข้ามไป

    เสาอากาศ Wi-Fi ทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นวิทยุให้กลายเป็นสัญญาณที่อุปกรณ์รับได้ และส่งกลับไปยังเราเตอร์ ถ้าเสาอากาศเสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน ก็จะทำให้สัญญาณอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะใช้เราเตอร์รุ่นใหม่ก็ตาม

    ก่อนจะเปลี่ยนเราเตอร์ ลองตรวจสอบเสาอากาศก่อน โดยใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi และลองย้ายตำแหน่งเราเตอร์ไปยังจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง หากสัญญาณยังอ่อนอยู่ การเปลี่ยนเสาอากาศอาจช่วยได้มาก

    เสาอากาศมีหลายประเภท เช่น:
    - Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับบ้านหรือออฟฟิศที่มีอุปกรณ์อยู่หลายจุด
    - Directional: ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียว เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกลหรือพื้นที่เฉพาะ

    การอัปเกรดเสาอากาศไม่ยาก หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน (เช่น SMA หรือ RP-SMA) แต่บางรุ่นโดยเฉพาะ Wi-Fi 6E อาจมีเสาอากาศฝังในตัว ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้

    นอกจากเปลี่ยนเสาอากาศ ยังสามารถติดตั้ง Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณในพื้นที่ที่สัญญาณอ่อน เช่น ห้องชั้นบนหรือมุมบ้านที่มีผนังหนา

    และถ้าคุณใช้ Wi-Fi 6, 6E หรือ Wi-Fi 7 ในปี 2025 การเลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz จะช่วยให้คุณใช้เทคโนโลยีใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น OFDMA, MU-MIMO และ Multi-Link Operation

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เสาอากาศ Wi-Fi เป็นตัวกลางในการรับส่งคลื่นวิทยุระหว่างเราเตอร์กับอุปกรณ์
    เสาอากาศเสื่อมสภาพได้ ทำให้สัญญาณ Wi-Fi อ่อนลงแม้ใช้เน็ตเร็ว
    ควรตรวจสอบเสาอากาศก่อนเปลี่ยนเราเตอร์ หากพบปัญหาสัญญาณ
    การเปลี่ยนเสาอากาศสามารถทำได้ง่าย หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน

    ประเภทของเสาอากาศ
    Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับพื้นที่เปิด
    Directional: ส่งสัญญาณเฉพาะทิศทาง เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกล
    Sector Antenna: ใช้ในพื้นที่กลางแจ้งหรือเชื่อมต่อระหว่างอาคาร

    วิธีอัปเกรดและปรับปรุงสัญญาณ
    ใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi เพื่อหาจุดอับ
    วางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและไม่มีสิ่งกีดขวาง
    ใช้ Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณ
    เลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz สำหรับ Wi-Fi 6E/7

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Beamforming ช่วยเพิ่มความแรงสัญญาณที่ขอบพื้นที่ได้ถึง 30%
    Wi-Fi 6 ใช้ OFDMA และ MU-MIMO เพื่อส่งข้อมูลหลายอุปกรณ์พร้อมกัน2
    Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Aggregation และ 320MHz channel สำหรับความเร็วสูงสุด
    เสาอากาศแบบ programmable metasurface อาจเพิ่ม coverage ได้ถึง 500% ในอนาคต

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ไม่ใช่เราเตอร์ทุกตัวที่รองรับการเปลี่ยนเสาอากาศ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่มีเสาฝัง
    การเลือกเสาอากาศผิดประเภทอาจทำให้สัญญาณแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น
    การวางเราเตอร์ใกล้ไมโครเวฟหรืออุปกรณ์ Bluetooth อาจทำให้สัญญาณรบกวน
    การใช้เสาอากาศแบบ directional ต้องวางให้ตรงทิศ ไม่เช่นนั้นจะไม่ครอบคลุม
    การอัปเกรดเสาอากาศไม่ช่วยหากปัญหาอยู่ที่ ISP หรือการตั้งค่าเครือข่าย

    https://www.slashgear.com/1968538/wifi-antenna-everything-need-know-about-how-upgrade-guide/
    📡 “รู้จักเสาอากาศ Wi-Fi และวิธีอัปเกรดให้สัญญาณแรงขึ้น — เพราะอินเทอร์เน็ตเร็วไม่พอ ถ้าเสาอากาศไม่ส่งดี” แม้คุณจะจ่ายเงินเพื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ถ้า Wi-Fi ยังอืดหรือมีจุดอับสัญญาณในบ้าน ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แพ็กเกจเน็ตหรือเราเตอร์เสมอไป — แต่อาจอยู่ที่ “เสาอากาศ Wi-Fi” ที่คุณมองข้ามไป เสาอากาศ Wi-Fi ทำหน้าที่เป็นตัวแปลงคลื่นวิทยุให้กลายเป็นสัญญาณที่อุปกรณ์รับได้ และส่งกลับไปยังเราเตอร์ ถ้าเสาอากาศเสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน ก็จะทำให้สัญญาณอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะใช้เราเตอร์รุ่นใหม่ก็ตาม ก่อนจะเปลี่ยนเราเตอร์ ลองตรวจสอบเสาอากาศก่อน โดยใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi และลองย้ายตำแหน่งเราเตอร์ไปยังจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง หากสัญญาณยังอ่อนอยู่ การเปลี่ยนเสาอากาศอาจช่วยได้มาก เสาอากาศมีหลายประเภท เช่น: - Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับบ้านหรือออฟฟิศที่มีอุปกรณ์อยู่หลายจุด - Directional: ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียว เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกลหรือพื้นที่เฉพาะ การอัปเกรดเสาอากาศไม่ยาก หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน (เช่น SMA หรือ RP-SMA) แต่บางรุ่นโดยเฉพาะ Wi-Fi 6E อาจมีเสาอากาศฝังในตัว ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากเปลี่ยนเสาอากาศ ยังสามารถติดตั้ง Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณในพื้นที่ที่สัญญาณอ่อน เช่น ห้องชั้นบนหรือมุมบ้านที่มีผนังหนา และถ้าคุณใช้ Wi-Fi 6, 6E หรือ Wi-Fi 7 ในปี 2025 การเลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz จะช่วยให้คุณใช้เทคโนโลยีใหม่ได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น OFDMA, MU-MIMO และ Multi-Link Operation ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เสาอากาศ Wi-Fi เป็นตัวกลางในการรับส่งคลื่นวิทยุระหว่างเราเตอร์กับอุปกรณ์ ➡️ เสาอากาศเสื่อมสภาพได้ ทำให้สัญญาณ Wi-Fi อ่อนลงแม้ใช้เน็ตเร็ว ➡️ ควรตรวจสอบเสาอากาศก่อนเปลี่ยนเราเตอร์ หากพบปัญหาสัญญาณ ➡️ การเปลี่ยนเสาอากาศสามารถทำได้ง่าย หากเราเตอร์รองรับการถอดเปลี่ยน ✅ ประเภทของเสาอากาศ ➡️ Omnidirectional: กระจายสัญญาณรอบทิศ เหมาะกับพื้นที่เปิด ➡️ Directional: ส่งสัญญาณเฉพาะทิศทาง เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกล ➡️ Sector Antenna: ใช้ในพื้นที่กลางแจ้งหรือเชื่อมต่อระหว่างอาคาร ✅ วิธีอัปเกรดและปรับปรุงสัญญาณ ➡️ ใช้แอปวิเคราะห์สัญญาณ Wi-Fi เพื่อหาจุดอับ ➡️ วางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและไม่มีสิ่งกีดขวาง ➡️ ใช้ Wi-Fi extender หรือ booster เพื่อขยายสัญญาณ ➡️ เลือกเสาอากาศที่รองรับ tri-band และ 6GHz สำหรับ Wi-Fi 6E/7 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Beamforming ช่วยเพิ่มความแรงสัญญาณที่ขอบพื้นที่ได้ถึง 30% ➡️ Wi-Fi 6 ใช้ OFDMA และ MU-MIMO เพื่อส่งข้อมูลหลายอุปกรณ์พร้อมกัน2 ➡️ Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Aggregation และ 320MHz channel สำหรับความเร็วสูงสุด ➡️ เสาอากาศแบบ programmable metasurface อาจเพิ่ม coverage ได้ถึง 500% ในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ไม่ใช่เราเตอร์ทุกตัวที่รองรับการเปลี่ยนเสาอากาศ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ที่มีเสาฝัง ⛔ การเลือกเสาอากาศผิดประเภทอาจทำให้สัญญาณแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น ⛔ การวางเราเตอร์ใกล้ไมโครเวฟหรืออุปกรณ์ Bluetooth อาจทำให้สัญญาณรบกวน ⛔ การใช้เสาอากาศแบบ directional ต้องวางให้ตรงทิศ ไม่เช่นนั้นจะไม่ครอบคลุม ⛔ การอัปเกรดเสาอากาศไม่ช่วยหากปัญหาอยู่ที่ ISP หรือการตั้งค่าเครือข่าย https://www.slashgear.com/1968538/wifi-antenna-everything-need-know-about-how-upgrade-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Everything You Need To Know About Wi-Fi Antennas (And How To Upgrade Them) - SlashGear
    Antennas are your router’s translators, turning radio waves into usable internet. Swapping in high-gain or directional models can eliminate dead zones and lag.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • พล.ต.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดหลักฐานหลักเขตแดนสระแก้ว ชี้ “ฮุน มาเนต” ไม่กล้าแตะพื้นที่นี้ เหตุเขมรยอมรับหลักเขตเอง นอกจากนี้ยังพบว่า คาสิโน-ชาวบ้านกัมพูชา รุกล้ำเข้าพื้นที่ไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090824

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    พล.ต.วันชนะ สวัสดี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดหลักฐานหลักเขตแดนสระแก้ว ชี้ “ฮุน มาเนต” ไม่กล้าแตะพื้นที่นี้ เหตุเขมรยอมรับหลักเขตเอง นอกจากนี้ยังพบว่า คาสิโน-ชาวบ้านกัมพูชา รุกล้ำเข้าพื้นที่ไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090824 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Angry
    1
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • “ShadowLeak: ช่องโหว่ Zero-Click ที่ทำให้ ChatGPT ส่งข้อมูล Gmail โดยไม่รู้ตัว — เมื่อ AI กลายเป็นช่องทางรั่วไหลข้อมูล”

    Radware บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Deep Research agent ของ ChatGPT ซึ่งสามารถถูกโจมตีแบบ “Zero-Click” โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ช่องโหว่นี้ถูกตั้งชื่อว่า “ShadowLeak” และถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวจาก Gmail โดยอาศัยเทคนิคที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection”

    การโจมตีเริ่มจากอีเมลที่ดูปกติ เช่นหัวข้อ “Restructuring Package – Action Items” แต่ภายในซ่อนคำสั่งลับด้วยเทคนิค CSS เช่น ตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว หรือฟอนต์ขนาดเล็ก เมื่อผู้ใช้สั่งให้ Deep Research agent วิเคราะห์อีเมลเหล่านี้ ตัว agent จะอ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลส่วนตัว เช่นชื่อ ที่อยู่ หรือข้อมูลภายในองค์กร ไปยัง URL ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี โดยใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อให้ดูเหมือนปลอดภัย

    ที่น่ากังวลคือการโจมตีนี้เกิดขึ้น “ฝั่งเซิร์ฟเวอร์” ของ OpenAI โดยตรง ไม่ผ่านเครื่องของผู้ใช้ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ และไม่มีหลักฐานหลงเหลือให้วิเคราะห์ย้อนหลัง

    แม้ช่องโหว่นี้จะถูกแจ้งไปยัง OpenAI ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และได้รับการแก้ไขในเดือนสิงหาคม 2025 แต่ Radware เตือนว่าการโจมตีแบบเดียวกันสามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research ได้ เช่น Google Drive, Microsoft Teams, GitHub และอื่น ๆ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ “ShadowLeak” เป็นการโจมตีแบบ Zero-Click ผ่าน ChatGPT Deep Research agent
    ใช้เทคนิค Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในอีเมลที่ดูปกติ
    Agent อ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่แจ้งผู้ใช้
    ใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อหลอกระบบว่าเป็นการส่งข้อมูลที่ปลอดภัย
    การโจมตีเกิดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้

    การตอบสนองและการแก้ไข
    Radware แจ้งช่องโหว่ไปยัง OpenAI ในเดือนมิถุนายน 2025
    OpenAI แก้ไขช่องโหว่ในเดือนสิงหาคม และประกาศว่าได้รับการแก้ไขแล้วเมื่อวันที่ 3 กันยายน
    ช่องโหว่นี้สามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research เช่น Google Drive, GitHub, Microsoft Outlook

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deep Research agent เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลหลายขั้นตอน
    การโจมตีแบบ Zero-Click เป็นภัยที่ร้ายแรงเพราะไม่ต้องอาศัยการกระทำจากผู้ใช้
    Prompt Injection เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในระบบ AI ที่รับข้อมูลจากภายนอก
    การเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 ไม่ได้ปลอดภัยจริง แต่ช่วยให้ข้อมูลดูไม่เป็นอันตราย

    https://hackread.com/shadowleak-exploit-exposed-gmail-data-chatgpt-agent/
    🕵️‍♂️ “ShadowLeak: ช่องโหว่ Zero-Click ที่ทำให้ ChatGPT ส่งข้อมูล Gmail โดยไม่รู้ตัว — เมื่อ AI กลายเป็นช่องทางรั่วไหลข้อมูล” Radware บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Deep Research agent ของ ChatGPT ซึ่งสามารถถูกโจมตีแบบ “Zero-Click” โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ช่องโหว่นี้ถูกตั้งชื่อว่า “ShadowLeak” และถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวจาก Gmail โดยอาศัยเทคนิคที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” การโจมตีเริ่มจากอีเมลที่ดูปกติ เช่นหัวข้อ “Restructuring Package – Action Items” แต่ภายในซ่อนคำสั่งลับด้วยเทคนิค CSS เช่น ตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว หรือฟอนต์ขนาดเล็ก เมื่อผู้ใช้สั่งให้ Deep Research agent วิเคราะห์อีเมลเหล่านี้ ตัว agent จะอ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลส่วนตัว เช่นชื่อ ที่อยู่ หรือข้อมูลภายในองค์กร ไปยัง URL ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี โดยใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อให้ดูเหมือนปลอดภัย ที่น่ากังวลคือการโจมตีนี้เกิดขึ้น “ฝั่งเซิร์ฟเวอร์” ของ OpenAI โดยตรง ไม่ผ่านเครื่องของผู้ใช้ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ และไม่มีหลักฐานหลงเหลือให้วิเคราะห์ย้อนหลัง แม้ช่องโหว่นี้จะถูกแจ้งไปยัง OpenAI ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และได้รับการแก้ไขในเดือนสิงหาคม 2025 แต่ Radware เตือนว่าการโจมตีแบบเดียวกันสามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research ได้ เช่น Google Drive, Microsoft Teams, GitHub และอื่น ๆ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ “ShadowLeak” เป็นการโจมตีแบบ Zero-Click ผ่าน ChatGPT Deep Research agent ➡️ ใช้เทคนิค Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในอีเมลที่ดูปกติ ➡️ Agent อ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่แจ้งผู้ใช้ ➡️ ใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อหลอกระบบว่าเป็นการส่งข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ การโจมตีเกิดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ การตอบสนองและการแก้ไข ➡️ Radware แจ้งช่องโหว่ไปยัง OpenAI ในเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ OpenAI แก้ไขช่องโหว่ในเดือนสิงหาคม และประกาศว่าได้รับการแก้ไขแล้วเมื่อวันที่ 3 กันยายน ➡️ ช่องโหว่นี้สามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research เช่น Google Drive, GitHub, Microsoft Outlook ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deep Research agent เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลหลายขั้นตอน ➡️ การโจมตีแบบ Zero-Click เป็นภัยที่ร้ายแรงเพราะไม่ต้องอาศัยการกระทำจากผู้ใช้ ➡️ Prompt Injection เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในระบบ AI ที่รับข้อมูลจากภายนอก ➡️ การเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 ไม่ได้ปลอดภัยจริง แต่ช่วยให้ข้อมูลดูไม่เป็นอันตราย https://hackread.com/shadowleak-exploit-exposed-gmail-data-chatgpt-agent/
    HACKREAD.COM
    ShadowLeak Exploit Exposed Gmail Data Through ChatGPT Agent
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews