• The great blue heron
    The great blue heron
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • "รัฐบาล" เปิดแผน...“Negative Income Tax”...“ทุกคนต้องยื่นภาษี”...พร้อมแก้ปัญหาการหลบเลี่ยง
    https://www.thai-tai.tv/news/21011/
    .
    #ภาษีเงินได้ติดลบ #NegativeIncomeTax #ภาษี #สวัสดิการแห่งรัฐ #เศรษฐกิจไทย #ไทยไท

    "รัฐบาล" เปิดแผน...“Negative Income Tax”...“ทุกคนต้องยื่นภาษี”...พร้อมแก้ปัญหาการหลบเลี่ยง https://www.thai-tai.tv/news/21011/ . #ภาษีเงินได้ติดลบ #NegativeIncomeTax #ภาษี #สวัสดิการแห่งรัฐ #เศรษฐกิจไทย #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • ปักกิ่งย้ำไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีน หลังทรัมป์อ้างว่า ประธานาธิบดีสีรับปากไม่บุกเกาะมังกรน้อยในระหว่างที่ตนยังอยู่ในทำเนียบขาว พร้อมกันนี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังแนะนำรัฐมนตรีเยอรมนีที่วิจารณ์เรื่องไทเป รวมถึงทะเลจีนใต้และตะวันออก ให้ละเว้นการยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้า และหันมาปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคดังกล่าวแทน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078735

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    ปักกิ่งย้ำไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีน หลังทรัมป์อ้างว่า ประธานาธิบดีสีรับปากไม่บุกเกาะมังกรน้อยในระหว่างที่ตนยังอยู่ในทำเนียบขาว พร้อมกันนี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังแนะนำรัฐมนตรีเยอรมนีที่วิจารณ์เรื่องไทเป รวมถึงทะเลจีนใต้และตะวันออก ให้ละเว้นการยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้า และหันมาปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคดังกล่าวแทน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078735 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • กลาโหมจัดใหญ่เปิดตัวอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ด้วยการทดสอบอาวุธทางยุทธวิธีของปืนในตระกูล คชสีห์ KOCHASI MOD2020 ในงาน MOD CHALLENGE 2025 วันที่ 9 กย.นี้ ที่ หัวหิน
    .
    ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร (ศอว.ศอพท. ) จัดงานแสดงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและ
    การทดสอบอาวุธทางยุทธวิธี ด้วยปืน KOCHASI MOD2020 ปืนเล็กยาว ขนาด 5.56 มม. และ ปืน KOCHASI SAN9 ปืนพก ขนาด 9 มม. กับงาน MOD CHALLENGE 2025 ถือเป็นงานวิจัย และควบคุมการผลิตโดย "ศอว.ศอพท." โรงงานต้นแบบการวิจัยพัฒนาอาวุธ กับ “คชสีห์” แบรนด์ ยุทโธปกรณ์ทางทหารใหม่ไทยแท้ ด้วยมาตรฐานระดับสากลของปืนสัญชาติไทย ที่คิดและออกแบบโดยคนไทย ผลิตโดยคนไทย ด้วยวัตถุดิบในประเทศไทย เพื่อทหารของไทย

    การทดสอบอาวุธทางยุทธวิธีในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนความสำเร็จในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และเป็นภาพสะท้อนของความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเทคโนโลยีและการป้องกันตนเอง

    ร่วมชมศักยภาพเหล่าทัพทหารไทย ทั้ง 9 ทีม ผ่าน Live Streaming วันอังคารที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 08.00 - 17.00 น. ถ่ายทอดสดทาง: Kochasi Weapon Plant

    Facebook: http://bit.ly/3JtfNXn
    YouTube: http://bit.ly/412tjHB
    กลาโหมจัดใหญ่เปิดตัวอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ด้วยการทดสอบอาวุธทางยุทธวิธีของปืนในตระกูล คชสีห์ KOCHASI MOD2020 ในงาน MOD CHALLENGE 2025 วันที่ 9 กย.นี้ ที่ หัวหิน . ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร (ศอว.ศอพท. ) จัดงานแสดงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและ การทดสอบอาวุธทางยุทธวิธี ด้วยปืน KOCHASI MOD2020 ปืนเล็กยาว ขนาด 5.56 มม. และ ปืน KOCHASI SAN9 ปืนพก ขนาด 9 มม. กับงาน MOD CHALLENGE 2025 ถือเป็นงานวิจัย และควบคุมการผลิตโดย "ศอว.ศอพท." โรงงานต้นแบบการวิจัยพัฒนาอาวุธ กับ “คชสีห์” แบรนด์ ยุทโธปกรณ์ทางทหารใหม่ไทยแท้ ด้วยมาตรฐานระดับสากลของปืนสัญชาติไทย ที่คิดและออกแบบโดยคนไทย ผลิตโดยคนไทย ด้วยวัตถุดิบในประเทศไทย เพื่อทหารของไทย การทดสอบอาวุธทางยุทธวิธีในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนความสำเร็จในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และเป็นภาพสะท้อนของความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเทคโนโลยีและการป้องกันตนเอง ร่วมชมศักยภาพเหล่าทัพทหารไทย ทั้ง 9 ทีม ผ่าน Live Streaming วันอังคารที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 08.00 - 17.00 น. ถ่ายทอดสดทาง: Kochasi Weapon Plant Facebook: http://bit.ly/3JtfNXn YouTube: http://bit.ly/412tjHB
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • อดีตหัวหน้าข่าวกรองทัพอิสราเอล พลตรีอาฮารอน ฮาลิวา (Aharon Haliva) พูดในคลิปลับว่า ประชาชนกาซาตายนับหมื่นเป็นเรื่องจำเป็นหลังข่าวแพร่ไปทั่วเทลอาวีฟเจรจา 5 ประเทศรวมอินโดนีเซีย โซมาลีแลนด์ และลิเบียเพื่อรับผู้อพยพปาเลสไตน์ส่งผลให้อียิปต์ล่าสุดวันจันทร์(19 ส.ค)ออกคำเตือนนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ถึงเส้นแดง ฮามาสสุดฉุนชี้ คลิปลับประจานชี้ให้เห็นเป็นเป็นการตัดสินใจระดับสูงจากอิสราเอลสังหารหมู่ประชาชนปาเลสไตน์
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078738

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    อดีตหัวหน้าข่าวกรองทัพอิสราเอล พลตรีอาฮารอน ฮาลิวา (Aharon Haliva) พูดในคลิปลับว่า ประชาชนกาซาตายนับหมื่นเป็นเรื่องจำเป็นหลังข่าวแพร่ไปทั่วเทลอาวีฟเจรจา 5 ประเทศรวมอินโดนีเซีย โซมาลีแลนด์ และลิเบียเพื่อรับผู้อพยพปาเลสไตน์ส่งผลให้อียิปต์ล่าสุดวันจันทร์(19 ส.ค)ออกคำเตือนนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ถึงเส้นแดง ฮามาสสุดฉุนชี้ คลิปลับประจานชี้ให้เห็นเป็นเป็นการตัดสินใจระดับสูงจากอิสราเอลสังหารหมู่ประชาชนปาเลสไตน์ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078738 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • Anna’s Archive ยังอยู่ และยังสู้: อัปเดตล่าสุดจากทีมงาน

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมงาน Anna’s Archive ออกมาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดผ่านบล็อกของพวกเขา โดยระบุว่ากำลังเผชิญ “การโจมตีที่เพิ่มขึ้น” ต่อภารกิจของพวกเขาในการปกป้องและเผยแพร่ความรู้ของมนุษยชาติ

    ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2022 พวกเขาได้ “ปลดปล่อย” หนังสือ บทความวิชาการ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์หลายสิบล้านรายการจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Internet Archive, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ ผ่านการ scrape และการแชร์แบบ torrent

    นอกจากนี้ยังได้รวบรวม metadata จากแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก เช่น WorldCat และ Google Books เพื่อระบุว่าหนังสือเล่มใดยังขาดหาย และควรได้รับการช่วยเหลือก่อน

    ทีมงานยังได้สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อแลกเปลี่ยนไฟล์และ mirror ข้อมูลซึ่งช่วยให้ความรู้เหล่านี้ไม่สูญหายไปจากโลก แม้จะมีข่าวเศร้าคือหนึ่งใน LibGen forks ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

    มีผู้เล่นใหม่ชื่อ WeLib ที่ใช้โค้ดของ Anna’s Archive และ mirror ข้อมูล แต่ไม่ได้แบ่งปันอะไรกลับคืนสู่ระบบนิเวศ ทีมงานจึงแนะนำให้ “ใช้ด้วยความระมัดระวัง” และไม่แนะนำให้ใช้งาน

    ขณะนี้ยังมีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล และทีมงานเชิญชวนผู้สนใจให้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคเพื่อช่วยให้โครงการดำเนินต่อไปได้

    ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Anna’s Archive
    เผชิญการโจมตีต่อภารกิจในการปกป้องความรู้ของมนุษยชาติ
    ดำเนินการ harden ระบบ infrastructure และความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ
    ได้ scrape ไฟล์จาก IA CDL, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ รวมหลายสิบล้านรายการ
    รวบรวม metadata จาก WorldCat และ Google Books เพื่อระบุหนังสือที่ยังขาด
    สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อ mirror ข้อมูล
    มีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล
    เชิญชวนให้ร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคผ่านหน้า Volunteering และ Donate

    Anna’s Archive มีหนังสือกว่า 51 ล้านเล่ม และบทความวิชาการกว่า 98 ล้านรายการ
    ส่งผลต่อการวิจัยทั่วโลก โดยช่วยลดช่องว่างระหว่างมหาวิทยาลัยใหญ่กับสถาบันเล็ก
    นักวิจัยรายงานว่าใช้เวลาทำ literature review ลดลงถึง 60–80%
    ส่งเสริมการวิจัยข้ามสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 40%
    บางมหาวิทยาลัยเริ่มปรับบทบาทห้องสมุดจากการเก็บหนังสือ สู่การฝึกทักษะดิจิทัล
    ผู้ให้บริการ AI และนักวิจัยใช้ข้อมูลจาก Anna’s Archive เพื่อฝึกโมเดลและวิเคราะห์ข้อมูล

    https://annas-archive.org/blog/an-update-from-the-team.html
    🔐 Anna’s Archive ยังอยู่ และยังสู้: อัปเดตล่าสุดจากทีมงาน ในเดือนสิงหาคม 2025 ทีมงาน Anna’s Archive ออกมาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดผ่านบล็อกของพวกเขา โดยระบุว่ากำลังเผชิญ “การโจมตีที่เพิ่มขึ้น” ต่อภารกิจของพวกเขาในการปกป้องและเผยแพร่ความรู้ของมนุษยชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2022 พวกเขาได้ “ปลดปล่อย” หนังสือ บทความวิชาการ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์หลายสิบล้านรายการจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Internet Archive, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ ผ่านการ scrape และการแชร์แบบ torrent นอกจากนี้ยังได้รวบรวม metadata จากแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก เช่น WorldCat และ Google Books เพื่อระบุว่าหนังสือเล่มใดยังขาดหาย และควรได้รับการช่วยเหลือก่อน ทีมงานยังได้สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อแลกเปลี่ยนไฟล์และ mirror ข้อมูลซึ่งช่วยให้ความรู้เหล่านี้ไม่สูญหายไปจากโลก แม้จะมีข่าวเศร้าคือหนึ่งใน LibGen forks ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ มีผู้เล่นใหม่ชื่อ WeLib ที่ใช้โค้ดของ Anna’s Archive และ mirror ข้อมูล แต่ไม่ได้แบ่งปันอะไรกลับคืนสู่ระบบนิเวศ ทีมงานจึงแนะนำให้ “ใช้ด้วยความระมัดระวัง” และไม่แนะนำให้ใช้งาน ขณะนี้ยังมีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล และทีมงานเชิญชวนผู้สนใจให้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคเพื่อช่วยให้โครงการดำเนินต่อไปได้ ✅ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Anna’s Archive ➡️ เผชิญการโจมตีต่อภารกิจในการปกป้องความรู้ของมนุษยชาติ ➡️ ดำเนินการ harden ระบบ infrastructure และความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ ➡️ ได้ scrape ไฟล์จาก IA CDL, HathiTrust, DuXiu และอื่น ๆ รวมหลายสิบล้านรายการ ➡️ รวบรวม metadata จาก WorldCat และ Google Books เพื่อระบุหนังสือที่ยังขาด ➡️ สร้างพันธมิตรกับ LibGen forks, STC/Nexus และ Z-Library เพื่อ mirror ข้อมูล ➡️ มีข้อมูลใหม่หลายร้อยเทราไบต์รอการประมวลผล ➡️ เชิญชวนให้ร่วมเป็นอาสาสมัครหรือบริจาคผ่านหน้า Volunteering และ Donate ➡️ Anna’s Archive มีหนังสือกว่า 51 ล้านเล่ม และบทความวิชาการกว่า 98 ล้านรายการ ➡️ ส่งผลต่อการวิจัยทั่วโลก โดยช่วยลดช่องว่างระหว่างมหาวิทยาลัยใหญ่กับสถาบันเล็ก ➡️ นักวิจัยรายงานว่าใช้เวลาทำ literature review ลดลงถึง 60–80% ➡️ ส่งเสริมการวิจัยข้ามสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 40% ➡️ บางมหาวิทยาลัยเริ่มปรับบทบาทห้องสมุดจากการเก็บหนังสือ สู่การฝึกทักษะดิจิทัล ➡️ ผู้ให้บริการ AI และนักวิจัยใช้ข้อมูลจาก Anna’s Archive เพื่อฝึกโมเดลและวิเคราะห์ข้อมูล https://annas-archive.org/blog/an-update-from-the-team.html
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • เมื่อชีวิตนักพัฒนาสตาร์ทอัพต้องมาเจอโลกขององค์กรใหญ่

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักพัฒนาที่เคยทำงานในสตาร์ทอัพเล็ก ๆ มาตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณตัดสินใจ “ขายวิญญาณ” เข้าสู่โลกขององค์กรขนาดใหญ่เพื่อเงินและความมั่นคง นี่คือเรื่องราวของผู้เขียนที่เข้าสู่ชีวิตใหม่ในบริษัทที่เรียกว่า $ENTERPRISE

    เขาเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานก็พบกับความวุ่นวายที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือที่ไม่มีใครรู้ว่าใครดูแล, การใช้เงินอย่างไร้เหตุผล, เพื่อนร่วมงานที่ไม่มีมาตรฐานเดียวกัน, ความเร่งด่วนที่ไม่มีเหตุผล และระบบความปลอดภัยที่กลายเป็น “ละครตัวเลข”

    แม้จะมีเรื่องให้บ่นมากมาย แต่เขาก็ยอมรับว่าการทำงานในองค์กรใหญ่มีข้อดี เช่น การได้เขียนโค้ดที่มีคนใช้จริง, โอกาสเติบโตในสายงาน, การได้เรียนรู้จากคนเก่ง และความมั่นคงที่มากกว่าที่เคยมี

    ประสบการณ์ในองค์กรใหญ่ที่แตกต่างจากสตาร์ทอัพ
    การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือในองค์กรใหญ่เป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน
    เครื่องมือบางตัวไม่มีคนดูแล แต่ยังคงใช้งานและเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล
    การใช้เงินในองค์กรใหญ่ขาดความคุ้มค่า เช่น ใช้ AWS เกินความจำเป็น
    โครงการใหญ่ถูกยกเลิกก่อนเปิดตัวเพราะงบเกินนิดเดียว
    การขออุปกรณ์เล็ก ๆ เช่นเมาส์ กลับถูกปฏิเสธ
    เพื่อนร่วมงานมีความสามารถไม่เท่ากัน และไม่มีการคัดกรองที่ดี
    ความเร่งด่วนในองค์กรใหญ่ไม่ชัดเจน ต้องแยกแยะเองว่าเรื่องไหนจริง
    ระบบความปลอดภัยกลายเป็นการสร้างตัวเลขเพื่อโชว์ผู้บริหาร
    ตำแหน่งในองค์กรไม่ชัดเจน เช่น “หัวหน้าสถาปัตยกรรม” มีหลายคน
    ผู้นำใหม่มักทำซ้ำความผิดพลาดเดิม เพราะไม่กล้ายอมรับว่า “ไม่รู้”
    ทีมวิศวกรรมแต่ละทีมมีวัฒนธรรมของตัวเอง เหมือนอาณาจักรแยกกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหา “tool ownership” เป็นเรื่องใหญ่ในองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนทีมบ่อย
    การใช้เงินเกินจำเป็นในระบบคลาวด์เป็นปัญหาที่หลายองค์กรกำลังแก้ด้วย FinOps
    การขาดมาตรฐานในการจ้างงานส่งผลต่อคุณภาพของทีมและความสามารถในการส่งมอบงาน
    การสร้าง “urgency” เทียมเป็นหนึ่งในสาเหตุของ burnout ในสายงานไอที
    การวัดความปลอดภัยด้วยตัวเลขแทนการวิเคราะห์เชิงลึกเป็นแนวโน้มที่ถูกวิจารณ์ในวงการ cybersecurity
    การมีหลายทีมที่ไม่สื่อสารกันทำให้เกิด “software silos” ซึ่งลดประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร

    https://churchofturing.github.io/the-enterprise-experience.html
    🏢 เมื่อชีวิตนักพัฒนาสตาร์ทอัพต้องมาเจอโลกขององค์กรใหญ่ ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักพัฒนาที่เคยทำงานในสตาร์ทอัพเล็ก ๆ มาตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณตัดสินใจ “ขายวิญญาณ” เข้าสู่โลกขององค์กรขนาดใหญ่เพื่อเงินและความมั่นคง นี่คือเรื่องราวของผู้เขียนที่เข้าสู่ชีวิตใหม่ในบริษัทที่เรียกว่า $ENTERPRISE เขาเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานก็พบกับความวุ่นวายที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือที่ไม่มีใครรู้ว่าใครดูแล, การใช้เงินอย่างไร้เหตุผล, เพื่อนร่วมงานที่ไม่มีมาตรฐานเดียวกัน, ความเร่งด่วนที่ไม่มีเหตุผล และระบบความปลอดภัยที่กลายเป็น “ละครตัวเลข” แม้จะมีเรื่องให้บ่นมากมาย แต่เขาก็ยอมรับว่าการทำงานในองค์กรใหญ่มีข้อดี เช่น การได้เขียนโค้ดที่มีคนใช้จริง, โอกาสเติบโตในสายงาน, การได้เรียนรู้จากคนเก่ง และความมั่นคงที่มากกว่าที่เคยมี ✅ ประสบการณ์ในองค์กรใหญ่ที่แตกต่างจากสตาร์ทอัพ ➡️ การหาคนรับผิดชอบเครื่องมือในองค์กรใหญ่เป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน ➡️ เครื่องมือบางตัวไม่มีคนดูแล แต่ยังคงใช้งานและเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล ➡️ การใช้เงินในองค์กรใหญ่ขาดความคุ้มค่า เช่น ใช้ AWS เกินความจำเป็น ➡️ โครงการใหญ่ถูกยกเลิกก่อนเปิดตัวเพราะงบเกินนิดเดียว ➡️ การขออุปกรณ์เล็ก ๆ เช่นเมาส์ กลับถูกปฏิเสธ ➡️ เพื่อนร่วมงานมีความสามารถไม่เท่ากัน และไม่มีการคัดกรองที่ดี ➡️ ความเร่งด่วนในองค์กรใหญ่ไม่ชัดเจน ต้องแยกแยะเองว่าเรื่องไหนจริง ➡️ ระบบความปลอดภัยกลายเป็นการสร้างตัวเลขเพื่อโชว์ผู้บริหาร ➡️ ตำแหน่งในองค์กรไม่ชัดเจน เช่น “หัวหน้าสถาปัตยกรรม” มีหลายคน ➡️ ผู้นำใหม่มักทำซ้ำความผิดพลาดเดิม เพราะไม่กล้ายอมรับว่า “ไม่รู้” ➡️ ทีมวิศวกรรมแต่ละทีมมีวัฒนธรรมของตัวเอง เหมือนอาณาจักรแยกกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหา “tool ownership” เป็นเรื่องใหญ่ในองค์กรทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนทีมบ่อย ➡️ การใช้เงินเกินจำเป็นในระบบคลาวด์เป็นปัญหาที่หลายองค์กรกำลังแก้ด้วย FinOps ➡️ การขาดมาตรฐานในการจ้างงานส่งผลต่อคุณภาพของทีมและความสามารถในการส่งมอบงาน ➡️ การสร้าง “urgency” เทียมเป็นหนึ่งในสาเหตุของ burnout ในสายงานไอที ➡️ การวัดความปลอดภัยด้วยตัวเลขแทนการวิเคราะห์เชิงลึกเป็นแนวโน้มที่ถูกวิจารณ์ในวงการ cybersecurity ➡️ การมีหลายทีมที่ไม่สื่อสารกันทำให้เกิด “software silos” ซึ่งลดประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร https://churchofturing.github.io/the-enterprise-experience.html
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • สื่อมวลชนกัมพูชาเผยแพร่บทความ ระบุถึงผลกระทบในทางเศรษฐกิจที่คนเขมรเสี่ยงต้องเผชิญ ท่ามกลางศึกพิพาทตามแนวชายแดนกับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวและภาคแรงงาน รวมถึงเงินที่แรงงานข้ามชาติกัมพูชาที่เคยทำงานในไทย ส่งกลับไปหล่อเลี้ยงครอบครัวในแต่ละเดือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078749

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สื่อมวลชนกัมพูชาเผยแพร่บทความ ระบุถึงผลกระทบในทางเศรษฐกิจที่คนเขมรเสี่ยงต้องเผชิญ ท่ามกลางศึกพิพาทตามแนวชายแดนกับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวและภาคแรงงาน รวมถึงเงินที่แรงงานข้ามชาติกัมพูชาที่เคยทำงานในไทย ส่งกลับไปหล่อเลี้ยงครอบครัวในแต่ละเดือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078749 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • เมื่อฟ้าผ่าทะลุสู่จักรวาล: ภาพถ่าย “Gigantic Jet” สุดหายากจากสถานีอวกาศ
    เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 NASA astronaut Nichole Ayers ได้ถ่ายภาพปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่ไม่ธรรมดาจากบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ขณะบินผ่านบริเวณพายุฝนฟ้าคะนองเหนือเม็กซิโกและสหรัฐฯ ภาคตะวันตกเฉียงใต้

    ตอนแรกเธอคิดว่าเป็น “sprite” ซึ่งเป็นแสงสีแดงที่เกิดเหนือพายุ แต่หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็น “gigantic jet” ซึ่งหายากกว่ามาก และเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ Transient Luminous Events (TLEs) ที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาอยู่

    ปรากฏการณ์นี้คือการปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าขนาดมหาศาลจากยอดเมฆพายุขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศระดับไอโอโนสเฟียร์ สูงถึง 100 กิโลเมตร โดยมักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และแทบไม่มีใครได้เห็นจากพื้นโลก

    ภาพนี้ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างพายุฝนฟ้าคะนองกับชั้นบรรยากาศระดับสูง ซึ่งอาจมีผลต่อการสื่อสาร, การบิน และแม้แต่การศึกษาสภาพอากาศของดาวเคราะห์อื่น

    เหตุการณ์สำคัญจากสถานีอวกาศ
    Nichole Ayers ถ่ายภาพ gigantic jet ได้จาก ISS เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2025
    เดิมคิดว่าเป็น sprite แต่ยืนยันว่าเป็น gigantic jet ซึ่งหายากมาก
    เกิดจากการปลดปล่อยไฟฟ้าจากยอดเมฆพายุขึ้นสู่ชั้นไอโอโนสเฟียร์ (~100 กม.)
    ภาพถ่ายใช้กล้อง Nikon Z9 เลนส์ 50mm f/1.2, ISO 6400, ¼ sec
    จุดที่เกิดปรากฏการณ์อยู่เหนือพายุบริเวณชายแดนเม็กซิโก–เท็กซัส
    สามารถมองเห็นแสงเมืองต่าง ๆ เช่น Dallas, Austin, San Antonio และ Torreón
    ภาพนี้ให้ข้อมูลใหม่แก่โครงการ Spritacular ของ NASA
    เชิญชวนประชาชนส่งภาพ TLEs เพื่อช่วยวิจัยผ่าน Spritacular.org

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gigantic jets เป็น TLEs ที่หายากที่สุดในกลุ่ม เช่นเดียวกับ blue jets และ ELVEs
    ISS มีเครื่องมือ Atmosphere-Space Interactions Monitor (ASIM) บันทึก TLEs ด้วยแสง, X-ray และ gamma-ray
    TLEs อาจมีผลต่อการสื่อสารวิทยุและระบบนำทาง GPS
    การศึกษา TLEs ช่วยให้เข้าใจการปลดปล่อยพลังงานในชั้นบรรยากาศโลก
    ปรากฏการณ์คล้ายกันพบในดาวพฤหัสบดีและดาวศุกร์ ทำให้การศึกษานี้มีผลต่อวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์
    นักบินบนเครื่องบินโดยสารเคยถ่ายภาพ gigantic jets ได้โดยบังเอิญ

    https://science.nasa.gov/science-research/heliophysics/a-gigantic-jet-caught-on-camera-a-spritacular-moment-for-nasa-astronaut-nicole-ayers/
    🌌 เมื่อฟ้าผ่าทะลุสู่จักรวาล: ภาพถ่าย “Gigantic Jet” สุดหายากจากสถานีอวกาศ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 NASA astronaut Nichole Ayers ได้ถ่ายภาพปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่ไม่ธรรมดาจากบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ขณะบินผ่านบริเวณพายุฝนฟ้าคะนองเหนือเม็กซิโกและสหรัฐฯ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ตอนแรกเธอคิดว่าเป็น “sprite” ซึ่งเป็นแสงสีแดงที่เกิดเหนือพายุ แต่หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็น “gigantic jet” ซึ่งหายากกว่ามาก และเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ Transient Luminous Events (TLEs) ที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาอยู่ ปรากฏการณ์นี้คือการปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าขนาดมหาศาลจากยอดเมฆพายุขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศระดับไอโอโนสเฟียร์ สูงถึง 100 กิโลเมตร โดยมักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และแทบไม่มีใครได้เห็นจากพื้นโลก ภาพนี้ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างพายุฝนฟ้าคะนองกับชั้นบรรยากาศระดับสูง ซึ่งอาจมีผลต่อการสื่อสาร, การบิน และแม้แต่การศึกษาสภาพอากาศของดาวเคราะห์อื่น ✅ เหตุการณ์สำคัญจากสถานีอวกาศ ➡️ Nichole Ayers ถ่ายภาพ gigantic jet ได้จาก ISS เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2025 ➡️ เดิมคิดว่าเป็น sprite แต่ยืนยันว่าเป็น gigantic jet ซึ่งหายากมาก ➡️ เกิดจากการปลดปล่อยไฟฟ้าจากยอดเมฆพายุขึ้นสู่ชั้นไอโอโนสเฟียร์ (~100 กม.) ➡️ ภาพถ่ายใช้กล้อง Nikon Z9 เลนส์ 50mm f/1.2, ISO 6400, ¼ sec ➡️ จุดที่เกิดปรากฏการณ์อยู่เหนือพายุบริเวณชายแดนเม็กซิโก–เท็กซัส ➡️ สามารถมองเห็นแสงเมืองต่าง ๆ เช่น Dallas, Austin, San Antonio และ Torreón ➡️ ภาพนี้ให้ข้อมูลใหม่แก่โครงการ Spritacular ของ NASA ➡️ เชิญชวนประชาชนส่งภาพ TLEs เพื่อช่วยวิจัยผ่าน Spritacular.org ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gigantic jets เป็น TLEs ที่หายากที่สุดในกลุ่ม เช่นเดียวกับ blue jets และ ELVEs ➡️ ISS มีเครื่องมือ Atmosphere-Space Interactions Monitor (ASIM) บันทึก TLEs ด้วยแสง, X-ray และ gamma-ray ➡️ TLEs อาจมีผลต่อการสื่อสารวิทยุและระบบนำทาง GPS ➡️ การศึกษา TLEs ช่วยให้เข้าใจการปลดปล่อยพลังงานในชั้นบรรยากาศโลก ➡️ ปรากฏการณ์คล้ายกันพบในดาวพฤหัสบดีและดาวศุกร์ ทำให้การศึกษานี้มีผลต่อวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ ➡️ นักบินบนเครื่องบินโดยสารเคยถ่ายภาพ gigantic jets ได้โดยบังเอิญ https://science.nasa.gov/science-research/heliophysics/a-gigantic-jet-caught-on-camera-a-spritacular-moment-for-nasa-astronaut-nicole-ayers/
    SCIENCE.NASA.GOV
    A Gigantic Jet Caught on Camera: A Spritacular Moment for NASA Astronaut Nicole Ayers!
    On July 3, 2025, NASA astronaut Nichole Ayers captured a rare gigantic jet from the ISS—lightning shooting from a storm top into the upper atmosphere.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันพุธที่ 20 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพุธที่ 20 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • เมื่อ CISO กลายเป็นแพะรับบาปหลังเหตุการณ์ ransomware

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ แต่วันหนึ่งบริษัทของคุณโดนโจมตีด้วย ransomware และแม้คุณจะทำตามแผนรับมือทุกขั้นตอน คุณก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่ง

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรจำนวนมาก จากรายงานของ Sophos พบว่า 25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดของพวกเขาโดยตรง

    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ดบริหารที่ต้องการ “รีเซ็ตภาพลักษณ์” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บางครั้ง CISO ถูกปลดแม้ระบบตรวจจับทำงานดี แผนรับมือถูกดำเนินการครบ และการกู้คืนข้อมูลอยู่ใน SLA

    ยิ่งไปกว่านั้น บางองค์กรยังไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญ เพราะกลัวว่าจะ “ขัดขวางธุรกิจ” ซึ่งทำให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยถูกละเลย และนำไปสู่ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีในภายหลัง

    ข้อมูลจากรายงานข่าวและการวิเคราะห์
    25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware
    การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ด ไม่ใช่ความผิดโดยตรง
    หากแผนรับมือทำงานดี การปลดอาจส่งสัญญาณผิดภายในองค์กร
    ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีมักเป็นช่องที่ “รู้ว่ามี” แต่ไม่ได้รับการแก้ไข
    40% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าโจมตีมาจากช่องโหว่ที่รู้แต่ไม่ได้จัดการ
    สาเหตุหลักของ ransomware คือช่องโหว่ (32%) และ credential ที่ถูกขโมย (23%)
    อีเมลและ phishing ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก (รวมกัน 37%)
    บาง CISO ลาออกเองเพราะความเครียดและความขัดแย้งหลังเหตุการณ์
    การเปรียบเทียบ CISO กับ “นักดับเพลิง” ชี้ว่าพวกเขาคือผู้รับมือ ไม่ใช่ต้นเหตุ
    การไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญทำให้ความปลอดภัยถูกละเลย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงาน Sophos ปี 2025 สำรวจจาก 3,400 ผู้บริหาร IT ใน 17 ประเทศ
    41% ของทีมที่ถูกโจมตีมีความเครียดสูง และ 31% มีการลาหยุดจากปัญหาสุขภาพจิต
    ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ $1.53M (ไม่รวมค่าไถ่)
    53% ขององค์กรสามารถกู้คืนได้ภายใน 1 สัปดาห์
    การเจรจาค่าไถ่ลดลง โดยค่าเฉลี่ยการจ่ายจริงอยู่ที่ $1M
    การขาด segmentation และการไม่ทำ tabletop exercise เป็นสาเหตุที่ทำให้ CISO ถูกปลด

    https://www.csoonline.com/article/4040156/25-of-security-leaders-replaced-after-ransomware-attack.html
    🧯 เมื่อ CISO กลายเป็นแพะรับบาปหลังเหตุการณ์ ransomware ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ แต่วันหนึ่งบริษัทของคุณโดนโจมตีด้วย ransomware และแม้คุณจะทำตามแผนรับมือทุกขั้นตอน คุณก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่ง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรจำนวนมาก จากรายงานของ Sophos พบว่า 25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware โดยไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดของพวกเขาโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ดบริหารที่ต้องการ “รีเซ็ตภาพลักษณ์” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บางครั้ง CISO ถูกปลดแม้ระบบตรวจจับทำงานดี แผนรับมือถูกดำเนินการครบ และการกู้คืนข้อมูลอยู่ใน SLA ยิ่งไปกว่านั้น บางองค์กรยังไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญ เพราะกลัวว่าจะ “ขัดขวางธุรกิจ” ซึ่งทำให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยถูกละเลย และนำไปสู่ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีในภายหลัง ✅ ข้อมูลจากรายงานข่าวและการวิเคราะห์ ➡️ 25% ของ CISO ถูกเปลี่ยนตัวหลังเกิดเหตุการณ์ ransomware ➡️ การปลด CISO มักเกิดจากแรงกดดันของบอร์ด ไม่ใช่ความผิดโดยตรง ➡️ หากแผนรับมือทำงานดี การปลดอาจส่งสัญญาณผิดภายในองค์กร ➡️ ช่องโหว่ที่ถูกโจมตีมักเป็นช่องที่ “รู้ว่ามี” แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าโจมตีมาจากช่องโหว่ที่รู้แต่ไม่ได้จัดการ ➡️ สาเหตุหลักของ ransomware คือช่องโหว่ (32%) และ credential ที่ถูกขโมย (23%) ➡️ อีเมลและ phishing ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก (รวมกัน 37%) ➡️ บาง CISO ลาออกเองเพราะความเครียดและความขัดแย้งหลังเหตุการณ์ ➡️ การเปรียบเทียบ CISO กับ “นักดับเพลิง” ชี้ว่าพวกเขาคือผู้รับมือ ไม่ใช่ต้นเหตุ ➡️ การไม่ให้ CISO เข้าร่วมประชุมสำคัญทำให้ความปลอดภัยถูกละเลย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงาน Sophos ปี 2025 สำรวจจาก 3,400 ผู้บริหาร IT ใน 17 ประเทศ ➡️ 41% ของทีมที่ถูกโจมตีมีความเครียดสูง และ 31% มีการลาหยุดจากปัญหาสุขภาพจิต ➡️ ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ $1.53M (ไม่รวมค่าไถ่) ➡️ 53% ขององค์กรสามารถกู้คืนได้ภายใน 1 สัปดาห์ ➡️ การเจรจาค่าไถ่ลดลง โดยค่าเฉลี่ยการจ่ายจริงอยู่ที่ $1M ➡️ การขาด segmentation และการไม่ทำ tabletop exercise เป็นสาเหตุที่ทำให้ CISO ถูกปลด https://www.csoonline.com/article/4040156/25-of-security-leaders-replaced-after-ransomware-attack.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    25% of security leaders replaced after ransomware attack
    In a perfect world, such things would happen only when the CISO made explicit errors. In the corporate world, though, scapegoating is tradition.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • เมื่อตุ๊กตาพูดได้: ของเล่น AI ที่อาจแทนที่พ่อแม่

    Curio คือบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่สร้างตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ซึ่งภายนอกดูเหมือนตุ๊กตาน่ารัก แต่ภายในมี voice box เชื่อมต่อ Wi-Fi และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถพูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปได้

    Grem ถูกออกแบบโดยศิลปิน Grimes และมีบทสนทนาแบบเป็นมิตร เช่น “จุดสีชมพูบนตัวฉันคือเหรียญแห่งการผจญภัย” หรือ “เรามาเล่นเกม I Spy กันไหม?” แม้จะฟังดูน่ารัก แต่ผู้เขียนบทความรู้สึกว่า Grem ไม่ใช่แค่ของเล่น แต่เป็น “ตัวแทนของผู้ใหญ่” ที่อาจแทนที่การมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่จริง ๆ

    Curio โฆษณาว่าตุ๊กตาเหล่านี้ช่วยลดเวลาอยู่หน้าจอ และส่งเสริมการเล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์ แต่ทุกบทสนทนาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง และอาจถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับพฤติกรรมหรือความสนใจของเด็ก

    แม้จะมีระบบกรองเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ก็มีรายงานว่าตุ๊กตาบางตัวตอบคำถามเกี่ยวกับสารเคมีหรืออาวุธในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น “น้ำยาฟอกขาวมักอยู่ใต้ซิงก์ในห้องครัว” ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า AI เหล่านี้ปลอดภัยจริงหรือไม่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    Curio เปิดตัวตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ที่เชื่อมต่อกับระบบปัญญาประดิษฐ์
    ตุ๊กตาออกแบบให้พูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปในรูปแบบเป็นมิตรและปลอดภัย
    Grem ถูกออกแบบโดย Grimes และมีบทสนทนาแบบสร้างความผูกพันกับเด็ก
    Curio โฆษณาว่าเป็นทางเลือกแทนการให้เด็กอยู่หน้าจอ
    ทุกบทสนทนาระหว่างเด็กกับตุ๊กตาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง
    ผู้ปกครองสามารถปรับแต่งพฤติกรรมของตุ๊กตาให้สอดคล้องกับลูกได้
    มีระบบกรองเนื้อหา เช่น หลีกเลี่ยงเรื่องเพศ ความรุนแรง และการเมือง
    ตุ๊กตา AI เริ่มเข้าสู่ตลาดของเล่นอย่างกว้างขวาง และอาจมีแบรนด์ดังร่วมด้วย เช่น Mattel

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในของเล่นเด็กเป็นเทรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็วในปี 2025
    นักจิตวิทยาเตือนว่า AI อาจรบกวนพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของเด็ก
    การสนทนากับ chatbot อาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “ทุกคำตอบอยู่ในของเล่น”
    Mattel ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อสร้างตุ๊กตา Barbie และ Ken ที่พูดได้
    มีการเปรียบเทียบกับตัวละคร AI ในรายการเด็ก เช่น Toodles ใน Mickey Mouse Clubhouse
    การเล่นแบบไม่มีหน้าจออาจดูดี แต่ยังคง tethered กับเทคโนโลยีผ่าน chatbot

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/theyre-stuffed-animals-theyre-also-ai-chatbots
    🧠 เมื่อตุ๊กตาพูดได้: ของเล่น AI ที่อาจแทนที่พ่อแม่ Curio คือบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่สร้างตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ซึ่งภายนอกดูเหมือนตุ๊กตาน่ารัก แต่ภายในมี voice box เชื่อมต่อ Wi-Fi และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถพูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปได้ Grem ถูกออกแบบโดยศิลปิน Grimes และมีบทสนทนาแบบเป็นมิตร เช่น “จุดสีชมพูบนตัวฉันคือเหรียญแห่งการผจญภัย” หรือ “เรามาเล่นเกม I Spy กันไหม?” แม้จะฟังดูน่ารัก แต่ผู้เขียนบทความรู้สึกว่า Grem ไม่ใช่แค่ของเล่น แต่เป็น “ตัวแทนของผู้ใหญ่” ที่อาจแทนที่การมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่จริง ๆ Curio โฆษณาว่าตุ๊กตาเหล่านี้ช่วยลดเวลาอยู่หน้าจอ และส่งเสริมการเล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์ แต่ทุกบทสนทนาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง และอาจถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับพฤติกรรมหรือความสนใจของเด็ก แม้จะมีระบบกรองเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ก็มีรายงานว่าตุ๊กตาบางตัวตอบคำถามเกี่ยวกับสารเคมีหรืออาวุธในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น “น้ำยาฟอกขาวมักอยู่ใต้ซิงก์ในห้องครัว” ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า AI เหล่านี้ปลอดภัยจริงหรือไม่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ Curio เปิดตัวตุ๊กตา AI ชื่อ Grem, Grok และ Gabbo ที่เชื่อมต่อกับระบบปัญญาประดิษฐ์ ➡️ ตุ๊กตาออกแบบให้พูดคุยกับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไปในรูปแบบเป็นมิตรและปลอดภัย ➡️ Grem ถูกออกแบบโดย Grimes และมีบทสนทนาแบบสร้างความผูกพันกับเด็ก ➡️ Curio โฆษณาว่าเป็นทางเลือกแทนการให้เด็กอยู่หน้าจอ ➡️ ทุกบทสนทนาระหว่างเด็กกับตุ๊กตาจะถูกส่งไปยังมือถือของผู้ปกครอง ➡️ ผู้ปกครองสามารถปรับแต่งพฤติกรรมของตุ๊กตาให้สอดคล้องกับลูกได้ ➡️ มีระบบกรองเนื้อหา เช่น หลีกเลี่ยงเรื่องเพศ ความรุนแรง และการเมือง ➡️ ตุ๊กตา AI เริ่มเข้าสู่ตลาดของเล่นอย่างกว้างขวาง และอาจมีแบรนด์ดังร่วมด้วย เช่น Mattel ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในของเล่นเด็กเป็นเทรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็วในปี 2025 ➡️ นักจิตวิทยาเตือนว่า AI อาจรบกวนพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของเด็ก ➡️ การสนทนากับ chatbot อาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่า “ทุกคำตอบอยู่ในของเล่น” ➡️ Mattel ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อสร้างตุ๊กตา Barbie และ Ken ที่พูดได้ ➡️ มีการเปรียบเทียบกับตัวละคร AI ในรายการเด็ก เช่น Toodles ใน Mickey Mouse Clubhouse ➡️ การเล่นแบบไม่มีหน้าจออาจดูดี แต่ยังคง tethered กับเทคโนโลยีผ่าน chatbot https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/theyre-stuffed-animals-theyre-also-ai-chatbots
    WWW.THESTAR.COM.MY
    They're stuffed animals. They're also AI chatbots.
    New types of cuddly toys, some for children as young as three, are being sold as an alternative to screen time — and to parental attention.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay

    รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ

    โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง

    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต

    รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท
    ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน
    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต
    ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO
    เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code
    ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต
    ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ
    การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท
    ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO
    รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
    QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก
    การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก
    การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน
    การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
    หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    🏖️ เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท ➡️ ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน ➡️ นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต ➡️ ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO ➡️ เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code ➡️ ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต ➡️ ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ ➡️ การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท ➡️ ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO ➡️ รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ➡️ QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก ➡️ การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก ➡️ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน ➡️ การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ➡️ หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Thailand to launch crypto-to-baht conversion for foreign tourists
    BANGKOK (Reuters) -Thailand will launch an 18-month pilot programme to allow foreign visitors to convert cryptocurrencies into baht to make payments locally, officials said on Monday, part of efforts to rejuvenate the country's critical tourist sector.
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • SoftBank ทุ่ม 2 พันล้านดอลลาร์ซื้อหุ้น Intel: เดิมพันอนาคตชิปและ AI
    SoftBank Group ประกาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel โดยซื้อหุ้นสามัญในราคาหุ้นละ $23 ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของ Intel ที่มีสินทรัพย์รวมกว่า $109 พันล้านดอลลาร์

    ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Intel กำลังดิ้นรนฟื้นตัวจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มชิป AI ซึ่งถูกครองโดย Nvidia และ AMD โดย SoftBankมองว่า Intel ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิปที่แข็งแกร่ง และสามารถกลับมาเป็นผู้นำได้ หากเทคโนโลยี 18A และ 14A ประสบความสำเร็จ

    การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel และถือเป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และรองรับความต้องการด้าน AI ที่กำลังพุ่งสูง

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing ไปเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญในโครงการ Stargate—a mega project ร่วมกับ OpenAI และ Oracle ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน

    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยซื้อหุ้นละ $23
    Intel กำลังฟื้นตัวจากการสูญเสียตลาดชิป AI และราคาหุ้นตกหนักในปี 2024
    การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel
    ดีลนี้เป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท
    Intel มีแผนฟื้นตัวผ่านเทคโนโลยี 18A และ 14A สำหรับการผลิตชิปรุ่นใหม่
    SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing
    โครงการ Stargate ร่วมกับ OpenAI และ Oracle เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ AI
    Intel CEO Lip-Bu Tan และ Masayoshi Son มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยร่วมงานกันหลายครั้ง

    Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังสามารถผลิตชิปรุ่นสูงได้ภายในประเทศ
    SoftBank เคยซื้อ Arm ในปี 2016 ด้วยมูลค่า $32 พันล้าน และปัจจุบันมีมูลค่ากว่า $150 พันล้าน
    Ampere Computing เป็นผู้ผลิตชิป ARM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เติบโตเร็ว
    ตลาดชิป AI คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $400 พันล้านภายในปี 2030
    การลงทุนใน Intel อาจช่วย SoftBank ต่อรองกับพันธมิตรอื่นในระบบนิเวศ AI
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาซื้อหุ้น 10% ใน Intel เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/softbank-to-buy-usd2-billion-in-intel-shares-at-usd23-each-firm-still-owns-majority-share-of-arm
    💼 SoftBank ทุ่ม 2 พันล้านดอลลาร์ซื้อหุ้น Intel: เดิมพันอนาคตชิปและ AI SoftBank Group ประกาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel โดยซื้อหุ้นสามัญในราคาหุ้นละ $23 ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของ Intel ที่มีสินทรัพย์รวมกว่า $109 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Intel กำลังดิ้นรนฟื้นตัวจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มชิป AI ซึ่งถูกครองโดย Nvidia และ AMD โดย SoftBankมองว่า Intel ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิปที่แข็งแกร่ง และสามารถกลับมาเป็นผู้นำได้ หากเทคโนโลยี 18A และ 14A ประสบความสำเร็จ การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel และถือเป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และรองรับความต้องการด้าน AI ที่กำลังพุ่งสูง นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing ไปเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญในโครงการ Stargate—a mega project ร่วมกับ OpenAI และ Oracle ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยซื้อหุ้นละ $23 ➡️ Intel กำลังฟื้นตัวจากการสูญเสียตลาดชิป AI และราคาหุ้นตกหนักในปี 2024 ➡️ การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel ➡️ ดีลนี้เป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท ➡️ Intel มีแผนฟื้นตัวผ่านเทคโนโลยี 18A และ 14A สำหรับการผลิตชิปรุ่นใหม่ ➡️ SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing ➡️ โครงการ Stargate ร่วมกับ OpenAI และ Oracle เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ AI ➡️ Intel CEO Lip-Bu Tan และ Masayoshi Son มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยร่วมงานกันหลายครั้ง ➡️ Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังสามารถผลิตชิปรุ่นสูงได้ภายในประเทศ ➡️ SoftBank เคยซื้อ Arm ในปี 2016 ด้วยมูลค่า $32 พันล้าน และปัจจุบันมีมูลค่ากว่า $150 พันล้าน ➡️ Ampere Computing เป็นผู้ผลิตชิป ARM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เติบโตเร็ว ➡️ ตลาดชิป AI คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $400 พันล้านภายในปี 2030 ➡️ การลงทุนใน Intel อาจช่วย SoftBank ต่อรองกับพันธมิตรอื่นในระบบนิเวศ AI ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาซื้อหุ้น 10% ใน Intel เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/softbank-to-buy-usd2-billion-in-intel-shares-at-usd23-each-firm-still-owns-majority-share-of-arm
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • Windows 11 อัปเดตล่าสุดอาจทำให้ SSD หายไปจากระบบ: ปัญหาที่ผู้ใช้ต้องระวัง

    หลังจาก Microsoft ปล่อยอัปเดต KB5063878 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ผู้ใช้หลายรายเริ่มรายงานว่า SSD ของตนหายไปจากระบบปฏิบัติการหลังจากถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น การอัปเดตเกม Cyberpunk 2077 หรือ Honkai: Star Rail ที่มีขนาดไฟล์เกิน 50GB

    อาการที่พบคือ SSD จะหายไปจากระบบทันทีหลังการเขียนข้อมูลจำนวนมาก และแม้จะรีสตาร์ทเครื่องแล้ว SSD จะกลับมา แต่ปัญหานี้ก็เกิดซ้ำเมื่อมีการเขียนข้อมูลอีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญหายของไฟล์หรือความเสียหายของระบบไฟล์

    จากการทดสอบโดยผู้ใช้และนักรีวิว พบว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ Phison และไม่มี DRAM cache มีความเสี่ยงสูงที่สุด แต่ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะรุ่นเหล่านั้น เพราะ SSD จากหลายแบรนด์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    แม้ Microsoft ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือแพตช์แก้ไขอย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่บนระบบที่ติดตั้งอัปเดตนี้ และควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหานี้คล้ายกับบั๊ก HMB ที่เคยเกิดกับ WD SN770 ในปี 2024
    SSD ที่มี DRAM cache เช่น Samsung 990 Pro, Seagate FireCuda 530 ไม่พบปัญหา
    ผู้ใช้สามารถถอนการติดตั้งอัปเดต KB5063878 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
    องค์กรที่ใช้ WSUS/SCCM พบปัญหา error code 0x80240069 จากอัปเดตนี้
    การเขียนข้อมูลแบบ sequential ต่อเนื่องอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดบั๊ก
    ผู้ใช้ควรรายงานปัญหาผ่าน Microsoft Feedback Hub เพื่อช่วยเร่งการแก้ไข

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/latest-windows-11-security-patch-might-be-breaking-ssds-under-heavy-workloads-users-report-disappearing-drives-following-file-transfers-including-some-that-cannot-be-recovered-after-a-reboot
    🧨 Windows 11 อัปเดตล่าสุดอาจทำให้ SSD หายไปจากระบบ: ปัญหาที่ผู้ใช้ต้องระวัง หลังจาก Microsoft ปล่อยอัปเดต KB5063878 สำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ผู้ใช้หลายรายเริ่มรายงานว่า SSD ของตนหายไปจากระบบปฏิบัติการหลังจากถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น การอัปเดตเกม Cyberpunk 2077 หรือ Honkai: Star Rail ที่มีขนาดไฟล์เกิน 50GB อาการที่พบคือ SSD จะหายไปจากระบบทันทีหลังการเขียนข้อมูลจำนวนมาก และแม้จะรีสตาร์ทเครื่องแล้ว SSD จะกลับมา แต่ปัญหานี้ก็เกิดซ้ำเมื่อมีการเขียนข้อมูลอีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญหายของไฟล์หรือความเสียหายของระบบไฟล์ จากการทดสอบโดยผู้ใช้และนักรีวิว พบว่า SSD ที่ใช้คอนโทรลเลอร์ Phison และไม่มี DRAM cache มีความเสี่ยงสูงที่สุด แต่ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะรุ่นเหล่านั้น เพราะ SSD จากหลายแบรนด์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้ Microsoft ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือแพตช์แก้ไขอย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หลีกเลี่ยงการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่บนระบบที่ติดตั้งอัปเดตนี้ และควรสำรองข้อมูลไว้เสมอ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหานี้คล้ายกับบั๊ก HMB ที่เคยเกิดกับ WD SN770 ในปี 2024 ➡️ SSD ที่มี DRAM cache เช่น Samsung 990 Pro, Seagate FireCuda 530 ไม่พบปัญหา ➡️ ผู้ใช้สามารถถอนการติดตั้งอัปเดต KB5063878 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ➡️ องค์กรที่ใช้ WSUS/SCCM พบปัญหา error code 0x80240069 จากอัปเดตนี้ ➡️ การเขียนข้อมูลแบบ sequential ต่อเนื่องอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดบั๊ก ➡️ ผู้ใช้ควรรายงานปัญหาผ่าน Microsoft Feedback Hub เพื่อช่วยเร่งการแก้ไข https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/latest-windows-11-security-patch-might-be-breaking-ssds-under-heavy-workloads-users-report-disappearing-drives-following-file-transfers-including-some-that-cannot-be-recovered-after-a-reboot
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • จีดีพีไทยโต 2.8% แต่ชะลอตัวลง หวังท่องเที่ยวช่วยดันเศรษฐกิจ แม้ลงทุนพุ่ง ภาคบริการยังไม่ฟื้น สภาพัฒน์ฯปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้เป็น 1.8-2.3% ไทยโตช้าสุดในอาเซียน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078771

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    จีดีพีไทยโต 2.8% แต่ชะลอตัวลง หวังท่องเที่ยวช่วยดันเศรษฐกิจ แม้ลงทุนพุ่ง ภาคบริการยังไม่ฟื้น สภาพัฒน์ฯปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้เป็น 1.8-2.3% ไทยโตช้าสุดในอาเซียน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078771 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • ยุคแห่งการแฮกด้วย AI มาถึงแล้ว: เมื่อทั้งฝ่ายดีและร้ายใช้ AI ในสงครามไซเบอร์

    ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยงานทั่วไปอีกต่อไป แต่กลายเป็นอาวุธในสงครามระหว่างแฮกเกอร์และผู้ป้องกันระบบ โดยรายงานจาก NBC และ Tom’s Hardware ระบุว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) เช่น ChatGPT, Gemini และ Big Sleep ถูกนำมาใช้ทั้งในการค้นหาช่องโหว่และสร้างมัลแวร์

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของรัสเซียที่ฝังโปรแกรม AI ลงในอีเมลฟิชชิ่งเพื่อค้นหาไฟล์ลับในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อโดยอัตโนมัติ หรือกรณีของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อสมัครงานในบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก แล้วใช้ AI สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานเพื่อหลอกลวงข้อมูล

    ในฝั่งของผู้ป้องกัน Google ใช้ AI “Big Sleep” ค้นพบช่องโหว่กว่า 20 จุดในซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น FFmpeg และ ImageMagick โดยไม่มีมนุษย์เข้าไปช่วยในขั้นตอนแรกเลย ส่วน CrowdStrike และ ReliaQuest ก็ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์เหตุการณ์และลดภาระงานที่ไม่จำเป็นให้กับทีมรักษาความปลอดภัย

    อย่างไรก็ตาม AI ยังไม่สามารถค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้มาก่อน และยังสร้าง “AI slop” หรือรายงานปลอมจำนวนมากที่ทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องเสียเวลาไปกับการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    แฮกเกอร์จากหลายประเทศเริ่มใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น รัสเซีย, เกาหลีเหนือ, จีน และอิหร่าน
    รัสเซียใช้ AI ฝังในอีเมลฟิชชิ่งเพื่อค้นหาไฟล์ลับในคอมพิวเตอร์เหยื่อ
    เกาหลีเหนือใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อสมัครงานในบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก
    Google ใช้ AI “Big Sleep” ค้นพบช่องโหว่กว่า 20 จุดในซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
    CrowdStrike และ ReliaQuest ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และตอบสนองต่อเหตุการณ์ไซเบอร์
    AI ช่วยให้การค้นหาช่องโหว่เร็วขึ้น แต่ยังไม่สามารถค้นพบสิ่งใหม่ที่มนุษย์ไม่รู้
    HackerOne เริ่มแยกอันดับระหว่างนักวิจัยเดี่ยวกับกลุ่ม AI เช่น Xbow
    ปริมาณรายงานช่องโหว่ปลอมจาก AI เพิ่มขึ้นถึง 20% ในปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google Gemini และ DeepMind ร่วมกันพัฒนา Big Sleep เพื่อค้นหาช่องโหว่ก่อนที่แฮกเกอร์จะเจอ
    ช่องโหว่ CVE-2025-6965 ใน SQLite ถูก AI ค้นพบก่อนถูกโจมตีจริง
    AI ถูกใช้สร้าง deepfake เสียงและวิดีโอในแคมเปญฟิชชิ่งขั้นสูง
    87% ของผู้บริหาร IT กังวลเรื่องสงครามไซเบอร์ที่ใช้ AI เป็นอาวุธ
    85% ของเทคนิคโจมตีสามารถหลบหลีกเครื่องมือรักษาความปลอดภัยแบบเดิมได้
    Amazon และบริษัทใหญ่เชื่อว่า AI agents จะเปลี่ยนวิธีทำงานของมนุษย์ในทุกอุตสาหกรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/report-claims-the-era-of-ai-hacking-has-arrived-good-and-bad-actors-leveraging-ai-in-cybersecurity-arms-race
    🧠 ยุคแห่งการแฮกด้วย AI มาถึงแล้ว: เมื่อทั้งฝ่ายดีและร้ายใช้ AI ในสงครามไซเบอร์ ในปี 2025 โลกไซเบอร์กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือช่วยงานทั่วไปอีกต่อไป แต่กลายเป็นอาวุธในสงครามระหว่างแฮกเกอร์และผู้ป้องกันระบบ โดยรายงานจาก NBC และ Tom’s Hardware ระบุว่า AI โดยเฉพาะ LLMs (Large Language Models) เช่น ChatGPT, Gemini และ Big Sleep ถูกนำมาใช้ทั้งในการค้นหาช่องโหว่และสร้างมัลแวร์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของรัสเซียที่ฝังโปรแกรม AI ลงในอีเมลฟิชชิ่งเพื่อค้นหาไฟล์ลับในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อโดยอัตโนมัติ หรือกรณีของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อสมัครงานในบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก แล้วใช้ AI สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานเพื่อหลอกลวงข้อมูล ในฝั่งของผู้ป้องกัน Google ใช้ AI “Big Sleep” ค้นพบช่องโหว่กว่า 20 จุดในซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น FFmpeg และ ImageMagick โดยไม่มีมนุษย์เข้าไปช่วยในขั้นตอนแรกเลย ส่วน CrowdStrike และ ReliaQuest ก็ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์เหตุการณ์และลดภาระงานที่ไม่จำเป็นให้กับทีมรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม AI ยังไม่สามารถค้นพบช่องโหว่ใหม่ที่มนุษย์ไม่เคยรู้มาก่อน และยังสร้าง “AI slop” หรือรายงานปลอมจำนวนมากที่ทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องเสียเวลาไปกับการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ แฮกเกอร์จากหลายประเทศเริ่มใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น รัสเซีย, เกาหลีเหนือ, จีน และอิหร่าน ➡️ รัสเซียใช้ AI ฝังในอีเมลฟิชชิ่งเพื่อค้นหาไฟล์ลับในคอมพิวเตอร์เหยื่อ ➡️ เกาหลีเหนือใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอมเพื่อสมัครงานในบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก ➡️ Google ใช้ AI “Big Sleep” ค้นพบช่องโหว่กว่า 20 จุดในซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ➡️ CrowdStrike และ ReliaQuest ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และตอบสนองต่อเหตุการณ์ไซเบอร์ ➡️ AI ช่วยให้การค้นหาช่องโหว่เร็วขึ้น แต่ยังไม่สามารถค้นพบสิ่งใหม่ที่มนุษย์ไม่รู้ ➡️ HackerOne เริ่มแยกอันดับระหว่างนักวิจัยเดี่ยวกับกลุ่ม AI เช่น Xbow ➡️ ปริมาณรายงานช่องโหว่ปลอมจาก AI เพิ่มขึ้นถึง 20% ในปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google Gemini และ DeepMind ร่วมกันพัฒนา Big Sleep เพื่อค้นหาช่องโหว่ก่อนที่แฮกเกอร์จะเจอ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-6965 ใน SQLite ถูก AI ค้นพบก่อนถูกโจมตีจริง ➡️ AI ถูกใช้สร้าง deepfake เสียงและวิดีโอในแคมเปญฟิชชิ่งขั้นสูง ➡️ 87% ของผู้บริหาร IT กังวลเรื่องสงครามไซเบอร์ที่ใช้ AI เป็นอาวุธ ➡️ 85% ของเทคนิคโจมตีสามารถหลบหลีกเครื่องมือรักษาความปลอดภัยแบบเดิมได้ ➡️ Amazon และบริษัทใหญ่เชื่อว่า AI agents จะเปลี่ยนวิธีทำงานของมนุษย์ในทุกอุตสาหกรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/report-claims-the-era-of-ai-hacking-has-arrived-good-and-bad-actors-leveraging-ai-in-cybersecurity-arms-race
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Report claims 'the era of AI hacking has arrived' — good and bad actors leveraging AI in cybersecurity arms race
    The security industry and the hackers they're supposed to defend against have both increased their use of AI as publicly available agents become more capable.
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • AMD เตรียมเปิดแผนอนาคต Zen 6, RDNA 5, CDNA และ UDNA ในงานใหญ่เดือนพฤศจิกายน

    AMD ประกาศจัดงาน Financial Analyst Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว โดยเฉพาะ CPU ตระกูล Zen รุ่นใหม่, GPU สาย RDNA และ CDNA สำหรับงาน HPC และ AI รวมถึงสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UDNA ที่จะเป็นหัวใจของ AI accelerators รุ่นถัดไป

    ในฝั่ง CPU AMD จะพูดถึง EPYC “Venice” ที่ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EPYC “Verano” ที่คาดว่าจะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ในปี 2027 และอาจมีการพูดถึง Zen 8 ด้วย

    ด้าน GPU จะมีการเปิดตัว RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI โดย AMD ตั้งเป้ารวมสาย RDNA และ CDNA เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้าง GPU ที่รองรับทั้งเกมและงานประมวลผลระดับสูง

    ในฝั่ง AI และ HPC AMD จะพูดถึง Instinct MI500 accelerators ที่ใช้ UDNA 6 และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบใหม่ชื่อ UALink ซึ่งจะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ AMD ยังจะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาว และกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิตชิปแบบ custom จาก hyperscale cloud providers

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    AMD จะจัดงาน Financial Analyst Day วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก
    งานนี้จะเปิดเผยแผนระยะยาวของ CPU, GPU, AI accelerators และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ
    CPU EPYC “Venice” ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูล EPYC “Verano” ที่อาจใช้ Zen 6 หรือ Zen 7
    อาจมีการพูดถึง Zen 8 สำหรับอนาคตระยะไกล
    GPU RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI จะถูกเปิดเผย
    Instinct MI500 accelerators จะใช้สถาปัตยกรรม UDNA 6
    เทคโนโลยี UALink จะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น
    AMD จะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาวและกลยุทธ์แข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิต custom silicon

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zen 6 อาจมีความเร็วทะลุ 7.0GHz และใช้ dual IMC design สำหรับการจัดการหน่วยความจำ
    RDNA 5 คาดว่าจะมี IPC สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 5–10% ที่ความเร็วเท่าเดิม
    ROCm ecosystem จะถูกขยายเพื่อรองรับ AI และ HPC มากขึ้น
    AMD อาจเปิดตัว Radeon RX 10900 XT ที่ใช้ RDNA 5 แข่งกับ RTX 6090
    UDNA จะเป็นจุดรวมของ GPU สายเกมและ HPC ในอนาคต
    AMD มีแผนใช้ advanced packaging technologies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-to-disclose-roadmaps-in-mid-november-the-future-of-zen-6-rdna-cdna-and-udna-expected
    🔮 AMD เตรียมเปิดแผนอนาคต Zen 6, RDNA 5, CDNA และ UDNA ในงานใหญ่เดือนพฤศจิกายน AMD ประกาศจัดงาน Financial Analyst Day ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีในระยะยาว โดยเฉพาะ CPU ตระกูล Zen รุ่นใหม่, GPU สาย RDNA และ CDNA สำหรับงาน HPC และ AI รวมถึงสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ UDNA ที่จะเป็นหัวใจของ AI accelerators รุ่นถัดไป ในฝั่ง CPU AMD จะพูดถึง EPYC “Venice” ที่ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EPYC “Verano” ที่คาดว่าจะใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ในปี 2027 และอาจมีการพูดถึง Zen 8 ด้วย ด้าน GPU จะมีการเปิดตัว RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI โดย AMD ตั้งเป้ารวมสาย RDNA และ CDNA เข้าด้วยกันในอนาคต เพื่อสร้าง GPU ที่รองรับทั้งเกมและงานประมวลผลระดับสูง ในฝั่ง AI และ HPC AMD จะพูดถึง Instinct MI500 accelerators ที่ใช้ UDNA 6 และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบใหม่ชื่อ UALink ซึ่งจะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AMD ยังจะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาว และกลยุทธ์ในการแข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิตชิปแบบ custom จาก hyperscale cloud providers ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ AMD จะจัดงาน Financial Analyst Day วันที่ 11 พฤศจิกายน 2025 ที่นิวยอร์ก ➡️ งานนี้จะเปิดเผยแผนระยะยาวของ CPU, GPU, AI accelerators และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ➡️ CPU EPYC “Venice” ใช้ Zen 6 และจะเปิดเผยข้อมูล EPYC “Verano” ที่อาจใช้ Zen 6 หรือ Zen 7 ➡️ อาจมีการพูดถึง Zen 8 สำหรับอนาคตระยะไกล ➡️ GPU RDNA 5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ UDNA 6 สำหรับงาน AI จะถูกเปิดเผย ➡️ Instinct MI500 accelerators จะใช้สถาปัตยกรรม UDNA 6 ➡️ เทคโนโลยี UALink จะช่วยให้ระบบ AI ขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ➡️ AMD จะเปิดเผยแผนการเงินระยะยาวและกลยุทธ์แข่งขันกับ Nvidia และผู้ผลิต custom silicon ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zen 6 อาจมีความเร็วทะลุ 7.0GHz และใช้ dual IMC design สำหรับการจัดการหน่วยความจำ ➡️ RDNA 5 คาดว่าจะมี IPC สูงกว่า RDNA 4 ประมาณ 5–10% ที่ความเร็วเท่าเดิม ➡️ ROCm ecosystem จะถูกขยายเพื่อรองรับ AI และ HPC มากขึ้น ➡️ AMD อาจเปิดตัว Radeon RX 10900 XT ที่ใช้ RDNA 5 แข่งกับ RTX 6090 ➡️ UDNA จะเป็นจุดรวมของ GPU สายเกมและ HPC ในอนาคต ➡️ AMD มีแผนใช้ advanced packaging technologies เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-to-disclose-roadmaps-in-mid-november-the-future-of-zen-6-rdna-cdna-and-udna-expected
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • AI Token Factory: โรงงานผลิตความฉลาดแห่งยุคใหม่

    ในอดีต เราวัดพลังคอมพิวเตอร์ด้วย CPU หรือ GPU แต่ในยุค AI ที่มีโมเดลขนาดมหึมาอย่าง GPT-4, Claude หรือ Gemini สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “โทเคน” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่ AI ใช้ในการคิด วิเคราะห์ และตอบสนองต่อคำสั่งของผู้ใช้

    AI Token Factory คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อผลิตโทเคนให้ได้มากที่สุดต่อวินาที โดยใช้ GPU จำนวนมหาศาล เช่นระบบ Colossus 1 ของ xAI ที่ใช้ NVIDIA H100 กว่า 100,000 ตัว และ Colossus 2 ที่จะใช้ GB200 และ GB300 มากกว่า 550,000 ตัว เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่

    Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA อธิบายว่า AI Factory คือโรงงานที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าและข้อมูลดิบให้กลายเป็นความฉลาด พร้อมเปิดตัว Blackwell Ultra ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลได้ถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับ Hopper รุ่นก่อนหน้า

    ในยุค “agentic AI” ที่กำลังมาถึง AI จะไม่เพียงแค่ตอบคำถาม แต่จะทำงานแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ เช่น วางแผนงาน ค้นคว้า หรือออกแบบโมเลกุล โดยใช้โทเคนจำนวนมหาศาลในการประมวลผล ซึ่งทำให้แม้แต่ศูนย์ข้อมูลที่มี GPU เป็นล้านตัวก็ยังไม่พอ

    Cisco รายงานว่า inference แบบ agentic ใช้ทรัพยากรมากกว่าการแชททั่วไปหลายเท่า และ Google ก็เปิดเผยว่า API ของตนให้บริการโทเคนกว่า 980 ล้านล้านต่อเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 480 ล้านล้านในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    AI Token Factory คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อผลิตโทเคน AI ให้ได้มากที่สุด
    โทเคนคือหน่วยพื้นฐานที่ AI ใช้ในการคิด วิเคราะห์ และตอบสนอง
    xAI ใช้ GPU กว่า 100,000 ตัวใน Colossus 1 และจะใช้กว่า 550,000 ตัวใน Colossus 2
    NVIDIA เปิดตัว Blackwell Ultra ที่เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับ Hopper
    AI Factory คือโรงงานที่เปลี่ยนพลังงานและข้อมูลให้กลายเป็นความฉลาด
    ในยุค agentic AI โมเดลจะทำงานแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ
    Cisco และ Google รายงานว่าความต้องการโทเคนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
    Google ให้บริการโทเคนกว่า 980 ล้านล้านต่อเดือนผ่าน API
    AI Factory ประกอบด้วย GPU, networking, software, storage และระบบจัดการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NVIDIA GB300 NVL72 เชื่อมต่อ GPU 72 ตัวและ Grace CPU 36 ตัวในระบบเดียว
    Blackwell Ultra มี inference เร็วขึ้น 11 เท่า และหน่วยความจำใหญ่ขึ้น 4 เท่า
    NVIDIA Dynamo เป็นระบบปฏิบัติการใหม่ที่ช่วยจัดการงาน inference แบบอัตโนมัติ
    บริษัทอย่าง Zoom, Deloitte เริ่มนำ agentic AI ไปใช้ในระบบงานจริง
    Blackwell Ultra จะให้บริการผ่าน DGX Cloud และผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่
    AI Factory ถูกมองว่าเป็นเครื่องจักรแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคใหม่

    https://www.techpowerup.com/340014/ai-token-factory-is-the-new-unit-of-computing
    🏗️ AI Token Factory: โรงงานผลิตความฉลาดแห่งยุคใหม่ ในอดีต เราวัดพลังคอมพิวเตอร์ด้วย CPU หรือ GPU แต่ในยุค AI ที่มีโมเดลขนาดมหึมาอย่าง GPT-4, Claude หรือ Gemini สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “โทเคน” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่ AI ใช้ในการคิด วิเคราะห์ และตอบสนองต่อคำสั่งของผู้ใช้ AI Token Factory คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อผลิตโทเคนให้ได้มากที่สุดต่อวินาที โดยใช้ GPU จำนวนมหาศาล เช่นระบบ Colossus 1 ของ xAI ที่ใช้ NVIDIA H100 กว่า 100,000 ตัว และ Colossus 2 ที่จะใช้ GB200 และ GB300 มากกว่า 550,000 ตัว เพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA อธิบายว่า AI Factory คือโรงงานที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าและข้อมูลดิบให้กลายเป็นความฉลาด พร้อมเปิดตัว Blackwell Ultra ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลได้ถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับ Hopper รุ่นก่อนหน้า ในยุค “agentic AI” ที่กำลังมาถึง AI จะไม่เพียงแค่ตอบคำถาม แต่จะทำงานแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ เช่น วางแผนงาน ค้นคว้า หรือออกแบบโมเลกุล โดยใช้โทเคนจำนวนมหาศาลในการประมวลผล ซึ่งทำให้แม้แต่ศูนย์ข้อมูลที่มี GPU เป็นล้านตัวก็ยังไม่พอ Cisco รายงานว่า inference แบบ agentic ใช้ทรัพยากรมากกว่าการแชททั่วไปหลายเท่า และ Google ก็เปิดเผยว่า API ของตนให้บริการโทเคนกว่า 980 ล้านล้านต่อเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 480 ล้านล้านในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ AI Token Factory คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อผลิตโทเคน AI ให้ได้มากที่สุด ➡️ โทเคนคือหน่วยพื้นฐานที่ AI ใช้ในการคิด วิเคราะห์ และตอบสนอง ➡️ xAI ใช้ GPU กว่า 100,000 ตัวใน Colossus 1 และจะใช้กว่า 550,000 ตัวใน Colossus 2 ➡️ NVIDIA เปิดตัว Blackwell Ultra ที่เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 50 เท่าเมื่อเทียบกับ Hopper ➡️ AI Factory คือโรงงานที่เปลี่ยนพลังงานและข้อมูลให้กลายเป็นความฉลาด ➡️ ในยุค agentic AI โมเดลจะทำงานแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ ➡️ Cisco และ Google รายงานว่าความต้องการโทเคนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ➡️ Google ให้บริการโทเคนกว่า 980 ล้านล้านต่อเดือนผ่าน API ➡️ AI Factory ประกอบด้วย GPU, networking, software, storage และระบบจัดการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NVIDIA GB300 NVL72 เชื่อมต่อ GPU 72 ตัวและ Grace CPU 36 ตัวในระบบเดียว ➡️ Blackwell Ultra มี inference เร็วขึ้น 11 เท่า และหน่วยความจำใหญ่ขึ้น 4 เท่า ➡️ NVIDIA Dynamo เป็นระบบปฏิบัติการใหม่ที่ช่วยจัดการงาน inference แบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทอย่าง Zoom, Deloitte เริ่มนำ agentic AI ไปใช้ในระบบงานจริง ➡️ Blackwell Ultra จะให้บริการผ่าน DGX Cloud และผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ ➡️ AI Factory ถูกมองว่าเป็นเครื่องจักรแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคใหม่ https://www.techpowerup.com/340014/ai-token-factory-is-the-new-unit-of-computing
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AI Token Factory is the New Unit of Computing
    First, it was the CPU; after came the GPU; then all parallel workloads started running on GPUs, integrated or hyperscale. Similarly, the large language models we use today have adapted to the parallel nature of data processing on the GPU. The scale at which AI workloads operate is much larger than m...
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ CVE-2025-20265 ใน Cisco FMC: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นช่องทางโจมตี

    Cisco ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ร้ายแรงใน Secure Firewall Management Center (FMC) ซึ่งเป็นระบบจัดการไฟร์วอลล์แบบรวมศูนย์ที่ใช้กันในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้อยู่ในระบบยืนยันตัวตนผ่าน RADIUS ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกระหว่างการล็อกอินไม่ดีพอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อสั่งให้ระบบรันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบได้ทันทีหาก FMC ถูกตั้งค่าให้ใช้ RADIUS สำหรับการล็อกอินผ่านเว็บหรือ SSH

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2025-20265 และได้รับคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 จาก Cisco โดยส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ของ FMC เท่านั้น หากมีการเปิดใช้ RADIUS authentication

    Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ให้ปิดการใช้งาน RADIUS แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบอื่น เช่น LDAP หรือบัญชีผู้ใช้ภายในแทน

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    ช่องโหว่ CVE-2025-20265 อยู่ในระบบ RADIUS authentication ของ Cisco FMC
    ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้แฮกเกอร์ส่งคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ส่งผลกระทบต่อ FMC เวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ที่เปิดใช้ RADIUS สำหรับเว็บหรือ SSH
    Cisco ให้คะแนนความรุนแรง 10/10 และแนะนำให้ติดตั้งแพตช์ทันที
    หากไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ ให้ปิด RADIUS และใช้ LDAP หรือ local accounts แทน
    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของ Cisco เอง และยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้
    Cisco ยังออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่อื่นๆ อีก 13 รายการในผลิตภัณฑ์ต่างๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RADIUS เป็นโปรโตคอลยอดนิยมในองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงจากศูนย์กลาง
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “command injection” ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด
    การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับหรือควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด
    Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบการเปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนก่อนใช้งานจริง
    ช่องโหว่นี้ไม่ส่งผลต่อ Cisco ASA หรือ FTD ซึ่งใช้ระบบจัดการคนละแบบ
    การใช้ SAML หรือ LDAP อาจช่วยลดความเสี่ยงในระบบองค์กรได้

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-of-worrying-major-security-flaw-in-firewall-command-center-so-patch-now
    🚨 ช่องโหว่ CVE-2025-20265 ใน Cisco FMC: เมื่อระบบป้องกันกลายเป็นช่องทางโจมตี Cisco ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ร้ายแรงใน Secure Firewall Management Center (FMC) ซึ่งเป็นระบบจัดการไฟร์วอลล์แบบรวมศูนย์ที่ใช้กันในองค์กรและหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลก โดยช่องโหว่นี้อยู่ในระบบยืนยันตัวตนผ่าน RADIUS ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอกเพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกระหว่างการล็อกอินไม่ดีพอ ทำให้แฮกเกอร์สามารถส่งข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อสั่งให้ระบบรันคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบได้ทันทีหาก FMC ถูกตั้งค่าให้ใช้ RADIUS สำหรับการล็อกอินผ่านเว็บหรือ SSH ช่องโหว่นี้ถูกระบุเป็น CVE-2025-20265 และได้รับคะแนนความรุนแรงเต็ม 10/10 จาก Cisco โดยส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ของ FMC เท่านั้น หากมีการเปิดใช้ RADIUS authentication Cisco ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ที่ไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ให้ปิดการใช้งาน RADIUS แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบอื่น เช่น LDAP หรือบัญชีผู้ใช้ภายในแทน ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-20265 อยู่ในระบบ RADIUS authentication ของ Cisco FMC ➡️ ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้แฮกเกอร์ส่งคำสั่ง shell โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ ส่งผลกระทบต่อ FMC เวอร์ชัน 7.0.7 และ 7.7.0 ที่เปิดใช้ RADIUS สำหรับเว็บหรือ SSH ➡️ Cisco ให้คะแนนความรุนแรง 10/10 และแนะนำให้ติดตั้งแพตช์ทันที ➡️ หากไม่สามารถติดตั้งแพตช์ได้ ให้ปิด RADIUS และใช้ LDAP หรือ local accounts แทน ➡️ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของ Cisco เอง และยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ ➡️ Cisco ยังออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่อื่นๆ อีก 13 รายการในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RADIUS เป็นโปรโตคอลยอดนิยมในองค์กรที่ต้องการควบคุมการเข้าถึงจากศูนย์กลาง ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “command injection” ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด ➡️ การโจมตีแบบนี้สามารถใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลลับหรือควบคุมระบบเครือข่ายทั้งหมด ➡️ Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบการเปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนก่อนใช้งานจริง ➡️ ช่องโหว่นี้ไม่ส่งผลต่อ Cisco ASA หรือ FTD ซึ่งใช้ระบบจัดการคนละแบบ ➡️ การใช้ SAML หรือ LDAP อาจช่วยลดความเสี่ยงในระบบองค์กรได้ https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-of-worrying-major-security-flaw-in-firewall-command-center-so-patch-now
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร

    Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ

    จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน

    Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก

    แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี
    รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น
    มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง
    Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ
    คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    🧠 Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี ➡️ รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น ➡️ มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง ➡️ Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ ➡️ คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • ปฏิบัติการยึดคริปโตจากกลุ่ม Zeppelin: เมื่อความยุติธรรมไล่ทันอาชญากรรมไซเบอร์

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศยึดเงินคริปโตมูลค่ากว่า $2.8 ล้าน พร้อมเงินสด $70,000 และรถยนต์หรูจาก Ianis Aleksandrovich Antropenko ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรนซัมแวร์ Zeppelin ซึ่งเคยโจมตีองค์กรในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2019–2022

    Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่ใช้วิธี “double extortion” คือเข้ารหัสข้อมูลเหยื่อและขโมยข้อมูลไปด้วย จากนั้นขู่จะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยกลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี, การเงิน และแม้แต่ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน

    Antropenko และพวกใช้บริการ ChipMixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม “ล้างรอย” เงินคริปโต เพื่อซ่อนที่มาของเงินค่าไถ่ และยังใช้วิธีแลกคริปโตเป็นเงินสดแล้วฝากแบบแบ่งยอดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากธนาคาร

    แม้ Zeppelin จะถูกระบุว่า “ล้มหาย” ไปในปี 2022 หลังนักวิจัยจาก Unit221b สร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรีให้เหยื่อ แต่ในปี 2024 มีรายงานว่าโค้ดของ Zeppelin ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคาเพียง $500 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมัลแวร์นี้ในอนาคต

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    DoJ ยึดคริปโตมูลค่า $2.8 ล้าน, เงินสด $70,000 และรถหรูจากผู้ต้องสงสัย Antropenko
    Antropenko ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงคอมพิวเตอร์และฟอกเงินในศาลรัฐเท็กซัส
    Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่ใช้วิธี double extortion
    เหยื่อถูกเข้ารหัสข้อมูลและขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่
    กลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมถึง NGO และศูนย์พักพิง
    ใช้ ChipMixer และการฝากเงินแบบแบ่งยอดเพื่อฟอกเงิน
    DoJ ออกหมายจับ 6 ฉบับในรัฐเท็กซัส, เวอร์จิเนีย และแคลิฟอร์เนีย
    Zeppelin ถูกระบุว่าเลิกใช้งานในปี 2022 หลังนักวิจัยสร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรี
    การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญปราบปรามแรนซัมแวร์ของ DoJ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zeppelin พัฒนาจาก VegaLocker และ Buran ซึ่งเป็นมัลแวร์สาย Delphi
    FBI เคยเตือนว่า Zeppelin ใช้ช่องโหว่ RDP และ SonicWall ในการเข้าถึงระบบ
    Unit221b หยุดให้บริการถอดรหัส Zeppelin แล้วในปี 2024
    มีรายงานว่า Zeppelin2 ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคา $500
    DoJ เคยยึดคริปโตจากกลุ่ม Chaos และ BlackSuit รวมกว่า $3.4 ล้าน
    ตั้งแต่ปี 2020 DoJ ยึดทรัพย์จากอาชญากรรมไซเบอร์รวมกว่า $350 ล้าน

    https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-dollars-in-cryptocurrency-has-been-confiscated-as-the-doj-cracks-down-on-an-infamous-ransomware-operator
    🕵️‍♂️ ปฏิบัติการยึดคริปโตจากกลุ่ม Zeppelin: เมื่อความยุติธรรมไล่ทันอาชญากรรมไซเบอร์ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศยึดเงินคริปโตมูลค่ากว่า $2.8 ล้าน พร้อมเงินสด $70,000 และรถยนต์หรูจาก Ianis Aleksandrovich Antropenko ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรนซัมแวร์ Zeppelin ซึ่งเคยโจมตีองค์กรในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2019–2022 Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่ใช้วิธี “double extortion” คือเข้ารหัสข้อมูลเหยื่อและขโมยข้อมูลไปด้วย จากนั้นขู่จะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยกลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี, การเงิน และแม้แต่ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน Antropenko และพวกใช้บริการ ChipMixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม “ล้างรอย” เงินคริปโต เพื่อซ่อนที่มาของเงินค่าไถ่ และยังใช้วิธีแลกคริปโตเป็นเงินสดแล้วฝากแบบแบ่งยอดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากธนาคาร แม้ Zeppelin จะถูกระบุว่า “ล้มหาย” ไปในปี 2022 หลังนักวิจัยจาก Unit221b สร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรีให้เหยื่อ แต่ในปี 2024 มีรายงานว่าโค้ดของ Zeppelin ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคาเพียง $500 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมัลแวร์นี้ในอนาคต ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ DoJ ยึดคริปโตมูลค่า $2.8 ล้าน, เงินสด $70,000 และรถหรูจากผู้ต้องสงสัย Antropenko ➡️ Antropenko ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงคอมพิวเตอร์และฟอกเงินในศาลรัฐเท็กซัส ➡️ Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่ใช้วิธี double extortion ➡️ เหยื่อถูกเข้ารหัสข้อมูลและขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ ➡️ กลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมถึง NGO และศูนย์พักพิง ➡️ ใช้ ChipMixer และการฝากเงินแบบแบ่งยอดเพื่อฟอกเงิน ➡️ DoJ ออกหมายจับ 6 ฉบับในรัฐเท็กซัส, เวอร์จิเนีย และแคลิฟอร์เนีย ➡️ Zeppelin ถูกระบุว่าเลิกใช้งานในปี 2022 หลังนักวิจัยสร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรี ➡️ การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญปราบปรามแรนซัมแวร์ของ DoJ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zeppelin พัฒนาจาก VegaLocker และ Buran ซึ่งเป็นมัลแวร์สาย Delphi ➡️ FBI เคยเตือนว่า Zeppelin ใช้ช่องโหว่ RDP และ SonicWall ในการเข้าถึงระบบ ➡️ Unit221b หยุดให้บริการถอดรหัส Zeppelin แล้วในปี 2024 ➡️ มีรายงานว่า Zeppelin2 ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคา $500 ➡️ DoJ เคยยึดคริปโตจากกลุ่ม Chaos และ BlackSuit รวมกว่า $3.4 ล้าน ➡️ ตั้งแต่ปี 2020 DoJ ยึดทรัพย์จากอาชญากรรมไซเบอร์รวมกว่า $350 ล้าน https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-dollars-in-cryptocurrency-has-been-confiscated-as-the-doj-cracks-down-on-an-infamous-ransomware-operator
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • นักพัฒนามั่นใจว่า AI จะทำงานการตลาดแทนมนุษย์ได้เกือบทั้งหมด

    ผลสำรวจจาก Storyblok ที่สอบถามนักพัฒนาระดับอาวุโสกว่า 200 คน พบว่า 90% ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด และกว่า 74% เชื่อว่า AI สามารถจัดการงานการตลาดของบริษัทได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด” โดย 28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลย

    นักพัฒนามองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่เป็นระบบที่สามารถแก้ปัญหา ค้นหาข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้พวกเขาเชื่อว่า AI ก็สามารถจัดการงานการตลาดที่เป็นกระบวนการซ้ำๆ ได้เช่นกัน

    ในทางกลับกัน เมื่อนักการตลาดถูกถามว่าพวกเขาสามารถทำงานของนักพัฒนาได้หรือไม่ มีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด และ 32% ที่คิดว่าทำได้ “ส่วนใหญ่” ซึ่งสะท้อนความมั่นใจที่ต่างกันระหว่างสองสายงาน

    การใช้ AI ในการตลาดเริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยบริษัทอย่าง Cobalt Keys และ Orior Media ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ที่สามารถวางแผนกลยุทธ์ สร้างคอนเทนต์ และวิเคราะห์ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    90% ของนักพัฒนาใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด
    74% เชื่อว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด”
    28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์
    นักพัฒนาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, แก้ปัญหา, และเรียนรู้ทักษะใหม่
    34% ของนักพัฒนาเลือกใช้ AI เป็นตัวช่วยแรกเมื่อเจอปัญหา มากกว่าการถามเพื่อนร่วมงาน
    นักการตลาดมีความมั่นใจน้อยกว่าในการทำงานของนักพัฒนา โดยมีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด
    ความคุ้นเคยกับ AI ทำให้นักพัฒนาเชื่อว่า AI สามารถแทนที่งานอื่นได้ง่ายขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    บริษัท Cobalt Keys ใช้ AI เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดแบบลดต้นทุนโฆษณา
    Orior Media พัฒนา AI Strategy Builder ที่สร้างแผนการตลาดภายในไม่กี่วินาที
    AI Chatbot และระบบวิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    88% ของนักการตลาดใช้ AI ในงานประจำวัน และ 83% รายงานว่าประสิทธิภาพดีขึ้น
    ตลาด AI ด้านการตลาดคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $47.32 พันล้านในปี 2025
    AI ช่วยให้การสร้างคอนเทนต์, การวิเคราะห์ข้อมูล, และการสื่อสารกับลูกค้าเร็วขึ้นหลายเท่า

    https://www.techradar.com/pro/devs-believe-that-ai-is-going-to-kill-most-or-all-of-their-companys-marketing-department
    🧠 นักพัฒนามั่นใจว่า AI จะทำงานการตลาดแทนมนุษย์ได้เกือบทั้งหมด ผลสำรวจจาก Storyblok ที่สอบถามนักพัฒนาระดับอาวุโสกว่า 200 คน พบว่า 90% ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด และกว่า 74% เชื่อว่า AI สามารถจัดการงานการตลาดของบริษัทได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด” โดย 28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลย นักพัฒนามองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่เป็นระบบที่สามารถแก้ปัญหา ค้นหาข้อผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้พวกเขาเชื่อว่า AI ก็สามารถจัดการงานการตลาดที่เป็นกระบวนการซ้ำๆ ได้เช่นกัน ในทางกลับกัน เมื่อนักการตลาดถูกถามว่าพวกเขาสามารถทำงานของนักพัฒนาได้หรือไม่ มีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด และ 32% ที่คิดว่าทำได้ “ส่วนใหญ่” ซึ่งสะท้อนความมั่นใจที่ต่างกันระหว่างสองสายงาน การใช้ AI ในการตลาดเริ่มแพร่หลายมากขึ้น โดยบริษัทอย่าง Cobalt Keys และ Orior Media ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ที่สามารถวางแผนกลยุทธ์ สร้างคอนเทนต์ และวิเคราะห์ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ 90% ของนักพัฒนาใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเขียนโค้ด ➡️ 74% เชื่อว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ “เกือบทั้งหมด” หรือ “ทั้งหมด” ➡️ 28.5% มั่นใจว่า AI สามารถทำงานการตลาดได้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ➡️ นักพัฒนาใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, แก้ปัญหา, และเรียนรู้ทักษะใหม่ ➡️ 34% ของนักพัฒนาเลือกใช้ AI เป็นตัวช่วยแรกเมื่อเจอปัญหา มากกว่าการถามเพื่อนร่วมงาน ➡️ นักการตลาดมีความมั่นใจน้อยกว่าในการทำงานของนักพัฒนา โดยมีเพียง 18.5% ที่คิดว่าทำได้ทั้งหมด ➡️ ความคุ้นเคยกับ AI ทำให้นักพัฒนาเชื่อว่า AI สามารถแทนที่งานอื่นได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ บริษัท Cobalt Keys ใช้ AI เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดแบบลดต้นทุนโฆษณา ➡️ Orior Media พัฒนา AI Strategy Builder ที่สร้างแผนการตลาดภายในไม่กี่วินาที ➡️ AI Chatbot และระบบวิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ 88% ของนักการตลาดใช้ AI ในงานประจำวัน และ 83% รายงานว่าประสิทธิภาพดีขึ้น ➡️ ตลาด AI ด้านการตลาดคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $47.32 พันล้านในปี 2025 ➡️ AI ช่วยให้การสร้างคอนเทนต์, การวิเคราะห์ข้อมูล, และการสื่อสารกับลูกค้าเร็วขึ้นหลายเท่า https://www.techradar.com/pro/devs-believe-that-ai-is-going-to-kill-most-or-all-of-their-companys-marketing-department
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • “ผมไม่เล่นการเมืองแน่นอน มีหลายท่านประสานมา ผมเป็นราชองครักษ์ ผมมีอยู่ 4 อย่าง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน”
    พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
    “ผมไม่เล่นการเมืองแน่นอน มีหลายท่านประสานมา ผมเป็นราชองครักษ์ ผมมีอยู่ 4 อย่าง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน” พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 0 Reviews