• นักข่าว Fox News หนีขีปนาวุธของอิหร่าน ขณะกำลังรายงานสถานการณ์ในเทลอาวีฟของอิสราเอล
    นักข่าว Fox News หนีขีปนาวุธของอิหร่าน ขณะกำลังรายงานสถานการณ์ในเทลอาวีฟของอิสราเอล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • รถถังของอิสราเอลยิงเข้าใส่ฝูงชนที่กำลังพยายามเข้าไปรับข้าวของจากขบวนรถบรรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ ในฉนวนกาซา เมื่อวันจันทร์(16มิ.ย.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 51 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นขณะพวกชาวบ้านพยายามดิ้นรนควานหาอาหาร ครั้งเลวร้ายที่สุดหนหนึ่งเท่าที่เคยมีมา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057145

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รถถังของอิสราเอลยิงเข้าใส่ฝูงชนที่กำลังพยายามเข้าไปรับข้าวของจากขบวนรถบรรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ ในฉนวนกาซา เมื่อวันจันทร์(16มิ.ย.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 51 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นขณะพวกชาวบ้านพยายามดิ้นรนควานหาอาหาร ครั้งเลวร้ายที่สุดหนหนึ่งเท่าที่เคยมีมา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000057145 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    Love
    9
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1397 มุมมอง 0 รีวิว
  • IRGC ประกาศว่า การโจมตีระลอก 11 เมื่อเช้ามืดวันนี้ ได้เริ่มใช้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงฟาตาห์-1 (Fatah-1) ในการเจาะผ่านขีปนาวุธของระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลในเทลอาวีฟ
    IRGC ประกาศว่า การโจมตีระลอก 11 เมื่อเช้ามืดวันนี้ ได้เริ่มใช้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงฟาตาห์-1 (Fatah-1) ในการเจาะผ่านขีปนาวุธของระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลในเทลอาวีฟ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • ความความเสียหายในเทลอาวีฟหลังการโจมตีของอิหร่าน
    ความความเสียหายในเทลอาวีฟหลังการโจมตีของอิหร่าน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ยอมรับว่าอิหร่านไม่ได้สร้างอาวุธนิวเคลียร์

    "สิ่งที่เรารายงานคือเราไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าอิหร่านพยายามอย่างเป็นระบบเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์"
    ราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ยอมรับว่าอิหร่านไม่ได้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ "สิ่งที่เรารายงานคือเราไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าอิหร่านพยายามอย่างเป็นระบบเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์"
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • อาคารกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลถูกโจมตี!
    อาคารกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลถูกโจมตี!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 27 0 รีวิว
  • สำนักข่าวทัสนิม (Tasnim News) ของอิหร่านเผยแพร่ภาพขีปนาวุธอิหร่านโจมตีอิสราเอลราวกับอุกกาบาต พร้อมกล่าวว่า

    “การโจมตีในคืนนี้เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับการโจมตีครั้งก่อนๆ!”
    สำนักข่าวทัสนิม (Tasnim News) ของอิหร่านเผยแพร่ภาพขีปนาวุธอิหร่านโจมตีอิสราเอลราวกับอุกกาบาต พร้อมกล่าวว่า “การโจมตีในคืนนี้เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับการโจมตีครั้งก่อนๆ!”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • Microsoft เพิ่งยกระดับความสามารถของระบบความปลอดภัย Microsoft Defender XDR ด้วยการใส่ “TITAN” เข้าไปเป็นมันสมองของ Copilot ในฟีเจอร์ที่เรียกว่า Guided Response ซึ่งแต่เดิมทำหน้าที่แนะนำนักวิเคราะห์ความปลอดภัยให้รับมือกับภัยคุกคามแบบทีละขั้น แต่พอผนวก TITAN เข้าไปแล้ว ทุกอย่างยิ่งแกร่งขึ้นหลายเท่า

    TITAN คือกราฟปัญญาประดิษฐ์ที่ Microsoft พัฒนาขึ้นมาให้ฉลาดในการจับสัญญาณภัยร้ายก่อนที่มันจะลงมือ โดยมันจะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็น IP แปลก ๆ อีเมลที่ไม่น่าไว้ใจ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ “ดูมีพิรุธ” ของอุปกรณ์ในระบบ ตัวระบบจะใช้หลัก “guilt-by-association” หรือแปลคร่าว ๆ ว่า “ถ้าแวดล้อมคุณไม่ดี คุณก็อาจไม่น่าไว้ใจเช่นกัน” ในการวิเคราะห์พฤติกรรม

    ยกตัวอย่าง: ถ้าอุปกรณ์หนึ่งเคยเชื่อมต่อกับ IP ที่มีประวัติไม่ดี TITAN จะขึ้นสถานะเตือนเพื่อให้นักวิเคราะห์เข้าตรวจสอบหรือสั่งกักกันทันที ฟังดูเหมือน AI มีประสาทสัมผัสที่หกเลยใช่ไหมครับ?

    และจากการทดสอบภายใน Microsoft เขาพบว่าระบบใหม่นี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจถึง 8% และยังลดเวลาการตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อีกด้วย

    Microsoft Defender XDR อัปเกรดด้วย TITAN  
    • ทำให้ฟีเจอร์ Guided Response ฉลาดยิ่งขึ้น โดยแนะนำการตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์  
    • วิเคราะห์ข้อมูลแบบ adaptive ผ่านกราฟภัยคุกคามที่อิงพฤติกรรมและเครือข่ายความสัมพันธ์

    คุณสมบัติของ TITAN  
    • ใช้เทคนิค guilt-by-association วิเคราะห์ภัยที่ยังไม่ถูกระบุอย่างเป็นทางการ  
    • รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น Microsoft Defender for Threat Intelligence และ feedback จากลูกค้า  
    • แสดงคำแนะนำแบบ “อธิบายได้” เพิ่มความมั่นใจให้นักวิเคราะห์ในการดำเนินการ

    ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งาน TITAN  
    • เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยภัยคุกคามขึ้น 8%  
    • ลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์  
    • มีคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับ IP address, IP range และ email sender ที่น่าสงสัย

    คำเตือนเรื่องการตีความผลลัพธ์ของ TITAN  
    • แม้ TITAN จะฉลาด แต่การตัดสินใจ “เหมารวม” อุปกรณ์หรือผู้ใช้งานจากความเกี่ยวข้องอาจทำให้เกิด false positives (แจ้งเตือนผิดพลาด)  
    • จำเป็นต้องมีนักวิเคราะห์ตรวจสอบก่อนดำเนินการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

    ความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติด้านความปลอดภัย  
    • ระบบ AI แม้จะลดภาระงานได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีมนุษย์ควบคุมและปรับใช้ตามบริบทที่เหมาะสม  
    • การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป อาจเปิดช่องว่างให้ภัยคุกคามระดับสูงใช้หลบเลี่ยงหรือทำการโจมตีแบบแอบแฝง

    https://www.neowin.net/news/microsoft-defender-xdr-gets-titan-powered-security-copilot-recommendations/
    Microsoft เพิ่งยกระดับความสามารถของระบบความปลอดภัย Microsoft Defender XDR ด้วยการใส่ “TITAN” เข้าไปเป็นมันสมองของ Copilot ในฟีเจอร์ที่เรียกว่า Guided Response ซึ่งแต่เดิมทำหน้าที่แนะนำนักวิเคราะห์ความปลอดภัยให้รับมือกับภัยคุกคามแบบทีละขั้น แต่พอผนวก TITAN เข้าไปแล้ว ทุกอย่างยิ่งแกร่งขึ้นหลายเท่า TITAN คือกราฟปัญญาประดิษฐ์ที่ Microsoft พัฒนาขึ้นมาให้ฉลาดในการจับสัญญาณภัยร้ายก่อนที่มันจะลงมือ โดยมันจะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ไม่ว่าจะเป็น IP แปลก ๆ อีเมลที่ไม่น่าไว้ใจ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ “ดูมีพิรุธ” ของอุปกรณ์ในระบบ ตัวระบบจะใช้หลัก “guilt-by-association” หรือแปลคร่าว ๆ ว่า “ถ้าแวดล้อมคุณไม่ดี คุณก็อาจไม่น่าไว้ใจเช่นกัน” ในการวิเคราะห์พฤติกรรม ยกตัวอย่าง: ถ้าอุปกรณ์หนึ่งเคยเชื่อมต่อกับ IP ที่มีประวัติไม่ดี TITAN จะขึ้นสถานะเตือนเพื่อให้นักวิเคราะห์เข้าตรวจสอบหรือสั่งกักกันทันที ฟังดูเหมือน AI มีประสาทสัมผัสที่หกเลยใช่ไหมครับ? และจากการทดสอบภายใน Microsoft เขาพบว่าระบบใหม่นี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจถึง 8% และยังลดเวลาการตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อีกด้วย ✅ Microsoft Defender XDR อัปเกรดด้วย TITAN   • ทำให้ฟีเจอร์ Guided Response ฉลาดยิ่งขึ้น โดยแนะนำการตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบเรียลไทม์   • วิเคราะห์ข้อมูลแบบ adaptive ผ่านกราฟภัยคุกคามที่อิงพฤติกรรมและเครือข่ายความสัมพันธ์ ✅ คุณสมบัติของ TITAN   • ใช้เทคนิค guilt-by-association วิเคราะห์ภัยที่ยังไม่ถูกระบุอย่างเป็นทางการ   • รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น Microsoft Defender for Threat Intelligence และ feedback จากลูกค้า   • แสดงคำแนะนำแบบ “อธิบายได้” เพิ่มความมั่นใจให้นักวิเคราะห์ในการดำเนินการ ✅ ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งาน TITAN   • เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยภัยคุกคามขึ้น 8%   • ลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์   • มีคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับ IP address, IP range และ email sender ที่น่าสงสัย ‼️ คำเตือนเรื่องการตีความผลลัพธ์ของ TITAN   • แม้ TITAN จะฉลาด แต่การตัดสินใจ “เหมารวม” อุปกรณ์หรือผู้ใช้งานจากความเกี่ยวข้องอาจทำให้เกิด false positives (แจ้งเตือนผิดพลาด)   • จำเป็นต้องมีนักวิเคราะห์ตรวจสอบก่อนดำเนินการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ‼️ ความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติด้านความปลอดภัย   • ระบบ AI แม้จะลดภาระงานได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีมนุษย์ควบคุมและปรับใช้ตามบริบทที่เหมาะสม   • การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป อาจเปิดช่องว่างให้ภัยคุกคามระดับสูงใช้หลบเลี่ยงหรือทำการโจมตีแบบแอบแฝง https://www.neowin.net/news/microsoft-defender-xdr-gets-titan-powered-security-copilot-recommendations/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Defender XDR gets TITAN-powered Security Copilot recommendations
    Microsoft has announced an improvement to Security Copilot Guided Response in Defender XDR called TITAN which aims to flag threats before they've done anything wrong.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/lX_zpIQTqKI?si=1meqyvh1T5iNwU2P
    https://www.youtube.com/live/lX_zpIQTqKI?si=1meqyvh1T5iNwU2P
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าใครยังใช้ Outlook เวอร์ชันเก่าอยู่ช่วงนี้ อาจรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนลวดหนาม เพราะมีบั๊กใหม่ที่หนักหนามากเกิดขึ้น—เปิดอีเมลปุ๊บ โปรแกรมแครชปั๊บ!

    Microsoft ยืนยันเองว่า Outlook แบบคลาสสิกเกิดอาการแครชทันทีเมื่อผู้ใช้พยายามเปิดหรือเริ่มเขียนอีเมลใหม่ สาเหตุมาจากระบบไม่สามารถเปิด Forms Library ได้ และกระทบกับ Outlook ทุกช่องทางของ Microsoft 365 โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมแบบ VDI (Virtual Desktop Infrastructure) ซึ่งใช้กันเยอะในองค์กร

    ไฟล์ที่เป็นปัญหาชื่อว่า OLMAPI32.DLL ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Messaging API ของ Microsoft โดย Microsoft แนะนำทางแก้ชั่วคราวด้วยการสร้างโฟลเดอร์ชื่อ FORMS2 ด้วยตัวเองในไดเรกทอรีของผู้ใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้

    ปัญหานี้สะท้อนถึงทิศทางที่ Microsoft มุ่งไปยัง Outlook เวอร์ชันใหม่เป็นหลัก ทำให้เวอร์ชันเก่าอาจถูกลดความสำคัญลง จนเกิดบั๊กแบบพื้นฐานหลุดรอดออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อ "เปิดอีเมล" ยังเป็นฟังก์ชันระดับพื้นฐานที่ควรใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา

    บั๊กใหม่ใน Outlook เวอร์ชันคลาสสิก  
    • เปิดหรือเริ่มอีเมลใหม่ใน Outlook แล้วโปรแกรมแครชทันที  
    • สาเหตุคือไม่สามารถเปิด Forms Library ได้  
    • ปัญหานี้เกิดในทุกช่องทางของ Microsoft 365 และเด่นชัดในระบบ VDI

    ไฟล์ที่เป็นสาเหตุ  
    • OLMAPI32.DLL คือไฟล์ที่ระบบระบุว่าเกิดข้อผิดพลาด  
    • เกี่ยวข้องกับ Microsoft Messaging API ซึ่งสำคัญต่อการเปิดอีเมล

    แนวทางแก้ปัญหาชั่วคราวโดย Microsoft  
    • แนะนำให้สร้างโฟลเดอร์ FORMS2 ด้วยตัวเองใน path นี้ -> C:\Users\<username>\AppData\Local\Microsoft\FORMS2
    • Microsoft กำลังตรวจสอบและหาทางแก้อย่างเป็นทางการอยู่

    ท่าทีของ Microsoft ต่อ Outlook เวอร์ชันใหม่  
    • Microsoft พยายามผลักดันให้ผู้ใช้ย้ายไปใช้ "New Outlook" มากขึ้น  
    • เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การใช้งานแบบออฟไลน์ และเพิ่มระบบความปลอดภัย

    ผลกระทบจากการใช้งาน Outlook แบบคลาสสิก  
    • บั๊กที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น เปิดอีเมล ยังเกิดขึ้นบ่อย  
    • บ่งบอกว่า Microsoft อาจลดความสำคัญในการดูแลเวอร์ชันเก่า

    ความเสี่ยงขององค์กรที่ใช้ VDI  
    • องค์กรที่ยังพึ่งพา Outlook บน VDI อาจเผชิญกับผลกระทบในวงกว้าง  
    • จำเป็นต้องพิจารณาความพร้อมในการเปลี่ยนไปใช้ Outlook เวอร์ชันใหม่

    การแก้ปัญหาชั่วคราวมีข้อจำกัด  
    • แม้จะมีแนวทางสร้างโฟลเดอร์ FORMS2 แต่ไม่ใช่ทางแก้แบบยั่งยืน  
    • ควรติดตามการอัปเดตจาก Microsoft อย่างใกล้ชิดในช่วงนี้

    https://www.neowin.net/news/microsoft-cant-help-break-windows-outlook-as-even-opening-an-email-now-sends-it-crashing/
    ถ้าใครยังใช้ Outlook เวอร์ชันเก่าอยู่ช่วงนี้ อาจรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนลวดหนาม เพราะมีบั๊กใหม่ที่หนักหนามากเกิดขึ้น—เปิดอีเมลปุ๊บ โปรแกรมแครชปั๊บ! Microsoft ยืนยันเองว่า Outlook แบบคลาสสิกเกิดอาการแครชทันทีเมื่อผู้ใช้พยายามเปิดหรือเริ่มเขียนอีเมลใหม่ สาเหตุมาจากระบบไม่สามารถเปิด Forms Library ได้ และกระทบกับ Outlook ทุกช่องทางของ Microsoft 365 โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมแบบ VDI (Virtual Desktop Infrastructure) ซึ่งใช้กันเยอะในองค์กร ไฟล์ที่เป็นปัญหาชื่อว่า OLMAPI32.DLL ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Messaging API ของ Microsoft โดย Microsoft แนะนำทางแก้ชั่วคราวด้วยการสร้างโฟลเดอร์ชื่อ FORMS2 ด้วยตัวเองในไดเรกทอรีของผู้ใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดนี้ ปัญหานี้สะท้อนถึงทิศทางที่ Microsoft มุ่งไปยัง Outlook เวอร์ชันใหม่เป็นหลัก ทำให้เวอร์ชันเก่าอาจถูกลดความสำคัญลง จนเกิดบั๊กแบบพื้นฐานหลุดรอดออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อ "เปิดอีเมล" ยังเป็นฟังก์ชันระดับพื้นฐานที่ควรใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา ✅ บั๊กใหม่ใน Outlook เวอร์ชันคลาสสิก   • เปิดหรือเริ่มอีเมลใหม่ใน Outlook แล้วโปรแกรมแครชทันที   • สาเหตุคือไม่สามารถเปิด Forms Library ได้   • ปัญหานี้เกิดในทุกช่องทางของ Microsoft 365 และเด่นชัดในระบบ VDI ✅ ไฟล์ที่เป็นสาเหตุ   • OLMAPI32.DLL คือไฟล์ที่ระบบระบุว่าเกิดข้อผิดพลาด   • เกี่ยวข้องกับ Microsoft Messaging API ซึ่งสำคัญต่อการเปิดอีเมล ✅ แนวทางแก้ปัญหาชั่วคราวโดย Microsoft   • แนะนำให้สร้างโฟลเดอร์ FORMS2 ด้วยตัวเองใน path นี้ -> C:\Users\<username>\AppData\Local\Microsoft\FORMS2 • Microsoft กำลังตรวจสอบและหาทางแก้อย่างเป็นทางการอยู่ ✅ ท่าทีของ Microsoft ต่อ Outlook เวอร์ชันใหม่   • Microsoft พยายามผลักดันให้ผู้ใช้ย้ายไปใช้ "New Outlook" มากขึ้น   • เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การใช้งานแบบออฟไลน์ และเพิ่มระบบความปลอดภัย ‼️ ผลกระทบจากการใช้งาน Outlook แบบคลาสสิก   • บั๊กที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น เปิดอีเมล ยังเกิดขึ้นบ่อย   • บ่งบอกว่า Microsoft อาจลดความสำคัญในการดูแลเวอร์ชันเก่า ‼️ ความเสี่ยงขององค์กรที่ใช้ VDI   • องค์กรที่ยังพึ่งพา Outlook บน VDI อาจเผชิญกับผลกระทบในวงกว้าง   • จำเป็นต้องพิจารณาความพร้อมในการเปลี่ยนไปใช้ Outlook เวอร์ชันใหม่ ‼️ การแก้ปัญหาชั่วคราวมีข้อจำกัด   • แม้จะมีแนวทางสร้างโฟลเดอร์ FORMS2 แต่ไม่ใช่ทางแก้แบบยั่งยืน   • ควรติดตามการอัปเดตจาก Microsoft อย่างใกล้ชิดในช่วงนี้ https://www.neowin.net/news/microsoft-cant-help-break-windows-outlook-as-even-opening-an-email-now-sends-it-crashing/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft can't help break Windows Outlook as even opening an email now sends it crashing
    Microsoft has confirmed that it has broken Windows Outlook again as the app crashes when a user tries to open an email or write one.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองจินตนาการดูว่าเราย้ายไฟล์สำคัญ—ทั้งรูปถ่าย 30 ปี เอกสารงานหายาก—ไปไว้บน OneDrive เตรียมเปลี่ยนเครื่อง แล้ววันหนึ่ง Microsoft “ล็อกบัญชี” โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน แถมติดต่อเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ มีแค่บอทตอบกลับซ้ำไปมา จนรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้ในทะเลเมฆ (Cloud) โดยไร้ห่วงชูชีพ...

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit โดยเขาเล่าว่าได้ย้ายข้อมูลสำคัญทั้งหมดขึ้น OneDrive ชั่วคราว ก่อนจะเปลี่ยนฮาร์ดแวร์และทิ้งไดรฟ์เก่า แต่แล้วบัญชี Microsoft ถูกล็อกโดยไม่มีคำอธิบาย และเขาส่งฟอร์มยืนยันตัวตนกว่า 18 ครั้ง แต่ไม่มีใครตอบกลับ มีแค่ระบบอัตโนมัติเท่านั้นที่ตอบ

    กรณีนี้ชี้ให้เห็นความเปราะบางของระบบบัญชี Microsoft และการเข้ารหัส BitLocker ที่เปิดใช้งานแบบอัตโนมัติใน Windows 11 เวอร์ชันล่าสุด (24H2) ซึ่งเก็บกุญแจถอดรหัสไว้กับ Microsoft Account ของผู้ใช้ ถ้าบัญชีนี้ถูกล็อกหรือปิดถาวร ผู้ใช้ก็อาจ “สูญเสียข้อมูลทั้งหมด” โดยไม่มีทางเอาคืนได้!

    Microsoft Account ถูกล็อก ทำให้ผู้ใช้สูญเสียข้อมูลสำคัญ  
    • ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งบอกว่าบัญชีถูกล็อกทันทีหลังย้ายข้อมูลทั้งหมดขึ้น OneDrive  
    • ส่งแบบฟอร์มร้องเรียนถึง 18 ครั้ง แต่ไม่มีใครตอบกลับ

    BitLocker เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2  
    • ผู้ใช้จำนวนมากอาจไม่รู้ตัวว่าไฟล์ของตนถูกเข้ารหัส  
    • กุญแจถอดรหัส (recovery key) เก็บไว้ในบัญชี Microsoft เท่านั้น

    เมื่อบัญชีถูกปิด—ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกลบตาม  
    • ตามข้อกำหนดการใช้งาน (Terms of Use) ของ Microsoft  
    • ข้อมูลจะถูกลบถาวร หรือไม่สามารถเข้าถึงได้อีก  
    • ผู้ใช้จะเสียสิทธิ์ในการใช้บริการที่เชื่อมโยงทั้งหมดทันที เช่น Windows, Office, OneDrive

    แนวทางที่ควรทำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันปัญหา  
    • สำรองข้อมูลภายในเครื่องเป็นประจำ ไม่ควรพึ่งพาแค่ Cloud  
    • ควรเก็บ BitLocker recovery key แบบออฟไลน์ เช่น บน Flash drive หรือพิมพ์เก็บไว้

    การถูกล็อกบัญชี Microsoft = ความเสี่ยงข้อมูลหายถาวร  
    • การสูญเสียการเข้าถึงบัญชีจะหมายถึงการเข้าถึงไฟล์ที่เก็บไว้บน OneDrive และไฟล์ที่ถูก BitLocker เข้ารหัส ก็จะหายไปด้วย

    ไม่มีช่องทางติดต่อมนุษย์ในบางกรณีฉุกเฉิน  
    • ผู้ใช้บางรายระบุว่าไม่สามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนแบบคนจริงได้เลย  
    • ระบบตอบกลับอัตโนมัติทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา Cloud โดยไม่สำรองข้อมูลในเครื่อง  
    • หาก OneDrive หรือบัญชี Microsoft มีปัญหา จะไม่มีทางกู้คืนข้อมูล  
    • ความเข้าใจผิดว่า Cloud ปลอดภัยเสมอ อาจนำไปสู่การสูญเสียที่แก้ไม่ได้

    การเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน  
    • ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าข้อมูลของตนถูกเข้ารหัส  
    • ทำให้ไม่รู้ว่าต้องเก็บ recovery key ไว้แยกต่างหาก

    https://www.neowin.net/news/microsoft-locks-windows-11-user-out-shows-how-easy-losing-data-from-forced-encryption-is/
    ลองจินตนาการดูว่าเราย้ายไฟล์สำคัญ—ทั้งรูปถ่าย 30 ปี เอกสารงานหายาก—ไปไว้บน OneDrive เตรียมเปลี่ยนเครื่อง แล้ววันหนึ่ง Microsoft “ล็อกบัญชี” โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน แถมติดต่อเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ มีแค่บอทตอบกลับซ้ำไปมา จนรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้ในทะเลเมฆ (Cloud) โดยไร้ห่วงชูชีพ... เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผู้ใช้รายหนึ่งใน Reddit โดยเขาเล่าว่าได้ย้ายข้อมูลสำคัญทั้งหมดขึ้น OneDrive ชั่วคราว ก่อนจะเปลี่ยนฮาร์ดแวร์และทิ้งไดรฟ์เก่า แต่แล้วบัญชี Microsoft ถูกล็อกโดยไม่มีคำอธิบาย และเขาส่งฟอร์มยืนยันตัวตนกว่า 18 ครั้ง แต่ไม่มีใครตอบกลับ มีแค่ระบบอัตโนมัติเท่านั้นที่ตอบ กรณีนี้ชี้ให้เห็นความเปราะบางของระบบบัญชี Microsoft และการเข้ารหัส BitLocker ที่เปิดใช้งานแบบอัตโนมัติใน Windows 11 เวอร์ชันล่าสุด (24H2) ซึ่งเก็บกุญแจถอดรหัสไว้กับ Microsoft Account ของผู้ใช้ ถ้าบัญชีนี้ถูกล็อกหรือปิดถาวร ผู้ใช้ก็อาจ “สูญเสียข้อมูลทั้งหมด” โดยไม่มีทางเอาคืนได้! ✅ Microsoft Account ถูกล็อก ทำให้ผู้ใช้สูญเสียข้อมูลสำคัญ   • ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งบอกว่าบัญชีถูกล็อกทันทีหลังย้ายข้อมูลทั้งหมดขึ้น OneDrive   • ส่งแบบฟอร์มร้องเรียนถึง 18 ครั้ง แต่ไม่มีใครตอบกลับ ✅ BitLocker เปิดใช้งานอัตโนมัติใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2   • ผู้ใช้จำนวนมากอาจไม่รู้ตัวว่าไฟล์ของตนถูกเข้ารหัส   • กุญแจถอดรหัส (recovery key) เก็บไว้ในบัญชี Microsoft เท่านั้น ✅ เมื่อบัญชีถูกปิด—ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกลบตาม   • ตามข้อกำหนดการใช้งาน (Terms of Use) ของ Microsoft   • ข้อมูลจะถูกลบถาวร หรือไม่สามารถเข้าถึงได้อีก   • ผู้ใช้จะเสียสิทธิ์ในการใช้บริการที่เชื่อมโยงทั้งหมดทันที เช่น Windows, Office, OneDrive ✅ แนวทางที่ควรทำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันปัญหา   • สำรองข้อมูลภายในเครื่องเป็นประจำ ไม่ควรพึ่งพาแค่ Cloud   • ควรเก็บ BitLocker recovery key แบบออฟไลน์ เช่น บน Flash drive หรือพิมพ์เก็บไว้ ‼️ การถูกล็อกบัญชี Microsoft = ความเสี่ยงข้อมูลหายถาวร   • การสูญเสียการเข้าถึงบัญชีจะหมายถึงการเข้าถึงไฟล์ที่เก็บไว้บน OneDrive และไฟล์ที่ถูก BitLocker เข้ารหัส ก็จะหายไปด้วย ‼️ ไม่มีช่องทางติดต่อมนุษย์ในบางกรณีฉุกเฉิน   • ผู้ใช้บางรายระบุว่าไม่สามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนแบบคนจริงได้เลย   • ระบบตอบกลับอัตโนมัติทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา Cloud โดยไม่สำรองข้อมูลในเครื่อง   • หาก OneDrive หรือบัญชี Microsoft มีปัญหา จะไม่มีทางกู้คืนข้อมูล   • ความเข้าใจผิดว่า Cloud ปลอดภัยเสมอ อาจนำไปสู่การสูญเสียที่แก้ไม่ได้ ‼️ การเปิดใช้งาน BitLocker โดยอัตโนมัติโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน   • ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าข้อมูลของตนถูกเข้ารหัส   • ทำให้ไม่รู้ว่าต้องเก็บ recovery key ไว้แยกต่างหาก https://www.neowin.net/news/microsoft-locks-windows-11-user-out-shows-how-easy-losing-data-from-forced-encryption-is/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft locks Windows 11 user out, shows how easy losing data from forced encryption is
    The forced Microsoft Account requirement and BitLocker auto encryption can lead to catastrophic issues on Windows if you aren't careful, and especially in the case of a lockout.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 278 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 18-6-68
    .
    หลังจากที่เช้าวันจันทร์คุณสนธิเว้นวรรครายการเพื่อไปขึ้นศาลคดีฟ้องร้องทนายเดชา วันนี้จึงจะมาเล่าเรื่องแบบจัดหนักให้แฟน ๆ ใน 3 ประเด็นคือ เรื่องความคืบหน้าคดีกับทนายเดชา, ตอบโต้สมเด็จจากนรก เดโชฮุนเซน รวมไปถึงประเด็นต่างประเทศที่ร้อนแรง และส่งผลกระทบร้ายแรงกับความมั่นคงของโลกมากที่สุด ณ เวลานี้ นั่นก็คือ สงครามระหว่างอิสราเอล กับอิหร่าน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=lX_zpIQTqKI
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #ทนายเดชา #SondhiTalk #ฮุนเซน #อิสราเอลอิหร่าน

    สนธิเล่าเรื่อง 18-6-68 . หลังจากที่เช้าวันจันทร์คุณสนธิเว้นวรรครายการเพื่อไปขึ้นศาลคดีฟ้องร้องทนายเดชา วันนี้จึงจะมาเล่าเรื่องแบบจัดหนักให้แฟน ๆ ใน 3 ประเด็นคือ เรื่องความคืบหน้าคดีกับทนายเดชา, ตอบโต้สมเด็จจากนรก เดโชฮุนเซน รวมไปถึงประเด็นต่างประเทศที่ร้อนแรง และส่งผลกระทบร้ายแรงกับความมั่นคงของโลกมากที่สุด ณ เวลานี้ นั่นก็คือ สงครามระหว่างอิสราเอล กับอิหร่าน . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=lX_zpIQTqKI . #สนธิเล่าเรื่อง #ทนายเดชา #SondhiTalk #ฮุนเซน #อิสราเอลอิหร่าน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนนี้ Microsoft ตั้งใจจะผลักดัน “Copilot” ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะประจำทั้งคนทั่วไปและในองค์กร พอไปดูหน้าเว็บโฆษณาต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า Copilot ช่วยสรุปเนื้อหา สร้างเอกสาร และวางโครงสไลด์ได้ทันใจ

    แต่แล้ว หน่วยงาน NAD (National Advertising Division) ในสหรัฐฯ ก็ออกมา “ตักเตือน” Microsoft ว่าการโฆษณานั้นอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางจุด โดยเฉพาะการใช้คำว่า “Copilot” ทั้งในเวอร์ชันผู้ช่วยในแอปต่าง ๆ กับ Business Chat ซึ่งจริง ๆ แล้วประสบการณ์ใช้งานต่างกันพอสมควร

    Business Chat ต้องการการตั้งค่าและขั้นตอนเพิ่มเติมกว่าจะเริ่มทำงานได้ ไม่ได้คลิกแล้วพิมพ์คุยได้เลยแบบ Copilot ใน Word หรือ PowerPoint แต่ในหน้าโฆษณากลับไม่ได้อธิบายความต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน

    NAD ยังชี้ว่า Microsoft ไม่ควรระบุว่า Copilot “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ ROI” โดยไม่มีหลักฐานที่ “น่าเชื่อถือพอ” ถึงแม้จะมีการอ้างอิงผลการทดลองในสหราชอาณาจักรที่ว่าผู้ใช้ประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 26 นาทีต่อวันก็ตาม

    สุดท้าย Microsoft ตอบกลับอย่างมืออาชีพว่า ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางข้อ แต่ก็ได้ปรับข้อความโฆษณาบางจุดให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ NAD แล้ว

    Microsoft ถูก NAD วิจารณ์เรื่องโฆษณา Copilot ที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน  
    • โฆษณา Copilot ไม่แยกแยะชัดเจนระหว่าง Copilot ทั่วไปกับ Business Chat  
    • Business Chat ต้องใช้ขั้นตอนมากกว่า แต่โฆษณากลับไม่อธิบายจุดนี้

    NAD ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างผลลัพธ์โดยไม่มีหลักฐานที่เหมาะสม  
    • Microsoft อ้างว่า Copilot ช่วยเพิ่ม productivity และ ROI แต่ NAD ระบุว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ  
    • แม้จะมีการทดลองใน UK ที่ระบุว่าผู้ใช้ประหยัดเวลา 26 นาทีต่อวัน

    Microsoft ตอบรับคำแนะนำและปรับข้อความโฆษณาแล้วบางส่วน  
    • แสดงความร่วมมือแม้ไม่เห็นด้วยทุกประเด็น

    การใช้คำว่า “Copilot” โดยไม่มีการแยกประเภท อาจทำให้ผู้ใช้สับสน  
    • ผู้ใช้ทั่วไปอาจคาดหวังให้ Business Chat ทำงานได้เร็วแบบเดียวกับ Copilot ในแอปต่าง ๆ  
    • ความคาดหวังผิดอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในการใช้งานจริง

    ข้อความโฆษณาที่กล่าวอ้างประสิทธิภาพ อาจเกินจริงถ้าไม่มีข้อมูลยืนยันที่โปร่งใส  
    • การใช้คำว่า “เพิ่ม ROI” ต้องมีการอ้างอิงวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทการใช้งานจริง  
    • การขาด transparency อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า

    ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า Copilot แต่ละเวอร์ชันมีระดับความสามารถต่างกัน  
    • ควรศึกษาฟีเจอร์เฉพาะของ Copilot ในแอปต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือซื้อบริการเพิ่มเติม

    https://www.neowin.net/news/watchdog-finds-microsoft-guilty-of-confusing-advertising-when-it-comes-to-copilot/
    ตอนนี้ Microsoft ตั้งใจจะผลักดัน “Copilot” ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะประจำทั้งคนทั่วไปและในองค์กร พอไปดูหน้าเว็บโฆษณาต่าง ๆ ก็จะเห็นว่า Copilot ช่วยสรุปเนื้อหา สร้างเอกสาร และวางโครงสไลด์ได้ทันใจ แต่แล้ว หน่วยงาน NAD (National Advertising Division) ในสหรัฐฯ ก็ออกมา “ตักเตือน” Microsoft ว่าการโฆษณานั้นอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในจุดสำคัญบางจุด โดยเฉพาะการใช้คำว่า “Copilot” ทั้งในเวอร์ชันผู้ช่วยในแอปต่าง ๆ กับ Business Chat ซึ่งจริง ๆ แล้วประสบการณ์ใช้งานต่างกันพอสมควร Business Chat ต้องการการตั้งค่าและขั้นตอนเพิ่มเติมกว่าจะเริ่มทำงานได้ ไม่ได้คลิกแล้วพิมพ์คุยได้เลยแบบ Copilot ใน Word หรือ PowerPoint แต่ในหน้าโฆษณากลับไม่ได้อธิบายความต่างเหล่านี้อย่างชัดเจน NAD ยังชี้ว่า Microsoft ไม่ควรระบุว่า Copilot “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ ROI” โดยไม่มีหลักฐานที่ “น่าเชื่อถือพอ” ถึงแม้จะมีการอ้างอิงผลการทดลองในสหราชอาณาจักรที่ว่าผู้ใช้ประหยัดเวลาได้เฉลี่ย 26 นาทีต่อวันก็ตาม สุดท้าย Microsoft ตอบกลับอย่างมืออาชีพว่า ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางข้อ แต่ก็ได้ปรับข้อความโฆษณาบางจุดให้สอดคล้องกับคำแนะนำของ NAD แล้ว ✅ Microsoft ถูก NAD วิจารณ์เรื่องโฆษณา Copilot ที่อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน   • โฆษณา Copilot ไม่แยกแยะชัดเจนระหว่าง Copilot ทั่วไปกับ Business Chat   • Business Chat ต้องใช้ขั้นตอนมากกว่า แต่โฆษณากลับไม่อธิบายจุดนี้ ✅ NAD ไม่ยอมรับการกล่าวอ้างผลลัพธ์โดยไม่มีหลักฐานที่เหมาะสม   • Microsoft อ้างว่า Copilot ช่วยเพิ่ม productivity และ ROI แต่ NAD ระบุว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ   • แม้จะมีการทดลองใน UK ที่ระบุว่าผู้ใช้ประหยัดเวลา 26 นาทีต่อวัน ✅ Microsoft ตอบรับคำแนะนำและปรับข้อความโฆษณาแล้วบางส่วน   • แสดงความร่วมมือแม้ไม่เห็นด้วยทุกประเด็น ‼️ การใช้คำว่า “Copilot” โดยไม่มีการแยกประเภท อาจทำให้ผู้ใช้สับสน   • ผู้ใช้ทั่วไปอาจคาดหวังให้ Business Chat ทำงานได้เร็วแบบเดียวกับ Copilot ในแอปต่าง ๆ   • ความคาดหวังผิดอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในการใช้งานจริง ‼️ ข้อความโฆษณาที่กล่าวอ้างประสิทธิภาพ อาจเกินจริงถ้าไม่มีข้อมูลยืนยันที่โปร่งใส   • การใช้คำว่า “เพิ่ม ROI” ต้องมีการอ้างอิงวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทการใช้งานจริง   • การขาด transparency อาจทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า ‼️ ผู้ใช้ต้องเข้าใจว่า Copilot แต่ละเวอร์ชันมีระดับความสามารถต่างกัน   • ควรศึกษาฟีเจอร์เฉพาะของ Copilot ในแอปต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจใช้งานหรือซื้อบริการเพิ่มเติม https://www.neowin.net/news/watchdog-finds-microsoft-guilty-of-confusing-advertising-when-it-comes-to-copilot/
    WWW.NEOWIN.NET
    Watchdog finds Microsoft guilty of confusing advertising when it comes to Copilot
    A U.S. watchdog has criticized Microsoft for making statements about Copilot that are not a "good fit" for making objective claims regarding increased productivity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ออกมาประกาศจับมือกับ AMD แบบ “ระยะยาวหลายปี” เพื่อร่วมกันพัฒนา Xbox รุ่นถัดไปและอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่จะออกในอนาคต โดย Sarah Bond (ประธาน Xbox) บอกว่า เขาไม่ได้ต้องการแค่ทำกราฟิกให้สวยขึ้น แต่ต้องการ “ยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมให้สมจริงกว่าเดิม” ผ่านการใช้ AI ผสานเข้ากับชิปประมวลผล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Microsoft ยังยืนยันว่า Xbox ใหม่ยังคงเล่นเกมเก่าได้ (Backward Compatibility) นั่นหมายความว่าคนที่ลงทุนเกมดิจิทัลไว้เยอะ ๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเงินเปล่า

    และไม่ใช่แค่คอนโซล เพราะ Microsoft ส่งสัญญาณชัดว่า Xbox จะไม่ผูกกับเครื่องอีกต่อไป แต่จะพัฒนาให้ “เล่นเกมได้ทุกที่ ทุกอุปกรณ์” — เหมือนจะมุ่งเป้าไปยังโลกแบบ cloud gaming หรือ hybrid system มากขึ้น

    นอกจากนี้เขายังพูดถึง “Xbox Ally” เครื่องเกมพกพาที่รัน Windows 11 รุ่นเบา ซึ่งก็มาพร้อมชิป AMD เช่นกัน แปลว่าพาร์ตเนอร์รายนี้กำลังมีบทบาททั้งในคอนโซล เกมพกพา และแม้แต่บนพีซีเกมมิ่ง

    Microsoft ประกาศความร่วมมือหลายปีกับ AMD  
    • ร่วมกันพัฒนาชิปรุ่นใหม่เพื่อ Xbox และฮาร์ดแวร์เกมรุ่นถัดไป  
    • เน้นกราฟิกขั้นสูง, การผสาน AI และความสมจริงในการเล่นเกม

    เป้าหมาย: Xbox ที่ “ไร้พรมแดน” เล่นได้ทุกอุปกรณ์  
    • ไม่จำกัดเฉพาะเครื่องคอนโซลอีกต่อไป  
    • มีแนวโน้มพัฒนาแพลตฟอร์มแบบ cross-device และ cloud-based

    รองรับเกมเก่า (Backward Compatibility) ต่อเนื่อง  
    • ผู้เล่นสามารถนำคลังเกมเก่ามาใช้กับเครื่องใหม่ได้  
    • เป็นจุดแข็งสำคัญที่สร้างความมั่นใจให้ฐานลูกค้าเดิม

    Windows คือเป้าหมายใหม่ของ Xbox  
    • Sarah Bond ระบุชัดว่ากำลังทำให้ Windows เป็น “แพลตฟอร์มเกมอันดับหนึ่ง”  
    • อาจเป็นสัญญาณของการลดบทบาทคอนโซล หรือเปลี่ยนทิศไปยัง Game-as-a-platform มากขึ้น

    Xbox Ally เครื่องเล่นเกมพกพารัน Windows ก็ใช้ชิป AMD เช่นกัน  
    • ชูจุดเด่นเล่นเกม PC ได้ในรูปแบบพกพา  
    • ใช้ Windows 11 รุ่นพิเศษที่เบาและไม่มี bloatware

    อนาคตของ Xbox อาจไม่ใช่คอนโซลแบบเดิมอีกต่อไป  
    • ผู้ที่ชอบประสบการณ์คอนโซลแบบ “เสียบเล่นได้เลย” อาจต้องปรับตัว  
    • หาก Xbox กลายเป็น platform มากกว่า product การเข้าถึงอาจซับซ้อนขึ้น

    การใช้ AI ในฮาร์ดแวร์เกมต้องจับตาด้านความเป็นส่วนตัว  
    • ยังไม่มีรายละเอียดว่า AI จะใช้ทำอะไรบ้างในฝั่งผู้เล่น  
    • หากวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เล่นเพื่อปรับประสบการณ์แบบ dynamic ก็อาจกระทบเรื่อง Privacy

    AMD อาจถือความลับด้านเทคโนโลยีเกมไว้มากเกินไป  
    • ทั้ง Xbox, Windows handheld, และ PC gaming ต่างก็ใช้ AMD  
    • การพึ่งพา supplier เจ้าเดียวมากเกินไปอาจมีความเสี่ยงในระยะยาว

    https://www.neowin.net/news/microsoft-announces-multi-year-partnership-with-amd-for-future-of-xbox-consoles-and-hardware/
    Microsoft ออกมาประกาศจับมือกับ AMD แบบ “ระยะยาวหลายปี” เพื่อร่วมกันพัฒนา Xbox รุ่นถัดไปและอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่จะออกในอนาคต โดย Sarah Bond (ประธาน Xbox) บอกว่า เขาไม่ได้ต้องการแค่ทำกราฟิกให้สวยขึ้น แต่ต้องการ “ยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมให้สมจริงกว่าเดิม” ผ่านการใช้ AI ผสานเข้ากับชิปประมวลผล สิ่งที่น่าสนใจคือ Microsoft ยังยืนยันว่า Xbox ใหม่ยังคงเล่นเกมเก่าได้ (Backward Compatibility) นั่นหมายความว่าคนที่ลงทุนเกมดิจิทัลไว้เยอะ ๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะเสียเงินเปล่า และไม่ใช่แค่คอนโซล เพราะ Microsoft ส่งสัญญาณชัดว่า Xbox จะไม่ผูกกับเครื่องอีกต่อไป แต่จะพัฒนาให้ “เล่นเกมได้ทุกที่ ทุกอุปกรณ์” — เหมือนจะมุ่งเป้าไปยังโลกแบบ cloud gaming หรือ hybrid system มากขึ้น นอกจากนี้เขายังพูดถึง “Xbox Ally” เครื่องเกมพกพาที่รัน Windows 11 รุ่นเบา ซึ่งก็มาพร้อมชิป AMD เช่นกัน แปลว่าพาร์ตเนอร์รายนี้กำลังมีบทบาททั้งในคอนโซล เกมพกพา และแม้แต่บนพีซีเกมมิ่ง ✅ Microsoft ประกาศความร่วมมือหลายปีกับ AMD   • ร่วมกันพัฒนาชิปรุ่นใหม่เพื่อ Xbox และฮาร์ดแวร์เกมรุ่นถัดไป   • เน้นกราฟิกขั้นสูง, การผสาน AI และความสมจริงในการเล่นเกม ✅ เป้าหมาย: Xbox ที่ “ไร้พรมแดน” เล่นได้ทุกอุปกรณ์   • ไม่จำกัดเฉพาะเครื่องคอนโซลอีกต่อไป   • มีแนวโน้มพัฒนาแพลตฟอร์มแบบ cross-device และ cloud-based ✅ รองรับเกมเก่า (Backward Compatibility) ต่อเนื่อง   • ผู้เล่นสามารถนำคลังเกมเก่ามาใช้กับเครื่องใหม่ได้   • เป็นจุดแข็งสำคัญที่สร้างความมั่นใจให้ฐานลูกค้าเดิม ✅ Windows คือเป้าหมายใหม่ของ Xbox   • Sarah Bond ระบุชัดว่ากำลังทำให้ Windows เป็น “แพลตฟอร์มเกมอันดับหนึ่ง”   • อาจเป็นสัญญาณของการลดบทบาทคอนโซล หรือเปลี่ยนทิศไปยัง Game-as-a-platform มากขึ้น ✅ Xbox Ally เครื่องเล่นเกมพกพารัน Windows ก็ใช้ชิป AMD เช่นกัน   • ชูจุดเด่นเล่นเกม PC ได้ในรูปแบบพกพา   • ใช้ Windows 11 รุ่นพิเศษที่เบาและไม่มี bloatware ‼️ อนาคตของ Xbox อาจไม่ใช่คอนโซลแบบเดิมอีกต่อไป   • ผู้ที่ชอบประสบการณ์คอนโซลแบบ “เสียบเล่นได้เลย” อาจต้องปรับตัว   • หาก Xbox กลายเป็น platform มากกว่า product การเข้าถึงอาจซับซ้อนขึ้น ‼️ การใช้ AI ในฮาร์ดแวร์เกมต้องจับตาด้านความเป็นส่วนตัว   • ยังไม่มีรายละเอียดว่า AI จะใช้ทำอะไรบ้างในฝั่งผู้เล่น   • หากวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เล่นเพื่อปรับประสบการณ์แบบ dynamic ก็อาจกระทบเรื่อง Privacy ‼️ AMD อาจถือความลับด้านเทคโนโลยีเกมไว้มากเกินไป   • ทั้ง Xbox, Windows handheld, และ PC gaming ต่างก็ใช้ AMD   • การพึ่งพา supplier เจ้าเดียวมากเกินไปอาจมีความเสี่ยงในระยะยาว https://www.neowin.net/news/microsoft-announces-multi-year-partnership-with-amd-for-future-of-xbox-consoles-and-hardware/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft announces multi-year partnership with AMD for future of Xbox consoles and hardware
    Microsoft has entered a partnership with chipmaker AMD to co-develop the next generation of Xbox gaming devices. There seems to be a strategy shift happening for Xbox as well.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/lX_zpIQTqKI?si=dgnO0b4qshKUDLLQ
    https://www.youtube.com/live/lX_zpIQTqKI?si=dgnO0b4qshKUDLLQ
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิเล่าเรื่อง 18-6-68
    .
    หลังจากที่เช้าวันจันทร์คุณสนธิเว้นวรรครายการเพื่อไปขึ้นศาลคดีฟ้องร้องทนายเดชา วันนี้จึงจะมาเล่าเรื่องแบบจัดหนักให้แฟน ๆ ใน 3 ประเด็นคือ เรื่องความคืบหน้าคดีกับทนายเดชา, ตอบโต้สมเด็จจากนรก เดโชฮุนเซน รวมไปถึงประเด็นต่างประเทศที่ร้อนแรง และส่งผลกระทบร้ายแรงกับความมั่นคงของโลกมากที่สุด ณ เวลานี้ นั่นก็คือ สงครามระหว่างอิสราเอล กับอิหร่าน
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=lX_zpIQTqKI
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #ทนายเดชา #SondhiTalk #ฮุนเซน #อิสราเอลอิหร่าน

    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่งาน Computex 2025 AMD เปิดไพ่เด็ด—Ryzen Threadripper 9000 รุ่นใหม่ล่าสุดที่อิงบนสถาปัตยกรรม Zen 5 โดยมีสูงสุดถึง 96 คอร์ พร้อมเทคโนโลยีที่สายทำงานหนัก เช่น นักเรนเดอร์ นักออกแบบกราฟิก หรือนักวิจัยด้าน AI ต้องร้องว้าว

    ซีรีส์นี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม:
    1) PRO 9000WX สำหรับเวิร์กสเตชันระดับองค์กร
    2) 9000 ซีรีส์ สำหรับผู้ใช้งานแบบ HEDT (High-End Desktop)

    ที่โหดคือ—AMD ไม่ได้มาแค่ “ตัวเลขสเปก” แต่จัด ตัวอย่างประสิทธิภาพจริง เทียบกับคู่แข่งอย่าง Intel Xeon W9-3595X เลยด้วย และผลลัพธ์ก็ไม่ธรรมดา เช่น ด้าน LLM (AI ใหญ่ ๆ อย่าง GPT) AMD บอกว่าเร็วกว่า Intel ถึง 49% ในบางกรณี

    ลองจินตนาการว่าเครื่องเวิร์กสเตชันที่ใช้ซีพียู 96 คอร์ พร้อมแรม DDR5 แบบ 8 แชนแนล และรองรับ PCIe Gen5 ถึง 128 เลนส์ จะทำงานกับโมเดล AI หรือเรนเดอร์ V-Ray ได้เร็วขนาดไหน—AMD เคลมว่าเร็วกว่า Xeon ถึง “เกือบ 2.5 เท่า!”

    ยังไม่มีราคาวางจำหน่ายนะครับ แต่คาดว่าเปิดตัวจริงภายในเดือนหน้า

    AMD เปิดตัว Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์ บน Zen 5  
    • รุ่นสูงสุดมีถึง 96 คอร์ / 192 เธรด  
    • แบ่งเป็นกลุ่ม PRO สำหรับเวิร์กสเตชัน และ X-series สำหรับ HEDT

    รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัย  
    • แรม DDR5-6400 สูงสุด 8 แชนแนล  
    • PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลนส์  
    • รองรับ EXPO กับแรมความเร็วสูงกว่า 7000 MT/s

    ผลทดสอบประสิทธิภาพแบบเทียบรุ่น  
    • รุ่น 9995WX เร็วกว่า 7995WX ถึง 26%  
    • รุ่น 9980X แรงกว่า Intel Xeon W9-3595X สูงสุด 108%  
    • ด้าน AI เร็วกว่าถึง 49% และใน Chaos V-Ray เร็วกว่าเกือบ 2.5 เท่า

    เหมาะกับงานระดับมืออาชีพและ AI รุ่นใหญ่  
    • เหมาะกับการเรนเดอร์ภาพ 3D, โมเดล LLM, โปรแกรมออกแบบ และงานกราฟิกประสิทธิภาพสูง

    ประสิทธิภาพ AI ยังรวมการ์ดจอเข้าไปในการวัดผลด้วย  
    • ผลลัพธ์ LLM ที่เร็วกว่า 49% มีการใช้งาน GPU ร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมดูเร็วเกินจริง

    ยังไม่มีข้อมูลราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ  
    • อาจทำให้ผู้ซื้อประเมินงบประมาณหรือวางแผนจัดสเปกได้ยากในตอนนี้

    การเปรียบเทียบกับ Intel ใช้ Xeon W9 ซึ่งเป็นซีรีส์คนละตลาด  
    • ถึงแม้ Xeon W9 จะใช้ในเวิร์กสเตชันเหมือนกัน แต่อาจมีบริบทของราคาหรือสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน

    TDP สูงสุดถึง 350W อาจต้องระวังด้านการระบายความร้อนและพลังงาน  
    • เหมาะกับเคสระดับองค์กรหรือผู้ใช้ที่เข้าใจการจัดการความร้อนเป็นอย่างดี

    https://www.neowin.net/news/amd-thinks-ryzen-threadripper-9000-wipes-the-floor-with-intel/
    ที่งาน Computex 2025 AMD เปิดไพ่เด็ด—Ryzen Threadripper 9000 รุ่นใหม่ล่าสุดที่อิงบนสถาปัตยกรรม Zen 5 โดยมีสูงสุดถึง 96 คอร์ พร้อมเทคโนโลยีที่สายทำงานหนัก เช่น นักเรนเดอร์ นักออกแบบกราฟิก หรือนักวิจัยด้าน AI ต้องร้องว้าว ซีรีส์นี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม: 1) PRO 9000WX สำหรับเวิร์กสเตชันระดับองค์กร 2) 9000 ซีรีส์ สำหรับผู้ใช้งานแบบ HEDT (High-End Desktop) ที่โหดคือ—AMD ไม่ได้มาแค่ “ตัวเลขสเปก” แต่จัด ตัวอย่างประสิทธิภาพจริง เทียบกับคู่แข่งอย่าง Intel Xeon W9-3595X เลยด้วย และผลลัพธ์ก็ไม่ธรรมดา เช่น ด้าน LLM (AI ใหญ่ ๆ อย่าง GPT) AMD บอกว่าเร็วกว่า Intel ถึง 49% ในบางกรณี ลองจินตนาการว่าเครื่องเวิร์กสเตชันที่ใช้ซีพียู 96 คอร์ พร้อมแรม DDR5 แบบ 8 แชนแนล และรองรับ PCIe Gen5 ถึง 128 เลนส์ จะทำงานกับโมเดล AI หรือเรนเดอร์ V-Ray ได้เร็วขนาดไหน—AMD เคลมว่าเร็วกว่า Xeon ถึง “เกือบ 2.5 เท่า!” ยังไม่มีราคาวางจำหน่ายนะครับ แต่คาดว่าเปิดตัวจริงภายในเดือนหน้า ✅ AMD เปิดตัว Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์ บน Zen 5   • รุ่นสูงสุดมีถึง 96 คอร์ / 192 เธรด   • แบ่งเป็นกลุ่ม PRO สำหรับเวิร์กสเตชัน และ X-series สำหรับ HEDT ✅ รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัย   • แรม DDR5-6400 สูงสุด 8 แชนแนล   • PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลนส์   • รองรับ EXPO กับแรมความเร็วสูงกว่า 7000 MT/s ✅ ผลทดสอบประสิทธิภาพแบบเทียบรุ่น   • รุ่น 9995WX เร็วกว่า 7995WX ถึง 26%   • รุ่น 9980X แรงกว่า Intel Xeon W9-3595X สูงสุด 108%   • ด้าน AI เร็วกว่าถึง 49% และใน Chaos V-Ray เร็วกว่าเกือบ 2.5 เท่า ✅ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพและ AI รุ่นใหญ่   • เหมาะกับการเรนเดอร์ภาพ 3D, โมเดล LLM, โปรแกรมออกแบบ และงานกราฟิกประสิทธิภาพสูง ‼️ ประสิทธิภาพ AI ยังรวมการ์ดจอเข้าไปในการวัดผลด้วย   • ผลลัพธ์ LLM ที่เร็วกว่า 49% มีการใช้งาน GPU ร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมดูเร็วเกินจริง ‼️ ยังไม่มีข้อมูลราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ   • อาจทำให้ผู้ซื้อประเมินงบประมาณหรือวางแผนจัดสเปกได้ยากในตอนนี้ ‼️ การเปรียบเทียบกับ Intel ใช้ Xeon W9 ซึ่งเป็นซีรีส์คนละตลาด   • ถึงแม้ Xeon W9 จะใช้ในเวิร์กสเตชันเหมือนกัน แต่อาจมีบริบทของราคาหรือสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ‼️ TDP สูงสุดถึง 350W อาจต้องระวังด้านการระบายความร้อนและพลังงาน   • เหมาะกับเคสระดับองค์กรหรือผู้ใช้ที่เข้าใจการจัดการความร้อนเป็นอย่างดี https://www.neowin.net/news/amd-thinks-ryzen-threadripper-9000-wipes-the-floor-with-intel/
    WWW.NEOWIN.NET
    AMD thinks Ryzen Threadripper 9000 wipes the floor with Intel
    AMD is soon releasing its Ryzen Threadripper 9000 series processors, and it expects to completely wipe the floor with Intel's Xeon W 60-core.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1/
    เจ้าหน้าที่ IRGC ของอิหร่านกล่าวว่า:

    การโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อคืนนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าท้องฟ้าเหนืออิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของ IRGC อย่างเต็มที่แล้ว
    1/ เจ้าหน้าที่ IRGC ของอิหร่านกล่าวว่า: การโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อคืนนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าท้องฟ้าเหนืออิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของ IRGC อย่างเต็มที่แล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 429 มุมมอง 31 0 รีวิว
  • 2/
    เจ้าหน้าที่ IRGC ของอิหร่านกล่าวว่า:

    การโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อคืนนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าท้องฟ้าเหนืออิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของ IRGC อย่างเต็มที่แล้ว
    2/ เจ้าหน้าที่ IRGC ของอิหร่านกล่าวว่า: การโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อคืนนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าท้องฟ้าเหนืออิสราเอลอยู่ภายใต้การควบคุมของ IRGC อย่างเต็มที่แล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 32 0 รีวิว
  • ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security

    เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ

    เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม

    สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย

    ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud  
    • สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด

    ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์  
    • ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta

    ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง  
    • สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน

    ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”  
    • ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม

    กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร  
    • CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย

    เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล  
    • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ

    ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ  
    • ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น

    ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”  
    • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud

    Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน  
    • การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว

    Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด  
    • ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง

    ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security  
    • ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด

    หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud  
    • โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม

    การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย  
    • ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร

    https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
    ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย ✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud   • สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด ✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์   • ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta ✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง   • สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน ✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”   • ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม ✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร   • CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย ✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล   • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ ✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ   • ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น ✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”   • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud ‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน   • การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว ‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด   • ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง ‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security   • ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด ‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud   • โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม ‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย   • ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 tips for mastering multicloud security
    Multicloud environments offer many benefits. Strong inherent security isn’t one of them.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายประเทศในลาตินอเมริกาไม่อยากเป็นแค่ "ผู้บริโภค AI" อีกต่อไป พวกเขารวมตัวกันกว่า 12 ประเทศ โดยมีชิลีเป็นแกนกลาง ผ่านศูนย์ CENIA (National Center for AI) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ภาษาใหญ่ของตัวเองชื่อ Latam-GPT

    จุดเด่นคือโมเดลนี้จะเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาเฉพาะถิ่นของลาตินอเมริกาได้ดีกว่าโมเดลที่ถูกฝึกด้วยภาษาอังกฤษแบบตะวันตก เช่น ChatGPT หรือ Gemini แถมยัง “โอเพนซอร์ส” เปิดให้ใคร ๆ ในภูมิภาคนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือ การรักษาภาษา Indigenous อย่าง Rapa Nui ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของ Easter Island พวกเขาสร้างระบบแปลไว้แล้วเพื่อให้ใช้ในบริการสาธารณะ เช่น แชตบอทหน่วยงานรัฐหรือแพลตฟอร์มการศึกษาสำหรับชุมชน

    Latam-GPT จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก Llama 3 ของ Meta และพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรประมวลผลจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงคลาวด์จาก Amazon ด้วย

    12 ประเทศในลาตินอเมริการ่วมพัฒนาโมเดล Latam-GPT เปิดตัว ก.ย. 2025  
    • นำโดยชิลี และศูนย์วิจัย CENIA พร้อมสถาบันในภูมิภาคกว่า 30 แห่ง  
    • พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น

    เป้าหมายคือการกระจาย AI ให้เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม (AI democratization)  
    • วางแผนใช้ในโรงเรียน โรงพยาบาล และระบบบริการภาครัฐ

    เน้นการอนุรักษ์ภาษา Indigenous เช่น Rapa Nui  
    • สร้างระบบแปลภาษาเพื่อการใช้งานเชิงบริการและการศึกษา

    พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Llama 3 จาก Meta  
    • ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับภูมิภาค รวมถึงคลาวด์ของ AWS

    ยังไม่มีงบประมาณเฉพาะ แต่หวังดึงเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมภายหลัง  
    • CENIA ระบุว่าหากโชว์ศักยภาพได้ จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นแน่นอน

    การที่ Latam-GPT เปิดโอเพนซอร์ส อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด  
    • โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การควบคุมการใช้เทคโนโลยียังไม่เข้มงวด

    การใช้ LLM กับภาษาเฉพาะถิ่นต้องใช้ข้อมูลเทรนมากพอ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิด bias  
    • หากรวบรวมข้อมูลน้อยหรือไม่หลากหลาย AI อาจเข้าใจผิดหรือตอบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม

    การพัฒนา AI ข้ามประเทศหลายฝ่าย อาจขัดแย้งกันด้านสิทธิ์และการควบคุมในอนาคต  
    • ต้องมีข้อตกลงชัดเจนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และการแบ่งปันผลประโยชน์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/latin-american-countries-to-launch-own-ai-model-in-september
    หลายประเทศในลาตินอเมริกาไม่อยากเป็นแค่ "ผู้บริโภค AI" อีกต่อไป พวกเขารวมตัวกันกว่า 12 ประเทศ โดยมีชิลีเป็นแกนกลาง ผ่านศูนย์ CENIA (National Center for AI) เพื่อพัฒนาโมเดล AI ภาษาใหญ่ของตัวเองชื่อ Latam-GPT จุดเด่นคือโมเดลนี้จะเข้าใจบริบท วัฒนธรรม และภาษาเฉพาะถิ่นของลาตินอเมริกาได้ดีกว่าโมเดลที่ถูกฝึกด้วยภาษาอังกฤษแบบตะวันตก เช่น ChatGPT หรือ Gemini แถมยัง “โอเพนซอร์ส” เปิดให้ใคร ๆ ในภูมิภาคนำไปใช้หรือพัฒนาต่อยอดได้ อีกหนึ่งไฮไลต์คือ การรักษาภาษา Indigenous อย่าง Rapa Nui ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของ Easter Island พวกเขาสร้างระบบแปลไว้แล้วเพื่อให้ใช้ในบริการสาธารณะ เช่น แชตบอทหน่วยงานรัฐหรือแพลตฟอร์มการศึกษาสำหรับชุมชน Latam-GPT จะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก Llama 3 ของ Meta และพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรประมวลผลจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงคลาวด์จาก Amazon ด้วย ✅ 12 ประเทศในลาตินอเมริการ่วมพัฒนาโมเดล Latam-GPT เปิดตัว ก.ย. 2025   • นำโดยชิลี และศูนย์วิจัย CENIA พร้อมสถาบันในภูมิภาคกว่า 30 แห่ง   • พัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ✅ เป้าหมายคือการกระจาย AI ให้เข้าถึงผู้คนทุกกลุ่ม (AI democratization)   • วางแผนใช้ในโรงเรียน โรงพยาบาล และระบบบริการภาครัฐ ✅ เน้นการอนุรักษ์ภาษา Indigenous เช่น Rapa Nui   • สร้างระบบแปลภาษาเพื่อการใช้งานเชิงบริการและการศึกษา ✅ พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Llama 3 จาก Meta   • ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับภูมิภาค รวมถึงคลาวด์ของ AWS ✅ ยังไม่มีงบประมาณเฉพาะ แต่หวังดึงเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มเติมภายหลัง   • CENIA ระบุว่าหากโชว์ศักยภาพได้ จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นแน่นอน ‼️ การที่ Latam-GPT เปิดโอเพนซอร์ส อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด   • โดยเฉพาะในภูมิภาคที่การควบคุมการใช้เทคโนโลยียังไม่เข้มงวด ‼️ การใช้ LLM กับภาษาเฉพาะถิ่นต้องใช้ข้อมูลเทรนมากพอ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิด bias   • หากรวบรวมข้อมูลน้อยหรือไม่หลากหลาย AI อาจเข้าใจผิดหรือตอบไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ‼️ การพัฒนา AI ข้ามประเทศหลายฝ่าย อาจขัดแย้งกันด้านสิทธิ์และการควบคุมในอนาคต   • ต้องมีข้อตกลงชัดเจนด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และการแบ่งปันผลประโยชน์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/latin-american-countries-to-launch-own-ai-model-in-september
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Latin American countries to launch own AI model in September
    SANTIAGO (Reuters) -A dozen Latin American countries are collaborating to launch Latam-GPT in September, the first large artificial intelligence language model trained to understand the region's diverse cultures and linguistic nuances, Chilean officials said on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอยร้าวเล็ก ๆ อย่ามองข้าม
    เพราะถ้าปล่อยไว้...อาจพังทั้งผนัง!

    แต่เจอ M600 เข้าไป
    ผสมน้ำ
    ปาด
    ทา
    ก็ซ่อมได้เองง่าย ๆ มือใหม่ก็ทำได้!

    บ้านแน่น! ใจไม่ร้าว

    #ร้าวต้องรีบซ่อม #TPIซ่อมเองได้ #M600ตัวช่วยซ่อมบ้าน
    #ของมันต้องมี #รีวิวบ้าน #รอยร้าวไม่ต้องเรียกช่าง
    🏚️ รอยร้าวเล็ก ๆ อย่ามองข้าม ❗ เพราะถ้าปล่อยไว้...อาจพังทั้งผนัง! แต่เจอ M600 เข้าไป 💥 ✅ ผสมน้ำ ✅ ปาด ✅ ทา ก็ซ่อมได้เองง่าย ๆ ✨ มือใหม่ก็ทำได้! บ้านแน่น! ใจไม่ร้าว 💚 #ร้าวต้องรีบซ่อม #TPIซ่อมเองได้ #M600ตัวช่วยซ่อมบ้าน #ของมันต้องมี #รีวิวบ้าน #รอยร้าวไม่ต้องเรียกช่าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 533 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • ทุกวันนี้เราใช้งาน AI อย่าง ChatGPT กันจนเป็นเรื่องปกติ—แต่รู้ไหมครับว่าแค่พิมพ์ถามคำถามหนึ่งครั้ง อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยเลย

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ออกมาเผยตัวเลขว่า คำถามหนึ่งคำถามบน ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับเปิดเตาอบประมาณ 1 วินาที หรือเปิดหลอดไฟประหยัดพลังงานประมาณ 2 นาที และใช้น้ำประมาณ 0.000085 แกลลอน (ประมาณ 1/15 ช้อนชา)

    แต่ในความเป็นจริง คำถามไม่ได้มีแค่คำถามเดียว—ทั่วโลกมีการยิงคำถามเข้าระบบเป็นพันล้านครั้งต่อวัน รวมแล้วผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ “ไม่เล็ก” อีกต่อไป

    แอปวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพรินต์ชื่อว่า Greenly เคยคำนวณว่า ChatGPT รุ่นแรก ใช้พลังงานจนปล่อย CO₂ ประมาณ 240 ตันต่อปี เทียบได้กับการบินระหว่างปารีส-นิวยอร์ก 136 เที่ยวไปกลับ!

    และถ้าองค์กรหนึ่งใช้ ChatGPT-4 เพื่อตอบอีเมลล้านฉบับต่อเดือน จะปล่อย CO₂ รวมกันปีละ 7,138 ตัน หรือเท่ากับการบินไป-กลับปารีส-นิวยอร์กถึง 4,300 เที่ยว

    นักวิจัยจาก MIT ยังชี้ว่า การฝึกสอนโมเดลภาษาหลายตัว เทียบเท่าการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ในอเมริกาตลอดอายุการใช้งาน “ถึง 5 คัน” รวมการผลิตรถด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่การขับ

    Altman เผยตัวเลขพลังงานที่ใช้ต่อ 1 คำถามของ ChatGPT  
    • ใช้พลังงาน 0.34 วัตต์-ชั่วโมง และน้ำประมาณ 1/15 ช้อนชา  
    • เทียบเท่ากับการเปิดเตาอบไฟฟ้า 1 วินาที หรือหลอดไฟ 2 นาที

    ผลกระทบสะสมมหาศาลเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก  
    • ChatGPT เองยังตอบว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากใช้งานระดับพันล้านครั้ง

    รายงานจาก Greenly ระบุ ChatGPT-4 สร้าง CO₂ ประมาณ 7,138 ตัน/ปี (ใช้ตอบอีเมลล้านฉบับ/เดือน)  
    • เทียบเท่ากับเที่ยวบินไปกลับปารีส-นิวยอร์ก 4,300 เที่ยว

    แหล่งการปล่อย CO₂ ส่วนใหญ่มาจากการฝึก (Training)  
    • ระบบฝึกคิดเป็น 99% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในบางกรณี  
    • คิดเป็นประมาณ 238 ตัน CO₂ ต่อปีสำหรับรุ่นแรกของ ChatGPT

    MIT เปรียบเทียบว่าโมเดล LLM ปล่อย CO₂ เท่ารถยนต์ 5 คันรวมกันตลอดอายุการใช้งาน  
    • คำนวณรวมตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการใช้งาน

    แนวโน้ม “AI ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง” กำลังมาแรงเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม  
    • เป็นทางเลือกให้ใช้งานได้แบบพอดี โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูงแบบ LLM ขนาดใหญ่

    AI แม้ตอบได้ฉลาด แต่ไม่ใช่ “ไร้มลพิษ” อย่างที่เข้าใจกัน  
    • การใช้งานมากเกินจำเป็น หรือใช้แบบไม่ได้วางแผน อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมสูง

    การฝึกโมเดลขนาดใหญ่มีผลกระทบสูงมากต่อทรัพยากรโลก  
    • โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้า น้ำ และการผลิตอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์

    ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อ query ดูเหมือนน้อย แต่สะสมแล้วสูงมากในระดับโลก  
    • ยิ่งมีการขยายเซิร์ฟเวอร์ AI ทั่วโลก ยิ่งต้องคำนึงถึง “Water Footprint” มากขึ้น

    ข้อมูลจาก Altman เป็นค่าเฉลี่ย ไม่ได้แสดงความแปรผันตามรูปแบบคำถามที่ซับซ้อนกว่า  
    • คำถามที่ใช้ context เยอะ หรือเรียกโมเดลขนาดใหญ่ อาจใช้พลังงานมากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/the-environmental-cost-of-a-chatgpt-query-according-to-openai039s-ceo
    ทุกวันนี้เราใช้งาน AI อย่าง ChatGPT กันจนเป็นเรื่องปกติ—แต่รู้ไหมครับว่าแค่พิมพ์ถามคำถามหนึ่งครั้ง อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยเลย Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ออกมาเผยตัวเลขว่า คำถามหนึ่งคำถามบน ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 วัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับเปิดเตาอบประมาณ 1 วินาที หรือเปิดหลอดไฟประหยัดพลังงานประมาณ 2 นาที และใช้น้ำประมาณ 0.000085 แกลลอน (ประมาณ 1/15 ช้อนชา) แต่ในความเป็นจริง คำถามไม่ได้มีแค่คำถามเดียว—ทั่วโลกมีการยิงคำถามเข้าระบบเป็นพันล้านครั้งต่อวัน รวมแล้วผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ “ไม่เล็ก” อีกต่อไป แอปวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพรินต์ชื่อว่า Greenly เคยคำนวณว่า ChatGPT รุ่นแรก ใช้พลังงานจนปล่อย CO₂ ประมาณ 240 ตันต่อปี เทียบได้กับการบินระหว่างปารีส-นิวยอร์ก 136 เที่ยวไปกลับ! และถ้าองค์กรหนึ่งใช้ ChatGPT-4 เพื่อตอบอีเมลล้านฉบับต่อเดือน จะปล่อย CO₂ รวมกันปีละ 7,138 ตัน หรือเท่ากับการบินไป-กลับปารีส-นิวยอร์กถึง 4,300 เที่ยว 😱 นักวิจัยจาก MIT ยังชี้ว่า การฝึกสอนโมเดลภาษาหลายตัว เทียบเท่าการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ในอเมริกาตลอดอายุการใช้งาน “ถึง 5 คัน” รวมการผลิตรถด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่การขับ ✅ Altman เผยตัวเลขพลังงานที่ใช้ต่อ 1 คำถามของ ChatGPT   • ใช้พลังงาน 0.34 วัตต์-ชั่วโมง และน้ำประมาณ 1/15 ช้อนชา   • เทียบเท่ากับการเปิดเตาอบไฟฟ้า 1 วินาที หรือหลอดไฟ 2 นาที ✅ ผลกระทบสะสมมหาศาลเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก   • ChatGPT เองยังตอบว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากใช้งานระดับพันล้านครั้ง ✅ รายงานจาก Greenly ระบุ ChatGPT-4 สร้าง CO₂ ประมาณ 7,138 ตัน/ปี (ใช้ตอบอีเมลล้านฉบับ/เดือน)   • เทียบเท่ากับเที่ยวบินไปกลับปารีส-นิวยอร์ก 4,300 เที่ยว ✅ แหล่งการปล่อย CO₂ ส่วนใหญ่มาจากการฝึก (Training)   • ระบบฝึกคิดเป็น 99% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในบางกรณี   • คิดเป็นประมาณ 238 ตัน CO₂ ต่อปีสำหรับรุ่นแรกของ ChatGPT ✅ MIT เปรียบเทียบว่าโมเดล LLM ปล่อย CO₂ เท่ารถยนต์ 5 คันรวมกันตลอดอายุการใช้งาน   • คำนวณรวมตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการใช้งาน ✅ แนวโน้ม “AI ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง” กำลังมาแรงเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม   • เป็นทางเลือกให้ใช้งานได้แบบพอดี โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรสูงแบบ LLM ขนาดใหญ่ ‼️ AI แม้ตอบได้ฉลาด แต่ไม่ใช่ “ไร้มลพิษ” อย่างที่เข้าใจกัน   • การใช้งานมากเกินจำเป็น หรือใช้แบบไม่ได้วางแผน อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมสูง ‼️ การฝึกโมเดลขนาดใหญ่มีผลกระทบสูงมากต่อทรัพยากรโลก   • โดยเฉพาะการใช้ไฟฟ้า น้ำ และการผลิตอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ ‼️ ปริมาณน้ำที่ใช้ต่อ query ดูเหมือนน้อย แต่สะสมแล้วสูงมากในระดับโลก   • ยิ่งมีการขยายเซิร์ฟเวอร์ AI ทั่วโลก ยิ่งต้องคำนึงถึง “Water Footprint” มากขึ้น ‼️ ข้อมูลจาก Altman เป็นค่าเฉลี่ย ไม่ได้แสดงความแปรผันตามรูปแบบคำถามที่ซับซ้อนกว่า   • คำถามที่ใช้ context เยอะ หรือเรียกโมเดลขนาดใหญ่ อาจใช้พลังงานมากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/18/the-environmental-cost-of-a-chatgpt-query-according-to-openai039s-ceo
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The environmental cost of a ChatGPT query, according to OpenAI's CEO
    What is the environmental impact of using large language models such as ChatGPT? It's difficult to say, although several studies on the subject have already been conducted.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 519 มุมมอง 0 รีวิว
  • *****.....เหรียญ.....พ่อท่าน คล้อย.....วัดภูเขาทอง.....หน้าหนุ่ม.....ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....จ.พัทลุง.....*****

    *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....*****

    *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....*****

    #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #เหนือดวง #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....เหรียญ.....พ่อท่าน คล้อย.....วัดภูเขาทอง.....หน้าหนุ่ม.....ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....จ.พัทลุง.....***** *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....***** *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....***** #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #เหนือดวง #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 890 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S รุ่นถัดไปของซีพียูฝั่งเดสก์ท็อปใน ครึ่งหลังของปี 2026 ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ทั้งด้าน “สถาปัตยกรรม” และ “ขุมพลัง” ตัวท็อป Core Ultra 9 385K จะมีถึง 52 คอร์! โดยแบ่งเป็น 16 คอร์แรงจัด (P-core), 32 คอร์ประหยัด (E-core) และ 4 คอร์พลังต่ำพิเศษ (LPE-core) เรียกว่าเป็นการกระโดดจากรุ่นปัจจุบันที่มีสูงสุดแค่ 24 คอร์ แบบไม่เห็นฝุ่น

    แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ระบบแยกแผ่น (tile-based)” ซึ่งแต่ละกลุ่มคอร์จะถูกวางอยู่บนไดแยกกัน คล้ายกับแนวคิดของชิป Apple M-Series หรือ AMD 3D V-Cache เพื่อให้บริหารพลังงานและประสิทธิภาพได้แบบละเอียดสุด ๆ

    Intel ยังใส่ใจสายกราฟิกด้วยการแยกส่วน iGPU ออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน: Xe3 “Celestial” สำหรับเรนเดอร์ และ Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอ/จอภาพ — ลดภาระเครื่องและเพิ่มเฟรมเรตสำหรับทั้งงานสร้างสรรค์และเกม

    Nova Lake-S ยังมาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่หมด ตั้งแต่ LGA 1854 Socket, แรม DDR5 8000+ MT/s, ไปจนถึง 48 เลน PCIe และระบบ USB/SATA แบบขยายเต็มพิกัด

    Nova Lake-S จะเป็นซีรีส์เดสก์ท็อปใหม่ของ Intel ที่เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่  
    • เริ่มวางจำหน่ายครึ่งหลังปี 2026  
    • ใช้ดีไซน์แบบ tile-based คล้ายกับชิปยุคใหม่ เช่น Meteor Lake

    Core Ultra 9 385K: มีสูงสุดถึง 52 คอร์!  
    • แบ่งเป็น: 16 P-core + 32 E-core + 4 LPE-core  
    • เปรียบเทียบแล้วมากกว่ารุ่นก่อน (24 คอร์) เกินเท่าตัว

    ซีรีส์อื่นก็แรงไม่แพ้กัน  
    • Core Ultra 7: 42 คอร์  
    • Core Ultra 5: มีตั้งแต่ 18 ถึง 28 คอร์  
    • Core Ultra 3: รุ่นเล็กสุดยังมีถึง 16 คอร์ (พร้อม LPE-core)

    แรมและสถาปัตยกรรมใหม่  
    • รองรับ DDR5 สูงสุด 8000 MT/s และอาจไปถึง 10,000+ MT/s  
    • ใช้ Socket ใหม่ LGA 1854 และชิปเซต 900 ซีรีส์

    ระบบกราฟิกในตัวแบบไฮบริด แยกเรนเดอร์/วิดีโอ  
    • Xe3 “Celestial” สำหรับเกมและกราฟิก  
    • Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอและจอภาพ

    เป้าหมาย: สู้กับ AMD Zen 6 แบบจัง ๆ  
    • Intel มุ่งหวังทวงบัลลังก์ซีพียูเดสก์ท็อปคืนจากคู่แข่ง

    ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่เพื่อใช้ Nova Lake-S  
    • ใช้ LGA 1854 socket และชิปเซตรุ่นใหม่ทั้งหมด  
    • ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดปัจจุบัน

    ยังไม่มีการทดสอบจริง — ตัวเลขทั้งหมดมาจาก “ข่าวหลุด”  
    • ต้องรอ benchmark และประสิทธิภาพจริงจากผู้ผลิตหรือผู้ใช้งาน

    จำนวนคอร์ที่มากขึ้นอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป  
    • ถ้าซอฟต์แวร์ไม่ปรับให้รองรับการทำงานแบบ multi-thread อาจไม่ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า

    TDP ระดับ 150W บ่งชี้ว่าอาจต้องระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น  
    • โดยเฉพาะรุ่น Core Ultra 9 / 7 ที่มีคอร์จำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108337-intel-nova-lake-s-cpus-bring-massive-architectural.html
    Intel เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S รุ่นถัดไปของซีพียูฝั่งเดสก์ท็อปใน ครึ่งหลังของปี 2026 ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ทั้งด้าน “สถาปัตยกรรม” และ “ขุมพลัง” ตัวท็อป Core Ultra 9 385K จะมีถึง 52 คอร์! โดยแบ่งเป็น 16 คอร์แรงจัด (P-core), 32 คอร์ประหยัด (E-core) และ 4 คอร์พลังต่ำพิเศษ (LPE-core) เรียกว่าเป็นการกระโดดจากรุ่นปัจจุบันที่มีสูงสุดแค่ 24 คอร์ แบบไม่เห็นฝุ่น แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ระบบแยกแผ่น (tile-based)” ซึ่งแต่ละกลุ่มคอร์จะถูกวางอยู่บนไดแยกกัน คล้ายกับแนวคิดของชิป Apple M-Series หรือ AMD 3D V-Cache เพื่อให้บริหารพลังงานและประสิทธิภาพได้แบบละเอียดสุด ๆ Intel ยังใส่ใจสายกราฟิกด้วยการแยกส่วน iGPU ออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน: Xe3 “Celestial” สำหรับเรนเดอร์ และ Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอ/จอภาพ — ลดภาระเครื่องและเพิ่มเฟรมเรตสำหรับทั้งงานสร้างสรรค์และเกม Nova Lake-S ยังมาพร้อมแพลตฟอร์มใหม่หมด ตั้งแต่ LGA 1854 Socket, แรม DDR5 8000+ MT/s, ไปจนถึง 48 เลน PCIe และระบบ USB/SATA แบบขยายเต็มพิกัด ✅ Nova Lake-S จะเป็นซีรีส์เดสก์ท็อปใหม่ของ Intel ที่เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่   • เริ่มวางจำหน่ายครึ่งหลังปี 2026   • ใช้ดีไซน์แบบ tile-based คล้ายกับชิปยุคใหม่ เช่น Meteor Lake ✅ Core Ultra 9 385K: มีสูงสุดถึง 52 คอร์!   • แบ่งเป็น: 16 P-core + 32 E-core + 4 LPE-core   • เปรียบเทียบแล้วมากกว่ารุ่นก่อน (24 คอร์) เกินเท่าตัว ✅ ซีรีส์อื่นก็แรงไม่แพ้กัน   • Core Ultra 7: 42 คอร์   • Core Ultra 5: มีตั้งแต่ 18 ถึง 28 คอร์   • Core Ultra 3: รุ่นเล็กสุดยังมีถึง 16 คอร์ (พร้อม LPE-core) ✅ แรมและสถาปัตยกรรมใหม่   • รองรับ DDR5 สูงสุด 8000 MT/s และอาจไปถึง 10,000+ MT/s   • ใช้ Socket ใหม่ LGA 1854 และชิปเซต 900 ซีรีส์ ✅ ระบบกราฟิกในตัวแบบไฮบริด แยกเรนเดอร์/วิดีโอ   • Xe3 “Celestial” สำหรับเกมและกราฟิก   • Xe4 “Druid” สำหรับวิดีโอและจอภาพ ✅ เป้าหมาย: สู้กับ AMD Zen 6 แบบจัง ๆ   • Intel มุ่งหวังทวงบัลลังก์ซีพียูเดสก์ท็อปคืนจากคู่แข่ง ‼️ ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่เพื่อใช้ Nova Lake-S   • ใช้ LGA 1854 socket และชิปเซตรุ่นใหม่ทั้งหมด   • ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเมนบอร์ดปัจจุบัน ‼️ ยังไม่มีการทดสอบจริง — ตัวเลขทั้งหมดมาจาก “ข่าวหลุด”   • ต้องรอ benchmark และประสิทธิภาพจริงจากผู้ผลิตหรือผู้ใช้งาน ‼️ จำนวนคอร์ที่มากขึ้นอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป   • ถ้าซอฟต์แวร์ไม่ปรับให้รองรับการทำงานแบบ multi-thread อาจไม่ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า ‼️ TDP ระดับ 150W บ่งชี้ว่าอาจต้องระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น   • โดยเฉพาะรุ่น Core Ultra 9 / 7 ที่มีคอร์จำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108337-intel-nova-lake-s-cpus-bring-massive-architectural.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel's Nova Lake-S CPUs to bring massive architectural overhaul, up to 52 cores
    The flagship Core Ultra 9 385K model could feature a staggering 52 cores, comprising 16 high-performance P-cores, 32 efficiency-focused E-cores, and four 4 low-power LPE-cores – making...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว