• OpenAI เลื่อนการเปิดตัว GPT-5 เพื่อพัฒนาให้สมบูรณ์ แต่ในระหว่างนี้จะเปิดตัว o3 และ o4-mini ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอีกสองสามสัปดาห์ โดย GPT-5 จะรวมความสามารถด้าน reasoning และ non-chain-of-thought ในครั้งแรก Altman ยังเผยว่า o3 จะมาพร้อมฟีเจอร์ pro mode ที่เหมาะสำหรับงานซับซ้อน และการปล่อย GPT-5 แบบ phased release จะช่วยแก้ปัญหาด้านเทคนิคและรองรับความต้องการผู้ใช้

    GPT-5 จะรวมความสามารถ reasoning และ non-chain-of-thought
    - Altman ยืนยันว่า GPT-5 จะเป็นโมเดลแรกที่รวม ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงเหตุผล และ ความเข้าใจแบบ non-chain-of-thought
    - แต่การผสมผสานเทคโนโลยีทั้งสองพบความท้าทาย จึงต้องเลื่อนออกไปเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น

    o3 มีฟีเจอร์พิเศษ pro mode—เหมาะสำหรับงานซับซ้อน
    - Altman เปิดเผยว่า o3 model ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมาก และมาพร้อมฟีเจอร์ pro mode
    - โหมดนี้ช่วยให้ AI ใช้พลังประมวลผลเพิ่มขึ้นสำหรับคำถามที่ซับซ้อน

    การเตรียมระบบรองรับ GPT-5 ที่มีความต้องการสูง
    - OpenAI ต้องมั่นใจว่ามี พลังประมวลผลที่เพียงพอ สำหรับ GPT-5 เนื่องจากคาดว่าความต้องการจะสูงมาก
    - การวางแผนแบบ phased release ช่วยแก้ปัญหาภายในและรองรับความต้องการของผู้ใช้งาน

    การเข้าถึง GPT-5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปและสมาชิกแบบชำระเงิน
    - ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้ GPT-5 ได้ในระดับปัญญามาตรฐาน
    - สมาชิกแบบชำระเงินสามารถใช้ GPT-5 ในโหมดความฉลาดสูงขึ้น ส่วน Pro tier จะมี ระดับปัญญาที่ล้ำหน้ากว่า

    https://www.neowin.net/news/openai-postpones-gpt-5-but-releasing-o3-and-o4-mini-soon/
    OpenAI เลื่อนการเปิดตัว GPT-5 เพื่อพัฒนาให้สมบูรณ์ แต่ในระหว่างนี้จะเปิดตัว o3 และ o4-mini ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอีกสองสามสัปดาห์ โดย GPT-5 จะรวมความสามารถด้าน reasoning และ non-chain-of-thought ในครั้งแรก Altman ยังเผยว่า o3 จะมาพร้อมฟีเจอร์ pro mode ที่เหมาะสำหรับงานซับซ้อน และการปล่อย GPT-5 แบบ phased release จะช่วยแก้ปัญหาด้านเทคนิคและรองรับความต้องการผู้ใช้ ✅ GPT-5 จะรวมความสามารถ reasoning และ non-chain-of-thought - Altman ยืนยันว่า GPT-5 จะเป็นโมเดลแรกที่รวม ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงเหตุผล และ ความเข้าใจแบบ non-chain-of-thought - แต่การผสมผสานเทคโนโลยีทั้งสองพบความท้าทาย จึงต้องเลื่อนออกไปเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น ✅ o3 มีฟีเจอร์พิเศษ pro mode—เหมาะสำหรับงานซับซ้อน - Altman เปิดเผยว่า o3 model ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมาก และมาพร้อมฟีเจอร์ pro mode - โหมดนี้ช่วยให้ AI ใช้พลังประมวลผลเพิ่มขึ้นสำหรับคำถามที่ซับซ้อน ✅ การเตรียมระบบรองรับ GPT-5 ที่มีความต้องการสูง - OpenAI ต้องมั่นใจว่ามี พลังประมวลผลที่เพียงพอ สำหรับ GPT-5 เนื่องจากคาดว่าความต้องการจะสูงมาก - การวางแผนแบบ phased release ช่วยแก้ปัญหาภายในและรองรับความต้องการของผู้ใช้งาน ✅ การเข้าถึง GPT-5 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปและสมาชิกแบบชำระเงิน - ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถใช้ GPT-5 ได้ในระดับปัญญามาตรฐาน - สมาชิกแบบชำระเงินสามารถใช้ GPT-5 ในโหมดความฉลาดสูงขึ้น ส่วน Pro tier จะมี ระดับปัญญาที่ล้ำหน้ากว่า https://www.neowin.net/news/openai-postpones-gpt-5-but-releasing-o3-and-o4-mini-soon/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI postpones GPT-5, but releasing o3 and o4-mini soon
    OpenAI has revised its model release plans, opting to release standalone o3 and o4-mini models before the much-anticipated GPT-5.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ Copilot Podcasts ที่ช่วยสร้างพอดแคสต์เฉพาะตัวและมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมด้วยฟีเจอร์ Deep Research ที่ช่วยค้นหาข้อมูลออนไลน์ในหลายขั้นตอน รวมถึง Actions ที่ให้ Copilot จองตั๋วและจัดแผนการเดินทางแทนผู้ใช้ นับว่าเป็นการพัฒนาที่น่าสนใจเพื่อแข่งขันกับ AI ของ Google เช่น NotebookLM และ Gemini

    พอดแคสต์ที่ปรับแต่งได้
    - Copilot Podcasts ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาพอดแคสต์แบบเฉพาะตัว เช่น การวางแผนวันหยุด การเปรียบเทียบตัวเลือกการซื้อสินค้า หรือแม้กระทั่งศึกษาเรื่องราวเชิงลึก
    - ผู้ใช้ยังสามารถโต้ตอบกับ Copilot เพื่อสอบถามเพิ่มเติมขณะฟังพอดแคสต์

    ฟีเจอร์ Deep Research ช่วยให้การค้นหาออนไลน์ลึกซึ้งมากขึ้น
    - Copilot มีฟีเจอร์ Deep Research ที่ช่วยทำงานวิจัยหลายขั้นตอน และสร้างรายงานที่เข้าใจง่าย
    - ฟีเจอร์นี้มีลักษณะการทำงานคล้ายกับของ OpenAI ChatGPT และ Google Gemini

    Actions—Copilot ทำงานแทนผู้ใช้ผ่านคำสั่งภาษา
    - Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ Actions ซึ่งช่วยให้ Copilot ทำงานแทนผู้ใช้ เช่น การจองตั๋ว, จองโต๊ะอาหาร และการจัดแผนการเดินทาง
    - Copilot Actions รองรับเว็บไซต์ยอดนิยม เช่น Booking.com, Expedia, Kayak, TripAdvisor และ OpenTable

    https://www.neowin.net/news/microsoft-takes-on-google-notebooklm-with-copilot-podcasts/
    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ Copilot Podcasts ที่ช่วยสร้างพอดแคสต์เฉพาะตัวและมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมด้วยฟีเจอร์ Deep Research ที่ช่วยค้นหาข้อมูลออนไลน์ในหลายขั้นตอน รวมถึง Actions ที่ให้ Copilot จองตั๋วและจัดแผนการเดินทางแทนผู้ใช้ นับว่าเป็นการพัฒนาที่น่าสนใจเพื่อแข่งขันกับ AI ของ Google เช่น NotebookLM และ Gemini ✅ พอดแคสต์ที่ปรับแต่งได้ - Copilot Podcasts ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาพอดแคสต์แบบเฉพาะตัว เช่น การวางแผนวันหยุด การเปรียบเทียบตัวเลือกการซื้อสินค้า หรือแม้กระทั่งศึกษาเรื่องราวเชิงลึก - ผู้ใช้ยังสามารถโต้ตอบกับ Copilot เพื่อสอบถามเพิ่มเติมขณะฟังพอดแคสต์ ✅ ฟีเจอร์ Deep Research ช่วยให้การค้นหาออนไลน์ลึกซึ้งมากขึ้น - Copilot มีฟีเจอร์ Deep Research ที่ช่วยทำงานวิจัยหลายขั้นตอน และสร้างรายงานที่เข้าใจง่าย - ฟีเจอร์นี้มีลักษณะการทำงานคล้ายกับของ OpenAI ChatGPT และ Google Gemini ✅ Actions—Copilot ทำงานแทนผู้ใช้ผ่านคำสั่งภาษา - Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ Actions ซึ่งช่วยให้ Copilot ทำงานแทนผู้ใช้ เช่น การจองตั๋ว, จองโต๊ะอาหาร และการจัดแผนการเดินทาง - Copilot Actions รองรับเว็บไซต์ยอดนิยม เช่น Booking.com, Expedia, Kayak, TripAdvisor และ OpenTable https://www.neowin.net/news/microsoft-takes-on-google-notebooklm-with-copilot-podcasts/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft takes on Google NotebookLM with Copilot Podcasts
    Microsoft launched several new Copilot features, including AI-powered podcasts, deep research, and agentic actions, to celebrate its 50th anniversary.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • เริ่มมีการเปรียบเทียบวิดีโอที่ทรัมป์โพสต์ว่าโจมตีทำลายกลุ่มฮูตีในเยเมน

    ตามที่หลายฝ่ายโต้แย้ง ว่ากำลังมีการเฉลิมฉลองวันอีด อัล ฟิฏร์ (Eid al-Fitr) ของชนเผ่าพลเรือนในพื้นที่

    "นี่เป็นภาพเปรียบเทียบจากในโซเชี่ยล ภาพถ่ายอาจไม่ใช่ช่วงเวลาปัจจุบัน เพียงแค่แสดงให้เห็นว่าการรวมกลุ่มกันที่มีรูปแบบคล้ายกับวิดีโอของทรัมป์ อาจไม่ใช่กองกำลังทหารของฮูตี แต่เป็นเพียงพลเรือนทั่วไปเท่านั้น"

    "แต่ใครจะสนล่ะ" สื่อหลัก กล้าโต้แย้งอเมริกาเหรอ!!!
    เริ่มมีการเปรียบเทียบวิดีโอที่ทรัมป์โพสต์ว่าโจมตีทำลายกลุ่มฮูตีในเยเมน ตามที่หลายฝ่ายโต้แย้ง ว่ากำลังมีการเฉลิมฉลองวันอีด อัล ฟิฏร์ (Eid al-Fitr) ของชนเผ่าพลเรือนในพื้นที่ "นี่เป็นภาพเปรียบเทียบจากในโซเชี่ยล ภาพถ่ายอาจไม่ใช่ช่วงเวลาปัจจุบัน เพียงแค่แสดงให้เห็นว่าการรวมกลุ่มกันที่มีรูปแบบคล้ายกับวิดีโอของทรัมป์ อาจไม่ใช่กองกำลังทหารของฮูตี แต่เป็นเพียงพลเรือนทั่วไปเท่านั้น" "แต่ใครจะสนล่ะ" สื่อหลัก กล้าโต้แย้งอเมริกาเหรอ!!!
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • GitHub อัปเดตระบบ GHAS เพื่อช่วยป้องกันข้อมูลลับหลุดรั่วออกสู่สาธารณะ โดยเพิ่มฟีเจอร์ Point-in-Time Scan ที่ช่วยสแกนข้อมูลใน repositories ต่าง ๆ พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ CSV file นอกจากนี้ GitHub ยังแยก GHAS ออกเป็น subscriptions ที่ปรับให้เหมาะสมกับองค์กรทุกขนาด และเพิ่มฟีเจอร์ Push Protection ที่ช่วยบล็อก commit ที่มี secrets โดยอัตโนมัติ

    ฟีเจอร์สแกนแบบ Point-in-Time สำหรับผลลัพธ์ที่แม่นยำ
    - GitHub เปิดตัว Point-in-Time Scan ที่ช่วยให้องค์กรค้นหา ข้อมูลลับที่อาจถูกเปิดเผย ได้ทั้งใน public, private และ archived repositories
    - ผลลัพธ์สแกนสามารถดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ CSV file เพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติม

    เพิ่มการเข้าถึง GHAS สำหรับองค์กรขนาดเล็กและกลาง
    - GitHub ได้แยก GHAS ออกเป็น Secret Protection และ Code Security subscriptions เพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรทุกขนาด
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดต้นทุนสำหรับองค์กรที่ต้องการลงทุนในฟีเจอร์สแกนความปลอดภัย

    ฟีเจอร์ Push Protection เพื่อป้องกันการ commit ข้อมูลลับโดยไม่ตั้งใจ
    - ฟีเจอร์นี้ ตรวจจับและบล็อก commit ที่มี secrets ก่อนเข้าสู่ production
    - เปิดให้ใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับลูกค้า Enterprise ตั้งแต่ปี 2024

    การปรับปรุง GHAS ให้เข้าถึงได้สำหรับสมาชิกทีมที่เคยใช้งานได้เฉพาะ Enterprise เท่านั้น
    - GitHub ได้เพิ่ม GHAS เป็นฟีเจอร์ใน Team subscription เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมพัฒนาขนาดเล็กเข้าถึงฟีเจอร์นี้

    https://www.infoworld.com/article/3953663/github-upgrades-tooling-to-help-developers-stop-leaking-secrets.html
    GitHub อัปเดตระบบ GHAS เพื่อช่วยป้องกันข้อมูลลับหลุดรั่วออกสู่สาธารณะ โดยเพิ่มฟีเจอร์ Point-in-Time Scan ที่ช่วยสแกนข้อมูลใน repositories ต่าง ๆ พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ CSV file นอกจากนี้ GitHub ยังแยก GHAS ออกเป็น subscriptions ที่ปรับให้เหมาะสมกับองค์กรทุกขนาด และเพิ่มฟีเจอร์ Push Protection ที่ช่วยบล็อก commit ที่มี secrets โดยอัตโนมัติ ✅ ฟีเจอร์สแกนแบบ Point-in-Time สำหรับผลลัพธ์ที่แม่นยำ - GitHub เปิดตัว Point-in-Time Scan ที่ช่วยให้องค์กรค้นหา ข้อมูลลับที่อาจถูกเปิดเผย ได้ทั้งใน public, private และ archived repositories - ผลลัพธ์สแกนสามารถดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ CSV file เพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติม ✅ เพิ่มการเข้าถึง GHAS สำหรับองค์กรขนาดเล็กและกลาง - GitHub ได้แยก GHAS ออกเป็น Secret Protection และ Code Security subscriptions เพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรทุกขนาด - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดต้นทุนสำหรับองค์กรที่ต้องการลงทุนในฟีเจอร์สแกนความปลอดภัย ✅ ฟีเจอร์ Push Protection เพื่อป้องกันการ commit ข้อมูลลับโดยไม่ตั้งใจ - ฟีเจอร์นี้ ตรวจจับและบล็อก commit ที่มี secrets ก่อนเข้าสู่ production - เปิดให้ใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับลูกค้า Enterprise ตั้งแต่ปี 2024 ✅ การปรับปรุง GHAS ให้เข้าถึงได้สำหรับสมาชิกทีมที่เคยใช้งานได้เฉพาะ Enterprise เท่านั้น - GitHub ได้เพิ่ม GHAS เป็นฟีเจอร์ใน Team subscription เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมพัฒนาขนาดเล็กเข้าถึงฟีเจอร์นี้ https://www.infoworld.com/article/3953663/github-upgrades-tooling-to-help-developers-stop-leaking-secrets.html
    WWW.INFOWORLD.COM
    GitHub upgrades tooling to help developers stop leaking secrets
    Developers get free and targeted advanced secret scanning features on GitHub to protect organizations from exposed secrets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานล่าสุดชี้ว่าแม้ความปลอดภัยของ Operational Technology (OT) จะกลายเป็นประเด็นสำคัญในอุตสาหกรรมทั่วโลก แต่ยังคงได้รับงบประมาณที่จำกัด โดยมีเพียง 27% ของบริษัทที่ให้อำนาจในการควบคุมงบประมาณด้านนี้แก่ CISO หรือ CSO ทำให้ความต้องการด้านความปลอดภัยที่สำคัญบางอย่างถูกมองข้าม

    งบประมาณความปลอดภัยของ OT ไม่ได้รับการจัดสรรอย่างเพียงพอ
    - เกือบครึ่งหนึ่งขององค์กรที่ถูกสำรวจ ใช้งบประมาณด้านความปลอดภัยเพียง 25% สำหรับการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
    - แม้ว่า 27% ของบริษัทได้รายงานการโจมตีระบบควบคุมภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา

    ภัยคุกคามส่วนใหญ่มาจากช่องโหว่ที่เกิดจาก IT
    - 58% ของการโจมตี OT เริ่มต้นจากช่องโหว่ในระบบ IT ที่เชื่อมต่อกัน
    - แหล่งโจมตีอื่น ๆ รวมถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (33%) และการเจาะระบบสถานีงานวิศวกรรม (30%)

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: พัฒนาการฝึกอบรมเฉพาะทางสำหรับ ICS/OT
    - การลงทุนใน การฝึกอบรมสำหรับผู้ตรวจสอบระบบควบคุม (ICS controllers) สามารถช่วยเสริมสร้างความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเครือข่ายของระบบควบคุม
    - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการไม่ปรับตัวต่อภัยคุกคามในระบบ ICS จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

    กลยุทธ์ความปลอดภัยที่ผสาน IT และ OT อย่างเต็มรูปแบบจำเป็นอย่างยิ่ง
    - การป้องกันความเสี่ยงต้องการ กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อลดจุดอ่อนที่เกิดจากความเชื่อมโยงระหว่าง IT และ OT

    https://www.csoonline.com/article/3951163/too-little-budget-for-ot-security.html
    รายงานล่าสุดชี้ว่าแม้ความปลอดภัยของ Operational Technology (OT) จะกลายเป็นประเด็นสำคัญในอุตสาหกรรมทั่วโลก แต่ยังคงได้รับงบประมาณที่จำกัด โดยมีเพียง 27% ของบริษัทที่ให้อำนาจในการควบคุมงบประมาณด้านนี้แก่ CISO หรือ CSO ทำให้ความต้องการด้านความปลอดภัยที่สำคัญบางอย่างถูกมองข้าม ✅ งบประมาณความปลอดภัยของ OT ไม่ได้รับการจัดสรรอย่างเพียงพอ - เกือบครึ่งหนึ่งขององค์กรที่ถูกสำรวจ ใช้งบประมาณด้านความปลอดภัยเพียง 25% สำหรับการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ - แม้ว่า 27% ของบริษัทได้รายงานการโจมตีระบบควบคุมภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา ✅ ภัยคุกคามส่วนใหญ่มาจากช่องโหว่ที่เกิดจาก IT - 58% ของการโจมตี OT เริ่มต้นจากช่องโหว่ในระบบ IT ที่เชื่อมต่อกัน - แหล่งโจมตีอื่น ๆ รวมถึงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (33%) และการเจาะระบบสถานีงานวิศวกรรม (30%) ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: พัฒนาการฝึกอบรมเฉพาะทางสำหรับ ICS/OT - การลงทุนใน การฝึกอบรมสำหรับผู้ตรวจสอบระบบควบคุม (ICS controllers) สามารถช่วยเสริมสร้างความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเครือข่ายของระบบควบคุม - ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการไม่ปรับตัวต่อภัยคุกคามในระบบ ICS จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ✅ กลยุทธ์ความปลอดภัยที่ผสาน IT และ OT อย่างเต็มรูปแบบจำเป็นอย่างยิ่ง - การป้องกันความเสี่ยงต้องการ กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อลดจุดอ่อนที่เกิดจากความเชื่อมโยงระหว่าง IT และ OT https://www.csoonline.com/article/3951163/too-little-budget-for-ot-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Too little budget for OT security despite rising threats
    According to a recent study, many organizations still invest too little in protecting their operational technology (OT).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากรายงานของ GitGuardian พบว่าการใช้ AI เช่น Copilot ในการช่วยเขียนโค้ดในโปรเจ็กต์นั้น แม้ว่าจะเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน แต่กลับมีแนวโน้มที่ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากขึ้น อัตราการรั่วไหลของข้อมูลลับ (API Keys, Passwords, และ Tokens) ใน repository ที่ใช้งาน Copilot สูงกว่าปกติถึง 40%

    ความเสี่ยงในการรั่วไหลของ Secrets เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    - GitGuardian พบว่าใน repository ที่ใช้งาน Copilot 6.4% มีความเสี่ยงด้าน API Keys หรือข้อมูลลับ เมื่อเทียบกับ 4.6% ในโปรเจ็กต์ทั่วไป
    - การใช้ Copilot อาจดึงดูดนักพัฒนาให้เลือก ความรวดเร็ว มากกว่าการทำให้โค้ดปลอดภัย

    ปัญหาจาก LLM และโมเดลการเรียนรู้ AI
    - David Benas จาก Black Duck กล่าวว่าโมเดล AI เช่น LLM มัก มีข้อบกพร่องที่สะท้อนจากฐานข้อมูลที่ใช้ในการฝึก
    - ข้อผิดพลาด เช่น การเขียนโค้ดที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยหรือการใส่ข้อมูลลับในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย

    การจัดการและการฝึกอบรมเพื่อป้องกันความเสี่ยง
    - ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าการฝึกอบรมให้กับนักพัฒนา เช่น การใช้ Secrets Manager และการ Inject Credentials อย่างปลอดภัย จะช่วยลดความเสี่ยงได้
    - Chris Wood เสนอให้องค์กร สร้างมาตรการความปลอดภัยเชิงรุก เช่น การใช้เครื่องมือตรวจจับ Secrets และการทำ Code Review อย่างละเอียด

    ผลกระทบของการจัดการที่ล่าช้า
    - พบว่า 70% ของ Secrets ที่หลุดรั่วจะยังคงใช้งานได้ถึง 2 ปีหลังการรั่วไหล
    - ปัญหานี้เกิดจากความยากลำบากในการแก้ไขและหมุนเวียน Credentials

    https://www.csoonline.com/article/3953927/ai-programming-copilots-are-worsening-code-security-and-leaking-more-secrets.html
    จากรายงานของ GitGuardian พบว่าการใช้ AI เช่น Copilot ในการช่วยเขียนโค้ดในโปรเจ็กต์นั้น แม้ว่าจะเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน แต่กลับมีแนวโน้มที่ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากขึ้น อัตราการรั่วไหลของข้อมูลลับ (API Keys, Passwords, และ Tokens) ใน repository ที่ใช้งาน Copilot สูงกว่าปกติถึง 40% ✅ ความเสี่ยงในการรั่วไหลของ Secrets เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง - GitGuardian พบว่าใน repository ที่ใช้งาน Copilot 6.4% มีความเสี่ยงด้าน API Keys หรือข้อมูลลับ เมื่อเทียบกับ 4.6% ในโปรเจ็กต์ทั่วไป - การใช้ Copilot อาจดึงดูดนักพัฒนาให้เลือก ความรวดเร็ว มากกว่าการทำให้โค้ดปลอดภัย ✅ ปัญหาจาก LLM และโมเดลการเรียนรู้ AI - David Benas จาก Black Duck กล่าวว่าโมเดล AI เช่น LLM มัก มีข้อบกพร่องที่สะท้อนจากฐานข้อมูลที่ใช้ในการฝึก - ข้อผิดพลาด เช่น การเขียนโค้ดที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยหรือการใส่ข้อมูลลับในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ✅ การจัดการและการฝึกอบรมเพื่อป้องกันความเสี่ยง - ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าการฝึกอบรมให้กับนักพัฒนา เช่น การใช้ Secrets Manager และการ Inject Credentials อย่างปลอดภัย จะช่วยลดความเสี่ยงได้ - Chris Wood เสนอให้องค์กร สร้างมาตรการความปลอดภัยเชิงรุก เช่น การใช้เครื่องมือตรวจจับ Secrets และการทำ Code Review อย่างละเอียด ✅ ผลกระทบของการจัดการที่ล่าช้า - พบว่า 70% ของ Secrets ที่หลุดรั่วจะยังคงใช้งานได้ถึง 2 ปีหลังการรั่วไหล - ปัญหานี้เกิดจากความยากลำบากในการแก้ไขและหมุนเวียน Credentials https://www.csoonline.com/article/3953927/ai-programming-copilots-are-worsening-code-security-and-leaking-more-secrets.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI programming copilots are worsening code security and leaking more secrets
    Copilot-enabled repos are 40% more likely to contain API keys, passwords, or tokens — just one of several issues security leaders must address as AI-generated code proliferates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • 6 เมษายน วันระลึกถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ ที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี
    กาแฟ ชา ไข่ลวก ไฮ้ หมวย https://goo.gl/maps/rf3UG3QF3pHTPSAz8
    ร้าน เจ กาแฟโบราณ https://goo.gl/maps/H7rqh7TzoHMXZHeh9
    สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    6 เมษายน วันระลึกถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ ที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี กาแฟ ชา ไข่ลวก ไฮ้ หมวย https://goo.gl/maps/rf3UG3QF3pHTPSAz8 ร้าน เจ กาแฟโบราณ https://goo.gl/maps/H7rqh7TzoHMXZHeh9 สั่งออนไลน์ ลิงค์อยู่ในช่องแสดงความคิดเห็น
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • Donald Trump สร้างความเปลี่ยนแปลงในหน่วยข่าวกรองไซเบอร์ของสหรัฐฯ ด้วยการปลด Gen. Timothy Haugh และรองผู้บริหาร Wendy Noble ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงที่ชี้ว่าการตัดสินใจนี้ อาจลดทอนความปลอดภัยไซเบอร์ในช่วงที่ภัยคุกคามไซเบอร์จากต่างชาติรุนแรงขึ้น Loomer ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์นี้กล่าวว่าผู้นำที่ถูกปลดนั้น “disloyal” แต่เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจยังไม่มีการชี้แจงอย่างชัดเจน

    การปลดโดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลชัดเจน
    - Gen. Haugh ถูกปลดขณะที่กำลังเดินทาง และไม่ได้รับข้อมูลชัดเจนถึงสาเหตุ “Your services are no longer required” เป็นคำพูดที่ถูกใช้แทนคำอธิบาย

    ความเห็นจากนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญที่วิพากษ์วิจารณ์การปลดนี้
    - Sen. Mark Warner กล่าวว่าการปลดนี้เกิดขึ้น ในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญภัยคุกคามไซเบอร์ครั้งใหญ่ เช่น Salt Typhoon Cyberattack จากจีน
    - Jim Himes สมาชิกคณะกรรมการข่าวกรองกล่าวว่า การปลดผู้นำที่มีความซื่อสัตย์และมุ่งเน้นความมั่นคงอาจทำให้ความปลอดภัยลดลง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อปฏิบัติการไซเบอร์
    - Haugh มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในวงการข่าวกรองและการทหาร รวมถึงการนำทีมในโครงการ Russia Small Group เพื่อป้องกันการแทรกแซงการเลือกตั้ง
    - Lt. Gen. William J. Hartman จะรับหน้าที่ผู้อำนวยการ NSA ชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านเกิดความท้าทาย

    เหตุผลเชิงการเมืองที่อาจอยู่เบื้องหลังการปลดนี้
    - Loomer กล่าวบน X (Twitter เดิม) ว่าผู้นำที่ถูกปลดนั้น “disloyal” และเกี่ยวข้องกับการแนะนำโดยบุคคลที่ทรัมป์กล่าวหาว่า ทรยศต่อประเทศ

    https://www.csoonline.com/article/3954632/trump-fires-nsa-and-cybercom-chief-jeopardizing-cyber-intel.html
    Donald Trump สร้างความเปลี่ยนแปลงในหน่วยข่าวกรองไซเบอร์ของสหรัฐฯ ด้วยการปลด Gen. Timothy Haugh และรองผู้บริหาร Wendy Noble ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงที่ชี้ว่าการตัดสินใจนี้ อาจลดทอนความปลอดภัยไซเบอร์ในช่วงที่ภัยคุกคามไซเบอร์จากต่างชาติรุนแรงขึ้น Loomer ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์นี้กล่าวว่าผู้นำที่ถูกปลดนั้น “disloyal” แต่เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจยังไม่มีการชี้แจงอย่างชัดเจน ✅ การปลดโดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลชัดเจน - Gen. Haugh ถูกปลดขณะที่กำลังเดินทาง และไม่ได้รับข้อมูลชัดเจนถึงสาเหตุ “Your services are no longer required” เป็นคำพูดที่ถูกใช้แทนคำอธิบาย ✅ ความเห็นจากนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญที่วิพากษ์วิจารณ์การปลดนี้ - Sen. Mark Warner กล่าวว่าการปลดนี้เกิดขึ้น ในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญภัยคุกคามไซเบอร์ครั้งใหญ่ เช่น Salt Typhoon Cyberattack จากจีน - Jim Himes สมาชิกคณะกรรมการข่าวกรองกล่าวว่า การปลดผู้นำที่มีความซื่อสัตย์และมุ่งเน้นความมั่นคงอาจทำให้ความปลอดภัยลดลง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อปฏิบัติการไซเบอร์ - Haugh มีประสบการณ์กว่า 30 ปีในวงการข่าวกรองและการทหาร รวมถึงการนำทีมในโครงการ Russia Small Group เพื่อป้องกันการแทรกแซงการเลือกตั้ง - Lt. Gen. William J. Hartman จะรับหน้าที่ผู้อำนวยการ NSA ชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านเกิดความท้าทาย ✅ เหตุผลเชิงการเมืองที่อาจอยู่เบื้องหลังการปลดนี้ - Loomer กล่าวบน X (Twitter เดิม) ว่าผู้นำที่ถูกปลดนั้น “disloyal” และเกี่ยวข้องกับการแนะนำโดยบุคคลที่ทรัมป์กล่าวหาว่า ทรยศต่อประเทศ https://www.csoonline.com/article/3954632/trump-fires-nsa-and-cybercom-chief-jeopardizing-cyber-intel.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Trump fires NSA and Cybercom chief, jeopardizing cyber intel
    Lawmakers fear the firing of Gen. Timothy Haugh will lead to a loss of critical intelligence at a time when cyber threats continue to escalate.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล B-2 “Spirit” จำนวน 6 ลำ จากฐานทัพ Diego Garcia ในมหาสมุทรอินเดีย ถูกใช้ในการโจมตีกลุ่มฮูตี (Houthi) ในเยเมน
    มีรายงานว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล B-2 “Spirit” จำนวน 6 ลำ จากฐานทัพ Diego Garcia ในมหาสมุทรอินเดีย ถูกใช้ในการโจมตีกลุ่มฮูตี (Houthi) ในเยเมน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apache Parquet ซึ่งเป็นรูปแบบไฟล์ที่ใช้ในระบบ Big Data ถูกพบว่ามีช่องโหว่ที่อาจเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อระบบที่ใช้ไลบรารี Java ของ Parquet เช่น Hadoop และ Spark แม้ Apache จะออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า องค์กรควรรีบอัปเดตไลบรารีและหลีกเลี่ยงการ import ไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

    ช่องโหว่ส่งผลกระทบต่อระบบ Big Data ที่ใช้ Parquet
    - ระบบที่ใช้ Hadoop, Spark และ Flink ซึ่งพึ่งพาไลบรารี Java ของ Parquet อาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี
    - ผู้โจมตีสามารถ ควบคุมระบบ, ขโมยข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือทำให้บริการหยุดชะงัก

    การแก้ไขปัญหา—Apache ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 1.15.1
    - Apache ได้ แก้ไขช่องโหว่ในวันที่ 16 มีนาคม 2025 โดยแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตไลบรารี Java ของ Parquet เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    - Endor Labs เตือนว่า แม้ยังไม่มีการโจมตีที่รายงาน แต่ช่องโหว่นี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว

    ความเสี่ยงที่ต้องการการโต้ตอบจากผู้ใช้
    - การโจมตีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้ใช้ import ไฟล์ Parquet ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ปลอดภัย
    - อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ใน Apache Tomcat เมื่อเดือนก่อนถูกโจมตีภายใน 30 ชั่วโมงหลังการเปิดเผย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว

    คำแนะนำสำหรับองค์กรที่ใช้ Parquet
    - ตรวจสอบและอัปเดตไลบรารี Java ให้เป็นเวอร์ชัน 1.15.1
    - หลีกเลี่ยงการ import ไฟล์ Parquet จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
    - ใช้ เครื่องมือวิเคราะห์ความปลอดภัย เพื่อตรวจจับไฟล์ที่อาจมีความเสี่ยง

    https://www.csoonline.com/article/3954647/big-hole-in-big-data-critical-deserialization-bug-in-apache-parquet-allows-rce.html
    Apache Parquet ซึ่งเป็นรูปแบบไฟล์ที่ใช้ในระบบ Big Data ถูกพบว่ามีช่องโหว่ที่อาจเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อระบบที่ใช้ไลบรารี Java ของ Parquet เช่น Hadoop และ Spark แม้ Apache จะออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า องค์กรควรรีบอัปเดตไลบรารีและหลีกเลี่ยงการ import ไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ✅ ช่องโหว่ส่งผลกระทบต่อระบบ Big Data ที่ใช้ Parquet - ระบบที่ใช้ Hadoop, Spark และ Flink ซึ่งพึ่งพาไลบรารี Java ของ Parquet อาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี - ผู้โจมตีสามารถ ควบคุมระบบ, ขโมยข้อมูล, ติดตั้งมัลแวร์ หรือทำให้บริการหยุดชะงัก ✅ การแก้ไขปัญหา—Apache ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 1.15.1 - Apache ได้ แก้ไขช่องโหว่ในวันที่ 16 มีนาคม 2025 โดยแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตไลบรารี Java ของ Parquet เป็นเวอร์ชันล่าสุด - Endor Labs เตือนว่า แม้ยังไม่มีการโจมตีที่รายงาน แต่ช่องโหว่นี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว ✅ ความเสี่ยงที่ต้องการการโต้ตอบจากผู้ใช้ - การโจมตีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้ใช้ import ไฟล์ Parquet ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ปลอดภัย - อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ใน Apache Tomcat เมื่อเดือนก่อนถูกโจมตีภายใน 30 ชั่วโมงหลังการเปิดเผย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว ✅ คำแนะนำสำหรับองค์กรที่ใช้ Parquet - ตรวจสอบและอัปเดตไลบรารี Java ให้เป็นเวอร์ชัน 1.15.1 - หลีกเลี่ยงการ import ไฟล์ Parquet จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ - ใช้ เครื่องมือวิเคราะห์ความปลอดภัย เพื่อตรวจจับไฟล์ที่อาจมีความเสี่ยง https://www.csoonline.com/article/3954647/big-hole-in-big-data-critical-deserialization-bug-in-apache-parquet-allows-rce.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Big hole in big data: Critical deserialization bug in Apache Parquet allows RCE
    Successful exploitation could allow attackers to steal data, install malware, or take full control over affected big data systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • หน่วยข่าวกรองระดับโลกที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ออกคำเตือนถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Fast Flux DNS ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถซ่อนตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นอันตราย โดยเทคนิคนี้กำลังกลายเป็นช่องโหว่ในเครือข่ายขนาดใหญ่ และถูกระบุว่าเป็น ภัยคุกคามระดับความมั่นคงของชาติ

    Fast Flux DNS—เทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้ปกปิดตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์
    - Fast Flux ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ Command and Control (C2) เปลี่ยน DNS records อย่างรวดเร็ว
    - เทคนิคนี้ทำให้การติดตามตำแหน่งแหล่งมัลแวร์ทำได้ยาก และกลายเป็น ช่องว่างสำคัญในระบบเครือข่าย

    ความยากในการแยกแยะระหว่างการใช้งานจริงและภัยคุกคาม
    - พฤติกรรมบางอย่างใน Content Delivery Network (CDN) อาจมีลักษณะคล้าย Fast Flux
    - แนวทางป้องกันจำเป็นต้องใช้ Protective DNS services (PDNS) และการทำ Whitelist สำหรับบริการ CDN

    แนะนำมาตรการป้องกัน Fast Flux DNS
    - ใช้บริการ PDNS และระบบไซเบอร์ที่สามารถตรวจจับและบล็อกพฤติกรรม Fast Flux
    - วิเคราะห์ลักษณะ DNS query logs เพื่อค้นหาโดเมนที่มีความหลากหลายของ IP address หรือมี TTL (Time to Live) ต่ำผิดปกติ
    - ตรวจสอบ DNS resolution เพื่อค้นหาความไม่สอดคล้องในตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

    การฝึกอบรมเพื่อป้องกันภัยฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Fast Flux
    - เนื่องจากการโจมตี Fast Flux มักเชื่อมโยงกับฟิชชิ่ง การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง และตรวจสอบอีเมลหรือลิงก์ที่น่าสงสัย เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน

    ความจำเป็นที่ต้องพัฒนาความร่วมมือระดับนานาชาติ
    - ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ผู้ผลิตอุปกรณ์ไซเบอร์ และองค์กรต่าง ๆ ควรร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้

    https://www.csoonline.com/article/3954873/cyber-agencies-urge-organizations-to-collaborate-to-stop-fast-flux-dns-attacks.html
    หน่วยข่าวกรองระดับโลกที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ออกคำเตือนถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Fast Flux DNS ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถซ่อนตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นอันตราย โดยเทคนิคนี้กำลังกลายเป็นช่องโหว่ในเครือข่ายขนาดใหญ่ และถูกระบุว่าเป็น ภัยคุกคามระดับความมั่นคงของชาติ ✅ Fast Flux DNS—เทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้ปกปิดตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ - Fast Flux ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ Command and Control (C2) เปลี่ยน DNS records อย่างรวดเร็ว - เทคนิคนี้ทำให้การติดตามตำแหน่งแหล่งมัลแวร์ทำได้ยาก และกลายเป็น ช่องว่างสำคัญในระบบเครือข่าย ✅ ความยากในการแยกแยะระหว่างการใช้งานจริงและภัยคุกคาม - พฤติกรรมบางอย่างใน Content Delivery Network (CDN) อาจมีลักษณะคล้าย Fast Flux - แนวทางป้องกันจำเป็นต้องใช้ Protective DNS services (PDNS) และการทำ Whitelist สำหรับบริการ CDN ✅ แนะนำมาตรการป้องกัน Fast Flux DNS - ใช้บริการ PDNS และระบบไซเบอร์ที่สามารถตรวจจับและบล็อกพฤติกรรม Fast Flux - วิเคราะห์ลักษณะ DNS query logs เพื่อค้นหาโดเมนที่มีความหลากหลายของ IP address หรือมี TTL (Time to Live) ต่ำผิดปกติ - ตรวจสอบ DNS resolution เพื่อค้นหาความไม่สอดคล้องในตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ✅ การฝึกอบรมเพื่อป้องกันภัยฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Fast Flux - เนื่องจากการโจมตี Fast Flux มักเชื่อมโยงกับฟิชชิ่ง การฝึกอบรมพนักงานให้รู้เท่าทันฟิชชิ่ง และตรวจสอบอีเมลหรือลิงก์ที่น่าสงสัย เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน ✅ ความจำเป็นที่ต้องพัฒนาความร่วมมือระดับนานาชาติ - ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ผู้ผลิตอุปกรณ์ไซเบอร์ และองค์กรต่าง ๆ ควรร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ https://www.csoonline.com/article/3954873/cyber-agencies-urge-organizations-to-collaborate-to-stop-fast-flux-dns-attacks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Cyber agencies urge organizations to collaborate to stop fast flux DNS attacks
    They call the tactic a 'national security threat' and a 'defensive gap in many networks.'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 460 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.115 : ต้องรอด! คู่มือเผชิญ “แผ่นดินไหวจากญี่ปุ่น”

    https://www.youtube.com/watch?v=a8xwHrgLaao
    บูรพาไม่แพ้ Ep.115 : ต้องรอด! คู่มือเผชิญ “แผ่นดินไหวจากญี่ปุ่น” https://www.youtube.com/watch?v=a8xwHrgLaao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Rapidus ผู้ผลิตชิประดับแนวหน้าของญี่ปุ่น กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Apple, Google และอีกหลายบริษัท เพื่อสร้างความร่วมมือในการ ผลิตชิปรุ่นใหม่ที่ทันสมัยภายในปี 2027 โดยมีการเริ่มต้นสายการผลิตต้นแบบในโรงงานที่จังหวัดฮอกไกโดซึ่งจะเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบในเดือนนี้

    แผนการพัฒนาโรงงานในประเทศญี่ปุ่น
    - Rapidus ได้เริ่ม สายการผลิตชิปต้นแบบ แล้วในโรงงานที่ฮอกไกโด และวางแผนพัฒนาเป็นโรงงานผลิตที่สมบูรณ์ในอีก 2 ปีข้างหน้า
    - การเจรจาครั้งนี้เน้นไปที่ การสร้างชิปรุ่นล้ำสมัยเพื่อรองรับความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ

    Rapidus กับบทบาทในตลาดโลก
    - โครงการนี้เป็นความพยายามของญี่ปุ่นที่จะสร้างตัวเองให้เป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมชิปที่สำคัญระดับโลก
    - การเข้าร่วมของบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Apple และ Google จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด

    แนวโน้มและความต้องการในอุตสาหกรรมชิป
    - ความต้องการชิประดับสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวของ AI, IoT, และเทคโนโลยี 5G
    - การตั้งโรงงานในญี่ปุ่นอาจช่วยลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากจีนและไต้หวัน

    ความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ
    - Rapidus ตั้งเป้าที่จะเป็น พาร์ตเนอร์หลักของ Apple, Google, Amazon, Microsoft และ Facebook
    - การร่วมมือระดับนี้ช่วยส่งเสริมความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานชิป และตอบโจทย์การพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่หยุดยั้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/04/japan039s-rapidus-in-talks-with-apple-google-to-mass-produce-chips-nikkei-reports
    บริษัท Rapidus ผู้ผลิตชิประดับแนวหน้าของญี่ปุ่น กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Apple, Google และอีกหลายบริษัท เพื่อสร้างความร่วมมือในการ ผลิตชิปรุ่นใหม่ที่ทันสมัยภายในปี 2027 โดยมีการเริ่มต้นสายการผลิตต้นแบบในโรงงานที่จังหวัดฮอกไกโดซึ่งจะเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบในเดือนนี้ ✅ แผนการพัฒนาโรงงานในประเทศญี่ปุ่น - Rapidus ได้เริ่ม สายการผลิตชิปต้นแบบ แล้วในโรงงานที่ฮอกไกโด และวางแผนพัฒนาเป็นโรงงานผลิตที่สมบูรณ์ในอีก 2 ปีข้างหน้า - การเจรจาครั้งนี้เน้นไปที่ การสร้างชิปรุ่นล้ำสมัยเพื่อรองรับความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ ✅ Rapidus กับบทบาทในตลาดโลก - โครงการนี้เป็นความพยายามของญี่ปุ่นที่จะสร้างตัวเองให้เป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมชิปที่สำคัญระดับโลก - การเข้าร่วมของบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Apple และ Google จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด ✅ แนวโน้มและความต้องการในอุตสาหกรรมชิป - ความต้องการชิประดับสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวของ AI, IoT, และเทคโนโลยี 5G - การตั้งโรงงานในญี่ปุ่นอาจช่วยลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากจีนและไต้หวัน ✅ ความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ - Rapidus ตั้งเป้าที่จะเป็น พาร์ตเนอร์หลักของ Apple, Google, Amazon, Microsoft และ Facebook - การร่วมมือระดับนี้ช่วยส่งเสริมความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานชิป และตอบโจทย์การพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่หยุดยั้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/04/japan039s-rapidus-in-talks-with-apple-google-to-mass-produce-chips-nikkei-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan's Rapidus in talks with Apple, Google to mass-produce chips, Nikkei reports
    (Reuters) - Japanese chipmaker Rapidus is negotiating with Apple, Google and dozens of other potential clients to mass-produce advanced chips by 2027, the Nikkei business daily reported on Friday, citing the company's CEO Atsuyoshi Koike.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • Reset 2 ปี สงครามโลกครั้งที่ 3 - ทวีสุข ธรรมศักดิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=AMzENynurF8
    Reset 2 ปี สงครามโลกครั้งที่ 3 - ทวีสุข ธรรมศักดิ์ https://www.youtube.com/watch?v=AMzENynurF8
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple Intelligence ได้ขยายตัวครั้งใหญ่ด้วยการเพิ่มการรองรับ 10 ภาษาหลัก ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น เกาหลี จีน รวมถึง ภาษาอังกฤษที่ปรับแต่งสำหรับสิงคโปร์และอินเดีย ฟีเจอร์เหล่านี้เริ่มใช้งานบน iOS 18.4 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานยังคงต้องรอการเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ที่ใช้พลัง AI ซึ่งล่าช้าและคาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในปีหน้า

    เพิ่มความสะดวกด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    - ฟีเจอร์ AI ที่ใช้งานได้ส่วนใหญ่ ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง เช่น iPhone และ iPad เพื่อลดความจำเป็นในการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์
    - หากต้องการพลังการประมวลผลเพิ่มเติม ระบบสามารถเชื่อมต่อกับ Cloud ของ Apple ผ่านการเข้ารหัสที่ปลอดภัย

    ฟีเจอร์หลากหลาย—จากการสรุปข้อความถึงการสร้างอีโมจิแบบเฉพาะตัว
    - Apple Intelligence สามารถ สรุปอีเมลและข้อความ, สร้างอีโมจิแบบปรับแต่ง, รวมถึงค้นหาข้อมูลตามต้องการ
    - นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังมีตัวเลือกให้ OpenAI ChatGPT ตอบคำถามออนไลน์แทน

    การเริ่มต้นในยุโรปภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด
    - Apple ได้ปรับ AI เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) และ General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป
    - แม้การปรับตัวจะใช้เวลานาน แต่ Apple ยืนยันว่า ฟีเจอร์ใหม่ในยุโรปจะเน้นความปลอดภัยสูงสุด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/apple039s-ai-suite-expanded-to-new-languages-but-new-siri-still-missing
    Apple Intelligence ได้ขยายตัวครั้งใหญ่ด้วยการเพิ่มการรองรับ 10 ภาษาหลัก ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น เกาหลี จีน รวมถึง ภาษาอังกฤษที่ปรับแต่งสำหรับสิงคโปร์และอินเดีย ฟีเจอร์เหล่านี้เริ่มใช้งานบน iOS 18.4 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานยังคงต้องรอการเปิดตัว Siri รุ่นใหม่ที่ใช้พลัง AI ซึ่งล่าช้าและคาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในปีหน้า ✅ เพิ่มความสะดวกด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว - ฟีเจอร์ AI ที่ใช้งานได้ส่วนใหญ่ ทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง เช่น iPhone และ iPad เพื่อลดความจำเป็นในการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ - หากต้องการพลังการประมวลผลเพิ่มเติม ระบบสามารถเชื่อมต่อกับ Cloud ของ Apple ผ่านการเข้ารหัสที่ปลอดภัย ✅ ฟีเจอร์หลากหลาย—จากการสรุปข้อความถึงการสร้างอีโมจิแบบเฉพาะตัว - Apple Intelligence สามารถ สรุปอีเมลและข้อความ, สร้างอีโมจิแบบปรับแต่ง, รวมถึงค้นหาข้อมูลตามต้องการ - นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังมีตัวเลือกให้ OpenAI ChatGPT ตอบคำถามออนไลน์แทน ✅ การเริ่มต้นในยุโรปภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวด - Apple ได้ปรับ AI เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) และ General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป - แม้การปรับตัวจะใช้เวลานาน แต่ Apple ยืนยันว่า ฟีเจอร์ใหม่ในยุโรปจะเน้นความปลอดภัยสูงสุด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/apple039s-ai-suite-expanded-to-new-languages-but-new-siri-still-missing
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple's AI suite expanded to new languages but new Siri still missing
    The iPhone manufacturer is taking longer than planned to roll out its improved Siri assistant software.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในการเปรียบเทียบความปลอดภัยของแอปส่งข้อความ Signal ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด ด้วยระบบเข้ารหัสแบบ E2EE และไม่มีการเก็บ metadata ในขณะที่ iMessage มีความปลอดภัยดีเยี่ยมสำหรับผู้ใช้ iPhone แต่มีข้อจำกัดเมื่อสื่อสารกับอุปกรณ์ Android สำหรับ WhatsApp แม้มีระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัย แต่มีการเก็บข้อมูล metadata ซึ่งทำให้บางคนกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ส่วน Telegram และ Messenger ยังมีข้อจำกัดในระบบ E2EE ที่ต้องปรับปรุง

    Signal—ความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - Signal ใช้ Signal Protocol ที่เปิดให้ตรวจสอบได้แบบ open source ซึ่งช่วยลดช่องโหว่ที่อาจซ่อนอยู่
    - ไม่ต้องเชื่อมโยงเบอร์โทรศัพท์ และไม่มีการเก็บ metadata ทำให้ Signal ถือเป็น แอปส่งข้อความที่ปลอดภัยที่สุด

    iMessage—ตัวเลือกดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ iPhone
    - iMessage ใช้ การเข้ารหัสแบบ 1:1 สำหรับทุกข้อความในกลุ่ม ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าระบบ Sender Key ของ Signal
    - ข้อเสียคือการส่งข้อความไปยังอุปกรณ์ Android จะตกไปเป็น RCS หรือ SMS ซึ่งไม่เข้ารหัส

    WhatsApp—ระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัย แต่มีการเก็บ metadata
    - WhatsApp ใช้ Signal Protocol ในการเข้ารหัสข้อความเช่นกัน แต่มีการเก็บข้อมูล metadata และเชื่อมโยงเบอร์โทรศัพท์
    - WhatsApp มีข้อดีคือ ฟีเจอร์การส่งข้อความแบบกลุ่มที่ดีที่สุด แต่ข้อเสียคือความน่าเชื่อถือของ Meta ซึ่งเป็นเจ้าของแอป

    Telegram และ Messenger—ตัวเลือกที่ยังมีข้อจำกัดเรื่อง E2EE
    - Telegram ไม่มีการเข้ารหัสแบบ E2EE เป็นค่าเริ่มต้น แต่มี Secret Chat สำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย
    - Messenger เริ่มเพิ่ม E2EE แต่ยังไม่พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/signal-whatsapp-and-imessage-which-messaging-app-is-most-secure
    ในการเปรียบเทียบความปลอดภัยของแอปส่งข้อความ Signal ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด ด้วยระบบเข้ารหัสแบบ E2EE และไม่มีการเก็บ metadata ในขณะที่ iMessage มีความปลอดภัยดีเยี่ยมสำหรับผู้ใช้ iPhone แต่มีข้อจำกัดเมื่อสื่อสารกับอุปกรณ์ Android สำหรับ WhatsApp แม้มีระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัย แต่มีการเก็บข้อมูล metadata ซึ่งทำให้บางคนกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ส่วน Telegram และ Messenger ยังมีข้อจำกัดในระบบ E2EE ที่ต้องปรับปรุง ✅ Signal—ความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - Signal ใช้ Signal Protocol ที่เปิดให้ตรวจสอบได้แบบ open source ซึ่งช่วยลดช่องโหว่ที่อาจซ่อนอยู่ - ไม่ต้องเชื่อมโยงเบอร์โทรศัพท์ และไม่มีการเก็บ metadata ทำให้ Signal ถือเป็น แอปส่งข้อความที่ปลอดภัยที่สุด ✅ iMessage—ตัวเลือกดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ iPhone - iMessage ใช้ การเข้ารหัสแบบ 1:1 สำหรับทุกข้อความในกลุ่ม ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าระบบ Sender Key ของ Signal - ข้อเสียคือการส่งข้อความไปยังอุปกรณ์ Android จะตกไปเป็น RCS หรือ SMS ซึ่งไม่เข้ารหัส ✅ WhatsApp—ระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัย แต่มีการเก็บ metadata - WhatsApp ใช้ Signal Protocol ในการเข้ารหัสข้อความเช่นกัน แต่มีการเก็บข้อมูล metadata และเชื่อมโยงเบอร์โทรศัพท์ - WhatsApp มีข้อดีคือ ฟีเจอร์การส่งข้อความแบบกลุ่มที่ดีที่สุด แต่ข้อเสียคือความน่าเชื่อถือของ Meta ซึ่งเป็นเจ้าของแอป ✅ Telegram และ Messenger—ตัวเลือกที่ยังมีข้อจำกัดเรื่อง E2EE - Telegram ไม่มีการเข้ารหัสแบบ E2EE เป็นค่าเริ่มต้น แต่มี Secret Chat สำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย - Messenger เริ่มเพิ่ม E2EE แต่ยังไม่พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/05/signal-whatsapp-and-imessage-which-messaging-app-is-most-secure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Signal, WhatsApp, and iMessage: Which messaging app is most secure?
    You probably don't think about how your messages are protected, but you should.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon กำลังทดลองฟีเจอร์ Buy for Me ที่ใช้เทคโนโลยี Agentic AI ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ร้านค้าอื่นได้โดยตรงผ่านแอป Amazon แม้ร้านค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้อยู่ใน Amazon

    ช้อปสะดวกไม่ต้องไปที่เว็บไซต์ร้านค้า
    - เมื่อผู้ใช้ค้นหาสินค้าในแอป Amazon หากสินค้าไม่อยู่ใน Amazon ผู้ใช้จะสามารถเลือก Buy for Me เพื่อให้ Amazon ซื้อสินค้านั้นจากเว็บไซต์ของร้านค้า
    - กระบวนการชำระเงินจะถูกจัดการในลักษณะเดียวกับการซื้อสินค้าจาก Amazon โดยไม่ต้องเข้าหน้าชำระเงินของร้านค้าอื่น

    การติดตามและการสนับสนุนหลังการซื้อ
    - ผู้ใช้จะได้รับ อีเมลยืนยันการซื้อจากร้านค้า และสามารถติดตามสถานะสินค้าผ่านแอป Amazon
    - อย่างไรก็ตาม การจัดส่ง การคืนสินค้า และการบริการลูกค้า จะถูกจัดการโดยร้านค้า ไม่ใช่โดย Amazon

    รองรับทั้งสมาชิก Prime และผู้ใช้ทั่วไป
    - ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทั้งสมาชิก Prime และผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อจำกัดของฟีเจอร์นี้
    - ผู้ใช้ ไม่สามารถใช้โค้ดส่วนลดของร้านค้า ในกระบวนการซื้อผ่าน Buy for Me
    - หากมีส่วนลดที่น่าสนใจ อาจจะดีกว่าการซื้อโดยตรงจากเว็บไซต์ของร้านค้า

    เทคโนโลยี AI ที่สนับสนุนฟีเจอร์นี้
    - ระบบทำงานบน Bedrock โดยใช้โมเดล AI ได้แก่ Amazon Nova และ Claude จาก Anthropic

    https://www.techspot.com/news/107422-amazon-can-now-shop-other-websites-behalf.html
    Amazon กำลังทดลองฟีเจอร์ Buy for Me ที่ใช้เทคโนโลยี Agentic AI ช่วยให้ผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ร้านค้าอื่นได้โดยตรงผ่านแอป Amazon แม้ร้านค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้อยู่ใน Amazon ✅ ช้อปสะดวกไม่ต้องไปที่เว็บไซต์ร้านค้า - เมื่อผู้ใช้ค้นหาสินค้าในแอป Amazon หากสินค้าไม่อยู่ใน Amazon ผู้ใช้จะสามารถเลือก Buy for Me เพื่อให้ Amazon ซื้อสินค้านั้นจากเว็บไซต์ของร้านค้า - กระบวนการชำระเงินจะถูกจัดการในลักษณะเดียวกับการซื้อสินค้าจาก Amazon โดยไม่ต้องเข้าหน้าชำระเงินของร้านค้าอื่น ✅ การติดตามและการสนับสนุนหลังการซื้อ - ผู้ใช้จะได้รับ อีเมลยืนยันการซื้อจากร้านค้า และสามารถติดตามสถานะสินค้าผ่านแอป Amazon - อย่างไรก็ตาม การจัดส่ง การคืนสินค้า และการบริการลูกค้า จะถูกจัดการโดยร้านค้า ไม่ใช่โดย Amazon ✅ รองรับทั้งสมาชิก Prime และผู้ใช้ทั่วไป - ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทั้งสมาชิก Prime และผู้ใช้ทั่วไป ✅ ข้อจำกัดของฟีเจอร์นี้ - ผู้ใช้ ไม่สามารถใช้โค้ดส่วนลดของร้านค้า ในกระบวนการซื้อผ่าน Buy for Me - หากมีส่วนลดที่น่าสนใจ อาจจะดีกว่าการซื้อโดยตรงจากเว็บไซต์ของร้านค้า ✅ เทคโนโลยี AI ที่สนับสนุนฟีเจอร์นี้ - ระบบทำงานบน Bedrock โดยใช้โมเดล AI ได้แก่ Amazon Nova และ Claude จาก Anthropic https://www.techspot.com/news/107422-amazon-can-now-shop-other-websites-behalf.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon can now shop other websites on your behalf
    Buy for Me, available to select US customers in the Amazon Shopping app on Android and iOS devices, leverages agentic AI to make purchases on users' behalf....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เปิดตัว Windows 365 Link ซึ่งเป็นอุปกรณ์ Thin Client ที่ออกแบบมาเพื่อให้การเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ Windows 365 เป็นไปอย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับองค์กร โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยและความเรียบง่ายเป็นสำคัญ

    อุปกรณ์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการเข้าถึงคลาวด์
    - Windows 365 Link เป็นอุปกรณ์ที่ ไม่มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลภายใน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อให้พนักงานสามารถเข้าถึง Windows 365 Cloud PC จากระยะไกลได้ทันที
    - อุปกรณ์นี้สามารถ เล่นวิดีโอคุณภาพสูงในระหว่างการประชุม โดยประมวลผลบนเครื่องได้โดยตรง

    คุณสมบัติด้านความปลอดภัยสูงสุด
    - มาพร้อมเทคโนโลยี Secure Boot, Trusted Platform Module (TPM), BitLocker, และ Hypervisor Code Integrity ที่เปิดใช้งานแบบถาวรเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    - การจัดการทำได้ผ่าน Microsoft Intune ทำให้การติดตั้งและควบคุมอุปกรณ์ Thin Client เป็นไปอย่างง่ายดาย

    ใช้งานในหลายประเทศ
    - Windows 365 Link พร้อมวางจำหน่ายแล้วใน สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, แคนาดา, เยอรมนี, ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
    - ราคาในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ $350 โดยเน้นการใช้งานสำหรับองค์กร ไม่ใช่ผู้บริโภคทั่วไป

    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการลดความซับซ้อนของระบบ IT
    - Thin Client นี้ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยองค์กรสามารถเลือกใช้อุปกรณ์นี้ควบคู่กับ Windows 365 Cloud PC ได้ทันที
    - นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึง Cloud PC ผ่าน เว็บเบราว์เซอร์ หรือแอป Windows โดยไม่จำเป็นต้องรีบใช้อุปกรณ์ใหม่

    https://www.techspot.com/news/107421-microsoft-350-windows-365-link-cloud-client-now.html
    Microsoft เปิดตัว Windows 365 Link ซึ่งเป็นอุปกรณ์ Thin Client ที่ออกแบบมาเพื่อให้การเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ Windows 365 เป็นไปอย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับองค์กร โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยและความเรียบง่ายเป็นสำคัญ ✅ อุปกรณ์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับการเข้าถึงคลาวด์ - Windows 365 Link เป็นอุปกรณ์ที่ ไม่มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลภายใน แต่ถูกออกแบบมาเพื่อให้พนักงานสามารถเข้าถึง Windows 365 Cloud PC จากระยะไกลได้ทันที - อุปกรณ์นี้สามารถ เล่นวิดีโอคุณภาพสูงในระหว่างการประชุม โดยประมวลผลบนเครื่องได้โดยตรง ✅ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยสูงสุด - มาพร้อมเทคโนโลยี Secure Boot, Trusted Platform Module (TPM), BitLocker, และ Hypervisor Code Integrity ที่เปิดใช้งานแบบถาวรเพื่อเพิ่มความปลอดภัย - การจัดการทำได้ผ่าน Microsoft Intune ทำให้การติดตั้งและควบคุมอุปกรณ์ Thin Client เป็นไปอย่างง่ายดาย ✅ ใช้งานในหลายประเทศ - Windows 365 Link พร้อมวางจำหน่ายแล้วใน สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, แคนาดา, เยอรมนี, ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ - ราคาในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ $350 โดยเน้นการใช้งานสำหรับองค์กร ไม่ใช่ผู้บริโภคทั่วไป ✅ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการลดความซับซ้อนของระบบ IT - Thin Client นี้ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยองค์กรสามารถเลือกใช้อุปกรณ์นี้ควบคู่กับ Windows 365 Cloud PC ได้ทันที - นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึง Cloud PC ผ่าน เว็บเบราว์เซอร์ หรือแอป Windows โดยไม่จำเป็นต้องรีบใช้อุปกรณ์ใหม่ https://www.techspot.com/news/107421-microsoft-350-windows-365-link-cloud-client-now.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft's $350 Windows 365 Link cloud client is now available
    Microsoft announced the Windows 365 Link in November and is now beginning to offer the new device to customers in select markets. Link is the first custom...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • การประกาศนโยบายภาษีใหม่ของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ในช่วงวัน Liberation Day ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมวิดีโอเกมในสหรัฐฯ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลก โดยการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนและเวียดนามได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อ การพัฒนาเกม, การผลิตฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ อย่างไม่เคยมีมาก่อน

    ฮาร์ดแวร์เกมมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
    - อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น เครื่องคอนโซลเกม ถูกผลิตในประเทศที่เป็นเป้าหมายของนโยบายภาษี ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
    - ตัวอย่างเช่น Nintendo Switch 2 ที่จะวางจำหน่ายในสหรัฐฯ มีราคา $450 สูงกว่าราคาในญี่ปุ่นที่อยู่เพียง $343 เนื่องจากผลกระทบภาษี

    การตอบโต้จากประเทศต่าง ๆ เพิ่มความซับซ้อน
    - หลายประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป เตรียมตอบโต้ด้วยการออกภาษีใหม่ต่อสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนของตลาด

    การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นก็ยังเจออุปสรรค
    - แม้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Apple และ Nintendo จะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนามเพื่อเลี่ยงภาษี แต่ทรัมป์ได้เพิ่มภาษีสินค้าจากเวียดนามอีก 46% ทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่มีทางเลือกมากนัก

    การนำการผลิตกลับเข้าสู่สหรัฐฯ ยังต้องใช้เวลา
    - ESA (Entertainment Software Association) กล่าวว่าการย้ายฐานผลิตกลับสหรัฐฯ เป็นไปได้ยากเนื่องจาก ซัพพลายเชนที่มีความซับซ้อน และความต้องการด้านประสิทธิภาพในการผลิต

    https://www.techspot.com/news/107423-trump-tariffs-send-shockwaves-through-video-game-industry.html
    การประกาศนโยบายภาษีใหม่ของอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ในช่วงวัน Liberation Day ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมวิดีโอเกมในสหรัฐฯ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลก โดยการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนและเวียดนามได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อ การพัฒนาเกม, การผลิตฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ อย่างไม่เคยมีมาก่อน ✅ ฮาร์ดแวร์เกมมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น - อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น เครื่องคอนโซลเกม ถูกผลิตในประเทศที่เป็นเป้าหมายของนโยบายภาษี ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก - ตัวอย่างเช่น Nintendo Switch 2 ที่จะวางจำหน่ายในสหรัฐฯ มีราคา $450 สูงกว่าราคาในญี่ปุ่นที่อยู่เพียง $343 เนื่องจากผลกระทบภาษี ✅ การตอบโต้จากประเทศต่าง ๆ เพิ่มความซับซ้อน - หลายประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป เตรียมตอบโต้ด้วยการออกภาษีใหม่ต่อสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนของตลาด ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นก็ยังเจออุปสรรค - แม้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Apple และ Nintendo จะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนามเพื่อเลี่ยงภาษี แต่ทรัมป์ได้เพิ่มภาษีสินค้าจากเวียดนามอีก 46% ทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่มีทางเลือกมากนัก ✅ การนำการผลิตกลับเข้าสู่สหรัฐฯ ยังต้องใช้เวลา - ESA (Entertainment Software Association) กล่าวว่าการย้ายฐานผลิตกลับสหรัฐฯ เป็นไปได้ยากเนื่องจาก ซัพพลายเชนที่มีความซับซ้อน และความต้องการด้านประสิทธิภาพในการผลิต https://www.techspot.com/news/107423-trump-tariffs-send-shockwaves-through-video-game-industry.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump's tariffs send shockwaves through the video game industry
    The video game sector must brace for impact following the announcement of Trump's new tariffs earlier this week. According to Aubrey Quinn, senior vice president of the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ประกาศเลิกใช้งานแอป Unison ที่เคยช่วยเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ PC Windows อย่างไร้รอยต่อ โดยจะหยุดให้บริการส่วนใหญ่ภายในเดือนมิถุนายน 2025 ทั้งนี้ การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดต้นทุนเพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังผลิตภัณฑ์หลัก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่บริษัทใหญ่ต้องปรับตัวตามความท้าทายและการแข่งขันในตลาด ขณะเดียวกัน Microsoft Phone Link ยังคงเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้ดีสำหรับผู้ที่ต้องการฟีเจอร์แบบเดียวกัน

    Unison กับการพยายามสร้างความแตกต่างในตลาด Windows PCs
    - แอป Unison เปิดตัวในปี 2022 โดย Intel ตั้งเป้าสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ใกล้เคียงกับระบบของ Apple ที่มีการเชื่อมต่อ MacOS กับ iOS
    - แอปช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่าง ๆ เช่น การโทร, ส่งข้อความ, รับการแจ้งเตือน และโอนถ่ายไฟล์ ระหว่างสมาร์ทโฟนและ PC ได้อย่างง่ายดาย

    การเลิกสนับสนุนเป็นส่วนหนึ่งของการลดต้นทุน
    - Intel มีแผนตัดสินใจเลิกสนับสนุนโครงการหรือแอปที่ ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก ซึ่งแอป Unison ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Intel มุ่งเน้นทรัพยากรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำคัญ เช่น โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่

    การเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนกับ Windows PCs ยังคงมีทางเลือกอื่น
    - แม้ Unison จะเลิกให้บริการ แต่ Microsoft มีแอป Phone Link ที่ช่วยเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้เช่นกัน
    - Samsung Flow และ Dell Mobile Connect เป็นตัวเลือกที่เคยมีในตลาด แต่ Dell ก็ยุติแอปนี้เช่นเดียวกัน

    https://www.tomshardware.com/software/intel-discontinues-unison-app-for-connecting-pcs-and-smartphones
    Intel ประกาศเลิกใช้งานแอป Unison ที่เคยช่วยเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ PC Windows อย่างไร้รอยต่อ โดยจะหยุดให้บริการส่วนใหญ่ภายในเดือนมิถุนายน 2025 ทั้งนี้ การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดต้นทุนเพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังผลิตภัณฑ์หลัก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่บริษัทใหญ่ต้องปรับตัวตามความท้าทายและการแข่งขันในตลาด ขณะเดียวกัน Microsoft Phone Link ยังคงเป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้ดีสำหรับผู้ที่ต้องการฟีเจอร์แบบเดียวกัน ✅ Unison กับการพยายามสร้างความแตกต่างในตลาด Windows PCs - แอป Unison เปิดตัวในปี 2022 โดย Intel ตั้งเป้าสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ใกล้เคียงกับระบบของ Apple ที่มีการเชื่อมต่อ MacOS กับ iOS - แอปช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่าง ๆ เช่น การโทร, ส่งข้อความ, รับการแจ้งเตือน และโอนถ่ายไฟล์ ระหว่างสมาร์ทโฟนและ PC ได้อย่างง่ายดาย ✅ การเลิกสนับสนุนเป็นส่วนหนึ่งของการลดต้นทุน - Intel มีแผนตัดสินใจเลิกสนับสนุนโครงการหรือแอปที่ ไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลัก ซึ่งแอป Unison ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจช่วยให้ Intel มุ่งเน้นทรัพยากรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำคัญ เช่น โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ ✅ การเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนกับ Windows PCs ยังคงมีทางเลือกอื่น - แม้ Unison จะเลิกให้บริการ แต่ Microsoft มีแอป Phone Link ที่ช่วยเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้เช่นกัน - Samsung Flow และ Dell Mobile Connect เป็นตัวเลือกที่เคยมีในตลาด แต่ Dell ก็ยุติแอปนี้เช่นเดียวกัน https://www.tomshardware.com/software/intel-discontinues-unison-app-for-connecting-pcs-and-smartphones
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • Donald Trump ได้ออกมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์สำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (wafer fabrication equipment - WFE) ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ โดยภาษีใหม่นี้ตั้งไว้ที่ 20%-32% ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของอุปกรณ์ มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Intel, Samsung Foundry และ TSMC ซึ่งต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจมีผลต่อต้นทุนการผลิตชิปในประเทศ

    ต้นทุนอุปกรณ์พุ่งสูงขึ้น
    - อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการผลิตชิป เช่น เครื่องมือจาก ASML ในยุโรป ถูกตั้งภาษีที่ 20% ถึง 32%
    - ราคาของเครื่องมือสำคัญ เช่น Low-NA EUV Lithography จาก ASML จะเพิ่มขึ้นจาก $235 ล้านเป็น $282 ล้านต่อหน่วย

    อุปสรรคในการหาอุปกรณ์ทดแทนในสหรัฐฯ
    - ผู้ผลิตในสหรัฐฯ เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research มีความสามารถในการผลิตอุปกรณ์บางชนิด
    - อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ที่ซับซ้อน เช่น EUV Lithography จาก ASML นั้น ไม่มีผู้ผลิตในสหรัฐฯ ทดแทนได้

    ผลกระทบต่อตลาดชิปในประเทศและระหว่างประเทศ
    - แม้จะมีการปรับขึ้นภาษีชิปที่ผลิตนอกสหรัฐฯ เพื่อปกป้องตลาดในประเทศ แต่การเพิ่มต้นทุนผลิตในสหรัฐฯ อาจลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
    - แผนการลงทุนที่ใช้เงินมหาศาลในโรงงานชิป เช่นของ Intel และ Samsung อาจต้องปรับเปลี่ยนหรือชะลอออกไป

    บทบาทของประเทศที่เป็นแหล่งผลิตอุปกรณ์
    - อุปกรณ์จากญี่ปุ่น (Tokyo Electron), เกาหลีใต้ และไต้หวัน กำลังเผชิญภาษีที่ทำให้อุปกรณ์ของพวกเขา แพงขึ้นถึง 24% ในตลาดสหรัฐฯ

    ทิศทางการผลิตในอนาคต
    - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สหรัฐฯ ลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศ เพื่อแข่งขันในระยะยาว
    - แต่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตใหม่ใช้เวลามากและอาจเกิดการสะดุดในซัพพลายเชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trumps-tariffs-on-chipmaking-tools-could-make-processors-made-in-the-u-s-more-expensive
    Donald Trump ได้ออกมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์สำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (wafer fabrication equipment - WFE) ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ โดยภาษีใหม่นี้ตั้งไว้ที่ 20%-32% ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของอุปกรณ์ มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Intel, Samsung Foundry และ TSMC ซึ่งต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจมีผลต่อต้นทุนการผลิตชิปในประเทศ ✅ ต้นทุนอุปกรณ์พุ่งสูงขึ้น - อุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการผลิตชิป เช่น เครื่องมือจาก ASML ในยุโรป ถูกตั้งภาษีที่ 20% ถึง 32% - ราคาของเครื่องมือสำคัญ เช่น Low-NA EUV Lithography จาก ASML จะเพิ่มขึ้นจาก $235 ล้านเป็น $282 ล้านต่อหน่วย ✅ อุปสรรคในการหาอุปกรณ์ทดแทนในสหรัฐฯ - ผู้ผลิตในสหรัฐฯ เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research มีความสามารถในการผลิตอุปกรณ์บางชนิด - อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ที่ซับซ้อน เช่น EUV Lithography จาก ASML นั้น ไม่มีผู้ผลิตในสหรัฐฯ ทดแทนได้ ✅ ผลกระทบต่อตลาดชิปในประเทศและระหว่างประเทศ - แม้จะมีการปรับขึ้นภาษีชิปที่ผลิตนอกสหรัฐฯ เพื่อปกป้องตลาดในประเทศ แต่การเพิ่มต้นทุนผลิตในสหรัฐฯ อาจลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก - แผนการลงทุนที่ใช้เงินมหาศาลในโรงงานชิป เช่นของ Intel และ Samsung อาจต้องปรับเปลี่ยนหรือชะลอออกไป ✅ บทบาทของประเทศที่เป็นแหล่งผลิตอุปกรณ์ - อุปกรณ์จากญี่ปุ่น (Tokyo Electron), เกาหลีใต้ และไต้หวัน กำลังเผชิญภาษีที่ทำให้อุปกรณ์ของพวกเขา แพงขึ้นถึง 24% ในตลาดสหรัฐฯ ✅ ทิศทางการผลิตในอนาคต - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้สหรัฐฯ ลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศ เพื่อแข่งขันในระยะยาว - แต่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตใหม่ใช้เวลามากและอาจเกิดการสะดุดในซัพพลายเชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/trumps-tariffs-on-chipmaking-tools-could-make-processors-made-in-the-u-s-more-expensive
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 54% จีนได้ตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 34% และประกาศ ห้ามส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ที่สำคัญต่อการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน

    แร่หายากที่ถูกห้ามส่งออก
    - จีนระบุแร่ 7 ชนิดที่ห้ามส่งออก ได้แก่ Samarium, Gadolinium, Terbium, Dysprosium, Lutetium, Scandium และ Yttrium
    - แร่เหล่านี้มีความสำคัญต่อ มอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า, การผลิตตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด (superconductors), สื่อบันทึกข้อมูล, และ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ
    - การขาดแคลนแร่หายากจะทำให้ผู้ผลิตต้องพึ่งพาแหล่งทรัพยากรที่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
    - หลายบริษัทในสหรัฐฯ เช่น ผู้ผลิตชิปและอุปกรณ์เทคโนโลยี จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน

    ยุทธศาสตร์ตอบโต้แบบสองจังหวะของจีน
    - จีนใช้กลยุทธ์การตอบโต้ด้วยภาษีและข้อจำกัดด้านส่งออก เพื่อต่อรองในการเจรจาทางเศรษฐกิจ
    - นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นี่อาจเป็นความพยายามที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ในกรณีความขัดแย้งอื่น ๆ เช่น การบังคับขาย TikTok

    ข้อยกเว้นสำหรับอุตสาหกรรมบางส่วน
    - อุตสาหกรรมชิปและทองแดงในสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นจากภาษีรอบนี้ แต่ภาษีสำหรับอุปกรณ์การผลิตชิปกลับยังส่งผลกระทบหนัก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-strikes-back-on-trump-tariffs-bans-rare-earth-exports-to-the-u-s
    หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 54% จีนได้ตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 34% และประกาศ ห้ามส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ที่สำคัญต่อการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน ✅ แร่หายากที่ถูกห้ามส่งออก - จีนระบุแร่ 7 ชนิดที่ห้ามส่งออก ได้แก่ Samarium, Gadolinium, Terbium, Dysprosium, Lutetium, Scandium และ Yttrium - แร่เหล่านี้มีความสำคัญต่อ มอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า, การผลิตตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด (superconductors), สื่อบันทึกข้อมูล, และ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ - การขาดแคลนแร่หายากจะทำให้ผู้ผลิตต้องพึ่งพาแหล่งทรัพยากรที่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น - หลายบริษัทในสหรัฐฯ เช่น ผู้ผลิตชิปและอุปกรณ์เทคโนโลยี จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน ✅ ยุทธศาสตร์ตอบโต้แบบสองจังหวะของจีน - จีนใช้กลยุทธ์การตอบโต้ด้วยภาษีและข้อจำกัดด้านส่งออก เพื่อต่อรองในการเจรจาทางเศรษฐกิจ - นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นี่อาจเป็นความพยายามที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ในกรณีความขัดแย้งอื่น ๆ เช่น การบังคับขาย TikTok ✅ ข้อยกเว้นสำหรับอุตสาหกรรมบางส่วน - อุตสาหกรรมชิปและทองแดงในสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นจากภาษีรอบนี้ แต่ภาษีสำหรับอุปกรณ์การผลิตชิปกลับยังส่งผลกระทบหนัก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-strikes-back-on-trump-tariffs-bans-rare-earth-exports-to-the-u-s
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • Loongson เปิดตัวชิปรุ่นใหม่ 2K3000 และ 3B6000M ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับทั้งอุตสาหกรรมและอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยมาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์และ GPU ที่รองรับงานกราฟิกและ AI เบา ความปลอดภัยถูกออกแบบด้วยมาตรฐานเข้ารหัสระดับสูง นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลากหลาย ทำให้ชิปรุ่นนี้เป็นก้าวสำคัญของจีนในการขยายตลาดเทคโนโลยีล้ำหน้าในประเทศและต่างประเทศ

    โครงสร้าง CPU แบบ 8 คอร์—เหมาะสำหรับงานระดับอุตสาหกรรม
    - รุ่น 2K3000 มาพร้อม สถาปัตยกรรม LA364E ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูงในระบบอุตสาหกรรม เช่น PLCs และ edge servers
    - 3B6000M เหมาะสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น โน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต

    GPU ผสานเทคโนโลยี AI—รองรับทั้งงานกราฟิกและ AI
    - ใช้ LG200 GPGPU ที่รองรับการเร่งการประมวลผลกราฟิกด้วย OpenGL 4.0 และสามารถใช้สำหรับงาน AI เบา
    - ประสิทธิภาพ AI อยู่ที่ 8 TOPS (INT8) และกราฟิก FP32 สูงถึง 256 GFLOPS

    รองรับมาตรฐานการเข้ารหัสของจีนเพื่อความปลอดภัย
    - ชิปทั้งสองมี โมดูลเข้ารหัส SM2/SM3/SM4 ในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้ปลอดภัยและเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    การออกแบบ I/O ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท
    - เช่น PCIe 3.0, USB 3.0/2.0, HDMI, SATA 3.0 และ RapidIO

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-chipmaker-loongsons-new-laptop-and-industrial-chips-have-higher-core-counts-better-gpu
    Loongson เปิดตัวชิปรุ่นใหม่ 2K3000 และ 3B6000M ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับทั้งอุตสาหกรรมและอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยมาพร้อม CPU แบบ 8 คอร์และ GPU ที่รองรับงานกราฟิกและ AI เบา ความปลอดภัยถูกออกแบบด้วยมาตรฐานเข้ารหัสระดับสูง นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลากหลาย ทำให้ชิปรุ่นนี้เป็นก้าวสำคัญของจีนในการขยายตลาดเทคโนโลยีล้ำหน้าในประเทศและต่างประเทศ ✅ โครงสร้าง CPU แบบ 8 คอร์—เหมาะสำหรับงานระดับอุตสาหกรรม - รุ่น 2K3000 มาพร้อม สถาปัตยกรรม LA364E ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูงในระบบอุตสาหกรรม เช่น PLCs และ edge servers - 3B6000M เหมาะสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น โน้ตบุ๊กและแท็บเล็ต ✅ GPU ผสานเทคโนโลยี AI—รองรับทั้งงานกราฟิกและ AI - ใช้ LG200 GPGPU ที่รองรับการเร่งการประมวลผลกราฟิกด้วย OpenGL 4.0 และสามารถใช้สำหรับงาน AI เบา - ประสิทธิภาพ AI อยู่ที่ 8 TOPS (INT8) และกราฟิก FP32 สูงถึง 256 GFLOPS ✅ รองรับมาตรฐานการเข้ารหัสของจีนเพื่อความปลอดภัย - ชิปทั้งสองมี โมดูลเข้ารหัส SM2/SM3/SM4 ในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้ปลอดภัยและเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง ✅ การออกแบบ I/O ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายประเภท - เช่น PCIe 3.0, USB 3.0/2.0, HDMI, SATA 3.0 และ RapidIO https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/chinese-chipmaker-loongsons-new-laptop-and-industrial-chips-have-higher-core-counts-better-gpu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • เว็บไซต์ร้านค้าหลายแห่งเริ่มวางจำหน่าย พีซีสำเร็จรูป ที่มาพร้อม การ์ดจอ Nvidia RTX 5060 และ RTX 5060 Ti แม้ว่าผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้ถูกประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยคาดการณ์ว่า Nvidia จะเปิดตัวทั้งสองรุ่นในวันที่ 16 เมษายน ที่จะถึงนี้

    RTX 5060—ประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด
    - ใช้ชิป GB206-250-A1 ที่มี 3,840 CUDA Cores (30 SMs) พร้อมอินเตอร์เฟซหน่วยความจำขนาด 128 บิต
    - ประสิทธิภาพ TGP อยู่ที่ 150W และมาพร้อม VRAM ขนาด 8GB GDDR7
    - คาดว่าราคาเปิดตัวจะใกล้เคียงกับ RTX 4060 รุ่นก่อนหน้าที่ $299

    RTX 5060 Ti—ตัวเลือกสำหรับเกมเมอร์ระดับกลาง
    - ใช้ชิป GB206-3001-A1 ที่มาพร้อม 4,608 CUDA Cores (36 SMs)
    - สนับสนุน VRAM 2 รุ่น ได้แก่ 8GB GDDR7 และรุ่น 16GB GDDR7 สำหรับผู้ที่ต้องการความจุที่มากขึ้น
    - TGP อยู่ที่ 180W เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกคุณภาพสูง

    พีซีสำเร็จรูปที่วางขายล่วงหน้า:
    - ตัวอย่างเช่น CyberPowerPC ที่วางจำหน่ายบน Best Buy มาพร้อม RTX 5060, CPU Ryzen 7 8700F, RAM DDR5 ขนาด 16GB และ SSD ขนาด 2TB
    - ราคาตั้งต้นอยู่ที่ $1,149 ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่น RTX 4060

    รูปแบบการออกแบบและพลังงาน:
    - การ์ดจอ RTX 5060 รุ่นนี้มีดีไซน์กะทัดรัด ขนาด 2 สล็อต มาพร้อมสายไฟ 8-pin

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/pre-built-pcs-with-unreleased-rtx-5060-ti-and-rtx-5060-gpus-crop-up-at-online-retailers
    เว็บไซต์ร้านค้าหลายแห่งเริ่มวางจำหน่าย พีซีสำเร็จรูป ที่มาพร้อม การ์ดจอ Nvidia RTX 5060 และ RTX 5060 Ti แม้ว่าผลิตภัณฑ์ยังไม่ได้ถูกประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยคาดการณ์ว่า Nvidia จะเปิดตัวทั้งสองรุ่นในวันที่ 16 เมษายน ที่จะถึงนี้ ✅ RTX 5060—ประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด - ใช้ชิป GB206-250-A1 ที่มี 3,840 CUDA Cores (30 SMs) พร้อมอินเตอร์เฟซหน่วยความจำขนาด 128 บิต - ประสิทธิภาพ TGP อยู่ที่ 150W และมาพร้อม VRAM ขนาด 8GB GDDR7 - คาดว่าราคาเปิดตัวจะใกล้เคียงกับ RTX 4060 รุ่นก่อนหน้าที่ $299 ✅ RTX 5060 Ti—ตัวเลือกสำหรับเกมเมอร์ระดับกลาง - ใช้ชิป GB206-3001-A1 ที่มาพร้อม 4,608 CUDA Cores (36 SMs) - สนับสนุน VRAM 2 รุ่น ได้แก่ 8GB GDDR7 และรุ่น 16GB GDDR7 สำหรับผู้ที่ต้องการความจุที่มากขึ้น - TGP อยู่ที่ 180W เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกคุณภาพสูง ✅ พีซีสำเร็จรูปที่วางขายล่วงหน้า: - ตัวอย่างเช่น CyberPowerPC ที่วางจำหน่ายบน Best Buy มาพร้อม RTX 5060, CPU Ryzen 7 8700F, RAM DDR5 ขนาด 16GB และ SSD ขนาด 2TB - ราคาตั้งต้นอยู่ที่ $1,149 ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่น RTX 4060 ✅ รูปแบบการออกแบบและพลังงาน: - การ์ดจอ RTX 5060 รุ่นนี้มีดีไซน์กะทัดรัด ขนาด 2 สล็อต มาพร้อมสายไฟ 8-pin https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/pre-built-pcs-with-unreleased-rtx-5060-ti-and-rtx-5060-gpus-crop-up-at-online-retailers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Pre-built PCs with unreleased RTX 5060 Ti and RTX 5060 GPUs crop up at online retailers
    One such pre-built is only $50 more expensive than an identically configured RTX 4060 variant.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า บริษัท AI ชั้นนำของจีน เช่น Tencent, Alibaba และ ByteDance ได้ใช้เงินรวมกันกว่า 16 พันล้านดอลลาร์ ในการซื้อ GPU รุ่น H20 จาก Nvidia ภายในไตรมาสแรกของปี 2025 การเร่งสั่งซื้อครั้งใหญ่นี้คาดว่ามาจากความต้องการเพิ่มขึ้นของฮาร์ดแวร์ AI ในตลาดจีน ซึ่งขับเคลื่อนโดยบริษัท AI สตาร์ตอัปอย่าง DeepSeek

    H20—AI Processor ระดับสูงที่ยังคงอนุญาตให้ส่งออกไปจีน
    - Nvidia H20 เป็น AI GPU ที่ทรงพลังที่สุดที่ยังได้รับการอนุมัติให้ส่งออกไปยังจีน ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ
    - คาดว่าความเร่งรีบในการสั่งซื้อนี้เกิดจากข่าวลือเกี่ยวกับ การเพิ่มข้อจำกัดการส่งออกเพิ่มเติมในอนาคต

    คำแนะนำจากรัฐบาลจีนให้ชะลอการสั่งซื้อ
    - มีรายงานว่าหน่วยงานรัฐบาลจีน แนะนำให้บริษัทชั้นนำหยุดการสั่งซื้อ GPU H20 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการกักตุนฮาร์ดแวร์ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนา GPU ที่ผลิตในประเทศ

    แนวโน้มการออกแบบชิปใหม่ของ Nvidia สำหรับตลาดจีน
    - Nvidia อาจกำลังพัฒนา ชิปรุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน ที่จะสอดคล้องกับข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
    - มีข่าวลือเกี่ยวกับการเปิดตัว GPU H20 ที่อัปเกรดด้วย HBM3E modules

    บทบาทสำคัญของ DeepSeek ในการขยายตลาด AI
    - ความต้องการ Nvidia H20 เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ตอัป AI ของจีน มี AI โมเดลต้นทุนต่ำที่เข้าถึงตลาดได้กว้าง

    https://www.techpowerup.com/335077/chinas-largest-ai-firms-reportedly-forked-out-usd-16-billion-total-for-nvidia-h20-gpu-supplies-in-2025
    มีรายงานว่า บริษัท AI ชั้นนำของจีน เช่น Tencent, Alibaba และ ByteDance ได้ใช้เงินรวมกันกว่า 16 พันล้านดอลลาร์ ในการซื้อ GPU รุ่น H20 จาก Nvidia ภายในไตรมาสแรกของปี 2025 การเร่งสั่งซื้อครั้งใหญ่นี้คาดว่ามาจากความต้องการเพิ่มขึ้นของฮาร์ดแวร์ AI ในตลาดจีน ซึ่งขับเคลื่อนโดยบริษัท AI สตาร์ตอัปอย่าง DeepSeek ✅ H20—AI Processor ระดับสูงที่ยังคงอนุญาตให้ส่งออกไปจีน - Nvidia H20 เป็น AI GPU ที่ทรงพลังที่สุดที่ยังได้รับการอนุมัติให้ส่งออกไปยังจีน ภายใต้ข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ - คาดว่าความเร่งรีบในการสั่งซื้อนี้เกิดจากข่าวลือเกี่ยวกับ การเพิ่มข้อจำกัดการส่งออกเพิ่มเติมในอนาคต ✅ คำแนะนำจากรัฐบาลจีนให้ชะลอการสั่งซื้อ - มีรายงานว่าหน่วยงานรัฐบาลจีน แนะนำให้บริษัทชั้นนำหยุดการสั่งซื้อ GPU H20 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการกักตุนฮาร์ดแวร์ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนา GPU ที่ผลิตในประเทศ ✅ แนวโน้มการออกแบบชิปใหม่ของ Nvidia สำหรับตลาดจีน - Nvidia อาจกำลังพัฒนา ชิปรุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน ที่จะสอดคล้องกับข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด - มีข่าวลือเกี่ยวกับการเปิดตัว GPU H20 ที่อัปเกรดด้วย HBM3E modules ✅ บทบาทสำคัญของ DeepSeek ในการขยายตลาด AI - ความต้องการ Nvidia H20 เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ตอัป AI ของจีน มี AI โมเดลต้นทุนต่ำที่เข้าถึงตลาดได้กว้าง https://www.techpowerup.com/335077/chinas-largest-ai-firms-reportedly-forked-out-usd-16-billion-total-for-nvidia-h20-gpu-supplies-in-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    China's Largest AI Firms Reportedly Forked Out ~$16 Billion Total for NVIDIA H20 GPU Supplies in 2025
    Last week, industry reports pointed to evidence of NVIDIA H20 AI GPU shortages in China—supply chain insiders expressed frustration about limited availability, and alleged price hikes. Days later, local media outlets have disclosed staggering sales figures. Two unnamed sources opine that the likes o...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว