• 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเฟซบุ๊ก Nat MJ
    “ น้ำท่วมเชียงใหม่ปีนี้ หนักกว่า 54 คิดเป็นระดับน้ำท่วมที่รอบ 200 ปี เลยทีเดียว แต่ทำไมคลื่นน้ำท่วม 54 มากกว่า ปี 67 นี้ ??

    จากฝนที่ตกหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดคลื่นน้ำท่วมลงมาที่เชียงใหม่ติดๆ กัน 2 ครั้ง และในครั้งหลังซึ่งกำลังไหลเข้าท่วมเมืองเชียงใหม่ เหมือนอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนนั้น หลายคนบอกว่าหนักกว่าปี 54 อีก ซึ่งมาจากปริมาณฝนที่มากรวมกับสภาพพื้นที่ที่มีความชื้นในดินสูงและอิ่มตัวด้วยน้ำ ทำให้ฝนที่ตกลงมาเกิดเป็นน้ำท่าจำนวนมาก

    ซึ่งตรงนี้เป็นที่น่าสนใจคือ จากรูปที่ 1 (ล่าง) ถ้าเทียบอัตราการไหลของปี 2567 กับ ปี 2554 พบกว่า ปีนี้ 2567 อัตราการไหลสูงสุด คือ 656 ลบ.ม./วิ. ซึ่ง "น้อยกว่า" ปี 2554 ซึ่งมีมากถึง 816.8 ลบ.ม./วิ. แต่เมื่อเทียบระดับน้ำสูงสุด พบกว่า ปี 2567 อยู่ที่ 305.80 ม.รทก. ซึ่ง "มากกว่า" ปี 2554 ที่ 305.44 ม.รทก.

    ตรงนี้เองที่ทำให้หลายคนบอกว่าปีนี้ 2567 ท่วมหนักกว่า 2554 เพราะระดับน้ำนั้นสูงมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงว่า ความสามารถในการไหลของน้ำของแม่น้ำปิงที่ผ่านตัวเมืองเชียงใหม่นั้นลดลงอย่างมาก คือ ที่ระดับน้ำเดียวกันมีความสามารถในการไหลผ่านน้อยกว่ามาก ซึ่งตรงนี้เป็นไปได้ทั้งในแง่ของทางน้ำที่ถูกบีบแคบลงเนื่องจากการรุกล้ำทางน้ำ หรือการตกทับถมของตะกอนตามท้องลำน้ำ หรือมีสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำตามจุดต่างๆ รวมทั้งสิ่งอื่นๆ ที่กระทบต่อการระบายน้ำของแม่น้ำปิง ซึ่งสิ่งต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้ทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์มีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้นด้วย

    ถ้ามาดูรูปที่ 2 (ภาพบน) ระดับน้ำสูงสุดชั่วขณะรายปีนั้นมีค่าแตกต่างเพิ่มขึ้นจากอดีตถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มความแตกต่างที่มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ รูปที่ 2 (ภาพล่าง) อัตราการไหลสูงสุดรายปีที่แตกต่างกันจากอดีตเพิ่มขึ้นมา และเริ่มคงที่ในช่วงท้าย ซึ่งนั่นหมายถึง ลักษณะทางกายภาพของลำน้ำปิงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ส่งผลทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงสูงขึ้นจากเดิมโดยที่ฝนหรือน้ำท่วมที่ไหลลงมาอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้

    และสุดท้าย รูปที่ 3 เมื่อเอาค่าอัตราการไหลสูงสุดและระดับน้ำสูงสุดของปี 2554 และ 2567 ที่กำลังเกิดขึ้นมาคำนวณเป็นรอบปีการเกิดซ้ำ จะได้ว่า

    - ระดับน้ำสูงสุด ปี 2567 = 305.8 ม.รทก. ที่รอบปี 200 ปี !!
    - ระดับน้ำสูงสุด ปี 2554 = 305.44 ม.รทก. ที่รอบปี 46 ปี

    แต่อัตราการไหลจะสลับกัน คือ

    - อัตราการไหลสูงสุด ปี 2567 = 656.0 ลบ.ม./วิ. ที่รอบปี 17 ปี เท่านั้น !!
    - อัตราการไหลสูงสุด ปี 2554 = 816.8 ลบ.ม./วิ. ที่รอบปี 62 ปี เท่านั้น !!

    ซึ่งแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และส่งผลกระทบกับคนในพื้นที่โดยตรง”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/Er32UGx7FbUzZGtb/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    รีโพสต์จากเฟซบุ๊ก Nat MJ “ น้ำท่วมเชียงใหม่ปีนี้ หนักกว่า 54 คิดเป็นระดับน้ำท่วมที่รอบ 200 ปี เลยทีเดียว แต่ทำไมคลื่นน้ำท่วม 54 มากกว่า ปี 67 นี้ ?? จากฝนที่ตกหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดคลื่นน้ำท่วมลงมาที่เชียงใหม่ติดๆ กัน 2 ครั้ง และในครั้งหลังซึ่งกำลังไหลเข้าท่วมเมืองเชียงใหม่ เหมือนอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนนั้น หลายคนบอกว่าหนักกว่าปี 54 อีก ซึ่งมาจากปริมาณฝนที่มากรวมกับสภาพพื้นที่ที่มีความชื้นในดินสูงและอิ่มตัวด้วยน้ำ ทำให้ฝนที่ตกลงมาเกิดเป็นน้ำท่าจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้เป็นที่น่าสนใจคือ จากรูปที่ 1 (ล่าง) ถ้าเทียบอัตราการไหลของปี 2567 กับ ปี 2554 พบกว่า ปีนี้ 2567 อัตราการไหลสูงสุด คือ 656 ลบ.ม./วิ. ซึ่ง "น้อยกว่า" ปี 2554 ซึ่งมีมากถึง 816.8 ลบ.ม./วิ. แต่เมื่อเทียบระดับน้ำสูงสุด พบกว่า ปี 2567 อยู่ที่ 305.80 ม.รทก. ซึ่ง "มากกว่า" ปี 2554 ที่ 305.44 ม.รทก. ตรงนี้เองที่ทำให้หลายคนบอกว่าปีนี้ 2567 ท่วมหนักกว่า 2554 เพราะระดับน้ำนั้นสูงมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงว่า ความสามารถในการไหลของน้ำของแม่น้ำปิงที่ผ่านตัวเมืองเชียงใหม่นั้นลดลงอย่างมาก คือ ที่ระดับน้ำเดียวกันมีความสามารถในการไหลผ่านน้อยกว่ามาก ซึ่งตรงนี้เป็นไปได้ทั้งในแง่ของทางน้ำที่ถูกบีบแคบลงเนื่องจากการรุกล้ำทางน้ำ หรือการตกทับถมของตะกอนตามท้องลำน้ำ หรือมีสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำตามจุดต่างๆ รวมทั้งสิ่งอื่นๆ ที่กระทบต่อการระบายน้ำของแม่น้ำปิง ซึ่งสิ่งต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้ทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์มีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้นด้วย ถ้ามาดูรูปที่ 2 (ภาพบน) ระดับน้ำสูงสุดชั่วขณะรายปีนั้นมีค่าแตกต่างเพิ่มขึ้นจากอดีตถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มความแตกต่างที่มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ รูปที่ 2 (ภาพล่าง) อัตราการไหลสูงสุดรายปีที่แตกต่างกันจากอดีตเพิ่มขึ้นมา และเริ่มคงที่ในช่วงท้าย ซึ่งนั่นหมายถึง ลักษณะทางกายภาพของลำน้ำปิงที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ส่งผลทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงสูงขึ้นจากเดิมโดยที่ฝนหรือน้ำท่วมที่ไหลลงมาอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ และสุดท้าย รูปที่ 3 เมื่อเอาค่าอัตราการไหลสูงสุดและระดับน้ำสูงสุดของปี 2554 และ 2567 ที่กำลังเกิดขึ้นมาคำนวณเป็นรอบปีการเกิดซ้ำ จะได้ว่า - ระดับน้ำสูงสุด ปี 2567 = 305.8 ม.รทก. ที่รอบปี 200 ปี !! - ระดับน้ำสูงสุด ปี 2554 = 305.44 ม.รทก. ที่รอบปี 46 ปี แต่อัตราการไหลจะสลับกัน คือ - อัตราการไหลสูงสุด ปี 2567 = 656.0 ลบ.ม./วิ. ที่รอบปี 17 ปี เท่านั้น !! - อัตราการไหลสูงสุด ปี 2554 = 816.8 ลบ.ม./วิ. ที่รอบปี 62 ปี เท่านั้น !! ซึ่งแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และส่งผลกระทบกับคนในพื้นที่โดยตรง” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/Er32UGx7FbUzZGtb/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 883 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทศบาลนครหัวหิน อัปเกรดเมืองตากอากาศ

    วันคล้ายวันสถาปนาเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปีที่ 87 ผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นปีสุดท้ายที่ใช้นามว่าเทศบาลเมืองหัวหิน เพราะในปี 2568 จะยกฐานะเป็นเทศบาลนครหัวหิน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองขนาดใหญ่ ที่มีประชากรตั้งแต่ 50,000 คนขึ้นไป และมีรายได้พอเพียงต่อการให้บริการสาธารณะ ตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้

    โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศ เรื่อง เปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบศรีชันธ์ เป็นเทศบาลนครหัวหิน ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นับเป็นเทศบาลนครแห่งที่ 32 ในประเทศไทย ต่อจากเทศบาลนครบุรีรัมย์ ที่จะมีผลในวันที่ 31 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีเขตเลือกตั้งจาก 3 เขตเป็น 4 เขต มีรองนายกเทศมนตรีจาก 3 คนเป็น 4 คน พร้อมทั้งมีอำนาจหน้าที่ดูแลประชาชนมากขึ้น

    สำหรับเทศบาลเมืองหัวหิน มีพื้นที่ 86.36 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลหัวหิน และตำบลหนองแก จํานวน 40 ชุมชน มีประชากรจํานวน 62,111 คน สภาพของสังคม มีจํานวนครอบครัว 19,489 ครอบครัว ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จํานวน 46,297 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รายได้จริงไม่รวมเงินอุดหนุน 630,854,560.29 บาท รายจ่ายประจํา 320,219,300 บาท

    ปัจจุบัน เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นที่ตั้งของเขตพระราชฐาน คือ พระราชวังไกลกังวล มีอุทยานราชภักดิ์ พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 7 พระองค์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีชายหาด เช่น หาดหัวหิน หาดเขาเต่า หาดหัวดอน สวนสนประดิพัทธ์ มีตลาดโต้รุ่งหัวหิน มีโรงแรมทั้งหมด 125 แห่ง ร้านอาหาร 1,192 แห่ง มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงภาพยนตร์ 2 แห่ง มีสวนน้ำ และสนามกอล์ฟทั้งในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียง

    ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน มีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหัวหิน รองรับเครื่องบินแอร์บัส A320 และโบอิ้ง B-737-800 และรองรับการเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ ซึ่งเคยมีเที่ยวบินตรง หัวหิน-กัวลาลัมเปอร์ มาก่อน ปัจจุบันมีเที่ยวบินหัวหิน-เชียงใหม่วันละ 1 เที่ยว มีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ซึ่งได้เปิดใช้สถานีรถไฟหัวหินแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีขบวนรถโดยสารให้บริการรวม 28 ขบวนต่อวัน

    รถโดยสารประจำทาง มีสถานีเดินรถ 3 แห่ง ได้แก่ Bus & Van Station (มาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน), รุ่งเรืองโค้ช (ติดกับสนามบินหัวหิน) และสถานีเดินรถหัวหิน (สมบัติทัวร์ หัวหิน)

    #Newskit #Huahin #เทศบาลนครหัวหิน
    เทศบาลนครหัวหิน อัปเกรดเมืองตากอากาศ วันคล้ายวันสถาปนาเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปีที่ 87 ผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ถือเป็นปีสุดท้ายที่ใช้นามว่าเทศบาลเมืองหัวหิน เพราะในปี 2568 จะยกฐานะเป็นเทศบาลนครหัวหิน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองขนาดใหญ่ ที่มีประชากรตั้งแต่ 50,000 คนขึ้นไป และมีรายได้พอเพียงต่อการให้บริการสาธารณะ ตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศ เรื่อง เปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลเมืองหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบศรีชันธ์ เป็นเทศบาลนครหัวหิน ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นับเป็นเทศบาลนครแห่งที่ 32 ในประเทศไทย ต่อจากเทศบาลนครบุรีรัมย์ ที่จะมีผลในวันที่ 31 ต.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีเขตเลือกตั้งจาก 3 เขตเป็น 4 เขต มีรองนายกเทศมนตรีจาก 3 คนเป็น 4 คน พร้อมทั้งมีอำนาจหน้าที่ดูแลประชาชนมากขึ้น สำหรับเทศบาลเมืองหัวหิน มีพื้นที่ 86.36 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลหัวหิน และตำบลหนองแก จํานวน 40 ชุมชน มีประชากรจํานวน 62,111 คน สภาพของสังคม มีจํานวนครอบครัว 19,489 ครอบครัว ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จํานวน 46,297 คน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รายได้จริงไม่รวมเงินอุดหนุน 630,854,560.29 บาท รายจ่ายประจํา 320,219,300 บาท ปัจจุบัน เทศบาลเมืองหัวหิน เป็นที่ตั้งของเขตพระราชฐาน คือ พระราชวังไกลกังวล มีอุทยานราชภักดิ์ พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 7 พระองค์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีชายหาด เช่น หาดหัวหิน หาดเขาเต่า หาดหัวดอน สวนสนประดิพัทธ์ มีตลาดโต้รุ่งหัวหิน มีโรงแรมทั้งหมด 125 แห่ง ร้านอาหาร 1,192 แห่ง มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงภาพยนตร์ 2 แห่ง มีสวนน้ำ และสนามกอล์ฟทั้งในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน มีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานหัวหิน รองรับเครื่องบินแอร์บัส A320 และโบอิ้ง B-737-800 และรองรับการเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ ซึ่งเคยมีเที่ยวบินตรง หัวหิน-กัวลาลัมเปอร์ มาก่อน ปัจจุบันมีเที่ยวบินหัวหิน-เชียงใหม่วันละ 1 เที่ยว มีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ซึ่งได้เปิดใช้สถานีรถไฟหัวหินแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีขบวนรถโดยสารให้บริการรวม 28 ขบวนต่อวัน รถโดยสารประจำทาง มีสถานีเดินรถ 3 แห่ง ได้แก่ Bus & Van Station (มาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน), รุ่งเรืองโค้ช (ติดกับสนามบินหัวหิน) และสถานีเดินรถหัวหิน (สมบัติทัวร์ หัวหิน) #Newskit #Huahin #เทศบาลนครหัวหิน
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1323 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งงานหนึ่งชุดเบาๆครับ #พิมพ์สำอางค์เลี่ยมกรอบพระกันน้ำ #เลี่ยมกรอบพระ #ช่างเลี่ยมพระ #handmade
    ส่งงานหนึ่งชุดเบาๆครับ #พิมพ์สำอางค์เลี่ยมกรอบพระกันน้ำ #เลี่ยมกรอบพระ #ช่างเลี่ยมพระ #handmade
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 534 มุมมอง 44 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛒🛒
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 45 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 53 0 รีวิว
  • บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า

    “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ

    แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย

    ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก

    เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด

    ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้

    ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง

    เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว”

    แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

    ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี

    ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก

    สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว

    จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้

    แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม

    ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture

    ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media

    เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก

    พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง

    ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้

    จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”

    https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/

    #Thaitimes
    บทวิเคราะห์ UGC (User-Generated Content )เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” โดย ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน เจ้าของนามปากกา “นกป่า อุษาคเนย์” อยู่ในวงการสื่อสารมวลชนมา 25 ปี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า “หากนำทฤษฎี UGC มาจับกับปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ก็จะเห็นได้ว่า กระแสความโด่งดังของ “หมูเด้ง” ตรงตามรูปแบบของการทำ UGC ทุกประการ แม้ในตอนเริ่มต้น ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” จัดประกวดตั้งชื่อ “หมูเด้ง” ในช่วงแรก ที่ชื่อ “หมูเด้ง” ชนะ VOTE “หมูแดง” และ “หมูสับ” ด้วยคะแนน 20,000 กว่า เรียกได้ว่าขาดลอย ในช่วงนั้น ยังไม่เกิดกระแส “หมูเด้ง” แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ หลังจากได้ชื่อแล้ว ก็เหลือคนสนใจ “หมูเด้ง” น้อยมาก เพราะค่าเฉลี่ยความสนใจลูกสัตว์เกิดใหม่ จะมีอยู่เพียงสั้นๆ คือประมาณ 7 วัน ที่ประชาชนให้ความสนใจ ทำให้สื่อมวลชนต้องคอยตามติดในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็จะเริ่มซาลง และเริ่มห่างหาย จนกระแสเงียบไปในที่สุด ซึ่งทาง “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ก็อาจมีการนำเสนอลูกสัตว์เกิดใหม่รายอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ พอผลตัดสินการประกวดจบสิ้นลงแล้ว กระแสก็จะกลับไปเงียบอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้ ต่างจาก “หมูเด้ง” โดยสิ้นเชิง เป็นเพราะว่า “หมูเด้ง” เกิดในยุคที่ทุกคนบนโลกเข้าถึง Social Media โดยเรื่องราวที่น่าสนใจจะไม่จำกัดอยู่ภายในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ไม่เหมือนกระแสลูกสัตว์เกิดใหม่ที่ผ่านมาของ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” แต่ทันทีที่ “อรรถพล หนุนดี” หรือ “พี่เบนซ์” เจ้าของ Facebook Fanpage “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ได้เริ่มทำ Content “หมูเด้ง” กระแส “หมูเด้ง” ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฐาน “แฟนคลับ” ที่เหนียวแน่น หรือที่เรียกว่า “ลูกเพจ” ดั้งเดิมของ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ที่มีปริมาณมากอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Empathy หรือ “ความผูกพัน” อย่างสูง ยิ่งช่วยต่อยอด Content ในแบบฉบับ UGC ได้เป็นอย่างดี ผนวกกับการที่ “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” อยู่ใกล้ศรีราชา จุดที่มีชาวญี่ปุ่นพำนักในเมืองไทยเป็นชุมชน ทำให้มีการแชร์ Content “หมูเด้ง” ต่อๆ กันไปในหมู่ชาวญี่ปุ่น จากเมืองไทยไปญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก สำทับด้วยสำนักข่าวตะวันตก ได้แห่กันมาทำข่าว “หมูเด้ง” ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น AP, AFP, BBC, VOA, CNN ก็ยิ่งช่วยสร้าง UGC ให้กับ “หมูเด้ง” จนกลายเป็น Viral ระดับโลกไปแล้ว จากความน่ารัก น่าเอ็นดู การสัมผัสได้ถึงการไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใน Content เนื่องจากเป็นลูกสัตว์เกิดใหม่ในสวนสัตว์ที่ค่าเข้าชมไม่ได้มากมายอะไร และการขายสินค้าของสวนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกต่างๆ ก็ไม่ได้มีราคาค่างวดที่แพงจนจับต้องไม่ได้ แปลไทยเป็นไทยก็คือ Brand “หมูเด้ง” เป็น Brand บริสุทธิ์ ผนวกกับความทะลึ่ง สะดีดสะดิ้ง น่ารักน่าชัง เมื่อรวมกับบุคลิกดั้งเดิมของ “หมูเด้ง” ที่เป็นลูกฮิปโปแคระที่มีลีลาตลกเป็นพื้นเพอยู่แล้ว ยิ่งเรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความประทับใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกลึกๆ ในใจมนุษย์เกี่ยวกับ “ลูกสัตว์” หรือ Baby Animal ทั้งลูกมนุษย์ด้วยกันที่ถือเป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง และลูกสัตว์ต่างๆ ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกน่ารัก น่าเอ็นดู อยากอุ้ม อยากเลี้ยง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นทุนเดิม ประกอบกับคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ที่แอบเกรี้ยวกราด น่ารัก น่าหยิก ทำให้เป็น UGC ที่ถูกนำไปต่อยอดได้ง่ายใน “วัฒนธรรมมีม” หรือ Meme Culture ยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media เบื้องหลังความสำเร็จของ UGC “หมูเด้ง” คงต้องยกเครดิตให้ “พี่เบนซ์” ไปเต็มๆ ที่สามารถดึงคาแรกเตอร์ของ “หมูเด้ง” ออกมาเล่าได้อย่างน่ารัก พูดอีกแบบก็คือ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” มาถูกที่ ถูกเวลา และเล่นได้ถูกจุด จับจุด อารมณ์ร่วมของผู้คนได้อยู่หมัด สร้างการเชื่อมต่อ และเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เข้ากับ “หมูเด้ง” ได้ตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เสพ Social Media ที่อยู่ไกลจาก “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ที่ไม่สะดวกเดินทางมาสัมผัสกับ “หมูเด้ง” ได้ด้วยตัวเอง ตอบสนองธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความรักสัตว์เป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลูกสัตว์” น่ารัก ที่ตนไม่สามารถเลี้ยงเอาไว้ในบ้านได้ จึงสามารถสรุปได้ว่า UGC อยู่เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง” https://www.salika.co/2024/10/04/user-generated-content-moodeng/ #Thaitimes
    WWW.SALIKA.CO
    UGC เบื้องหลังความดังของ “หมูเด้ง”
    User-Generated Content (UGC) หมายถึง Story ที่ผู้บริโภค หรือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย สร้างขึ้นมาเอง โดยผู้คนเหล่านั้น จะพูดถึงเรื่องราวที่พวกเขาประทับใจ หรือให้ความสนใจ โดยที่ต้นเรื่องไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1645 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีวิว แฟกซ์เคลม รอนานจริงไหม?
    ไปดูกันค่ะ ⚡️

    ••••••••

    สนใจปรึกษา เฟีย:
    ดูแลลูกค้า VIP & ที่ปรึกษาทางการเงิน
    ผลประโยชน์ลูกค้าสำคัญที่สุด

    Line ID: @fiamony
    โทร: 081-323-8168
    FB Page: fiamony
    Tiktok: fiamony
    IG: fiamony
    Youtube: fiamony

    ••••••••

    เชี่ยวชาญ วางแผนทางการเงิน
    ประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ

    วางแผนส่งต่อมรดก ด้วย Legacy
    วางแผนสุขภาพ ด้วย First Class
    วางแผนประกันนิติบุคคล ด้วย Keyman
    วางแผนประกันสำหรับเจ้าของกิจการ, ผู้บริหาร
    วางแผนทุนการศึกษาบุตร
    วางแผนเงินออม
    วางแผนเกษียณ
    วางแผนลดหย่อนภาษี

    #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย #ประกันเหมาจ่าย #allianz #ประกันสุขภาพ #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต #ตัวแทนประกันชีวิต #สุขภาพ #ซื้อประกันออนไลน์ #ประกันสุขภาพเด็ก
    รีวิว แฟกซ์เคลม รอนานจริงไหม? ไปดูกันค่ะ ⚡️ •••••••• 💠 สนใจปรึกษา เฟีย: 💎 ดูแลลูกค้า VIP & ที่ปรึกษาทางการเงิน 🌐 ผลประโยชน์ลูกค้าสำคัญที่สุด 📍 Line ID: @fiamony 📍 โทร: 081-323-8168 📍 FB Page: fiamony 📍 Tiktok: fiamony 📍 IG: fiamony 📍 Youtube: fiamony •••••••• 🏆 เชี่ยวชาญ วางแผนทางการเงิน 🏆 ประกันชีวิต / ประกันสุขภาพ 🔰 วางแผนส่งต่อมรดก ด้วย Legacy 🔰 วางแผนสุขภาพ ด้วย First Class 🔰 วางแผนประกันนิติบุคคล ด้วย Keyman 🔰 วางแผนประกันสำหรับเจ้าของกิจการ, ผู้บริหาร 🔰 วางแผนทุนการศึกษาบุตร 🔰 วางแผนเงินออม 🔰 วางแผนเกษียณ 🔰 วางแผนลดหย่อนภาษี #ประกันสุขภาพเหมาจ่าย #ประกันเหมาจ่าย #allianz #ประกันสุขภาพ #อลิอันซ์อยุธยาประกันชีวิต #ตัวแทนประกันชีวิต #สุขภาพ #ซื้อประกันออนไลน์ #ประกันสุขภาพเด็ก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1313 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว