• ทะลายแก๊งบุหรี่ไฟฟ้า-บารากู่ พัทยา-ชลบุรีส่งกลิ่นทะแม่ง ถล่มแก๊ง ”จีนเทา” แต่แก๊ง ”ไทยเทา” เอามาขายหน้าตาเฉย , หลังจับกุมนายทุนจีนพร้อมของกลางกว่า 30 ล้าน แต่ยังมีรายงานลักลอบค้าตามสถานบริการ จนเกิดคำถามว่าทำไมของผิดกฎหมายยังมีให้เห็น

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109980

    #ข่าวอาชญากรรม #พัทยา #ชลบุรี #บุหรี่ไฟฟ้า #บารากู่ #ตำรวจภาค2 #News1live #News1
    ทะลายแก๊งบุหรี่ไฟฟ้า-บารากู่ พัทยา-ชลบุรีส่งกลิ่นทะแม่ง ถล่มแก๊ง ”จีนเทา” แต่แก๊ง ”ไทยเทา” เอามาขายหน้าตาเฉย , หลังจับกุมนายทุนจีนพร้อมของกลางกว่า 30 ล้าน แต่ยังมีรายงานลักลอบค้าตามสถานบริการ จนเกิดคำถามว่าทำไมของผิดกฎหมายยังมีให้เห็น • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109980 • #ข่าวอาชญากรรม #พัทยา #ชลบุรี #บุหรี่ไฟฟ้า #บารากู่ #ตำรวจภาค2 #News1live #News1
    Like
    Haha
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 3
    แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ
    ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา
    สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน
    ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม
    เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ
    เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง
    กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ
    เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน
    ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015
    ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน
    ##############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 4
    นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก
    ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ
    แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น …
    …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น…
    ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม
    พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ
    ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน
    ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์
    แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก
    สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก
    สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง
    มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า
    ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่
    ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า
    เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่
    จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 3 แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015 ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน ############## “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 4 นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น … …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น… ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่ ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่ จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • 555,ส่วนตัวถ้าได้เป็นผู้ปกครองประเทศนี้นะ,สิ่งแรกจะยึดทรัพยากรชาติไทยทั้งหมดกลับคืนมาจากคนต่างประเทศและเจ้าสัวนายทุนขี้ข้าอีลิทต่างชาติทั้งหมดที่ผูกขาดและยึดครองไปจากประเทศไทยเราและจากประชาชนคนไทยเรา.
    ..ในที่นี้ว่าด้วยบ่อทองคำเราที่มีเต็มประเทศ,ทางผู้ปกครองจะผลิตและมอบทองคำให้ประชาชนคนไทยคนละ1บาทไว้ใส่แขวนคอหรือทำเป็นกำไลทันทีคนละชิ้นละ1บาททองคำต่อทุกๆคนไทย,70ล้านคนก็70ล้านชิ้นที่ผลิตจากบ่อทองคำเรา,เพื่อให้คนไทยเรามีเครื่องมือมิให้ความถี่ต่ำลบมาเข้าทำร้ายทำลายเป็นหลักเป็นพื้นฐานให้มีติดตัวประจำคนไทยเราทุกๆคน มีพลังบวกไว้ปกป้องตนเอง จะเด็กทารกถึงคนปกติและคนชรา มีทองคำติดตัวครอบครองแจกฟรีๆจากทางรัฐกันทุกๆคน ที่มีดีได้เกิดมาแล้วบนผืนแผ่นดินไทยนี้ มาร่วมกันสร้างชาติไทยเราให้เจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งๆขึ้นไปนั้นเอง,เราจะยึดข้าวปลาอาหารเป็นของจริงยิ่งกว่าเงินทองใบกระดาษหรือระบบผีบ้าซาตานคิดค้นขึ้นนี้หรือผีบ้าไปเป็นเงินอากาศเงินดิจิดัลที่จับต้องอะไรไม่ได้จริงยิ่งกว่าเงินกระดาษแต่มันขนทรัพยากรธรรมชาติเราจริงไปจากแผ่นดินไทยไปจากภูมิประเทศไทยเราจริง ขนอาหารขนข้าวปลาขนผลไม้ปล้นเราด้วยตังอากาศที่มันสมมุติตีมูลค่าในเดอะแก๊งมันให้เรายอมรับ,หรือต้องแลกกับของจริง ข้าวจริง อาหารจริงจากมือเราจากแผ่นดินเรา,กฎกติกามันทั้งหมดต้องฉีกทิ้ง,เราคนไทยต้องร่างต้องสร้างต้องเขียนระบบของเราเองขึ้นปกครองเราเอง มิใช่ให้มันควบคุมภายใต้ไปใช้ระบบมันและต้องฟังมันเพราะมันอ้างว่าระบบมันจึงต้องทำตามมันแบบนี้ทำตามมันแบบนั้น ต้องให้มันปล้นชิงขนทรัพยากรมรึงออกไปประเทศกูแบบนี้โดยแลกกับตังเศษกระดาษกูที่พิมพ์ขึ้นเองอย่างตามใจชอบตามใจต้องการเท่าไรก็ได้หรือตังอากาศอิเล็กทรอนิกส์ที่กูกำลังสร้างในอนาคตมาปล้นชิงทรัพยากรมรึงทั้งประเทศแบบไหนก็ได้อีกเพราะมรึงใช้ระบบปกครองของลิขสิทธิ์กูส่งออกต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่เจ้าของผู้สร้างนะ มรึงประเทศไทยก็ไม่เว้น จ่ายค่าคุ้มครองโว้ย.555

    ..นี้คือวิถีปกครองเก่า,เรา..ประเทศไทยจะรอดจากไทม์ไลน์มารซาตานต้องสร้างทางรอดทางเลือกไทม์ไลน์ของทางรอดเราเอง,มันก็บังคับเราไม่ได้เพราะมันคือเจตจำนงเสรีที่เพราะผู้สร้างสั่งไว้ มันมาบังคับเรา เจอดีกับพระผู้สร้างพระเจ้าแน่นอน,เราฟ้องให้ลงโทษมันได้,โควิด19มันยังต้องได้รับคำยินยอมจากเราก่อนเลยแม้มันมีฤทธิ์เดชเหนือมนุษย์ธรรมดาแบบเราๆชาวโลกล้ำสมัยกว่า มันก็ต้องทำตามกฎเงื่อนไขกติกาพระเจ้าพระผู้สร้างในเกมส์สมมุตินี้.,ส่วนทาสขี้ข้าบ้าบอสมุนมันไม่รู้ห่าอะไรจึงบังคับคนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมแสดงเอาใจนายใหญ่อีลิทมันนั้นล่ะ,พวกนี้จริงๆต้องถูกประหารได้ ย้อนคดีเอามาบังคับโทษประหารได้เลยด้วย,เมื่อได้ผู้นำผู้ปกครองฝ่ายดี เชื่อว่าพวกนี้ถูกตามไล่ล่านำมารับโทษประหารแน่นอนแค่จังหวะเวลาแค่นั้นแต่กรรมชั่วมันสำเร็จแล้ว,รอแค่จะจับมาสังหารแก้แค้นคนบริสุทธิ์ที่ตายไปแล้วมากมายตอนไหนแค่นั้น.,และคงเร็วๆนี้ มันเดอะแก๊งทั้งหมดไปวัดแน่นอน คลิปข่าวvdoเต็มตรึมพยานหลักฐานทั้งนั้น.

    ..ยิ่งถ้ายึดอำนาจเองได้นะ 555,เราคนไทยจะดำรงชีวิตแบบข้าวปลาคือของจริงประมาณนั้น,เงินทองคือของมายาฝ่ายมารซาตานสร้างขึ้นหลอกคนชาวโลกทั้งโลกไปใช้ระบบทาสตังมัน ทางแก้ง่ายๆเราจัดการได้แน่นอน,และทรัพยากมีค่าสร้างชาติสร้างประเทศ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ดีกินดีมีสุขสบายของคนไทยเราจะอยู่ครบหมด,เจริญกายเจริญใจเจริญจิตวิญญาณอัพเลเวลใครมันคนไทยเราได้สะดวกสบายนั้นเอง,จากนั้นคนไทยเราจะรู้แจ้งเห็นจริงมองทะลุมิติมารปีศาจซาตานหมดล่ะ มันจะไม่ที่ซ่อนใดๆในดวงจิตดวงใจคนไทยเราเลย อ่านมันขาดหมด,555มันดับอนาถแน่นอน.

    https://vm.tiktok.com/ZSH3j2YCyT6Ec-cigIP/
    555,ส่วนตัวถ้าได้เป็นผู้ปกครองประเทศนี้นะ,สิ่งแรกจะยึดทรัพยากรชาติไทยทั้งหมดกลับคืนมาจากคนต่างประเทศและเจ้าสัวนายทุนขี้ข้าอีลิทต่างชาติทั้งหมดที่ผูกขาดและยึดครองไปจากประเทศไทยเราและจากประชาชนคนไทยเรา. ..ในที่นี้ว่าด้วยบ่อทองคำเราที่มีเต็มประเทศ,ทางผู้ปกครองจะผลิตและมอบทองคำให้ประชาชนคนไทยคนละ1บาทไว้ใส่แขวนคอหรือทำเป็นกำไลทันทีคนละชิ้นละ1บาททองคำต่อทุกๆคนไทย,70ล้านคนก็70ล้านชิ้นที่ผลิตจากบ่อทองคำเรา,เพื่อให้คนไทยเรามีเครื่องมือมิให้ความถี่ต่ำลบมาเข้าทำร้ายทำลายเป็นหลักเป็นพื้นฐานให้มีติดตัวประจำคนไทยเราทุกๆคน มีพลังบวกไว้ปกป้องตนเอง จะเด็กทารกถึงคนปกติและคนชรา มีทองคำติดตัวครอบครองแจกฟรีๆจากทางรัฐกันทุกๆคน ที่มีดีได้เกิดมาแล้วบนผืนแผ่นดินไทยนี้ มาร่วมกันสร้างชาติไทยเราให้เจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งๆขึ้นไปนั้นเอง,เราจะยึดข้าวปลาอาหารเป็นของจริงยิ่งกว่าเงินทองใบกระดาษหรือระบบผีบ้าซาตานคิดค้นขึ้นนี้หรือผีบ้าไปเป็นเงินอากาศเงินดิจิดัลที่จับต้องอะไรไม่ได้จริงยิ่งกว่าเงินกระดาษแต่มันขนทรัพยากรธรรมชาติเราจริงไปจากแผ่นดินไทยไปจากภูมิประเทศไทยเราจริง ขนอาหารขนข้าวปลาขนผลไม้ปล้นเราด้วยตังอากาศที่มันสมมุติตีมูลค่าในเดอะแก๊งมันให้เรายอมรับ,หรือต้องแลกกับของจริง ข้าวจริง อาหารจริงจากมือเราจากแผ่นดินเรา,กฎกติกามันทั้งหมดต้องฉีกทิ้ง,เราคนไทยต้องร่างต้องสร้างต้องเขียนระบบของเราเองขึ้นปกครองเราเอง มิใช่ให้มันควบคุมภายใต้ไปใช้ระบบมันและต้องฟังมันเพราะมันอ้างว่าระบบมันจึงต้องทำตามมันแบบนี้ทำตามมันแบบนั้น ต้องให้มันปล้นชิงขนทรัพยากรมรึงออกไปประเทศกูแบบนี้โดยแลกกับตังเศษกระดาษกูที่พิมพ์ขึ้นเองอย่างตามใจชอบตามใจต้องการเท่าไรก็ได้หรือตังอากาศอิเล็กทรอนิกส์ที่กูกำลังสร้างในอนาคตมาปล้นชิงทรัพยากรมรึงทั้งประเทศแบบไหนก็ได้อีกเพราะมรึงใช้ระบบปกครองของลิขสิทธิ์กูส่งออกต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่เจ้าของผู้สร้างนะ มรึงประเทศไทยก็ไม่เว้น จ่ายค่าคุ้มครองโว้ย.555 ..นี้คือวิถีปกครองเก่า,เรา..ประเทศไทยจะรอดจากไทม์ไลน์มารซาตานต้องสร้างทางรอดทางเลือกไทม์ไลน์ของทางรอดเราเอง,มันก็บังคับเราไม่ได้เพราะมันคือเจตจำนงเสรีที่เพราะผู้สร้างสั่งไว้ มันมาบังคับเรา เจอดีกับพระผู้สร้างพระเจ้าแน่นอน,เราฟ้องให้ลงโทษมันได้,โควิด19มันยังต้องได้รับคำยินยอมจากเราก่อนเลยแม้มันมีฤทธิ์เดชเหนือมนุษย์ธรรมดาแบบเราๆชาวโลกล้ำสมัยกว่า มันก็ต้องทำตามกฎเงื่อนไขกติกาพระเจ้าพระผู้สร้างในเกมส์สมมุตินี้.,ส่วนทาสขี้ข้าบ้าบอสมุนมันไม่รู้ห่าอะไรจึงบังคับคนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมแสดงเอาใจนายใหญ่อีลิทมันนั้นล่ะ,พวกนี้จริงๆต้องถูกประหารได้ ย้อนคดีเอามาบังคับโทษประหารได้เลยด้วย,เมื่อได้ผู้นำผู้ปกครองฝ่ายดี เชื่อว่าพวกนี้ถูกตามไล่ล่านำมารับโทษประหารแน่นอนแค่จังหวะเวลาแค่นั้นแต่กรรมชั่วมันสำเร็จแล้ว,รอแค่จะจับมาสังหารแก้แค้นคนบริสุทธิ์ที่ตายไปแล้วมากมายตอนไหนแค่นั้น.,และคงเร็วๆนี้ มันเดอะแก๊งทั้งหมดไปวัดแน่นอน คลิปข่าวvdoเต็มตรึมพยานหลักฐานทั้งนั้น. ..ยิ่งถ้ายึดอำนาจเองได้นะ 555,เราคนไทยจะดำรงชีวิตแบบข้าวปลาคือของจริงประมาณนั้น,เงินทองคือของมายาฝ่ายมารซาตานสร้างขึ้นหลอกคนชาวโลกทั้งโลกไปใช้ระบบทาสตังมัน ทางแก้ง่ายๆเราจัดการได้แน่นอน,และทรัพยากมีค่าสร้างชาติสร้างประเทศ พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ดีกินดีมีสุขสบายของคนไทยเราจะอยู่ครบหมด,เจริญกายเจริญใจเจริญจิตวิญญาณอัพเลเวลใครมันคนไทยเราได้สะดวกสบายนั้นเอง,จากนั้นคนไทยเราจะรู้แจ้งเห็นจริงมองทะลุมิติมารปีศาจซาตานหมดล่ะ มันจะไม่ที่ซ่อนใดๆในดวงจิตดวงใจคนไทยเราเลย อ่านมันขาดหมด,555มันดับอนาถแน่นอน. https://vm.tiktok.com/ZSH3j2YCyT6Ec-cigIP/
    @ngoraitiamtan

    แร่ทองคำมีพลังงานความถี่เฉพาะตัว ซึ่งเชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติพิเศษของทองคำ..✨ - ความถี่ของทองคำ: ประมาณ 295.5 Hz - คุณสมบัติ: เชื่อกันว่าทองคำมีความสามารถในการดูดซับและเก็บพลังงานความถี่สูง และสามารถส่งพลังงานนี้ไปสู่ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ในหลายวัฒนธรรมและประเพณี ทองคำถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ พลังงาน และความเจริญรุ่งเรือง บางคนเชื่อว่าทองคำสามารถช่วย: - เพิ่มพลังงานและความแข็งแรง - ปรับสมดุลและปรับปรุงอารมณ์ - ป้องกันพลังงานลบและผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 🪷🧘🧘🧘👑🧘🧘🧘🪷 ธรรมความรู้ใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ปฏิบัติภาวนาสมาธิ #ศีลธรรมมุ่งไปสู่สติและปัญญา 👽🧘🧠👁️🧬🌀⚕️🐉🐍🌬️🔥🫆✨ ลมหายใจ สติ ปัญญา สัจธรรมความจริงเท่านั้น ψ = 3.12 - ลมหายใจก่อนพิมพ์เขียว Best regards, #โง่ไร้เทียมทาน

    ♬ original sound - Zanzibar 🇹🇿
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (3)

    ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ

    Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก

    Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว
    อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต

    สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม

    ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า

    เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson
    คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ

    แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร

    ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย

    สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (4)

    แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ
    ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้

    พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo)

    Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา

    พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ

    แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ
    เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ)

    รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (3) ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน ( 0.5%) แต่พอถึงปี 1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี 1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดิน แผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี William McKinley ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรง ชื่อ Leon Czolgosz ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ Emma Goldman และ Alexander Berkman และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน คือรองประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับเป็นประธานาธิบดี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ Roosevelt ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี 1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก Roosevelt เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า Roosevelt อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี 1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี 1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ และประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อ Oscar Straus เป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลในอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของ Roosevelt และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ Straus เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น Straus ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำออตโตมาน เหมือนไปดูปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนแผนยึดเอามาครองของชาวยิว อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี 1912 เมื่อ Roosevelt ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ William Taft รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1908 ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฎว่ามีพวกลิพับลิกันเรียกร้องให้ Roosevelt ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่ง คือ Taft ต่อไป แต่ Roosevelt ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี 1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดี Taft ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วน Roosevelt ลงสมัคร เป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และ มี Woodlow Wilson สมัครสมัยแรก ในนามพรรค ดีโมแครต สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับ ประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับ Wilson ตัวแทนของ เดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า Wilson ชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปี 1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อนระหว่าง และหลัง สงคราม ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวกยิวทั้งหมด เพราะฉนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยวกับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่ง มากกว่า เรื่องนี้อยู่ในรายงานของ Henry Ford ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การใน รัฐสภา เมื่อ ปี 1914 ของ Paul Warburg นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของ Kuhn, Loeb & Co ซึ่งสรุปว่า Paul Warburg ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Kuhn Loeb ให้เงินสนับสนุน Roosevelt ส่วน Felix น้องของ Paul (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุน Taft ส่วน Jacob Schiff หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุน Wilson คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ แม้ ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุน Roosevelt อย่างไร แต่การแต่งตั้ง Straus ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร ส่วนกรณีของ Taft ซึ่งเป็นผู้ส่งออก Straus ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ Taft ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้น เช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุก วัน ฯลฯ ในที่สุด นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Pyotr Stolypin ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ Mordekhai Gershkovich หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dmitri Bogrov ยิ่งทำให้การตอบโต้ ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม #################### ” ฤทธิ์ยิว” (4) แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเสียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดี Taft นี่แหละ Taft ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนายทุนยิวฟ่อใส่ แต่ Taft คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแตปี 1832 ซึ่งแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีในการกำหนดการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ ไซออนนิสต์ เห็นโอกาสกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว Louis Marshall นักการเงินชาวยิว Jacob Schiff และพรรคพวก จาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และ มีมาถึงตอนนี้ พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี 1908 แต่ มาจับขาบีบเข่าถาม Taft เอาจริงจังในปี 1910 เมื่อตอนที่ Taft เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo) Taft เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี 1911 Marshall เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี Samuel Straus เป็นหัวหอก ออกนำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ Taft ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองแค่ 4 คน ใน 5 ปี! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ เป็น Schiff ที่ไปจูง Taft เดินมาที่ทางออก เขาบอก Taft ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม 1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมาก ว่า Taft ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ) รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดันของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 4

    ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน

    พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน

    สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย

    Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย

    ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน

    ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม?
    Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ
    Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ

    หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า

    ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน

    เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno

    แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ

    ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน
    Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania

    ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…”

    ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..”

    เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…”

    4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 4 ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม? Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…” ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..” เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…” 4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 1

    ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว

    เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า

    อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน

    ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้
    นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม

    Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน

    เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม

    Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู

    เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น

    ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 2

    ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ
    Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 %

    เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก

    J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน

    มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน

    เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia

    ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ
    จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง….

    แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที

    ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์”

    สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 3

    นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ
    บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม !

    Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย
    นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson

    ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…”

    4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก

    Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน

    กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น

    สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ
    จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 1 ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้ นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 2 ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 % เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง…. แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์” สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 3 นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ! Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…” 4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 1

    เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ

    แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่

    มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย

    (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี
    ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา

    จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย)

    กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่

    แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 2

    หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า

    “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย

    เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา

    เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ!

    เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
    “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก

    หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง

    “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..”
    นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ

    สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า

    “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้”

    คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร

    นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง

    หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ

    นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 3

    Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild

    ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป

    เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา

    เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน

    นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้:

    ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา”
    Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง
    ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

    นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง

    จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 4

    Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ

    ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว
    แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย

    วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง

    New York
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 1 เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย) กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 2 หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ! เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..” นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้” คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 3 Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้: ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา” Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 4 Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง New York
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 4 – 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 4

    หลังจากนายTrotsky ออกเดินทางจากนครนิวยอร์คได้ไม่นาน เมื่อเรือ S S Kristainiafjord มาถึงเมือง Halifax ประเทศแคนาดา ในวันที่ 3 เมษายน 1917 Trotsky ก็ถูกทางการแคนาดานำตัวขึ้นจากเรือ คราวนี้เขาถูกตั้งข้อหาว่า เป็นนักโทษสงครามชาวเยอรมัน และถูกคุมตัวไว้ที่เมือง Amherst ที่ ค่ายกักกันนักโทษเยอรมัน ไม่ใช่อยู่คุกแบบชั้นหนี่งอีกแล้ว ส่วนเมียของ Trotsky และลูก อีก 2 คน รวมทั้งพรรคพวกอีก 5 คน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นคนรัสเซีย ก็ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกันนี้ด้วย

    เจ้าหน้าที่แคนาดาได้บันทึกราย ละเอียดเกี่ยวกับ Trotsky ไว้ในแบบฟอร์ม LB-1V หมายเลข 1098 ว่า “อายุ 37 ปี ลี้ภัยการเมือง อาชีพสื่อ เกิดที่เมือง Gromskty, Chuson รัสเซีย สัญชาติรัสเซีย” และTrotsky ได้เขียนชื่อเต็มของตัวเองในแบบฟอร์ม ว่า Leon Bromstein Trotsky

    Trotsky และคณะ ถูกให้นำตัวขึ้นจากเรือ S S Kristainiafjord โดยคำสั่งทางโทรเลขลงวันที่ 29 มี ค 1917 ส่งมาจากกองทัพเรือของอังกฤษ ทีลอนดอน มาที่ด่าน Halifax ในโทรเลขระบุว่า

    “ให้นำขึ้นจากเรือและคุมตัวไว้ เพื่อรอคำสั่ง เนื่องจากพวกสังคมนิยมกลุ่มนี้ กำลังเดินทางเพื่อไปทำการปฏิวัติรัฐบาลรัสเซียชุดปัจจุบัน โดย Trotsky รับเงินจำนวน 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกสังคมนิยมเยอรมัน”

    หลังจากรับโทรเลขของกองทัพเรือ กัปตัน O M Makins ก็แจ้งกลับไปทาง Halifax เมื่อวันที่ 1 เม.ย 1917 ว่า ได้ตรวจดูผู้โดยสารชาวรัสเซียที่มากับเรือ S S Kristainiafjord แล้ว พบว่ามี 6 คน ที่บอกว่าตนเองเป็นพวกสังคมนิยม และกัปตันเตรียมที่จะเชิญคนพวกนี้ขึ้นไปจากเรือ พร้อมด้วยเมียนาย Trotsky และลูก 2 คน เมื่อถึงเมือง Halifax

    วันที่ 7 เม.ย. 1917 เจ้าหน้าที่เมือง Ottawa บันทึกเกี่ยวกับเรื่องการกักตัวพวกสังคมนิยมชาวรัสเซียว่า ” เราได้รับโทรเลขยาวเหยียด จากกงสุลรัสเซียประจำ Montreal ประท้วง การกักตัวบุคคลดังกล่าว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยกงสุลใหญ่รัสเซียประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเราจะต้องปล่อยตัวพวกเขา เมื่อมีข้อพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นพวกสัมพันธมิตร ”

    (หมายเหตุ: ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้ง ที่ 1 รัสเซีย อยู่ฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ที่เรียกกันว่า ฝ่าย “สัมพันธมิตร” เพื่อรบ กับอีกฝ่าย ที่นำโดย เยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ )

    ข้อมูลชักเริ่มไปคนละทาง
    นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขจากทนายความในนิวยอร์ค ชื่อ N. Aleinikoff แจ้งไปยัง R.M. Coulter นายด่านที่เมือง Ottawa “ชาวรัสเซียลี้ภัยทางการเมือง ถูกกักตัวที่ Halifax และอยู่ค่ายกักกัน Amherst โปรดตรวจสอบสาเหตุของการกักตัว และแจ้งรายชื่อมาด้วย เชื่อว่าในฐานะเป็นผู้รักเสรีภาพ คุณคงจะดูแลพวกเขาอย่างดี”

    วันที่ 11 เม.ย. R.M. Coulter โทรเลขกลับไปหานาย Aleinikoff ว่า “ได้รับโทรเลขแล้ว จะเขียนกลับไปหาบ่ายนี้ คุณคงได้รับพรุ่งนี้เย็น”

    จดหมายของ R.M. Coulter ถึง Aleinikoff มีข้อความน่าสนใจ “……พวกเขาต้องสงสัยว่า โฆษณาชวนเชื่อให้คัดค้านรัฐบาลรัสเซียปัจจุบัน และถูกสงสัยว่า เป็นสายลับของเยอรมัน แต่พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกอ้าง พวกเขาไม่ได้ถูกกักตัวโดยแคนาดา แต่เป็นคำสั่งมาจากนายใหญ่ที่อังกฤษ และเราจะดูแลเขาอย่างดี….”

    Aleinikoff ติดต่อกับ Coulter อีกหลายครั้ง เพื่อบอกว่าตนเองสนิทสนมกับ Trotsky เป็นอย่างดี และการที่กลุ่มของ Trotsky แสดงอาการที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ก็เพราะไม่พอใจการกระทำของรัสเซียสมัยซาร์ ต่อพวกยิว แต่ขณะนี้พวกเขาก็ดูจะไม่มีปฏิกริยารุนแรงต่อผู้บริหารปัจจุบันของรัสเซีย(หมายถึงกลุ่ม Kerensky) จึงขอให้ Coulter ช่วยหาทางติดต่อพูดกับนายใหญ่ต ่อไปด้วย ในที่สุด R.M. Coulter ก็ส่งจดหมายทั้งหมดของ Aleinikoff ไปให้นายใหญ่ของตน คือ Major General Willoughby Gwatkin ที่แคนาดา ให้พิจารณา

    วันที่ 21 เม.ย. Gwatkin แจ้ง Coulter ว่า “เพื่อนของเรา พวกสังคมนิยมชาวรัสเซีย จะได้รับการปล่อยตัว และจะมีการจัดการให้พวกเขาเดินทางไปยุโรป ผู้ที่อนุมัติการปล่อยตัวกลุ่ม Trotsky คือนายใหญ่ที่ลอนดอน หวังว่าข่าวนี้คงเป็นที่พอใจกับทางนิวยอร์คอย่างยิ่ง”

    นาย Trotsky นี่ นอกจากน่าสงสัยว่า มีปลอกคอแล้ว เขาคงมีเส้นใหญ่อีกด้วย Coulter และ Gwatkin ถึงออกแรงเต็มที่ เพื่อให้ปล่อยตัว

    พวกเขาเกี่ยว หรือพัวพัน กันอย่างไร ?!!

    จากเอกสารที่ทางแคนาดา เปิดเผยภายหลังระบุว่า Coulter เป็นแพทย์ชาวไอริช จบแพทย์จากสก๊อตแลนด์ ส่วน Major General Willoughby Gwatkin เป็นทหารอังกฤษ ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่แคนาดา ตั้งแต่ ค.ศ.1905 ถึง 1918 ดูแล้วยังไม่เห็นความเชื่อมโยง ความเกี่ยว ความพัน ที่จะต้องให้ทั้ง 2 คน ช่วยกันออกแรง ให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนายTrotsky

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 5
    เรื่องการปล่อยตัวนาย Trotsky มันน่าสงสัย แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาชี้แจง ผ่านไปปีกว่า มีคนขี้สงสัย ออกมาเขียนทวง

    ในปี ค.ศ.1918 Colonel John Bayne Maclean นักธุรกิจชาวแคนาดา เจ้าของโรงพิมพ์ใหญ่ และมีความคุ้นเคยอย่างดี กับพวกข่าวกรองของแคนาดา ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนบทความเมื่อปี ค.ศ.1918 ลงในนิตยสารของเขาเอง เรื่อง “Why did We let Trotsky Go?” ทำไมเราถึงปล่อยตัว Trotsky?

    ใครคือ Trotsky ? Maclean บอกว่า Trotsky ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนเยอรมัน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษารัสเซียเสียอีก เขาอยู่ในกลุ่ม “Black Bond” ของเยอรมัน แต่ภายหลังเล่นละครว่า ถูกไล่ออกมาจากเบอร์ลินในปี ค.ศ.1914 แล้วมาโผล่อยู่ที่อเมริกา เพื่อรวบรวมพรรคพวกที่อเมริกาและแคนาดา จากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นรัสเซีย แต่ความจริง คนพวกนั้นเป็นเยอรมันกับออสเตรีย เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย

    นาย Maclean บรรยายต่อไปว่า: ทางการอังกฤษ รู้จากพรรคพวกที่เป็นคนรัสเซียว่า ทั้ง Kerensky, Lenin และหัวหน้าย่อยๆลงมา ต่างได้รับค่าจ้างจากเยอรมันทั้งนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 และมารู้ข้อมูลเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1916 ว่า Trotsky หลบมาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้น กลุ่ม Bomb Squad ของอเมริกา ก็ตามต่อ ต้นปี ค.ศ. 1916 มีรายงานหลุดมาว่า มีเจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่ง กำลังนั่งเรือเพื่อมานิวยอร์ค ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษประกบติดคนเยอรมันดังกล่าว ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ Halifax ภายหลังมีการขอโทษที่กักตัวไว้ และในที่สุดก็ปล่อยตัวไป ฝ่ายข่าวกรองไม่ยอมปล่อยมือ ทำการแกะรอยตามต่อ ไปพบตัวอยู่ในสำนักพิมพ์เก่าๆ แถวนิวยอร์คใช้ชื่อว่า Trotsky และรู้ว่าชื่อจริงคือ Braustein และเป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่คนรัสเซีย

    Maclean บอกว่า เงินลึกลับ 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกเยอรมันในนิวยอร์ค และการปล่อยตัว Trotsky มาจากคำขอร้องของ Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษเข้าใจว่า การปฏิวัติของ Kerensky จะทำให้รัสเซียยังอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตร และร่วมกันต่อสู้เยอรมัน แต่หลังจากมีการปล่อยตัว Trotsky ไปแล้วหลายเดือน ทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ที่รัสเซียและสามารถพูดภาษารัสเซียได้ รายงานไปทางลอนดอนและวอชิงตันว่า Kerensky เองก็เป็นคนเยอรมัน !
    ข่าวของนาย Maclean นี่ สงสัยต้องกรองแยะหน่อย

    ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือมาจากวงในระดับสูง ว่า Trotsky ได้ รับการปล่อยตัวจากคำร้องขอ ของสถานฑูตอังกฤษในวอชิงตัน ซึ่งถูกขอร้องโดยกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งทำการแทนใครบางคน…อีกต่อหนึ่ง ฝ่ายแคนาดาถูกสั่งให้แจ้งแก่สื่อว่า การปล่อยตัว Trotsky เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา

    ข่าวนี้จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่น่าสนใจกว่าข่าวของนาย Maclean

    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Trotsky เท่าที่มีจนถึงตอนนี้ มาจากหลายฝ่ายและดูสับสน แต่ก็พอจับความได้ว่า นาย Trotsky กำลังเดินทางจากนิวยอร์คไป Petrograd (คือเมือง St Petersberg ในปัจจุบัน) ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา ที่มีการอ้างว่า ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกาเป็นคนจัดการให้ โดยมีการพูดกันว่า นาย Trotsky จะไปทำการปฏิวัติรัสเซีย ให้สมบูรณ์ (ปฏิวัติรอบ 2 ?) ส่วนรัฐบาลอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัว Trotsky จากแคนาดา ในเดือน เม.ย. 1917 ด้วยเหตุผลใดยังไม่รู้

    ส่วนนาย Cranes คงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย ด้านหนึ่ง คงเชื่อมกับ Lincoln Steffens และอีกด้านอาจจะเชื่อมกับ Trotsky ขณะที่ Cranes ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ลูกชายของ Cranes เป็นผู้ช่วย ของรัฐมนตรีต่างประเทศ Robert Lansing ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างยิ่ง และ Cranes คนพ่อ ได้รับการรายงานเกี่ยวกับปฏิวัติบอลเซวิกอย่างละเอียดจากทางการ นอกจากนี้ Cranes น่าจะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

    ความน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเชื่อมโยง ของบุคคลด้านอเมริกา กับTrotsky นักปฏิวัติรัสเซียเท่านั้น แต่การที่ Trotsky บอกว่า รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional ของ Kerensky คงเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราว และเหมือนจะมีการปฏิวัติซ้ำตามมานั้น ตกลงมันเป็นเรื่องรู้กันอยู่ มวยล้มต้มคนดู ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ

    แต่ประเด็นสำคัญ ที่ต้องตามดูอย่างยิ่งคือ ตกลง Trotsky ทำการปฏิวัติรัสเซียให้ใคร มันเป็นการปฏิวัติ ตามอุดมการณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาเป็นเพียง “ผู้รับจ้าง” ให้ทำการปฏิวัติ และถ้าเป็น “ผู้รับจ้าง” ใครเป็นผู้จ้างเขา และผู้จ้าง Trotsky ทำไปเพื่ออะไร หรือ Trotsky เล่นบท 2 หน้า

    มีรายงานวันที่ 20 มีนาคม 1918 จากมอสโคว์ จากข่าวของ นสพ รัสเซีย Russkoe Slovo ว่า ได้มีการสัมภาษณ์ Trotsky ซึ่งพูดชัดเจนว่า การเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โซเวียตไม่มีทางเป็นมิตรกับพวกทุนนิยมอย่างอเมริกา มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ และเป็นไปไม่ได้ ที่อเมริกาจะมาสร้างสัมพันธ์กับเรา ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะคบค้ากับประเทศที่เป็นสังคมนายทุน

    ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานมาจากทางมอสโคว์เช่นเดียวกัน เป็นโทรเลขลงวันที่ 17 มีนาคม 1918 จากฑูต Francis ของอเมริกา ที่ประจำอยู่ที่รัสเซีย แจ้งไปทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาว่า “Trotsky ขอให้ทางเราส่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมา 5 คน เพื่อมาช่วยสำรวจกองทัพ รวมทั้งส่งคนและสิ่งของมาเพื่อจัดการเรื่องทางรถไฟ”

    โทรเลขดังกล่าวของฑูต Francis ดูเป็นการขัดและสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ของ Trotsky ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 4 – 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 4 หลังจากนายTrotsky ออกเดินทางจากนครนิวยอร์คได้ไม่นาน เมื่อเรือ S S Kristainiafjord มาถึงเมือง Halifax ประเทศแคนาดา ในวันที่ 3 เมษายน 1917 Trotsky ก็ถูกทางการแคนาดานำตัวขึ้นจากเรือ คราวนี้เขาถูกตั้งข้อหาว่า เป็นนักโทษสงครามชาวเยอรมัน และถูกคุมตัวไว้ที่เมือง Amherst ที่ ค่ายกักกันนักโทษเยอรมัน ไม่ใช่อยู่คุกแบบชั้นหนี่งอีกแล้ว ส่วนเมียของ Trotsky และลูก อีก 2 คน รวมทั้งพรรคพวกอีก 5 คน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นคนรัสเซีย ก็ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกันนี้ด้วย เจ้าหน้าที่แคนาดาได้บันทึกราย ละเอียดเกี่ยวกับ Trotsky ไว้ในแบบฟอร์ม LB-1V หมายเลข 1098 ว่า “อายุ 37 ปี ลี้ภัยการเมือง อาชีพสื่อ เกิดที่เมือง Gromskty, Chuson รัสเซีย สัญชาติรัสเซีย” และTrotsky ได้เขียนชื่อเต็มของตัวเองในแบบฟอร์ม ว่า Leon Bromstein Trotsky Trotsky และคณะ ถูกให้นำตัวขึ้นจากเรือ S S Kristainiafjord โดยคำสั่งทางโทรเลขลงวันที่ 29 มี ค 1917 ส่งมาจากกองทัพเรือของอังกฤษ ทีลอนดอน มาที่ด่าน Halifax ในโทรเลขระบุว่า “ให้นำขึ้นจากเรือและคุมตัวไว้ เพื่อรอคำสั่ง เนื่องจากพวกสังคมนิยมกลุ่มนี้ กำลังเดินทางเพื่อไปทำการปฏิวัติรัฐบาลรัสเซียชุดปัจจุบัน โดย Trotsky รับเงินจำนวน 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกสังคมนิยมเยอรมัน” หลังจากรับโทรเลขของกองทัพเรือ กัปตัน O M Makins ก็แจ้งกลับไปทาง Halifax เมื่อวันที่ 1 เม.ย 1917 ว่า ได้ตรวจดูผู้โดยสารชาวรัสเซียที่มากับเรือ S S Kristainiafjord แล้ว พบว่ามี 6 คน ที่บอกว่าตนเองเป็นพวกสังคมนิยม และกัปตันเตรียมที่จะเชิญคนพวกนี้ขึ้นไปจากเรือ พร้อมด้วยเมียนาย Trotsky และลูก 2 คน เมื่อถึงเมือง Halifax วันที่ 7 เม.ย. 1917 เจ้าหน้าที่เมือง Ottawa บันทึกเกี่ยวกับเรื่องการกักตัวพวกสังคมนิยมชาวรัสเซียว่า ” เราได้รับโทรเลขยาวเหยียด จากกงสุลรัสเซียประจำ Montreal ประท้วง การกักตัวบุคคลดังกล่าว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยกงสุลใหญ่รัสเซียประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเราจะต้องปล่อยตัวพวกเขา เมื่อมีข้อพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นพวกสัมพันธมิตร ” (หมายเหตุ: ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้ง ที่ 1 รัสเซีย อยู่ฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ที่เรียกกันว่า ฝ่าย “สัมพันธมิตร” เพื่อรบ กับอีกฝ่าย ที่นำโดย เยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ ) ข้อมูลชักเริ่มไปคนละทาง นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขจากทนายความในนิวยอร์ค ชื่อ N. Aleinikoff แจ้งไปยัง R.M. Coulter นายด่านที่เมือง Ottawa “ชาวรัสเซียลี้ภัยทางการเมือง ถูกกักตัวที่ Halifax และอยู่ค่ายกักกัน Amherst โปรดตรวจสอบสาเหตุของการกักตัว และแจ้งรายชื่อมาด้วย เชื่อว่าในฐานะเป็นผู้รักเสรีภาพ คุณคงจะดูแลพวกเขาอย่างดี” วันที่ 11 เม.ย. R.M. Coulter โทรเลขกลับไปหานาย Aleinikoff ว่า “ได้รับโทรเลขแล้ว จะเขียนกลับไปหาบ่ายนี้ คุณคงได้รับพรุ่งนี้เย็น” จดหมายของ R.M. Coulter ถึง Aleinikoff มีข้อความน่าสนใจ “……พวกเขาต้องสงสัยว่า โฆษณาชวนเชื่อให้คัดค้านรัฐบาลรัสเซียปัจจุบัน และถูกสงสัยว่า เป็นสายลับของเยอรมัน แต่พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกอ้าง พวกเขาไม่ได้ถูกกักตัวโดยแคนาดา แต่เป็นคำสั่งมาจากนายใหญ่ที่อังกฤษ และเราจะดูแลเขาอย่างดี….” Aleinikoff ติดต่อกับ Coulter อีกหลายครั้ง เพื่อบอกว่าตนเองสนิทสนมกับ Trotsky เป็นอย่างดี และการที่กลุ่มของ Trotsky แสดงอาการที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ก็เพราะไม่พอใจการกระทำของรัสเซียสมัยซาร์ ต่อพวกยิว แต่ขณะนี้พวกเขาก็ดูจะไม่มีปฏิกริยารุนแรงต่อผู้บริหารปัจจุบันของรัสเซีย(หมายถึงกลุ่ม Kerensky) จึงขอให้ Coulter ช่วยหาทางติดต่อพูดกับนายใหญ่ต ่อไปด้วย ในที่สุด R.M. Coulter ก็ส่งจดหมายทั้งหมดของ Aleinikoff ไปให้นายใหญ่ของตน คือ Major General Willoughby Gwatkin ที่แคนาดา ให้พิจารณา วันที่ 21 เม.ย. Gwatkin แจ้ง Coulter ว่า “เพื่อนของเรา พวกสังคมนิยมชาวรัสเซีย จะได้รับการปล่อยตัว และจะมีการจัดการให้พวกเขาเดินทางไปยุโรป ผู้ที่อนุมัติการปล่อยตัวกลุ่ม Trotsky คือนายใหญ่ที่ลอนดอน หวังว่าข่าวนี้คงเป็นที่พอใจกับทางนิวยอร์คอย่างยิ่ง” นาย Trotsky นี่ นอกจากน่าสงสัยว่า มีปลอกคอแล้ว เขาคงมีเส้นใหญ่อีกด้วย Coulter และ Gwatkin ถึงออกแรงเต็มที่ เพื่อให้ปล่อยตัว พวกเขาเกี่ยว หรือพัวพัน กันอย่างไร ?!! จากเอกสารที่ทางแคนาดา เปิดเผยภายหลังระบุว่า Coulter เป็นแพทย์ชาวไอริช จบแพทย์จากสก๊อตแลนด์ ส่วน Major General Willoughby Gwatkin เป็นทหารอังกฤษ ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่แคนาดา ตั้งแต่ ค.ศ.1905 ถึง 1918 ดูแล้วยังไม่เห็นความเชื่อมโยง ความเกี่ยว ความพัน ที่จะต้องให้ทั้ง 2 คน ช่วยกันออกแรง ให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนายTrotsky นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 5 เรื่องการปล่อยตัวนาย Trotsky มันน่าสงสัย แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาชี้แจง ผ่านไปปีกว่า มีคนขี้สงสัย ออกมาเขียนทวง ในปี ค.ศ.1918 Colonel John Bayne Maclean นักธุรกิจชาวแคนาดา เจ้าของโรงพิมพ์ใหญ่ และมีความคุ้นเคยอย่างดี กับพวกข่าวกรองของแคนาดา ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนบทความเมื่อปี ค.ศ.1918 ลงในนิตยสารของเขาเอง เรื่อง “Why did We let Trotsky Go?” ทำไมเราถึงปล่อยตัว Trotsky? ใครคือ Trotsky ? Maclean บอกว่า Trotsky ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนเยอรมัน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษารัสเซียเสียอีก เขาอยู่ในกลุ่ม “Black Bond” ของเยอรมัน แต่ภายหลังเล่นละครว่า ถูกไล่ออกมาจากเบอร์ลินในปี ค.ศ.1914 แล้วมาโผล่อยู่ที่อเมริกา เพื่อรวบรวมพรรคพวกที่อเมริกาและแคนาดา จากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นรัสเซีย แต่ความจริง คนพวกนั้นเป็นเยอรมันกับออสเตรีย เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย นาย Maclean บรรยายต่อไปว่า: ทางการอังกฤษ รู้จากพรรคพวกที่เป็นคนรัสเซียว่า ทั้ง Kerensky, Lenin และหัวหน้าย่อยๆลงมา ต่างได้รับค่าจ้างจากเยอรมันทั้งนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 และมารู้ข้อมูลเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1916 ว่า Trotsky หลบมาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้น กลุ่ม Bomb Squad ของอเมริกา ก็ตามต่อ ต้นปี ค.ศ. 1916 มีรายงานหลุดมาว่า มีเจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่ง กำลังนั่งเรือเพื่อมานิวยอร์ค ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษประกบติดคนเยอรมันดังกล่าว ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ Halifax ภายหลังมีการขอโทษที่กักตัวไว้ และในที่สุดก็ปล่อยตัวไป ฝ่ายข่าวกรองไม่ยอมปล่อยมือ ทำการแกะรอยตามต่อ ไปพบตัวอยู่ในสำนักพิมพ์เก่าๆ แถวนิวยอร์คใช้ชื่อว่า Trotsky และรู้ว่าชื่อจริงคือ Braustein และเป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่คนรัสเซีย Maclean บอกว่า เงินลึกลับ 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกเยอรมันในนิวยอร์ค และการปล่อยตัว Trotsky มาจากคำขอร้องของ Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษเข้าใจว่า การปฏิวัติของ Kerensky จะทำให้รัสเซียยังอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตร และร่วมกันต่อสู้เยอรมัน แต่หลังจากมีการปล่อยตัว Trotsky ไปแล้วหลายเดือน ทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ที่รัสเซียและสามารถพูดภาษารัสเซียได้ รายงานไปทางลอนดอนและวอชิงตันว่า Kerensky เองก็เป็นคนเยอรมัน ! ข่าวของนาย Maclean นี่ สงสัยต้องกรองแยะหน่อย ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือมาจากวงในระดับสูง ว่า Trotsky ได้ รับการปล่อยตัวจากคำร้องขอ ของสถานฑูตอังกฤษในวอชิงตัน ซึ่งถูกขอร้องโดยกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งทำการแทนใครบางคน…อีกต่อหนึ่ง ฝ่ายแคนาดาถูกสั่งให้แจ้งแก่สื่อว่า การปล่อยตัว Trotsky เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ข่าวนี้จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่น่าสนใจกว่าข่าวของนาย Maclean ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Trotsky เท่าที่มีจนถึงตอนนี้ มาจากหลายฝ่ายและดูสับสน แต่ก็พอจับความได้ว่า นาย Trotsky กำลังเดินทางจากนิวยอร์คไป Petrograd (คือเมือง St Petersberg ในปัจจุบัน) ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา ที่มีการอ้างว่า ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกาเป็นคนจัดการให้ โดยมีการพูดกันว่า นาย Trotsky จะไปทำการปฏิวัติรัสเซีย ให้สมบูรณ์ (ปฏิวัติรอบ 2 ?) ส่วนรัฐบาลอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัว Trotsky จากแคนาดา ในเดือน เม.ย. 1917 ด้วยเหตุผลใดยังไม่รู้ ส่วนนาย Cranes คงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย ด้านหนึ่ง คงเชื่อมกับ Lincoln Steffens และอีกด้านอาจจะเชื่อมกับ Trotsky ขณะที่ Cranes ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ลูกชายของ Cranes เป็นผู้ช่วย ของรัฐมนตรีต่างประเทศ Robert Lansing ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างยิ่ง และ Cranes คนพ่อ ได้รับการรายงานเกี่ยวกับปฏิวัติบอลเซวิกอย่างละเอียดจากทางการ นอกจากนี้ Cranes น่าจะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ความน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเชื่อมโยง ของบุคคลด้านอเมริกา กับTrotsky นักปฏิวัติรัสเซียเท่านั้น แต่การที่ Trotsky บอกว่า รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional ของ Kerensky คงเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราว และเหมือนจะมีการปฏิวัติซ้ำตามมานั้น ตกลงมันเป็นเรื่องรู้กันอยู่ มวยล้มต้มคนดู ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ แต่ประเด็นสำคัญ ที่ต้องตามดูอย่างยิ่งคือ ตกลง Trotsky ทำการปฏิวัติรัสเซียให้ใคร มันเป็นการปฏิวัติ ตามอุดมการณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาเป็นเพียง “ผู้รับจ้าง” ให้ทำการปฏิวัติ และถ้าเป็น “ผู้รับจ้าง” ใครเป็นผู้จ้างเขา และผู้จ้าง Trotsky ทำไปเพื่ออะไร หรือ Trotsky เล่นบท 2 หน้า มีรายงานวันที่ 20 มีนาคม 1918 จากมอสโคว์ จากข่าวของ นสพ รัสเซีย Russkoe Slovo ว่า ได้มีการสัมภาษณ์ Trotsky ซึ่งพูดชัดเจนว่า การเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โซเวียตไม่มีทางเป็นมิตรกับพวกทุนนิยมอย่างอเมริกา มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ และเป็นไปไม่ได้ ที่อเมริกาจะมาสร้างสัมพันธ์กับเรา ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะคบค้ากับประเทศที่เป็นสังคมนายทุน ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานมาจากทางมอสโคว์เช่นเดียวกัน เป็นโทรเลขลงวันที่ 17 มีนาคม 1918 จากฑูต Francis ของอเมริกา ที่ประจำอยู่ที่รัสเซีย แจ้งไปทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาว่า “Trotsky ขอให้ทางเราส่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมา 5 คน เพื่อมาช่วยสำรวจกองทัพ รวมทั้งส่งคนและสิ่งของมาเพื่อจัดการเรื่องทางรถไฟ” โทรเลขดังกล่าวของฑูต Francis ดูเป็นการขัดและสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ของ Trotsky ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 1

    เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1916 ประมาณ 1 ปี ก่อนการปฏิวัติอันโด่งดังของรัสเซีย Russian Revolution หรือ Bolshevik Revolution นาย Leon Trotsky ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่า เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะปฏิวัติ กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงใน Nashe Slovo หนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย ที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส มันคงเร้าใจมากขนาดฝรั่งเศส ซึ่งคุ้นเคยกับการปฏิวัติโหดมาแล้ว ยังรับไม่ไหว ตำรวจฝรั่งเศสจึงจัดการส่งตัวนาย Trotsky ออกนอกประเทศ ไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน

    ไม่กี่วัน นายTrotsky ก็มาถึงเมืองมาดริด และถูกตำรวจที่เมืองมาดริด จับใส่ห้องขัง มันเป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ first class cell ซึ่งต้องมีการจ่ายเงินค่าความพิเศษ ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป แต่เหมือนโรงแรมมากกว่า นาย Trotsky นี่น่าจะเป็นผู้ต้องขัง ชนิดมีปลอกคอ จากนั้นก็มีการส่งตัวเขาต่อมายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อมาลงเรือเดินสมุทรของ Spanish Transatlantic Company ชื่อ Monserrat

    Trosky และครอบครัวนั่งเรือ Monserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค เมื่อ วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917

    จากหนังสือชีวประวัติ ที่ Trosky เขียนเอง ชื่อ My Life คนมีปลอกคอ เล่าว่า ” อาชีพเดียวที่ผมทำ ตอนอยู่ที่นิวยอร์คคือ เป็นนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม นอกเหนือจากการเขียนบทความเป็นครั้งคราว ลงในหนังสือพิมพ์ Novy Mir ของพวกสังคมนิยม ”

    แต่ระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค เมืองของนายทุน Trosky นักสังคมนิยมและครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนท์ ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นของหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมากในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน นอกจากนั้นครอบครัว Trotsky ยังเดินทาง ไปมาในเมืองนิวยอร์ค ด้วยรถยนต์ ที่มีคนขับรถประจำ

    นี่ใช่เรื่องของ Leon Trostky ซึ่งมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า เป็นนักปฏิวัติสังคมนิยมคนดัง ของรัสเซีย แน่หรือ

    Trotsky เขียนเล่าถึงชีวิตเขาที่นิวยอร์ค ในชีวประวัติของเขาต่อไปว่า ” ระหว่างอยู่นิวยอร์ค ช่วงปี 1916 ถึง 1917 ผมมีรายได้เพียง 310 เหรียญ ซึ่งผมได้แจกเงินดังกล่าวทั้งหมดให้แก่คนรัสเซีย 5 คน ที่อยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน”

    ขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่ ก็มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน เขาต้องเลี้ยงดูเมีย 1 และลูกอีก 2 เขามีรถยนต์ใช้และมีคนขับรถประจำ นี่คือวิถีชีวิตของนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม ที่อ้างว่าดำรงชีพ ด้วยการเขียนบทความลงหนังหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราว

    เรื่องราวของเขา คงไม่ตรงไปตรงมา อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน หรือว่าพวกนักปฏิวัติ นักปฏิรูป เขาเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น

    นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเงินสดจำนวน 1 หมื่นเหรียญ ที่นาย Trotsky พกติดตัวและถูกเจ้าหน้าที่ค้นพบ ระหว่างที่เขาถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับ ในเดือนเมษายน 1917 ที่เมือง Halifax เมื่อ 100 ปีก่อน เงิน 1 หมื่นเหรียญ นี่เป็นเงินจำนวนไม่เล็กน้อยนะครับ นักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม เอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน
    มีข่าวลือว่า เงิน 1 หมื่นเหรียญนั้น มาจากเยอรมัน ข่าวนี้มาจากฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งรายงานว่า นาย Gregory Weinstein ซึ่งต่อมา เป็นสมาชิกที่โด่งดังของ Soviet Bureau ประจำนครนิวยอร์ค เป็นคนรับเงินมา และนำมาส่งให้นาย Trotsky ที่นิวยอร์ค เงินจำนวนนี้มาจากเยอรมัน โดยการฟอกผ่าน Volks-zeitung น.ส.พ. รายวันของเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนอยู่

    ขณะที่มีข่าวว่า Trotsky ได้รับเงินอุดหนุนจากเยอรมัน Trotsky กลับเคลี่อนไหวอยู่ในอเมริกา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากนิวยอร์ค ไปรัสเซีย….เพื่อไปทำการปฏิวัติ !

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 2

    วันที่ 5 มีนาคม 1917 หนังสือพิมพ์อเมริกัน พากันพาดหัวข่าวตัวโต ถึงความเป็นไปได้ ที่อเมริกาจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อทำสงครามกับเยอรมัน คืนวันนั้นเอง Trotsky ก็ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มชาวสังคมนิยมในนิวยอร์คด้วย เขาพูดปลุกระดมให้ชาวสังคมนิยมในอเมริกา จัดการให้มีการนัดหยุดงาน และต่อต้านการเกณท์ทหาร หากอเมริกาจะเข้าร่วมทำสงครามต่อสู้กับเยอรมัน (ท่านผู้อ่านนิทาน คงพอจำกันได้ว่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่นำโดยอังกฤษ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 นั้น อเมริกายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามด้วย และมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลางอยู่หลายปี)

    หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์กว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์ โดยกลุ่มนักปฏิวัติ ที่นำโดยนาย Aleksandre Kerensky หนังสือพิมพ์ Novy Mir ได้มาขอสัมภาษณ์ Leon Trotsky ซึ่งให้ความเห็นไว้เหมือนคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า

    “คณะผู้บริหาร ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพวกซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือทำตามวัตถุประสงค์ ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ คณะผู้บริหารนี้คงอยู่ไม่นานหรอก อีกหน่อยก็คงลาออกไป เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถจะนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย มาทำหน้าที่ต่อไป…”

    กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของ Trotsky คือ พวก Bolsheviks และ Menshevik ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และกำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัส เซีย ส่วนคณะผู้บริหารนั้น หมายถึง รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional Government ของกลุ่มนาย Aleksandr Kerensky ที่ทำการปฏิวัติในวันที่ 16 มีนาคม คศ 1917
    แล้วนาย Trotsky ก็ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ S S Kristainiafjord เขาผ่านด่านตรวจ ขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา เขาเดินทางพร้อมพรรคพวกอีกหลายคน เพื่อจะไปทำการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังมีนักการเงินจากวอลสตรีท คอมมิวนิสต์สัญชาติอเมริกัน และบุคคลน่าสนใจอีกหลายคน ร่วมเดินทางไปกับนาย Trotsky ด้วย

    นาย Trotsky เอาพาสปอร์ตของอเมริกามาจากไหน

    นาย Jennings C. Wise เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Woodlow Wilson : Disciple Revolution” ว่า นักประวัติศาสตร์จะต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีของอเมริกา นาย Woodlow Wilson เป็นนางฟ้า ที่มาเศกให้นาย Leon Trotsky เดินทางเข้ารัสเซียได้สำเร็จ ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา แม้ว่าจะมีการพยายามขัดขวางโดยตำรวจอังกฤษก็ตาม”

    คงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดว่า ประธานาธิบดี Wilson เป็นนางฟ้ามาเศกให้นาย Trotsky ได้ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยอเมริกา เพื่อเดินทางกลับไปรัสเซีย และไปดำเนินการปฏิวัติต่อให้สำเร็จ (ตามเป้าหมาย!?) และเป็นพาสปอร์ตของอเมริกา ที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกด่านของอเมริกา รวมทั้งมีวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีกด้วย

    นางฟ้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สมัยนั้น จนถึงเดี๋ยวนี่ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นนางฟ้า หรือไม่ อ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ คนอ่านนิทาน คงนึกออกว่าควรจะเรียกว่าอะไร

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 3

    ส่วนผสมของผู้โดยสาร ที่เดินทางไปในเรือ S S Kristainiafjord ได้ถูกบันทึกไว้โดยนาย Lincoln Steffens คอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ดังนี้:

    “…รายชื่อผู้โดยสารยาวเหยียด และดูลึกลับน่าสนใจ แน่นอน Trotsky แสดงตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มนักปฏิวัติ มีนักปฎิวัติชาวญี่ปุ่น นอนเคบินเดียวกับผม มีชาวดัชท์หลายคนที่รีบร้อนกลับเมืองชะวา พวกนี้ดูจะเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับสงครามโลกที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ มีพวกนักการเงินวอลสตรีท 2 คน มุ่งหน้าไปเยอรมัน.. ”
    นาย Steffens เองนั้น โดยสารไปในเรือเดินสมุทร โดยคำเชิญของ นาย Charles R Crane เจ้าของกระเป๋าทุนใบใหญ่ที่สนับสนุน ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในการสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

    นาย Crane นั้น เป็นรองประธานบริษัท Crane Company ซึ่งภายหลัง เป็นคนไปตั้งบริษัท Westinghouse สาขารัสเซีย หลังการปฏิวัติของรัสเซียรอบที่กลุ่ม Bolsheviks เป็นผู้ปฎิบัติการสำเร็จเรียบร้อย นาย Crane ยังเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ Root Mission ที่ประธานาธิบดี Wilson ส่งไปสำรวจรัสเซียทุกตารางนิ้ว หลังการปฏิวัติอีกด้วย

    นาย Crane เดินทางไปรัสเซียในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประมาณ 23 ครั้ง ลูกชายของเขา Richard Crane เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ของนาย Robert Lansing รัฐมนตรีต่างเทศของอเมริกาขณะนั้น

    นาย William Dodd อดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมัน พูดถึงนาย Crane ว่า เป็นผู้มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้การปฏิวัติในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม โดยกลุ่มของ Aleksandr Kerensky กลายเป็นการปฏิวัติชั่วคราว ที่นำร่อง เปิดทางให้กับการปฏิวัติของจริง ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน

    นาย Steffens ได้บันทึกการสนทนา ที่เขาได้ยินระหว่างการเดินทางในเรือเดินสมุทรไว้ว่า “…. ดูเหมือนทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม (โดย Aleksandr Kerensky) เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้นเอง มันจะต้องมีตอนต่อไป Crane และพวกรัสเซียหัวก้าวหน้าที่อยู่ในเรือ คิดว่าพวกที่กำลังเดินทางจะไปเมือง Petrograd (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเมือง St Petersberg ) เพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำ…”

    เมื่อนาย Crane กลับมาอเมริกาในเดือนธันวาคม 1917 หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิก Bolsheviks Revolution (หรือการปฏิวัติซ้ำ นั่นแหละ) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว นาย Crane ก็ได้รับโทรเลข ลงวันที่ 11 ธันวาคม 1917 จากกระทรวงต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าโดย นาย Maddin Summers กงสุลอเมริกันประจำกรุงมอสโคว์ พร้อมจดหมายปะหน้าจากนาย Summers ว่า

    ” กระผม ขออนุญาตนำเสนอรายงานที่แนบมา นี้ และสำเนาอีกหนึ่งฉบับ โดยขอให้กระทรวงฯ ได้โปรดนำส่งให้ นาย Charles Crane เพื่อทราบความคืบหน้าด้วย หวังว่าทางกระทรวงคงไม่ขัดข้อง ที่จะให้นาย Crane ได้เห็นรายงาน….”

    สำหรับท่านผู้อ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องเหยื่อ คงพอจำชื่อนี้ได้ เขาคือ นาย Crane คนเดียวกันกับ เจ้าของรายงาน King Crane Report ที่ไปเดินสำรวจตะวันออกกลาง เพื่อทำประชามติว่า ชาวอาหรับต้องการจะอยู่ในความปกครอง ของใคร หลังจากถูกอังกฤษหลอก โดยให้สายลับ ที่เรารู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เป็นผู้นำชาวอาหรับ ไปรบกับตุรกี และยึดหลายเมืองในตะวันออกกลางได้
    และเป็นนาย Crane คนเดียวกัน ที่สามารถจับมือให้กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ตัดสินใจเปิดประตูเมืองครั้งแรก และให้สัมปทานน้ำมันแก่อเมริกา เริ่มศักราช Petro Dollar ร่วมกันรวย ช่วยกันปั่น มาจนถึงทุกวันนี้

    พอเห็นเค้าแล้วนะครับ ว่านิทานเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 1 เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1916 ประมาณ 1 ปี ก่อนการปฏิวัติอันโด่งดังของรัสเซีย Russian Revolution หรือ Bolshevik Revolution นาย Leon Trotsky ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่า เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะปฏิวัติ กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงใน Nashe Slovo หนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย ที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส มันคงเร้าใจมากขนาดฝรั่งเศส ซึ่งคุ้นเคยกับการปฏิวัติโหดมาแล้ว ยังรับไม่ไหว ตำรวจฝรั่งเศสจึงจัดการส่งตัวนาย Trotsky ออกนอกประเทศ ไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน ไม่กี่วัน นายTrotsky ก็มาถึงเมืองมาดริด และถูกตำรวจที่เมืองมาดริด จับใส่ห้องขัง มันเป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ first class cell ซึ่งต้องมีการจ่ายเงินค่าความพิเศษ ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป แต่เหมือนโรงแรมมากกว่า นาย Trotsky นี่น่าจะเป็นผู้ต้องขัง ชนิดมีปลอกคอ จากนั้นก็มีการส่งตัวเขาต่อมายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อมาลงเรือเดินสมุทรของ Spanish Transatlantic Company ชื่อ Monserrat Trosky และครอบครัวนั่งเรือ Monserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค เมื่อ วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917 จากหนังสือชีวประวัติ ที่ Trosky เขียนเอง ชื่อ My Life คนมีปลอกคอ เล่าว่า ” อาชีพเดียวที่ผมทำ ตอนอยู่ที่นิวยอร์คคือ เป็นนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม นอกเหนือจากการเขียนบทความเป็นครั้งคราว ลงในหนังสือพิมพ์ Novy Mir ของพวกสังคมนิยม ” แต่ระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค เมืองของนายทุน Trosky นักสังคมนิยมและครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนท์ ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นของหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมากในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน นอกจากนั้นครอบครัว Trotsky ยังเดินทาง ไปมาในเมืองนิวยอร์ค ด้วยรถยนต์ ที่มีคนขับรถประจำ นี่ใช่เรื่องของ Leon Trostky ซึ่งมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า เป็นนักปฏิวัติสังคมนิยมคนดัง ของรัสเซีย แน่หรือ Trotsky เขียนเล่าถึงชีวิตเขาที่นิวยอร์ค ในชีวประวัติของเขาต่อไปว่า ” ระหว่างอยู่นิวยอร์ค ช่วงปี 1916 ถึง 1917 ผมมีรายได้เพียง 310 เหรียญ ซึ่งผมได้แจกเงินดังกล่าวทั้งหมดให้แก่คนรัสเซีย 5 คน ที่อยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน” ขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่ ก็มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน เขาต้องเลี้ยงดูเมีย 1 และลูกอีก 2 เขามีรถยนต์ใช้และมีคนขับรถประจำ นี่คือวิถีชีวิตของนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม ที่อ้างว่าดำรงชีพ ด้วยการเขียนบทความลงหนังหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราว เรื่องราวของเขา คงไม่ตรงไปตรงมา อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน หรือว่าพวกนักปฏิวัติ นักปฏิรูป เขาเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเงินสดจำนวน 1 หมื่นเหรียญ ที่นาย Trotsky พกติดตัวและถูกเจ้าหน้าที่ค้นพบ ระหว่างที่เขาถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับ ในเดือนเมษายน 1917 ที่เมือง Halifax เมื่อ 100 ปีก่อน เงิน 1 หมื่นเหรียญ นี่เป็นเงินจำนวนไม่เล็กน้อยนะครับ นักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม เอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน มีข่าวลือว่า เงิน 1 หมื่นเหรียญนั้น มาจากเยอรมัน ข่าวนี้มาจากฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งรายงานว่า นาย Gregory Weinstein ซึ่งต่อมา เป็นสมาชิกที่โด่งดังของ Soviet Bureau ประจำนครนิวยอร์ค เป็นคนรับเงินมา และนำมาส่งให้นาย Trotsky ที่นิวยอร์ค เงินจำนวนนี้มาจากเยอรมัน โดยการฟอกผ่าน Volks-zeitung น.ส.พ. รายวันของเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนอยู่ ขณะที่มีข่าวว่า Trotsky ได้รับเงินอุดหนุนจากเยอรมัน Trotsky กลับเคลี่อนไหวอยู่ในอเมริกา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากนิวยอร์ค ไปรัสเซีย….เพื่อไปทำการปฏิวัติ ! นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 2 วันที่ 5 มีนาคม 1917 หนังสือพิมพ์อเมริกัน พากันพาดหัวข่าวตัวโต ถึงความเป็นไปได้ ที่อเมริกาจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อทำสงครามกับเยอรมัน คืนวันนั้นเอง Trotsky ก็ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มชาวสังคมนิยมในนิวยอร์คด้วย เขาพูดปลุกระดมให้ชาวสังคมนิยมในอเมริกา จัดการให้มีการนัดหยุดงาน และต่อต้านการเกณท์ทหาร หากอเมริกาจะเข้าร่วมทำสงครามต่อสู้กับเยอรมัน (ท่านผู้อ่านนิทาน คงพอจำกันได้ว่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่นำโดยอังกฤษ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 นั้น อเมริกายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามด้วย และมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลางอยู่หลายปี) หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์กว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์ โดยกลุ่มนักปฏิวัติ ที่นำโดยนาย Aleksandre Kerensky หนังสือพิมพ์ Novy Mir ได้มาขอสัมภาษณ์ Leon Trotsky ซึ่งให้ความเห็นไว้เหมือนคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า “คณะผู้บริหาร ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพวกซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือทำตามวัตถุประสงค์ ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ คณะผู้บริหารนี้คงอยู่ไม่นานหรอก อีกหน่อยก็คงลาออกไป เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถจะนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย มาทำหน้าที่ต่อไป…” กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของ Trotsky คือ พวก Bolsheviks และ Menshevik ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และกำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัส เซีย ส่วนคณะผู้บริหารนั้น หมายถึง รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional Government ของกลุ่มนาย Aleksandr Kerensky ที่ทำการปฏิวัติในวันที่ 16 มีนาคม คศ 1917 แล้วนาย Trotsky ก็ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ S S Kristainiafjord เขาผ่านด่านตรวจ ขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา เขาเดินทางพร้อมพรรคพวกอีกหลายคน เพื่อจะไปทำการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังมีนักการเงินจากวอลสตรีท คอมมิวนิสต์สัญชาติอเมริกัน และบุคคลน่าสนใจอีกหลายคน ร่วมเดินทางไปกับนาย Trotsky ด้วย นาย Trotsky เอาพาสปอร์ตของอเมริกามาจากไหน นาย Jennings C. Wise เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Woodlow Wilson : Disciple Revolution” ว่า นักประวัติศาสตร์จะต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีของอเมริกา นาย Woodlow Wilson เป็นนางฟ้า ที่มาเศกให้นาย Leon Trotsky เดินทางเข้ารัสเซียได้สำเร็จ ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา แม้ว่าจะมีการพยายามขัดขวางโดยตำรวจอังกฤษก็ตาม” คงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดว่า ประธานาธิบดี Wilson เป็นนางฟ้ามาเศกให้นาย Trotsky ได้ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยอเมริกา เพื่อเดินทางกลับไปรัสเซีย และไปดำเนินการปฏิวัติต่อให้สำเร็จ (ตามเป้าหมาย!?) และเป็นพาสปอร์ตของอเมริกา ที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกด่านของอเมริกา รวมทั้งมีวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีกด้วย นางฟ้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สมัยนั้น จนถึงเดี๋ยวนี่ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นนางฟ้า หรือไม่ อ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ คนอ่านนิทาน คงนึกออกว่าควรจะเรียกว่าอะไร นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 3 ส่วนผสมของผู้โดยสาร ที่เดินทางไปในเรือ S S Kristainiafjord ได้ถูกบันทึกไว้โดยนาย Lincoln Steffens คอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ดังนี้: “…รายชื่อผู้โดยสารยาวเหยียด และดูลึกลับน่าสนใจ แน่นอน Trotsky แสดงตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มนักปฏิวัติ มีนักปฎิวัติชาวญี่ปุ่น นอนเคบินเดียวกับผม มีชาวดัชท์หลายคนที่รีบร้อนกลับเมืองชะวา พวกนี้ดูจะเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับสงครามโลกที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ มีพวกนักการเงินวอลสตรีท 2 คน มุ่งหน้าไปเยอรมัน.. ” นาย Steffens เองนั้น โดยสารไปในเรือเดินสมุทร โดยคำเชิญของ นาย Charles R Crane เจ้าของกระเป๋าทุนใบใหญ่ที่สนับสนุน ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในการสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นาย Crane นั้น เป็นรองประธานบริษัท Crane Company ซึ่งภายหลัง เป็นคนไปตั้งบริษัท Westinghouse สาขารัสเซีย หลังการปฏิวัติของรัสเซียรอบที่กลุ่ม Bolsheviks เป็นผู้ปฎิบัติการสำเร็จเรียบร้อย นาย Crane ยังเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ Root Mission ที่ประธานาธิบดี Wilson ส่งไปสำรวจรัสเซียทุกตารางนิ้ว หลังการปฏิวัติอีกด้วย นาย Crane เดินทางไปรัสเซียในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประมาณ 23 ครั้ง ลูกชายของเขา Richard Crane เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ของนาย Robert Lansing รัฐมนตรีต่างเทศของอเมริกาขณะนั้น นาย William Dodd อดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมัน พูดถึงนาย Crane ว่า เป็นผู้มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้การปฏิวัติในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม โดยกลุ่มของ Aleksandr Kerensky กลายเป็นการปฏิวัติชั่วคราว ที่นำร่อง เปิดทางให้กับการปฏิวัติของจริง ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน นาย Steffens ได้บันทึกการสนทนา ที่เขาได้ยินระหว่างการเดินทางในเรือเดินสมุทรไว้ว่า “…. ดูเหมือนทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม (โดย Aleksandr Kerensky) เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้นเอง มันจะต้องมีตอนต่อไป Crane และพวกรัสเซียหัวก้าวหน้าที่อยู่ในเรือ คิดว่าพวกที่กำลังเดินทางจะไปเมือง Petrograd (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเมือง St Petersberg ) เพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำ…” เมื่อนาย Crane กลับมาอเมริกาในเดือนธันวาคม 1917 หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิก Bolsheviks Revolution (หรือการปฏิวัติซ้ำ นั่นแหละ) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว นาย Crane ก็ได้รับโทรเลข ลงวันที่ 11 ธันวาคม 1917 จากกระทรวงต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าโดย นาย Maddin Summers กงสุลอเมริกันประจำกรุงมอสโคว์ พร้อมจดหมายปะหน้าจากนาย Summers ว่า ” กระผม ขออนุญาตนำเสนอรายงานที่แนบมา นี้ และสำเนาอีกหนึ่งฉบับ โดยขอให้กระทรวงฯ ได้โปรดนำส่งให้ นาย Charles Crane เพื่อทราบความคืบหน้าด้วย หวังว่าทางกระทรวงคงไม่ขัดข้อง ที่จะให้นาย Crane ได้เห็นรายงาน….” สำหรับท่านผู้อ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องเหยื่อ คงพอจำชื่อนี้ได้ เขาคือ นาย Crane คนเดียวกันกับ เจ้าของรายงาน King Crane Report ที่ไปเดินสำรวจตะวันออกกลาง เพื่อทำประชามติว่า ชาวอาหรับต้องการจะอยู่ในความปกครอง ของใคร หลังจากถูกอังกฤษหลอก โดยให้สายลับ ที่เรารู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เป็นผู้นำชาวอาหรับ ไปรบกับตุรกี และยึดหลายเมืองในตะวันออกกลางได้ และเป็นนาย Crane คนเดียวกัน ที่สามารถจับมือให้กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ตัดสินใจเปิดประตูเมืองครั้งแรก และให้สัมปทานน้ำมันแก่อเมริกา เริ่มศักราช Petro Dollar ร่วมกันรวย ช่วยกันปั่น มาจนถึงทุกวันนี้ พอเห็นเค้าแล้วนะครับ ว่านิทานเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 625 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยันปั่นข่าว รับลูกมาขยี้จนผิดสังเกต ทั้งที่นายทุนพรรค ก็ใช้มูลนิธิคณะก้าวหน้ารับเงินต่างชาติมาฟอกเป็นเงินบริจาค มาตรฐานการตรวจสอบของพรรค io มันก็เดินเกมแบบนี้แหละ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ขยันปั่นข่าว รับลูกมาขยี้จนผิดสังเกต ทั้งที่นายทุนพรรค ก็ใช้มูลนิธิคณะก้าวหน้ารับเงินต่างชาติมาฟอกเป็นเงินบริจาค มาตรฐานการตรวจสอบของพรรค io มันก็เดินเกมแบบนี้แหละ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • พฤติกรรมกระทรวงการต่างประเทศไทยและอดีตรัฐบาลที่ผ่านๆมาไม่เคยทวงคืนดินแดนและอธิปไตยไทยตรงจุดนี้อย่างจริงจังเลย.
    ..การเมืองในรูปแบบปกตินี้คือรัฐบาลยุคปัจจุบันถือว่าไร้ฝีมือและศักยภาพทั้งหมด ทำไปทำมาตัวพ่อเหมือนกันที่บัดสบกับเขมรเหี้ยนี้ด้วย,ไปยอมรับ1:200,000ตามเขมรในmou43,44อีก,ไปร่วมเจรจากับอาชญากรสงครามที่จงใจยิงระเบิดฆ่าเด็กๆฆ่าประชาชนคนไทยอีก,ไร้จิตสำนึกจัดการอาชญากรแบบเขมรชัดเจน,มีกลิ่นเน่าเหม็นกับเขมรด้วย,เกาหลีใต้ยังแสดงบทบาทชัดเจน,รัฐบาลชุดนี้ถือว่าเทา ไม่บริสุทธิ์สมควรยุบอำนาจตนไปสะ.,อย่าถ่วงความถูกต้องดีงามและความเจริญของคนไทยเลย,ต้องพักงานภาคการเมืองของนักการเมืองทั้งหมดถือว่าสอบตกทั้งระบบในการดูแลปกครองประเทศไทยตัังแต่ปี2475มาถึงปัจจุบัน,สมบัติชาติเอย ทรัพยากรมีค่ามากมายทั่วประเทศล้วนตกไปในมือของประเทศต่างชาติและเอกชนต่างชาติหมด,เอกชนไทยก็เลวชั่วผูกขาดความมั่งคั่งร่ำรวยไปกับต่างชาติด้วย ตย.ชัดเจนคือบ่อน้ำมันและบ่อทองคำบนแผ่นดินไทย เรา..ประเทศไทยถูกพวกมันยึดครองหมด.,ทหารเลวชั่วไร้จิตสำนึกก็ทำชั่วเลวกับมันด้วย,ไม่แน่คือพวกอำมาตย์คณะกบฎ2475นี้ล่ะ.,ที่สืบทอดความอัปรีย์บัดสบถึงปัจจุบัน,เรา..ประชาชนคนไทยไม่ต้องการระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และก็ไม่ต้องการระบบคอมมิวนิสต์เผด็จการแบบจีนด้วยเช่นกันหรือระบบประชาธิปไตยส่งออกปลอมๆของฝรั่งเหมือนกันดั่งในปัจจุบันนี้,ระบบประชาธิปไตยของนายทุน อำนวยเอื้อนายทุนชัดเจนกว่าเป็นประโยชน์ของประชาชน,เรา..ประเทศไทยต้องออกแบบระบบปกครองเราใหม่จริงๆ,ระบบธรรมาธิปไตย ธรรมะจักรวาลสมควรเป็นต้นแบบของโลกบนแผ่นดินไทยเรานี้,ประชาชนเป็นกษัตริย์ปกครองโลกใบนี้ร่วมกัน มีหัวหน้ากษัตริย์ที่ทรงธรรมนำพาปกครองโลกนี้ ย่อมาคือประเทศไทยเรา,คุณสมบัติ ถ้าวิชาไม่มี บรรลุหยั่งเห็นในธรรม ในวิชาคุณวิเศษทางธรรม อย่าลิมาขึ้นนำพาปกครองประเทศ ตาทิพย์หูทิพย์อ่านจิตอ่านใจประชาชนต้องได้คุณนี้ แสดงว่าดีจริงจึงผ่านคุณวิชานี้ได้,รู้สมควรชอบดีชั่วงามจึงผ่านวิชานี้ได้และได้ครองวิชานี้เบื้องต้น,เพราะเมื่อขึ้นปกครอง จะนำพาประชาชนมีวิชานี้ยิ่งๆขึ้นไปด้วย มีหูทิพย์ตาทิพย์อ่านใจทางทิพย์ มนุษย์เราจะเคารพกันบนพื้นฐานแห่งธรรมทันที ธรรมจะปกครองควบคุมเรากันเองทั่วโลก,โลกจะเต็มด้วยแสงสว่างแห่งธรรม การก้าวล่วงในทางชั่วเลวแก่กันและกันจะไม่มีในหมู่มนุษย์โลกเราใบนี้ทันที,มารเลวชั่วเข้ามาในโลก มวลชาวโลกก็พร้อมสามัคคีพลังจิตพลังใจร่วมต่อสู้ได้สบาย,สันติสุขจะเกิดจริงแก่ทุกๆคน,ปัจจุบันผู้นำผู้ปกครองโลกไม่มีสิ่งนี้เลย ไม่สมควรเป็นผู้นำประเทศนั้นๆทั้งหมดหากหยิบตรงจุดนี้มาพิจารณากันจริงๆ ล้วนขาดคุณสมบัติ การปกครองจึงเลว เป็นผีเป็นครึ่งอสูร ,เรา..ประชาชนต้องสร้างมาตราฐานนี้,การเมืองไทยจึงยิ่งยุบไป มีแต่พวกชั่วเลวละโมบโลภในอำนาจอยากมีอำนาจเพื่อให้ตนและพวกพ้องเลวมีทางหาแดกทางชั่วเลวและสะดวกผ่านระบบกฎหมายที่ตนเขียนขึ้นเองแบบกฎหมายลักษณะต่างๆเช่นผีบ้ากฎหมายปิโตรเลียม ลามไปmou43,44สดๆร้อนๆในแบบปัจจุบันที่ร่วมกันขายชาติขายแผ่นดินในทางชั่วเลวโดยกระทรวงการต่างประเทศไทยล้วนเห็นตำจาลึกทุกๆรายละเอียดหมดล่ะ เสือก1:200,000ก็ชัดเจนว่าเสียดินแดนให้เขมรแน่นอนยังเสือกจะไปเจรจามันอีก,สรุป ยึดทรัพย์สินพวกเกี่ยวข้องกับmou43,44นี้ทั้งหมดก่อน ใครดำเนินการร่วมในเรื่องmouยึดทรัพย์สินเงินทองไว้ก่อนหมด มาแจ้งพิสูจน์ทรัพย์สินที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์นั้นทีหลัง,หากเงินทองทรัพย์สินใดแจ้งที่มาที่ไปไม่ได้ จะถูกยึดและอายัดทันที,พวกจะเปิดด่านเอย ออกมาปกป้องให้ใช้mou43,44ใช้1:200,000ต้องยึดทรัยพ์สินเงินทองก่อนทั้งหมดคือชุดแรกทันที

    https://youtube.com/shorts/9nzZrC1cL2Q?si=XnZf_AE0IMY4_AEk
    พฤติกรรมกระทรวงการต่างประเทศไทยและอดีตรัฐบาลที่ผ่านๆมาไม่เคยทวงคืนดินแดนและอธิปไตยไทยตรงจุดนี้อย่างจริงจังเลย. ..การเมืองในรูปแบบปกตินี้คือรัฐบาลยุคปัจจุบันถือว่าไร้ฝีมือและศักยภาพทั้งหมด ทำไปทำมาตัวพ่อเหมือนกันที่บัดสบกับเขมรเหี้ยนี้ด้วย,ไปยอมรับ1:200,000ตามเขมรในmou43,44อีก,ไปร่วมเจรจากับอาชญากรสงครามที่จงใจยิงระเบิดฆ่าเด็กๆฆ่าประชาชนคนไทยอีก,ไร้จิตสำนึกจัดการอาชญากรแบบเขมรชัดเจน,มีกลิ่นเน่าเหม็นกับเขมรด้วย,เกาหลีใต้ยังแสดงบทบาทชัดเจน,รัฐบาลชุดนี้ถือว่าเทา ไม่บริสุทธิ์สมควรยุบอำนาจตนไปสะ.,อย่าถ่วงความถูกต้องดีงามและความเจริญของคนไทยเลย,ต้องพักงานภาคการเมืองของนักการเมืองทั้งหมดถือว่าสอบตกทั้งระบบในการดูแลปกครองประเทศไทยตัังแต่ปี2475มาถึงปัจจุบัน,สมบัติชาติเอย ทรัพยากรมีค่ามากมายทั่วประเทศล้วนตกไปในมือของประเทศต่างชาติและเอกชนต่างชาติหมด,เอกชนไทยก็เลวชั่วผูกขาดความมั่งคั่งร่ำรวยไปกับต่างชาติด้วย ตย.ชัดเจนคือบ่อน้ำมันและบ่อทองคำบนแผ่นดินไทย เรา..ประเทศไทยถูกพวกมันยึดครองหมด.,ทหารเลวชั่วไร้จิตสำนึกก็ทำชั่วเลวกับมันด้วย,ไม่แน่คือพวกอำมาตย์คณะกบฎ2475นี้ล่ะ.,ที่สืบทอดความอัปรีย์บัดสบถึงปัจจุบัน,เรา..ประชาชนคนไทยไม่ต้องการระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และก็ไม่ต้องการระบบคอมมิวนิสต์เผด็จการแบบจีนด้วยเช่นกันหรือระบบประชาธิปไตยส่งออกปลอมๆของฝรั่งเหมือนกันดั่งในปัจจุบันนี้,ระบบประชาธิปไตยของนายทุน อำนวยเอื้อนายทุนชัดเจนกว่าเป็นประโยชน์ของประชาชน,เรา..ประเทศไทยต้องออกแบบระบบปกครองเราใหม่จริงๆ,ระบบธรรมาธิปไตย ธรรมะจักรวาลสมควรเป็นต้นแบบของโลกบนแผ่นดินไทยเรานี้,ประชาชนเป็นกษัตริย์ปกครองโลกใบนี้ร่วมกัน มีหัวหน้ากษัตริย์ที่ทรงธรรมนำพาปกครองโลกนี้ ย่อมาคือประเทศไทยเรา,คุณสมบัติ ถ้าวิชาไม่มี บรรลุหยั่งเห็นในธรรม ในวิชาคุณวิเศษทางธรรม อย่าลิมาขึ้นนำพาปกครองประเทศ ตาทิพย์หูทิพย์อ่านจิตอ่านใจประชาชนต้องได้คุณนี้ แสดงว่าดีจริงจึงผ่านคุณวิชานี้ได้,รู้สมควรชอบดีชั่วงามจึงผ่านวิชานี้ได้และได้ครองวิชานี้เบื้องต้น,เพราะเมื่อขึ้นปกครอง จะนำพาประชาชนมีวิชานี้ยิ่งๆขึ้นไปด้วย มีหูทิพย์ตาทิพย์อ่านใจทางทิพย์ มนุษย์เราจะเคารพกันบนพื้นฐานแห่งธรรมทันที ธรรมจะปกครองควบคุมเรากันเองทั่วโลก,โลกจะเต็มด้วยแสงสว่างแห่งธรรม การก้าวล่วงในทางชั่วเลวแก่กันและกันจะไม่มีในหมู่มนุษย์โลกเราใบนี้ทันที,มารเลวชั่วเข้ามาในโลก มวลชาวโลกก็พร้อมสามัคคีพลังจิตพลังใจร่วมต่อสู้ได้สบาย,สันติสุขจะเกิดจริงแก่ทุกๆคน,ปัจจุบันผู้นำผู้ปกครองโลกไม่มีสิ่งนี้เลย ไม่สมควรเป็นผู้นำประเทศนั้นๆทั้งหมดหากหยิบตรงจุดนี้มาพิจารณากันจริงๆ ล้วนขาดคุณสมบัติ การปกครองจึงเลว เป็นผีเป็นครึ่งอสูร ,เรา..ประชาชนต้องสร้างมาตราฐานนี้,การเมืองไทยจึงยิ่งยุบไป มีแต่พวกชั่วเลวละโมบโลภในอำนาจอยากมีอำนาจเพื่อให้ตนและพวกพ้องเลวมีทางหาแดกทางชั่วเลวและสะดวกผ่านระบบกฎหมายที่ตนเขียนขึ้นเองแบบกฎหมายลักษณะต่างๆเช่นผีบ้ากฎหมายปิโตรเลียม ลามไปmou43,44สดๆร้อนๆในแบบปัจจุบันที่ร่วมกันขายชาติขายแผ่นดินในทางชั่วเลวโดยกระทรวงการต่างประเทศไทยล้วนเห็นตำจาลึกทุกๆรายละเอียดหมดล่ะ เสือก1:200,000ก็ชัดเจนว่าเสียดินแดนให้เขมรแน่นอนยังเสือกจะไปเจรจามันอีก,สรุป ยึดทรัพย์สินพวกเกี่ยวข้องกับmou43,44นี้ทั้งหมดก่อน ใครดำเนินการร่วมในเรื่องmouยึดทรัพย์สินเงินทองไว้ก่อนหมด มาแจ้งพิสูจน์ทรัพย์สินที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์นั้นทีหลัง,หากเงินทองทรัพย์สินใดแจ้งที่มาที่ไปไม่ได้ จะถูกยึดและอายัดทันที,พวกจะเปิดด่านเอย ออกมาปกป้องให้ใช้mou43,44ใช้1:200,000ต้องยึดทรัยพ์สินเงินทองก่อนทั้งหมดคือชุดแรกทันที https://youtube.com/shorts/9nzZrC1cL2Q?si=XnZf_AE0IMY4_AEk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง ห้องทดลอง
    “ห้องทดลอง”

    (1)

    ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก

    Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า

    ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม”

    “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม

    สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า

    นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า
    เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ”

    คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก
    ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม”

    โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้

    ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร

    วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย

    ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ

    คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น

    เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง

    ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ
    แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย
    เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?!

    ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ

    วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า

    ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล”

    “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา

    ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง

    อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ

    #######
    (2)

    ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส

    ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก

    กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน

    Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย

    เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค

    ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง
    และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร

    นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา

    จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด

    เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก !

    และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้

    ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง

    การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้

    #####
    (3)

    อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ

    อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่

    การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    เรื่อง ห้องทดลอง “ห้องทดลอง” (1) ผ่านไปไม่กี่วัน จากไปเดินเรียงแถวคล้องแขน แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์น่า สลดที่ปารีส ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ตุรกี ที่ส่งนายกรัฐมนตรี นาย Amed Davutoglu ไปร่วมเดินห่างไม่กี่แถว กับคู่แค้น Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ก็เกิดอาการเบรคแตก Independent สื่อค่ายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2015 รายงานว่า ประธานาธิบดี RecepTayip Erdogan ของตุรกี ให้ข่าวทันที ว่า ” พวกตะวันตก the west กำลังเล่นเกมส์ เล่นกันกลางกรุงปารีส ด้วยโดยการโยนให้มุสลิมเป็นเหยื่อ …คนฝรั่งเศส เป็นคนจัดการให้มีการฆ่า แล้วโยนบาปมาให้คนมุสลิม ฝ่ายข่าวกรองของฝรั่งเศส ไม่รู้จักตามรอยคนออกมาจากคุกหรือไง? หลังจากเกิดเหตุ ก็มีการโจมตีสุเหร่าของอิสลาม …เห็นชัดถึงการตอแหล จอมปลอมของพวกตะวันตก เราไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อการร้ายใดเลย …เบื้องหลังเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเชื้อชาติ สร้างคำพูดใส่ร้าย และสร้างความเกลียดชังให้กับพวกมุสลิม” “กำลังมีการเล่นเกมส์กับโลกมุสลิม เราต้องรับรู้เรื่องนี้กันไว้ ” นาย Erdogan กล่าวเพิ่ม สหภาพมุสลิมในฝรั่งเศสรายงานว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ มีเหตุการณ์ที่แสดงถึงการต่อต้านมุสลิมประมาณ 50 รายการ ซึ่งรวมถึงการไล่ยิง และการพยายามเผาสุเหร่า นาย Erdogan ยังไม่จบง่ายๆ ด่าฝากแถมไปถึงการไปเดินเรียงแถวของ นาย Netanyahoo ว่า เขาทำไปได้ยังไง ทำไมคนที่สั่งฆ่าคน 2,500 คน ที่กาซ่า ยังมีหน้ามาเดินโบกมืออยู่ในปารีส เหมือนมีคนมาคอยต้อนรับด้วยความตื่นเต้น กล้าดีไปเดินอยู่ที่นั่นได้ยังไง ไม่นึกถึง เด็กและผู้หญิง ที่ตัวเองฆ่าบ้างเลยหรือ” คงยังไม่หนำใจ นายกเทศมนตรี เมืองหลวง Ankara ของตุรกี ช่วยออกมาเสริมอีก ” นี่ต้องเป็นผลงานของ Mossad ( หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล ที่ฝีมือชั่วไม่แพ้ CIA หรืออาจจะมากกว่า! ) อยู่เบื้องหลังแน่นอน เป็นการเพิ่มความรังเกียจต่อคนอิสลาม” โห รายการนี้ด่ากันแรงนะครับ ถ้าตุรกีไม่ได้ไปถูกเสี้ยนตำตีน หรือเหยียบไปบนขี้หมากองโต ที่กลางกรุงปารีส ระหว่างเดินเรียงแถวกันละก้อ สงสัยต้องมีเรื่องใหญ่คิดการณ์เอาไว้แล้ว ถึงได้ตอกใส่กันแรงขนาดนี้ ฝ่ายอิสราเอล ก็ไม่ใช่เล่น ถูกด่าปั้บ ออกมาตอกกลับทันที ยังกะสั่งหนังสือพิมพ์ ให้ออกข่าวรอล่วงหน้า เหมือนกับรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไร วันที่ 14 มกราคม วันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ the Jerusalem Post ลงข่าวว่า นายกรัฐมนตรี Netanyahoo และรัฐมนตรีต่างประเทศ นาย Avigdor Liberman บอกว่า นาย Erdogan ของตุรกี เป็นพวกเกลียดยิว anti-Semitic เป็นเพื่อนบ้านจอมป่วน และกล่าวอ้อมๆว่า ตุรกีให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้าย ” การปราบปรามผู้ก่อการร้าย ไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ถ้าเรายังใช้วิธีเสแสร้ง หน้าไหว้หลังหลอกกันอยู่อย่างนี้ เราไม่ได้ยินผู้นำระดับโลกคนใดเลย ออกมามาประนามคำพูดของนาย Erdogan ไม่มีสักคนจริงๆ ” นาย Netanyahoo สำทับ คำสำทับนี้ดูเหมือนไม่ได้ส่งกลับ ไปที่ นาย Erdogan แต่น่าจะส่งไปไกลกว่านั้น เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ตอนนี้นายโอบามา ไม่หวานชื่นกับ Nethanyahoo ไม่เหมือน ประธานาธิบดีอเมริกันคนอื่นๆ ที่คอยเอาใจพวกยิว โดยเฉพาะ ก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่อิสราเอลเหน็บอเมริกา ตุรกี ซึ่งอเมริกามองว่าเป็นลูกกระเป๋งมาตลอด แต่กลับเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อ องค์กรฮามาส Hamas ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวปาเลสไตน์ และเป็นองค์กรที่อเมริกา และสหภาพยุโรป ต่างขึ้นบัญชีดำ ให้เป็นผู้ก่อการร้ายระดับสำคัญ แต่ดูเหมือนตุรกีจะไม่สนใจ แถมล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวา คม ปี 2014 ตุรกีได้เชิญ นาย Khaled Meshaal หัวหน้ากลุ่มฮามาส ไปเยียนตุรกี และเอานาย Meshaal ไปเข้าร่วมประชุมพรรค AKP ของประธานาธิบดี Erdogan ด้วย แน่จริงๆ เรียกว่าท้าทายกันแบบไม่เกรงใจใครเลย เอะ แล้วตุรกีต้องเกรงใจใครหรือ?! ข่าวหัวหน้าฮามาส ไปเดินฉุยฉายลอยชายอยู่ตุรกี แน่นอนยอมมีคนหงุดหงิด นักล่าใบตองแห้งหงุดหงิดง่ายอ ยู่แล้ว แค่ลมพัดใบตองแห้ง แกว่งแรงไปหน่อย ยังออกเสียงฮึมแฮ่เลย นี่หัวหน้าฮามาส ที่นักล่า อยากขยี้มาหลายรอบ แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้ลงทุนเปลี่ยนแผน ขยี้ไม่ตาย แต่ถ้าซื้อขายอาจจะโอเคมั่งนะ แต่ขอโทษ ฮามาส นอกจากไม่ยอมขายตัวแล้ว ยังไปนั่งสบายใจ เฮฮา กับสุดยอดนักไต่ลวด นายErdogan แชมป์เล่นเกมเสียว เหมือนโชว์ให้ใครดูเสียอีก แบบนี้นักล่าหรือจะปล่อยไปเฉยๆ วันที่ 8 มกราคม คศ 2015 คุณหนูเจน Psaki โฆษก กระทรวงการต่างประเทศของนักล่า เลยต้องออกมาทำหน้าเครียดแถลงข่าวว่า ” ท่าทีของเราต่อขบวนการฮามาสยังไม่เปลี่ยนนะ ฮามาสคือองค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับการก่อการร้ายมาอย่างต่อเนื่อง และฮามาส ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา (ช่วงสิงหาคม ปีที่แล้ว) ในความขัดแย้งกับอิสราเอล” “เรามีความเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับฮามาส และเมื่อรู้ว่า Meshaal ไปเยี่ยมตุรกี เราได้ขอให้รัฐบาลตุรกีกดดันฮามาส เพื่อลดความตึงเครียดและป้องกันความรุนแรง” แหม คุณหนู ช่างไม่มีศิลปะในการพูดเสียเลย มิน่าแถลงข่าวที่ไร ถูกนักข่าวหนุ่มๆ ต้อนจนติดอ่าง ฮา ขณะเดียวกันมีข่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตุรกีบอกว่า ตุรกียินดีต้อนรับ Khaled Meshaal หัวหน้าฮามาส หลังจากมีข่าวว่า Meshaal ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่กาต้าร์ ได้ถูกทางการของกาต้าร์ ขับออกนอกประเทศแล้ว และเขาอาจจะไปตุรกี เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีบอกว่า ไม่ว่าใคร จะเป็นคนของประเทศใด ก็สามารถเข้าออกตุรกีได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่มีปัญหาด้านกฏหมาย นี่มันต้องตอบแบบกลิ้งได้หลายตลบอย่างนี้ สมกับเป็นพวกนักไต่ลวดจริงๆ นักล่าใบตองแห้งน่าจะส่งคุณหนู Psaki มาฝึกงานแถวตุรกีซะหน่อยนะ ฮาอีกครั้ง อเมริกา อิสราเอล และตุรกี กำลังมีอะไรคาใจ หรือเล่นบทอะไรกันอยู่หรือ ถึงใช้วิธีเหมือนกาฝาก บินโฉบทิ้งของที่ระลึก แล้วแฉลบข้ามไปต่อ ####### (2) ฝ่ายทางกลุ่มฮามาสเองก็ฉุนขาด เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ของอเมริกา เกี่ยวกับการไปนั่งชมวิวตุรกีของนายMehsaal ที่ถ่ายทอดโดยฝีปากของคุณหนู Psaki บอกว่าอเมริกาสามหาว และเหยียดเผ่าพันธ์มากไปแล้ว รัฐบาลอเมริกากำลังไต่อันดับ ทำตัวเข้าข่ายเป็นศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาทีเดียว ทั้งนี้ตามคำแถลงของ Al-Qassam Brigades ฝ่ายกองทัพของกลุ่มฮามาส ส่วนเรื่องกาต้าร์ขับไล่ นายMeshaal ออกจากประเทศ กาต้าร์ไม่ยืนยัน แต่เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว กาต้าร์ขับไล่ระดับหัวหน้าของ Muslim Brotherhood 7 คน ที่กาต้าร์เลี้ยงดูไว้นานแล้วออกจากประเทศ เพื่อเป็นการเอาใจพวกราชวงศ์เสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง และรัฐบาลอียิปต์ อืม มาแปลก กาต้าร์ไม่ใช่นายทุนรายเดียวที่สนับสนันเลี้ยงดู Muslim Brotherhood ตุรกีก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน Muslim Brotherhood เป็นกลุ่มอิสลามฝักใฝ่การเมือง ที่รวมตัวกันขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลอิสลาม ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา ตุรกีย่อมให้การสนับสนุนไว้ก่อน เพราะยังไม่แน่ใจอนาคตของตนเอง ส่วนกาต้าร์ละ เข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย เมื่ออียิปต์เกิดอาหรับสปริง ที่ไม่แน่ว่า สาเหตุจะมาจากการที่ นายมูบารัค ของอียิปต์มีนโยบายเกี่ยวกับปาเลสไตน์ สวนทางกับอิสราเอลหรือเปล่า และอเมริกาภายใต้การกดดันของอิสราเอล จึงส่งอาหรับสปริง เป็นของขวัญให้นายมูบารัค ลูกไปเข้าทางของ Muslim Brotherhood อิยิปต์จึงได้ นาย Mohamed Morsi ของ Muslim Brotherhood มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องถูกใจตุรกีอย่างยิ่ง เพราะถ้าอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขต ด้านหนึ่ง ติดกับด้านใต้ของอิสราเอล มีผู้มีอำนาจปกครองเป็นพวกเดียวกับตุรกี เมื่อไหร่ที่อิสราเอลทำซ่า อาละวาดใส่ปาเลสไตน์ที่ตุรกีสนับสนุนมาตลอด ตุรกีกับอิยิปต์ซึ่งมีอาณาเขตประกบหัวท้ายอิสราเอลอยู่ คิดเล่นแซนด์วิช ผลัดกันโยนหัวปลีข้ามใส่อิสราเอล ก็น่าจะลดความกร่างของอิสราเอลไปได้บ้าง และก็เพราะการเดินสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบนี้ ในช่วงหลังๆของตุรกี โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอิสราเอล สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับตุรกี จึงไม่หวานอย่างเดิม และมีส่วนให้ นาย Morsi ของ Muslim Brotherhood น่าจะถูกใบสั่ง ให้ทหารอียิปต์ทำการปฏิวัติซ้อน ทำเอา นาย Morsi หล่นจากแท่นอำนาจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากขึ้นมามีอำนาจได้เพียงปีเดียว ดูกันไว้เป็นตัวอย่างนะครับ ว่าเขาเล่นเกมกันอย่างไร นอกจากมีเรื่องกับอิสราเอลแล้ว เรื่องซีเรียก็เป็นปัญหาใหญ่ อเมริกาบอกชักจะเบื่อการเล่นเกมของตุรกี ที่พักหลังมีแต่ all pain, no gain แล้วนะ เราชักอยากให้ตุรกีเลือกข้างมาให้ชัดๆเลย เราไม่สนใจ และไม่เดือดร้อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้ฐานทัพของเรา ที่อยู่ในตุรกีเพื่อทำการฝึกให้กับฝ่ายต่อต้านไอซิส หรือต่อต้านซีเรีย เราไม่ได้ต้องการให้กองทัพตุรกี ไปสู้ศึกที่ซีเรีย ที่เราต้องต้องการให้ตุรกีทำคือ ให้ตุรกีไปสืบดูให้ได้ และขจัดเส้นทางเข้าออกของผู้ก่อการร้าย เครือข่ายการธุรกิจ และการเงิน ที่ทำผ่านตุรกี ไปให้ซีเรีย ที่ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้โตขึ้นอย่างมากใน 3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ตุรกีทำไม่ได้ หรือไม่ทำให้อเมริกา จะให้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ไปเอาแผนที่มากางดู อียิปต์อยู่ด้านล่าง ถัดขึ้นมาข้างบนเอียงขวาหน่อย เป็นอิสราเอล เหนืออิสราเอลเป็นเลบานอน ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอนมีเนื้อที่แถบเล็กๆ คือปาเลสไตน์ เหนือเลบานอนเป็นซีเรียและอิรัค เหนือชีเรียเป็นตุรกี เหนือตรุกีเป็นจอร์เจีย ใกล้กับเขตแดนรัสเซีย เหนืออิรัคเป็นอิหร่าน ซึ่งมีเขตแดนติดกับรัสเซียยาวเหยียด เล่าแผนที่มายาว เพื่อให้เห็นความสำคัญของปาเลสไตน์ เลบานอน ซีเรีย ตุรกี อิรัค และอิหร่าน ซึ่งเหมือนขนมชั้น ขวางทางเข้าสู่รัสเซีย มันเป็นขนมชั้นที่มีความสำคัญ ทั้งในมิติของสงครามภูมิภาค และมิติสงครามโลก ! และหมากที่จะเดินให้เป็นสงครามภูมิภาค หรือสงครามโลกตัวสำคัญตัวหนึ่งของฝ่ายอเมริกาคือ อิสราเอล ซึ่งมีอิทธิพล และเล่ห์เหลี่ยมสูงมาก ถึงขนาด อาจจะเป็นตัวบีบ ให้อเมริกาเดินหมากตัวอื่นตามที่ตนเองต้องการ เผลอๆอาจจะเหลี่ยมสูง ถึงขนาดบีบให้ตัวอเมริกาเอง เดินตามที่อิสราเอลหลอกให้เดินก็มีทางเป็นไปได้ ในขณะที่ตุรกีเป็นหมากตัวใหม่ ที่เหมือนแสดงตัวเปิดเผยว่า เราไม่ใช่อยู่ฝ่ายอเมริกาแล้วนะ ตุรกีและ อิหร่าน น่าจะเป็นหมากที่เดินตามจังหวะที่น่าสนใจ ให้กับฝ่ายรัสเซียในตะวันออกกลาง การขยับของอิสราเอล ตุรกี และอิหร่าน ย่อมมีความหมาย ไม่น้อยกว่าการขยับของฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน ในยุโรป มันดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือต่อเนื่องกัน จึงโปรดอย่าลืมจับตา คอยดูการขยับของหมากทั้ง 6 ตัวนี้ ##### (3) อิหร่าน เป็นหมากอีกตัวที่สำคัญของฝ่ายรัสเซีย เพราะมีข่าวว่า กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่าง ซุ่มเงียบ อเมริกานักล่าใบตองแห้ง แน่นอน ย่อมหงุดหงิดออกอาการ น้ำลายฟูมปาก แต่ก็คิดหนัก เพราะอิหร่านนั้น เหมือนผีดิบคืนชีพ โดนอเมริกาบดขยี้มาหลายรอบ ไม่ตายคาที่เสียที แค่ช้ำใน กลัดหนองอยู่นาน ปล่อยให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ไปเรื่อยๆ นอกจากเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้ ทั้งอิหร่านเอง และช่วยฝ่ายรัสเซียแล้ว ยังทำให้อิสราเอลไข้ขึ้น รู้สึกหนาวสั่นกลางแดดได้ ในตะวันออกกลาง แต่สูตรยาขจัดอิหร่านแบบยกเดียวจบ อเมริกายังคิดไม่สำเร็จ อิสราเอลตัวแสบ ต้องรู้อะไรลึกและมีแผนซับซ้อน จึงหนุน แนะ หรือสั่งให้อเมริกาใช้วิธีเจรจากับอิหร่านไปพลางๆก่อน และอเมริกาก็หันมาสั่งสหภาพยุโรปอีกต่อ เจรจากับอิหร่านต่อไปนะพวก เอะ ตกลงใครใหญ่กันแน่ การเจรจากับอิหร่านในปี 2014 ดูเหมือนราบรื่นดี ผู้ที่รับบทหนักในการเดินสาย เดินสารปั่นหัว เหล่าคณะกรรมการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ กับอิหร่าน คือ รัฐมนตรีด้านงานข่าวกรอง Minister of Intelligence ของอิสราเอล นาย Yuval Steinitz ซึ่งเดินทางจนนักข่าวแซวว่า ได้ไมล์เลจเป็นบัตรแพลตินั่มหลายใบแล้ว นาย Steinitz เป็นคนไปเอาเอกสารลับมาป้อนให้ คณะกรรมการเจรจา เอาไว้ยันหน้ากับอิหร่าน นอกจากนั้น ทีมงานข่าวกรองของอิสราเอล หน่วยงาน Mossad ก็ทำงานหนัก เพราะเป็นตัวจริง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 813 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลชุมโจนเขากระโดง ปล้นอย่างถูกกฎหมาย ถลุงเบิกจ่าย ผ่องถ่ายงบฯแผ่นดิน 4 ล้านล้านบาท กระจายสู่พวกพ้อง เครือข่าย นายทุน และฐานเสียง ผ่านโครงการต่างๆ ที่อ้างกระตุ้นเศรษฐกิจ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อนุทิน
    รัฐบาลชุมโจนเขากระโดง ปล้นอย่างถูกกฎหมาย ถลุงเบิกจ่าย ผ่องถ่ายงบฯแผ่นดิน 4 ล้านล้านบาท กระจายสู่พวกพ้อง เครือข่าย นายทุน และฐานเสียง ผ่านโครงการต่างๆ ที่อ้างกระตุ้นเศรษฐกิจ #คิงส์โพธิ์แดง #อนุทิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูไปดูมาให้ทีมคนพันธ์ุเจตั้งทีมคณะพันธมิตรเจรุ่นที่สองต่อจากอาสนธิเลย ลูกดำเนินการสืบทอดต่อจากพ่อเลย เป็นนายกฯขึ้นมาล้างบางทุกๆเดอะแก๊งเดอะก๊กทั้งหมดที่ชั่วเลวในประเทศไทยเลย สามารถเชื่อมประสานงานกับเหล่าคนไทยดีๆทั่วประเทศมาตั้งทีมฮีโร่กอบกู้ชาติไทยเราได้ไม่ยาก,เชิญอดีตแกนนำพันธมิตรลูกหลานต่างๆทุกๆคณะทีมงานที่มาใจบริสุทธิ์ดีงามมาร่วมทีมบริหารประเทศในนามแกนนำรัฐบาลนายกฯเจนะ มีสิทธิพลิกฟื้นประเทศไทยสบายๆ ยึดคืนสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งบนบกและทะเลให้หมดเพราะไม่ผ่านระบบประชาธิปไตยด้านสภาผู้แทนฯแต่เริ่มแรกเหมือนmou43,44นี้ด้วย จึงชอบธรรมในการโมฆะสัมปทานของนายทุนปล้นทรัพยากรชาติไทยเราทัังหมด,ภายใน1-2ปี แค่ขายน้ำมันแบบอิหร่าน ลิตรละ1-2บาทเฉพาะในประเทศไทยเพื่อฟื้นฟูวิกฤติเศรษฐกิจไทยเราให้ขับเคลื่อนปกตินะ เราสบายแน่นอน ค่าน้ำมันขนส่ง รถขนส่งต่างๆบรรทุกๆต่างๆได้ซื้อน้ำมันลิตรละ1-2บาท ค่าขนส่งจะต่ำลงทันที ตลาดขายสินค้าต่างๆจะต้นทุนต่ำทั้งหมด สะดวกสบายต่อการทำตลาดทั้งหมด เช่น ตลาดซื้อขายออนไลน์ในแพลตฟอร์มแอปต่างๆค่าขนส่งจะจบเลย คนจะมีทางเลือกเดินตลาดหลากหลายช่องทางอิสระเดินทางค้าขาย และท่องเที่ยว รวมถึงนัยยะต่างๆสาระพัด สินค้าจะราคาลดลง ค่าครองชีพจะลดลง เงินเฟ้อจะลดลง สาระพัดการดำเนินชีวิตจะประหยัดลง จากนั้นจะต่อยอดอะไรได้สาระพัดช่วยพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างไม่ลำบากเหมือนในอดีตเพราะต่างชาติปกครองด้านพลังงานน้ำมันชัดเจน มันยึดประเทศไทยผ่านบ่อน้ำมันผ่านด้านพลังงานนี้เองทั้งประเทศ,ปัญหาเขมรกับไทยก็เพราะฝรั่งอยู่เบื้องหลังเขมรร่วมกับเขมรเองด้วยอยากได้บ่อน้ำมันในอ่าวไทยและทรัพยากรมีค่าบนบกตลอดแนวพรมแดนไทยนี้เองจึงไม่จบไม่สิ้น.
    ..ลูกอาสนธิต้องเป็นนายกฯเลย

    https://youtube.com/watch?v=d8ugffgDix4&si=ocDT5Lx73rtJMXTm
    ดูไปดูมาให้ทีมคนพันธ์ุเจตั้งทีมคณะพันธมิตรเจรุ่นที่สองต่อจากอาสนธิเลย ลูกดำเนินการสืบทอดต่อจากพ่อเลย เป็นนายกฯขึ้นมาล้างบางทุกๆเดอะแก๊งเดอะก๊กทั้งหมดที่ชั่วเลวในประเทศไทยเลย สามารถเชื่อมประสานงานกับเหล่าคนไทยดีๆทั่วประเทศมาตั้งทีมฮีโร่กอบกู้ชาติไทยเราได้ไม่ยาก,เชิญอดีตแกนนำพันธมิตรลูกหลานต่างๆทุกๆคณะทีมงานที่มาใจบริสุทธิ์ดีงามมาร่วมทีมบริหารประเทศในนามแกนนำรัฐบาลนายกฯเจนะ มีสิทธิพลิกฟื้นประเทศไทยสบายๆ ยึดคืนสัมปทานบ่อปิโตรเลียมทั้งบนบกและทะเลให้หมดเพราะไม่ผ่านระบบประชาธิปไตยด้านสภาผู้แทนฯแต่เริ่มแรกเหมือนmou43,44นี้ด้วย จึงชอบธรรมในการโมฆะสัมปทานของนายทุนปล้นทรัพยากรชาติไทยเราทัังหมด,ภายใน1-2ปี แค่ขายน้ำมันแบบอิหร่าน ลิตรละ1-2บาทเฉพาะในประเทศไทยเพื่อฟื้นฟูวิกฤติเศรษฐกิจไทยเราให้ขับเคลื่อนปกตินะ เราสบายแน่นอน ค่าน้ำมันขนส่ง รถขนส่งต่างๆบรรทุกๆต่างๆได้ซื้อน้ำมันลิตรละ1-2บาท ค่าขนส่งจะต่ำลงทันที ตลาดขายสินค้าต่างๆจะต้นทุนต่ำทั้งหมด สะดวกสบายต่อการทำตลาดทั้งหมด เช่น ตลาดซื้อขายออนไลน์ในแพลตฟอร์มแอปต่างๆค่าขนส่งจะจบเลย คนจะมีทางเลือกเดินตลาดหลากหลายช่องทางอิสระเดินทางค้าขาย และท่องเที่ยว รวมถึงนัยยะต่างๆสาระพัด สินค้าจะราคาลดลง ค่าครองชีพจะลดลง เงินเฟ้อจะลดลง สาระพัดการดำเนินชีวิตจะประหยัดลง จากนั้นจะต่อยอดอะไรได้สาระพัดช่วยพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างไม่ลำบากเหมือนในอดีตเพราะต่างชาติปกครองด้านพลังงานน้ำมันชัดเจน มันยึดประเทศไทยผ่านบ่อน้ำมันผ่านด้านพลังงานนี้เองทั้งประเทศ,ปัญหาเขมรกับไทยก็เพราะฝรั่งอยู่เบื้องหลังเขมรร่วมกับเขมรเองด้วยอยากได้บ่อน้ำมันในอ่าวไทยและทรัพยากรมีค่าบนบกตลอดแนวพรมแดนไทยนี้เองจึงไม่จบไม่สิ้น. ..ลูกอาสนธิต้องเป็นนายกฯเลย https://youtube.com/watch?v=d8ugffgDix4&si=ocDT5Lx73rtJMXTm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 2
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 2

    คงจำกันได้ เมื่อปี ค.ศ. 2011 อเมริกามีปัญหาถังแตก กระเป๋าฉีก (เป็นบ่อยเหมือนกันนะ ไหนว่ารวยไง) จะต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นการใหญ่ ฝ่ายรัฐบาลโอบามาจะให้ตัดงบด้านความมั่นคงเป็นส่วนใหญ่และตัดงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชนน้อยกว่า เพื่อเลี้ยงฐานเสียง แต่พรรคฝ่ายค้าน บรรดาเหยี่ยวกระหายเลือด มีความเห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมให้แตะงบด้านความมั่นคง แบบนี้จะไปมองหน้าพ่อค้าอาวุธนายทุนใหญ่ทั้งหลายได้ยังไง เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำยังไง ทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้

    ในที่สุด นายโอบามาวางสนุ้ก โดยลงนามใน Budget Control Act of 2011 ซึ่งมีผลเป็นการตัดงบประมาณทั้ง กระดานเท่ากัน ซึ่งเรียกกันว่า ” Sequestrations” ตัดอัตโนมัติ ตัดเท่ากัน ตัดเหี้ยน ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง หรือสวัสดิการ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2013 ไปจนถึง ปี 2021 นายโอบามาหวังจะให้วุฒิสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ร่วมมือกันหาทางออก แต่จนถึงบัดนี้ยังหาประตูกันไม่เจอ ส่วนนายโอบามา ได้รับก้อนอิฐจากทุกสารทิศ ทั้งจากสภา และประชาชนปาใส่ยังไม่เลิก

    ฝ่ายความมั่นคง โดยนาย Pennetta รมว. กลาโหมขณะนั้น บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ตัดงบแบบนี้ ในส่วนของกลาโหม 10 ปี คิดแล้วงบหดไป 20 % และจะทำให้กองทัพ
    – มีทหารราบเหลือน้อยที่สุด นับแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2
    – มีกองทัพเรือเล็กที่สุด นับแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1
    – มีหน่วยรบด้านกลยุทธที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศ
    – มีกำลังพล ที่เป็นพลเรือนน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของกลาโหม

    แต่การตัดงบประมาณ แบบตัดเหี้ยน Sequestration ก็ยังเดินหน้าต่อไป ตอนนั้นอเมริกาคงยังมองไม่เห็น แปลสัญญาณ การขยับหมากของรัสเซียและจีนไม่ออก

    นาง Michele Flournoy ตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง ที่นายโอบามา ทาบทามมาให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม หลังปลดนาย Chuck Hagel เมื่อ กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการตัดงบประมาณแบบตัดเหี้ยนนี้ ซึ่ง Washington Post นำมาลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2014 ว่า

    ” ฤดูร้อนปีนี้ เราเห็นเหตุการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Islamic State การรุกรานUkraine ของรัสเซีย สงครามระหว่าง ฮามาส กับอิสราเอล ความตึงเครียดในน่านน้ำเกาหลี และทะเลจีน เป็นการเตือนให้รู้ว่า อเมริกาอาจจะเจอกับการท้าทาย ด้านความมั่นคง ที่ซับซ้อน ผันแปรรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว
    ทั้งนี้คณะทำงานของ The National Defense Panel ซึ่งตั้งโดยสภาสูง (ที่มีนาง Flournoy เป็นหนึ่งในคณะทำงาน) ได้ทำรายงาน สรุปว่า Budget Control Act of 2011 เป็นยุทธศาสตร์ที่ “ผิดพลาดอย่างรุนแรง” ถ้าไม่มีการยกเลิก หรือผ่อนปรนโดยเร็ว กองทัพของอเมริกาจะตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง และจะไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจ ตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศได้

    นาง Flournoy แจงเพิ่มเติมว่า การตัดงบตามกฏหมายดังกล่าว ทำให้การฝึกของนักบินไม่สามารถทำได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ต้องการ เพื่อรักษาความชำนาญ และกองทัพเรือไม่สามารถไปประจำอยู่ในบริเวณที่วิกฤติได้…

    The National Defense Panel จึงขอให้สภาสูง พิจารณายกเลิก Budget Control Act ดังกล่าวทันที เพื่อให้กองทัพ สามารถยับยั้ง หรือหยุดความรุกรานในหลายๆที่ และรวมทั้งสามารถทำการรบ ในสงครามที่มีขนาดใหญ่ได้ (large-scale war) ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึง ขนาด และรูปแบบของกองทัพเป็นการด่วน เพื่อเราจะได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก และจัดหาวิธีการต่อสู้สงครามอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นการรับประกันสถานะการเป็นผู้นำของอเมริกา…”

    Flournoy ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน อย่างไม่อ้อมค้อม

    Gen. Gary Cheek รองปลัดกลาโหม ด้านแผนงาน และนโยบาย ให้สัมภาษณ์ ในวันประชุมประจำปี ของ AUSA Convention เมื่อ 15 ตุลาคม 2014 ว่า

    “การ ยกเลิก Sequestration เท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะนี้ เราส่ง 7 กองกำลัง ไปประจำการณ์อยู่ต่างประเทศ จากจำนวน 10 กองกำลังด้านนี้ที่เรามี ถ้ามีการตัดงบประมาณต่อไป การหมุนเวียนกำลังพล ทำไม่ได้มาก กำลังพลที่ไปประจำการณ์ ต่างประเทศนานๆ ก็จะอยู่ในภาวะเครียดหนัก

    ตั้งแต่เริ่มรายการตัดงบเมื่อปี 2011 เป็นต้นมา กองทัพได้ยกเลิกไปแล้ว 21 แผนงาน ชลอ 125 แผนงาน และปรับปรุง 124 ที่แย่ คือ งบวิจัยและปรับปรุง ถูกตัดไปแล้ว 1 ใน 3 และหลังจากรบยาวติดต่อกันมา 12 ปี เราต้องมีการปรับปรุงอาวุธ และเครื่องมือ เครื่องใช้เรานะ”

    หลังจากนั้น ปลายเดือนตุลาคม 2014 ถึงคิว นาย Robert Gates อดีต รมว. กลาโหม อีกคนหนึ่ง ก็ออกมาพูดว่า ” สภาสูง ทำให้ Pentagon อยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในทุกทาง และเพื่อจะปกป้องพันธมิตร และผลประโยชน์ของอเมริกาในเอเซีย อเมริกาต้องมีระบบจรวดป้องกันทรัพย์สินของอเมริกาที่อยู่ในอวกาศ และเครือข่ายไซเบอร์ และต้องลงทุนในระบบการป้องกันระยะไกล อเมริกาไม่มีทางเลือก ที่จะไม่ลงทุน มันจำเป็นที่เราจะต้องรักษาขนาดของกองทัพ ความพร้อม และสมรรถนะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราทั่วโลก ”
    และ ล่าสุด นาย Bob Work รมช. กลาโหม ออกมาพูดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ที่ สถาบัน Center for Strategic and International Studies ถังความคิดชื่อดังของวอชิงตันว่า การ ตัดงบแบบSequestration นี้ ทำให้ความชำนาญในการรบของกองทัพลดลง ถ้ากองทัพต้องปฏิบัติการณ์ ทำนองเดียวกับ Desert Storm สมัยขยี้ Saddam Hussien ตอนนี้บอกได้ว่าคงเหนื่อยแน่

    นอกจากนี้ เขาบอกว่า สมัยช่วงก่อนปี 2001 นายทหารที่อยู่ในกองทัพมา กว่า 10 ปี จะได้เข้ารับการฝึกแบบ full spectrum combat training หลายครั้ง ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้ กลาโหมเน้นการรบเป็นรูปแบบการรับมือการก่อความไม่สงบ ถ้าจะเป็นการรบใหญ่จริงๆ เราต้องฝึกกันใหม่ และถ้ายังมีการตัดงบประมาณอย่างนี้ กว่าเริ่มฝีกใหม่ได้ ก็คงเป็นปี 2016 โน้นแน่ะ

    รู้สึกฝ่ายกลาโหมของอเมริกาจะโหมโรงหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration อย่างพร้อมเพรียง ในจังหวะน่าสนใจ!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 2 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 2 คงจำกันได้ เมื่อปี ค.ศ. 2011 อเมริกามีปัญหาถังแตก กระเป๋าฉีก (เป็นบ่อยเหมือนกันนะ ไหนว่ารวยไง) จะต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นการใหญ่ ฝ่ายรัฐบาลโอบามาจะให้ตัดงบด้านความมั่นคงเป็นส่วนใหญ่และตัดงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชนน้อยกว่า เพื่อเลี้ยงฐานเสียง แต่พรรคฝ่ายค้าน บรรดาเหยี่ยวกระหายเลือด มีความเห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมให้แตะงบด้านความมั่นคง แบบนี้จะไปมองหน้าพ่อค้าอาวุธนายทุนใหญ่ทั้งหลายได้ยังไง เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำยังไง ทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้ ในที่สุด นายโอบามาวางสนุ้ก โดยลงนามใน Budget Control Act of 2011 ซึ่งมีผลเป็นการตัดงบประมาณทั้ง กระดานเท่ากัน ซึ่งเรียกกันว่า ” Sequestrations” ตัดอัตโนมัติ ตัดเท่ากัน ตัดเหี้ยน ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง หรือสวัสดิการ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2013 ไปจนถึง ปี 2021 นายโอบามาหวังจะให้วุฒิสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ร่วมมือกันหาทางออก แต่จนถึงบัดนี้ยังหาประตูกันไม่เจอ ส่วนนายโอบามา ได้รับก้อนอิฐจากทุกสารทิศ ทั้งจากสภา และประชาชนปาใส่ยังไม่เลิก ฝ่ายความมั่นคง โดยนาย Pennetta รมว. กลาโหมขณะนั้น บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ตัดงบแบบนี้ ในส่วนของกลาโหม 10 ปี คิดแล้วงบหดไป 20 % และจะทำให้กองทัพ – มีทหารราบเหลือน้อยที่สุด นับแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 – มีกองทัพเรือเล็กที่สุด นับแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 – มีหน่วยรบด้านกลยุทธที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศ – มีกำลังพล ที่เป็นพลเรือนน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของกลาโหม แต่การตัดงบประมาณ แบบตัดเหี้ยน Sequestration ก็ยังเดินหน้าต่อไป ตอนนั้นอเมริกาคงยังมองไม่เห็น แปลสัญญาณ การขยับหมากของรัสเซียและจีนไม่ออก นาง Michele Flournoy ตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง ที่นายโอบามา ทาบทามมาให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม หลังปลดนาย Chuck Hagel เมื่อ กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการตัดงบประมาณแบบตัดเหี้ยนนี้ ซึ่ง Washington Post นำมาลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2014 ว่า ” ฤดูร้อนปีนี้ เราเห็นเหตุการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Islamic State การรุกรานUkraine ของรัสเซีย สงครามระหว่าง ฮามาส กับอิสราเอล ความตึงเครียดในน่านน้ำเกาหลี และทะเลจีน เป็นการเตือนให้รู้ว่า อเมริกาอาจจะเจอกับการท้าทาย ด้านความมั่นคง ที่ซับซ้อน ผันแปรรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว ทั้งนี้คณะทำงานของ The National Defense Panel ซึ่งตั้งโดยสภาสูง (ที่มีนาง Flournoy เป็นหนึ่งในคณะทำงาน) ได้ทำรายงาน สรุปว่า Budget Control Act of 2011 เป็นยุทธศาสตร์ที่ “ผิดพลาดอย่างรุนแรง” ถ้าไม่มีการยกเลิก หรือผ่อนปรนโดยเร็ว กองทัพของอเมริกาจะตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง และจะไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจ ตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศได้ นาง Flournoy แจงเพิ่มเติมว่า การตัดงบตามกฏหมายดังกล่าว ทำให้การฝึกของนักบินไม่สามารถทำได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ต้องการ เพื่อรักษาความชำนาญ และกองทัพเรือไม่สามารถไปประจำอยู่ในบริเวณที่วิกฤติได้… The National Defense Panel จึงขอให้สภาสูง พิจารณายกเลิก Budget Control Act ดังกล่าวทันที เพื่อให้กองทัพ สามารถยับยั้ง หรือหยุดความรุกรานในหลายๆที่ และรวมทั้งสามารถทำการรบ ในสงครามที่มีขนาดใหญ่ได้ (large-scale war) ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึง ขนาด และรูปแบบของกองทัพเป็นการด่วน เพื่อเราจะได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก และจัดหาวิธีการต่อสู้สงครามอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นการรับประกันสถานะการเป็นผู้นำของอเมริกา…” Flournoy ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน อย่างไม่อ้อมค้อม Gen. Gary Cheek รองปลัดกลาโหม ด้านแผนงาน และนโยบาย ให้สัมภาษณ์ ในวันประชุมประจำปี ของ AUSA Convention เมื่อ 15 ตุลาคม 2014 ว่า “การ ยกเลิก Sequestration เท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะนี้ เราส่ง 7 กองกำลัง ไปประจำการณ์อยู่ต่างประเทศ จากจำนวน 10 กองกำลังด้านนี้ที่เรามี ถ้ามีการตัดงบประมาณต่อไป การหมุนเวียนกำลังพล ทำไม่ได้มาก กำลังพลที่ไปประจำการณ์ ต่างประเทศนานๆ ก็จะอยู่ในภาวะเครียดหนัก ตั้งแต่เริ่มรายการตัดงบเมื่อปี 2011 เป็นต้นมา กองทัพได้ยกเลิกไปแล้ว 21 แผนงาน ชลอ 125 แผนงาน และปรับปรุง 124 ที่แย่ คือ งบวิจัยและปรับปรุง ถูกตัดไปแล้ว 1 ใน 3 และหลังจากรบยาวติดต่อกันมา 12 ปี เราต้องมีการปรับปรุงอาวุธ และเครื่องมือ เครื่องใช้เรานะ” หลังจากนั้น ปลายเดือนตุลาคม 2014 ถึงคิว นาย Robert Gates อดีต รมว. กลาโหม อีกคนหนึ่ง ก็ออกมาพูดว่า ” สภาสูง ทำให้ Pentagon อยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในทุกทาง และเพื่อจะปกป้องพันธมิตร และผลประโยชน์ของอเมริกาในเอเซีย อเมริกาต้องมีระบบจรวดป้องกันทรัพย์สินของอเมริกาที่อยู่ในอวกาศ และเครือข่ายไซเบอร์ และต้องลงทุนในระบบการป้องกันระยะไกล อเมริกาไม่มีทางเลือก ที่จะไม่ลงทุน มันจำเป็นที่เราจะต้องรักษาขนาดของกองทัพ ความพร้อม และสมรรถนะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราทั่วโลก ” และ ล่าสุด นาย Bob Work รมช. กลาโหม ออกมาพูดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ที่ สถาบัน Center for Strategic and International Studies ถังความคิดชื่อดังของวอชิงตันว่า การ ตัดงบแบบSequestration นี้ ทำให้ความชำนาญในการรบของกองทัพลดลง ถ้ากองทัพต้องปฏิบัติการณ์ ทำนองเดียวกับ Desert Storm สมัยขยี้ Saddam Hussien ตอนนี้บอกได้ว่าคงเหนื่อยแน่ นอกจากนี้ เขาบอกว่า สมัยช่วงก่อนปี 2001 นายทหารที่อยู่ในกองทัพมา กว่า 10 ปี จะได้เข้ารับการฝึกแบบ full spectrum combat training หลายครั้ง ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้ กลาโหมเน้นการรบเป็นรูปแบบการรับมือการก่อความไม่สงบ ถ้าจะเป็นการรบใหญ่จริงๆ เราต้องฝึกกันใหม่ และถ้ายังมีการตัดงบประมาณอย่างนี้ กว่าเริ่มฝีกใหม่ได้ ก็คงเป็นปี 2016 โน้นแน่ะ รู้สึกฝ่ายกลาโหมของอเมริกาจะโหมโรงหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration อย่างพร้อมเพรียง ในจังหวะน่าสนใจ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 10
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 10

    เรื่องต่อมาคือสภาพเศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย

    สงสัยต้องให้เข้าไปอ่านจากเพจของอาจารย์ทนง ขันทอง ที่เขียนมานาน ชำแหละเสียจนผมไม่รู้จะเขียนอะไรเพิ่ม พอสรุปได้ว่า ตอนนี้อเมริกาแทบจะเหลือแต่เปลือก ดอลล่าร์ก็ถูกคว่ำบาตร ถูกท้าทายอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกของประวัติ ส่วนทองที่ว่ามีเต็มตู้ ตอนนี้ก็โดนสาระพัดชาติทวงคืน ล่าสุดนี่มีข่าวว่าทางสวิสเซอแลนด์ก็คิดจะทวง จะมีส่งคืนเขาเต็มจำนวนหรือเปล่าไม่ก็ไม่รู้

    ส่วนรัสเซียนั้น มองการณ์ไกล เหมือนมีแผนอะไรอยู่ในใจ เงินกระดาษไม่ว่าเป็นสกุลอะไร ที่ได้มาจากการขายพลังงานของตน เขาว่ารัสเซียเอาไปกว้านซื้อทองมาเก็บแทนเงินกระดาษ เพราะฉะนั้นใครที่ประมาทหน้า ว่ารัสเซียไม่เก่งเรื่องการเงิน ก็รอดูไปก่อนนะครับ อาจจะได้เห็นเงินกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ที่ตอนนี้ออกอาการเซถลาหัวทิ่ม อาจมีค่า เหลือแค่ห่อลูกกวาดเม็ดเดียวก็ได้ ฮู้ย รอจะไม่ไหวอยู่แล้ว

    ในขณะที่จีนเอง เขาว่า ก็ทยอยตุนทองมานานหลายปีอย่างเงียบๆ มีมากเสียจนต้องย้ายที่ไปเก็บในโกดังแทน ฮา นี่ถ้าเผื่อมีการรื้อฟื้นระบบวินัยการคลัง จะพิมพ์แบงค์ ต้องมีมีทองสำรองครบ ไม่ใช่เอาเศรษกิจปลอมๆ และอำนาจของกองทัพมากนุนแทนทอง อย่างที่อเมริกาทำมานาน อเมริกาจะทำอย่างไรล่ะ อย่าให้แพ้สงครามเชียว เผลอๆ อาเฮียกับพี่ปูเขาจับมือกัน รื้อฟื้นระบบนี้ขึ้นมาใหม่ ฝั่งนี้ใครไม่มีทองไม่เป็นไร อาเฮียมีเหลือเฟือ ให้พวกยืมไปเป็นทองสำรองได้ เผลอๆ แถมแอบเตรียมแผนไว้แล้วด้วย แต่ที่น่ากลุ้มใจแทน ดูเหมือนจะเป็นฝั่งอเมริกาใครจะยืมใคร

    เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษ คิดนำการรบ แต่อยู่ในสภาพล้มละลาย อังกฤษได้อเมริกาเป็นนายทุน ทำให้เดินหน้าทำการรบได้โดยไม่กลุ้มใจ และคราวนี้ล่ะ อเมริกามีทุนหนาพร้อมรบหรือ พูดไม่ได้เต็มปากหรอกนะ

    อเมริกาทุนหนาไม่พอ แล้วอังกฤษจะช่วยไหวไหม แหม ถ้าอเมริกาไปถามนาย David Cameron แบบนี้ สงสัยอาจถูกจีบปากด่ายับ ยุโรปเอง ยังไม่ฟื้นจากโรคทรัพย์จาง CNN ออก ข่าวประจานไม่เลิก แล้วใครจะเป็นนายทุนให้อเมริกา ตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด พรรคพวกก็มีแต่กระเป๋าขาด พวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง กลุ่มเสี่ยซาอุนะหรือ ต้องรู้จักนิสัยพวกนี้นะครับ เขาทุ่มได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ทุ่มให้หมดหรอก ก็บอกแล้ว มิตรภาพในตะวันออกกลาง มีไว้ให้เช่าชั่วคราว แต่ไม่ได้ขายถาวร
    ฝ่ายรัสเซีย แม้จะไม่ใช่เศรษฐี และสื่อย้อมก็พยายามใส่สีว่า รัสเซียอาการหนัก หลังจากถูกคว่ำบาตร ก็หนักจริงแหละ แต่คงไม่ถึงอับจน เพราะบังเอิญมีเพื่อนรักเป็นอาเฮีย กำลังอู๋ ทั้งเงินทั้งทองกำลังท่วมตัว แค่นี้ทำไมจะแบ่งไปให้เพื่อนรักเอาไปใช้ทำสงครามไม่ได้ ได้ก็ได้ด้วยกัน เสียก็เสียด้วยกัน จริงไหมครับอาเฮีย ก็เพื่อนรักกันนี่หว่า

    และอย่าลืมว่ากลุ่ม BRICS เขา ผนึกกำลังกัน จะแบบแนบแน่น หรือแบบหลวมๆ อีกเรื่องหนึ่ง อาจมีบางประเทศวางตัวเป็นกลาง แต่รับรองไม่มีใครแตกแถว ไปยืนอยู่กับอเมริกาแน่นอน ส่วนกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ Shanghai Co-Operation พวกมีแหล่งพลังงานของตนเองแบบเหลือเฟือเกือบทั้งนั้น ไม่ใช่ประเภทมาเป็นภาระให้รัสเซียแน่นอน

    สรุปเรื่องสภาพเศรษฐิจ ฝ่ายอเมริกาพี่เบิ้มเก่าก็ไม่ใช่ได้เปรียบอย่างที่คิดกัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    4 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 10 เรื่องต่อมาคือสภาพเศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย สงสัยต้องให้เข้าไปอ่านจากเพจของอาจารย์ทนง ขันทอง ที่เขียนมานาน ชำแหละเสียจนผมไม่รู้จะเขียนอะไรเพิ่ม พอสรุปได้ว่า ตอนนี้อเมริกาแทบจะเหลือแต่เปลือก ดอลล่าร์ก็ถูกคว่ำบาตร ถูกท้าทายอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกของประวัติ ส่วนทองที่ว่ามีเต็มตู้ ตอนนี้ก็โดนสาระพัดชาติทวงคืน ล่าสุดนี่มีข่าวว่าทางสวิสเซอแลนด์ก็คิดจะทวง จะมีส่งคืนเขาเต็มจำนวนหรือเปล่าไม่ก็ไม่รู้ ส่วนรัสเซียนั้น มองการณ์ไกล เหมือนมีแผนอะไรอยู่ในใจ เงินกระดาษไม่ว่าเป็นสกุลอะไร ที่ได้มาจากการขายพลังงานของตน เขาว่ารัสเซียเอาไปกว้านซื้อทองมาเก็บแทนเงินกระดาษ เพราะฉะนั้นใครที่ประมาทหน้า ว่ารัสเซียไม่เก่งเรื่องการเงิน ก็รอดูไปก่อนนะครับ อาจจะได้เห็นเงินกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ที่ตอนนี้ออกอาการเซถลาหัวทิ่ม อาจมีค่า เหลือแค่ห่อลูกกวาดเม็ดเดียวก็ได้ ฮู้ย รอจะไม่ไหวอยู่แล้ว ในขณะที่จีนเอง เขาว่า ก็ทยอยตุนทองมานานหลายปีอย่างเงียบๆ มีมากเสียจนต้องย้ายที่ไปเก็บในโกดังแทน ฮา นี่ถ้าเผื่อมีการรื้อฟื้นระบบวินัยการคลัง จะพิมพ์แบงค์ ต้องมีมีทองสำรองครบ ไม่ใช่เอาเศรษกิจปลอมๆ และอำนาจของกองทัพมากนุนแทนทอง อย่างที่อเมริกาทำมานาน อเมริกาจะทำอย่างไรล่ะ อย่าให้แพ้สงครามเชียว เผลอๆ อาเฮียกับพี่ปูเขาจับมือกัน รื้อฟื้นระบบนี้ขึ้นมาใหม่ ฝั่งนี้ใครไม่มีทองไม่เป็นไร อาเฮียมีเหลือเฟือ ให้พวกยืมไปเป็นทองสำรองได้ เผลอๆ แถมแอบเตรียมแผนไว้แล้วด้วย แต่ที่น่ากลุ้มใจแทน ดูเหมือนจะเป็นฝั่งอเมริกาใครจะยืมใคร เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษ คิดนำการรบ แต่อยู่ในสภาพล้มละลาย อังกฤษได้อเมริกาเป็นนายทุน ทำให้เดินหน้าทำการรบได้โดยไม่กลุ้มใจ และคราวนี้ล่ะ อเมริกามีทุนหนาพร้อมรบหรือ พูดไม่ได้เต็มปากหรอกนะ อเมริกาทุนหนาไม่พอ แล้วอังกฤษจะช่วยไหวไหม แหม ถ้าอเมริกาไปถามนาย David Cameron แบบนี้ สงสัยอาจถูกจีบปากด่ายับ ยุโรปเอง ยังไม่ฟื้นจากโรคทรัพย์จาง CNN ออก ข่าวประจานไม่เลิก แล้วใครจะเป็นนายทุนให้อเมริกา ตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด พรรคพวกก็มีแต่กระเป๋าขาด พวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลาง กลุ่มเสี่ยซาอุนะหรือ ต้องรู้จักนิสัยพวกนี้นะครับ เขาทุ่มได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ทุ่มให้หมดหรอก ก็บอกแล้ว มิตรภาพในตะวันออกกลาง มีไว้ให้เช่าชั่วคราว แต่ไม่ได้ขายถาวร ฝ่ายรัสเซีย แม้จะไม่ใช่เศรษฐี และสื่อย้อมก็พยายามใส่สีว่า รัสเซียอาการหนัก หลังจากถูกคว่ำบาตร ก็หนักจริงแหละ แต่คงไม่ถึงอับจน เพราะบังเอิญมีเพื่อนรักเป็นอาเฮีย กำลังอู๋ ทั้งเงินทั้งทองกำลังท่วมตัว แค่นี้ทำไมจะแบ่งไปให้เพื่อนรักเอาไปใช้ทำสงครามไม่ได้ ได้ก็ได้ด้วยกัน เสียก็เสียด้วยกัน จริงไหมครับอาเฮีย ก็เพื่อนรักกันนี่หว่า และอย่าลืมว่ากลุ่ม BRICS เขา ผนึกกำลังกัน จะแบบแนบแน่น หรือแบบหลวมๆ อีกเรื่องหนึ่ง อาจมีบางประเทศวางตัวเป็นกลาง แต่รับรองไม่มีใครแตกแถว ไปยืนอยู่กับอเมริกาแน่นอน ส่วนกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ Shanghai Co-Operation พวกมีแหล่งพลังงานของตนเองแบบเหลือเฟือเกือบทั้งนั้น ไม่ใช่ประเภทมาเป็นภาระให้รัสเซียแน่นอน สรุปเรื่องสภาพเศรษฐิจ ฝ่ายอเมริกาพี่เบิ้มเก่าก็ไม่ใช่ได้เปรียบอย่างที่คิดกัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 4 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 0 รีวิว

  • จัดการเขมรง่ายนิดเดียว,คว่ำบาตรทันทีเลย,เขมรยิงไทยก่อน1,เขมรคืออาชญากรรมสงครามเจตนาสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เราชัดเจนคือปั้มน้ำมัน7/11ที่มิใช้แนวรบแนวปะทะ1,อาศัยสิ่งนี้นายกฯไทยมีสิทธิชอบธรรมบุกทำลายศัตรูแบบฮุนเซนฮุนมาเนตจับมาลงโทษทันทีที่สั่งการก่ออาชญากรรมสงครามกับไทย,ฮุนเซนและฮุนมาเนตต้องถูกทหารไทยเข้าจับกุมมาลงโทษทันทีไม่มีการเจรจาต่อรองใดๆได้อีก จนเขมรนำโดยฮุนเซยฮุนมาเนตจะสิ้นศักยภาพสิ้นสภาพเป็นภัยรุกรานประเทศไทย มิสามารถเป็นอื่นใดๆได้ กองทัพไทยต้องบุกยึดกรุงพนมเปญทันทีเพื่อจับกุมฮุนเซนและฮุนมาเนตมาลงโทษให้ได้ที่มากระทำการก่อสงครามสร้างอาชญากรรมสงครามทำร้ายทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์เราถือว่ามิสมควรเป็นผู้นำที่ดีต่อประเทศติดชิดกันหมายทำลายทำร้ายประเทศชิดติดกันชัดเจน,นายกฯปัจจุบันของไทยเราต้องสายฝีมือตนด้านนี้ทันทีเพื่อจบวิกฤติภัยอธิปไตยของชาติไทยมิให้ส่งต่อภัยชั่วร้ายนี้ไปถึงรุ่นๆต่อไปของประชาชนคนไทยเรา,หากทำไม่ได้ก็ออกๆไปสะให้ นายกฯคนที่ชูนโยบายกำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตที่ก่ออาชญากรรมสงครามหมายสังหารประชาชนคนไทยเรามาทำหน้าที่กำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตให้ชัดเจนจะดีกว่ามาก.

    ..นายกฯไทยถ้ากาก กระจอก ต้องถอยและถอนตัว ลาออกและยุบสภาออกมาเถอะ อย่าถ่วงความปลอดภัยประชาชนคนไทย อย่าถ่วงการกำจัดภัยร้ายแรงของชาติไทย อย่าถ่วงยุทธการยุทธวิถีกำจัดภัยศัตรูของชาติไทยตนเองอีกเลย,ประเทศไทยต้องเด็ดขาดในสิ่งที่เด็ดขาดเสียที,เลอะเทอะมากพอในหมู่ราชการไทยที่คตโกงและทุจริตมากพอแล้วกับนักการเมืองนี้ตลอดเรื่อยมาจนเห็นเด่นชัดเจนแล้วในปัจจุบัน,ผู้นำผู้ปกครองหรือนายกฯปัจจุบันไม่ยกเลิกmou43,44,tor46,ไม่ประกาศอย่างเป็นทางการให้ชัดเจนว่าประเทศไทยยอมรับแค่เสาปักหมุดที่ตกลงกันจบแล้วตั้งแต่สมัยร.5กับฝรั่งเศสเท่านั้นในทั้ง73เสาหลักและ1เสาย่อย รวมกับเขตสันปันน้ำด้วย,ให้mou43ที่อ้างเอา1:200,000เขตแดนนี้เพื่อลากเข้ามายึดกินพื้นที่ไทยดินแดนไทยเราเพิ่มมากขึ้นนั้น ให้mou43,44นี้ตกไปโมฆะไปทั้งหมดทันทีมิให้มีผลบังคับไทยได้ต่อไปอีก, ยกเลิกและโมฆะอัตโนมัติทั้งหมดทันทีในmou43,44,และtor46นั้นเองย้ำ,นี้นายกฯมาใหม่ต้องเจตนาชัดเจนแสดงจุดยืนแบบนี้.,นักการเมืองไทยต้องการจะมาทำงานเพื่อชาติเพื่อบ้านเพื่อเมืองเพื่อประชาชนต้องแบบนี้,นักการเมืองปัจจุบันไม่มีอุดมการณ์แบบนี้จริงแล้ว,สมควรยุบตัว เว้นวรรค พักงานทัังระบบจริงๆในเวลานี้ ล้างกระดานใหม่ทั้งหมดก่อน,นายกฯพระราชทานต้องมาก่อน และมาทำเพื่อชาติไทยเพื่อประชาชนไทยจริง มาเพื่อกำจัดศัตรูภัยคุกคามรุกรานมาก่ออาชญากรรมทางสงครามใส่ไทยเราด้วยคือสิ่งแรกที่ต้องทำ,เขมรและประชาชนเขมรตอนนี้มิอาจไว้ใจได้,เขมรในไทยทั้งหมดต้องถูกส่งไปประเทศอื่นที่มิใช่ประเทศไทยก่อน,ใครชาติใดที่เข้าข้างเขมร เห็นใจเขมร เราจะส่งคนเขมรในไทยไปให้ชาตินัันๆให้ดูแลมันคนเขมรกันเองก่อน ไทยของบาย,คนเขมรที่แอบลักลอบเข้าไทยทั้งหมดจะถูกจับกุมและติดคุกทันทีหรือถูกส่งไปอยู่เกาะใดเกาะหนึ่งคุกเกาะทันทีจนกว่าชาติที่สนับสนุนเขมรเข้าข้างเขมรจะมารับไปเลี้ยงดูจ้างเป็นแรงงานต่อไป,ไทยไม่รับหรือส่งกลับไปตายกันเองที่ประเทศเขมรมัน.,เขมร คนเขมรไว้ใจไม่ได้คือหลักพิจารณาตั้งธงไว้ก่อน,คนไทยต้องปลอดภัยก่อน.เราถูกยิงระเบิด เราตายบนแผ่นดินไทยที่เขมรยิงเราก่อนโดยอยู่นอกแนวปะทะการรบชัดเจน,เขมรมีเจตนาสังหารฆ่าคนไทยชัดเจน ฮุนเซนฮุนมาเนตต้องถูกกำจัด,แต่นายกฯไทยในปัจจุบันไม่มีท่าทีกำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตจริงเลย,น่าผิดหวังมาก,สมควรลาออกไปหรือยุบสภาเสีย, พรรคไหนชูนโยบายไล่ล่ากำจัดอาชญากรสงครามและอาชญากรรมสงครามกับประเทศไทยคือฮุนเซนฮุนมาเนต จะเลือกทันที,รวมทั้งยกเลิกmou43,44,tor46ด้วยจะเลือกมาเป็นนายกใหม่ทันที,
    ..
    ..นายกฯปัจจุบันหรือใครเข้ามาเป็น ต้องจำใส่สมองตลอดเวลาว่า เขมรนำโดยฮุนเซนฮุนมาเนตต้องถูกจัดอย่างเดียว,ไม่สามารถมานั่งเจรจาต่อรองใดๆได้อีก,มันคือตัวภัยความมั่นคงไทย จะทำลายไทยชัดเจน.,มันสั่งยิงจรวดสั่งยิงระเบิดใส่คนไทยให้ตายจริงชัดเจน ,ประชาชนเราคือผู้บริสุทธิ์แท้ที่ใช้ชีวิตประจำวันปกตินอกแนวปะทะแนวรบ,ฮุนเซนฮุนมาเนตมิอาจหนีความผิดครั้งนี้ได้ ต้องตายสถานเดียว,รัฐบาลปัจจุบันทำไม่ได้ก็ออกไปสะ อย่าถ่วงคนทำได้ มากำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตได้จริง อย่ามาถ่วงเวลาถ่วงสาระพัดเรื่อง,ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. นี้คือการถ่วงเวลาชัดเจน,บ้านหนองจานเอย ตราดเอย จันทบุรีเอย สระแก้วเอย ถ่วงเวลาชัดเจนที่นำโดยรัฐบาล4เดือนนี้,จะมารักษาการอีก บัดสบมาก,พอกันทีกับนักการเมืองลักษณะนี้ ชาติไทยบรรลัยนี้กับสถานการณ์ยุคอนาคตหากสมองปัญญาและความคิดตนยังปลดแอกจากอำนาจมืดฝ่ายเลวที่สั่งการตนอยู่ไม่ได้,การบริหารชาติ บริหารบ้านเมืองจะถูกครอบงำไปทางไม่ดีต่อไปอีกบนยุคสมัยใหม่ที่ไม่ทันเกมส์หมากมัน คนไทยเราเองจะซวยทั้งประเทศ ปกติสุขจะสิ้นพบเห็น,เพียงสถานการณ์แค่เขมรยังไม่มีปัญญาจัดการได้ เรามีผู้ปกครองที่กาก กระจอก ไร้ฝีมือ มือไม่ถือ ห่วยแตกมากและระยำจัญไรมานาน โดยเฉพาะไอ้สาระเลวหน้าหล่อไปทำmouเป็นสนธิสัญากับUN นี้บ่งบอกชัดเจนว่านายกฯในอดีตๆเราชั่วเลวทั้งโดยสันดานและถูกควบคุมครอบงำจากอำนาจมืดโลกสากลปกครองเราทางลับผ่านนายกฯคนไทยเรา ให้ทำสิ่งที่เลวชั่วแบบยกสัมปทานบ่อน้ำมันให้ต่างชาติให้ถูกกฎหมายไทยตนเองเพื่อหลบตาประชาชนให้ชอบธรรม ไม่ปล้นชิงอย่างเปิดเผยเหมือนในอดีต,สาระพัดกฎหมายมากมายในไทยล้วนพวกเดอะแก๊งสาระเลวนี้เขียนผ่านออกมาเพื่อกดขี่ประชาชนคนไทย,ใช้บังคับปนะชาชนคนไทยให้ต้องปฏิบัติตามที่มันออกกฎออกกติกาเงื่อนไข,ทำง่ายมาก เขียนกฎหมายง่ายมากในหมู่พวกมันไม่กี่คน,แต่พอตอนจะยกเลิก สาระพัดให้มีความยุ่งยาก,แบบmou43,44มุกเดียวกัน มันเวลาทำการเสือกไม่เอาเข้าสภา ทำกันในหมู่คณะมันเอง คณะครม.ก็ทำเอง คณะกระทรวงทบวงกรมข้าราชการต่างๆก็เขียนเองทำเองออกกฎกติกาเองไม่มีมติจะประชาชนลงมติรับรู้เห็นด้วยห่าอะไร กูเขียนกูออกกฎหมายมามรึงประชาชนต้องทำตามอย่างเดียว,นี้คือระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ผ่านระบบกฎหมายในระบอบอ้างว่าประชาธิปไตยบังหน้าของระบอบฝรั่งส่งออกให้เรามาใช้ระบอบห่าเหวฝรั่งนี้ปกครอง.

    ..ฝรั่งเศสแท้ๆพยายามมาตลอดทุกๆยุคสมัยเพื่อยึดประเทศไทยเรา ยึดไม่ได้ มันก็ยึดด้วยให้ไทยใช้ระบอบปกครองแบบมัน มันฝรั่งเศสที่ใช้จริง เสมือนมรึงไทยจะตกเป็นเมืองขึ้นทางอ้อมนั้นเอง,จากนั้นก็ยึดเนียนๆแบบส่งฝรั่งอื่นๆแบบฝรั่งอเมริกา ฝรั่งชาติอื่นๆมายึดปล้นชิงสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายของไทยไว้ รวบรวมเก็บแดกเองใส่มันพวกฝรั่งให้มากผูกขาดให้มาก แบบผูกขาดน้ำมันในไทย มันยึดผ่านกฎหมายปิโตรเลียมมันที่พาคนไทยหน้าโง่ทรยศหักหลังคนไทยด้วยกันเองพากันเขียนเองเออเอง จนยึดบ่อน้ำมันผูกขาดสัมปทานจนสิ้นทุกๆหลุดน้ำมัน,ซวยคือคนไทยซื้อน้ำมันแบบราคาอิหร่านลิตรละ1-2บาทไม่ได้จะเบนซินหรือดีเชลในอิหร่านก็ไม่เกินลิตระละ1-2บาทที่ไม่มีการผสมเอทานอลใดๆเลย,แต่ไทย ที่เอกชนไทยสารเลวบวกต่างชาติชั่วระยำบัดสบที่ปล้นชิงยึดบ่อน้ำมันไทยผ่านกฎหมายไทยที่ฝรั่งมันเองพาเขียน ทำการขายน้ำมันให้คนไทยหนักสุด 2ลิตร100บาทแบบไม่ผสมเติมเอทานอลเลย,ปัจจุบันก็ยังแดกที่ลิตรละ30บาทต่ำสุดในปัจจุบันสูงสุดเกือบ40บาทหรือ45บาทตามอารมณ์คนท้องถิ่นรับไปขายในที่ห่างไกล,
    ..วิกฤตอะไรจะเกิดขึ้น ราคาน้ำมันไทยทแดกเงียบ,ไม่ยอมลดราคาด้วย,มันพยายามขึ้นราคามาตลอด ชัดเจนเริ่มก่อนยุค40 หลังยุค40ตัวพ่อ มันพยายามขึ้นราคาน้ำมันตลอด เพื่อทำให้ราคาขนส่งขึ้นไปด้วย มุกเพื่อให้ราคาสินค้านายทุนบริษัทกิจการทุนสามานย์ปรับราคาสินค้าอ้างต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าขนส่งโลจิสติกสูงขึ้นมันว่า ราคาข้าวของกูขอขึ้นเลยนะมันว่า ,จากนั้นล่ะ มันเริ่มรับลูกรับบทกันมาตลอด มรึงน้ำมันขึ้นสักพักนะ กูราคาข้าวของเรียกร้องขึ้รเลย แมร่งขึ้นมาตลอดจากยุค40 จนราคาค่าครองชีพค่าสินค้่บรรลัยบัดสบแพงขึ้นสูงขึ้นในปัจจุบัน,นี้คือวิธีทำลายชาติไทยจากวิถีชีวิตคนไทยในความเป็นอยู่ปัจจุบันชัดเจน บวกวิกฤติโลกยุโรปล้มอีก ชาติตะวันตกและยุโรปล่มสลายทางการเงินมากระทบเอเชียอาเชียนด้วยนั้นเองจึงเหี้ยให้เห็นจริงชัดในปัจจุบัน,และราคาน้ำมันเสือกไม่ลดราคาน้ำมันลงช่วยคนไทยภายในประเทศด้วยเพราะฝรั่งมันยึดบ่อน้ำมันไทย ,ฝรั่งในที่นี้ เหมารวมได้เลยว่าคือฝรั่งที่ปล้นแดนดินไทยในอดีตทั้งหมดล่ะ มันคือพวกเดียวกันหมดคือแยกบ้านกันเท่านั้นแต่มันเครือญาติกันหมด.,บ้านหลักไม่ปล้นชิงแย่งชิงไทยตรงๆก็อาศัยบ้านรองแบบอเมริกาหรือชาติอื่นมาปล้นแทน แต่แมร่งไปดูไส้ใน โคตรพ่อโคตรแมร่งเดอะแก็งเดียวกันหมด ปล้นชิงไทยเสร็จมันก็แอบแบ่งส่วนผลประโยชน์กำไรๆให้ๆกันไปเหมือนเดิมนั้นเอง.

    ..เขมรที่ปะทะยิงไทยให้เราตายก็ฝรั่งและชาติควายเลวระยำอยู่ร่วมในเบื้องหลังเขมรเนรคุณนี้ล่ะก็จะอยากได้ทรัพยากรมากมายบนเขตแดนที่1:200,000ที่เราเสียดินแดนถึง1:150,000นี้ล่ะ มันได้ทั้งบนบกและอ่าวไทยชัดเจน 10ล้านล้านบาทจริงๆอาจไม่ใช่ตัวเลขนี้ เขมรจึงร่วมกับฝรั่งและชาติอื่นๆสารเลวทางใต้ดินจะยึดครองแดนดินแผ่นดินไทยให้ได้ อาจมีกว่า1,000ล้านล้านบาทเลย 100ล้านล้านบาทอาจเล็กน้อยเท่านั้น.,ฝรั่งมันมีดาวเทียมสำรวจแร่ธาตุโดยเฉพาะ มันรู้หมดล่ะ แบบอเมริกาสำรวจบ่อน้ำมันเราและแร่ธาตุทั้งหมดในประเทศไทยเราสมันสงครามอินโดจีน อีสานมันสำรวจมากเป็นพิเศษเลยล่ะแต่ด้วยเทคโนโลยียังไปไม่ถึงมันจึงเว้นไว้ก่อน,แต่บ่อน้ำมันและแร่ธาตุอื่นๆมันเห็นหมดจึงรีบมายึดไทย จีนโรงงานแถวอีสานก็ผุดอย่างมากมาย,จีนนี้ก็เอาเปรียบไทยนะ,ลาวคือตย.,เวียดนามรู้ไส้รู้พุงจีนอย่างดี,ติดจีนขนาดนั้น,อดีตเราจีนแม้ผลประโยชน์มีจริงแต่สายสัมพันธ์ทางใจดีกว่ามากเมื่อเทียบปัจจุบัน ผลประโยชน์อาจมาก่อนสายสัมพันธ์ที่ดีๆกันไปแล้ว,คนจีนรุ่นปัจจุบันมันมองผลประโยชน์ต้องมาก่อน ลงทุนต้องเอากำไรคืนอย่างเดียว.,นักลงทุนจีนที่สันดานนิสัยเลวแย่ๆที่ออกมานอกประเทศจีนส่วนใหญ่จะมากและเป็นคนพวกนี้,คนดีๆจีนนิสัยดีๆออกมาลงทุนจริงนอกประเทศนั้นมาน้อย.,พวกโลภๆจีนโลภๆทั้งนั้นที่ออกมาลงทุนในประเทศไทยเรา ตย.ชัดเจน คือทัวร์ศูนย์เหรียญ โรงงานศูนย์เหรียญในไทยก็เป็นข่าวชัดเจนแล้ว,คนจีนสันดานจริงๆก็ชอบเอาเปรียบคนอื่นและเห็นแก่ตัวนี้ล่ะของจริง,ต่างจังหวัดคนในชนบทจะเห็นสันดานดิบคนจีนชัดเจนในอดีต,เพราะคนชนบทไทยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากัน แบ่งกันกินกันใช้ ไม่ติดนิสัยโลภนัก มีธรรมะค้ำชูจิตใจคนในชุมชนสังคม คนจีนที่แสดงนิสัยสันดานดิบออกมาจึงเป็นที่ผิดปกติง่ายดาย.,แต่คนจีนดีๆก็มีจริงแต่ส่วนน้อย,
    ..คนไทยเรา ผู้นำไทยเรา ถ้าเราได้คนดีมาปกครองจริงๆตั้งแต่ต้น เราจะไม่มีสถานะแบบปัจจุบันนี้,เราจะร่ำรวยทั้งทางวัตถุธาตุนิยมคู่ขนานร่ำรวยทางจิตใจดีงามด้วยพร้อมๆกันไม่ยาก,ไม่เสื่อมเช่นในปัจจุบัน ยากจนดักดานมั่นคงด้วย บวกคนได้บัตรคนจนเพิ่มมากมายนั้นเองหากลงทะเบียนเพิ่มกันจริงๆ.
    ..
    #หยุดผู้นำกากมานำพาประเทศไทย
    #หยุดผู้นำขี้ขลาดมานำพาประเทศไทย
    #หยุดผู้นำไทยใจเขมรมานำประเทศไทย
    #หยุดนายกไทยใจหมามานำประเทศไทย


    https://youtu.be/BV3HAhljI3k?si=0sIBsws9xTVKWOXv

    จัดการเขมรง่ายนิดเดียว,คว่ำบาตรทันทีเลย,เขมรยิงไทยก่อน1,เขมรคืออาชญากรรมสงครามเจตนาสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เราชัดเจนคือปั้มน้ำมัน7/11ที่มิใช้แนวรบแนวปะทะ1,อาศัยสิ่งนี้นายกฯไทยมีสิทธิชอบธรรมบุกทำลายศัตรูแบบฮุนเซนฮุนมาเนตจับมาลงโทษทันทีที่สั่งการก่ออาชญากรรมสงครามกับไทย,ฮุนเซนและฮุนมาเนตต้องถูกทหารไทยเข้าจับกุมมาลงโทษทันทีไม่มีการเจรจาต่อรองใดๆได้อีก จนเขมรนำโดยฮุนเซยฮุนมาเนตจะสิ้นศักยภาพสิ้นสภาพเป็นภัยรุกรานประเทศไทย มิสามารถเป็นอื่นใดๆได้ กองทัพไทยต้องบุกยึดกรุงพนมเปญทันทีเพื่อจับกุมฮุนเซนและฮุนมาเนตมาลงโทษให้ได้ที่มากระทำการก่อสงครามสร้างอาชญากรรมสงครามทำร้ายทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์เราถือว่ามิสมควรเป็นผู้นำที่ดีต่อประเทศติดชิดกันหมายทำลายทำร้ายประเทศชิดติดกันชัดเจน,นายกฯปัจจุบันของไทยเราต้องสายฝีมือตนด้านนี้ทันทีเพื่อจบวิกฤติภัยอธิปไตยของชาติไทยมิให้ส่งต่อภัยชั่วร้ายนี้ไปถึงรุ่นๆต่อไปของประชาชนคนไทยเรา,หากทำไม่ได้ก็ออกๆไปสะให้ นายกฯคนที่ชูนโยบายกำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตที่ก่ออาชญากรรมสงครามหมายสังหารประชาชนคนไทยเรามาทำหน้าที่กำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตให้ชัดเจนจะดีกว่ามาก. ..นายกฯไทยถ้ากาก กระจอก ต้องถอยและถอนตัว ลาออกและยุบสภาออกมาเถอะ อย่าถ่วงความปลอดภัยประชาชนคนไทย อย่าถ่วงการกำจัดภัยร้ายแรงของชาติไทย อย่าถ่วงยุทธการยุทธวิถีกำจัดภัยศัตรูของชาติไทยตนเองอีกเลย,ประเทศไทยต้องเด็ดขาดในสิ่งที่เด็ดขาดเสียที,เลอะเทอะมากพอในหมู่ราชการไทยที่คตโกงและทุจริตมากพอแล้วกับนักการเมืองนี้ตลอดเรื่อยมาจนเห็นเด่นชัดเจนแล้วในปัจจุบัน,ผู้นำผู้ปกครองหรือนายกฯปัจจุบันไม่ยกเลิกmou43,44,tor46,ไม่ประกาศอย่างเป็นทางการให้ชัดเจนว่าประเทศไทยยอมรับแค่เสาปักหมุดที่ตกลงกันจบแล้วตั้งแต่สมัยร.5กับฝรั่งเศสเท่านั้นในทั้ง73เสาหลักและ1เสาย่อย รวมกับเขตสันปันน้ำด้วย,ให้mou43ที่อ้างเอา1:200,000เขตแดนนี้เพื่อลากเข้ามายึดกินพื้นที่ไทยดินแดนไทยเราเพิ่มมากขึ้นนั้น ให้mou43,44นี้ตกไปโมฆะไปทั้งหมดทันทีมิให้มีผลบังคับไทยได้ต่อไปอีก, ยกเลิกและโมฆะอัตโนมัติทั้งหมดทันทีในmou43,44,และtor46นั้นเองย้ำ,นี้นายกฯมาใหม่ต้องเจตนาชัดเจนแสดงจุดยืนแบบนี้.,นักการเมืองไทยต้องการจะมาทำงานเพื่อชาติเพื่อบ้านเพื่อเมืองเพื่อประชาชนต้องแบบนี้,นักการเมืองปัจจุบันไม่มีอุดมการณ์แบบนี้จริงแล้ว,สมควรยุบตัว เว้นวรรค พักงานทัังระบบจริงๆในเวลานี้ ล้างกระดานใหม่ทั้งหมดก่อน,นายกฯพระราชทานต้องมาก่อน และมาทำเพื่อชาติไทยเพื่อประชาชนไทยจริง มาเพื่อกำจัดศัตรูภัยคุกคามรุกรานมาก่ออาชญากรรมทางสงครามใส่ไทยเราด้วยคือสิ่งแรกที่ต้องทำ,เขมรและประชาชนเขมรตอนนี้มิอาจไว้ใจได้,เขมรในไทยทั้งหมดต้องถูกส่งไปประเทศอื่นที่มิใช่ประเทศไทยก่อน,ใครชาติใดที่เข้าข้างเขมร เห็นใจเขมร เราจะส่งคนเขมรในไทยไปให้ชาตินัันๆให้ดูแลมันคนเขมรกันเองก่อน ไทยของบาย,คนเขมรที่แอบลักลอบเข้าไทยทั้งหมดจะถูกจับกุมและติดคุกทันทีหรือถูกส่งไปอยู่เกาะใดเกาะหนึ่งคุกเกาะทันทีจนกว่าชาติที่สนับสนุนเขมรเข้าข้างเขมรจะมารับไปเลี้ยงดูจ้างเป็นแรงงานต่อไป,ไทยไม่รับหรือส่งกลับไปตายกันเองที่ประเทศเขมรมัน.,เขมร คนเขมรไว้ใจไม่ได้คือหลักพิจารณาตั้งธงไว้ก่อน,คนไทยต้องปลอดภัยก่อน.เราถูกยิงระเบิด เราตายบนแผ่นดินไทยที่เขมรยิงเราก่อนโดยอยู่นอกแนวปะทะการรบชัดเจน,เขมรมีเจตนาสังหารฆ่าคนไทยชัดเจน ฮุนเซนฮุนมาเนตต้องถูกกำจัด,แต่นายกฯไทยในปัจจุบันไม่มีท่าทีกำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตจริงเลย,น่าผิดหวังมาก,สมควรลาออกไปหรือยุบสภาเสีย, พรรคไหนชูนโยบายไล่ล่ากำจัดอาชญากรสงครามและอาชญากรรมสงครามกับประเทศไทยคือฮุนเซนฮุนมาเนต จะเลือกทันที,รวมทั้งยกเลิกmou43,44,tor46ด้วยจะเลือกมาเป็นนายกใหม่ทันที, .. ..นายกฯปัจจุบันหรือใครเข้ามาเป็น ต้องจำใส่สมองตลอดเวลาว่า เขมรนำโดยฮุนเซนฮุนมาเนตต้องถูกจัดอย่างเดียว,ไม่สามารถมานั่งเจรจาต่อรองใดๆได้อีก,มันคือตัวภัยความมั่นคงไทย จะทำลายไทยชัดเจน.,มันสั่งยิงจรวดสั่งยิงระเบิดใส่คนไทยให้ตายจริงชัดเจน ,ประชาชนเราคือผู้บริสุทธิ์แท้ที่ใช้ชีวิตประจำวันปกตินอกแนวปะทะแนวรบ,ฮุนเซนฮุนมาเนตมิอาจหนีความผิดครั้งนี้ได้ ต้องตายสถานเดียว,รัฐบาลปัจจุบันทำไม่ได้ก็ออกไปสะ อย่าถ่วงคนทำได้ มากำจัดฮุนเซนฮุนมาเนตได้จริง อย่ามาถ่วงเวลาถ่วงสาระพัดเรื่อง,ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. นี้คือการถ่วงเวลาชัดเจน,บ้านหนองจานเอย ตราดเอย จันทบุรีเอย สระแก้วเอย ถ่วงเวลาชัดเจนที่นำโดยรัฐบาล4เดือนนี้,จะมารักษาการอีก บัดสบมาก,พอกันทีกับนักการเมืองลักษณะนี้ ชาติไทยบรรลัยนี้กับสถานการณ์ยุคอนาคตหากสมองปัญญาและความคิดตนยังปลดแอกจากอำนาจมืดฝ่ายเลวที่สั่งการตนอยู่ไม่ได้,การบริหารชาติ บริหารบ้านเมืองจะถูกครอบงำไปทางไม่ดีต่อไปอีกบนยุคสมัยใหม่ที่ไม่ทันเกมส์หมากมัน คนไทยเราเองจะซวยทั้งประเทศ ปกติสุขจะสิ้นพบเห็น,เพียงสถานการณ์แค่เขมรยังไม่มีปัญญาจัดการได้ เรามีผู้ปกครองที่กาก กระจอก ไร้ฝีมือ มือไม่ถือ ห่วยแตกมากและระยำจัญไรมานาน โดยเฉพาะไอ้สาระเลวหน้าหล่อไปทำmouเป็นสนธิสัญากับUN นี้บ่งบอกชัดเจนว่านายกฯในอดีตๆเราชั่วเลวทั้งโดยสันดานและถูกควบคุมครอบงำจากอำนาจมืดโลกสากลปกครองเราทางลับผ่านนายกฯคนไทยเรา ให้ทำสิ่งที่เลวชั่วแบบยกสัมปทานบ่อน้ำมันให้ต่างชาติให้ถูกกฎหมายไทยตนเองเพื่อหลบตาประชาชนให้ชอบธรรม ไม่ปล้นชิงอย่างเปิดเผยเหมือนในอดีต,สาระพัดกฎหมายมากมายในไทยล้วนพวกเดอะแก๊งสาระเลวนี้เขียนผ่านออกมาเพื่อกดขี่ประชาชนคนไทย,ใช้บังคับปนะชาชนคนไทยให้ต้องปฏิบัติตามที่มันออกกฎออกกติกาเงื่อนไข,ทำง่ายมาก เขียนกฎหมายง่ายมากในหมู่พวกมันไม่กี่คน,แต่พอตอนจะยกเลิก สาระพัดให้มีความยุ่งยาก,แบบmou43,44มุกเดียวกัน มันเวลาทำการเสือกไม่เอาเข้าสภา ทำกันในหมู่คณะมันเอง คณะครม.ก็ทำเอง คณะกระทรวงทบวงกรมข้าราชการต่างๆก็เขียนเองทำเองออกกฎกติกาเองไม่มีมติจะประชาชนลงมติรับรู้เห็นด้วยห่าอะไร กูเขียนกูออกกฎหมายมามรึงประชาชนต้องทำตามอย่างเดียว,นี้คือระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ผ่านระบบกฎหมายในระบอบอ้างว่าประชาธิปไตยบังหน้าของระบอบฝรั่งส่งออกให้เรามาใช้ระบอบห่าเหวฝรั่งนี้ปกครอง. ..ฝรั่งเศสแท้ๆพยายามมาตลอดทุกๆยุคสมัยเพื่อยึดประเทศไทยเรา ยึดไม่ได้ มันก็ยึดด้วยให้ไทยใช้ระบอบปกครองแบบมัน มันฝรั่งเศสที่ใช้จริง เสมือนมรึงไทยจะตกเป็นเมืองขึ้นทางอ้อมนั้นเอง,จากนั้นก็ยึดเนียนๆแบบส่งฝรั่งอื่นๆแบบฝรั่งอเมริกา ฝรั่งชาติอื่นๆมายึดปล้นชิงสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายของไทยไว้ รวบรวมเก็บแดกเองใส่มันพวกฝรั่งให้มากผูกขาดให้มาก แบบผูกขาดน้ำมันในไทย มันยึดผ่านกฎหมายปิโตรเลียมมันที่พาคนไทยหน้าโง่ทรยศหักหลังคนไทยด้วยกันเองพากันเขียนเองเออเอง จนยึดบ่อน้ำมันผูกขาดสัมปทานจนสิ้นทุกๆหลุดน้ำมัน,ซวยคือคนไทยซื้อน้ำมันแบบราคาอิหร่านลิตรละ1-2บาทไม่ได้จะเบนซินหรือดีเชลในอิหร่านก็ไม่เกินลิตระละ1-2บาทที่ไม่มีการผสมเอทานอลใดๆเลย,แต่ไทย ที่เอกชนไทยสารเลวบวกต่างชาติชั่วระยำบัดสบที่ปล้นชิงยึดบ่อน้ำมันไทยผ่านกฎหมายไทยที่ฝรั่งมันเองพาเขียน ทำการขายน้ำมันให้คนไทยหนักสุด 2ลิตร100บาทแบบไม่ผสมเติมเอทานอลเลย,ปัจจุบันก็ยังแดกที่ลิตรละ30บาทต่ำสุดในปัจจุบันสูงสุดเกือบ40บาทหรือ45บาทตามอารมณ์คนท้องถิ่นรับไปขายในที่ห่างไกล, ..วิกฤตอะไรจะเกิดขึ้น ราคาน้ำมันไทยทแดกเงียบ,ไม่ยอมลดราคาด้วย,มันพยายามขึ้นราคามาตลอด ชัดเจนเริ่มก่อนยุค40 หลังยุค40ตัวพ่อ มันพยายามขึ้นราคาน้ำมันตลอด เพื่อทำให้ราคาขนส่งขึ้นไปด้วย มุกเพื่อให้ราคาสินค้านายทุนบริษัทกิจการทุนสามานย์ปรับราคาสินค้าอ้างต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าขนส่งโลจิสติกสูงขึ้นมันว่า ราคาข้าวของกูขอขึ้นเลยนะมันว่า ,จากนั้นล่ะ มันเริ่มรับลูกรับบทกันมาตลอด มรึงน้ำมันขึ้นสักพักนะ กูราคาข้าวของเรียกร้องขึ้รเลย แมร่งขึ้นมาตลอดจากยุค40 จนราคาค่าครองชีพค่าสินค้่บรรลัยบัดสบแพงขึ้นสูงขึ้นในปัจจุบัน,นี้คือวิธีทำลายชาติไทยจากวิถีชีวิตคนไทยในความเป็นอยู่ปัจจุบันชัดเจน บวกวิกฤติโลกยุโรปล้มอีก ชาติตะวันตกและยุโรปล่มสลายทางการเงินมากระทบเอเชียอาเชียนด้วยนั้นเองจึงเหี้ยให้เห็นจริงชัดในปัจจุบัน,และราคาน้ำมันเสือกไม่ลดราคาน้ำมันลงช่วยคนไทยภายในประเทศด้วยเพราะฝรั่งมันยึดบ่อน้ำมันไทย ,ฝรั่งในที่นี้ เหมารวมได้เลยว่าคือฝรั่งที่ปล้นแดนดินไทยในอดีตทั้งหมดล่ะ มันคือพวกเดียวกันหมดคือแยกบ้านกันเท่านั้นแต่มันเครือญาติกันหมด.,บ้านหลักไม่ปล้นชิงแย่งชิงไทยตรงๆก็อาศัยบ้านรองแบบอเมริกาหรือชาติอื่นมาปล้นแทน แต่แมร่งไปดูไส้ใน โคตรพ่อโคตรแมร่งเดอะแก็งเดียวกันหมด ปล้นชิงไทยเสร็จมันก็แอบแบ่งส่วนผลประโยชน์กำไรๆให้ๆกันไปเหมือนเดิมนั้นเอง. ..เขมรที่ปะทะยิงไทยให้เราตายก็ฝรั่งและชาติควายเลวระยำอยู่ร่วมในเบื้องหลังเขมรเนรคุณนี้ล่ะก็จะอยากได้ทรัพยากรมากมายบนเขตแดนที่1:200,000ที่เราเสียดินแดนถึง1:150,000นี้ล่ะ มันได้ทั้งบนบกและอ่าวไทยชัดเจน 10ล้านล้านบาทจริงๆอาจไม่ใช่ตัวเลขนี้ เขมรจึงร่วมกับฝรั่งและชาติอื่นๆสารเลวทางใต้ดินจะยึดครองแดนดินแผ่นดินไทยให้ได้ อาจมีกว่า1,000ล้านล้านบาทเลย 100ล้านล้านบาทอาจเล็กน้อยเท่านั้น.,ฝรั่งมันมีดาวเทียมสำรวจแร่ธาตุโดยเฉพาะ มันรู้หมดล่ะ แบบอเมริกาสำรวจบ่อน้ำมันเราและแร่ธาตุทั้งหมดในประเทศไทยเราสมันสงครามอินโดจีน อีสานมันสำรวจมากเป็นพิเศษเลยล่ะแต่ด้วยเทคโนโลยียังไปไม่ถึงมันจึงเว้นไว้ก่อน,แต่บ่อน้ำมันและแร่ธาตุอื่นๆมันเห็นหมดจึงรีบมายึดไทย จีนโรงงานแถวอีสานก็ผุดอย่างมากมาย,จีนนี้ก็เอาเปรียบไทยนะ,ลาวคือตย.,เวียดนามรู้ไส้รู้พุงจีนอย่างดี,ติดจีนขนาดนั้น,อดีตเราจีนแม้ผลประโยชน์มีจริงแต่สายสัมพันธ์ทางใจดีกว่ามากเมื่อเทียบปัจจุบัน ผลประโยชน์อาจมาก่อนสายสัมพันธ์ที่ดีๆกันไปแล้ว,คนจีนรุ่นปัจจุบันมันมองผลประโยชน์ต้องมาก่อน ลงทุนต้องเอากำไรคืนอย่างเดียว.,นักลงทุนจีนที่สันดานนิสัยเลวแย่ๆที่ออกมานอกประเทศจีนส่วนใหญ่จะมากและเป็นคนพวกนี้,คนดีๆจีนนิสัยดีๆออกมาลงทุนจริงนอกประเทศนั้นมาน้อย.,พวกโลภๆจีนโลภๆทั้งนั้นที่ออกมาลงทุนในประเทศไทยเรา ตย.ชัดเจน คือทัวร์ศูนย์เหรียญ โรงงานศูนย์เหรียญในไทยก็เป็นข่าวชัดเจนแล้ว,คนจีนสันดานจริงๆก็ชอบเอาเปรียบคนอื่นและเห็นแก่ตัวนี้ล่ะของจริง,ต่างจังหวัดคนในชนบทจะเห็นสันดานดิบคนจีนชัดเจนในอดีต,เพราะคนชนบทไทยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากัน แบ่งกันกินกันใช้ ไม่ติดนิสัยโลภนัก มีธรรมะค้ำชูจิตใจคนในชุมชนสังคม คนจีนที่แสดงนิสัยสันดานดิบออกมาจึงเป็นที่ผิดปกติง่ายดาย.,แต่คนจีนดีๆก็มีจริงแต่ส่วนน้อย, ..คนไทยเรา ผู้นำไทยเรา ถ้าเราได้คนดีมาปกครองจริงๆตั้งแต่ต้น เราจะไม่มีสถานะแบบปัจจุบันนี้,เราจะร่ำรวยทั้งทางวัตถุธาตุนิยมคู่ขนานร่ำรวยทางจิตใจดีงามด้วยพร้อมๆกันไม่ยาก,ไม่เสื่อมเช่นในปัจจุบัน ยากจนดักดานมั่นคงด้วย บวกคนได้บัตรคนจนเพิ่มมากมายนั้นเองหากลงทะเบียนเพิ่มกันจริงๆ. .. #หยุดผู้นำกากมานำพาประเทศไทย #หยุดผู้นำขี้ขลาดมานำพาประเทศไทย #หยุดผู้นำไทยใจเขมรมานำประเทศไทย #หยุดนายกไทยใจหมามานำประเทศไทย https://youtu.be/BV3HAhljI3k?si=0sIBsws9xTVKWOXv
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1024 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เป็นกำลังใจให้คนไทยเรา ให้ข้าราชการดีๆเราที่เริ่มออกมาแฉคนชั่วที่ร่ำรวย ได้ดิบได้ดีในประเทศไทยเราตลอดพวกเจ้าสัวชั่วเลวด้วยที่ใช้เงินตบหัวอำมาตย์คนชนชั้นผู้ดีเจ้าท่านหลานเธอเลวๆชั่วๆด้วย จนได้ใบเบิกทางทำชั่วเลวสาระพัดต่อประชาชนคนไทยต่อแผ่นดินไทย กอบโกบผลประโยชน์ทรัพย์สินเงินทองเข้าพุงตนไม่ขาดสายบนความทุกข์ร้อนเดือดร้อนของเรา..ประชาชนคนไทยทั่วประเทศ แล้วเอาตังเหี้ยนี้ไปส่งส่วยชนชั่นสาระเลวชั้นเบิกทางต่อยอดทำเลวต่อไป เป็นมือเป็นไม้หาตังให้พวกนี้ก็ว่าได้เช่นกัน,บ้านเมืองไทยเราจึงพบเจอความอุบาทก์สาระพัดรูปแบบที่เกิดขึ้นภายในประเทศ บัตรคนจนคือเครื่องค้ำประกันว่า สมดุลรายรับรายได้เงินทอง มันเทไปสู่สมการอีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จากปกติ 1+1=2 ,เหี้ยมัน คือ(-1)×(-2)=2เลย นี้คือความบัดสบของระบบปกครองฝรั่งที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์อธิปไตยของนายทุนต่างชาติและเอกชนไทยนายทุนไทยขี้ข้าสมุนต่างชาติด้วย ,ดูบ่อปิโตรเลียมไทยชัดเจน,ตลอดทรัมป์จะแทรกแซงการปกครองแบบอธิปไตยไทยที่ฝรั่งส่งออกมาด้วยอย่างไม่สนใจว่ามรึงประเทศไทยคนไทยจะเป็นห่าอะไร มรึงต้องหยุดยิงใส่เขมรทันที ผลประโยชน์กูในเขมรสายใต้ดินกูจะทำตังให้กูไม่ได้,ล่าสุดมาแทรกแซงสร้างสันติภาพให้โล่กูให้ได้ปลายเดือนนี้..

    https://youtube.com/shorts/v0t9W9zYcu4?si=TD-ji9oNg8p_zxTL
    ..เป็นกำลังใจให้คนไทยเรา ให้ข้าราชการดีๆเราที่เริ่มออกมาแฉคนชั่วที่ร่ำรวย ได้ดิบได้ดีในประเทศไทยเราตลอดพวกเจ้าสัวชั่วเลวด้วยที่ใช้เงินตบหัวอำมาตย์คนชนชั้นผู้ดีเจ้าท่านหลานเธอเลวๆชั่วๆด้วย จนได้ใบเบิกทางทำชั่วเลวสาระพัดต่อประชาชนคนไทยต่อแผ่นดินไทย กอบโกบผลประโยชน์ทรัพย์สินเงินทองเข้าพุงตนไม่ขาดสายบนความทุกข์ร้อนเดือดร้อนของเรา..ประชาชนคนไทยทั่วประเทศ แล้วเอาตังเหี้ยนี้ไปส่งส่วยชนชั่นสาระเลวชั้นเบิกทางต่อยอดทำเลวต่อไป เป็นมือเป็นไม้หาตังให้พวกนี้ก็ว่าได้เช่นกัน,บ้านเมืองไทยเราจึงพบเจอความอุบาทก์สาระพัดรูปแบบที่เกิดขึ้นภายในประเทศ บัตรคนจนคือเครื่องค้ำประกันว่า สมดุลรายรับรายได้เงินทอง มันเทไปสู่สมการอีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จากปกติ 1+1=2 ,เหี้ยมัน คือ(-1)×(-2)=2เลย นี้คือความบัดสบของระบบปกครองฝรั่งที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์อธิปไตยของนายทุนต่างชาติและเอกชนไทยนายทุนไทยขี้ข้าสมุนต่างชาติด้วย ,ดูบ่อปิโตรเลียมไทยชัดเจน,ตลอดทรัมป์จะแทรกแซงการปกครองแบบอธิปไตยไทยที่ฝรั่งส่งออกมาด้วยอย่างไม่สนใจว่ามรึงประเทศไทยคนไทยจะเป็นห่าอะไร มรึงต้องหยุดยิงใส่เขมรทันที ผลประโยชน์กูในเขมรสายใต้ดินกูจะทำตังให้กูไม่ได้,ล่าสุดมาแทรกแซงสร้างสันติภาพให้โล่กูให้ได้ปลายเดือนนี้.. https://youtube.com/shorts/v0t9W9zYcu4?si=TD-ji9oNg8p_zxTL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 1
อังกฤษเข้าไปวุ่นอยู่ในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว แต่ช่วงที่อังกฤษบอกว่าเป็นเวลานาทีทองของอังกฤษ หรือที่อังกฤษเรียกว่าเป็น “moment” ของตนเองในตะวันออกกลาง คือช่วง ค.ศ. 1914-1956 จักรภพอังกฤษในตะวันออกกลาง เริ่มตั้งแต่คลองสุเอช ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย
    ออตโตมานเป็นบริเวณใหญ่ และถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับอังกฤษในตะวันออกกลางในช่วงแรก เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ สำหรับดักหน้า ดักหลัง ไม่ให้ใครเข้าไปสู่อินเดีย กล่องดวงใจของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษคิดตลอดเวลาว่า ทุกชาติ คิดจะชิงอินเดียไปจากอังกฤษทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือเยอรมัน
    อีกบริเวณหนึ่งที่อังกฤษถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ อียิปต์ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน
    อียิปต์เป็นเมืองท่าสำคัญ อยู่ระหว่างเส้นทางเดินของการค้าระหว่างยุโรป กับ เอเซีย พ่อค้าชาวอังกฤษทำการขนถ่ายสินค้า ที่แถวท่าน้ำของอาณาจักรออตโตมานส่วนนี้ มาเป็นเวลาหลายชั่วคนแล้ว เช่นเดียวกันกับทุกเมืองในแถบนี้ อังกฤษเอาอียิปต์ไปโยงกับอินเดีย เพราะอียิปต์เป็นเส้นทางที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพล และชอบใช้ ฝรั่งเศสอาจใช้อียิปต์เป็นเส้นทางไปถึงอินเดียได้ นี่ก็เป็นอาการที่หลอนอังกฤษ ในเวลาทั้งหลับทั้งตื่น แต่ไม่ได้เป็นการหลอนแบบเพ้อ เพราะฝรั่งเศสมาจริง
    ค.ศ. 1728 นโปเลียนยกทัพมาลองเชิงอังกฤษที่อียิปต์ นโปเลียนตีกองทัพของ Mameluk ผู้ครองนครอียิปต์แตกกระเจิงอ ยู่หน้าปิรามิด อังกฤษถึงกับสดุ้งเฮือก เหงื่อแตกซิก นึกไม่ถึงว่าคู่หู คู่กัด จะกล้าดี บุกเข้ามาทีเผลอ บังเอิญกองทัพเรือของอังกฤษยังพอมีอยู่แถวนั้น ท่านหลอด Nelson จึงยกทัพเรือไปขู่ กองทัพเรือของฝรั่งเศสที่อ่าว Abourkir ฝรั่งเศสถอยไม่ออก เดินหน้าไม่ได้ ถูกล้อมอยู่ในอ่าว ในที่สุดนโปเลียนตัดสินใจสละเรือ ยกพลขึ้นบก เดินเท้าแบบหงอย ๆ กลับฝรั่งเศส อีกแล้ว ฝรั่งเศส ! ขู่ได้แต่กับสมันน้อยเท่านั้น หรือไง !
    ผลของการที่ฝรั่งเศสแอบจะมาตีท้ายครัว อังกฤษจึงฉวยโอกาสทิ้งกองทัพไว้ที่อียิปต์เต็มเมือง อียิปต์จึงดูเหมือนอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตั้งแต่นั้นมา แต่การสู้รบระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อแย่งชิงอียิปต์ และที่อียิปต์จะเอาตัวให้รอด ก็มีอยู่ตลอดเวลา
    ในที่สุดปี ค.ศ. 1904 อังกฤษและฝรั่งเศส คงเหนื่อยที่จะกัดกันเอง เสียเวลาล่าเหยื่ออื่น เลยทำข้อตกลง แบ่งสมบัติแถบนั้นระหว่างกัน อียิปต์ตกลงยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ ส่วนฝรั่งเศสยึดครอง มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย แถบนั้นไป
    เรื่องแย่งชามข้าว ดูเหมือนจะจบ แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังมีเรื่องคลองสุเอชค้างอยู่ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายริเริ่มให้ขุดคลองสุเอช โดยอังกฤษไม่ได้มีส่วนร่วม และคิดว่าการขุดคลองภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ แต่อียิปต์และฝรั่งเศสก็ทำสำเร็จ
    ในที่สุดเมื่อคลองสุเอชเสร็จ เปิดกิจการในปี ค.ศ. 1869 อังกฤษเริ่มตาร้อน มันย่นเส้นเดินทาง จากลอนดอนไปบอมเบย์ ให้สั้นขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่คลองสุเอชควบคุมโดย Khedive ผู้ครองนครและฝรั่งเศส อังกฤษจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ อังกฤษต้องรีบตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว
    เมื่อรู้ว่า พวก Khedive มีหนี้ท่วมหัว จากการขุดคลองสุเอชตามที่ฝรั่งเศสแนะนำ หมดปัญญาชำระหนี้ อังกฤษโยนเงินกระสอบใหญ่ให้ Khedive ขอซื้อหุ้น Suez Canal Company คนมีหนี้กำลังหน้ามืด ไม่หันหน้าหนีกระสอบเงิน Khedive ยอมให้อังกฤษเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
    ความรวดเร็วของอังกฤษ ในการปฏิบัติการยึดหุ้นคลองสุเอช เหมือนดึงอาหารออกจากปากฝรั่งเศสขณะกำลังเคี้ยว ทำให้ฝรั่งเศสถึงกับอ้าปากค้าง ต้องตบปากตัวเองถึงจะหุบได้ อังกฤษเอาเงินมาจากไหนรวดเร็ว อ้อ นายทุนใหญ่ Rothschild เป็นผู้ให้รัฐบาลอังกฤษยืม อืม…
    แต่อียิปต์ก็เหมือนตะกร้าก้นรั่ว ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่พอเอามาใช้เลี้ยงประเทศ ต้องเอาไปใช้หนี้ เศรษฐกิจของอียิปต์ทำท่าจะไหลไปกับแม่น้ำไนล์ ไม่กี่ปีก็ต้องแบกหน้าไปหาเงินกู้ใหม่อีก อังกฤษกับฝรั่งเศสก็เลยทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแล จัดการหาเงินกู้ให้ ช่วงนี้อียิปต์เลยเหมือนเป็นอาณานิคม ที่มีนายเหนือ 2 คน ผลัดกันทึ้ง
    แต่หนี้อียิปต์ก็ยังงอกต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุด Khedive ถูกบังคับให้สละบังลังก์และเอา Tawfiq ลูกชายขึ้นมาเป็นผู้ครองนครแทน และ ค.ศ. 1882 โดยกองทัพอียิปต์นำโดย Arabi Pasha ก็ทำการยึดอำนาจ ความไม่สงบเกิดขึ้นในอียิปต์ กองทัพคุมไม่อยู่ อังกฤษบอก ไม่เป็นไร ไอคุมให้เอง อังกฤษเข้าไปจัดการ เก็บกวาด กองทัพและพวกยึดอำนาจ จนสะอาด เรียบร้อย และครอบครองอียิปต์สมบูรณ์เหมือนเป็นอาณานิคม ตั้งแต่บัดนั้น โดยไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามามีส่วนร่วม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 1
อังกฤษเข้าไปวุ่นอยู่ในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว แต่ช่วงที่อังกฤษบอกว่าเป็นเวลานาทีทองของอังกฤษ หรือที่อังกฤษเรียกว่าเป็น “moment” ของตนเองในตะวันออกกลาง คือช่วง ค.ศ. 1914-1956 จักรภพอังกฤษในตะวันออกกลาง เริ่มตั้งแต่คลองสุเอช ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย ออตโตมานเป็นบริเวณใหญ่ และถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับอังกฤษในตะวันออกกลางในช่วงแรก เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ สำหรับดักหน้า ดักหลัง ไม่ให้ใครเข้าไปสู่อินเดีย กล่องดวงใจของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษคิดตลอดเวลาว่า ทุกชาติ คิดจะชิงอินเดียไปจากอังกฤษทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือเยอรมัน อีกบริเวณหนึ่งที่อังกฤษถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ อียิปต์ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน อียิปต์เป็นเมืองท่าสำคัญ อยู่ระหว่างเส้นทางเดินของการค้าระหว่างยุโรป กับ เอเซีย พ่อค้าชาวอังกฤษทำการขนถ่ายสินค้า ที่แถวท่าน้ำของอาณาจักรออตโตมานส่วนนี้ มาเป็นเวลาหลายชั่วคนแล้ว เช่นเดียวกันกับทุกเมืองในแถบนี้ อังกฤษเอาอียิปต์ไปโยงกับอินเดีย เพราะอียิปต์เป็นเส้นทางที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพล และชอบใช้ ฝรั่งเศสอาจใช้อียิปต์เป็นเส้นทางไปถึงอินเดียได้ นี่ก็เป็นอาการที่หลอนอังกฤษ ในเวลาทั้งหลับทั้งตื่น แต่ไม่ได้เป็นการหลอนแบบเพ้อ เพราะฝรั่งเศสมาจริง ค.ศ. 1728 นโปเลียนยกทัพมาลองเชิงอังกฤษที่อียิปต์ นโปเลียนตีกองทัพของ Mameluk ผู้ครองนครอียิปต์แตกกระเจิงอ ยู่หน้าปิรามิด อังกฤษถึงกับสดุ้งเฮือก เหงื่อแตกซิก นึกไม่ถึงว่าคู่หู คู่กัด จะกล้าดี บุกเข้ามาทีเผลอ บังเอิญกองทัพเรือของอังกฤษยังพอมีอยู่แถวนั้น ท่านหลอด Nelson จึงยกทัพเรือไปขู่ กองทัพเรือของฝรั่งเศสที่อ่าว Abourkir ฝรั่งเศสถอยไม่ออก เดินหน้าไม่ได้ ถูกล้อมอยู่ในอ่าว ในที่สุดนโปเลียนตัดสินใจสละเรือ ยกพลขึ้นบก เดินเท้าแบบหงอย ๆ กลับฝรั่งเศส อีกแล้ว ฝรั่งเศส ! ขู่ได้แต่กับสมันน้อยเท่านั้น หรือไง ! ผลของการที่ฝรั่งเศสแอบจะมาตีท้ายครัว อังกฤษจึงฉวยโอกาสทิ้งกองทัพไว้ที่อียิปต์เต็มเมือง อียิปต์จึงดูเหมือนอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตั้งแต่นั้นมา แต่การสู้รบระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อแย่งชิงอียิปต์ และที่อียิปต์จะเอาตัวให้รอด ก็มีอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดปี ค.ศ. 1904 อังกฤษและฝรั่งเศส คงเหนื่อยที่จะกัดกันเอง เสียเวลาล่าเหยื่ออื่น เลยทำข้อตกลง แบ่งสมบัติแถบนั้นระหว่างกัน อียิปต์ตกลงยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ ส่วนฝรั่งเศสยึดครอง มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย แถบนั้นไป เรื่องแย่งชามข้าว ดูเหมือนจะจบ แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังมีเรื่องคลองสุเอชค้างอยู่ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายริเริ่มให้ขุดคลองสุเอช โดยอังกฤษไม่ได้มีส่วนร่วม และคิดว่าการขุดคลองภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ แต่อียิปต์และฝรั่งเศสก็ทำสำเร็จ ในที่สุดเมื่อคลองสุเอชเสร็จ เปิดกิจการในปี ค.ศ. 1869 อังกฤษเริ่มตาร้อน มันย่นเส้นเดินทาง จากลอนดอนไปบอมเบย์ ให้สั้นขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่คลองสุเอชควบคุมโดย Khedive ผู้ครองนครและฝรั่งเศส อังกฤษจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ อังกฤษต้องรีบตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่า พวก Khedive มีหนี้ท่วมหัว จากการขุดคลองสุเอชตามที่ฝรั่งเศสแนะนำ หมดปัญญาชำระหนี้ อังกฤษโยนเงินกระสอบใหญ่ให้ Khedive ขอซื้อหุ้น Suez Canal Company คนมีหนี้กำลังหน้ามืด ไม่หันหน้าหนีกระสอบเงิน Khedive ยอมให้อังกฤษเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ความรวดเร็วของอังกฤษ ในการปฏิบัติการยึดหุ้นคลองสุเอช เหมือนดึงอาหารออกจากปากฝรั่งเศสขณะกำลังเคี้ยว ทำให้ฝรั่งเศสถึงกับอ้าปากค้าง ต้องตบปากตัวเองถึงจะหุบได้ อังกฤษเอาเงินมาจากไหนรวดเร็ว อ้อ นายทุนใหญ่ Rothschild เป็นผู้ให้รัฐบาลอังกฤษยืม อืม… แต่อียิปต์ก็เหมือนตะกร้าก้นรั่ว ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่พอเอามาใช้เลี้ยงประเทศ ต้องเอาไปใช้หนี้ เศรษฐกิจของอียิปต์ทำท่าจะไหลไปกับแม่น้ำไนล์ ไม่กี่ปีก็ต้องแบกหน้าไปหาเงินกู้ใหม่อีก อังกฤษกับฝรั่งเศสก็เลยทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแล จัดการหาเงินกู้ให้ ช่วงนี้อียิปต์เลยเหมือนเป็นอาณานิคม ที่มีนายเหนือ 2 คน ผลัดกันทึ้ง แต่หนี้อียิปต์ก็ยังงอกต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุด Khedive ถูกบังคับให้สละบังลังก์และเอา Tawfiq ลูกชายขึ้นมาเป็นผู้ครองนครแทน และ ค.ศ. 1882 โดยกองทัพอียิปต์นำโดย Arabi Pasha ก็ทำการยึดอำนาจ ความไม่สงบเกิดขึ้นในอียิปต์ กองทัพคุมไม่อยู่ อังกฤษบอก ไม่เป็นไร ไอคุมให้เอง อังกฤษเข้าไปจัดการ เก็บกวาด กองทัพและพวกยึดอำนาจ จนสะอาด เรียบร้อย และครอบครองอียิปต์สมบูรณ์เหมือนเป็นอาณานิคม ตั้งแต่บัดนั้น โดยไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามามีส่วนร่วม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รมว.สุชาติ” ร่วมยินดี 23 ปี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผล กำหนดแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
    https://www.thai-tai.tv/news/21724/
    .
    #กรมอุทยานแห่งชาติ #สุชาติชมกลิ่น #ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #รุกป่า #นายทุน #ผลงานจับต้องได้ #ไทยไท
    “รมว.สุชาติ” ร่วมยินดี 23 ปี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผล กำหนดแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว https://www.thai-tai.tv/news/21724/ . #กรมอุทยานแห่งชาติ #สุชาติชมกลิ่น #ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #รุกป่า #นายทุน #ผลงานจับต้องได้ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้
    ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago
    นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
    น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้
    นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein
    กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว
    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller
    ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910
    น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น
    เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง
    ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน
    Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ
    แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน
    ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน
    อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้ ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้ นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910 น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557 (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 588 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื้องหลัง ภูมิใจไทยไม่ยกเลิก MOU ไทย-เขมร
    นายทุน นายบ่อน นายทหาร ข้าราชการ วิ่งเสนอส่วนแบ่ง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เบื้องหลัง ภูมิใจไทยไม่ยกเลิก MOU ไทย-เขมร นายทุน นายบ่อน นายทหาร ข้าราชการ วิ่งเสนอส่วนแบ่ง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ถึง #นักการเมือง #นักธุรกิจ #นายทุน #ข้าราชการ #ทหาร #ตำรวจ #เจ้าหน้าที่รัฐ
    https://youtube.com/shorts/9A4WPkepvds
    ถึง #นักการเมือง #นักธุรกิจ #นายทุน #ข้าราชการ #ทหาร #ตำรวจ #เจ้าหน้าที่รัฐ https://youtube.com/shorts/9A4WPkepvds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 7 – ครู
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 7 “ครู”
    Fethullah Gulen เป็นใคร เส้นชีวิตเขาน่าสนใจไม่เบา เก็บจากรายงานการวิเคราะห์สัมพันธ์ภาพระหว่างอเมริกากับตุรกี ที่ทำโดย CFR เมื่อค.ศ. 2012 ได้ความว่า Fethullah Gulen เป็นชาวตุรกี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1941 ที่ Koruchuk หมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Ezurum ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางชายแดนด้านตะวันออกของตุรกี การเรียนของเขาไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากครอบครัวอพยพ ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แต่เขาเป็นคนใฝ่ดี สนใจ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัญชา โดยเฉพาะปรัญชาของทางฝั่งตะวันตก เช่น Albert Camus และ Jean-Paul Sartre เขาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามด้วยตนเอง โดยการสวดและท่องจำ (อืม ! ประวัติแบบนี้ คนเขียนแต่งได้น่าสนใจจริง)
    ปี ค.ศ. 1966 เขาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนทางศาสนาที่ Ismir เขาใช้วิธีสอน โดยเอาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มาผสมผสานกับด้านศาสนา ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจาก Said Nursi ซึ่งเป็นนักปฎิรูปใหญ่ของอิสลาม Nursi เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ส่วน Gulen เอง ก็มีแนวโน้มไปในทางเป็นนายทุน คงเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาคบกับอเมริกาได้อย่างไม่ขัดเขิน
    ปัจจุบัน Gulen เป็นหัวหน้ากลุ่ม Hizmet ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและเกี่ยว ข้องกับการเมือง มีเครือข่ายทั่วโลก เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสอนศาสนา สื่อและองค์กรการกุศล มูลค่ารวมประมาณกว่า 20 พันล้านเหรียญ !
    Hizmet มีสาวกเฉพาะในตุรกีถึง 3 ล้านคน นี่ยังไม่ได้นับในอเมริกาและส่วนอื่นของโลก Hizmet เน้นที่จะสร้างอิสลามยุคใหม่ เพื่อรัฐตุรกีใหม่ เป็นอิสลามที่มีการศึกษา เขาให้คุณค่ากับคนชั้นกลางที่ทำ งานวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกซ์ นอกจากนี้เขายังสนับสนุน พวกทำงานให้รัฐ เช่น ผู้พิพากษาและตำรวจ เป็นกลุ่มคนที่เขาบอกว่าเหมาะสมที่จะสร้างสังคมใหม่ของอิสลาม ที่มองเห็นคุณค่าของศาสนาต่างกับของเดิม (มันเขียนพิมพ์เขียว สร้างรูปแบบใกล้เคียงกันหมด แม้กระทั่งในบ้านเรา!)
    กลุ่มผู้สนับสนุน Gulen กับสนับสนุน พรรค AKP ของนาย Erdogan ก็เกือบจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และในช่วงแรกดูเหมือน นาย Gulen กับพวกหัวหน้าของ AKP รวมทั้งตัวนาย Erdogan ก็ดูจะไปกันได้ดี เพราะมีแนวทางที่จะปฏิรูปศาสนาให้ทันสมัยขึ้นและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้อง กับการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทุนนิยมเสรี (ชัดเจนดี)
    แต่ไป ๆ มา ๆ อิทธิพลของนาย Gulen ชักจะแพร่กระจายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตำรวจ ข้าราชการฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษา (นี่ มันเรื่องในตุรกีนะครับ ขอย้ำอีกที) ในการเทศน์ออกโทรทัศน์ เมื่อ ค.ศ. 1999 นาย Gulen กล่าวว่า
    “พวกท่านจะต้องเจาะเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ของระบบ โดยไม่ให้มีการไหวตัว ถึงความมีอยู่และการกระทำของท่าน จนกว่าท่านจะเข้าไปถึงอำนาจที่อยู่ในใจกลาง… ท่านจะต้องคอย จนเมื่อท่านได้อำนาจของรัฐทั้งหมด มาอยู่ในมือแล้ว และเมื่อนั้นท่านจะได้อำนาจทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญของตุรกี” (ยังไงไม่ทราบ ผมเขียนข้อความนี้ แล้วทำให้นึกถึงเสียงและหน้าของยายนกแสก ทำไมมันให้ความรู้สึกเดียวกัน ! ?)
    หลังจากการเทศน์อันเด็ดดวง นาย Gulen ก็เก็บของอพยพไปอยู่อเมริกาในปีนั้นเอง โดยอ้างว่าจะไปรักษาตัว (ข้ออ้างสูตรสำเร็จ) แม้ว่าตอนนั้น จะยังไม่มีทีท่าว่าจะโดนจับ หรือโดนขู่แต่อย่างไร
    เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารบริเวณกว้างขวาง ที่ Saylosburg ทางตะวันออกของมลรัฐ Pennsylvania มีรั้วรอบขอบชิด มียามท่าทางขึงขัง ตลอดแนวบริเวณอาณาเขต
    ครูสอนศาสนาจากบ้านนอกของตุรกีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมอเมริกา ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขาดแต่ปูพรมแดงรับ น่าจะมีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามากกว่าที่ CFR เอามาเล่า
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 7 – ครู นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 7 “ครู” Fethullah Gulen เป็นใคร เส้นชีวิตเขาน่าสนใจไม่เบา เก็บจากรายงานการวิเคราะห์สัมพันธ์ภาพระหว่างอเมริกากับตุรกี ที่ทำโดย CFR เมื่อค.ศ. 2012 ได้ความว่า Fethullah Gulen เป็นชาวตุรกี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1941 ที่ Koruchuk หมู่บ้านเล็ก ๆ ของ Ezurum ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางชายแดนด้านตะวันออกของตุรกี การเรียนของเขาไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากครอบครัวอพยพ ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แต่เขาเป็นคนใฝ่ดี สนใจ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัญชา โดยเฉพาะปรัญชาของทางฝั่งตะวันตก เช่น Albert Camus และ Jean-Paul Sartre เขาศึกษาเกี่ยวกับศาสนาอิสลามด้วยตนเอง โดยการสวดและท่องจำ (อืม ! ประวัติแบบนี้ คนเขียนแต่งได้น่าสนใจจริง) ปี ค.ศ. 1966 เขาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนทางศาสนาที่ Ismir เขาใช้วิธีสอน โดยเอาความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มาผสมผสานกับด้านศาสนา ซึ่งเขาบอกว่าเขาได้รับอิทธิพลมาจาก Said Nursi ซึ่งเป็นนักปฎิรูปใหญ่ของอิสลาม Nursi เป็นผู้ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตัวยง ส่วน Gulen เอง ก็มีแนวโน้มไปในทางเป็นนายทุน คงเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาคบกับอเมริกาได้อย่างไม่ขัดเขิน ปัจจุบัน Gulen เป็นหัวหน้ากลุ่ม Hizmet ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาและเกี่ยว ข้องกับการเมือง มีเครือข่ายทั่วโลก เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสอนศาสนา สื่อและองค์กรการกุศล มูลค่ารวมประมาณกว่า 20 พันล้านเหรียญ ! Hizmet มีสาวกเฉพาะในตุรกีถึง 3 ล้านคน นี่ยังไม่ได้นับในอเมริกาและส่วนอื่นของโลก Hizmet เน้นที่จะสร้างอิสลามยุคใหม่ เพื่อรัฐตุรกีใหม่ เป็นอิสลามที่มีการศึกษา เขาให้คุณค่ากับคนชั้นกลางที่ทำ งานวิชาชีพ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกซ์ นอกจากนี้เขายังสนับสนุน พวกทำงานให้รัฐ เช่น ผู้พิพากษาและตำรวจ เป็นกลุ่มคนที่เขาบอกว่าเหมาะสมที่จะสร้างสังคมใหม่ของอิสลาม ที่มองเห็นคุณค่าของศาสนาต่างกับของเดิม (มันเขียนพิมพ์เขียว สร้างรูปแบบใกล้เคียงกันหมด แม้กระทั่งในบ้านเรา!) กลุ่มผู้สนับสนุน Gulen กับสนับสนุน พรรค AKP ของนาย Erdogan ก็เกือบจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และในช่วงแรกดูเหมือน นาย Gulen กับพวกหัวหน้าของ AKP รวมทั้งตัวนาย Erdogan ก็ดูจะไปกันได้ดี เพราะมีแนวทางที่จะปฏิรูปศาสนาให้ทันสมัยขึ้นและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้อง กับการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นแนวทุนนิยมเสรี (ชัดเจนดี) แต่ไป ๆ มา ๆ อิทธิพลของนาย Gulen ชักจะแพร่กระจายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตำรวจ ข้าราชการฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษา (นี่ มันเรื่องในตุรกีนะครับ ขอย้ำอีกที) ในการเทศน์ออกโทรทัศน์ เมื่อ ค.ศ. 1999 นาย Gulen กล่าวว่า “พวกท่านจะต้องเจาะเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ของระบบ โดยไม่ให้มีการไหวตัว ถึงความมีอยู่และการกระทำของท่าน จนกว่าท่านจะเข้าไปถึงอำนาจที่อยู่ในใจกลาง… ท่านจะต้องคอย จนเมื่อท่านได้อำนาจของรัฐทั้งหมด มาอยู่ในมือแล้ว และเมื่อนั้นท่านจะได้อำนาจทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญของตุรกี” (ยังไงไม่ทราบ ผมเขียนข้อความนี้ แล้วทำให้นึกถึงเสียงและหน้าของยายนกแสก ทำไมมันให้ความรู้สึกเดียวกัน ! ?) หลังจากการเทศน์อันเด็ดดวง นาย Gulen ก็เก็บของอพยพไปอยู่อเมริกาในปีนั้นเอง โดยอ้างว่าจะไปรักษาตัว (ข้ออ้างสูตรสำเร็จ) แม้ว่าตอนนั้น จะยังไม่มีทีท่าว่าจะโดนจับ หรือโดนขู่แต่อย่างไร เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ. 1999 จนถึงบัดนี้ก็ยังอยู่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารบริเวณกว้างขวาง ที่ Saylosburg ทางตะวันออกของมลรัฐ Pennsylvania มีรั้วรอบขอบชิด มียามท่าทางขึงขัง ตลอดแนวบริเวณอาณาเขต ครูสอนศาสนาจากบ้านนอกของตุรกีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมอเมริกา ต้อนรับขับสู้อย่างดี ขาดแต่ปูพรมแดงรับ น่าจะมีเบื้องหลัง เบื้องหน้ามากกว่าที่ CFR เอามาเล่า สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts