• รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 1
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 1

    เพิ่งเขียนเรื่อง สงครามชิงโลกส่งกลิ่นฉุนโชยเสร็จไปไม่กี่วัน ยังกับอเมริกาเอาดาวเทียมมาแอบส่องอ่านตอนลุงนิทานกำลังนั่งเขียน สงสัยจะไปจี้ถูกจุด ถูกนินทาว่ากำลังออกอ่าว ตีกรรเชียงว่อนไปวนมา นักล่าใบตองแห้งเลยต้องรีบจัดการแสดง เล่นบทตีกลองส่งสัญญานโชว์แก่ประชาคมโลกบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายรับสัญญาน จากฝ่ายรัสเซียและพวกมาหลายรอบ เล่นเอา สื่อใหญ่ สื่อน้อย ต่างโหมประโคมข่าววิเคราะห์กันไปในท้วงทำนองเดียวกัน ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังเริ่มบรรเลงแล้ว America is on a “Hot War Footing” , “World War III: US House Passes Resolution 758 Against Russia” แผนทำสงครามโลกที่ Pentagon วาดไว้บนกระดานมากว่า 10 ปี กำลังมาถึงบทปฏิบัติการทางทหารกับรัสเซียแล้ว มีไฟมาลนเพิ่ม โลกเริ่มร้อนขึ้นแล้ว แหม ลุงนิทาน ไม่ตกเทรนด์ แถมนำเล็กๆ ฮา

    สภาล่างของอเมริกา มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2014 ด้วยคะแนนเสียง 411 เสียง ต่อ 10 เสียง ให้ทำการประณามอย่างรุนแรง ต่อการกระทำของรัสเซีย ภายใต้การกุมบังเหียนของพณฯท่านคุณพี่ปูติน ว่าเป็นการดำเนินนโยบาย ที่แสดงความก้าวร้าวต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหวังผลที่จะมีอำนาจในการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยบรรยายการกระทำของรัสเซีย ยาวประมาณ 36 ย่อหน้า เป็นการเขียนด่าประณามรัสเซียที่ยอดเยี่ยมมาก เหมือนอมริกากำลังส่องกระจกมองตัวเอง แล้วก็ด่าไป แค่เปลี่ยนชื่อคนในกระจก จากนายโอบามาเป็นคุณพี่ปูตินเท่านั้นเอง !

    สำหรับมติ ในส่วนที่สภาล่างให้ดำเนินการ มีประมาณ 22 หัวข้อ ซึ่งสรุปคร่าวๆ ว่า ให้รัสเซียถอนการผนวกแหลม Crimea ที่ไม่ถูกกฏหมายเสียเป็นการด่วน และจงถอยทัพออกไปจากอาณาเขตของ Ukraine, Georgia และ Maldova พร้อมทั้งหยุดให้การสนับสนุน ด้านการเมือง การทหาร และ เศรษฐกิจ แก่กองกำลังแบ่งแยกดินแดน ฯลฯ ซึ่งผมชอบมากทุกข้อเลย ถือเป็นการลงมติระดับเซียนสร้างเรื่องทีเดียว

    ลองดูตัวอย่าง ที่น่าประทับใจหน่อยนะครับ

    หัวข้อที่ 1 มติให้อเมริกา ให้การสนับสนุน ประธานาธิบดี และชาว Ukraine ในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในประเทศของตน…….. ซึ่งรวมถึงการมีนโยบายที่จะลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะใช้การส่งออก และการค้าพลังงาน เป็นอาวุธเพื่อกดดันเศรษฐกิจและการเมือง และยุติการก้าวก่ายของรัสเซียในกิจการภายในของ Ukraine

    มติแบบนี้ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็ได้แต่พูด ให้เกียรติเราเกินไปแล้ว เรามิบังอาจกล่าวอ้างเช่นนั้น ฮ่า ฮ่า
    หัวข้อที่ 10 มติเรียกร้องประธานาธิบดี จัดหาอาวุธ การบริการ รวมทั้งการฝึกอบรมที่จำเป็นแก่ Ukraine ในการปกป้องอาณาเขต และอธิปไตยของตนเอง

    แบบนี้ อเมริกาทำได้นะครับ อยากจะอุ้มชูใคร ให้อาวุธใคร หรือกระทืบใคร ทำได้ทั้งนั้นครับ ก็ยอมเขาเองนี่ครับ

    หัวข้อที่ 11 มติเรียกร้องให้อเมริกา จัดหาข่าวกรอง และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ Ukraine เพื่อใช้ในการป้องกันอาณาเขตและอธิปไตยของประเทศตน

    แบบนี้ อเมริกาก็ไม่ผิดนะครับ เสือกกันได้ ทำแบบนี้มาเกือบทั้งโลกแล้ว แถม Ukraine ไปอีกประเทศ เป็นไรไป ไม่ทำให้เลวไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอกน่า

    หัวข้อที่ 13 มติยืนยันคำมั่นของอเมริกาต่อพันธะภายใต้กฏบัตร North Atlantic Treaty โดยเฉเพาะข้อ 5 รวมทั้งเรียกร้องถึงสมาชิกทั้งปวงด้วย เพื่อให้ความร่วมมือกันในการจัดส่งกองกำลังของตนเพื่อรักษาความมั่นคงเมื่อ มีจำเป็น

    มตินี้แปลว่า ลูกพี่อยากรบเมื่อไหร่ ส่งสัญญานไป ลูกหาบต้องมาครบ เข้าใจไหม

    หัวข้อที่ 17 มติให้ Ukraine, EU และประเทศในยุโรป สนับสนุนการ ริเริ่มใช้พลังงานหลากหลาย เพื่อลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะนำการส่งพลังงานของตนมาเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองและเศรษฐกืจต่อ ประเทศอื่นๆ…

    อีกละ มติแบบนี้ คุณพี่ปูตินก็ได้แต่อมยิ้ม ทำหน้าหล่อไปเท่านั้น ขอโทษไม่ตั้งใจเลย มันหล่อเอง ฮา

    ส่วน หัวข้อที่ 21 มติเรียกร้องให้รัสเซีย แสวงหาหนทาง สร้างสัมพันธ์กับอเมริกา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของการเคารพในอิสรภาพ และอธิปไตยของประเทศอื่น สิทธืในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเหล่านั้น รวมทั้งการมีสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น

    ข้อนี้ผมหมดปัญญา ไม่รู้จะสรรเสริญอย่างไร ให้สมกับการแสดงความใหญ่ล้นโลกของเจ้าของมติ

    แต่ยังไงก็สู้หัวข้อที่ 22 ไม่ได้ น่ารัก น่าชัง เหมือนโฆษณาของบริษัทจัดคู่นัด ที่ระบุให้มีการร่วมมือกันระหว่างชาวอเมริกาและชาวรัสเซีย เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ใกล้ชิด อืม อืย..เพื่อแสวงหา ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสันติภาพระหว่างชาติด้วยกัน

    ยกตัวอย่างแค่นี้น่าจะพอ ขอโทษเถอะนะ ผมอ่านแล้ว ดูไม่สมราคารายการศึกท้าชิงแชมป์ เลย เหมือนจะหนักแน่น ก็แน่นจริงหรอก ตั้ง 36 ย่อหน้าการประณาม แน่นเต็มหน้ากระดาษ แต่ไม่หนักนะ แถมเบาจนลอยฟุ้ง จะขึ้นไปติดลมบนเอาด้วย ส่วนเรื่องความร้อนแรง ก็คงต้องโหมไฟกว่านี้อีกหลายท่อนฟืน

    เหมือน ฉากยังสร้างไม่เสร็จ สีที่ทาก็ยังไม่แห้ง แต่ไปรีบยกเอาเก้าอี้มาตั้งกลางโรง นั่งตีกลองโชว์ชาวบ้าน ตกลงอเมริกากำลังส่งสัญญาณอะไรกันแน่ !?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 1 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 1 เพิ่งเขียนเรื่อง สงครามชิงโลกส่งกลิ่นฉุนโชยเสร็จไปไม่กี่วัน ยังกับอเมริกาเอาดาวเทียมมาแอบส่องอ่านตอนลุงนิทานกำลังนั่งเขียน สงสัยจะไปจี้ถูกจุด ถูกนินทาว่ากำลังออกอ่าว ตีกรรเชียงว่อนไปวนมา นักล่าใบตองแห้งเลยต้องรีบจัดการแสดง เล่นบทตีกลองส่งสัญญานโชว์แก่ประชาคมโลกบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายรับสัญญาน จากฝ่ายรัสเซียและพวกมาหลายรอบ เล่นเอา สื่อใหญ่ สื่อน้อย ต่างโหมประโคมข่าววิเคราะห์กันไปในท้วงทำนองเดียวกัน ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังเริ่มบรรเลงแล้ว America is on a “Hot War Footing” , “World War III: US House Passes Resolution 758 Against Russia” แผนทำสงครามโลกที่ Pentagon วาดไว้บนกระดานมากว่า 10 ปี กำลังมาถึงบทปฏิบัติการทางทหารกับรัสเซียแล้ว มีไฟมาลนเพิ่ม โลกเริ่มร้อนขึ้นแล้ว แหม ลุงนิทาน ไม่ตกเทรนด์ แถมนำเล็กๆ ฮา สภาล่างของอเมริกา มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2014 ด้วยคะแนนเสียง 411 เสียง ต่อ 10 เสียง ให้ทำการประณามอย่างรุนแรง ต่อการกระทำของรัสเซีย ภายใต้การกุมบังเหียนของพณฯท่านคุณพี่ปูติน ว่าเป็นการดำเนินนโยบาย ที่แสดงความก้าวร้าวต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหวังผลที่จะมีอำนาจในการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยบรรยายการกระทำของรัสเซีย ยาวประมาณ 36 ย่อหน้า เป็นการเขียนด่าประณามรัสเซียที่ยอดเยี่ยมมาก เหมือนอมริกากำลังส่องกระจกมองตัวเอง แล้วก็ด่าไป แค่เปลี่ยนชื่อคนในกระจก จากนายโอบามาเป็นคุณพี่ปูตินเท่านั้นเอง ! สำหรับมติ ในส่วนที่สภาล่างให้ดำเนินการ มีประมาณ 22 หัวข้อ ซึ่งสรุปคร่าวๆ ว่า ให้รัสเซียถอนการผนวกแหลม Crimea ที่ไม่ถูกกฏหมายเสียเป็นการด่วน และจงถอยทัพออกไปจากอาณาเขตของ Ukraine, Georgia และ Maldova พร้อมทั้งหยุดให้การสนับสนุน ด้านการเมือง การทหาร และ เศรษฐกิจ แก่กองกำลังแบ่งแยกดินแดน ฯลฯ ซึ่งผมชอบมากทุกข้อเลย ถือเป็นการลงมติระดับเซียนสร้างเรื่องทีเดียว ลองดูตัวอย่าง ที่น่าประทับใจหน่อยนะครับ หัวข้อที่ 1 มติให้อเมริกา ให้การสนับสนุน ประธานาธิบดี และชาว Ukraine ในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในประเทศของตน…….. ซึ่งรวมถึงการมีนโยบายที่จะลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะใช้การส่งออก และการค้าพลังงาน เป็นอาวุธเพื่อกดดันเศรษฐกิจและการเมือง และยุติการก้าวก่ายของรัสเซียในกิจการภายในของ Ukraine มติแบบนี้ ผมเป็นคุณพี่ปูติน ก็ได้แต่พูด ให้เกียรติเราเกินไปแล้ว เรามิบังอาจกล่าวอ้างเช่นนั้น ฮ่า ฮ่า หัวข้อที่ 10 มติเรียกร้องประธานาธิบดี จัดหาอาวุธ การบริการ รวมทั้งการฝึกอบรมที่จำเป็นแก่ Ukraine ในการปกป้องอาณาเขต และอธิปไตยของตนเอง แบบนี้ อเมริกาทำได้นะครับ อยากจะอุ้มชูใคร ให้อาวุธใคร หรือกระทืบใคร ทำได้ทั้งนั้นครับ ก็ยอมเขาเองนี่ครับ หัวข้อที่ 11 มติเรียกร้องให้อเมริกา จัดหาข่าวกรอง และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ให้ Ukraine เพื่อใช้ในการป้องกันอาณาเขตและอธิปไตยของประเทศตน แบบนี้ อเมริกาก็ไม่ผิดนะครับ เสือกกันได้ ทำแบบนี้มาเกือบทั้งโลกแล้ว แถม Ukraine ไปอีกประเทศ เป็นไรไป ไม่ทำให้เลวไปกว่าเดิมเท่าไหร่หรอกน่า หัวข้อที่ 13 มติยืนยันคำมั่นของอเมริกาต่อพันธะภายใต้กฏบัตร North Atlantic Treaty โดยเฉเพาะข้อ 5 รวมทั้งเรียกร้องถึงสมาชิกทั้งปวงด้วย เพื่อให้ความร่วมมือกันในการจัดส่งกองกำลังของตนเพื่อรักษาความมั่นคงเมื่อ มีจำเป็น มตินี้แปลว่า ลูกพี่อยากรบเมื่อไหร่ ส่งสัญญานไป ลูกหาบต้องมาครบ เข้าใจไหม หัวข้อที่ 17 มติให้ Ukraine, EU และประเทศในยุโรป สนับสนุนการ ริเริ่มใช้พลังงานหลากหลาย เพื่อลดความสามารถของรัสเซีย ที่จะนำการส่งพลังงานของตนมาเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองและเศรษฐกืจต่อ ประเทศอื่นๆ… อีกละ มติแบบนี้ คุณพี่ปูตินก็ได้แต่อมยิ้ม ทำหน้าหล่อไปเท่านั้น ขอโทษไม่ตั้งใจเลย มันหล่อเอง ฮา ส่วน หัวข้อที่ 21 มติเรียกร้องให้รัสเซีย แสวงหาหนทาง สร้างสัมพันธ์กับอเมริกา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของการเคารพในอิสรภาพ และอธิปไตยของประเทศอื่น สิทธืในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของประเทศเหล่านั้น รวมทั้งการมีสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น ข้อนี้ผมหมดปัญญา ไม่รู้จะสรรเสริญอย่างไร ให้สมกับการแสดงความใหญ่ล้นโลกของเจ้าของมติ แต่ยังไงก็สู้หัวข้อที่ 22 ไม่ได้ น่ารัก น่าชัง เหมือนโฆษณาของบริษัทจัดคู่นัด ที่ระบุให้มีการร่วมมือกันระหว่างชาวอเมริกาและชาวรัสเซีย เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ใกล้ชิด อืม อืย..เพื่อแสวงหา ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสันติภาพระหว่างชาติด้วยกัน ยกตัวอย่างแค่นี้น่าจะพอ ขอโทษเถอะนะ ผมอ่านแล้ว ดูไม่สมราคารายการศึกท้าชิงแชมป์ เลย เหมือนจะหนักแน่น ก็แน่นจริงหรอก ตั้ง 36 ย่อหน้าการประณาม แน่นเต็มหน้ากระดาษ แต่ไม่หนักนะ แถมเบาจนลอยฟุ้ง จะขึ้นไปติดลมบนเอาด้วย ส่วนเรื่องความร้อนแรง ก็คงต้องโหมไฟกว่านี้อีกหลายท่อนฟืน เหมือน ฉากยังสร้างไม่เสร็จ สีที่ทาก็ยังไม่แห้ง แต่ไปรีบยกเอาเก้าอี้มาตั้งกลางโรง นั่งตีกลองโชว์ชาวบ้าน ตกลงอเมริกากำลังส่งสัญญาณอะไรกันแน่ !? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ

    Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว

    ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

    SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม

    ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร

    Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI

    ข้อมูลในข่าว
    Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่
    SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google
    ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา
    รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU
    มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor
    มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB
    เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์
    ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm
    ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    🧠 “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ ➡️ SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google ➡️ ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา ➡️ รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU ➡️ มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor ➡️ มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB ➡️ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์ ➡️ ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ➡️ ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Synaptics Launches the Next Generation of Astra Multimodal GenAI Edge Processors
    Synaptics Incorporated (Nasdaq: SYNA), announces the new Astra SL2600 Series of multimodal Edge AI processors designed to deliver exceptional power and performance. The Astra SL2600 series enables a new generation of cost-effective intelligent devices that make the cognitive Internet of Things (IoT)...
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์

    บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง

    ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง

    Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง

    แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว

    Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม

    ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว:
    Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์
    Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า
    DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ
    Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน
    Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    ข้อมูลในข่าว
    AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้
    ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้
    Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents
    Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026
    AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้
    Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์
    DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ
    Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน
    Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้
    Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก
    อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี
    หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์
    การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ
    นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    🤖 “AI Agents: อัจฉริยะที่น่าทึ่ง หรือภัยเงียบที่ควบคุมไม่ได้?” — เมื่อผู้ช่วยดิจิทัลกลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนมนุษย์ บทความจาก The Star เปิดเผยว่า ปี 2026 กำลังจะกลายเป็น “ปีแห่ง AI Agents” — ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถวางแผนหลายขั้นตอน เข้าถึงบริการดิจิทัล และตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากแชตบอทหรือผู้ช่วยเสียงทั่วไปที่แค่ตอบคำถามหรือทำตามคำสั่ง ผู้พัฒนาเช่น Amazon, Microsoft, Google และ OpenAI ต่างเร่งสร้าง AI Agents ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง เช่น สั่งซื้อของออนไลน์ จัดการงาน HR และ IT หรือแม้แต่โทรหาลูกค้าเพื่อเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้อง Marc Benioff จาก Salesforce เรียกสิ่งนี้ว่า “โมเดลแรงงานใหม่” และคาดว่าจะมีการสร้าง AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ขณะที่ Jensen Huang จาก NVIDIA เชื่อว่าแผนก HR จะรวมเข้ากับ IT เพราะ AI จะจัดการทุกอย่างได้เอง แต่เสียงเตือนจากนักวิจัยด้านจริยธรรม AI ก็เริ่มดังขึ้น Meredith Whittaker จาก Signal เตือนว่า AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างมหาศาล เช่น ปฏิทิน บัตรเครดิต และบัญชีอีเมล โดยไม่ต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งเป็นช่องโหว่ใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัว Yoshua Bengio และ Margaret Mitchell นักวิจัย AI ชื่อดัง เตือนว่า หากปล่อยให้ AI Agents ทำงานโดยไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์อย่างถาวร และเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ระบบเหล่านี้โจมตีหรือสอดแนม ตัวอย่าง AI Agents ที่มีอยู่แล้ว: ⭐ Google: “Project Mariner” ใช้ Gemini 2.0 ทำงานในเบราว์เซอร์แทนมนุษย์ ⭐ Salesforce: โทรหาลูกค้าอัตโนมัติเพื่อเปลี่ยนสินค้า ⭐ DeepL: ใช้ในระบบจัดการบทความ ⭐ Microsoft: “Factory Operations Agent” สำหรับปรับปรุงกระบวนการในโรงงาน ⭐ Amazon: พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ⭐ Parloa: AI โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AI Agents สามารถวางแผนหลายขั้นตอนและตัดสินใจแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ต่างจากแชตบอททั่วไปที่ทำงานแบบตอบโต้ ➡️ Amazon, Microsoft, Google, OpenAI และ Salesforce กำลังพัฒนา AI Agents ➡️ Salesforce คาดว่าจะมี AI Agents กว่า 1 พันล้านตัวภายในปี 2026 ➡️ AI Agents สามารถจัดการงาน HR, IT และบริการลูกค้าได้ ➡️ Google ใช้ Gemini 2.0 ใน “Project Mariner” เพื่อทำงานในเบราว์เซอร์ ➡️ DeepL มี AI Agent ที่ทำงานในระบบจัดการบทความ ➡️ Microsoft มี “Factory Operations Agent” สำหรับโรงงาน ➡️ Amazon พัฒนา Alexa ให้รู้จักนิสัยและตารางชีวิตของผู้ใช้ ➡️ Parloa มี AI ที่โทรหาลูกค้าเพื่อเสนออัปเกรดเที่ยวบิน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ AI Agents ต้องการสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจำนวนมาก ⛔ อาจเข้าถึงบัตรเครดิต ปฏิทิน และอีเมลโดยไม่ขออนุญาตทุกครั้ง ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือสอดแนมจากผู้ไม่หวังดี ⛔ หากไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของมนุษย์ ⛔ การใช้ AI Agents โดยไม่เข้าใจความเสี่ยง อาจสร้างผลกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ ⛔ นักวิจัยเตือนว่า AI Agents อาจกลายเป็นภัยระดับ “catastrophic” หากปล่อยให้เติบโตโดยไม่มีกรอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/16/incredibly-dangerous-or-incredibly-useful-the-rise-of-ai-agents
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Incredibly dangerous or incredibly useful? The rise of AI agents
    Developers say they can do nearly any task a human can at a computer. Critics say they are incredibly dangerous.
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • “22 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ที่องค์กรควรเลิกเชื่อ” — เมื่อแนวทางความปลอดภัยแบบเดิมกลายเป็นกับดักในยุค AI

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 22 ความเชื่อผิด ๆ ที่องค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่ แม้โลกไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI และการโจมตีแบบซับซ้อนเข้ามาเปลี่ยนเกม

    ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะแม้ AI จะช่วยกรองข้อมูลและตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น แต่มันยังขาดความเข้าใจบริบทและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มนุษย์ทำได้

    อีกหนึ่งความเชื่อที่อันตรายคือ “การยืนยันตัวตนแบบวิดีโอหรือเสียงสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้” ซึ่งในยุค deepfake นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแฮกเกอร์สามารถสร้างวิดีโอปลอมที่หลอกระบบได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน

    นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า “การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น” ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหาหลักมักอยู่ที่การขาดกลยุทธ์และการบูรณาการ ไม่ใช่จำนวนเครื่องมือ

    บทความยังเตือนว่า “การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ” อาจทำให้ผู้ใช้สร้างรหัสผ่านที่คาดเดาง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนจาก Summer2025! เป็น Winter2025! ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง

    รายการ 13 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์
    AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย
    แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแรงพอจะป้องกันการปลอมแปลง
    การลงทุนในผู้ให้บริการยืนยันตัวตนจะป้องกันการโจมตีล่าสุดได้
    การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น
    การจ้างคนเพิ่มจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ได้
    หากเราป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ เราก็ปลอดภัยแล้ว
    การทดสอบและวิเคราะห์ระบบอย่างละเอียดจะครอบคลุมช่องโหว่ทั้งหมด
    ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อความปลอดภัย
    สามารถจัดการใบรับรองดิจิทัลทั้งหมดด้วยสเปรดชีตได้
    การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) เท่ากับความปลอดภัย
    ภัยจากควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ไกล ไม่ต้องกังวลตอนนี้
    ควรอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อความปลอดภัย
    การปล่อยให้ AI เติบโตโดยไม่มีการควบคุมจะช่วยเร่งนวัตกรรม

    https://www.csoonline.com/article/571943/22-cybersecurity-myths-organizations-need-to-stop-believing-in-2022.html
    🛡️ “22 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ที่องค์กรควรเลิกเชื่อ” — เมื่อแนวทางความปลอดภัยแบบเดิมกลายเป็นกับดักในยุค AI บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 22 ความเชื่อผิด ๆ ที่องค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่ แม้โลกไซเบอร์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI และการโจมตีแบบซับซ้อนเข้ามาเปลี่ยนเกม ตัวอย่างเช่น ความเชื่อว่า “AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย” นั้นไม่เป็นความจริง เพราะแม้ AI จะช่วยกรองข้อมูลและตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น แต่มันยังขาดความเข้าใจบริบทและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มนุษย์ทำได้ อีกหนึ่งความเชื่อที่อันตรายคือ “การยืนยันตัวตนแบบวิดีโอหรือเสียงสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้” ซึ่งในยุค deepfake นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะแฮกเกอร์สามารถสร้างวิดีโอปลอมที่หลอกระบบได้ภายในเวลาไม่ถึงวัน นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า “การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น” ทั้งที่ความจริงแล้ว ปัญหาหลักมักอยู่ที่การขาดกลยุทธ์และการบูรณาการ ไม่ใช่จำนวนเครื่องมือ บทความยังเตือนว่า “การเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ” อาจทำให้ผู้ใช้สร้างรหัสผ่านที่คาดเดาง่ายขึ้น เช่น เปลี่ยนจาก Summer2025! เป็น Winter2025! ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง 🧠 รายการ 13 ความเชื่อผิด ๆ ด้านไซเบอร์ 🪙 AI จะมาแทนที่มนุษย์ในงานด้านความปลอดภัย 🪙 แพลตฟอร์มเทคโนโลยีขนาดใหญ่มีระบบยืนยันตัวตนที่แข็งแรงพอจะป้องกันการปลอมแปลง 🪙 การลงทุนในผู้ให้บริการยืนยันตัวตนจะป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ 🪙 การซื้อเครื่องมือมากขึ้นจะทำให้ปลอดภัยขึ้น 🪙 การจ้างคนเพิ่มจะช่วยแก้ปัญหาความปลอดภัยไซเบอร์ได้ 🪙 หากเราป้องกันการโจมตีล่าสุดได้ เราก็ปลอดภัยแล้ว 🪙 การทดสอบและวิเคราะห์ระบบอย่างละเอียดจะครอบคลุมช่องโหว่ทั้งหมด 🪙 ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อความปลอดภัย 🪙 สามารถจัดการใบรับรองดิจิทัลทั้งหมดด้วยสเปรดชีตได้ 🪙 การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) เท่ากับความปลอดภัย 🪙 ภัยจากควอนตัมคอมพิวติ้งยังอยู่ไกล ไม่ต้องกังวลตอนนี้ 🪙 ควรอนุญาตให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end เพื่อความปลอดภัย 🪙 การปล่อยให้ AI เติบโตโดยไม่มีการควบคุมจะช่วยเร่งนวัตกรรม https://www.csoonline.com/article/571943/22-cybersecurity-myths-organizations-need-to-stop-believing-in-2022.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    13 cybersecurity myths organizations need to stop believing
    Security teams trying to defend their organizations need to adapt quickly to new challenges. Yesterday's best practices have become today's myths.
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • “ฐานข้อมูลเวกเตอร์: หัวใจของการค้นหาแบบเข้าใจความหมายในยุค AI” — จากการค้นหาด้วยคำสู่การค้นหาด้วยความเข้าใจ

    ในอดีต การค้นหาข้อมูลต้องอาศัยคำที่ตรงเป๊ะ เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสสินค้า แต่เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น รูปภาพ ข้อความ หรือเสียง การค้นหาแบบเดิมก็เริ่มล้าสมัย นี่คือจุดที่ “ฐานข้อมูลเวกเตอร์” (Vector Database) เข้ามาเปลี่ยนเกม

    หลักการคือการใช้โมเดล AI สร้าง “embedding” หรือ “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของข้อมูล เช่น รูปภาพหรือข้อความ แล้วเปลี่ยนเป็นเวกเตอร์ (ชุดตัวเลข) ที่สะท้อนความหมายและบริบทของข้อมูลนั้น จากนั้นฐานข้อมูลเวกเตอร์จะจัดเก็บและค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันในเชิงคณิตศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่ “คล้ายกัน” แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะ

    ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปโหลดภาพสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ระบบสามารถค้นหาภาพที่คล้ายกัน เช่น ลาบราดอร์ในสวน โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สุนัข” เลย เพราะ embedding เข้าใจความหมายของภาพ

    ฐานข้อมูลเวกเตอร์ใช้เทคนิคการค้นหาแบบ Approximate Nearest Neighbor (ANN) เพื่อให้ค้นหาได้เร็วมากในระดับมิลลิวินาที แม้จะมีข้อมูลเป็นพันล้านรายการ โดยยอมแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น:
    อีคอมเมิร์ซ: แนะนำสินค้าที่คล้ายกับที่ผู้ใช้ดู
    ความปลอดภัยไซเบอร์: ค้นหามัลแวร์ที่คล้ายกับตัวอย่างที่พบ
    แชตบอท AI: ค้นหาข้อมูลในเอกสารภายในองค์กรเพื่อตอบคำถาม
    ตรวจสอบลิขสิทธิ์: เปรียบเทียบเสียงหรือภาพกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท เช่น Pinecone, Weaviate, Milvus, Qdrant, FAISS และ Chroma รวมถึง PostgreSQL ที่เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector

    ข้อมูลในข่าว
    ฐานข้อมูลเวกเตอร์ช่วยค้นหาข้อมูลที่คล้ายกันในเชิงความหมาย ไม่ใช่แค่คำ
    ใช้ embedding จากโมเดล AI เพื่อแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์
    เวกเตอร์คือชุดตัวเลขที่สะท้อนความหมายของข้อมูล
    ใช้ ANN เพื่อค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันอย่างรวดเร็ว
    ถูกนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัยไซเบอร์, แชตบอท และการตรวจสอบลิขสิทธิ์
    มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท ทั้งแบบคลาวด์, โอเพ่นซอร์ส และฝังในแอป
    Pinecone และ Weaviate เหมาะกับการใช้งานแบบ API
    Milvus และ Qdrant เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง
    FAISS และ Chroma เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการฝังในแอปขนาดเล็ก
    PostgreSQL เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ ANN อาจแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว
    หาก embedding ไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์การค้นหาไม่ตรงความต้องการ
    การจัดการฐานข้อมูลเวกเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูง
    การฝึก embedding ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อให้ผลลัพธ์มีความหมาย
    การนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแพทย์ ต้องระวังเป็นพิเศษ

    https://hackread.com/power-of-vector-databases-era-of-ai-search/
    🔍 “ฐานข้อมูลเวกเตอร์: หัวใจของการค้นหาแบบเข้าใจความหมายในยุค AI” — จากการค้นหาด้วยคำสู่การค้นหาด้วยความเข้าใจ ในอดีต การค้นหาข้อมูลต้องอาศัยคำที่ตรงเป๊ะ เช่น ชื่อผู้ใช้หรือรหัสสินค้า แต่เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น รูปภาพ ข้อความ หรือเสียง การค้นหาแบบเดิมก็เริ่มล้าสมัย นี่คือจุดที่ “ฐานข้อมูลเวกเตอร์” (Vector Database) เข้ามาเปลี่ยนเกม หลักการคือการใช้โมเดล AI สร้าง “embedding” หรือ “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของข้อมูล เช่น รูปภาพหรือข้อความ แล้วเปลี่ยนเป็นเวกเตอร์ (ชุดตัวเลข) ที่สะท้อนความหมายและบริบทของข้อมูลนั้น จากนั้นฐานข้อมูลเวกเตอร์จะจัดเก็บและค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันในเชิงคณิตศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่ “คล้ายกัน” แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะ ตัวอย่างเช่น หากคุณอัปโหลดภาพสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ระบบสามารถค้นหาภาพที่คล้ายกัน เช่น ลาบราดอร์ในสวน โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สุนัข” เลย เพราะ embedding เข้าใจความหมายของภาพ ฐานข้อมูลเวกเตอร์ใช้เทคนิคการค้นหาแบบ Approximate Nearest Neighbor (ANN) เพื่อให้ค้นหาได้เร็วมากในระดับมิลลิวินาที แม้จะมีข้อมูลเป็นพันล้านรายการ โดยยอมแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น: ⭐ อีคอมเมิร์ซ: แนะนำสินค้าที่คล้ายกับที่ผู้ใช้ดู ⭐ ความปลอดภัยไซเบอร์: ค้นหามัลแวร์ที่คล้ายกับตัวอย่างที่พบ ⭐ แชตบอท AI: ค้นหาข้อมูลในเอกสารภายในองค์กรเพื่อตอบคำถาม ⭐ ตรวจสอบลิขสิทธิ์: เปรียบเทียบเสียงหรือภาพกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท เช่น Pinecone, Weaviate, Milvus, Qdrant, FAISS และ Chroma รวมถึง PostgreSQL ที่เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ฐานข้อมูลเวกเตอร์ช่วยค้นหาข้อมูลที่คล้ายกันในเชิงความหมาย ไม่ใช่แค่คำ ➡️ ใช้ embedding จากโมเดล AI เพื่อแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์ ➡️ เวกเตอร์คือชุดตัวเลขที่สะท้อนความหมายของข้อมูล ➡️ ใช้ ANN เพื่อค้นหาเวกเตอร์ที่ใกล้เคียงกันอย่างรวดเร็ว ➡️ ถูกนำไปใช้ในอีคอมเมิร์ซ, ความปลอดภัยไซเบอร์, แชตบอท และการตรวจสอบลิขสิทธิ์ ➡️ มีฐานข้อมูลเวกเตอร์หลายประเภท ทั้งแบบคลาวด์, โอเพ่นซอร์ส และฝังในแอป ➡️ Pinecone และ Weaviate เหมาะกับการใช้งานแบบ API ➡️ Milvus และ Qdrant เหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมระบบเอง ➡️ FAISS และ Chroma เหมาะกับนักพัฒนาที่ต้องการฝังในแอปขนาดเล็ก ➡️ PostgreSQL เพิ่มความสามารถด้านเวกเตอร์ผ่าน pgvector ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ ANN อาจแลกความแม่นยำเล็กน้อยเพื่อความเร็ว ⛔ หาก embedding ไม่ดี อาจทำให้ผลลัพธ์การค้นหาไม่ตรงความต้องการ ⛔ การจัดการฐานข้อมูลเวกเตอร์ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูง ⛔ การฝึก embedding ต้องใช้ข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อให้ผลลัพธ์มีความหมาย ⛔ การนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแพทย์ ต้องระวังเป็นพิเศษ https://hackread.com/power-of-vector-databases-era-of-ai-search/
    HACKREAD.COM
    The Power of Vector Databases in the New Era of AI Search
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • “Android Auto 15.2 มาแล้ว” — Gemini และ Call Screening ยกระดับผู้ช่วยในรถให้ฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น

    Google เปิดตัว Android Auto เวอร์ชัน 15.2 อย่างเป็นทางการ โดยเพิ่มฟีเจอร์เด่น 2 อย่างคือ Gemini และ Call Screening ซึ่งเคยมีเฉพาะใน Pixel phones ตอนนี้ถูกนำมาใส่ในระบบรถยนต์เพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยระหว่างขับขี่

    Gemini คือผู้ช่วย AI ที่เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ดีกว่า Google Assistant แบบเดิม เช่น คุณสามารถพูดกับ Gemini เพื่อส่งข้อความถึงเพื่อนเป็นภาษาต่างประเทศ และมันจะช่วยแปลข้อความอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณคุยกับคนนั้น นอกจากนี้ยังสามารถขอคำแนะนำร้านอาหาร “ระหว่างทาง” โดย Gemini จะเลือกเฉพาะร้านที่อยู่บนเส้นทางที่คุณกำลังขับอยู่

    Gemini Live ก็จะถูกเพิ่มเข้ามาใน Android Auto ซึ่งให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องราวกับมีเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจคุณตลอดเวลา

    อีกฟีเจอร์สำคัญคือ Call Screening ที่ช่วยกรองสายโทรเข้าโดยอัตโนมัติ ลดจำนวนสายที่ไม่สำคัญหรือรบกวนระหว่างขับรถ พร้อมฟีเจอร์ Call Notes ที่สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนาให้คุณหลังจบสาย

    Google ระบุว่าฟีเจอร์ทั้งหมดจะทยอยปล่อยให้ใช้งานภายในสิ้นปีนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตแอป Android Auto ผ่าน Play Store หรือดาวน์โหลดไฟล์ APK จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น APKMirror โดยต้องติดตั้งผ่าน APK bundle ซึ่งมีขั้นตอนพิเศษเล็กน้อย

    ข้อมูลในข่าว
    Android Auto 15.2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว
    เพิ่มฟีเจอร์ Gemini และ Call Screening จาก Pixel phones
    Gemini สามารถแปลข้อความอัตโนมัติและแนะนำร้านอาหารตามเส้นทาง
    Gemini Live ให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องในรถ
    Call Screening ช่วยกรองสายโทรเข้าอัตโนมัติ
    Call Notes สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนา
    ฟีเจอร์จะทยอยปล่อยภายในสิ้นปี 2025
    ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Play Store หรือ sideload ผ่าน APKMirror
    การติดตั้ง APK bundle ต้องใช้แอป Installer และเปิดสิทธิ์ติดตั้งจากแหล่งภายนอก

    https://www.slashgear.com/1994559/android-auto-15-2-update-details/
    🚗 “Android Auto 15.2 มาแล้ว” — Gemini และ Call Screening ยกระดับผู้ช่วยในรถให้ฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น Google เปิดตัว Android Auto เวอร์ชัน 15.2 อย่างเป็นทางการ โดยเพิ่มฟีเจอร์เด่น 2 อย่างคือ Gemini และ Call Screening ซึ่งเคยมีเฉพาะใน Pixel phones ตอนนี้ถูกนำมาใส่ในระบบรถยนต์เพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยระหว่างขับขี่ Gemini คือผู้ช่วย AI ที่เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ดีกว่า Google Assistant แบบเดิม เช่น คุณสามารถพูดกับ Gemini เพื่อส่งข้อความถึงเพื่อนเป็นภาษาต่างประเทศ และมันจะช่วยแปลข้อความอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณคุยกับคนนั้น นอกจากนี้ยังสามารถขอคำแนะนำร้านอาหาร “ระหว่างทาง” โดย Gemini จะเลือกเฉพาะร้านที่อยู่บนเส้นทางที่คุณกำลังขับอยู่ Gemini Live ก็จะถูกเพิ่มเข้ามาใน Android Auto ซึ่งให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องราวกับมีเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจคุณตลอดเวลา อีกฟีเจอร์สำคัญคือ Call Screening ที่ช่วยกรองสายโทรเข้าโดยอัตโนมัติ ลดจำนวนสายที่ไม่สำคัญหรือรบกวนระหว่างขับรถ พร้อมฟีเจอร์ Call Notes ที่สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนาให้คุณหลังจบสาย Google ระบุว่าฟีเจอร์ทั้งหมดจะทยอยปล่อยให้ใช้งานภายในสิ้นปีนี้ และแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตแอป Android Auto ผ่าน Play Store หรือดาวน์โหลดไฟล์ APK จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น APKMirror โดยต้องติดตั้งผ่าน APK bundle ซึ่งมีขั้นตอนพิเศษเล็กน้อย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Android Auto 15.2 เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ Gemini และ Call Screening จาก Pixel phones ➡️ Gemini สามารถแปลข้อความอัตโนมัติและแนะนำร้านอาหารตามเส้นทาง ➡️ Gemini Live ให้ประสบการณ์สนทนาแบบต่อเนื่องในรถ ➡️ Call Screening ช่วยกรองสายโทรเข้าอัตโนมัติ ➡️ Call Notes สรุปเนื้อหาสำคัญจากการสนทนา ➡️ ฟีเจอร์จะทยอยปล่อยภายในสิ้นปี 2025 ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Play Store หรือ sideload ผ่าน APKMirror ➡️ การติดตั้ง APK bundle ต้องใช้แอป Installer และเปิดสิทธิ์ติดตั้งจากแหล่งภายนอก https://www.slashgear.com/1994559/android-auto-15-2-update-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Hits 'Go' On Android Auto 15.2 – Here's How You Can Get It - SlashGear
    Android Auto 15.2 is rolling out now bringing new features, UI tweaks, shortcut updates, and better app integration. Here's how to get it today.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • วงการพระดัง วงการพระเครื่องคือหน้าคือตาของคนไทยเหมือนกัน ภาพรวมทั้งประเทศนะ อย่าทำเล่น.

    ตระกูลคนสร้างประจำที่เคยผูกขาดการสร้าง ไม่พลาดการบันทึก ไม่พลาดประวัติการสร้างเหรียญหลวงปู่หรอก อย่างน้อยต้องมีครอบครองแน่นอน ไม่มีก็ต้องบันทึกไว้บ้าง มีการสร้างเนื่องในโอกาสร่วมอะไร เอาตังไปสร้างโรงพยาบาลสร้างโรงเรียนสร้างวัดที่ไหนที่ขาดปัจจัยจึงสร้างรุ่นนี้ขึ้นมา จะผ่าปากหรือไม่ผ่าปาก รุ่นเงินรุ่นทองคำก็ตาม ระดับเหรียญหลวงปู่ชื่อเสียงขนาดนี้ต้องมีบันทึกทางผู้จัดงานผู้สร้างตระกูลใครรับผิดชอบสร้าง.,คณะใดเก็บตัง มีหมดล่ะ.

    เหรียญอ.แพะก็บอกชัดเจนแล้วว่า เซียนทำตัวตัดมันทำได้หมดล่ะ จะยุคไหนถ้าเห็นตัวตัดจริง ความเพียรพยายามมันทำได้หมด ยุคนี้ระดับนาโนอีก เหรียญก้าๆมีตัวอย่างอีกก็ก๊อปได้,ประวัติจึงสำคัญ,ต้องตระกูลและวัดมีบันทึกร่วมด้วย,พิธีปลุกเสกวัตถุมงคลอีก ,

    ..คลิปนี้จะอะไรก็ตาม คนในคลิปโรงปั้มก็ตาม แม้ชี้นำออกหน้าออกตาว่าจบที่ตัวตัด อ.แพะก็ค้ำประกันแล้วว่ามันก๊อปได้สมจริงสบาย,คุ้มค่าด้วยกับเหรียญพระดังๆ เหมือนปลอมแบงค์พันบาทนั้นล่ะ เซียนขนาดไหนล่ะ เทคโนโลยีอะไรมันสั่งจบด้วยเงินได้หมดล่ะ.,จึงต้องจบที่ประวัติการสร้างพระเหรียญนี้มิใช่อ้างเลื่อนยศเลื่อนศักดิ์อย่างเดียวหรอก.,ถ้าพวกฟอกเงิน ปั่นราคาพระ มันเหมาะสมมากเพราะมีชื่อมีวัตถุประสงค์การสร้างชัดเจนพิมพ์ปั้มในเหรียญค้ำคอวัตถุประสงค์การสร้างแล้วคนซื้อมันจะถามหาอะไรได้อีก,ใบค้ำประกันการสร้างก็พิมพ์ปั้มในเหรียญแล้วสมบูรณ์ต่างจากรุ่นอื่น อาจไม่ปั้มชัดเจนแบบนี้จะใช้หลอกลวงก็ยากในพวกมิจฉาชีพในวงการพระเครื่องที่คนไม่ดีทำมาหากินอยู่ในวงการนี้.

    ..วงการพระเครื่องเกี่ยวข้องกับคนไทยนะ อย่ามองข้าม ทหารมีห้อยแล้วอุ่นใจ ,พระดีๆดังๆต้องมีมาตราฐานไว้ดีแล้วเป็นการเคารพในครูบาอาจารย์ มิให้คนไม่ดีแอบเอาชื่อเสียงท่านไปหากินไปหลอกลวงหากินประชาชนคนไทย.,คนไทยทุกๆคนไม่อยากได้ของปลอมไว้บูชาหรอก.ต้องการของดีของแท้กันทุกๆคน.

    https://youtube.com/watch?v=8xr7rZcRf6E&si=KKjGMvpU7i96xh_F
    วงการพระดัง วงการพระเครื่องคือหน้าคือตาของคนไทยเหมือนกัน ภาพรวมทั้งประเทศนะ อย่าทำเล่น. ตระกูลคนสร้างประจำที่เคยผูกขาดการสร้าง ไม่พลาดการบันทึก ไม่พลาดประวัติการสร้างเหรียญหลวงปู่หรอก อย่างน้อยต้องมีครอบครองแน่นอน ไม่มีก็ต้องบันทึกไว้บ้าง มีการสร้างเนื่องในโอกาสร่วมอะไร เอาตังไปสร้างโรงพยาบาลสร้างโรงเรียนสร้างวัดที่ไหนที่ขาดปัจจัยจึงสร้างรุ่นนี้ขึ้นมา จะผ่าปากหรือไม่ผ่าปาก รุ่นเงินรุ่นทองคำก็ตาม ระดับเหรียญหลวงปู่ชื่อเสียงขนาดนี้ต้องมีบันทึกทางผู้จัดงานผู้สร้างตระกูลใครรับผิดชอบสร้าง.,คณะใดเก็บตัง มีหมดล่ะ. เหรียญอ.แพะก็บอกชัดเจนแล้วว่า เซียนทำตัวตัดมันทำได้หมดล่ะ จะยุคไหนถ้าเห็นตัวตัดจริง ความเพียรพยายามมันทำได้หมด ยุคนี้ระดับนาโนอีก เหรียญก้าๆมีตัวอย่างอีกก็ก๊อปได้,ประวัติจึงสำคัญ,ต้องตระกูลและวัดมีบันทึกร่วมด้วย,พิธีปลุกเสกวัตถุมงคลอีก , ..คลิปนี้จะอะไรก็ตาม คนในคลิปโรงปั้มก็ตาม แม้ชี้นำออกหน้าออกตาว่าจบที่ตัวตัด อ.แพะก็ค้ำประกันแล้วว่ามันก๊อปได้สมจริงสบาย,คุ้มค่าด้วยกับเหรียญพระดังๆ เหมือนปลอมแบงค์พันบาทนั้นล่ะ เซียนขนาดไหนล่ะ เทคโนโลยีอะไรมันสั่งจบด้วยเงินได้หมดล่ะ.,จึงต้องจบที่ประวัติการสร้างพระเหรียญนี้มิใช่อ้างเลื่อนยศเลื่อนศักดิ์อย่างเดียวหรอก.,ถ้าพวกฟอกเงิน ปั่นราคาพระ มันเหมาะสมมากเพราะมีชื่อมีวัตถุประสงค์การสร้างชัดเจนพิมพ์ปั้มในเหรียญค้ำคอวัตถุประสงค์การสร้างแล้วคนซื้อมันจะถามหาอะไรได้อีก,ใบค้ำประกันการสร้างก็พิมพ์ปั้มในเหรียญแล้วสมบูรณ์ต่างจากรุ่นอื่น อาจไม่ปั้มชัดเจนแบบนี้จะใช้หลอกลวงก็ยากในพวกมิจฉาชีพในวงการพระเครื่องที่คนไม่ดีทำมาหากินอยู่ในวงการนี้. ..วงการพระเครื่องเกี่ยวข้องกับคนไทยนะ อย่ามองข้าม ทหารมีห้อยแล้วอุ่นใจ ,พระดีๆดังๆต้องมีมาตราฐานไว้ดีแล้วเป็นการเคารพในครูบาอาจารย์ มิให้คนไม่ดีแอบเอาชื่อเสียงท่านไปหากินไปหลอกลวงหากินประชาชนคนไทย.,คนไทยทุกๆคนไม่อยากได้ของปลอมไว้บูชาหรอก.ต้องการของดีของแท้กันทุกๆคน. https://youtube.com/watch?v=8xr7rZcRf6E&si=KKjGMvpU7i96xh_F
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB และสถาปัตยกรรม Xe3P

    Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรมกราฟิก Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในซีรีส์ Arc C สำหรับลูกค้าทั่วไป และ Arc Pro B สำหรับงานมืออาชีพ

    Crescent Island ถูกออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และต้นทุนที่เหมาะสม พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์และรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการ “tokens-as-a-service” ที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่

    Intel ยังพัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ซึ่งกำลังทดสอบอยู่บน Arc Pro B-Series เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ Crescent Island ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว

    การส่งมอบตัวอย่าง GPU รุ่นนี้ให้ลูกค้าเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแข่งขันในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้หน่วยความจำ HBM ที่มีต้นทุนสูงและหายาก

    ข้อมูลในข่าว
    Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน AI inference โดยเฉพาะ
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 และจะใช้ใน Arc C-Series และ Arc Pro B-Series
    มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB
    ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    รองรับข้อมูลหลากหลายประเภท เหมาะกับผู้ให้บริการ tokens-as-a-service
    พัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous
    เริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในครึ่งหลังของปี 2026

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ LPDDR5X แทน HBM อาจมีข้อจำกัดด้าน latency และ bandwidth ในบางกรณี
    หาก software stack ไม่พร้อมใช้งานเมื่อเปิดตัว อาจกระทบต่อการนำไปใช้งานจริง
    การแข่งขันในตลาด inference GPU ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง NVIDIA และ AMD
    การออกแบบสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled อาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้พลังงานสูงมาก

    https://wccftech.com/intel-crescent-island-gpu-next-gen-xe3p-graphics-160-gb-lpddr5x-ai-inference/
    🧠 “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB และสถาปัตยกรรม Xe3P Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรมกราฟิก Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในซีรีส์ Arc C สำหรับลูกค้าทั่วไป และ Arc Pro B สำหรับงานมืออาชีพ Crescent Island ถูกออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และต้นทุนที่เหมาะสม พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์และรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการ “tokens-as-a-service” ที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่ Intel ยังพัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ซึ่งกำลังทดสอบอยู่บน Arc Pro B-Series เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ Crescent Island ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว การส่งมอบตัวอย่าง GPU รุ่นนี้ให้ลูกค้าเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแข่งขันในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้หน่วยความจำ HBM ที่มีต้นทุนสูงและหายาก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน AI inference โดยเฉพาะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 และจะใช้ใน Arc C-Series และ Arc Pro B-Series ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ➡️ ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ➡️ รองรับข้อมูลหลากหลายประเภท เหมาะกับผู้ให้บริการ tokens-as-a-service ➡️ พัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ➡️ เริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในครึ่งหลังของปี 2026 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ LPDDR5X แทน HBM อาจมีข้อจำกัดด้าน latency และ bandwidth ในบางกรณี ⛔ หาก software stack ไม่พร้อมใช้งานเมื่อเปิดตัว อาจกระทบต่อการนำไปใช้งานจริง ⛔ การแข่งขันในตลาด inference GPU ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง NVIDIA และ AMD ⛔ การออกแบบสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled อาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้พลังงานสูงมาก https://wccftech.com/intel-crescent-island-gpu-next-gen-xe3p-graphics-160-gb-lpddr5x-ai-inference/
    WCCFTECH.COM
    Intel Crescent Island GPU Unveiled: Features Next-Gen Xe3P Graphics Architecture, 160 GB LPDDR5X For AI Inference
    Intel has unveiled its brand new AI inference GPU solution for data centers, codenamed Crescent Island, which features the Xe3P architecture.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB

    Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน inference หรือการประมวลผลโมเดล AI ที่ผ่านการฝึกมาแล้ว โดยใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งเคยใช้ในซีพียู Core Ultra 300-series รุ่น Panther Lake

    จุดเด่นของ Crescent Island คือการมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งมากกว่าการ์ดจอทั่วไปหลายเท่า โดยใช้ชิป LPDDR5X จำนวน 20 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีความจุ 8Gb และเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟซรวม 640 บิต หรืออาจเป็นการแบ่งเป็น 2 GPU ที่เชื่อมต่อผ่าน 320 บิตต่อฝั่ง

    การออกแบบนี้ช่วยให้สามารถรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น และยังเหมาะกับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและพลังงาน

    Intel วางแผนจะเริ่มส่งตัวอย่าง Crescent Island ให้ลูกค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และอาจเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน OCP หรือ SC25 ที่จะจัดขึ้นในอนาคต

    ข้อมูลในข่าว
    Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน inference โดยเฉพาะ
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3
    มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB
    ใช้ชิป LPDDR5X จำนวน 20 ตัว เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟซ 640 บิต หรือแบ่งเป็น 2 GPU
    รองรับข้อมูลหลากหลายประเภทสำหรับงาน AI
    ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    เริ่มส่งตัวอย่างในครึ่งหลังของปี 2026

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    ยังไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพที่ชัดเจนจาก Intel
    การใช้ LPDDR5X อาจมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อเมื่อเทียบกับ GDDR6
    หากใช้ 2 GPU ต้องมีการจัดการซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น
    การใช้งานในเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศอาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อนในบางกรณี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-unveils-crescent-island-an-inference-only-gpu-with-xe3p-architecture-and-160gb-of-memory
    🧠 “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน inference หรือการประมวลผลโมเดล AI ที่ผ่านการฝึกมาแล้ว โดยใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งเคยใช้ในซีพียู Core Ultra 300-series รุ่น Panther Lake จุดเด่นของ Crescent Island คือการมาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งมากกว่าการ์ดจอทั่วไปหลายเท่า โดยใช้ชิป LPDDR5X จำนวน 20 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีความจุ 8Gb และเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟซรวม 640 บิต หรืออาจเป็นการแบ่งเป็น 2 GPU ที่เชื่อมต่อผ่าน 320 บิตต่อฝั่ง การออกแบบนี้ช่วยให้สามารถรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น และยังเหมาะกับการใช้งานในเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและพลังงาน Intel วางแผนจะเริ่มส่งตัวอย่าง Crescent Island ให้ลูกค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และอาจเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน OCP หรือ SC25 ที่จะจัดขึ้นในอนาคต ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน inference โดยเฉพาะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ➡️ ใช้ชิป LPDDR5X จำนวน 20 ตัว เชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟซ 640 บิต หรือแบ่งเป็น 2 GPU ➡️ รองรับข้อมูลหลากหลายประเภทสำหรับงาน AI ➡️ ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ➡️ เริ่มส่งตัวอย่างในครึ่งหลังของปี 2026 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ ยังไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพที่ชัดเจนจาก Intel ⛔ การใช้ LPDDR5X อาจมีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อเมื่อเทียบกับ GDDR6 ⛔ หากใช้ 2 GPU ต้องมีการจัดการซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ⛔ การใช้งานในเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศอาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อนในบางกรณี https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-unveils-crescent-island-an-inference-only-gpu-with-xe3p-architecture-and-160gb-of-memory
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์

    Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค

    ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30%

    ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม

    การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล

    ข้อมูลในข่าว
    Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์
    ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต
    ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว
    ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ
    ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30%
    การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์
    การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ
    หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์
    ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า
    การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    ⚡ “Nvidia จับมือ ABB” — เปิดตัวระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ระดับกิกะวัตต์ Nvidia ประกาศความร่วมมือกับ ABB บริษัทอุตสาหกรรมระดับโลกจากสวีเดน-สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต การใช้ระบบไฟฟ้า 800V DC ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนวัสดุ และรองรับการจ่ายไฟในระดับสูงได้มากขึ้น โดย Nvidia ตั้งเป้าสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้แร็คเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่กินไฟระดับเมกะวัตต์ต่อแร็ค ABB ระบุว่าได้พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC สำหรับศูนย์ข้อมูล AI รุ่นใหม่แล้ว และยกตัวอย่างจากระบบไฟฟ้าในเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 20–40% และลดค่าบำรุงรักษา 30% ระบบใหม่นี้จะเปลี่ยนจากการใช้ไฟฟ้า AC ที่ต้องแปลงหลายขั้นตอน มาเป็นการจ่ายไฟ DC โดยตรงจากห้องจ่ายไฟไปยังแร็คเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดขนาดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในระบบเดิม การเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงแบบ DC ยังช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้การออกแบบศูนย์ข้อมูลมีความยืดหยุ่นและประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ศูนย์ข้อมูล AI ต้องรองรับการประมวลผลมหาศาล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Nvidia ร่วมมือกับ ABB พัฒนาโครงสร้างไฟฟ้า 800V DC สำหรับแร็คเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ➡️ ระบบใหม่นี้จะใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ขนาดกิกะวัตต์ในอนาคต ➡️ ABB พัฒนาอุปกรณ์รองรับระบบ 800V DC แล้ว ➡️ ระบบ DC ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดต้นทุนวัสดุ ➡️ ตัวอย่างจากเรือเดินสมุทรที่ใช้ 1,000V DC ลดพลังงาน 20–40% และค่าบำรุงรักษา 30% ➡️ การจ่ายไฟ DC โดยตรงช่วยลดขั้นตอนการแปลงไฟฟ้าและขนาดอุปกรณ์ ➡️ การใช้แรงดันสูงช่วยลดขนาดสายไฟและอุปกรณ์ ทำให้ศูนย์ข้อมูลออกแบบได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบไฟฟ้า DC ต้องใช้การออกแบบใหม่และอุปกรณ์เฉพาะ ⛔ หากไม่มีการป้องกันกระแสไฟฟ้าอย่างเหมาะสม อาจเกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ ⛔ ศูนย์ข้อมูลที่ยังใช้ระบบเดิมอาจเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพต่ำกว่า ⛔ การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าในระดับเมกะวัตต์ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/nvidia-800-vdc-power-rollout-for-1-megawatt-server-racks-to-be-supported-by-abb-company-says-collaboration-will-create-new-power-solutions-for-future-gigawatt-scale-data-centers
    0 Comments 0 Shares 62 Views 0 Reviews
  • “ไม่มีวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีสตาร์ทอัพ — เมื่อเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมกำลังถูกปิดโดยไม่รู้ตัว”

    Steve Blank ผู้บุกเบิกแนวคิด Lean Startup ได้เขียนบทความสะท้อนถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา — การลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรรมและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ

    เขาอธิบายว่า “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่แค่การทดลองในห้องแล็บ แต่คือระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (ทั้งทฤษฎีและทดลอง), วิศวกร, ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแต่ละบทบาทมีหน้าที่เฉพาะที่เสริมกันอย่างกลมกลืน:

    นักวิทยาศาสตร์สร้างองค์ความรู้ใหม่
    วิศวกรนำความรู้นั้นไปสร้างสิ่งของ
    ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด
    นักลงทุนให้ทุนเพื่อขยายผล

    Blank เตือนว่า หากตัดบทบาทใดบทบาทหนึ่งออก โดยเฉพาะ “นักวิทยาศาสตร์” ที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่สร้างรายได้ทันที ระบบนวัตกรรมทั้งหมดจะล่มสลาย

    เขายกตัวอย่างว่า เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, SpaceX, หรือแม้แต่วัคซีน ล้วนมีรากฐานจากการวิจัยขั้นพื้นฐานที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยหรือห้องแล็บของรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน

    นักวิทยาศาสตร์มี 2 ประเภทหลัก: ทฤษฎี (Theorists) และทดลอง (Experimentalists)
    ทฤษฎีสร้างแบบจำลองความจริง ส่วนทดลองทดสอบสมมติฐาน

    วิทยาศาสตร์แบ่งเป็น “พื้นฐาน” และ “ประยุกต์”
    พื้นฐานเพื่อความเข้าใจโลก ประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง

    มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นแหล่งวิจัยหลักของประเทศ
    มีระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น NIH, NSF, DoD

    นักวิจัยในมหาวิทยาลัยทำงานเหมือนสตาร์ทอัพขนาดเล็ก
    มีการเขียน proposal, บริหารทีม, สร้างนวัตกรรม

    วิศวกรสร้างสิ่งของจากองค์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์
    เช่น ชิป Nvidia, จรวด SpaceX, อัลกอริทึม AI

    ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด
    ใช้หลักการทดลองแบบวิทยาศาสตร์เพื่อหาความต้องการจริง

    นักลงทุน (VC) สนับสนุนผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง
    เพราะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น

    การลดงบวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศอ่อนแอลง
    ทั้งด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความมั่นคง

    https://steveblank.com/2025/10/13/no-science-no-startups-the-unseen-engine-were-switching-off/
    🧪 “ไม่มีวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีสตาร์ทอัพ — เมื่อเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมกำลังถูกปิดโดยไม่รู้ตัว” Steve Blank ผู้บุกเบิกแนวคิด Lean Startup ได้เขียนบทความสะท้อนถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา — การลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรรมและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เขาอธิบายว่า “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่แค่การทดลองในห้องแล็บ แต่คือระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (ทั้งทฤษฎีและทดลอง), วิศวกร, ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแต่ละบทบาทมีหน้าที่เฉพาะที่เสริมกันอย่างกลมกลืน: ⭐ นักวิทยาศาสตร์สร้างองค์ความรู้ใหม่ ⭐ วิศวกรนำความรู้นั้นไปสร้างสิ่งของ ⭐ ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด ⭐ นักลงทุนให้ทุนเพื่อขยายผล Blank เตือนว่า หากตัดบทบาทใดบทบาทหนึ่งออก โดยเฉพาะ “นักวิทยาศาสตร์” ที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่สร้างรายได้ทันที ระบบนวัตกรรมทั้งหมดจะล่มสลาย เขายกตัวอย่างว่า เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, SpaceX, หรือแม้แต่วัคซีน ล้วนมีรากฐานจากการวิจัยขั้นพื้นฐานที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยหรือห้องแล็บของรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน ✅ นักวิทยาศาสตร์มี 2 ประเภทหลัก: ทฤษฎี (Theorists) และทดลอง (Experimentalists) ➡️ ทฤษฎีสร้างแบบจำลองความจริง ส่วนทดลองทดสอบสมมติฐาน ✅ วิทยาศาสตร์แบ่งเป็น “พื้นฐาน” และ “ประยุกต์” ➡️ พื้นฐานเพื่อความเข้าใจโลก ประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง ✅ มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นแหล่งวิจัยหลักของประเทศ ➡️ มีระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น NIH, NSF, DoD ✅ นักวิจัยในมหาวิทยาลัยทำงานเหมือนสตาร์ทอัพขนาดเล็ก ➡️ มีการเขียน proposal, บริหารทีม, สร้างนวัตกรรม ✅ วิศวกรสร้างสิ่งของจากองค์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ ➡️ เช่น ชิป Nvidia, จรวด SpaceX, อัลกอริทึม AI ✅ ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด ➡️ ใช้หลักการทดลองแบบวิทยาศาสตร์เพื่อหาความต้องการจริง ✅ นักลงทุน (VC) สนับสนุนผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง ➡️ เพราะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น ✅ การลดงบวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศอ่อนแอลง ➡️ ทั้งด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความมั่นคง https://steveblank.com/2025/10/13/no-science-no-startups-the-unseen-engine-were-switching-off/
    STEVEBLANK.COM
    No Science, No Startups: The Innovation Engine We’re Switching Off
    Tons of words have been written about the Trump Administrations war on Science in Universities. But few people have asked what, exactly, is science? How does it work? Who are the scientists? What d…
    0 Comments 0 Shares 53 Views 0 Reviews
  • ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ"
    .
    มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา
    .
    นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต
    .
    เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
    .
    กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน
    .
    “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว
    .
    มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม
    .
    ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ
    .
    ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน
    .
    ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน
    .
    เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ
    .
    นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว
    .
    เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง
    .
    เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
    .
    เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน
    .
    ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ
    .
    มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย
    .
    การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว
    .
    จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน
    .
    แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    ด่วน!! สหรัฐฯ สั่งยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (4.9 แสนล้านบาท) ของนายเฉิน จื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา ซึ่งมีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา บังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล หนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของฮุนเซน ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็น "การริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ" . มีรานงานล่าสุดว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) สั่งยึด Bitcoin ของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา . นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชา โดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัล และสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ . สหรัฐ กล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Group และพวกพ้องของเขาถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดาของเขา อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และได้รับเกียรติด้วยบรรดาศักดิ์ “ออกญา” ซึ่งเทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษ และไทยในอดีต . เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปี ซึ่งรู้จักกันในชื่อวินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ "หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ . กระทรวงยุติธรรมยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน . “การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก” อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว . มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชา โดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม . ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ และเรียก Prince Holding Group ว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในอุตสาหกรรมนี้ ทางการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ . ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า "การฆ่าหมู" ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน . ศูนย์หลอกลวงทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์ และภูมิภาคอื่นๆ ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน . เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว ติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ “ก่อปัญหา” แต่เน้นย้ำว่าคนงาน “ไม่ควรถูกตีจนตาย” ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอปส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดีย โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ . นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว . เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง . เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้นจะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆ รวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก . เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน . ในการดำเนินการประสานงานกัน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉิน รวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ . มาตรการคว่ำบาตรยังมุ่งเป้าไปที่ Qiu Wei Ren ผู้ร่วมงานของ Chen ซึ่งเป็นคนสัญชาติจีนที่มีสัญชาติกัมพูชา ไซปรัส และฮ่องกงอีกด้วย . การสืบสวนของ AFP เมื่อวันอังคารพบว่าศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการปราบปรามในประเทศดังกล่าว . จีน ไทย และเมียนมาร์ บังคับให้กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ซึ่งปกป้องศูนย์เหล่านี้สัญญาว่าจะปิดศูนย์เหล่านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยปล่อยตัวผู้คนไปประมาณ 7,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเมืองจีน . แต่ระบบคอลเซ็นเตอร์แบบโหดกำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในเมียนมาร์ โดยขณะนี้ใช้ระบบดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk เพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • บ้าไปแล้วจริงๆ ว่าจะไม่พูดเยอะ กำลังจะผ่าน ไม่สนใจตั้งแต่แรกๆที่พวกนี้ออกมาทวงสิทธิมนุษยชนช่วยคนเขมร, องค์กรนี้จริงๆฝรั่งdeep stateจัดตั้งขึ้นภาพหน้าฉากโคตรพ่อพระนักบุญ,แต่นัยยะจริงๆคือขนมนุษย์ไปแดกโดยเฉพาะเอาไปให้พวกวาติกันแดก,ใต้อุโมงค์วาติกันมีแต่ซากกระดูกซากศพมนุษย์กองเป็นภูเขา ถอดยาวหลายพันไมล์ได้ เพราะแดกกันมานาน,ขนด้วยเรือฝรั่งกรีนๆมันนั้นล่ะ,คนอินเดียก็แม่ชีดังๆมัน พม่าก็อ่องซานล่ะ แอฟริกายิ่งตัวพ่อ แต่คนเอเชียแดกอร่อยผิวแทนมันชอบ.,ค้าอวัยวะ ค้ามนุษย ขนคนผ่านหนังหน้าชื่ออ้างว่าฉันสิทธิมนุษยชนนะพะนะ,จึงขนย้ายคนสบายๆ พวกฮอลลิวูดตัวดีเห็นเด็กๆก็อ้างรับเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรมตรึมออกสื่อสาระพัดโชว์มนุษยชน ปีหนึ่งๆรับเป็นสิบคนครั้งเดียวก็มีด้วยสิทธิมนุษยชนก็ว่า นานวันเข้าเด็กๆพวกนี้หายตัวอย่างลึกลับ คือขนไปแดกอ้างเลี้ยงแดกนั้นล่ะ,จากนั้นก็มาเอาไปใหม่,ทั้งผลิตอะดริโนโครมด้วยทรมานเด็กๆเป็นว่าเล่น,ย่อมาไทย พวกนี้มุ่งทำลายไทยและยึดประเทศชัดเจนด้วย,แผนพังเครือข่ายโซรอสล่มสถาบันไทยมีชัดเจนรวมพวกเหี้ยสิทธมนุษยชนและองค์กรมูลนิธิห่าเหวบวกสื่อบวกสาระพัดเหี้ยเครือข่ายต่างๆมันด้วย.,ทหารไทยเรามีข้อมูลหมดล่ะ.
    https://youtube.com/watch?v=itbVNIM07BU&si=dG7jLJid-FIyFhs_
    บ้าไปแล้วจริงๆ ว่าจะไม่พูดเยอะ กำลังจะผ่าน ไม่สนใจตั้งแต่แรกๆที่พวกนี้ออกมาทวงสิทธิมนุษยชนช่วยคนเขมร, องค์กรนี้จริงๆฝรั่งdeep stateจัดตั้งขึ้นภาพหน้าฉากโคตรพ่อพระนักบุญ,แต่นัยยะจริงๆคือขนมนุษย์ไปแดกโดยเฉพาะเอาไปให้พวกวาติกันแดก,ใต้อุโมงค์วาติกันมีแต่ซากกระดูกซากศพมนุษย์กองเป็นภูเขา ถอดยาวหลายพันไมล์ได้ เพราะแดกกันมานาน,ขนด้วยเรือฝรั่งกรีนๆมันนั้นล่ะ,คนอินเดียก็แม่ชีดังๆมัน พม่าก็อ่องซานล่ะ แอฟริกายิ่งตัวพ่อ แต่คนเอเชียแดกอร่อยผิวแทนมันชอบ.,ค้าอวัยวะ ค้ามนุษย ขนคนผ่านหนังหน้าชื่ออ้างว่าฉันสิทธิมนุษยชนนะพะนะ,จึงขนย้ายคนสบายๆ พวกฮอลลิวูดตัวดีเห็นเด็กๆก็อ้างรับเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรมตรึมออกสื่อสาระพัดโชว์มนุษยชน ปีหนึ่งๆรับเป็นสิบคนครั้งเดียวก็มีด้วยสิทธิมนุษยชนก็ว่า นานวันเข้าเด็กๆพวกนี้หายตัวอย่างลึกลับ คือขนไปแดกอ้างเลี้ยงแดกนั้นล่ะ,จากนั้นก็มาเอาไปใหม่,ทั้งผลิตอะดริโนโครมด้วยทรมานเด็กๆเป็นว่าเล่น,ย่อมาไทย พวกนี้มุ่งทำลายไทยและยึดประเทศชัดเจนด้วย,แผนพังเครือข่ายโซรอสล่มสถาบันไทยมีชัดเจนรวมพวกเหี้ยสิทธมนุษยชนและองค์กรมูลนิธิห่าเหวบวกสื่อบวกสาระพัดเหี้ยเครือข่ายต่างๆมันด้วย.,ทหารไทยเรามีข้อมูลหมดล่ะ. https://youtube.com/watch?v=itbVNIM07BU&si=dG7jLJid-FIyFhs_
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 11

    เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย

    อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด

    ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์

    แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน

    อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ

    กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น

    สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา
    ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า

    เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา

    รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย

    ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป

    เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน…

    สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 11 เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์ แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน… สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • "AMD Sound Wave – APU พลัง ARM ที่อาจเปลี่ยนเกมพกพาในอนาคต”

    แม้ AMD เคยยืนยันว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือ x86 โดยตรง แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลจาก shipping manifest ที่เผยว่า AMD กำลังพัฒนา SoC ใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายใต้โค้ดเนม “Sound Wave”

    ชิปนี้มาในแพ็กเกจ BGA 1074 ขนาดเล็กเพียง 32 × 27 มม. เหมาะกับอุปกรณ์พกพาอย่างแล็ปท็อปหรือเกมคอนโซลแบบ handheld โดยใช้ซ็อกเก็ต FF5 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck

    Sound Wave คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ big.LITTLE โดยมี 2 P-Core และ 4 E-Core รวมเป็น 6 คอร์ พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs และทำงานในพลังงานเพียง 10W ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่

    แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะนำชิปนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ใด แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาด ARM ระหว่าง AMD, Qualcomm และ NVIDIA ที่ต่างเตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาและ AI

    AMD พัฒนา APU สถาปัตยกรรม ARM
    โค้ดเนม “Sound Wave” ปรากฏใน shipping manifest ล่าสุด
    ใช้แพ็กเกจ BGA 1074 ขนาด 32 × 27 มม.
    เหมาะกับ embedded systems และอุปกรณ์พกพา

    สเปกเบื้องต้นของ Sound Wave
    ใช้ซ็อกเก็ต FF5 แทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck
    big.LITTLE architecture: 2 P-Core + 4 E-Core
    กราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs
    TDP เพียง 10W พร้อมตัวเลือกปรับแต่งตามลูกค้า

    ความเป็นไปได้ในการใช้งาน
    อาจใช้ใน handheld gaming, Chromebook หรืออุปกรณ์ IoT
    รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่
    อาจเป็นคู่แข่งของ Snapdragon X Elite และ NVIDIA Grace

    แนวโน้มตลาด ARM
    ARM กำลังขยายจากมือถือสู่ PC และเซิร์ฟเวอร์
    Apple M-series เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ ARM บน desktop
    AMD อาจใช้ Sound Wave เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกตลาด ARM

    https://www.techpowerup.com/341848/amd-sound-wave-arm-powered-apu-appears-in-shipping-manifests
    🌀 "AMD Sound Wave – APU พลัง ARM ที่อาจเปลี่ยนเกมพกพาในอนาคต” แม้ AMD เคยยืนยันว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือ x86 โดยตรง แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลจาก shipping manifest ที่เผยว่า AMD กำลังพัฒนา SoC ใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายใต้โค้ดเนม “Sound Wave” ชิปนี้มาในแพ็กเกจ BGA 1074 ขนาดเล็กเพียง 32 × 27 มม. เหมาะกับอุปกรณ์พกพาอย่างแล็ปท็อปหรือเกมคอนโซลแบบ handheld โดยใช้ซ็อกเก็ต FF5 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck Sound Wave คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ big.LITTLE โดยมี 2 P-Core และ 4 E-Core รวมเป็น 6 คอร์ พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs และทำงานในพลังงานเพียง 10W ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะนำชิปนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ใด แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาด ARM ระหว่าง AMD, Qualcomm และ NVIDIA ที่ต่างเตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาและ AI ✅ AMD พัฒนา APU สถาปัตยกรรม ARM ➡️ โค้ดเนม “Sound Wave” ปรากฏใน shipping manifest ล่าสุด ➡️ ใช้แพ็กเกจ BGA 1074 ขนาด 32 × 27 มม. ➡️ เหมาะกับ embedded systems และอุปกรณ์พกพา ✅ สเปกเบื้องต้นของ Sound Wave ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต FF5 แทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck ➡️ big.LITTLE architecture: 2 P-Core + 4 E-Core ➡️ กราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs ➡️ TDP เพียง 10W พร้อมตัวเลือกปรับแต่งตามลูกค้า ✅ ความเป็นไปได้ในการใช้งาน ➡️ อาจใช้ใน handheld gaming, Chromebook หรืออุปกรณ์ IoT ➡️ รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ ➡️ อาจเป็นคู่แข่งของ Snapdragon X Elite และ NVIDIA Grace ✅ แนวโน้มตลาด ARM ➡️ ARM กำลังขยายจากมือถือสู่ PC และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Apple M-series เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ ARM บน desktop ➡️ AMD อาจใช้ Sound Wave เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกตลาด ARM https://www.techpowerup.com/341848/amd-sound-wave-arm-powered-apu-appears-in-shipping-manifests
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD "Sound Wave" Arm-Powered APU Appears in Shipping Manifests
    Despite AMD's assertion that the Arm ISA doesn't provide any inherent efficiency advantage and that power savings are primarily dependent on the package and design, it seems AMD is developing an Arm-based SoC codenamed "Sound Wave." Recent shipping manifests, noted by X user @Olrak29_, indicate that...
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน)

    บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust

    ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง

    จุดอ่อนของ CIA Triad
    โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล
    ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI
    ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว”

    ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว
    Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience”
    Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
    การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์

    โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model
    Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience
    Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance
    Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้
    โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์

    ประโยชน์ของ 3C Model
    ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR
    ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน
    เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad
    ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้
    เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน
    อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง
    การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม

    https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    🧠 “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน” ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน) บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง ✅ จุดอ่อนของ CIA Triad ➡️ โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล ➡️ ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI ➡️ ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว” ✅ ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว ➡️ Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience” ➡️ Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ➡️ การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ ✅ โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model ➡️ Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience ➡️ Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance ➡️ Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ➡️ โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์ ✅ ประโยชน์ของ 3C Model ➡️ ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR ➡️ ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน ➡️ เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad ⛔ ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน ⛔ อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง ⛔ การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CIA triad is dead — stop using a Cold War relic to fight 21st century threats
    CISOs stuck on CIA must accept reality: The world has shifted, and our cybersecurity models must shift, too. We need a model that is layered, contextual, and built for survival.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • “อัปเกรด LMDE 6 เป็น LMDE 7 ง่าย ๆ ไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ — พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Debian 13 และ Cinnamon 6.4”

    Linux Mint Debian Edition (LMDE) 7 “Gigi” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยอิงจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อม Linux kernel 6.12 LTS รวมถึง Cinnamon 6.4.13 ที่มีฟีเจอร์ใหม่อย่างการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ, ธีมใหม่ และการปรับปรุงการใช้งาน Wayland

    ผู้ใช้ LMDE 6 “Faye” ซึ่งอิงจาก Debian 12 “Bookworm” สามารถอัปเกรดเป็น LMDE 7 ได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่ใช้เครื่องมือ mintupgrade ที่มีอยู่ในระบบ

    ขั้นตอนการอัปเกรดมีดังนี้:

    1️⃣ อัปเดตระบบให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วยคำสั่ง: sudo apt update && sudo apt full-upgrade
    2️⃣ ติดตั้งเครื่องมือ mintupgrade: sudo apt install mintupgrade -y
    3️⃣ เริ่มกระบวนการอัปเกรด: sudo mintupgrade

    เครื่องมือจะตรวจสอบระบบ, ตั้งค่าคลังซอฟต์แวร์ใหม่, ดาวน์โหลดแพ็กเกจ, จำลองการอัปเกรด และติดตั้งแพ็กเกจใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นจะลบแพ็กเกจที่ไม่ได้ใช้งาน และขอให้ผู้ใช้รีบูตเครื่องเพื่อใช้งาน LMDE 7 ได้ทันที

    ควรอัปเดตระบบให้สมบูรณ์ก่อนเริ่มอัปเกรด
    หากไม่อัปเดต อาจเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการอัปเกรด

    ควรมี snapshot ระบบก่อนเริ่มอัปเกรด
    เพื่อย้อนกลับได้หากเกิดปัญหา

    กระบวนการอัปเกรดอาจใช้เวลานาน
    ควรเตรียมเวลาและไม่ใช้เครื่องระหว่างอัปเกรด

    อย่าปิดเครื่องหรือขัดจังหวะระหว่างการอัปเกรด
    อาจทำให้ระบบเสียหายหรือบูตไม่ขึ้น

    https://9to5linux.com/how-to-upgrade-lmde-6-to-lmde-7
    🧭 “อัปเกรด LMDE 6 เป็น LMDE 7 ง่าย ๆ ไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ — พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Debian 13 และ Cinnamon 6.4” Linux Mint Debian Edition (LMDE) 7 “Gigi” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยอิงจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อม Linux kernel 6.12 LTS รวมถึง Cinnamon 6.4.13 ที่มีฟีเจอร์ใหม่อย่างการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ, ธีมใหม่ และการปรับปรุงการใช้งาน Wayland ผู้ใช้ LMDE 6 “Faye” ซึ่งอิงจาก Debian 12 “Bookworm” สามารถอัปเกรดเป็น LMDE 7 ได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่ใช้เครื่องมือ mintupgrade ที่มีอยู่ในระบบ ขั้นตอนการอัปเกรดมีดังนี้: 1️⃣ อัปเดตระบบให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วยคำสั่ง: sudo apt update && sudo apt full-upgrade 2️⃣ ติดตั้งเครื่องมือ mintupgrade: sudo apt install mintupgrade -y 3️⃣ เริ่มกระบวนการอัปเกรด: sudo mintupgrade เครื่องมือจะตรวจสอบระบบ, ตั้งค่าคลังซอฟต์แวร์ใหม่, ดาวน์โหลดแพ็กเกจ, จำลองการอัปเกรด และติดตั้งแพ็กเกจใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นจะลบแพ็กเกจที่ไม่ได้ใช้งาน และขอให้ผู้ใช้รีบูตเครื่องเพื่อใช้งาน LMDE 7 ได้ทันที ‼️ ควรอัปเดตระบบให้สมบูรณ์ก่อนเริ่มอัปเกรด ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการอัปเกรด ‼️ ควรมี snapshot ระบบก่อนเริ่มอัปเกรด ⛔ เพื่อย้อนกลับได้หากเกิดปัญหา ‼️ กระบวนการอัปเกรดอาจใช้เวลานาน ⛔ ควรเตรียมเวลาและไม่ใช้เครื่องระหว่างอัปเกรด ‼️ อย่าปิดเครื่องหรือขัดจังหวะระหว่างการอัปเกรด ⛔ อาจทำให้ระบบเสียหายหรือบูตไม่ขึ้น https://9to5linux.com/how-to-upgrade-lmde-6-to-lmde-7
    9TO5LINUX.COM
    How to Upgrade LMDE 6 to LMDE 7 - 9to5Linux
    A quick and painless tutorial on how to upgrade your Linux Mint Debian Edition (LMDE) 6 installations to Linux Mint Debian Edition (LMDE) 7.
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว”

    บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม

    Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้

    Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino

    Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์
    โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด

    ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด
    ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย

    เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด
    เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card

    Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้
    ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้

    ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง
    ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง

    การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง
    เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino

    Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด
    ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี

    Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน
    ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง
    เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้

    อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว
    เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร

    ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้

    การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์
    แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด

    การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้
    เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต

    https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    🧠 “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว” บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้ Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino ✅ Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์ ➡️ โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด ✅ ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด ➡️ ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย ✅ เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด ➡️ เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card ✅ Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้ ✅ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง ➡️ ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง ✅ การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง ➡️ เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino ✅ Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด ➡️ ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี ✅ Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน ➡️ ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง ⛔ เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้ ‼️ อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว ⛔ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร ‼️ ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้ ‼️ การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์ ⛔ แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด ‼️ การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้ ⛔ เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 8

    ในการทำสงคราม สิ่งสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะกันคือ ยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราคงไม่สามารถจะไปรู้ได้ แต่ในการวางยุทธศาสตร์ มันก็คล้ายกับการเขียนบทละครและกำกับการแสดง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง เช่น ความสามารถของตัวละคร ฉากประกอบ งบประมาณ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะเอามาใช้ในการแสดงว่า ปัจจัยที่มีอยู่เหมาะสมกับการวางยุทธศาสตร์นั้นๆแค่ไหน ยุทธศาสตร์จะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าปัจจัยมันไม่เอื้อ มันก็ไม่แน่ว่าจะชนะใส หรืออาจจะชนะ แต่แบบหืดขึ้นคอก็เป็นได้

    สำหรับคู่ชิงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เปิดหน้าเปิดตัวกันชัดเจนแล้วคือ อเมริกากับพวกฝ่ายหนึ่งและ รัสเซียกับพวก อีกฝ่ายหนึ่ง

    แม้เราจะไม่รู้ยุทธศาสตร์ หรือรู้ว่าบทละครชิงโลกของแต่ละฝ่าย ว่าจะเดินกันอย่างไร แต่มันก็พอมีหลายปัจจัยของแต่ละฝ่าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่ฝ่ายวางยุทธศาสตร์เขาก็ต้องนำมาพิจารณา และเราก็น่าจะพอตามดูและประเมินได้ระดับหนึ่ง คือ

    – พันธมิตร
    – สภาพเศรษฐกิจ
    – กำลังอาวุธยุโธปกรณ์ ทั้งด้าน hardware และ software
    – กำลังพล ทั้งในระบบ และนอกระบบ

    สำหรับปัจจัยเกี่ยวกับพันธมิตร ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา การแบ่งค่าย แบ่งข้าง โดยความสมัครใจ หรือโดยการหักแขนล๊อกคอก็ตาม ต่างทำกันอย่างชัดเจน แทบไม่เหลือให้เดามาก แต่ละฝายคงคาดการณ์รู้กันเองแล้วว่า เวลาออกโรงแสดงฉากใหญ่ น่าจะใกล้เข้ามาทุกที ถึงมีการแจกบทให้แสดงกันอย่างเปิดเผย

    ดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากการ ประชุม APEC เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 ที่แดนมังกร และการประชุม G20 ที่แดนจิงโจ้ ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 นี่ก็แล้วกันเป็นการแสดงที่เห็นชัด ถึงการแบ่งพวกของ คู่ชิงศึกสงครามโลกชัดเจนดี
    ที่แดนมังกร ตัวละครเอก ผู้นำของแต่ละฝ่าย นายโอบามาและนายปูติน มีการเผชิญหน้ากันจังๆ แต่สื่อรายงานว่า นายโอบามา พยายามเลี่ยงนายปูตินอย่างเห็นชัด เลี่ยงทำไม ทำให้มองไม่เห็นความองอาจผ่าเผยของผู้นำฝ่ายอเมริกา แถมหน้าตาท่าทางของท่านผู้นำอเมริกา ก็เหมือนคนไปกินยาผิดมา ทั้งหมอง ทั้งหม่น ราศรีพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ไม่รู้หล่นไปไหนหมด

    ส่วนนายปูตินเดินอาดๆมาเข้าฉาก หลังจากแสดงบทสุภาพบุรุษคลุมไหล่คุณนายสีแล้ว ก็โดดมาเล่นบทตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนเป็นการทักทาย หรือท้าทาย ไม่แน่ใจ แต่นายโอบามาดันเอียงหลบ ยกแรกแสดงแบบนี้ นายปูตินก็น่าจะได้คะแนนนำ ส่วนนายโอบามา ถ้าพวกพันธมิตรลูกหาบ เห็นทั้ง โหงวเฮ้งและการแสดงเปิดตัวของลูกพี่แล้ว อาจเหนื่อยใจ แทน แทบไม่อยากไปเข้าฉากรบด้วย

    ส่วนมังกรเจ้าถิ่น ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดูเหมือนกำลังดี แต่ตอนท้ายก็เปิดไต๋ แสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อนแบบไม่กลัวถูกนินทา เวลาถ่ายรูปหมู่ จัดให้นายโอบามาไปยืนเสียไกลเกือบตกเฟรม ส่วนนายปูตินเอามายืนทำหน้าหล่ออยู่ติดกับเจ้าภาพ ให้มันรู้กันว่า คู่นี้เขารักจริง ไม่ทิ้งกันยามยาก

    ส่วนที่แดนจิงโจ้ ก็ตรงกันข้าม ทีใครทีมัน กลุ่มเจ้าภาพไม่เล่นบทลำเอียงเหมือนที่แดนมังกร มันไม่ถึงใจ แต่หยิบเอาบทผู้ดีรุมตีแขก (แถวบ้านผมเขาเรียกหมาหมู่ครับ) มา รับรองนายปูติน ไล่มาตั้งแต่เจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่เยี่ยมสุดน่าจะได้รางวัลจากอเมริกา คือนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่บอกว่า ผมคงต้องจับมือกับคุณกระมัง ปูติน แต่จะให้ดีรัสเซียควรจะออกไปจากไปUkraine ได้แล้ว กลุ่ม Anglo Saxon ช่วยกันแจกคำด่ารัสเซียเป็นของชำร่วย เป็นการต้อน มากกว่ารับนายปูติน

    ขนาดสื่อเรียกการประชุมนี้ว่า G20-1 เหมือนไม่เห็นหัวรัสเซียว่าเป็นสมาชิกด้วย

    นายปูตินก็ใช่เล่นที่ไหน ไม่ไปเข้าประชุมตัวเปล่า หอบเอาเรือรบบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไปด้วย 4 ลำ อ้างว่า มีข่าวกรองมา ว่าจะมีการต้อนรับจัดเต็มแบบพิเศษจากใครก็ไม่รู้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เอาชื่อไปทิ้งแถวแดนจิงโจ้คงไม่เท่ห์นัก ยังไม่ได้เริ่มเล่นบทพระเอกในสงครามชิงโลกกันเลย

    แต่ดูๆไปแล้ว เหมือนนายปูตินตั้งใจยียวน ก๊วน อเมริกากับพวกมากกว่า นายปูตินน่าจะกำลังส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่พร้อมสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวกเท่านั้นนะ เข้าใจไหม…!? มันเป็นการยกระดับการส่งสัญญาณของรัสเซีย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 8 ในการทำสงคราม สิ่งสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะกันคือ ยุทธศาสตร์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราคงไม่สามารถจะไปรู้ได้ แต่ในการวางยุทธศาสตร์ มันก็คล้ายกับการเขียนบทละครและกำกับการแสดง ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ ยวข้อง เช่น ความสามารถของตัวละคร ฉากประกอบ งบประมาณ และองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะเอามาใช้ในการแสดงว่า ปัจจัยที่มีอยู่เหมาะสมกับการวางยุทธศาสตร์นั้นๆแค่ไหน ยุทธศาสตร์จะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าปัจจัยมันไม่เอื้อ มันก็ไม่แน่ว่าจะชนะใส หรืออาจจะชนะ แต่แบบหืดขึ้นคอก็เป็นได้ สำหรับคู่ชิงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่เปิดหน้าเปิดตัวกันชัดเจนแล้วคือ อเมริกากับพวกฝ่ายหนึ่งและ รัสเซียกับพวก อีกฝ่ายหนึ่ง แม้เราจะไม่รู้ยุทธศาสตร์ หรือรู้ว่าบทละครชิงโลกของแต่ละฝ่าย ว่าจะเดินกันอย่างไร แต่มันก็พอมีหลายปัจจัยของแต่ละฝ่าย ที่เป็นส่วนสำคัญที่ฝ่ายวางยุทธศาสตร์เขาก็ต้องนำมาพิจารณา และเราก็น่าจะพอตามดูและประเมินได้ระดับหนึ่ง คือ – พันธมิตร – สภาพเศรษฐกิจ – กำลังอาวุธยุโธปกรณ์ ทั้งด้าน hardware และ software – กำลังพล ทั้งในระบบ และนอกระบบ สำหรับปัจจัยเกี่ยวกับพันธมิตร ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา การแบ่งค่าย แบ่งข้าง โดยความสมัครใจ หรือโดยการหักแขนล๊อกคอก็ตาม ต่างทำกันอย่างชัดเจน แทบไม่เหลือให้เดามาก แต่ละฝายคงคาดการณ์รู้กันเองแล้วว่า เวลาออกโรงแสดงฉากใหญ่ น่าจะใกล้เข้ามาทุกที ถึงมีการแจกบทให้แสดงกันอย่างเปิดเผย ดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆจากการ ประชุม APEC เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 ที่แดนมังกร และการประชุม G20 ที่แดนจิงโจ้ ในกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2014 นี่ก็แล้วกันเป็นการแสดงที่เห็นชัด ถึงการแบ่งพวกของ คู่ชิงศึกสงครามโลกชัดเจนดี ที่แดนมังกร ตัวละครเอก ผู้นำของแต่ละฝ่าย นายโอบามาและนายปูติน มีการเผชิญหน้ากันจังๆ แต่สื่อรายงานว่า นายโอบามา พยายามเลี่ยงนายปูตินอย่างเห็นชัด เลี่ยงทำไม ทำให้มองไม่เห็นความองอาจผ่าเผยของผู้นำฝ่ายอเมริกา แถมหน้าตาท่าทางของท่านผู้นำอเมริกา ก็เหมือนคนไปกินยาผิดมา ทั้งหมอง ทั้งหม่น ราศรีพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ไม่รู้หล่นไปไหนหมด ส่วนนายปูตินเดินอาดๆมาเข้าฉาก หลังจากแสดงบทสุภาพบุรุษคลุมไหล่คุณนายสีแล้ว ก็โดดมาเล่นบทตบไหล่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนเป็นการทักทาย หรือท้าทาย ไม่แน่ใจ แต่นายโอบามาดันเอียงหลบ ยกแรกแสดงแบบนี้ นายปูตินก็น่าจะได้คะแนนนำ ส่วนนายโอบามา ถ้าพวกพันธมิตรลูกหาบ เห็นทั้ง โหงวเฮ้งและการแสดงเปิดตัวของลูกพี่แล้ว อาจเหนื่อยใจ แทน แทบไม่อยากไปเข้าฉากรบด้วย ส่วนมังกรเจ้าถิ่น ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดูเหมือนกำลังดี แต่ตอนท้ายก็เปิดไต๋ แสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อนแบบไม่กลัวถูกนินทา เวลาถ่ายรูปหมู่ จัดให้นายโอบามาไปยืนเสียไกลเกือบตกเฟรม ส่วนนายปูตินเอามายืนทำหน้าหล่ออยู่ติดกับเจ้าภาพ ให้มันรู้กันว่า คู่นี้เขารักจริง ไม่ทิ้งกันยามยาก ส่วนที่แดนจิงโจ้ ก็ตรงกันข้าม ทีใครทีมัน กลุ่มเจ้าภาพไม่เล่นบทลำเอียงเหมือนที่แดนมังกร มันไม่ถึงใจ แต่หยิบเอาบทผู้ดีรุมตีแขก (แถวบ้านผมเขาเรียกหมาหมู่ครับ) มา รับรองนายปูติน ไล่มาตั้งแต่เจ้าภาพ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แต่เยี่ยมสุดน่าจะได้รางวัลจากอเมริกา คือนายกรัฐมนตรีแคนาดาที่บอกว่า ผมคงต้องจับมือกับคุณกระมัง ปูติน แต่จะให้ดีรัสเซียควรจะออกไปจากไปUkraine ได้แล้ว กลุ่ม Anglo Saxon ช่วยกันแจกคำด่ารัสเซียเป็นของชำร่วย เป็นการต้อน มากกว่ารับนายปูติน ขนาดสื่อเรียกการประชุมนี้ว่า G20-1 เหมือนไม่เห็นหัวรัสเซียว่าเป็นสมาชิกด้วย นายปูตินก็ใช่เล่นที่ไหน ไม่ไปเข้าประชุมตัวเปล่า หอบเอาเรือรบบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไปด้วย 4 ลำ อ้างว่า มีข่าวกรองมา ว่าจะมีการต้อนรับจัดเต็มแบบพิเศษจากใครก็ไม่รู้ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เอาชื่อไปทิ้งแถวแดนจิงโจ้คงไม่เท่ห์นัก ยังไม่ได้เริ่มเล่นบทพระเอกในสงครามชิงโลกกันเลย แต่ดูๆไปแล้ว เหมือนนายปูตินตั้งใจยียวน ก๊วน อเมริกากับพวกมากกว่า นายปูตินน่าจะกำลังส่งสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่พร้อมสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวกเท่านั้นนะ เข้าใจไหม…!? มันเป็นการยกระดับการส่งสัญญาณของรัสเซีย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • "Tensor G5: ชิปเรือธงจาก Google ที่สะดุดกลางสนามแข่งสมาร์ตโฟน"

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังรอสมาร์ตโฟน Pixel รุ่นใหม่จาก Google ที่มาพร้อมชิป Tensor G5 ซึ่งผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหม? แต่เมื่อเปิดตัวจริงกลับพบว่า Tensor G5 มีปัญหาเรื่องความร้อนและการ throttle อย่างหนัก โดยเฉพาะในการเล่นเกมหรือแม้แต่การจำลอง PlayStation 2

    สาเหตุหลักมาจากการออกแบบชิปแบบ “ปะติดปะต่อ” ของ Google ที่ใช้คอร์ CPU จาก ARM แบบสำเร็จรูป ไม่ได้พัฒนาเองเหมือนคู่แข่งอย่าง Qualcomm ที่ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ซึ่งมีความเร็วสูงและระบบ cache ที่ปรับแต่งมาอย่างดี

    GPU ที่ใช้ก็เป็น Imagination IMG DXT-48-1536 ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียง Adreno หรือ Mali แต่ไม่มี ray-tracing และ Google ยังต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์ ทำให้ขาดความคล่องตัวในการปรับแต่ง

    แม้ Tensor G5 จะมี TPU รุ่นใหม่สำหรับงาน AI และใช้โมเด็ม Exynos 5G แต่เมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แล้ว ยังห่างไกลในด้านประสิทธิภาพและการควบคุมความร้อน

    สถาปัตยกรรมของ Tensor G5
    CPU แบบ 8-core: Cortex-X4, Cortex-A725, Cortex-A520
    GPU: Imagination IMG DXT-48-1536 ไม่มี ray-tracing
    TPU รุ่นที่ 5 สำหรับงาน AI
    โมเด็ม Exynos 5G
    ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC

    ปัญหาหลักของ Tensor G5
    เกิดความร้อนสูงและ throttle อย่างรวดเร็ว
    ประสิทธิภาพต่ำในการเล่นเกมและ emulation
    คะแนน Geekbench และ 3DMark ต่ำกว่าคู่แข่ง

    ข้อเปรียบเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5
    ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ที่มีความเร็วสูง
    มี L2 cache ขนาด 12MB สำหรับทั้ง prime และ performance cores
    ปรับแต่งระบบภายในได้ละเอียดกว่า

    ข้อจำกัดด้าน GPU และไดรเวอร์
    Google ต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์
    ขาดความสามารถในการควบคุมและปรับแต่งแบบเต็มรูปแบบ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Pixel 10 ที่ใช้ Tensor G5
    อาจพบปัญหาความร้อนและประสิทธิภาพตกในการใช้งานหนัก
    การเล่นเกมหรือใช้งาน AI อาจไม่ลื่นไหลเท่าที่คาดหวัง
    การพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกทำให้ Google ขาดความยืดหยุ่นในการพัฒนา

    Tensor G5 เป็นตัวอย่างของการพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้ส่วนประกอบสำเร็จรูป แต่ในโลกของสมาร์ตโฟนระดับเรือธง ความเร็ว ความร้อน และความเสถียรคือสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังสูงสุด และดูเหมือนว่า Google ยังต้องปรับกลยุทธ์อีกมากหากต้องการแข่งขันกับ Qualcomm และ Apple อย่างเต็มตัว.

    https://wccftech.com/the-flaw-in-tensor-g5/
    📲 "Tensor G5: ชิปเรือธงจาก Google ที่สะดุดกลางสนามแข่งสมาร์ตโฟน" ลองนึกภาพว่าคุณกำลังรอสมาร์ตโฟน Pixel รุ่นใหม่จาก Google ที่มาพร้อมชิป Tensor G5 ซึ่งผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ฟังดูน่าตื่นเต้นใช่ไหม? แต่เมื่อเปิดตัวจริงกลับพบว่า Tensor G5 มีปัญหาเรื่องความร้อนและการ throttle อย่างหนัก โดยเฉพาะในการเล่นเกมหรือแม้แต่การจำลอง PlayStation 2 สาเหตุหลักมาจากการออกแบบชิปแบบ “ปะติดปะต่อ” ของ Google ที่ใช้คอร์ CPU จาก ARM แบบสำเร็จรูป ไม่ได้พัฒนาเองเหมือนคู่แข่งอย่าง Qualcomm ที่ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ซึ่งมีความเร็วสูงและระบบ cache ที่ปรับแต่งมาอย่างดี GPU ที่ใช้ก็เป็น Imagination IMG DXT-48-1536 ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียง Adreno หรือ Mali แต่ไม่มี ray-tracing และ Google ยังต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์ ทำให้ขาดความคล่องตัวในการปรับแต่ง แม้ Tensor G5 จะมี TPU รุ่นใหม่สำหรับงาน AI และใช้โมเด็ม Exynos 5G แต่เมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แล้ว ยังห่างไกลในด้านประสิทธิภาพและการควบคุมความร้อน ✅ สถาปัตยกรรมของ Tensor G5 ➡️ CPU แบบ 8-core: Cortex-X4, Cortex-A725, Cortex-A520 ➡️ GPU: Imagination IMG DXT-48-1536 ไม่มี ray-tracing ➡️ TPU รุ่นที่ 5 สำหรับงาน AI ➡️ โมเด็ม Exynos 5G ➡️ ผลิตบนเทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ✅ ปัญหาหลักของ Tensor G5 ➡️ เกิดความร้อนสูงและ throttle อย่างรวดเร็ว ➡️ ประสิทธิภาพต่ำในการเล่นเกมและ emulation ➡️ คะแนน Geekbench และ 3DMark ต่ำกว่าคู่แข่ง ✅ ข้อเปรียบเทียบกับ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ➡️ ใช้คอร์ Oryon แบบ custom ที่มีความเร็วสูง ➡️ มี L2 cache ขนาด 12MB สำหรับทั้ง prime และ performance cores ➡️ ปรับแต่งระบบภายในได้ละเอียดกว่า ✅ ข้อจำกัดด้าน GPU และไดรเวอร์ ➡️ Google ต้องพึ่งพา Imagination ในการอัปเดตไดรเวอร์ ➡️ ขาดความสามารถในการควบคุมและปรับแต่งแบบเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Pixel 10 ที่ใช้ Tensor G5 ⛔ อาจพบปัญหาความร้อนและประสิทธิภาพตกในการใช้งานหนัก ⛔ การเล่นเกมหรือใช้งาน AI อาจไม่ลื่นไหลเท่าที่คาดหวัง ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอกทำให้ Google ขาดความยืดหยุ่นในการพัฒนา Tensor G5 เป็นตัวอย่างของการพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้ส่วนประกอบสำเร็จรูป แต่ในโลกของสมาร์ตโฟนระดับเรือธง ความเร็ว ความร้อน และความเสถียรคือสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังสูงสุด และดูเหมือนว่า Google ยังต้องปรับกลยุทธ์อีกมากหากต้องการแข่งขันกับ Qualcomm และ Apple อย่างเต็มตัว. https://wccftech.com/the-flaw-in-tensor-g5/
    WCCFTECH.COM
    The Flaw In Google Pixel's New Tensor G5 Chip
    Google's design strategy for the Tensor G5 chip is akin to buying an off-the-rack suit and then paying for some fittings here and there.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: <output> แท็กที่ถูกลืมใน HTML แต่ทรงพลังเกินคาด — ตัวช่วยใหม่เพื่อการเข้าถึงที่แท้จริง

    ลองนึกถึงแท็ก HTML ที่สามารถแสดงผลลัพธ์แบบไดนามิก พร้อมรองรับการเข้าถึง (accessibility) โดยไม่ต้องเขียน ARIA เพิ่มเติม — นั่นคือ <output> แท็กที่อยู่ในสเปก HTML มาตั้งแต่ปี 2008 แต่แทบไม่มีใครพูดถึง

    Den Odell ผู้เขียนบทความนี้เล่าว่าเขาค้นพบแท็ก <output> ขณะทำโปรเจกต์ด้าน accessibility ที่ต้องแสดงคะแนนความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ให้ผู้ใช้เห็นและ “ได้ยิน” ผ่าน screen reader เดิมทีเขาใช้ ARIA live region ซึ่งทำงานได้ แต่รู้สึกว่าเป็นการ “แปะ” แก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนกระทั่งเขาพบว่า <output> ถูกออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ

    แท็ก <output> จะประกาศค่าที่เปลี่ยนแปลงให้ screen reader โดยอัตโนมัติ โดยไม่รบกวนผู้ใช้ และยังสามารถเชื่อมโยงกับ <input> ได้ด้วย attribute for="" เพื่อระบุว่า output นี้ขึ้นอยู่กับ input ตัวใด

    ตัวอย่างการใช้งานมีตั้งแต่เครื่องคิดเลข, slider ที่แสดงค่าระยะทาง, การแจ้งเตือนความแข็งแรงของรหัสผ่าน ไปจนถึงการแสดงราคาค่าขนส่งที่ดึงมาจาก API แบบเรียลไทม์

    แม้ว่า <output> จะยังมีข้อจำกัด เช่น บาง screen reader ยังไม่รองรับการอ่านค่าที่เปลี่ยนแปลงได้ดีนัก แต่ก็สามารถแก้ได้ด้วยการเพิ่ม role="status" แบบชัดเจน

    สรุปเนื้อหาบทความและข้อมูลเสริม
    <output> คือแท็ก HTML สำหรับแสดงผลลัพธ์แบบไดนามิก
    ใช้แสดงค่าที่คำนวณหรือเกิดจากการกระทำของผู้ใช้
    ถูกแมปไปยัง role="status" ใน accessibility tree โดยอัตโนมัติ

    ความสามารถด้าน accessibility
    screen reader อ่านค่าที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่รบกวนผู้ใช้
    อ่านค่าทั้งหมด ไม่ใช่แค่ส่วนที่เปลี่ยน

    การใช้งานร่วมกับ <input>
    ใช้ attribute for="" เพื่อเชื่อมโยงกับ input หลายตัว
    ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน <form> ก็ใช้งานได้

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    เครื่องคิดเลขที่แสดงผลลัพธ์ทันที
    การแสดงค่าจาก slider เช่น “10,000 miles/year”
    การแจ้งเตือนความแข็งแรงของรหัสผ่าน
    การแสดงผลลัพธ์จาก API เช่นราคาค่าขนส่ง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    <output> อยู่ในสเปก HTML5 มาตั้งแต่ปี 2008
    รองรับในเบราว์เซอร์หลักและ screen reader ส่วนใหญ่
    ใช้งานร่วมกับ React, Vue และเฟรมเวิร์ก JavaScript อื่นได้ดี
    เป็นแท็ก inline โดยดีไซน์ สามารถจัดสไตล์ได้เหมือน <span> หรือ <div>

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน <output>
    บาง screen reader ยังไม่รองรับการประกาศค่าที่เปลี่ยนแปลง
    ควรเพิ่ม role="status" เพื่อให้แน่ใจว่าค่าจะถูกอ่าน
    ไม่ควรใช้ <output> สำหรับการแจ้งเตือนทั่วไป เช่น toast message หรือ error message

    การกลับมาให้ความสนใจกับ <output> คือการย้ำเตือนว่า HTML ยังมีขุมทรัพย์ที่ถูกลืมซ่อนอยู่มากมาย และบางครั้งคำตอบที่ดีที่สุดก็อาจอยู่ตรงหน้าเรามานานแล้ว โดยไม่ต้องพึ่งพา JavaScript หรือ ARIA เสมอไปครับ

    https://denodell.com/blog/html-best-kept-secret-output-tag
    📰 หัวข้อข่าว: <output> แท็กที่ถูกลืมใน HTML แต่ทรงพลังเกินคาด — ตัวช่วยใหม่เพื่อการเข้าถึงที่แท้จริง ลองนึกถึงแท็ก HTML ที่สามารถแสดงผลลัพธ์แบบไดนามิก พร้อมรองรับการเข้าถึง (accessibility) โดยไม่ต้องเขียน ARIA เพิ่มเติม — นั่นคือ <output> แท็กที่อยู่ในสเปก HTML มาตั้งแต่ปี 2008 แต่แทบไม่มีใครพูดถึง Den Odell ผู้เขียนบทความนี้เล่าว่าเขาค้นพบแท็ก <output> ขณะทำโปรเจกต์ด้าน accessibility ที่ต้องแสดงคะแนนความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ให้ผู้ใช้เห็นและ “ได้ยิน” ผ่าน screen reader เดิมทีเขาใช้ ARIA live region ซึ่งทำงานได้ แต่รู้สึกว่าเป็นการ “แปะ” แก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนกระทั่งเขาพบว่า <output> ถูกออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ แท็ก <output> จะประกาศค่าที่เปลี่ยนแปลงให้ screen reader โดยอัตโนมัติ โดยไม่รบกวนผู้ใช้ และยังสามารถเชื่อมโยงกับ <input> ได้ด้วย attribute for="" เพื่อระบุว่า output นี้ขึ้นอยู่กับ input ตัวใด ตัวอย่างการใช้งานมีตั้งแต่เครื่องคิดเลข, slider ที่แสดงค่าระยะทาง, การแจ้งเตือนความแข็งแรงของรหัสผ่าน ไปจนถึงการแสดงราคาค่าขนส่งที่ดึงมาจาก API แบบเรียลไทม์ แม้ว่า <output> จะยังมีข้อจำกัด เช่น บาง screen reader ยังไม่รองรับการอ่านค่าที่เปลี่ยนแปลงได้ดีนัก แต่ก็สามารถแก้ได้ด้วยการเพิ่ม role="status" แบบชัดเจน 📌 สรุปเนื้อหาบทความและข้อมูลเสริม ✅ <output> คือแท็ก HTML สำหรับแสดงผลลัพธ์แบบไดนามิก ➡️ ใช้แสดงค่าที่คำนวณหรือเกิดจากการกระทำของผู้ใช้ ➡️ ถูกแมปไปยัง role="status" ใน accessibility tree โดยอัตโนมัติ ✅ ความสามารถด้าน accessibility ➡️ screen reader อ่านค่าที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่รบกวนผู้ใช้ ➡️ อ่านค่าทั้งหมด ไม่ใช่แค่ส่วนที่เปลี่ยน ✅ การใช้งานร่วมกับ <input> ➡️ ใช้ attribute for="" เพื่อเชื่อมโยงกับ input หลายตัว ➡️ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน <form> ก็ใช้งานได้ ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ เครื่องคิดเลขที่แสดงผลลัพธ์ทันที ➡️ การแสดงค่าจาก slider เช่น “10,000 miles/year” ➡️ การแจ้งเตือนความแข็งแรงของรหัสผ่าน ➡️ การแสดงผลลัพธ์จาก API เช่นราคาค่าขนส่ง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ <output> อยู่ในสเปก HTML5 มาตั้งแต่ปี 2008 ➡️ รองรับในเบราว์เซอร์หลักและ screen reader ส่วนใหญ่ ➡️ ใช้งานร่วมกับ React, Vue และเฟรมเวิร์ก JavaScript อื่นได้ดี ➡️ เป็นแท็ก inline โดยดีไซน์ สามารถจัดสไตล์ได้เหมือน <span> หรือ <div> ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน <output> ⛔ บาง screen reader ยังไม่รองรับการประกาศค่าที่เปลี่ยนแปลง ⛔ ควรเพิ่ม role="status" เพื่อให้แน่ใจว่าค่าจะถูกอ่าน ⛔ ไม่ควรใช้ <output> สำหรับการแจ้งเตือนทั่วไป เช่น toast message หรือ error message การกลับมาให้ความสนใจกับ <output> คือการย้ำเตือนว่า HTML ยังมีขุมทรัพย์ที่ถูกลืมซ่อนอยู่มากมาย และบางครั้งคำตอบที่ดีที่สุดก็อาจอยู่ตรงหน้าเรามานานแล้ว โดยไม่ต้องพึ่งพา JavaScript หรือ ARIA เสมอไปครับ https://denodell.com/blog/html-best-kept-secret-output-tag
    DENODELL.COM
    HTML’s Best Kept Secret: The output Tag
    Make your dynamic content accessible by default with the HTML tag that time forgot.
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: Figure 03 หุ่นยนต์รุ่นใหม่จาก Figure AI – ก้าวสำคัญสู่หุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่เรียนรู้จากมนุษย์

    Figure AI เปิดตัว Figure 03 หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นที่ 3 ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับระบบ AI “Helix” ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถเรียนรู้จากมนุษย์และทำงานได้หลากหลายทั้งในบ้านและในภาคธุรกิจ

    Figure 03 มาพร้อมระบบกล้องใหม่ที่มีความละเอียดสูงขึ้น 2 เท่า ลดความหน่วงลงเหลือ 1/4 และเพิ่มมุมมองภาพกว้างขึ้น 60% ต่อกล้อง ทำให้สามารถมองเห็นและควบคุมการเคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น แม้ในพื้นที่แคบหรือซับซ้อน เช่น ภายในตู้หรือห้องครัว

    มือของ Figure 03 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความยืดหยุ่นและสัมผัสละเอียดมากขึ้น โดยมีเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับแรงกดเพียง 3 กรัม ซึ่งละเอียดพอที่จะรู้ว่าวัตถุกำลังจะหลุดจากมือหรือไม่

    ในด้านการใช้งานภายในบ้าน Figure 03 มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การใช้วัสดุหุ้มที่นุ่ม ลดน้ำหนักลง 9% และมีระบบชาร์จไร้สายผ่านเท้าที่สามารถชาร์จได้ทันทีเมื่อยืนบนแท่น

    สำหรับการผลิต Figure 03 ถูกออกแบบมาเพื่อการผลิตจำนวนมาก โดยใช้กระบวนการใหม่ เช่น การหล่อขึ้นรูปและการปั๊มโลหะ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิต พร้อมทั้งสร้างโรงงาน BotQ ที่สามารถผลิตหุ่นยนต์ได้ถึง 100,000 ตัวภายใน 4 ปี

    ในภาคธุรกิจ Figure 03 สามารถทำงานได้เร็วขึ้น 2 เท่า มีแรงบิดสูงขึ้น และสามารถปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้เหมาะกับแต่ละองค์กร เช่น การใส่ยูนิฟอร์มหรือหน้าจอด้านข้างเพื่อแสดงข้อมูล

    สรุปเนื้อหาข่าวและข้อมูลเสริม
    Figure 03 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    เป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นที่ 3 จาก Figure AI
    ออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับระบบ AI “Helix”

    ระบบกล้องและการมองเห็น
    กล้องใหม่มีเฟรมเรตสูงขึ้น 2 เท่า
    ลดความหน่วงลงเหลือ 1/4
    มุมมองภาพกว้างขึ้น 60% ต่อกล้อง
    มีระบบกล้องฝังในฝ่ามือสำหรับการมองใกล้

    ระบบมือและสัมผัส
    ปลายนิ้วนุ่มและปรับตัวตามวัตถุ
    เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกดละเอียดถึง 3 กรัม
    ป้องกันวัตถุหลุดจากมือด้วยการควบคุมแบบเรียลไทม์

    การใช้งานในบ้าน
    หุ้มด้วยวัสดุนุ่ม ลดน้ำหนักลง 9%
    ระบบชาร์จไร้สายผ่านเท้า
    แบตเตอรี่มีระบบป้องกันหลายชั้นและผ่านมาตรฐาน UN38.3
    เสียงพูดชัดขึ้น ลำโพงใหญ่ขึ้น 2 เท่า ไมโครโฟนปรับตำแหน่งใหม่

    การผลิตจำนวนมาก
    ใช้กระบวนการหล่อขึ้นรูปและปั๊มโลหะ
    ลดจำนวนชิ้นส่วนและขั้นตอนประกอบ
    สร้างโรงงาน BotQ เพื่อผลิตหุ่นยนต์ได้ถึง 100,000 ตัวใน 4 ปี
    ควบคุมคุณภาพด้วยระบบ MES ที่ติดตามทุกขั้นตอน

    การใช้งานในภาคธุรกิจ
    ทำงานเร็วขึ้น 2 เท่า มีแรงบิดสูงขึ้น
    ปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกได้ เช่น ยูนิฟอร์มหรือหน้าจอด้านข้าง
    ชาร์จและถ่ายข้อมูลแบบไร้สายระหว่างพักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Helix เป็นระบบ AI ที่รวมการมองเห็น ภาษา และการกระทำไว้ด้วยกัน
    หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์กำลังเป็นที่สนใจในภาคอุตสาหกรรม เช่น โลจิสติกส์และการดูแลผู้สูงอายุ
    การผลิตหุ่นยนต์จำนวนมากยังเป็นความท้าทายด้านต้นทุนและซัพพลายเชน

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานหุ่นยนต์ในบ้านและธุรกิจ
    ต้องมีการควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
    การใช้งานในพื้นที่แคบต้องมีการทดสอบและปรับแต่งให้เหมาะสม
    การผลิตจำนวนมากต้องพึ่งพาซัพพลายเชนที่มั่นคงและมีคุณภาพสูง

    Figure 03 ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่ยุคที่หุ่นยนต์สามารถเรียนรู้จากมนุษย์และทำงานร่วมกับเราได้อย่างแท้จริงครับ

    https://www.figure.ai/news/introducing-figure-03
    📰 หัวข้อข่าว: Figure 03 หุ่นยนต์รุ่นใหม่จาก Figure AI – ก้าวสำคัญสู่หุ่นยนต์อเนกประสงค์ที่เรียนรู้จากมนุษย์ Figure AI เปิดตัว Figure 03 หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นที่ 3 ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับระบบ AI “Helix” ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถเรียนรู้จากมนุษย์และทำงานได้หลากหลายทั้งในบ้านและในภาคธุรกิจ Figure 03 มาพร้อมระบบกล้องใหม่ที่มีความละเอียดสูงขึ้น 2 เท่า ลดความหน่วงลงเหลือ 1/4 และเพิ่มมุมมองภาพกว้างขึ้น 60% ต่อกล้อง ทำให้สามารถมองเห็นและควบคุมการเคลื่อนไหวได้แม่นยำยิ่งขึ้น แม้ในพื้นที่แคบหรือซับซ้อน เช่น ภายในตู้หรือห้องครัว มือของ Figure 03 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความยืดหยุ่นและสัมผัสละเอียดมากขึ้น โดยมีเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับแรงกดเพียง 3 กรัม ซึ่งละเอียดพอที่จะรู้ว่าวัตถุกำลังจะหลุดจากมือหรือไม่ ในด้านการใช้งานภายในบ้าน Figure 03 มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การใช้วัสดุหุ้มที่นุ่ม ลดน้ำหนักลง 9% และมีระบบชาร์จไร้สายผ่านเท้าที่สามารถชาร์จได้ทันทีเมื่อยืนบนแท่น สำหรับการผลิต Figure 03 ถูกออกแบบมาเพื่อการผลิตจำนวนมาก โดยใช้กระบวนการใหม่ เช่น การหล่อขึ้นรูปและการปั๊มโลหะ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการผลิต พร้อมทั้งสร้างโรงงาน BotQ ที่สามารถผลิตหุ่นยนต์ได้ถึง 100,000 ตัวภายใน 4 ปี ในภาคธุรกิจ Figure 03 สามารถทำงานได้เร็วขึ้น 2 เท่า มีแรงบิดสูงขึ้น และสามารถปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้เหมาะกับแต่ละองค์กร เช่น การใส่ยูนิฟอร์มหรือหน้าจอด้านข้างเพื่อแสดงข้อมูล 📌 สรุปเนื้อหาข่าวและข้อมูลเสริม ✅ Figure 03 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ เป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่นที่ 3 จาก Figure AI ➡️ ออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับระบบ AI “Helix” ✅ ระบบกล้องและการมองเห็น ➡️ กล้องใหม่มีเฟรมเรตสูงขึ้น 2 เท่า ➡️ ลดความหน่วงลงเหลือ 1/4 ➡️ มุมมองภาพกว้างขึ้น 60% ต่อกล้อง ➡️ มีระบบกล้องฝังในฝ่ามือสำหรับการมองใกล้ ✅ ระบบมือและสัมผัส ➡️ ปลายนิ้วนุ่มและปรับตัวตามวัตถุ ➡️ เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกดละเอียดถึง 3 กรัม ➡️ ป้องกันวัตถุหลุดจากมือด้วยการควบคุมแบบเรียลไทม์ ✅ การใช้งานในบ้าน ➡️ หุ้มด้วยวัสดุนุ่ม ลดน้ำหนักลง 9% ➡️ ระบบชาร์จไร้สายผ่านเท้า ➡️ แบตเตอรี่มีระบบป้องกันหลายชั้นและผ่านมาตรฐาน UN38.3 ➡️ เสียงพูดชัดขึ้น ลำโพงใหญ่ขึ้น 2 เท่า ไมโครโฟนปรับตำแหน่งใหม่ ✅ การผลิตจำนวนมาก ➡️ ใช้กระบวนการหล่อขึ้นรูปและปั๊มโลหะ ➡️ ลดจำนวนชิ้นส่วนและขั้นตอนประกอบ ➡️ สร้างโรงงาน BotQ เพื่อผลิตหุ่นยนต์ได้ถึง 100,000 ตัวใน 4 ปี ➡️ ควบคุมคุณภาพด้วยระบบ MES ที่ติดตามทุกขั้นตอน ✅ การใช้งานในภาคธุรกิจ ➡️ ทำงานเร็วขึ้น 2 เท่า มีแรงบิดสูงขึ้น ➡️ ปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกได้ เช่น ยูนิฟอร์มหรือหน้าจอด้านข้าง ➡️ ชาร์จและถ่ายข้อมูลแบบไร้สายระหว่างพักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Helix เป็นระบบ AI ที่รวมการมองเห็น ภาษา และการกระทำไว้ด้วยกัน ➡️ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์กำลังเป็นที่สนใจในภาคอุตสาหกรรม เช่น โลจิสติกส์และการดูแลผู้สูงอายุ ➡️ การผลิตหุ่นยนต์จำนวนมากยังเป็นความท้าทายด้านต้นทุนและซัพพลายเชน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานหุ่นยนต์ในบ้านและธุรกิจ ⛔ ต้องมีการควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ⛔ การใช้งานในพื้นที่แคบต้องมีการทดสอบและปรับแต่งให้เหมาะสม ⛔ การผลิตจำนวนมากต้องพึ่งพาซัพพลายเชนที่มั่นคงและมีคุณภาพสูง Figure 03 ไม่ใช่แค่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่ยุคที่หุ่นยนต์สามารถเรียนรู้จากมนุษย์และทำงานร่วมกับเราได้อย่างแท้จริงครับ https://www.figure.ai/news/introducing-figure-03
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 3

    เมื่อสหภาพโซเวียตพ้นไปจากเส้นทางครองโลก อเมริกาจึงเดินหน้าเต็มตัวเพื่อปฏิบัติการชิงโลก โดยมุ่งหน้าสู่การครอบครอง Eurasia ตามยุทธศาสตร์ครู Mac

    ปี ค.ศ.1999 หนึ่งปี ก่อนที่คาวบอย Bush จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ คาวบอย Bush ได้จัดทัพสำหรับปฎิบัติการชิงโลก ไว้เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพชื่อ **** Cheney เป็นผู้นำ Cheney ได้วางยุทธศาสตร์ ที่มีคนช่างนินทาเรียกว่า “Cheney Strategy” ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศ ที่เน้นเรื่องการจัดการ การขโมย และควบคุมแหล่งพลังงานของโลก ผ่านเครือข่ายและการดำเนินงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หรือบริษัทที่เกี่ยวพันกัน ที่เรียกว่า the Big Four คือ Chevron, Texaco, Exxon Mobil, BP หรือ Royal Dutch Shell

    นอกเหนือจากอาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้ว น้ำมันที่อุดมสบูรณ์ และกองทัพที่แข็งแกร่ง เป็นอีก 2 ปัจจัยสำคัญ ที่อเมริกาต้องมี ในการชิงโลกใบนี้มาครอง ดังนั้นในช่วงรัฐบาลคาวบอย Bush โดยการนำทัพ ของ Cheney จึงเกิดการร่วมมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ ใหญ่ และบริษัทผลิตอาวุธ เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากบริษัท Halliburton Inc ซึ่งเป็นบริษัทของ **** Cheney เอง ใน ช่วงนั้นประกอบกิจการเป็นทั้งบริษัทขุดน้ำมัน บริษัทสำรวจ และบริษัทรับเหมาก่อสร้างฐานทัพให้กับกองทัพ มันเอาทุกท่าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สูตรนี้มีคนทำตามแยะ

    ในช่วงระหว่างการจัดทัพเตรียม ชิงน้ำมัน Cheney ได้ไปพูดที่ London Institute of Petroleum เมื่อ เดือนกันยายน ค.ศ.1999 สรุปความว่า โลกจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากและรวดเร็ว ของประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ เขาประมาณว่าในปี ค.ศ.2010 อย่างน้อยโลกต้องมีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนอย่างน้อย 50% ต่อ วัน จากจำนวนที่มีอยู่ต่อวันในปี ค.ศ.1999 มันหมายถึงอย่างน้อยต้องได้แหล่งน้ำมันขนาดเดียวกันกับของซาอุดิอารเบีย อีก 5 แหล่ง ! จะไปหาจากที่ไหน?

    ขณะนั้น ตะวันออกกลางเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันถึง 2 ใน 3 ของแหล่งน้ำมันโลก และเป็นน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำ และที่นั่นคือบริเวณที่อเมริกาจะต้องเข้าไปยึดครอง แต่แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางขณะนั้นเป็นของรัฐ หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่มีที่สำหรับคนนอกอย่างอเมริกาและพวก แน่นอนเป็นภาระของ Cheney และพวกที่จะต้องหาทางส่งให้ Exxon Mobil หรือ Chevron หรือ Shell หรือ BP เข้าไปมีที่ยืนในดินแดนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
    การสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ในกรณีที่มีน้ำมันเพียงพอ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี กว่าจะได้ผลผลิตน้ำมัน คาวบอย Bush และ Cheney รอไม่ไหวแน่

    ขณะเดียวกัน อิรัก ซึ่งขณะนั้น มีแหล่งน้ำมันมากเป็นที่สองในตะวันออกกลาง รองจากซาอุดิอารเบีย มี Saddam Hussein เป็น ผู้ครอบครอง ส่วนอิหร่านมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นที่สองของโลก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันใหญ่มหึมาอีกด้วย อิหร่านในตอนนั้นปกครองโดยผู้นำทางศาสนา ซึ่งไม่เปิดประตูให้บริษัทน้ำมันอเมริกันเข้าไปทำมาหากิน

    ปี ค.ศ.2000 เมื่อคาวบอย Bush ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายแรกของคาวบอย คือการเสริมสร้างด้านความมั่นคง ให้อเมริกาเสียใหม่ Re-building America’s Defense ซึ่งออกมาภายใต้ชื่อ Project of the New American Century (PNAC) อินทรีย์สยายปีก เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยึด Eurasia

    PNAC เป็น การปูพื้น วางเส้นทางเข้าชิงน้ำมันในอิรัก อเมริกาจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เกรียงไกรเพื่อเข้าใปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลาง และจัดการปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอิรัก เล่นกันดื้อๆแบบนั้น Saddam ดี เลว เป็นเผด็จการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นการตอแหล หาเรื่องอ้างของอเมริกาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อเข้าไปในอิรัก เพื่อไปยึดแหล่งน้ำมันเขา ไปเอารางวัลใหญ่ ที่คอยอยู่ตรงนั้นต่างหาก

    Cheney ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานด้านพลังงาน President of Energy Task Force Project หรือ ตำแหน่งหัวหน้าโครงการขโมยน้ำมัน แต่แผนขโมยปิดไม่มิด ใน ปี ค.ศ.2003 กระทรวงพาณิชย์ของอเมริกา เกิดทำเอกสารหล่นมาถึงสื่อ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดของบ่อน้ำมันในอิรักทั้งหมด รวมทั้งท่อส่ง โรงกลั่น และคลังน้ำมัน รวมทั้งเอกสารที่แสดงรายละเอียด ของโครงการน้ำมันและก๊าซในอนาคตของอิรัก และผู้ที่ขอเข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่คัดค้านสหประชาชาติที่อนุมัติ ให้อเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก อืม.. น่าให้รางวัลคนทำหล่นจริงๆ

    แน่นอน หลังจากอเมริกายึดครองอิรักได้ สิ่งแรกที่อเมริการีบทำคือ ยกเลิกสัญญาที่อิรักทำกับรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส น้ำมันของอิรักจะต้องดูแลและจัดการโดยบริษัทน้ำมันของอเมริกาและอังกฤษเท่า นั้น แผนการชิงโลกของอเมริกาสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

    แต่ ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการชิงโลก ตั้งแต่การทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1991 คือ การทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้รัสเซียสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้ และทำให้อดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้อีก เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่มหึมาในแถบ Eurasia แถบที่มีรางวัลใหญ่กว่าคอยอยู่…

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    1 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 3 เมื่อสหภาพโซเวียตพ้นไปจากเส้นทางครองโลก อเมริกาจึงเดินหน้าเต็มตัวเพื่อปฏิบัติการชิงโลก โดยมุ่งหน้าสู่การครอบครอง Eurasia ตามยุทธศาสตร์ครู Mac ปี ค.ศ.1999 หนึ่งปี ก่อนที่คาวบอย Bush จะเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ คาวบอย Bush ได้จัดทัพสำหรับปฎิบัติการชิงโลก ไว้เรียบร้อย โดยมีแม่ทัพชื่อ Dick Cheney เป็นผู้นำ Cheney ได้วางยุทธศาสตร์ ที่มีคนช่างนินทาเรียกว่า “Cheney Strategy” ซึ่งเป็นนโยบายด้านต่างประเทศ ที่เน้นเรื่องการจัดการ การขโมย และควบคุมแหล่งพลังงานของโลก ผ่านเครือข่ายและการดำเนินงานของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา หรือบริษัทที่เกี่ยวพันกัน ที่เรียกว่า the Big Four คือ Chevron, Texaco, Exxon Mobil, BP หรือ Royal Dutch Shell นอกเหนือจากอาวุธที่ทรงอานุภาพ แล้ว น้ำมันที่อุดมสบูรณ์ และกองทัพที่แข็งแกร่ง เป็นอีก 2 ปัจจัยสำคัญ ที่อเมริกาต้องมี ในการชิงโลกใบนี้มาครอง ดังนั้นในช่วงรัฐบาลคาวบอย Bush โดยการนำทัพ ของ Cheney จึงเกิดการร่วมมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ ใหญ่ และบริษัทผลิตอาวุธ เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน จากบริษัท Halliburton Inc ซึ่งเป็นบริษัทของ Dick Cheney เอง ใน ช่วงนั้นประกอบกิจการเป็นทั้งบริษัทขุดน้ำมัน บริษัทสำรวจ และบริษัทรับเหมาก่อสร้างฐานทัพให้กับกองทัพ มันเอาทุกท่าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่สูตรนี้มีคนทำตามแยะ ในช่วงระหว่างการจัดทัพเตรียม ชิงน้ำมัน Cheney ได้ไปพูดที่ London Institute of Petroleum เมื่อ เดือนกันยายน ค.ศ.1999 สรุปความว่า โลกจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากและรวดเร็ว ของประเทศใหญ่ๆหลายประเทศ เขาประมาณว่าในปี ค.ศ.2010 อย่างน้อยโลกต้องมีน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนอย่างน้อย 50% ต่อ วัน จากจำนวนที่มีอยู่ต่อวันในปี ค.ศ.1999 มันหมายถึงอย่างน้อยต้องได้แหล่งน้ำมันขนาดเดียวกันกับของซาอุดิอารเบีย อีก 5 แหล่ง ! จะไปหาจากที่ไหน? ขณะนั้น ตะวันออกกลางเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันถึง 2 ใน 3 ของแหล่งน้ำมันโลก และเป็นน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำ และที่นั่นคือบริเวณที่อเมริกาจะต้องเข้าไปยึดครอง แต่แหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางขณะนั้นเป็นของรัฐ หรืออยู่ในความควบคุมของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่มีที่สำหรับคนนอกอย่างอเมริกาและพวก แน่นอนเป็นภาระของ Cheney และพวกที่จะต้องหาทางส่งให้ Exxon Mobil หรือ Chevron หรือ Shell หรือ BP เข้าไปมีที่ยืนในดินแดนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว การสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมัน ในกรณีที่มีน้ำมันเพียงพอ ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี กว่าจะได้ผลผลิตน้ำมัน คาวบอย Bush และ Cheney รอไม่ไหวแน่ ขณะเดียวกัน อิรัก ซึ่งขณะนั้น มีแหล่งน้ำมันมากเป็นที่สองในตะวันออกกลาง รองจากซาอุดิอารเบีย มี Saddam Hussein เป็น ผู้ครอบครอง ส่วนอิหร่านมีแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่เป็นที่สองของโลก รวมทั้งมีแหล่งน้ำมันใหญ่มหึมาอีกด้วย อิหร่านในตอนนั้นปกครองโดยผู้นำทางศาสนา ซึ่งไม่เปิดประตูให้บริษัทน้ำมันอเมริกันเข้าไปทำมาหากิน ปี ค.ศ.2000 เมื่อคาวบอย Bush ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายแรกของคาวบอย คือการเสริมสร้างด้านความมั่นคง ให้อเมริกาเสียใหม่ Re-building America’s Defense ซึ่งออกมาภายใต้ชื่อ Project of the New American Century (PNAC) อินทรีย์สยายปีก เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยึด Eurasia PNAC เป็น การปูพื้น วางเส้นทางเข้าชิงน้ำมันในอิรัก อเมริกาจำเป็นต้องมีกองกำลังที่เกรียงไกรเพื่อเข้าใปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลาง และจัดการปลี่ยนแปลงผู้ปกครองอิรัก เล่นกันดื้อๆแบบนั้น Saddam ดี เลว เป็นเผด็จการหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นการตอแหล หาเรื่องอ้างของอเมริกาอย่างหน้าด้านๆ เพื่อเข้าไปในอิรัก เพื่อไปยึดแหล่งน้ำมันเขา ไปเอารางวัลใหญ่ ที่คอยอยู่ตรงนั้นต่างหาก Cheney ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงานด้านพลังงาน President of Energy Task Force Project หรือ ตำแหน่งหัวหน้าโครงการขโมยน้ำมัน แต่แผนขโมยปิดไม่มิด ใน ปี ค.ศ.2003 กระทรวงพาณิชย์ของอเมริกา เกิดทำเอกสารหล่นมาถึงสื่อ เป็นเอกสารที่แสดงรายละเอียดของบ่อน้ำมันในอิรักทั้งหมด รวมทั้งท่อส่ง โรงกลั่น และคลังน้ำมัน รวมทั้งเอกสารที่แสดงรายละเอียด ของโครงการน้ำมันและก๊าซในอนาคตของอิรัก และผู้ที่ขอเข้าเป็นคู่สัญญาในโครงการเหล่านั้น ซึ่งมีทั้งรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่คัดค้านสหประชาชาติที่อนุมัติ ให้อเมริกาบุกเข้าไปในอิรัก อืม.. น่าให้รางวัลคนทำหล่นจริงๆ แน่นอน หลังจากอเมริกายึดครองอิรักได้ สิ่งแรกที่อเมริการีบทำคือ ยกเลิกสัญญาที่อิรักทำกับรัสเซีย จีน และฝรั่งเศส น้ำมันของอิรักจะต้องดูแลและจัดการโดยบริษัทน้ำมันของอเมริกาและอังกฤษเท่า นั้น แผนการชิงโลกของอเมริกาสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของการชิงโลก ตั้งแต่การทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1991 คือ การทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้รัสเซียสร้างชาติขึ้นมาใหม่ได้ และทำให้อดีตรัฐสมาชิกของสหภาพโซเวียต ไม่มีวันกลับมารวมตัวกันได้อีก เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่มหึมาในแถบ Eurasia แถบที่มีรางวัลใหญ่กว่าคอยอยู่… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 1 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ
    ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน
    ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน
    อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ
    เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว
    เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง
    ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม
    ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ
    หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก !
    Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้
    แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน
    เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว
    แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง
    เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น
    แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่
    ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ
    เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก
    นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย
    ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย
    แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก ! Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้ แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่ ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • “FCKGW: รหัสลับที่ไม่ลับ — เมื่อ Windows XP ถูกเจาะก่อนวางขายเพราะ ‘ความไว้ใจ’ ที่ผิดพลาด”

    ย้อนกลับไปในปี 2001 โลกไอทีต้องสั่นสะเทือนเมื่อรหัสผลิตภัณฑ์ Windows XP ที่ชื่อว่า “FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8” ถูกเผยแพร่ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการถึง 5 สัปดาห์ โดยกลุ่ม warez ชื่อดัง “devils0wn” ซึ่งไม่ใช่การแฮก แต่เป็น “การรั่วไหล” ที่เกิดจากการจัดการภายในของ Microsoft เอง

    Dave W. Plummer นักพัฒนาระดับตำนานของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager, ZIP folders และระบบ Windows Product Activation (WPA) ได้ออกมาเปิดเผยความจริงผ่านโพสต์บน X ว่า “มันไม่ใช่การเจาะระบบ แต่มันคือความผิดพลาดที่ร้ายแรง”

    WPA เป็นระบบใหม่ที่เปิดตัวพร้อม Windows XP โดยใช้การจับคู่ระหว่างรหัสผลิตภัณฑ์กับ Hardware ID ที่สร้างจาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่รหัส FCKGW นี้เป็น Volume Licensing Key (VLK) ที่ถูก “whitelist” ไว้ในระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่านขั้นตอน activation ใด ๆ

    เมื่อรหัสนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ผู้ใช้ทั่วไปจึงสามารถติดตั้ง Windows XP ได้โดยไม่ต้องโทรกลับไปยัง Microsoft หรือรอการยืนยันใด ๆ ส่งผลให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

    แม้ Microsoft จะพยายามแก้ไขในภายหลัง โดยการ blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนแนวทางการจัดการลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไปตลอดกาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รหัส FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8 เป็น Volume Licensing Key ที่ถูก whitelist ในระบบ WPA
    รหัสนี้ถูกเผยแพร่โดยกลุ่ม warez ‘devils0wn’ ก่อน Windows XP เปิดตัว 5 สัปดาห์
    WPA ใช้ Hardware ID จาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อยืนยันรหัสผลิตภัณฑ์
    ผู้ใช้สามารถข้ามขั้นตอน activation ได้โดยใช้รหัสนี้กับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษ
    Microsoft blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป
    Dave W. Plummer เป็นผู้พัฒนาหลักของ WPA และออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ในปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Volume Licensing Key ใช้สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการติดตั้งหลายเครื่องโดยไม่ต้อง activate ทีละเครื่อง
    ในปี 2001 การดาวน์โหลดไฟล์ ISO ขนาด 455MB ใช้เวลานานมาก เนื่องจาก broadband ยังไม่แพร่หลาย
    การรั่วไหลของรหัสนี้ทำให้ Windows XP กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น
    เหตุการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้ Microsoft พัฒนา DRM และระบบ activation ที่ซับซ้อนขึ้นใน Windows รุ่นถัดไป
    รหัส FCKGW กลายเป็นสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตของยุค 2000

    https://www.tomshardware.com/software/windows/legendary-microsoft-developer-reveals-the-true-story-behind-the-most-famous-product-activation-key-of-all-time-infamous-windows-xp-fckgw-licensing-key-was-actually-a-disastrous-leak
    🧩 “FCKGW: รหัสลับที่ไม่ลับ — เมื่อ Windows XP ถูกเจาะก่อนวางขายเพราะ ‘ความไว้ใจ’ ที่ผิดพลาด” ย้อนกลับไปในปี 2001 โลกไอทีต้องสั่นสะเทือนเมื่อรหัสผลิตภัณฑ์ Windows XP ที่ชื่อว่า “FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8” ถูกเผยแพร่ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการถึง 5 สัปดาห์ โดยกลุ่ม warez ชื่อดัง “devils0wn” ซึ่งไม่ใช่การแฮก แต่เป็น “การรั่วไหล” ที่เกิดจากการจัดการภายในของ Microsoft เอง Dave W. Plummer นักพัฒนาระดับตำนานของ Microsoft ผู้มีบทบาทในการสร้าง Task Manager, ZIP folders และระบบ Windows Product Activation (WPA) ได้ออกมาเปิดเผยความจริงผ่านโพสต์บน X ว่า “มันไม่ใช่การเจาะระบบ แต่มันคือความผิดพลาดที่ร้ายแรง” WPA เป็นระบบใหม่ที่เปิดตัวพร้อม Windows XP โดยใช้การจับคู่ระหว่างรหัสผลิตภัณฑ์กับ Hardware ID ที่สร้างจาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่รหัส FCKGW นี้เป็น Volume Licensing Key (VLK) ที่ถูก “whitelist” ไว้ในระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่านขั้นตอน activation ใด ๆ เมื่อรหัสนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ ผู้ใช้ทั่วไปจึงสามารถติดตั้ง Windows XP ได้โดยไม่ต้องโทรกลับไปยัง Microsoft หรือรอการยืนยันใด ๆ ส่งผลให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว แม้ Microsoft จะพยายามแก้ไขในภายหลัง โดยการ blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เปลี่ยนแนวทางการจัดการลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไปตลอดกาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รหัส FCKGW-RHQQ2-YXRKT-8TG6W-2B7Q8 เป็น Volume Licensing Key ที่ถูก whitelist ในระบบ WPA ➡️ รหัสนี้ถูกเผยแพร่โดยกลุ่ม warez ‘devils0wn’ ก่อน Windows XP เปิดตัว 5 สัปดาห์ ➡️ WPA ใช้ Hardware ID จาก CPU, RAM และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อยืนยันรหัสผลิตภัณฑ์ ➡️ ผู้ใช้สามารถข้ามขั้นตอน activation ได้โดยใช้รหัสนี้กับสื่อการติดตั้งแบบพิเศษ ➡️ Microsoft blacklist รหัสนี้ใน Service Pack 2 และเวอร์ชันถัดไป ➡️ Dave W. Plummer เป็นผู้พัฒนาหลักของ WPA และออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ในปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Volume Licensing Key ใช้สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการติดตั้งหลายเครื่องโดยไม่ต้อง activate ทีละเครื่อง ➡️ ในปี 2001 การดาวน์โหลดไฟล์ ISO ขนาด 455MB ใช้เวลานานมาก เนื่องจาก broadband ยังไม่แพร่หลาย ➡️ การรั่วไหลของรหัสนี้ทำให้ Windows XP กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น ➡️ เหตุการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้ Microsoft พัฒนา DRM และระบบ activation ที่ซับซ้อนขึ้นใน Windows รุ่นถัดไป ➡️ รหัส FCKGW กลายเป็นสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตของยุค 2000 https://www.tomshardware.com/software/windows/legendary-microsoft-developer-reveals-the-true-story-behind-the-most-famous-product-activation-key-of-all-time-infamous-windows-xp-fckgw-licensing-key-was-actually-a-disastrous-leak
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
More Results