• บูรพาไม่แพ้ Ep.137 : เบื้องหลังพาเหรด 80 ปี Victory Day จีนชนะสงครามโลก
    .
    วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมีงานใหญ่ คือ งานรำลึกชัยชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปี โดยประเทศจีนได้จัดการ “สวนสนาม” ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พร้อมกับเชิญผู้นำ และบุคคลสำคัญจากชาติต่าง ๆ เกือบ 30 ประเทศเข้าร่วมพิธี โดยงานครั้งนี้มีผู้ร่วมงานในพื้นที่มากกว่า 5 หมื่นคน
    .
    ถึงแม้ว่า จีนจะมีพิธีระลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกเป็นประจำทุกปี แต่การสวนสนาม และการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ เพราะว่าการจัดงานในระดับนี้ต้องมีการเตรียมงานอย่างมากมาย, มีการฝึกซ้อมหลายครั้ง, และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น งานในปีนี้จึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ...
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=lU3vWB8sv3U
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #สงครามโลกครั้งที่2 #จีนจัดพาเหรดชนะสงคราม #VictoryDay #จัตุรัสเทียนอันเหมิน
    บูรพาไม่แพ้ Ep.137 : เบื้องหลังพาเหรด 80 ปี Victory Day จีนชนะสงครามโลก . วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมีงานใหญ่ คือ งานรำลึกชัยชนะในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปีนี้เป็นวาระครบรอบ 80 ปี โดยประเทศจีนได้จัดการ “สวนสนาม” ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พร้อมกับเชิญผู้นำ และบุคคลสำคัญจากชาติต่าง ๆ เกือบ 30 ประเทศเข้าร่วมพิธี โดยงานครั้งนี้มีผู้ร่วมงานในพื้นที่มากกว่า 5 หมื่นคน . ถึงแม้ว่า จีนจะมีพิธีระลึกถึงชัยชนะในสงครามโลกเป็นประจำทุกปี แต่การสวนสนาม และการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ เพราะว่าการจัดงานในระดับนี้ต้องมีการเตรียมงานอย่างมากมาย, มีการฝึกซ้อมหลายครั้ง, และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น งานในปีนี้จึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ... . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=lU3vWB8sv3U . #บูรพาไม่แพ้ #สงครามโลกครั้งที่2 #จีนจัดพาเหรดชนะสงคราม #VictoryDay #จัตุรัสเทียนอันเหมิน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • Manus AI จากประเทศจีนเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและรันงานอัตโนมัติ ด้วยรายงานที่ละเอียดและประสบการณ์การใช้งานที่ล้ำหน้า แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องเครดิต แต่ Manus ได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างจาก AI รุ่นอื่น ๆ

    การวิเคราะห์ข้อมูลแบบละเอียด
    - Manus สร้างรายงานที่ลึกซึ้งและละเอียดมาก เช่น การวิเคราะห์อนาคตของ Tesla ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และนำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ทำให้ผู้ใช้งานได้รับมุมมองที่รอบด้าน

    ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่าเดิม
    - แม้หลายฟีเจอร์จะคล้าย ChatGPT แต่ Manus มีเอกลักษณ์ในการตอบคำถามที่ละเอียดและสร้างสรรค์ เช่น การสร้างเกมจากเหตุการณ์ข่าว หรือการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

    จุดเด่นเรื่องความโปร่งใสในการค้นคว้า
    - Manus ได้รับเสียงชื่นชมในด้านความโปร่งใสระหว่างการทำงาน เช่น การแจ้งกระบวนการค้นคว้าในแต่ละขั้นตอน ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจถึงการทำงานของ AI อย่างชัดเจน

    ความท้าทายเรื่องการเซ็นเซอร์
    - แตกต่างจาก DeepSeek AI ซึ่งเคยถูกวิจารณ์เรื่องการเซ็นเซอร์คำถามเกี่ยวกับการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 Manus กลับสามารถสร้างรายงานที่ครอบคลุมและสะท้อนมุมมองจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง Red Cross

    อนาคตของ AI และการพัฒนาในตลาดจีน
    - Manus เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงการพัฒนา AI ของจีนที่มุ่งเน้นการสร้างระบบที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยใช้ความสามารถในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นจุดเด่นเพื่อแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/manus-the-much-hyped-chinese-ai-has-opened-up-public-access-and-you-get-1-000-credits-for-free-if-you-sign-up-now
    Manus AI จากประเทศจีนเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและรันงานอัตโนมัติ ด้วยรายงานที่ละเอียดและประสบการณ์การใช้งานที่ล้ำหน้า แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องเครดิต แต่ Manus ได้รับความสนใจอย่างมากในฐานะนวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างจาก AI รุ่นอื่น ๆ ✅ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบละเอียด - Manus สร้างรายงานที่ลึกซึ้งและละเอียดมาก เช่น การวิเคราะห์อนาคตของ Tesla ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และนำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ทำให้ผู้ใช้งานได้รับมุมมองที่รอบด้าน ✅ ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่าเดิม - แม้หลายฟีเจอร์จะคล้าย ChatGPT แต่ Manus มีเอกลักษณ์ในการตอบคำถามที่ละเอียดและสร้างสรรค์ เช่น การสร้างเกมจากเหตุการณ์ข่าว หรือการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ✅ จุดเด่นเรื่องความโปร่งใสในการค้นคว้า - Manus ได้รับเสียงชื่นชมในด้านความโปร่งใสระหว่างการทำงาน เช่น การแจ้งกระบวนการค้นคว้าในแต่ละขั้นตอน ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจถึงการทำงานของ AI อย่างชัดเจน ✅ ความท้าทายเรื่องการเซ็นเซอร์ - แตกต่างจาก DeepSeek AI ซึ่งเคยถูกวิจารณ์เรื่องการเซ็นเซอร์คำถามเกี่ยวกับการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 Manus กลับสามารถสร้างรายงานที่ครอบคลุมและสะท้อนมุมมองจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง Red Cross ✅ อนาคตของ AI และการพัฒนาในตลาดจีน - Manus เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงการพัฒนา AI ของจีนที่มุ่งเน้นการสร้างระบบที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยใช้ความสามารถในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นจุดเด่นเพื่อแข่งขันในตลาดโลก https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/manus-the-much-hyped-chinese-ai-has-opened-up-public-access-and-you-get-1-000-credits-for-free-if-you-sign-up-now
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • วางแผนการเดิน "พระราชวังต้องห้าม" (ปักกิ่ง) ในวันเดียว

    ประวัติ "พระราชวังต้องห้าม" “จื่อจิ้นเฉิง”(紫禁城)
    ‘จื่อ’ (紫)แปลว่า สีม่วง ในวัฒนธรรมจีน หมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงฐานะอันสูงส่งของฮ่องเต้ อย่างเช่นเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จ ราชรถก็จะชูธงสีม่วงขึ้น ดังนั้น สีม่วงจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชสำนักอีกด้วย

    ‘จื่อ’ (紫) จากคำว่า จื่อจิ้นเฉิง(紫禁城) มาจาก จื่อเวยซิง(紫薇星)ที่เป็นชื่อดาวเหนือ เป็นเหมือนดาวพระราชา ดังนั้นเลยสื่อได้ว่า คนจีนในสมัยก่อนมองว่า จื่อจิ้นเฉิง หรือ พระราชวังต้องห้าม ถือเป็นศูนย์กลางของโลก และภายหลังจึงเปลี่ยนมาเรียก กู้กง(故宫) ที่มาจากคำว่า 故宫博物馆 หรือแปลว่า พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามนั่นเอง

    พระราชวังต้องห้ามสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1368 ตรงกับสมัยจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของราชวงศ์หมิง หรือจักรพรรดิหย่งเล่อ(永乐)ในตอนนั้นเมืองหลวงของจีนอยู่ที่เมืองหนานจิง(南京)หรือที่เรารู้จักกันว่านานกิง แต่ตอนนั้นฮ่องเต้ต้องการจะย้ายเมืองหลวงมาไว้ที่ปักกิ่ง(北京)

    สาเหตุก็เพราะต้องการถอนรากถอนโคนอำนาจเดิม เลยสร้างพระราชวังนี้ขึ้นมาในเมืองหลวงใหม่อย่างปักกิ่ง เพื่อใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ประชาชนคนนอกเข้ามาได้ และนี่ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า ‘ต้องห้าม’ ในพระราชวังต้องห้ามนั่นเอง

    ในส่วนของตัวพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามถือว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โครงสร้างจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นป้อมปราการที่มีกำแพงสูงกั้นไว้ ชั้นพระราชฐานชั้นนอกที่ฮ่องเต้ใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ และสุดท้ายจะเป็นพระราชฐานชั้นใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าสนม

    นางกำนัล รวมแล้ว 9,000 คนและขันทีอีก 70,000 คน เรียกได้ว่าแม้จะพูดว่าห้ามคนนอกเข้า แต่ข้างในก็คนเยอะมาก

    ต่อมาสมัยราชวงศ์ชิง จริง ๆ ราชวงศ์หมิงสร้างพระราชวังต้องห้ามได้อย่างอลังการมากจนภายหลังราชวงศ์ชิงสามารถเข้าไปใช้ต่อได้เลย แต่กับฮ่องเต้บางพระองค์ก็จะไม่ค่อยประทับที่พระราชวังต้องห้าม เพราะราชวงศ์ชิงเป็นชาวแมนจู ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยตามทุ่งหญ้าและป่าเขา ชอบขี่ม้า เลี้ยงสัตว์ พอมาอยู่ในพระราชวังต้องห้ามก็รู้สึกอึดอัด จนต้องไปสร้างพระราชวัง หรือ อุทยานอื่นในการประทับอยู่แทน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้กัน

    สมัยชิงสามารถยกให้เป็นสมัยแห่งการต่อเติมพระราชวังต้องห้ามให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้เลย ที่เด่น ๆ จะเป็นสมัยของฮ่องเต้เฉียนหลง (ในเรื่องหรูอี้แหละ ยุคนั้น) ที่มีการสร้างอุทยานหนิงโซ่วกง (寧壽宮) หรือที่เราเรียกกันว่า สวนเฉียนหลง ไว้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม เพื่อใช้ประทับยามชรา
    เป็นอุทยานที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ เพราะทุกอาคารเชื่อมถึงกัน มีภูเขาจำลองที่ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ของต้นสน ต้นไผ่ ต้นเหมย อันเป็นสัญลักษณ์ของความสันโดษ ที่พระองค์ตั้งให้เป็นเหมือนแนวคิดหลักของอุทยานแห่งนี้ค่ะ (และนี่จะโยงกับเรื่องที่ว่าทำไมฝรั่งไม่เผาพระราชวังต้องห้าม)

    ไฮไลท์ อื่น ๆ ของพระราชวังต้องห้ามที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ประตูอู่เหมิน(午门)เป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ในอดีตที่ประตูนี้เป็นที่รวมตัวกันของข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหารเพื่อฟังพระราชโองการหรือประกาศกำหนดการณ์ต่างๆ

    พระที่นั่งไท่เหอ(太和殿)โด่งดังมาก เพราะถือเป็นพระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม เป็นจุดศูนย์กลางและเป็นจุดสูงสุดของพระราชวังแห่งนี้เลย และยังมีอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจีนอีกด้วย พระที่นั่งไท่เหอจะใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญของราชสำนัก

    จัตุรัสเทียนอันเหมิน(天安门)อยู่ทางทิศเหนือของเขตพระราชวังต้องห้าม (ถ้าเข้าทางประตูอู่เหมินจะเจอเทียนอันเหมินก่อน) จะเห็นได้จากอนุสรณ์สถานประธานเหมาที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ในจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของจีนมากทีเดียว เพราะเป็นอนุสรณ์ถึงความเสียสละเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย


    วางแผนการเดิน "พระราชวังต้องห้าม" (ปักกิ่ง) ในวันเดียว ประวัติ "พระราชวังต้องห้าม" “จื่อจิ้นเฉิง”(紫禁城) ‘จื่อ’ (紫)แปลว่า สีม่วง ในวัฒนธรรมจีน หมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงฐานะอันสูงส่งของฮ่องเต้ อย่างเช่นเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จ ราชรถก็จะชูธงสีม่วงขึ้น ดังนั้น สีม่วงจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชสำนักอีกด้วย ‘จื่อ’ (紫) จากคำว่า จื่อจิ้นเฉิง(紫禁城) มาจาก จื่อเวยซิง(紫薇星)ที่เป็นชื่อดาวเหนือ เป็นเหมือนดาวพระราชา ดังนั้นเลยสื่อได้ว่า คนจีนในสมัยก่อนมองว่า จื่อจิ้นเฉิง หรือ พระราชวังต้องห้าม ถือเป็นศูนย์กลางของโลก และภายหลังจึงเปลี่ยนมาเรียก กู้กง(故宫) ที่มาจากคำว่า 故宫博物馆 หรือแปลว่า พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามนั่นเอง พระราชวังต้องห้ามสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1368 ตรงกับสมัยจักรพรรดิองค์ที่ 3 ของราชวงศ์หมิง หรือจักรพรรดิหย่งเล่อ(永乐)ในตอนนั้นเมืองหลวงของจีนอยู่ที่เมืองหนานจิง(南京)หรือที่เรารู้จักกันว่านานกิง แต่ตอนนั้นฮ่องเต้ต้องการจะย้ายเมืองหลวงมาไว้ที่ปักกิ่ง(北京) สาเหตุก็เพราะต้องการถอนรากถอนโคนอำนาจเดิม เลยสร้างพระราชวังนี้ขึ้นมาในเมืองหลวงใหม่อย่างปักกิ่ง เพื่อใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ประชาชนคนนอกเข้ามาได้ และนี่ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า ‘ต้องห้าม’ ในพระราชวังต้องห้ามนั่นเอง ในส่วนของตัวพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามถือว่าเป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โครงสร้างจะแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นป้อมปราการที่มีกำแพงสูงกั้นไว้ ชั้นพระราชฐานชั้นนอกที่ฮ่องเต้ใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ และสุดท้ายจะเป็นพระราชฐานชั้นใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้และเหล่าสนม นางกำนัล รวมแล้ว 9,000 คนและขันทีอีก 70,000 คน เรียกได้ว่าแม้จะพูดว่าห้ามคนนอกเข้า แต่ข้างในก็คนเยอะมาก ต่อมาสมัยราชวงศ์ชิง จริง ๆ ราชวงศ์หมิงสร้างพระราชวังต้องห้ามได้อย่างอลังการมากจนภายหลังราชวงศ์ชิงสามารถเข้าไปใช้ต่อได้เลย แต่กับฮ่องเต้บางพระองค์ก็จะไม่ค่อยประทับที่พระราชวังต้องห้าม เพราะราชวงศ์ชิงเป็นชาวแมนจู ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยตามทุ่งหญ้าและป่าเขา ชอบขี่ม้า เลี้ยงสัตว์ พอมาอยู่ในพระราชวังต้องห้ามก็รู้สึกอึดอัด จนต้องไปสร้างพระราชวัง หรือ อุทยานอื่นในการประทับอยู่แทน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้กัน สมัยชิงสามารถยกให้เป็นสมัยแห่งการต่อเติมพระราชวังต้องห้ามให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้เลย ที่เด่น ๆ จะเป็นสมัยของฮ่องเต้เฉียนหลง (ในเรื่องหรูอี้แหละ ยุคนั้น) ที่มีการสร้างอุทยานหนิงโซ่วกง (寧壽宮) หรือที่เราเรียกกันว่า สวนเฉียนหลง ไว้ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม เพื่อใช้ประทับยามชรา เป็นอุทยานที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ เพราะทุกอาคารเชื่อมถึงกัน มีภูเขาจำลองที่ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ของต้นสน ต้นไผ่ ต้นเหมย อันเป็นสัญลักษณ์ของความสันโดษ ที่พระองค์ตั้งให้เป็นเหมือนแนวคิดหลักของอุทยานแห่งนี้ค่ะ (และนี่จะโยงกับเรื่องที่ว่าทำไมฝรั่งไม่เผาพระราชวังต้องห้าม) ไฮไลท์ อื่น ๆ ของพระราชวังต้องห้ามที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ประตูอู่เหมิน(午门)เป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ในอดีตที่ประตูนี้เป็นที่รวมตัวกันของข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหารเพื่อฟังพระราชโองการหรือประกาศกำหนดการณ์ต่างๆ พระที่นั่งไท่เหอ(太和殿)โด่งดังมาก เพราะถือเป็นพระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม เป็นจุดศูนย์กลางและเป็นจุดสูงสุดของพระราชวังแห่งนี้เลย และยังมีอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจีนอีกด้วย พระที่นั่งไท่เหอจะใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญของราชสำนัก จัตุรัสเทียนอันเหมิน(天安门)อยู่ทางทิศเหนือของเขตพระราชวังต้องห้าม (ถ้าเข้าทางประตูอู่เหมินจะเจอเทียนอันเหมินก่อน) จะเห็นได้จากอนุสรณ์สถานประธานเหมาที่ตั้งอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ในจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของจีนมากทีเดียว เพราะเป็นอนุสรณ์ถึงความเสียสละเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
    0 Comments 0 Shares 911 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้เกี่ยวกับการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่ชื่อว่า Qwen2.5-Max โดย Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน โมเดลนี้ถูกอ้างว่าเหนือกว่า DeepSeek-V3 และ ChatGPT-4o ในหลายๆ ด้าน

    Qwen2.5-Max ไม่ใช่โมเดลการให้เหตุผลเหมือนกับ DeepSeek-R1 หรือ ChatGPT-o1 แต่ทำงานในระดับที่เทียบเท่ากับ DeepSeek-V3 หรือ ChatGPT-4o ทีมงาน Qwen ได้โพสต์ผลการทดสอบที่แสดงให้เห็นว่า Qwen2.5-Max มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งในหลายๆ การทดสอบ เช่น Arena-Hard, LiveBench, LiveCodeBench และ GPQA-Diamond นอกจากนี้ยังมีผลการทดสอบที่แข่งขันได้ใน MMLU-Pro

    แม้ว่า Qwen2.5-Max จะไม่ใช่โครงการโอเพ่นซอร์ส แต่คุณสามารถลองใช้ได้ผ่านแชทบอท Qwen Chat ในเว็บเบราว์เซอร์ โดยต้องลงชื่อเข้าใช้ด้วยอีเมลหรือบัญชี Google ของคุณ

    Qwen2.5-Max ให้คำตอบที่มีความสมดุลและละเอียดอ่อนมากกว่า DeepSeek ในบางหัวข้อที่อ่อนไหวต่อรัฐบาลจีน เช่น คำถามเกี่ยวกับไต้หวัน แต่ยังคงปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/new-deepseek-ai-rival-claims-to-be-more-powerful-than-both-v3-and-chatgpt-4o-meet-qwen2-5-max
    ข่าวนี้เกี่ยวกับการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่ชื่อว่า Qwen2.5-Max โดย Alibaba ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน โมเดลนี้ถูกอ้างว่าเหนือกว่า DeepSeek-V3 และ ChatGPT-4o ในหลายๆ ด้าน Qwen2.5-Max ไม่ใช่โมเดลการให้เหตุผลเหมือนกับ DeepSeek-R1 หรือ ChatGPT-o1 แต่ทำงานในระดับที่เทียบเท่ากับ DeepSeek-V3 หรือ ChatGPT-4o ทีมงาน Qwen ได้โพสต์ผลการทดสอบที่แสดงให้เห็นว่า Qwen2.5-Max มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งในหลายๆ การทดสอบ เช่น Arena-Hard, LiveBench, LiveCodeBench และ GPQA-Diamond นอกจากนี้ยังมีผลการทดสอบที่แข่งขันได้ใน MMLU-Pro แม้ว่า Qwen2.5-Max จะไม่ใช่โครงการโอเพ่นซอร์ส แต่คุณสามารถลองใช้ได้ผ่านแชทบอท Qwen Chat ในเว็บเบราว์เซอร์ โดยต้องลงชื่อเข้าใช้ด้วยอีเมลหรือบัญชี Google ของคุณ Qwen2.5-Max ให้คำตอบที่มีความสมดุลและละเอียดอ่อนมากกว่า DeepSeek ในบางหัวข้อที่อ่อนไหวต่อรัฐบาลจีน เช่น คำถามเกี่ยวกับไต้หวัน แต่ยังคงปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/new-deepseek-ai-rival-claims-to-be-more-powerful-than-both-v3-and-chatgpt-4o-meet-qwen2-5-max
    0 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews